Professional Documents
Culture Documents
การควบคุมป้องกันโรคบิดในไก่
Controlling Coccidiosis in Poultry: In Ovo Technology
ภัทรกิจ กิจธรรมกูลนิจ 1 นพมาศ ตระการรังสี2 พัชราภรณ์ อนันต์เกียรติ
กุล 3
1,2,3
25/25 คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม
73170
บทคัดย่อ (Abstract)
บทนำา (Introduction)
โปรโตซั ว ที่ มี ค วามสำา คั ญ ในการก่ อ โรคในไก่ อ ยู่ ใ นไฟลั ม Apicomplexa แฟมิ ลี่
Eimeriidae ได้ แ ก่ โปรโตซั ว ในจี นั ส Eimeria ซึ่ ง มี อ ยู่ ห ลาย species เช่ น E. tenella, E.
acervulina, E.maxima, E.necatrix, E.brunetti, E. mitis และ E.praecox เป็นต้น โดยเชื้อเหล่านี้
เป็นสาเหตุทำาให้ความสามารถในการใช้อาหารและการเจริญของไก่ที่ติดเชื้อลดลง (Williams et
al., 2002) เพราะร่างกายไก่ไม่สามารถดูดซึมอาหารได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งผลกระทบต่อเรื่องนำ้า
หนักตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่สำาคัญในการเลี้ยงไก่เนื้อด้วย
เชื้อบิดเมื่อเข้าไปในร่างกายไก่จะเพิ่มจำานวนอย่างรวดเร็วในลำา ไส้และในไส้ตัน ในขณะ
เดียวกันเชื้อบิดจะทำาลายเซลล์ของผนังลำาไส้ที่ทำาหน้าที่ย่อยและดูดซึมอาหารที่ย่อย และเซลล์ส่วน
ที่มีหน้าที่เปลี่ยนอาหารที่ย่อยแล้วให้เป็นเนื้อเยื่อของร่างกายเสีย ในรายที่ร้ายแรงจะทำา ให้ผนัง
ลำาไส้อักเสบชำ้าบวมมีเลือดคั่ง (Hemorrhage) และตายในที่สุด ในฝูงที่ติดเชื้อร้ายแรงไก่จะตาย
มาก ส่วนไก่ที่เหลือรอดตายจะอ่อนแอและแคระแกร็น ส่วนฝูงที่เป็นโรคบิดชนิดเรื้อรังจะทำาให้ไก่
ผอมและไข่น้อย นอกจากนั้นยังทำาให้ไก่อ่อนแอมีความต้านทานต่อโรคอื่นตำ่าทำาให้เกิดโรคได้ง่าย
โดยความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายชนิด เช่น จำานวน oocyst ที่ได้รับเข้าไป พันธุ์ไก่
อายุ อาหาร สภาพของไก่และสายพันธุ์ของเชื้อบิดด้วย
โรคบิดในไก่นั้นยังส่งผลทำาให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ทั่วโลก
เป็นอย่างมาก สำาหรับประเทศไทยในอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่เนื้อยังไม่มีปัญหาถึงกับต้องใช้ยา
รักษาโรคบิด เพราะยาต้านบิดที่ใช้ยังไม่มีปัญหาเรื่ องการดื้ อยามากนัก ส่วนในไก่ท ดแทนนั้น
ปัญหาเรื่องโรคบิดเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย (Manop et al., 1991) การรักษามักจะให้ยาผสมนำ้า
2
วงจรชีวิตเชื้อบิด
3
2. Polyether ionophores
ยากลุ่มนี้บางชนิดมีผลต่อการเพิ่มนำ้าหนักของตัวไก่ด้วย ยากลุ่มนี้จะมีการออกฤทธิ์ต่อเชื้อ
บิดระยะ Sporozoites ที่จะเข้าเซลล์หรือ trophozoite ระยะแรกเริ่ม โดยไปจับกับ cation ที่สำาคัญ
คือ Na+ K+ และ Ca++ เป็นต้น เกิดเป็น complex พร้อมกับการเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ส่วนผนัง
เซลล์ของ sporozoite หรือ trophozoite ทำาให้ cation complex จากภายนอกเซลล์ สามารถเข้าสู่
ภายในเซลล์ได้ ทำาให้ปริมาณ cation มากกว่าปกติและมีการดึงนำ้าตามมาด้วย ทำาให้เซลล์ของเชื้อ
แตกออก ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ Salinomycin, Narasin, Monensin, Lasalocid, Maduramicin และ
Semduramicin
มีการใช้ยาในกลุ่มนี้ เช่น Salinomycin, Narasin และ Monensin ร่วมกับ วัคซีนเชื้อเป็น
ชนิดรุนแรง (Nobilis® COX ATM) ซึ่งสามารถป้องกันโรคบิดได้รวมทั้งโรคลำาไส้อักเสบ (Necrotic
enteritis) ข้อดีของวิธีการนี้ก็คือ สามารถป้องกันการเกิดโรคบิดได้ (เนื่องจากวัคซีนทำาจากเชื้อที่มี
ความรุนแรง) ก่อนช่วงระยะเวลาที่ระบบภูมิคุ้มกันจะพัฒนาได้อย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพใน
5
3. Drug combination
เนื่องจากการใช้ยาในกลุ่ม Synthetics บางชนิดอาจมีฤทธิ์ข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้
รวมทั้งกลุ่ม Ionophores เช่นกัน เพื่อทำา ให้การดื้อยาของเชื้อบิดเกิดช้าลง จึงได้มีการผสมยา 2
ชนิดเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีการลดขนาดของยาแต่ละชนิดลงและจะเป็นการขยายขอบเขตการออก
ฤทธิ์ของยาด้วย ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่
1) Amprolium และ Ethopabate 2) Narasin และ Nicarbazin
3) Miduramicin และ Nicarbazin 4) Clopidol และ Methylbenzoquate
(Schetters et al. 1999) มีรายงานการใช้ Nobilis® COX ATM ร่วมกับ Narasin ซึ่งให้ผลเป็นที่
น่าพอใจในการป้องกันไก่ติดเชื้อบิด (Vermeulen et al. 2000ab)
ข้อดีของวัคซีนชนิดนี้ คือ สามารถใช้ร่วมกับ Ionophores ได้ในช่วง 3-4 สัปดาห์แรกที่
ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ การใช้ในลักษณะนี้จะจำา กัดการเพิ่มจำา นวนในการติดเชื้อ
เนื่องจากการเพิ่มจำานวนของเชื้อที่มากขึ้น ในช่วงระหว่างที่มีการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะไป
ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรค (Vermeulen et al. 2001) ดังนั้น วัคซีนชนิดนี้ก็สามารถที่จะนำา
มาใช้ป้องกันโรคบิดได้รวมทั้งโรคลำาไส้อักเสบด้วย
4. Subunit Vaccine
วัคซีนที่เตรียมจากบางส่วนของบางระยะของเชื้อบิด นำา มาฉีดเข้าไก่ สามารถที่จะสร้าง
ภูมิคุ้มกันได้ ตัวอย่างวัคซีน ได้แก่
CoxAbic® เป็ น subunit vaccine ที่ เ ตรี ย มจาก gametocyte ของ E.maxima (APGA, affinity
purified gametocyte antigens) โดยผสมกั บ Freund adjuvant ใช้ ฉี ด เข้ า กล้ า มเนื้ อ ของแม่ไ ก่
broiler breeder ครั้ ง ละ 0.5 มล. จำา นวน 2 ครั้ ง เมื่ อ อายุ 17-18 สั ป ดาห์ และ 21-22 สั ป ดาห์
ภู มิ คุ้ ม กั น จะผ่ า นไข่ ไ ปยั ง ลู ก ไก่ ไ ด้ (Maternal (Passive) Immunity) (Wallach, 2002) และ
สามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อ E. tenella, E. acervulina และ E.maxima โดยดูได้จากปริมาณของ
oocyst ที่ ล ดลงถึ ง 50% ซึ่ ง ผลของการป้ อ งกั น โรคบิ ด จะคล้ า ยคลึ ง กั บ การให้ ย าป้ อ งกั น ด้ ว ย
Polyether ionophores antibiotics วั ค ซี น ชนิ ด นี้ ยั ง ไม่ มี ก ารจำา หน่ า ยในประเทศไทย ส่ ว นต่ า ง
ประเทศก็มีการใช้แค่ในบางประเทศเท่านั้น
5. Recombinant Vaccine
เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการดื้อยาต้านบิดเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ และการผลิต
live vaccine มีราคาสูง งานวิจัยหลายชิ้นจึงมุ่งเน้นไปที่การทำา recombinant vaccine ที่เป็นทาง
เลือกใหม่ในการควบคุมโรค แม้ว่าจะมีงานวิจัยมานานกว่า 10 ปี แต่ว่าก็ยังไม่มีการใช้ในทางการ
ค้า ซึ่งอุปสรรคสำา คัญในการพัฒนาวัคซีนชนิดนี้ คือ ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถป้องกันบิดข้าม
species ได้ ส่วนปัจจัยอื่นที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาวัคซีนก็มีการรายงานเมื่อเร็วๆนี้ (Jenkins
M.C. 1998 และ Vermeulen A.N. 1998) คือ การจำาแนกชนิดแอนติเจนที่จะใช้ในการป้องกันโรค
บิด ซึ่งมีแอนติเจนอยู่จำานวนมากที่ถูกนำามาใช้ในการทดลอง ทั้งที่เป็นโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบ
โครงสร้ า งภายนอกและภายในของเชื้ อ เช่ น micronemes (Tomley et al. 1996), rhoptries
(Tomley F.M. 1994) และ refractile bodies (Vermeulen et al. 1994) เป็นต้น อีกทั้งมีรายงาน
การใช้ แ อนติ เ จนที่ มี นำ้า หนั ก โมเลกุ ล ตำ่า ร่ ว มกั บ โปรตี น ที่ มี ค วามเป็ น แอนติ เ จนที่ ดี ก ว่ า
(immunodominant epitope) ที่ พ บอยู่ ใ นทุ ก ระยะของ E. tenella ด้ ว ย ซึ่ ง แอนติ เ จนในระยะ
9
Ding และคณะในปี 2004 ศึก ษาการป้อ งกั น การติ ด เชื้ อ Eimeria acervulina โดยให้
recombinant subunit vaccine และ cytokine genes กระตุ้ น ภู มิ คุ้ ม กั น ผ่ า นไข่ ฟั ก มี ก ารใช้
purified recombinant protein จาก E. acervulina (3-1E) มาฉี ด ทั้ ง แบบเดี่ ย วและรวมกั น กั บ
plasmid ที่มียีนของ อินเตอร์ลิว คิน (Interleukin) ได้แก่ IL-1, IL-2, IL-6, IL-8, IL-15, IL-16, IL-
10
17, IL-18 และ แกมมา อินเตอร์เฟียรอน (IFN-gamma) พบว่า การใช้ 3-1E เดี่ยวๆในขนาด 100
และ 500 ไมโครกรัม ช่วยลดปริมาณ oocysts ที่ปนออกมากับอุจจาระเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ให้
และการให้ 3-1E พร้อมกับยีนของ IL-1, IL-15, IL-16 หรือ IL-17 จะมีการตอบสนองของระบบ
ภูมิคุ้มกันโดยดูจากแอนติบอดีในซีรั่มที่มีค่าสูงกว่าการให้ 3-1E อย่างเดียว
ไก่ที่ฉีดวัคซีนได้รับ Oocysts ของ E. acervulina หลังฟักเป็นเวลา 14 วัน ถูกประเมินด้วย
จำานวน oocysts ที่ปนออกมากับอุจจาระและนำ้าหนักตัว พบว่าไก่ที่ฉีดวัคซีนด้วยโปรตีน 3-1E จะมี
จำานวน oocysts ปนมากับอุจจาระน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีนและมีนำ้า หนักเป็นปกติ ส่วนไก่ที่
ได้รับวัคซีน 3-1E พร้อมกับยีนของ IL-2, IL-15, IL-17, IL-18 หรือ IFN-gamma พบว่ามีปริมาณ
oocysts น้อยกว่ากลุ่มที่ได้ 3-1E กระตุ้นเพียงอย่างเดียว
ดังนั้น จากผลการทดลองที่ได้จึงเป็นสิ่งที่แสดงได้ว่า การกระตุ้นภูมิคุ้มกันผ่านไข่ฟักด้วย
โปรตีน Recombinant 3-1E สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันภายในลำาไส้ต่อการติดเชื้อบิดได้ และผลที่
ได้จะดีมากขึ้นเมื่อให้ร่วมกับ ยีนของ cytokine ชนิดต่างๆ
ผลิตผลจากธรรมชาติที่นำา มาเป็นอาหารเสริมในไก่มีการใช้กันอย่างกว้างขวางเพื่อการ
เจริญเติบโตและทำาให้มีสุขภาพดี มีการประมาณกันว่าจำานวนผลิตผลจากธรรมชาติที่นำามาใช้ใน
12
การใช้สารสกัดจากธรรมชาติหรือสารชีวภาพมาเป็นอาหารเสริมในอาหารสัตว์นั้น เป็นอีก
แนวทางหนึ่ ง สำา หรั บ การพั ฒ นาอุ ต สาหกรรมอาหารสั ต ว์ เพราะในปั จ จุ บั น การใช้ ย า
ปฏิชีวนะ (Antibiotic) ผสมในอาหารสัตว์นั้นก่อให้เกิดปัญหามาก เช่น การดื้อยาของสัตว์ สาร
ตกค้างในเนื้อสัตว์ ดังนั้น การเลือกใช้สารชีวภาพเสริมในอาหารสัตว์น่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า แต่ในทาง
ปฏิบัติจริงนั้น พบว่ายังมีผู้ใช้สารชีวภาพเสริมผสมในอาหารสัตว์น้อยมาก อาจจะเป็นเพราะเห็น
ผลช้ากว่าการใช้ยาปฏิชีวนะ และบางครั้งการใช้สารชีวภาพมาเสริมก็ไม่ให้ผลชัดเจนเหมือนดังผล
ทดลองที่ได้ ดังนั้น การพัฒนาการใช้สารชีวนะเสริมในอาหารสัตว์ จึงมีความสำาคัญและควรมีการ
ศึกษาต่อไปในอนาคต
แนวทางการควบคุมป้องกันโรคบิดในอนาคต
วั ค ซี น เชื้ อ เป็ น (Live vaccine) จะยั ง คงมี ใ ช้ ใ นการควบคุ ม ป้ อ งกั น โรคบิ ด ในไก่ อ ยู่ ใ น
อนาคต แต่ มี ค วามเป็น ไปได้ ม ากที่ จ ะนำา เทคโนโลยี ก ารกระตุ้ น ภู มิ คุ้ ม กั น ผ่ า นไข่ ฟั ก (In Ovo
vaccination) คื อ ฉี ด วั ค ซี น ผ่ า นทางไข่ ม าเป็ น ทางเลื อ กใหม่ ใ นการป้ อ งกั น โรค ในประเทศ
สหรัฐอเมริกาที่ยังคงพื้นที่ที่มีความสนใจในการพัฒนาวัคซีน แม้ว่าการฉีด sporocysts เข้าไปใน
ไข่ไก่ฟักโดยตรงจะเป็นวิธีทไี่ ม่ค่อยนิยมปฏิบัติก็ตาม
การพัฒนา Subunit vaccine และ Recombinant vaccine ยังคงมีการดำา เนินต่อไป แม้
จะมีการนำาไปใช้จริงในอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่น้อยมากก็ตาม ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้มีข้อดี คือ ไม่มี
การนำาเชื้อบิดเข้ามา และ vector ที่ใช้มีความปลอดภัยและเคยมีการนำามาใช้ในวัคซีนเป็นประจำา
อยู่แล้ว และอาจมีการพัฒนาเป็นวัคซีนที่สามารถป้องกันเชื้อบิดข้ามสายพันธุ์ได้ แม้ว่าปัจจุบันจะ
ยังไม่ทราบแน่ชัดในสาเหตุหรือปัจจัยที่ทำาให้ไม่สามารถป้องกันบิดข้ามสายพันธุ์
ส่วนการผลิตยาต้านบิดหรือยารักษาโรคบิดตัวใหม่ๆขึ้นมานั้น พบว่ามีปริมาณน้อยมาก
เนื่องจากจะต้องผ่านการอนุมัติจาก FDA (Food and Drug Administration) ซึ่งมีความเข้มงวด
มาก อีกทั้งการพัฒนายาตัวใหม่ขึ้นมานั้นต้องใช้จำานวนเงินมหาศาลด้วย ดังนั้น ยาต้านบิดหรือยา
รักษาโรคบิดที่จะผลิตออกมาใหม่นั้น ต้องมีคุณสมบัติป้องกันโรคจากเชื้อบิดได้ทุกชนิด เพิ่มนำ้า
หนักได้ดี มีอัตราการแลกเนื้อที่ดีขึ้น สามารถที่จะผสมกับวัตถุดิบ ยา หรือส่วนประกอบในอาหารที่
ให้ไก่กินได้ดี โดยไม่ตกค้างอยู่ในเนื้อสัตว์ ซึ่งจะปลอดภัยต่อผู้บริโภค อีกทั้งยังต้องมีความคงตัวอยู่
ในอาหารที่ผสมได้นาน สามารถตรวจสอบถึงปริมาณของยาได้
สำา หรั บ ประเทศไทยนั้ น เริ่ ม มีแ นวโน้ มการใช้วั ค ซี น เชื้ อ เป็น เพิ่ ม มากขึ้ น ในการเลี้ ย งไก่
ทดแทนและไก่เนื้อในอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ขนาดใหญ่ ส่วนอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ขนาดเล็ก
ยังคงเน้นไปในเรื่องการจัดการที่เหมาะสม ร่วมกับการใช้ยาป้องกันและรักษาโรคบิด
14