Professional Documents
Culture Documents
ย่ำ�เยือนเรือนสมเด็จพระนารายณ์
ต้นเดือนธันวาคม 2549 ผู้เขียนและเพื่อนอีก
2 คน ได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองเก่าในลพบุรีกับศูนย์มานุษยวิทยา
สิรินธร โดยมีอาจารย์ปรีดี พิศภูมิวิถี นักศึกษาปริญญาเอกสาขา
ประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพอร์โต โปรตุเกส ซึ่งปัจจุบันสอนอยู่ที่
มหาวิทยาลัยบูรพา เป็นวิทยากรนำ�เทีย่ ว ทริปทีเ่ ราไปเป็นส่วนหนึง่
ของโครงการ “วัฒนธรรมสัญจร” ของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ซึ่ง
วันที่เราไปจัดเป็นครั้งที่ 16 แล้ว เนื่องจากผู้เขียนและเพื่อนๆ ได้
รับความประทับใจจากทริปนี้มากมาย
ใครที่เคยไปลพบุรีแล้วแต่ไม่เคยไป
เยือน ‘เมืองเก่า’ ในจังหวัด ขอแนะนำ�ให้ลองไปเที่ยวดูเป็นการ
เปลี่ยนบรรยากาศ แทนที่จะไปดูลิงที่เขาวัง ถ่ายรูปทุ่งทานตะวัน
เที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ หรือนมัสการเจ้าพ่อพระกาฬเพียงเท่านั้น
แล้วก็กลับ
เพราะถ้าไม่ไปเยือนเมืองเก่าในลพบุรีตอนนี้ อีกไม่เกิน 10 ปี
อาจไม่มีอะไรเหลือให้ดูแล้ว เพราะรัฐบาลไทยที่ผ่านมาไม่เคยให้
ความสำ�คัญกับโบราณคดีอย่างจริงจัง กรมศิลปากรไม่เคยมีกำ�ลัง
คนกำ�ลังทรัพย์ และกำ�ลังความรู้เพียงพอที่จะอนุรักษ์โบราณสถาน
อันล้ำ�ค่าเหล่านี้ให้เป็นบุญตาลูกหลาน มิหนำ�ซ้ำ�ยังต้องเผชิญกับ
ปัญหาทีร่ า้ ยแรงทีส่ ดุ นัน่ คือการกระทำ�ย่�ำ ยีของคนไทยด้วยกันทีไ่ ม่รู้
คุณค่าของประวัติศาสตร์ส่วนรวม เพราะไม่ว่ากรมศิลปากรและ
ตำ�รวจจะทำ�งานหนักเพียงใด ก็ดูเหมือนจะไม่มีทางตามทัน ‘มาร
3
ศาสนา’ ทั้งหลาย ที่ชอบตัด ขูด และเลื่อยพุทธศิลปะจากวัดเก่าแก่
ไปขายต่อให้กับเศรษฐีนักสะสมทั้งไทยและเทศ รวมทั้งร้านอาหาร
หรือโรงแรมที่เห็นพุทธศิลปะโบราณเป็นเพียง ‘ของตกแต่ง’ ที่ดูดีมี
ระดับพอที่จะดึงดูดลูกค้าเท่านั้น
สื่อมวลชนและคนทั่วไปมักจะพุ่งเป้าการประณามไปที่แก๊ง
ทำ�ลายพุทธศิลปะ แต่หลักเศรษฐศาสตร์พนื้ ฐานสอนเราว่า ถ้าไม่มี
คนซื้อ ก็ย่อมไม่มีคนขาย หรือที่สุภาษิตโบราณเรียกว่า ‘ตบมือข้าง
เดียวไม่ดัง’
ลพบุรีรุ่งเรืองถึงขีดสุดในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช (พ.ศ. 2199 - 2231) ซึ่งทรงดำ�ริให้ลพบุรีเป็น ‘ราชธานี
แห่งที่สอง’ รองจากอยุธยา จึงทรงบัญชาให้สร้างพระราชวัง ป้อม
ปราการ และอาคารต่างๆ มากมายทั่วเมือง ด้วยความช่วยเหลือ
จากช่างและวิศวกรชาวฝรั่งเศสและอิตาเลียน หลังจากสร้างเสร็จ
แล้วพระองค์ก็เสด็จไปประทับอยู่ที่ลพบุรีเป็นส่วนใหญ่ และเสด็จ
สวรรคตในเมืองนี้ด้วย
ยุคของพระนารายณ์คือยุคที่คนไทยเริ่มเรียนรู้เทคนิคการ
ต่อรองผลประโยชน์กบั นานาประเทศอย่างเข้มข้น ทัง้ ในด้านการเมือง
และเศรษฐกิจ ทั้งยังรับเอาศิลปวัฒนธรรมของชนชาติเหล่านั้น
มาผสมผสานในศิลปะไทยอีกด้วย
5
เนื่องจากสถานที่ส่วนใหญ่ที่เราจะไปเยือนในวันนี้เป็นเพียง
ซากปรักหักพังธรรมดาๆ ทีแ่ ทบไม่เหลือริว้ รอยของความโอ่อา่ และ
‘ลมหายใจ’ ของราชสำ�นักทีถ่ อื เป็น ‘ยุคทอง’ ยุคหนึง่ ในประวัตศิ าสตร์
ไทย ผู้ เ ขี ย นขอสรุ ป ประวั ติ ศ าสตร์ ช่ ว งนี้ โ ดยสั ง เขปก่ อ น จาก
การเมืองไทยสมัยพระนารายณ์ ของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์
หนังสือทีว่ เิ คราะห์การเมืองไทยในช่วงนีไ้ ด้อย่างยอดเยีย่ ม เพือ่ สร้าง
ราชสำ�นักของสมเด็จพระนารายณ์ ให้ลอยเด่นแจ่มชัดอยูใ่ นมโนภาพ
ก่อนที่จะไปเยือนพระตำ�หนักของพระองค์จริงๆ
6
การเมืองไทยสมัยพระนารายณ์
การตัดสินใจเลือกลพบุรีเป็นราชธานีแห่งที่สอง
ของพระนารายณ์ มีรากมาจากการทำ�รัฐประหารของพระองค์เพื่อ
ขึ้นครองราชย์ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็น ‘รัฐประหารซ้อน’ ด้วยซ้ำ� เพราะ
หลั ง จากที่ พ ระเจ้ า ปราสาททองสิ้ น พระชนม์ เจ้ า ฟ้ า ไชย พระ
ราชโอรสองค์หนึง่ ของพระเจ้าปราสาททองก็ทรงสัง่ ให้ทหารล้อมวัง
เอาไว้ และสถาปนาพระองค์เองขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
(ถึงตรงนี้ควรกล่าวเสริมว่า รัฐประหารเกิดขึ้นบ่อยในประวัติ
ราชสำ � นั ก อยุ ธ ยาช่ ว งนี้ จ นเป็ น เรื่ อ ง ‘ธรรมดา’ ยิ่ ง กว่ า การทำ �
รัฐประหารหลังระบอบการปกครองไทยกลายเป็นประชาธิปไตย
เสียอีก พระเจ้าปราสาททองเองก็ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ด้วยการ
ทำ�รัฐประหารเช่นกัน และกลยุทธ์ของพระองค์กอ่ นลงมือนัน้ ก็คอ่ น
ข้างแยบคาย คือวัดกำ�ลังของบรรดาพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ด้วยการ
สังเกตดูวา่ ใครมางานศพพระมารดาบ้าง (ขณะนัน้ ทรงดำ�รงตำ�แหน่ง
ออกญากลาโหม) นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่า อุบายดังกล่าว
ของพระเจ้าปราสาททอง น่าจะเป็นต้นกำ�เนิดของประเพณีการ
‘ตบเท้า’ เข้าให้กำ�ลังใจนายในโอกาสต่างๆ ของทหารในปัจจุบัน)
8
การทำ�รัฐประหารในครั้งนั้น ตามหลักฐานปรากฏว่ากำ�ลังพล
ส่วนใหญ่เป็นของพระนารายณ์ และพระนารายณ์เองก็ทรงเป็นผูน้ �ำ
อย่างชัดแจ้ง โดยพระสุธรรมราชามีบทบาทไม่มาก แต่ขุนนางส่วน
ใหญ่ที่ร่วมก่อการในครั้งนั้นไม่อยากให้พระนารายณ์ขึ้นครองราชย์
เพราะรู้ดีว่าพระนารายณ์ทรงเข้มแข็งกว่าพระสุธรรมราชามาก
ขุนนางทัง้ หลาย ‘ควบคุม’ ไม่ได้ เพราะฉะนัน้ ถ้าพระนารายณ์ได้เป็น
กษัตริยอ์ าจกระทบต่อผลประโยชน์ของเหล่าขุนนาง ดังนัน้ หลังจาก
ทำ�รัฐประหารสำ�เร็จ เหล่าขุนนางจึงพร้อมใจกันยกบัลลังก์ให้กับ
พระศรีสุธรรมราชา
...ชาวต่างชาติเป็นบุคคลที่น่าไว้วางใจแก่กษัตริย์มากกว่าชาวพื้น
เมือง ด้วยเหตุผลอีกประการหนึ่งด้วยว่า ชาวต่างชาติไม่มีฐาน
10
อำ�นาจที่ฝังลึกในประเทศนี้ ฐานะตำ�แหน่งในราชการก็ขึ้นอยู่กับ
พระมหากรุณาธิคุณอย่างสมบูรณ์ กองอาสาไม่ได้รับอนุญาตให้ได้
คุมไพร่ที่เป็นชาวพื้นเมือง ไพร่ในกองอาสาก็คือชนชาติเดียวกับ
เจ้ากรม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือลูกน้องส่วนตัว...
ทั้งหมดเหล่านี้เป็นเสน่ห์แก่กษัตริย์ไทยอยู่แล้วที่จะใช้กอง
ทหารต่างชาติ ยิ่งในสมัยที่กษัตริย์ต้องพยายามลดอำ �นาจของ
ขุนนางฝ่ายปกครองลง การสั่งสมเพิ่มพูนชาวต่างชาติเข้ามาใน
ราชการฝ่ายผู้ชำ�นัญการ และในที่สุดแทรกเข้าไปในฝ่ายปกครอง
ด้วยก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ทรงกระทำ�อย่างตั้งพระทัยขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม กองอาสาต่างชาตินี้อาจก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้
เหมือนกัน เนื่องจากความคล่องตัวของหน่วย ฉะนั้นถ้าในกลุ่ม
ต่างชาติใดมีจ�ำ นวนมากเกินไปและมีความกลมเกลียวกันสูง (เพราะ
เพิง่ อพยพเข้ามาใหม่ เพราะวัฒนธรรมเดิม หรือเหตุใดก็ตาม) ก็อาจ
ปฏิบัติการทางการเมืองเป็นอิสระจากพระราชประสงค์ได้ ตัวอย่าง
ทีร่ กู้ นั ดีกเ็ ช่นกองอาสาญีป่ นุ่ และชาวมักกะสันซึง่ ก่อการกบฏในสมัย
พระนารายณ์...”
การทำ�รัฐประหารซ้อนของพระนารายณ์และสถานการณ์
การเมืองอันอึมครึม ทำ�ให้พระองค์ทรงตกที่นั่งลำ�บาก เพราะไม่
สามารถวางพระทัยได้วา่ ขุนนางและเชือ้ พระวงศ์คนใดจะคิดร้ายต่อ
พระองค์เมื่อใดบ้าง และอยุธยาก็เป็นฐานกำ�ลังของเหล่าขุนนาง
ทำ�ให้สามารถก่อการรัฐประหาร หรือลอบปลงพระชนม์อีกเมื่อไร
ก็ตามที่สบโอกาส ความเสี่ยงในข้อนี้ทำ�ให้พระราชดำ�ริที่จะสร้าง
พระราชวังที่ลพบุรี และว่าราชการที่นั่น เป็นความคิดที่มีเหตุผล
เพราะการที่ลพบุรีเป็น ‘ราชธานีแห่งใหม่’ ที่ไม่เคยเป็นขุมกำ�ลังของ
ใคร ทำ�ให้พระนารายณ์สามารถคัดเลือกแต่ขนุ นาง(ทัง้ ต่างชาติและ
ไทย)ที่ทรงวางใจได้เท่านั้น ให้ตามเสด็จและว่าราชการที่ลพบุรี
12
เมื่อพระนารายณ์ทรงต้องการทหารและขุนนางต่างชาติเป็น
กำ�ลังสนับสนุนราชบัลลังก์ พระองค์จึงทรงอนุญาตให้ชาวต่างชาติ
เหล่านั้นทำ�ในสิ่งที่อยากทำ� ไม่ว่าจะเป็นการเผยแผ่ศาสนาคริสต์
หรือการทำ�มาค้าขาย ทำ�ให้การค้าระหว่างประเทศเจริญรุง่ เรืองมาก
ในสมัยพระนารายณ์ มีชาวต่างชาติหลากหลายเชือ้ ชาติเข้ามาพำ�นัก
ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นชาวอังกฤษ ฮอลันดา ฝรั่งเศส โปรตุเกส
ญี่ปุ่น จีน มลายู และแขกมัวร์เชื้อสายต่างๆ โดยเฉพาะอิหร่าน (คำ�
ว่า ‘มัวร์’ (Moor) เป็นคำ�เรียกชาวอาหรับของคนยุโรป หมายถึง
ชาวอินเดียไปจนถึงตะวันออกกลาง ทีเ่ รียกว่าอาณาจักรเปอร์เซียใน
สมัยนั้น)
อิทธิพลของฝรั่งเศสในการเมืองสยาม ซึ่งทั้งเริ่มต้นและจบลง
ภายในรัชกาลของพระนารายณ์เอง เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่น่าสนใจไม่
น้อย (และมีนยั ยะเกีย่ วโยงกับอิทธิพลของคอนสแตนติน ฟอลคอน
หรือออกญาวิชาเยนทร์ ซึ่งจะกล่าวถึงตอนไปเยือนบ้านของเขา)
เรื่องของเรื่องมีชนวนมาจากความขัดแย้งระหว่างพระนารายณ์กับ
หัวหน้าแขกมัวร์ชาวอิหร่าน เนื่องจากข่าวลือหนาหูว่าพวกอิหร่าน
กำ � ลั ง พยายามสนั บ สนุ น เจ้ า ฟ้ า อภั ย ทศ ซึ่ ง เป็ น พระอนุ ช าของ
พระนารายณ์ทำ�รัฐประหารด้วยการลอบสังหารพระนารายณ์
17
วัดไลย์
หลังจากออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ในรถโค้ช
ปรับอากาศตัง้ แต่เช้าตรู่ เราก็มาถึงวัดไลย์ อำ�เภอท่าวุง้ จังหวัดลพบุรี
จุดหมายแรกของโปรแกรม ‘ย่�ำ เยือนเรือนสมเด็จพระนารายณ์’ เวลา
แปดโมงเช้ากว่าๆ แดดออกแล้วแต่ยังไม่จ้าจนเกินไป เป็นใจให้
ช่างภาพทั้งหลายเตรียมถ่ายรูปกันสนุกมือ
อาจารย์ยังชี้ให้ดูใบเสมาที่เป็นเครื่องชี้อาณาเขตของวัด แล้ว
อธิบายว่าสิ่งที่สำ�คัญไม่ใช่ใบเสมา แต่เป็นสิ่งที่ฝังอยู่ข้างล่าง คือลูก
นิมติ ใบเสมาเป็นเพียงลูกศรทีช่ บี้ อกว่ามีลกู นิมติ อยูต่ รงนี้ เนือ่ งจาก
คนโบราณถือว่ากษัตริย์เป็น ผู้ปกครองที่ดินทั้งหมด (‘อาณาจักร’)
การจะสร้างวัดจึงต้องขอพระบรมราชานุญาตให้พระราชทานที่ดิน
บางส่วนมาทำ�เป็น ‘พุทธจักร’ ดังนัน้ จึงมีพธิ เี รียกว่า “ทักเสมา” เพือ่
ขานอาณาเขตของวัด ทำ�ด้วยการเดินตามเข็มนาฬิกาไปทางทิศ
ตะวันออกจากลูกนิมติ ลูกแรก วัดสมัยอยุธยานิยมใช้ลกู นิมติ ทัง้ หมด
8 ลูก ฝังประจำ�ทิศทัง้ 8 ส่วนการใช้ลกู นิมติ ลูกที่ 9 (ปกติฝงั บริเวณ
ที่จะประดิษฐานพระประธาน) และการปิดทองลูกนิมิตนั้น เป็น
ธรรมเนียมสมัยใหม่ทั้งคู่
19
ลายปูนปั้นภาพทศชาติ ผนังพระวิหารด้านหน้า วัดไลย์
อาจารย์อธิบายว่า วัดไลย์เป็นวัดสมัยอยุธยาที่มีชื่อเสียงมาก
ในเรื่องลายปูนปั้นตกแต่งพระวิหารที่มีความสวยงามและสมบูรณ์
มากที่สุดแห่งหนึ่งที่ยังเหลือมาให้เราเห็น และเป็นที่ประดิษฐานรูป
พระศรีอาริย์ซึ่งชาวบ้านแถบลพบุรีและสิงห์บุรีนับถือมาก
ผนังด้านหน้าพระวิหารมีลายปูนปั้นละเอียดงดงามสมคำ�
ร่ำ�ลือ เป็นลายทศชาติที่จัดองค์ประกอบภาพอย่างชาญฉลาดให้
แต่ละพระชาติอยูภ่ ายในกรอบสีเ่ หลีย่ มจัตรุ สั ทัง้ หมด 10 ภาพ ด้าน
ละ 5 ภาพ แต่ละกรอบกว้างน้อยกว่าสองไม้บรรทัด แปลว่าศิลปิน
ต้องเลือกเฟ้น ‘ฉากเด่น’ เพียง 1-2 ฉากจากทศชาติแต่ละเรื่องที่
20
ไม่มีในเรื่องอื่น เพื่อให้คนดูมองออกว่าแต่ละกรอบเล่าเรื่องอะไร
เช่ น กรอบเรื่ อ งพระเวสสั น ดรเล่ า ตอนที่ บุ ต รสองคนของพระ
เวสสันดรซ่อนตัวอยูใ่ นสระบัว ใครก็ตามทีเ่ คยอ่านทศชาติจะดูออก
ทันที
วัดไลย์หนีไม่พ้นเงื้อมมือของมารศาสนา เช่นเดียวกับวัด
โบราณอื่นๆ ในประเทศ ส่วนหัว ลำ�ตัว หรืออวัยวะอื่นๆ ของลาย
ปูนปัน้ หลายแห่งเห็นได้ชดั ว่าถูกคนกะเทาะออกไป ไม่ได้เสือ่ มสภาพ
ลงเองตามกาลเวลา อาจารย์บอกว่าหัวขโมยพวกนี้ขยันมาก ลาย
ปูนปัน้ พวกนีบ้ างทีเห็นอยูต่ �ำ ตา พอพานักศึกษามาอีกไม่ถงึ 3 เดือน
กลับหายไปแล้วเรียบร้อย
เทวดามีหนวด ได้รับอิทธิพลจากศิลปะทวารวดี
เทวดา/นางฟ้าใส่กระโปรงมีระบาย ถือร่ม และลาย
‘เซี่ยวกาง’ (ลายค้างคาวตามมุมกรอบสี่เหลี่ยม)
ได้จากจีน
ลวดลาย สัญลักษณ์ต่างๆ ได้จากอินเดีย
23
การใช้นกยูงเป็นสัญลักษณ์แทนพระอาทิตย์ และ
กระต่ายเป็นสัญลักษณ์แทนพระจันทร์ ได้จากพม่า
ลวดลายเรขาคณิต เช่นลายไขว้สาน ได้จากแขกมัวร์
(เปอร์เซีย)
การผสมผสานศิลปะจากนานาประเทศอย่างกลมกลืนในลาย
ปูนปั้นวัดไลย์ เป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่ยืนยันชัดเจนว่า ‘การผสม
ปนเปทางวัฒนธรรม’ นัน้ เกิดขึน้ มานานแล้วและจะเกิดขึน้ อีกตลอด
ไป ในทุกหนแห่งที่วัฒนธรรมต่างถิ่นได้มีโอกาสมาพบปะสังสรรค์
กัน
มีแต่คนใจคับแคบหวงอำ�นาจเช่นชนชัน้ ปกครองบางคนเท่านัน้
ที่มองเห็นแต่อันตรายของการคบค้าสมาคมกับชาวต่างด้าว ศิลปิน
“รู้จัก” กันผ่านงานศิลปะมาช้านานแล้ว
24
พระประธานและพระศรีอาริย์ในพระวิหารมีความสง่างาม
พระพักตร์แลดูอ่อนโยนคล้ายคลึงกัน รัศมีรูปเปลวไฟที่รายล้อม
พระประธานช่วยขับเน้นให้พระพุทธรูปดูงดงามมากขึน้ อ่านคูม่ อื ที่
เจ้าหน้าทีศ่ นู ย์ฯ แจกก่อนขึน้ รถก็ได้ความเพิม่ เติมว่า คนโบราณสมัย
พระนารายณ์ นิ ย มทำ � พระพุ ท ธรู ป ปางสมาธิ พระพั ก ตร์ รู ป ไข่
พระโมลี (จุกผม) รูปชามคว่ำ� ขมวดพระเกศาเล็กเรียงกันเป็น
ระเบี ย บ ต่ า งจากพระพุ ท ธรู ป หน้ า แป้ น ยิ้ ม เป็ น เรี ย วโค้ ง สมั ย
รัตนโกสินทร์
25
พระนารายณ์ราชนิเวศน์์
ทันทีที่เราเข้าเขตวังพระนารายณ์ ซึ่งรัชกาล
ที่ 4 ทรงขนานนามให้ใหม่ว่า “พระนารายณ์ราชนิเวศน์” ผู้เขียนก็
สะดุดตาทันทีกับต้นจามจุรีต้นใหญ่และสวยที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา
แผ่กิ่งก้านกว้างใหญ่ไพศาล ให้ร่มเงาปกคลุมพื้นหญ้าตรงข้ามกับ
ลานจอดรถนักท่องเที่ยว และสำ�นักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีคุณลุงแก่ๆ
นั่งทำ�หน้าเบื่ออยู่ข้างใน คอยเก็บค่าเข้าชมจากนักท่องเที่ยว ใน
สนนราคาเพียง 10 บาทสำ�หรับคนไทย และ 30 บาทสำ�หรับชาว
ต่างชาติเท่านั้น
ต้นจามจุรีสวยที่สุดเท่าที่เคยเห็น ในบริเวณวัง
27
พระราชวังทีพ่ ระนารายณ์ทรงรักและโปรดปราน ถือเป็น ‘บ้าน’
แท้ๆ ของพระองค์มากกว่าวังหลวงในอยุธยาที่ไว้ใจใครไม่ได้ ที่พึ่ง
ทัง้ ทางกายและใจทีพ่ ระองค์ทรงโปรดฯ ให้สร้างขึน้ ในปี พ.ศ. 2209
หลังจากขึ้นครองราชย์ได้ 10 ปี ปัจจุบันนี้เหลือเพียงแต่ซากปรัก
หักพัง อย่าว่าแต่หลังคาเลย กำ�แพงของอาคารส่วนใหญ่ก็ยังเหลือ
ไม่ครบทั้งสี่ด้าน
สิ่งเดียวที่ยังดูมีชีวิตชีวาในเขตพระราชฐานคือต้นจามจุรี และ
ต้นไม้ใหญ่อีกหลายชนิด ซึ่งล้วนแล้วแต่ใหญ่โตมโหฬาร ขนาดของ
มันทำ�ให้คิดว่าหลายต้นน่าจะอยู่มาตั้งแต่สมัยพระราชวังแห่งนี้เริ่ม
สร้างเสร็จใหม่ๆ ซึง่ เท่ากับว่าเป็นพยานแห่งความยิง่ ใหญ่และเสือ่ ม
สลายของพระราชวังแห่งนี้ เพียงปากเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่สืบมา
จนปัจจุบัน
28
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ดูเหมือนชาวกรุงจำ�นวนมากขึ้นเรื่อยๆ จะ
เลือกปลูกบ้านใหญ่โตจนเต็มพื้นที่ ผนังบ้านห่างจากรั้วไม่ถึงเมตร
แทบไม่เหลือที่ให้ปลูกต้นไม้หรือสนามหญ้าเล็กๆ หน้าบ้าน พืชผัก
สวนครัวยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ทางเดินและประตูวัง
ถ้าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำ�ให้สมจริง ก็ต้องใช้ภาษาโปรตุเกส
กับภาษามลายูเป็นหลัก เพราะนั่นคือสอง ‘ภาษาราชการ’ ประจำ�
ราชสำ�นักของพระนารายณ์
อาจารย์ชี้ให้ดูประตูวังด้านที่ติดถนน บอกว่าหลักในการสร้าง
คือต้องกว้างพอให้ชา้ งหนึง่ เชือกเดินผ่านได้ เพราะโรงช้างอยูข่ า้ งใน
เขตพระราชฐาน ติดกับประตูทางเข้าพระราชฐานชั้นในซึ่งแคบกว่า
กันมาก (เพราะไม่ต้องการให้ช้างผ่านเข้าไปได้)
ยอดแหลมโค้งของประตูวังและช่องหน้าต่างของอาคาร (ที่
ภาษาอังกฤษเรียกว่า pointed arc) แสดงอิทธิพลของแขกมัวร์ชาว
มุสลิมอย่างชัดเจน ไม่ใช่สไตล์บาร็อค (Baroque) ของฝรั่งเศสใน
ยุคนั้น ช่องหน้าต่างในแต่ละอาคารนั้นเป็นยอดแหลมแต่ภายนอก
เท่านั้น กรอบหน้าต่างในตัวอาคารยังเป็นทรงสี่เหลี่ยมอยู่ เพื่อให้
ช่างใส่บานกระจกสี่เหลี่ยมเข้าไปได้
ทางเดินติดประตูปูอิฐเรียงสลับกันเป็นฟันปลา ฝังเอาสันอิฐ
ขึ้นข้างบนแทนที่จะเอาด้านแบนขึ้นตามปกติ อาจารย์บอกว่านี่ก็
เป็นการปูพนื้ แบบแขกมัวร์เช่นกัน ปูแบบนีท้ �ำ ให้พนื้ มีความทนทาน
มากกว่าเอาด้านแบนขึ้น สามารถรับน้ำ�หนักช้างได้ ทางเดินอิฐนี้
หลายส่วนเห็นชัดว่าเป็นของใหม่ที่กรมศิลปากรมาบูรณะ แต่ของ
เดิมก็พอมีให้เห็นอยู่บ้าง
31
ผูเ้ ขียนนึกชมรสนิยมของพระนารายณ์อยูใ่ นใจ แบบมีอคติเล็ก
น้อยเพราะตัวเองก็ชอบสถาปัตยกรรมแบบมุสลิมมากกว่าแบบยุโรป
ตะวันตกหลายเท่า (ถ้าใครนึกไม่ออกว่าสถาปัตยกรรมแบบมุสลิม
ที่ไม่ใช่สุเหร่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร ลองนึกภาพทัชมาฮาล สิ่งปลูก
สร้างสไตล์มุสลิมที่โด่งดังที่สุดในโลก)
เนื่องจากอาคารทุกหลังถูกออกแบบและกำ�กับการก่อสร้าง
โดยสถาปนิกและวิศวกรชาวอิตาเลียนและฝรัง่ เศส โดยใช้ ‘เทคโนโลยี’
ที่ทันสมัยที่สุดของโลกตะวันตกในขณะนั้น หลายสิ่งหลายอย่างใน
พระนารายณ์ราชนิเวศน์จึงเป็น ‘ของใหม่เอี่ยม’ ที่ไม่เคยมีในสยาม
มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นอาคารอิฐ (ก่อนหน้านั้นราชวงศ์นิยมสร้างวัง
32
ท่อส่งน้ำ�ประปาดินเผา วางโชว์หน้าอ่างเก็บน้ำ�
34
แต่ชาวสยามไม่สู้จะนิยมบริโภคปลาสดกันนัก นี่ลาลูแบร์ว่า
อย่างนั้น ในเมื่อไม่นิยมบริโภคปลาสดก็มักจะเอาปลาเนี่ยมาทำ�
ปลาแห้งทำ�ปลาเค็ม ลาลูแบร์กบ็ อกว่าชาวสยามนัน้ หมักเค็มไม่คอ่ ย
จะเป็น ...และก็ชอบปลาแห้ง ชอบกินปลาแห้งยิ่งกว่าปลาสดๆ
แม้กระทั่ง “ปลาเน่า” อันนี้พูดเสียหายเลย ปลาเน่าที่จริงก็คือ
“ปลาร้า” หลายคนคิดว่าปลาร้าเป็นอาหารของทางประเทศลาว
ที่จริงไม่ใช่ ปลาร้าเนี่ยเป็นอาหารของคนไทยแท้ๆ เลย
ครั้นปลาเน่าและค่อนข้างจะเป็นน้ำ�แล้ว น้ำ�ปลาเน่าหรือ
ปลาร้านี้จะนูนฟอดขึ้น และก็ยุบลงตรงกับเวลาที่ระดับกระแสน้ำ�
ทะเลขึน้ -ลง เออ! นัง่ ดูดว้ ย …เพือ่ นของลาลูแบร์คนหนึง่ ชือ่ เมอสิเยอ
แวงซัง ได้ให้ปลาร้าแก่ลาลูแบร์เนี่ย 1 ไห เมื่อกลับมาถึงประเทศ
ฝรัง่ เศส ของทีร่ ะลึกนีน้ า่ รักมากเลย กลับจากอยุธยาไปฝรัง่ เศสเนีย่ !
สิ่งที่ให้กันเป็นที่ระลึกก็คือปลาร้า 1 ไห แล้วมิหนำ�ซ้ำ� เมอสิเยอ
แวงซัง ยังยืนยันกับลาลูแบร์ดว้ ยว่า การทีน่ �้ำ ปลาร้าในไหขึน้ -ลงตาม
35
น้ำ�ทะเลได้นั้นเป็นความจริง โอ้โฮ! ไม่ใช่กินอย่างเดียว นั่งดูน้ำ�ปลา
ร้าในไหด้วย แปลว่ามีความรักมาก รักปลาร้าเหลือเกิน
ลาลูแบร์ยังบอกว่า ชาวสยามไม่ค่อยชอบบริโภคเนื้อสัตว์และ
ไม่มโี รงฆ่าสัตว์ ฟังดีๆ นะครับ ชาวสยามแต่กอ่ นนีไ้ ม่คอ่ ยเป็นมะเร็ง
นะท่านนะ เพราะไม่ค่อยบริโภคอาหารเนื้อ ลาลูแบร์บอกว่าชาว
สยามไม่คอ่ ยนิยมบริโภคเนือ้ สัตว์แม้จะมีผนู้ �ำ มาให แ้ ต่ถา้ จะบริโภค
บ้างก็พอใจจะบริโภคแต่ลำ�ไส้และเครื่องในทั้งหลาย ซึ่งเป็นของที่
พวกทางฝรั่งเศสเค้าไม่บริโภคกัน ไม่ชอบ แต่ชาวสยามชอบ และ
บอกว่าในตลาดของอยุธยาจะมีตัวแมลงต่างๆ ปิ้งบ้าง ย่างบ้างวาง
ขายแต่ไม่เห็นมีร้านไหนขายเนื้อย่าง และก็ไม่มีโรงฆ่าสัตว์สักแห่ง
และบอกว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดพระราชทานเป็ดไก่
และอืน่ ๆ ทีย่ งั เป็นๆ ให้พวกเรา ให้พวกฝรัง่ เศสทีม่ าอยู่ พระราชทาน
ให้เลยเป็นภาระของพวกเรา ที่จะต้องเชือดคอทำ�อาหารบริโภค
กันเอง
36
เป็นเรื่องน่าคิดไม่น้อยที่สถานภาพของปลาร้า ‘อาหารชาววัง’
สมัยอยุธยา จะตกต่ำ�จนกลายเป็น ‘อาหารบ้านนอก’ ในสายตาของ
คนกรุงส่วนใหญ่ในปัจจุบันไปได้
ไม่ว่าจะเป็นของฝากมีระดับสำ�หรับทูตฝรั่ง หรือกับข้าวยาม
ยากสำ�หรับคนจน ปลาร้าก็ยังคงรสชาติความอร่อยแบบเค็มปร่า
เช่นเดิม ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปกี่พันกี่ร้อยปี
รัฐบาลปัจจุบนั น่าจะจ้างนักออกแบบหรือศิลปินคอมพิวเตอร์
สร้างแบบจำ�ลองของพระราชวังแห่งนีเ้ ป็นโมเดล 3 มิติ ให้คนเข้าไป
เยือนได้ในโลกเสมือนจริง เผยแพร่โมเดลนี้ทางอินเทอร์เน็ตให้คน
ดาวน์โหลดไปดูฟรีๆ อาจจะช่วยกระตุ้นจิตสำ�นึกของการอนุรักษ์
โบราณสถานขึ้นมาได้บ้าง
เพราะตราบใดคนไทยยังไม่สนใจมาเยือน รัฐบาลก็คงไม่มแี รง
จูงใจหรือแรงกดดันใดๆ ให้ดูแลรักษาอย่างจริงจัง โบราณสถานอัน
ล้ำ�ค่าแห่งนี้ก็รังแต่จะทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ตามกาลเวลา
เพราะประวัติศาสตร์ที่ทาบทออยู่บนซากปรักหักพังที่แลดู
ไร้ชวี ติ ไม่มวี นั ‘มีชวี ติ ’ ขึน้ มาหรือมีความสำ�คัญต่อนักท่องเทีย่ วชาว
ต่างชาติ ได้เท่ากับชนพืน้ เมืองผูซ้ งึ่ ประวัตศิ าสตร์นนั้ ไหลเวียนอยูใ่ น
เส้นเลือด แต่หลายคนไม่เคยล่วงรูเ้ พราะไม่เคยสนใจ และเมือ่ ไม่เคย
สนใจ ก็ได้แต่ฉงนใจแต่ไม่เคยค้นหาคำ�ตอบที่แท้จริงว่า เหตุใด
ประวัติศาสตร์จึงซ้ำ�รอยอยู่เสมอ และเราจะหาทางป้องกันไม่ให้
38
กงล้อประวัติศาสตร์หมุนวนมาย่ำ�ยีผู้ด้อยโอกาสในสังคมซ้ำ�แล้ว
ซ้ำ�เล่าได้อย่างไร
สิบสองท้องพระคลัง
ถัดจากตึกรับรองแขกเมือง คือกลุ่มอาคารสิบสองหลังที่เรียง
กันเป็นสองแถว แถวละหกหลัง สองข้างทางเดินไปจนสุดเขตพระ
ราชฐานชัน้ นอก ตึกเหล่านีเ้ อาไว้เก็บทรัพย์สมบัตขิ องพระนารายณ์
มีชื่อเรียกตามประเภทของสมบัติ เช่น พระคลังสวน เอาไว้เก็บ
ผลผลิตจากสวนต่างๆ เช่น มะพร้าว มะม่วง ฯลฯ ของบางส่วนคง
กันไว้เป็นสินค้าทีล่ �ำ เลียงลงเรือเพือ่ ไปค้าขายกับประเทศอืน่ ๆ และ
อีกบางส่วนก็กันไว้เลี้ยงรับรองแขกเมือง
39
สิบสองท้องพระคลังตอนนีด้ เู ล็กกระจ้อยร่อยเมือ่ เทียบกับศูนย์
กระจายสินค้าของเซเว่นอีเลฟเว่น ใช้คอนเทนเนอร์ตู้เดียวก็ใส่ของ
ในตึกเหล่านี้ได้ทั้งหมด
ทางระหว่างพระราชฐานชั้นนอกกับชั้นในเป็นทางลาดขึ้นลง
คล้ายคลื่นยามทะเลสงบ แทนที่จะเป็นทางเรียบๆ อาจารย์อธิบาย
ว่าสถาปนิกจงใจออกแบบทางให้ลาดแบบนี้เพื่อทุ่นแรงคนหาม
เสลีย่ ง เพราะขาลงจะหามได้เร็วกว่าขาขึน้ พร้อมกันนัน้ ก็เป็นเทคนิค
ในการออกแบบด้วย เพราะทางลาดทำ�ให้ทางเดินดู ‘ลึก’ กว่าความ
เป็นจริง
ในร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ริม
กำ�แพง มีอาคารตึกอีกหลัง
หนึ่งแอบอยู่ ตึกนี้มีชื่อว่า
“ตึกพระเจ้าเหา” มิชชันนารี
ชาวฝรัง่ เศสบันทึกไว้วา่ เป็น
หอพระประจำ�พระราชวัง
ตึกนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปชื่อ พระเจ้าหาว (หาวที่แปลว่า
ท้องฟ้า) แต่คนเรียกเพี้ยนจนกลายเป็น ‘พระเจ้าเหา’
40
สามารถตอบเขาว่า “โอ้โห อยู่มากว่า 340 ปีแล้วหรือ” อย่างมั่นใจ
ถ้าไม่กลัวอีกฝ่ายหนึ่งคิดว่าท่านแกล้งกวนอวัยวะเบื้องล่างเล่นๆ
โรงช้างหลวงข้างประตูทางเข้าเขตพระราชฐานชั้นกลาง
เมื่อพาดูเขตพระราชฐานชั้นนอกจนทั่วแล้ว อาจารย์ก็พาเรา
เดินเข้าเขตพระราชฐานชั้นกลาง ผ่านโรงช้างหลวงและประตูที่ช้าง
เข้าไม่ได้ ตรงดิ่งเข้าไปยังพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท
‘ท้องพระโรง’ ประจำ�พระราชวัง สถานที่ซึ่งพระนารายณ์ทรงเสด็จ
ออกให้คนเข้าเฝ้า ตรงกลางท้องพระโรงมี ‘สีหบัญชร’ สำ�หรับทรงมี
พระราชปฏิสันถารกับผู้เข้าเฝ้า ยกสูงจากพื้นหลายเมตร ตอนนี้ยัง
พอเห็นเป็นโครงหน้าต่างอยู่ เมื่อเราปีนขึ้นไปชะโงกหน้าดูข้างใน ก็
พบแต่ซากอิฐก่อเป็นชัน้ ๆ เหมือนปิระมิด นึกภาพไม่ออกว่าตรงไหน
เป็นบันไดให้พระนารายณ์ เดิ นไปตรงหน้าต่าง เพราะไม่ เห็นมี
สะพานเชื่อม ถ้ามีก็คงจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ถูกคนขโมยหรือไม่ก็
ผุพังไปหมดแล้ว
จากพระที่นั่งดุสิตฯ อาจารย์พาเราเดินเลี้ยวซ้ายเข้าไปในเขต
พระราชฐานชัน้ ใน บรรยากาศร่มรืน่ กว่าข้างนอกมาก เพราะบริเวณนี้
เป็นทีป่ ระทับส่วนพระองค์ของพระนารายณ์ อากาศเย็นสบายเพราะ
จงใจสร้างวังนี้ตรงช่องลมพอดี แสดงภูมิปัญญาของคนโบราณอีก
ตัวอย่างหนึ่ง
หลังจากครองราชย์นาน 32 ปี สิริรวมพระชนมายุได้ 56
พรรษา พระนารายณ์ก็ทรงเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งองค์นี้ เมื่อ
วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231 ด้วยสาเหตุไม่แน่ชัดซึ่งยังเป็นที่
ถกเถียงกันในหมู่นักประวัติศาสตร์ ว่าสวรรคตด้วยอาการประชวร
หรือถูกปลงพระชนม์โดยคณะรัฐประหารทีน่ �ำ โดยออกพระเพทราชา
ที่ยึดอำ�นาจได้สำ�เร็จในเดือนก่อนหน้า อาจารย์ชี้ให้ดูบริเวณที่พระ
ปีย์ โอรสบุญธรรมทีพ่ ระนารายณ์ทรงรักมาก ถูกทหารของพระเพท
ราชาลอบสังหาร และบริเวณทีค่ อนสแตนติน ฟอลคอน ถูกซุม่ โจมตี
ก่อนจะนำ�ตัวไปประหารชีวติ บุคคลใกล้ชดิ พระนารายณ์ทงั้ สองคน
นี้ตายภายในเวลาไล่เลี่ยกัน
พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ จุดที่พระปีย์ถูกปลงพระชนม์โดยออกพระเพทราชา
สำ � หรั บ สาเหตุ แ ละปั จ จั ย แห่ ง ความสำ � เร็ จ ของการทำ � รั ฐ
ประหารในครัง้ นัน้ ผูเ้ ขียนจะเก็บไว้เล่าตอนพวกเราไปเยือนบ้านของ
คอนสแตนติน ฟอลคอน ในช่วงบ่าย เพราะชีวติ ของขุนนางชาวกรีก
ผู้นี้เกี่ยวพันกับเหตุการณ์บ้านเมืองในสมัยนั้นอย่างลึกซึ้ง
ปัจจุบันพระที่นั่งสุทธาสวรรย์แทบไม่เหลือเค้าความอลังการ
ให้เห็น มีเพียงซากผนังเตี้ยๆ หญ้าขึ้นรกรุงรัง เห็นชัดว่าแทบไม่ได้
รับการเหลียวแลจากทางการ อาจารย์บอกว่าอาคารหลังนี้ไม่ได้
เสื่อมโทรมเร็วกว่าหลังอื่น แต่เป็นเพราะศิลาแลงของพระที่นั่ง
จำ�นวนมากถูกรื้อไปสร้างวัดสระเกศ และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1
ต้นรัตนโกสินทร์ มีใบบอกไปตามหัวเมืองต่างๆ ให้รื้อและลำ�เลียง
อิฐตามแม่น้ำ�ลงไปยังกรุงเทพฯ เพื่อใช้สร้างวัดภูเขาทอง ยังดีที่
พระราชวังนี้ไม่ได้อยู่ติดแม่น้ำ� ไม่อย่างนั้นคงเหลือซากให้เราดูน้อย
กว่านี้อีก
ก่อนรถจะแล่นออก ผู้เขียนเหลียวมองไปยังประตูวังเป็นครั้ง
สุดท้าย นึกถึงกลอนสองบทจาก นิราศภูเขาทอง ของท่านสุนทรภู่
ขึ้นมาจับใจ…
ทั้งองค์ฐานราญร้าวถึงเก้าแสก
เผลอแยกยอดสุดก็หลุดหัก
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก
เสียดายนักนึกน่าน้ำ�ตากระเด็น
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ
จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น
คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้น
กว่าเราจะออกจากพระนารายณ์ราชนิเวศน์ก็เลยเที่ยงวันไป
แล้วครึง่ ค่อนชัว่ โมง ทุกคนจึงตัง้ หน้าตัง้ ตารอโปรแกรมถัดไป คือแวะ
รับประทานอาหารเที่ยงกันอย่างใจจดใจจ่อ ร้านที่เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ
พาไปชื่อร้านมัดหมี่ ร้านอาหารพื้นเมืองมีชื่อของที่นี่ จานที่ผู้เขียน
ประทับใจทีส่ ดุ คือ ‘ปลาส้มฟัก’ (ส้ม แปลว่า เปรีย้ ว) เสิรฟ์ มาในจาน
เป็นแท่งๆ เหมือนหมูยอ แต่รสชาติดกี ว่า ปลาส้มฟักถือเป็น ‘ของดี’
ของเมืองลพบุรี ทำ�จากปลาตะเพียนหมักเกลือ กระเทียมบด และ
ข้าวสุก หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็น “แหนมปลา” นั่นเอง เป็นของฝาก
น่าซื้อติดมือกลับบ้าน
ระหว่างทานอาหารอร่อยๆ ผู้เขียนก็นั่งทบทวนความจำ� จด
บันทึกเกร็ดความรู้ที่อาจารย์ปรีดีเล่าให้ฟังตอนพาชมพิพิธภัณฑ์
สมเด็จพระนารายณ์ไปพลางๆ เพราะอาจารย์เล่าเรื่องสนุกมาก
ทำ�ให้นทิ รรศการในพิพธิ ภัณฑ์ดนู า่ เบือ่ น้อยกว่าความเป็นจริง เพราะ
นอกจากจะจัดแสดงของไม่ดีแล้ว ของหลายชิ้นก็ยังไม่มีป้ายบอก
แถมป้ายส่วนใหญ่ก็ไม่มีภาษาอังกฤษกำ�กับด้วย ไม่คิดถึงแขกชาว
ต่างชาติเสียเลย
47
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบางประการเกี่ยวกับของแสดง
ที่อาจารย์เล่าให้ฟัง:
ตูพ้ ระธรรมลายเทวดาหน้าฝรัง่ เป็นหลักฐานอีกชิน้ หนึง่ ทีแ่ สดง
ว่าการผสมปนเปทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นมาช้านานแล้ว ที่เรารู้ว่า
เทวดาองค์นเี้ ป็นฝรัง่ ก็เพราะถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าผมเป็นหลอดๆ
เหมือนชาวยุโรปที่นิยมใส่วิกในสมัยนั้น
‘ตุ๊กตาเจ้าพราหมณ์’ เป็นของเล่นเด็กสมัยโบราณทำ�จาก
ดินเผา ส่วนใหญ่ปั้นเป็นเด็กผมจุกหน้าตาจิ้มลิ้ม ตอนนี้หลายตัวที่
พบเหลือแต่หัว เพราะตัวของตุ๊กตาชนิดนี้จะบอบบางมาก จึง
แตกหักและหายง่าย พวกนี้ไม่น่าจะเป็น ‘ตุ๊กตาเสียกบาล’ เพราะ
ชื่อของตุ๊กตาเสียกบาลก็บอกอยู่แล้วว่าตั้งใจทำ�ให้เสียกบาล ฉะนั้น
ตุก๊ ตาเสียกบาลทีต่ กทอดมาถึงรุน่ เราส่วนใหญ่จะเหลือแต่ตวั ไม่มีหัว
พู ด ถึ ง ตุ๊ ก ตาเสี ย กบาลก็ มี เ รื่ อ ง
สนุกๆ อีกเหมือนกัน เพราะตุก๊ ตา
นี้ ไ ม่ ใ ช่ ข องเล่ น เด็ ก หากเป็ น
‘เครื่ อ งเซ่ น ผี ’ ที่ สำ � คั ญ ในสมั ย
โบราณ ข้อมูลจากเว็บไซตศูนย์
บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำ�เภอบ้านแพรก (ที่
ตั้งของพิพิธภัณฑ์บ้านแพรก อีกหนึ่ง ‘พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน’ คุณภาพ
ของไทย) อธิบายว่า “จากหลักฐานพออ้างอิงได้ว่า ตุ๊กตาเสียกบาล
เริม่ ทำ�กันตัง้ แต่สมัยทวาราวดี สร้างขึน้ ตามความเชือ่ เรือ่ งผีเกีย่ วกับ
ประเพณีการเกิด บ้านใดมีเด็กเกิดใหม่ มักนิยมปั้นตุ๊กตาตามเพศ
ของเด็กที่เกิดขึ้น มองเห็นอวัยวะเพศเด่นชัด นำ�ไปทำ�พิธีกรรมทาง
ไสยศาสตร์ เรียกว่า การเสียกบาล เช่น ตัดแขน ตัดขา ตัดคอ หรือ
ปาดหน้าตุ๊กตาตัวนั้น แล้วนำ�เครื่องเซ่น ผีกับตุ๊กตาใส่กระบะหรือ
ภาชนะ นำ�ไปวางไว้ที่ทางสามแพร่ง หรือนำ�ไปลอยน้ำ� เป็นการตั้ง
ตุ๊กตาแทนตัวเด็กที่เกิด ผีเห็นแล้วถือว่าน่าเกลียด ผีจะได้ไม่มาเอา
ชีวิตเด็กที่เกิดใหม่ ถือว่าตุ๊กตาตายแทนเด็ก”
กริชที่พวกแขกมัวร์ใช้ในกบฏมักกะสัน อาจารย์บอกว่าการ
แปลงกริชนีใ้ ห้เป็นกริชอาบยาพิษทำ�ได้งา่ ยมาก แค่เอาไปครูดกับกิง่
ยี่โถเท่านั้น
เบี้ยที่ใช้เป็นเงินในสมัยโบราณ สั่งนำ�เข้าจากหมู่เกาะมัลดีฟส์
มาประทับตรา เพราะถ้าใช้หอยเบี้ยแบบที่หาได้ทั่วไปในประเทศมี
หวังเงินเฟ้อพุ่งกระฉูดจนเงินไร้ค่า เพราะใครๆ ก็ไปเก็บหอยตาม
ชายหาดมาปลอมใช้เป็นเงินได้
พิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์ วัดเชิงท่า
เมื่ อ อิ่ ม ท้ อ งกั น ดี แ ล้ ว จุดหมายต่อไปของเราคือ
พิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์ วัดเชิงท่า หนึ่งใน ‘พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น’ ที่
ดีที่สุดในประเทศ บริหารจัดการโดยวัดและชุมชน เปิดทุกวันตั้งแต่
8.30 – 16.30 น. โดยไม่เก็บค่าเข้าชม ประวัติของพิพิธภัณฑ์ใน
ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของศูนย์ฯ ระบุว่า พิพิธภัณฑ์แห่งนี้
“...ก่อตั้งขึ้นในปี 2540 โดยพระครูโสภณธรรมรัต เจ้าอาวาสวัดเชิง
ท่า เพือ่ ใช้เป็นสถานทีร่ วบรวมและจัดแสดงโบราณวัตถุทที่ รงคุณค่า
ทางศาสนา ศิลปกรรม ประวัติศาสตร์ อันเป็นสมบัติเก่าแก่ของวัด
และของส่วนตัวของท่านพระครูโสภณธรรมรัต
54
พระรัตนตรัยคงจะไม่ครบองค์สามหากไม่กล่าวถึง พระพุทธ
มหาเวสสันดรชาดกซึ่งเป็นพระชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ ก่อน
จะเสวยพระชาติถัดมาเป็นพระพุทธเจ้า ถูกเรียบเรียงผ่านภาพ
พระบฏ 13 ผืน อันหมายถึงกัณฑ์ทงั้ 13 ในการเทศน์มหาชาติ เรือ่ ง
ราวนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเนื้อหาในส่วนสุดท้ายของการจัดแสดง ซึ่ง
อยูบ่ นชัน้ ลอยในตัวอาคาร จากนัน้ เป็นการจัดแสดงพระพุทธรูปทีม่ ี
รูปแบบศิลปกรรมแตกต่างกันไป พระพุทธรูปปางสมาธินาคปรก
อิทธิพลศิลปะเขมรแบบบายน อายุราว พ.ศ. 1750-1800 พระพุทธ-
รูปปางมารวิชัย ศิลปะแบบอยุธยาตอนปลาย อายุราว พ.ศ. 2200-
2300 เป็นต้น
พิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์แห่งนี้สร้างสรรค์ให้วัตถุที่จัดแสดง
มิใช่เพียง “ศิลปวัตถุ” ที่เดินเรื่องด้วยยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
ศิลปะ หรือพยายามกลายสภาพศาสนวัตถุให้เป็น
ประติมากรรม หรือสิ่งของที่สร้างความตื่นตา
ตื่นใจหากแต่เป็นการนำ�แก่นวิถีของชาวพุทธ
มาผูกโยงเป็นเรื่องราวให้เกิดปัญญาญาณแก่
ผู้เข้าชม ความลงตัวระหว่างโบราณวัตถุและ
เนื้อหาที่นำ�เสนอเช่นนี้คงทำ�ให้ใครหลายๆ คน
อยากย้อนกลับมาชมพิพิธภัณฑ์วัดกันอีกครั้ง
พิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าถึงชีวิตของวัดและพุทธ
ศาสนา”
พระพุทธรูป พิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์
55
‘พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น’ ที่ ‘มือสมัครเล่น’ ในวัดและชุมชนช่วยกัน
ดูแลแห่งนี้ ทำ�ได้ดีกว่าพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระนารายณ์ที่บริหาร
จัดการโดยผู้ดูแล ‘มืออาชีพ’ หลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นในด้านการ
จัดวาง การจัดแสง หรือการจัดหมวดหมู่ ของแทบทุกชิน้ มีปา้ ยบอก
ชือ่ ทัง้ ภาษาไทยและอังกฤษ ทัง้ หมดประกอบกันขึน้ เป็นบรรยากาศ
ที่รู้สึกได้ถึง ‘ความรัก’ ของผู้จัดทำ�ทุกฝ่าย
ในชีวิตของคนสมัยใหม่ซึ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ในที่ทำ�งาน การได้
ทำ�งานที่ใจรักจริงๆ ไม่ใช่เพราะอยากได้เงินเป็นจุดมุ่งหมายหลัก
(หรือในภาษาพุทธคือ งานทีท่ �ำ ด้วยฉันทะ ไม่ใช่ตณ ั หา) และทำ�งาน
นัน้ ด้วยสติและสมาธิ อาจเป็นวิธี ‘ปฏิบตั ธิ รรม’ ทีเ่ ป็นไปได้มากทีส่ ดุ
ในโลกปัจจุบัน ดังคำ�สอนของท่านพุทธทาสภิกขุที่ว่า “การทำ�งาน
คือการปฏิบัติธรรม”
56
เครื่ อ งอบ เป็ น ตั ว อย่ า งหนึ่ ง ที่ ส ะท้ อ นความประณี ต และ
ภูมปิ ญ ั ญาของคนโบราณ อาจารย์เล่าว่าเครือ่ งอบทีใ่ ช้ตอนกลางคืน
จะใส่ดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมตอนกลางคืน เช่น ดอกการเวก แล้วพอ
ถึงรุง่ สาง ก็จะเปลีย่ นเอาดอกไม้ทบี่ านตอนกลางวันมาใส่ลงไปแทน
57
บ้านหลวงรับราชทูต หรือบ้านวิชาเยนทร์
บ้านหลวงรับราชทูต
บ้านของออกญาวิชาเยนทร์หรือ คอนสแตนติน
ฟอลคอน ตั้งอยู่ในบริเวณบ้านหลวงรับราชทูต ตรงข้ามประตูทาง
เข้าพระราชวังชั้นกลางพอดี สุดถนนเล็กๆ ที่รัฐบาลไทยตั้งชื่อในปี
พ.ศ. 2526 ว่า “ถนนฝรัง่ เศส” เพือ่ เป็นเกียรติแด่ฝรัง่ เศส (แต่ฝรัง่ เศส
มี “ถนนสยาม” มาแล้วกว่า 300 ปี) สองข้างถนนปลูกต้นมะกอก
ที่ฝรั่งเศสมอบแด่รัฐบาลไทยเมื่อหลายปีก่อน
59
ไม้โบราณ 300 ปี เหนือประตูบ้าน
ทั้งบ้านพักของคณะทูตและบ้านของฟอลคอนสร้างเป็นตึก
แบบยุโรปแท้ ตามสไตล์เรอเนสซองซ์ (Renaissance) ซึ่งยังเป็นที่
นิยมในสมัยนั้น บ้านนี้ไม่มีอิทธิพลของแขกมัวร์ ไม่เหมือนกับวัง
พระนารายณ์ ซึ่งเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจ เมื่อคำ�นึงว่าแขกมัวร์เป็น
เผ่าพันธุ์ที่คนยุโรปโบราณ (และแม้กระทั่งบางคนในสมัยนี้) มองว่า
เป็น ‘ศัตรูคู่อาฆาต’ เพราะแขกมัวร์ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามทำ�
‘สงครามทางศาสนา’ (the crusades) กับฝรั่งยุโรปซึ่งเป็นชาว
60
คริสเตียนและคริสตัง ต่อเนื่องเป็นเวลานานถึง 200 ปี ระหว่าง
ปลายคริสตศตวรรษที่ 11 จนถึงปลายคริสตศตวรรษที่ 13 แต่การ
สู้รบทางศาสนานอก ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์’ (Holy Land) ที่ปะทุขึ้น
ตามสมรภูมริ ะดับหัวเมืองตามชนบทก็ยงั ดำ�เนินต่อเนือ่ งมาอีกหลาย
ร้อยปี
ใครที่ เ ชื่ อ ว่ า คริ ส ต์ ที่ เ คร่ ง ครั ด ไม่ มี วั น อยู่ ร่ ว มกั บ มุ ส ลิ ม ที่
เคร่งครัดได้ โดยเฉพาะในโลกที่ ‘บรรยากาศแห่งความหวาดระแวง’
กำ�ลังแผ่ไปทั่วโลกหลังเกิดโศกนาฏกรรม 9/11 ผู้เขียนขอแนะนำ�
ให้ไปเยือนบริเวณ Sicily ในอิตาลี และรัฐ Andalusia ทางตอนใต้
ของสเปน โดยเฉพาะเมือง Granada, Cordoba และ Seville เพราะ
เมืองเหล่านั้นเคยเป็นที่มั่นสำ�คัญในยุโรปของแขกมัวร์ และในเมือง
เหล่านั้น ความสำ�เร็จของ ‘การผสมปนเปทางวัฒนธรรม’ ระหว่าง
อาหรับและยุโรป มองเห็นอยู่ทั่วไปในรูปของโบสถ์สไตล์อาหรับ
อาหารผสมระหว่างแขกและสเปน และชาวพื้นเมืองสเปนผู้นับถือ
ศาสนาอิสลามจำ�นวนนับแสนคนที่ยังรักษาประเพณีของแขกมัวร์
เอาไว้อย่างเหนียวแน่น
โบสถ์คริสต์สไตล์ยุโรปปนไทยแห่งแรกของไทยและโลก
ถึงแม้ว่าบ้านพักทั้งสองหลังจะเป็นสไตล์ยุโรปล้วน ก็ใช่ว่า
บ้านหลวงรับราชทูตจะปราศจากหลักฐานของ ‘การผสมปนเปทาง
วัฒนธรรม’ เสียทีเดียว – ซากของโบสถ์คริสต์ตงั้ เด่นอยูก่ ลางบริเวณ
บ้าน ตามสมัยนิยมของเศรษฐียโุ รปทีช่ อบสร้างโบสถ์ในบริเวณบ้าน
โบสถ์นี้ดูเผินๆ ไม่ต่างจากโบสถ์ยุโรปทั่วไป แต่เมื่อสังเกตซุ้มประตู
หน้าต่างดีๆ ก็จะพบว่าเป็นซุม้ เรือนแก้ว ปลายเสามีลายกลีบบัวยาว
ซึ่งเป็นศิลปะแบบไทย
นับว่าอาคารหลังนี้เป็นโบสถ์คริสต์ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ
Renaissance ผสมไทย แห่งแรกของไทยและของโลก
เพื่อตอบคำ�ถามนี้ จำ�เป็นที่เราต้องหมุนเข็มนาฬิกากลับไป
300 กว่าปี ถึงยุคที่อาคารแห่งนี้ยังสว่างไสวด้วยแสงไฟยามค่ำ�คืน
รุ่งโรจน์เหมือนหน้าที่การงานของเจ้าของตึกนาม คอนสแตนติน
ฟอลคอน ที่พุ่งสู่จุดสูงสุดในราชสำ�นักสยาม ก่อนที่จะปักหัวตกสู่
ดินเหมือนผีพุ่งไต้
63
ประวัตขิ องฟอลคอนน่าสนใจสำ�หรับคนรุน่ ใหม่ เพราะสะท้อน
ให้เห็นสัจธรรมที่ว่า กงล้อประวัติศาสตร์ไม่เคยหมุนไปไหนไกล
เพราะไม่ว่า ‘ความเจริญทางวัตถุ’ ของมนุษย์จะก้าวหน้าไปเพียงใด
กิเลสหลักๆ ทีล่ อ่ ลวงให้มนุษย์ประพฤติผดิ ในธรรม ก็ยงั คงเป็นกิเลส
เดิมๆ คือเงินและอำ�นาจ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ดังที่ได้เล่าไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า พระนารายณ์ทรงยินดีที่จะ
ผูกมิตรกับฝรั่งเศส เพราะขณะนั้นกำ�ลังมองหาประชาคมต่างชาติ
ที่ไว้ใจได้มาแทนอิหร่าน (แขกมัวร์) และอังกฤษ ซึ่งความสัมพันธ์
ระหว่างสองประเทศนี้กับสยามกำ�ลังเข้าขั้นวิกฤต โดยแขกมัวร์ได้
ก่อกบฏมักกะสันในปี พ.ศ. 2229 และในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นก็เกิด
จลาจลซึ่งมีเหตุมาจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์ด้านการค้า
ขึน้ ในเมืองมะริด ซึง่ เป็นเมืองท่าด้านตะวันตกของอยุธยา อันนำ�ไปสู่
การสังหารชาวอังกฤษ 60 คนทีข่ ดั ขวางผลประโยชน์ทางการค้าของ
พระนารายณ์ และฟอลคอน หลังจากนัน้ พระนารายณ์ทรงประกาศ
ยกเมืองมะริดให้ฝรั่งเศสไปตั้ง (กล่าวคือมีเจ้าเมืองเป็นคนฝรั่งเศส
และให้กองทหารฝรั่งเศสอยู่ประจำ�ได้) เหตุการณ์นี้เป็นเหตุให้
อยุธยาอยู่ในสภาพสงครามกับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ
นายจ้างเดิมของฟอลคอน ไปจนสิ้นสุดรัชกาลพระนารายณ์
ฟอลคอนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการทำ�หน้าที่เป็น ‘ตัวเชื่อม’
สายสัมพันธ์ระหว่างราชสำ�นักสยามและฝรั่งเศส เนื่องจากเป็น
66
ประโยชน์ตอ่ ทัง้ สองฝ่าย กล่าวคือ พระนารายณ์สามารถใช้ประโยชน์
จากความเชีย่ วชาญด้านการค้าและการทูตของฟอลคอน โดยไม่ตอ้ ง
กังวลว่าจะมีกำ�ลังก่อกบฏเนื่องจากฟอลคอนเป็นพ่อค้าชาวกรีก
ไม่มีฐานอำ�นาจของตนเอง ด้านฝรั่งเศสเองก็มองว่าสามารถใช้
ฟอลคอนเป็น ‘สะพานเชื่อม’ ในการเกลี้ยกล่อมให้พระนารายณ์
ยอมเข้ารีตเป็นคริสต์ และแม้กระทั่งช่วยยึดอาณาจักรสยามหาก
สบโอกาส ฟอลคอนเองก็เหลี่ยมจัดถึงขนาดยอมเปลี่ยนศาสนา
เป็นคริสต์นกิ ายคาทอลิก เพือ่ ให้บาทหลวงฝรัง่ เศสไว้วางใจในตัวเขา
มากขึ้น
เพื่อเสริมความมั่งคั่งแห่งอำ �นาจทั้งของพระนารายณ์และ
ฟอลคอน แผนการทีจ่ ะแทรกซึมชาวฝรัง่ เศสเข้าไปคุมระบบราชการ
อย่างกว้างขวางก็ถกู เสนอให้ฝรัง่ เศส ในนามของความพยายามทีจ่ ะ
69
สถาปนาศาสนาคริสต์ในประเทศไทย เมือ่ บาทหลวงตาชารด์เดินทาง
กลับฝรั่งเศสพร้อมกับทูตเดอ โชมองต์ เขาได้ถือเอาคำ�สั่งลับของ
ฟอลคอนไปเสนอแผนการนีแ้ ก่บาทหลวงเดอ ลาแชส นัน่ ได้แก่การ
ส่งลูกผูด้ ชี าวฝรัง่ เศสสัก 60-70 คนมาเมืองไทย พร้อมทัง้ กองทหาร
ฝรั่งเศส ฟอลคอนสัญญาว่าจะช่วยให้พวกเหล่านี้ได้รับตำ�แหน่ง
มีหน้ามีตา...
70
แนวร่วม พระสงฆ์-ขุนนาง-ประชาชน
เนื่องจากฟอลคอนเป็น ผู้มีผลประโยชน์
ทางการค้าอย่างมาก และใช้ฐานะหน้าทีข่ องตนในการค้าอยูไ่ ม่นอ้ ย
เพียงใน ค.ศ. 1682 (พ.ศ. 2225) ก็มีรายงานแล้วว่าเขามีกิจการ
ค้ามากกว่าพ่อค้าทุกคนในสยามรวมกัน เหตุฉะนั้นนโยบายการค้า
ของรัฐบาลในสมัยของเขาจึงหันกลับมาสู่การผูกขาดการค้าอย่าง
เด็ดขาดโดยพระคลังหลวงอีก ...ผลของการที่[พระคลัง]ได้ผูกขาด
การค้ากับต่างประเทศโดยสิ้นเชิงนี้ คือความพินาศของการค้าใน
ประเทศสยาม พ่อค้าต่างชาติ จำ� นวนน้ อ ยลงๆ เดิ นทางมายั ง
ประเทศไทย พระเจ้าปราสาททองก็ทรงเคยใช้นโยบายนีม้ าก่อนและ
ก่อให้เกิดผลเสียแก่การค้าต่างประเทศเช่นกัน ในด้านการนำ�เข้า
รัฐบาลสมัยพระนารายณ์ภายใต้ฟอลคอนก็ใช้สทิ ธิของการเลือกซือ้
ก่อนของพระคลังสินค้า กดขี่พ่อค้าเพื่อจะทำ�ให้พระคลังได้กำ�ไร
มากๆ และยิ่งทำ�ให้พ่อค้าต่างชาติรังเกียจการค้ากับไทยมากขึ้น
...ผลแห่งความพินาศของการค้าต่างประเทศตกหนักแก่ทั้ง
ขุนนางและประชาชนกลุ่มหนึ่ง เพราะมีผลกระทบถึงการค้าภายใน
และความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของบุคคลอยู่ด้วย ...ความทรุดโทรม
ด้านการค้านี้มีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง แม้ว่าเงินตรามิใช่
เป็นเครื่องยังชีพของประชาชนในสมัยนั้น แต่ภาวะเงินฝืดที่เกิดขึ้น
น่าจะทำ�ให้ทาสราคาตกลงอย่างมาก ยิ่งกิจการค้าขายถูกจำ�กัดลง
เช่ น นี้ ความต้ อ งการใช้ ท าสยิ่ ง ลดลง ทาสเป็ น ทางออกให้ แ ก่
ประชาชนทีท่ นทุกข์ในระบบไพร่ สถาบันทาสเป็นสิง่ จำ�เป็นในระบบ
72
ไพร่ เพราะช่วยผ่อนปรนความตึงเครียดในระบบนัน้ ภาวะเศรษฐกิจ
ทีก่ ระทบถึงการขายตัวลงเป็นทาสจึงนับว่าเป็นผลร้ายแก่ประชาชน
ส่วนใหญ่ซึ่งเป็นไพร่อยู่ด้วย
นอกจากผลร้ายโดยทางอ้อมเช่นนีจ้ ะตกเป็นของประชาชนแล้ว
ฟอลคอนเองก็ยังมีส่วนทำ�ให้ความทุกข์ยากของประชาชนเพิ่มมาก
ขึ้นอีกด้วย เพื่อทำ�ให้ท้องพระคลังมั่งคั่งขึ้น เขาดำ�เนินการทุก
ประการเท่าที่จะทำ�ได้เพื่อเพิ่มความโปรดปรานของพระนารายณ์
แม้แต่เรือเล็กๆ ของชาวบ้าน ฟอลคอนก็จดั ให้ตอ้ งเสียภาษีตามด่าน
ขนอนต่างๆ ...ลาลูแบร์ตั้งข้อสังเกตว่า การเงินของประเทศถูกเรียก
เก็บเข้าท้องพระคลังหมด และจ่ายกลับไปสู่ประชาชนน้อยและช้า
มาก ซ้ำ�ยังมีวิธีหมุนเอาเงินที่จ่ายไปนั้นกลับมาสู่ท้องพระคลังเสีย
อีก ผลจากการกระทำ�เหล่านี้ทำ�ให้ฟอลคอน “เป็นคนที่ชาวสยาม
ทุกคนเกลียดชังมาก” (บันทึกของบาทหลวงเดอ ลิยอน) ในขณะ
เดียวกันการจะถวายฎีกาก็เป็นสิ่งที่ห่างไกลจากสามัญสำ�นึกของ
คนในสมัยนัน้ เนือ่ งจากมีตวั อย่างหลายครัง้ ทีข่ นุ นางได้ทลู ฟ้องร้อง
ความผิ ด ของฟอลคอน แต่ พ ระนารายณ์ ก ลั บ ลงราชทั ณ ฑ์ แ ก่
ผู้ฟ้องร้อง บางครั้งรุนแรงถึงขนาดประหารชีวิตทีละมากๆ ...แม้แต่
เมืองลพบุรที โี่ ปรดเสด็จมาประทับปีละนานเดือนนีก้ ต็ อ้ งได้รบั ความ
เดือดร้อน ...ตามปกติแล้วเมืองลพบุรกี ม็ พี ลเมืองหนาแน่น เมือ่ เสด็จ
แปรพระราชฐานเช่นนีก้ ย็ งิ่ เพิม่ จำ�นวนประชากรของเมืองขึน้ จนเป็น
ผลให้ราคาอาหารในลพบุรีแพงกว่าที่อื่น
73
นอกจากความเดือดร้อนเพราะการปกครองของพระองค์แล้ว
ยังไม่จำ�เป็นต้องกล่าวอีกด้วยว่า การเข้ามาของทหารต่างชาติและ
การเฟื่องฟูของพวกคริสเตียนจะไม่ก่อให้เกิดความเจ็บช้ำ�น้ำ�ใจแก่
ประชาชนสักเพียงใด กองทหารต่างชาติที่ตั้งอยู่บางกอกนั้นได้รับ
คำ�สั่งให้ “ยึดครอง” เมืองบางกอกถ้าจำ�เป็น ...กองทหาร “ยึดครอง”
ที่ใดสมัยใดก็มีลักษณะเหมือนกัน กล่าวคือไม่มีทางที่จะเป็นมิตร
ของประชาชนได้ แม้วา่ ประเทศไทยขณะนัน้ ยังไม่มลี ทั ธิชาตินยิ มอยู่
เลยก็ตาม ความรู้สึกของทหารที่เห็นชาวพื้นเมืองเป็น “เชลย” ช่วย
เพิม่ ความยโสแก่กองทหารยึดครองเป็นอันมาก มีรายงานในหลักฐาน
ชั้นต้นอยู่ไม่น้อยที่กล่าวถึงปัญหาของความประพฤติของทหารที่
กระทำ�ต่อประชาชนไทย เช่น เมาเหล้าอาละวาด ความไม่เคารพใน
วัฒนธรรมของเจ้าของบ้าน รวมทั้งทัศนคติที่ยโสของนายทหารฝรั่ง
เองที่เหยียดหยามทหารชาวพื้นเมือง ตลอดจนถืออำ�นาจขนาดคิด
จะขับไล่ประชาชนเมืองธนบุรีออกไปจากบริเวณใกล้ป้อม และใน
ความขมขืน่ ทีเ่ กิดจากการกระทำ�ของทหารต่างชาตินี้ ประชาชนไทย
ได้พบว่าทหารต่างชาติเหล่านี้เป็นอภิสิทธิ์ชน เพราะเป็นคนของ
พระเจ้าแผ่นดิน ...ทหารต่างชาติผู้ไม่ได้ถือศักดินา มิได้มีเครื่องยศ
เช่นคานหามฝีพาย ฯลฯ เพือ่ แสดงบารมี ผูไ้ ม่กราบไหว้พระสงฆ์ จะ
แสดงความกดขีข่ เู่ ข็ญตนได้อย่างไร อำ�นาจทีม่ อี ยูเ่ หนือประชาชนจึง
เป็นอำ�นาจที่ขาดเหตุผลอธิบาย ตั้งอยู่ได้ด้วยอาวุธปืนคมหอก
คมดาบเท่านัน้ อำ�นาจเช่นนีใ้ นทัศนะของประชาชนไม่นา่ จะต่างจาก
อำ�นาจของโจรเท่าใดนัก
74
บัดนี้เห็นได้แล้วว่าพระราโชบายทางการเมืองของพระนารายณ์นั้น
เป็นผลให้พระองค์ได้ศัตรูถึง 3 ฝ่าย คือ พระสงฆ์ ขุนนาง และ
ประชาชน ความไม่พอใจของคนทั้ง 3 ฝ่ายนั้นอาจจะมีที่มาต่างกัน
แต่เป้าหมายก็ดเู หมือนไม่ไกลกันนัก กล่าวคือกวาดล้างพวกขุนนาง
ต่ า งชาติ ฝ่ า ยผู้ ชำ � นั ญ การเหล่ า นี้ อ อกไป และถ้ า จำ � เป็ น ก็ ข จั ด
พระนารายณ์ออกจากราชสมบัติด้วย ยกเจ้านายองค์อื่นขึ้นเป็น
กษัตริย์แทน...”
75
เมื่อพระนารายณ์สวรรคตในวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231
พระเพทราชาก็ขึ้นครองราชสมบัติ และสำ�เร็จโทษพระอนุชาของ
พระนารายณ์ เป็นอันสิ้นราชวงศ์ปราสาททองและเริ่มต้นราชวงศ์
บ้านพลูหลวงอันเป็นราชวงศ์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา พระเพท
ราชาเจรจาให้กองทหารฝรั่งเศสถอยออกไปจากเมืองบางกอกใน
วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2231 เป็นอันสิ้นสุดยุคแห่งการ ‘แทรกแซง’
การเมืองภายในประเทศของชาวต่างชาติในสมัยอยุธยา
แต่หากมองอีกมุม ถ้าราชสำ�นักสยามสนใจที่จะวางกลไก
ป้องกันการแสวงหา ‘กำ�ไรส่วนเกิน’ จาก ‘ผลประโยชน์ทับซ้อน’
ระหว่างประโยชน์ส่วนตัวและประโยชน์ส่วนรวม ไม่ว่ากิเลสของ
ฟอลคอน(และอาจจะรวมของพระนารายณ์ดว้ ย)จะหนาหนักเพียงใด
ก็คงจะไม่สามารถแสดงพิษสงทำ�ร้ายสังคมได้ถึงเพียงนี้
78
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือเรียกย่อว่า “วัด
มหาธาตุ” เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองลพบุรีตั้งแต่สมัยโบราณสืบมา
จนปัจจุบัน พระปรางค์องค์ประธาน (องค์หลักที่บรรจุพระสารีริก
ธาตุ) และเจดียร์ ายหลายองค์สร้างในสมัยก่อนพระนารายณ์ แต่ต่ วั
วิหารสร้างใ่นสมัยพระนารายณ์ อาจารย์อธิบายว่า ที่เรารู้ว่าวิหาร
สร้างในสมัยพระนารายณ์กเ็ พราะหน้าต่างเป็นแบบโค้งแหลม สไตล์
เดียวกันกับหน้าต่างในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ วัดนีเ้ ป็น ‘วัดหลวง’
ในรัชสมัยพระนารายณ์ มีเนื้อที่พอๆ กับพระราชวัง แต่ซากปรัก
หักพังอยู่ในสภาพดีกว่า เสียแต่น่าเศร้าที่พระพุทธรูปและลายปูน
ปั้นต่างๆ ถูกมารศาสนาเลื่อยหรือขูดไปขายเยอะมาก หาพระพุทธ
รูปที่เหลือครบ 32 ให้ดูไม่ค่อยได้ เห็นแล้วให้นึกสะท้อนใจไม่ต่าง
จากตอนที่เห็นสภาพของพระพุทธรูปในวัดไลย์
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
80
เจดีย์ราย รอบวัดมหาธาตุ
ผู้เขียนนึกแย้งในใจว่า ก็ยังดีกว่าปล่อยให้จิตวิญญาณถูก
กะเทาะไปขายทุกๆ 2-3 เดือน แต่ก็พอเข้าใจว่าในสายตาของ
นักโบราณคดีอย่างอาจารย์ พุทธศิลปะทุกชิ้นก็ควรจะอยู่ในวัด
ตรงหน้าวิหารเก้าห้อง อาจารย์ชี้ให้ดูซากตึกที่ตอนนี้เหลือแต่
เสา ตึกนีเ้ รียกว่า “ศาลาเปลือ้ งเครือ่ ง” เป็นทีส่ ำ�หรับให้พระเจ้าแผ่น
ดินเปลื้องฉลองพระองค์ออก เปลี่ยนเป็นชุดสีขาวก่อนจะเข้าไปทำ�
พิธีทางศาสนาในวิหาร
หลังวิหารเก้าห้องพอดีคือพระมหาธาตุ เจดีย์หลักของวัดนี้
มีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 19 สร้างเป็นรูปพระปรางค์องค์ใหญ่
ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลางของวัดพอดี ก่อด้วยศิลาแลงตั้งแต่ฐาน
ถึงหน้าบัน เหนือขึน้ ไปก่อด้วยอิฐจนถึงยอด ประดับด้วยลายปูนปัน้
งดงามตัง้ แต่ฐานถึงยอด องค์พระปรางค์มลี กั ษณะ ‘ย่อมุม’ มากกว่า
และสูงชะลูดกว่าปรางค์สามยอดและปรางค์แขก ปรางค์โบราณสอง
แห่งที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบเขมร ทำ�ให้นักโบราณคดีเห็นพ้อง
ต้องกันว่า ปรางค์องค์นี้เป็นจุดเริ่มต้นของพระปรางค์ ‘แบบไทย’ ที่
หลุดจากกรอบการสร้างปรางค์แบบเขมรเป็นครัง้ แรก เป็นหลักฐาน
ที่สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยเริ่มมีอิทธิพลเหนือเขมร (คืออาณาจักร
ขอมในสมัยโบราณ) ในบริเวณนี้ตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 19
84
หรือ 300 ปีก่อนพระนารายณ์จะทรงประกาศสร้างลพบุรีให้เป็น
ราชธานีแห่งที่สอง
อิฐจารึกชื่อกรมศิลปากรบนทางเดิน
85
เจดีย์ทรงมะเฟือง
87
พระที่นั่งไกรสรสีหราช (พระตำ�หนักเย็น)
สถานที่ โ บราณแห่ ง สุ ด ท้ า ย ที่เราไปเยือน คือ
พระที่นั่งไกรสรสีหราชหรือพระตำ�หนักเย็น ตั้งอยู่กลางทะเลสาบ
ชุบศร ห่างจากพระนารายณ์ราชนิเวศน์ออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร
พระนารายณ์ทรงใช้เป็นที่สำ�ราญพระราชอิริยาบถและต้อนรับ
แขกเมืองส่วนพระองค์ บรรยากาศร่มรื่นและเย็นสบายสมชื่อ
พระตำ�หนักเย็น
89
นอกจากจะเป็ น สถานที่ เ สด็ จ สวรรคตของพระนารายณ์
พระตำ�หนักเย็นยังมีความสำ�คัญในแง่เป็นสถานที่ที่พระนารายณ์
ทรงใช้สอ่ งกล้องทอดพระเนตรจันทรุปราคาและสุรยิ ปุ ราคา ร่วมกับ
บาทหลวงเยซูอิต นับเป็นจุดเริ่มต้นของวงการดาราศาสตร์ไทย ใน
ยุคปัจจุบัน ในโอกาสครบรอบ 300 ปี ความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส
สมเด็ จ พระเทพรั ต นราชสุ ด า ก็ ท รงเสด็ จ มาทอดพระเนตร
จันทรุปราคา ณ ที่แห่งนี้ด้วย
อาจารย์เล่าว่าพระตำ�หนักเย็นนี้นอกจากจะเผชิญกับปัญหา
โบราณสถานทรุดโทรมลงเรื่อยๆ แล้ว ยังเผชิญกับปัญหาชาวบ้าน
บริเวณนีบ้ กุ รุกเข้ามาใช้เป็นทีอ่ ยูอ่ าศัย ส่วนหนึง่ เป็นปัญหาการเมือง
ท้องถิน่ เพราะแทนทีน่ กั การเมืองจะหาเสียงด้วยการหาทีอ่ ยูใ่ หม่ให้
ชาวบ้าน กลับสัญญาว่าจะให้อยู่ต่อ แต่อาจารย์กล่าวปิดท้ายว่า
“อย่างน้อย คนลพบุรีก็รักของของตัวเองมากกว่าคนอยุธยา”
ผู้เขียนถามอาจารย์ว่า แล้วเราจะทำ�อะไรได้เพื่อกระตุ้นให้
รัฐบาลสนใจรักษาโบราณสถานให้ดีกว่านี้ อาจารย์ยิ้มเศร้าๆ แล้ว
ตอบว่า “ก็ต้องช่วยกันโฆษณาให้มีคนมาเที่ยวเยอะๆ”
90
ผู้เขียนหวังว่า บทความเรื่องนี้จะเป็นส่วนหนึ่ง แม้เพียงส่วน
น้อย ในการช่วยโฆษณาให้คนไทยอยากไปเที่ยวเมืองเก่าในลพบุรี
เยอะๆ ไปแล้วก็ขอให้ประทับใจในกลิ่นอายของโลกาภิวัตน์โบราณ
และการเมืองอันน่าระทึกใจสมัยอยุธยา เช่นเดียวกันกับผู้เขียน
91
ขอปิดท้ายด้วยบทความน่าสนใจของมอร์กาน สปอร์แตซ ผู้
ประพันธ์นวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่อง Pour la plus grande
gloire de Dieu ซึ่งได้รับการแปลเป็นไทยแล้วในชื่อ รุกสยาม ใน
พระนามของพระเจ้า โดยกรรณิกา จรรย์แสง สำ�นักพิมพ์มติชน
จัดพิมพ์
จากสยามประเทศถึงไทยแลนด์ : ความในใจ
“มอร์กาน สปอร์แตซ”
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
ฉบับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 หน้า 33
ผมเดินทางถึงเมืองสยามซึ่งมีชื่อเรียกว่าประเทศไทยแล้ว
ตอนนั้นอายุได้ 23 ปี กำ�ลังอยู่ในวัยคะนองเหมือนเช่นหนุ่มฝรั่ง
ตะวันตกโดยทั่วไป ผมเข้ามาในสถานะอาสาสมัคร เวลานั้นรัฐบาล
ฝรั่งเศสมีนโยบายเปิดโอกาสให้นักศึกษาที่ไม่ประสงค์จะถูกเกณฑ์
เป็นทหารอาสา ไปทำ�งานเป็นครูสอนหนังสือในต่างประเทศมี
กำ�หนดสองปี
กว่าผมจะข้ามน้ำ�ข้ามทะเลมาถึง ต้องใช้เวลาเดินทางยืดยาว
จนดูเหมือนจะไม่จบสิ้น จากปารีส ผมต้องเปลี่ยนเครื่องบินหลาย
ครั้งกว่าจะมาถึงกรุงเทพฯ ตำ�แหน่งงานที่รอรับผมอยู่คือ เป็น
อาจารย์สอนวรรณคดีฝรั่งเศสที่เชียงใหม่
ลองหวนย้อนไปในอดีตกว่าสามร้อยปีก่อน นึกไปถึงตอนที่
ทหารมูสเกอแตร์ในกองทัพพระเจ้าหลุยส์ทสี่ บิ สี่ พวกสวมหมวกปัก
ขนนกในชุดเครื่องแบบกรุยกรายมาถึงเมืองสยาม คงจะเป็นภาพ
การ “ปะทะสังสรรค์” ทางวัฒนธรรมประเภท “เหนือจริง” (ก่อน
ศิลปะแนวเซอร์เรียลิสต์จะเกิด) นั่นทีเดียว
และนี่คือเรื่องราวของทหารเสือจากราชสำ�นักฝรั่งเศสในช่วง
ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ทีผ่ มเล่าไว้ในหนังสือ รุกสยามในพระนาม
ของพระเจ้า เป็นการผจญภัยทีง่ ดงามบันเทิงใจอย่างยิง่ เท่าทีม่ นุษย์
เราจะพึงประสบ คือการพบปะ “ปะทะ” กันระหว่างสองโลก ระหว่าง
สองวัฒนธรรม
นอกไปจากเรือ่ งของการแย่งชิงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและ
การเมืองกันแล้ว ในยุคนั้น เรื่องที่เกิดขึ้น คือการได้เข้าครอบครอง
เอาชนะเหนือดินแดนในซีกโลกอเมริกาใต้ คือการล่าอาณานิคมที่
ดำ�เนินไปด้วยหยาดเหงื่อและรอยเลือด แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการ
เผชิญหน้ากันระหว่างคนจากสองวัฒนธรรมที่แตกต่าง เป็นผู้คนที่
แตกต่างกันอย่างยิ่ง
เป็นเสน่ห์อันเร้นลับที่เผยโฉมให้เราได้สัมผัส แม้ในงานเขียน
จากตะวันตกทีไ่ ม่ได้เรือ่ งทีส่ ดุ หรือทีส่ ะท้อนทรรศนะเหยียดเชือ้ ชาติ
ในยุคล่าอาณานิคม ผมจะพูดอย่างไรดี คุณถึงจะเข้าใจ เอาเป็นว่า
แม้ในงานเขียนเรือ่ ง “Madame Chrysantheme” ผลงานของปิแยร์
โลติ (Pierre Loti) ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ซึ่ง Puccini
นำ�มาดัดแปลงเป็นละครโอเปร่าเรื่อง Madame Butterfly) อันเป็น
งานที่สะท้อนทัศนคติเหยียดสังคมและวัฒนธรรมญี่ปุ่นของผู้เขียน
อย่างยิ่ง ก็ยังมีอะไรดีอยู่ในตัวมันเอง
ด้วยเหตุที่ว่า แม้ตัวผู้เขียนจะมีอคติจนแสดงความเขลาออก
มาในงานมากนักก็ตาม แต่ความลึกซึง้ ในตัวเขาก็ยงั มิวายจะประทับ
รับความงามละเมียดละไมของความเป็นญี่ปุ่นจนปรากฏให้เรา
คนอ่านสัมผัสได้
ผมว่านักท่องเที่ยวในยุคนี้ซึ่งมีโอกาสได้เดินทางจากซีกโลก
หนึ่งไปอีกซีกโลกหนึ่ง ดูไปแล้วไม่เห็นจะแตกต่างไปจากชาวนา
ตาสีตาสาจากแคว้นโอแว็ญหรือเซแว็ญเมื่อร้อยสองร้อยปีก่อนที่
ไม่เคยมีโอกาสไปไหนๆ ไกลนอกเขตหมู่บ้านของตัวเอง
ผมกลับเห็นว่า บรรดาตัวละครไม่วา่ จะเป็นนักการทูต นักบวช
หรือเหล่าทหารหาญที่ปรากฏตัวในเรื่อง รุกสยามในพระนามของ
พระเจ้า แม้จะดูวา่ เป็นคนโหดร้าย คับแคบ ดือ้ หัวชนฝา แต่พวกเขา
นับว่าเป็นนักผจญภัยตัวจริง
นี่นับเป็นเรื่องที่ดี ที่เจริญหรอกหรือไม่
ผมว่าเราจงมาคารวะนักประวัติศาสตร์ นักชาติพันธุ์วรรณนา
นักมานุษยวิทยา และนักเขียนกันเถอะ พวกเขาได้ชว่ ยให้เรามีโอกาส
ได้รับรู้และเข้าใจว่ายังมีมนุษย์พันธุ์อื่นๆ ที่ผิดแผกไปจากนี้
ผมเองก็ได้ทำ�หน้าที่อันน้อยนิดในส่วนของตัว บอกเล่าให้ฟัง
ว่า ในกาลครั้งหนึ่ง เมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน ยังมีมนุษย์แปลกๆ อยู่
ชุดหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า ฝา-หรั่ง-เศษ (ซึ่งแตกต่างไปจากคนฝรั่งเศสที่
เราเห็นกันทุกวันนี)้ ใส่หมวกปักขนนกฟูฟ่ า่ หลากสี สวมรองเท้าบูต๊
ขนาดมหึมา หน้าตาท่าทางพึลึกพิลั่น ได้พากันรอนแรมมาถึงเมือง
สยาม
มอร์กาน สปอร์แตซ
ธันวาคม 2549