Professional Documents
Culture Documents
final ศิลปะไม่ใช่ความบังเอิญ
final ศิลปะไม่ใช่ความบังเอิญ
ประพัทธ จิวะรังสรรค
คํานํา
ประพัทธ จิวะรังสรรค
กุมภาพันธ 2014
Leonews22@hotmail.com
นําคํา ‘ประพัทธ์ ’
...
แล้ วภวังค์ของศิลปะที่ตกอยูก่ บั เรา กลายสูผ่ ลึก ตะกอน เป็ นเราอย่างไร ในเมื่อเราไม่ได้ หยุดอยู่ ดู
งานศิลปะ จับจิตหรื อตระหนกจริ ตเพียงหนสองหน
คนทํางานศิลปะยังคงเดินทางท่องดูงานศิลปะอยู่
กว่าสามสิบปี ที่ผา่ นมา อนิช คาพัวร์ (Anish Kapoor) คือศิลปิ นต่างชาติที่ได้ รับการกล่าวถึงและ
มีอิทธิพลเป็ นที่ร้ ูจกั เป็ นอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 1980 มาจนถึงปั จจุบนั ในยุคที่มีศิลปิ นอังกฤษรุ่น
เดียวกับเขา ไม่วา่ จะเป็ นริ ชาร์ ด เวนต์เวิร์ท (Richard Wentworth), ริ ชาร์ ด ดีคอน (Richard Deacon),
แอนโทนี กอร์ มลีย์ (Antony Gormley) และบิลล์ วูดโรว์ (Bill Woodrow) คาพัวร์ ทํางานที่เกี่ยวข้ อง
กับรูปทรง ที่วา่ ง สี และวัสดุ ได้ อย่างลุม่ ลึก ทรงพลัง ซึง่ มันก็สง่ ผลต่องานศิลปะร่วมสมัยใน
ปั จจุบนั อีกด้ วย
อีกทังงานของเขายั
้ งสามารถเปลีย่ นทัศนธาตุด้วยกระบวนการใช้ สที าทับเป็ นสีฟ้าที่
หมายถึงท้ องฟ้า เป็ นต้ น สีที่สง่ ผลในวัสดุที่นํามาใช้ บางครัง้ ยังมีความหมายในการเยียวยา การ
รักษา ซึง่ สามารถโฟกัสไปที่ความสมดุลและความเป็ นอยูท่ ี่สมบูรณ์ ปั จจุบนั เขายังคงทํางานใน
ลอนดอน และยังคงท่องเที่ยวในอินเดีย ซึง่ เป็ นแหล่งความรู้และแรงบันดาลใจของเขาและเป็ นจุด
เชื่อมโยงระหว่างฝั่ งตะวันออกและตะวันตก โดยมีบุคคลที่มีอิทธิพลในงานของเขาคือมันเทนยา
(Mantegna), โจเซฟ บอยส์ (Joseph Beuys), บาร์ เนตต์ นิวแมน (Barnett Newman) และ อีฟส์
ไคลน์ (Yves Klein)
Yellow (1999) คืองานที่เป็ นฉากหลังของงานชิ ้นแรกที่กล่าวมา งานนี ้คาพัวร์ ใช้ สเี พื่อให้
สือ่ ความหมายถึงความเพ้ อฝั นในขนาดที่ใหญ่มากเหมือนเป็ นภูมิสถาปั ตยกรรมที่ลอ่ งลอย
ท่ามกลางวิญญาณและพื ้นผิว ตลอดจนมันยังแสดงถึงความคงอยูข่ องมนุษย์ อีกทั ้งหลักเหตุผล
ของความขัดแย้ งระหว่างการนูนเข้ าและเว้ าออกที่ขดั แย้ งกันอย่างรุนแรง นักปรัชญาในยุคศตวรรษ
ที่ 18 ได้ ค้นพบว่า เรามักจะยําเกรงหรื อเกรงกลัวต่อสภาวะการเผชิญหน้ ากับปรากฏการณ์
ธรรมชาติและขนาด เฉกเช่นเดียวกับภูเขาหรื อธารนํ ้าแข็ง ดังเช่นงานชิ ้นนี ้ ที่คาพัวร์ เปรี ยบเหมือน
การจุ่มตัวเองลงไปในท้ องทุง่ กว้ างของสี ใช้ ประสบการณ์กบั ความรู้สกึ นั ้นเพื่อให้ เกิดความเคารพ
ต่องานศิลปะเช่นเดียวกับความรู้สกึ ถึงการเคารพธรรมชาติ
“I have often said that I have nothing to say as an Artist” [4] “ผมมักพูดอยูบ่ อ่ ยๆ ว่า
ไม่มีอะไรจะกล่าวในฐานะศิลปิ นคนหนึง่ ” จากคําพูดอนิช คาพัวร์ การไม่ร้ ูที่จะกล่าวอะไรเป็ นนัยยะ
ถึงงานของเขามากกว่าการค้ นหาความหมายจากคําพูดของศิลปิ น เพียงเท่านี ้เราก็สามารถรับรู้ได้
ถึงสิง่ ที่เขาสือ่ สารทางกายภาพและจิตวิทยา ซึง่ จะนําพาให้ ผ้ ชู มที่อยูใ่ นโลกแห่งนี ้เข้ าไปค้ นหา
ภาษา บทกวี ที่มีอยูใ่ นงานศิลปะในอีกโลกหนึง่ ของเขา โลกที่ไร้ ตวั ตนของความเป็ นมนุษย์
[1]
ตามอ่านรายละเอียดได้ ในตอน ยูนิลเี วอร์ ซีรีส์ (The Unilever Series)
[2]
Simon Wilson, Tate Gallery: An Illustrated Companion, Tate Gallery, London, revised edition 1991, p.293
[3]
Hatje Cantz, Anish Kapoor: Shooting Into the Corner, FALL 2009 p. 82
[4]
http://rexile.wordpress.com/tag/anish-kapoor
ภาพประกอบจาก Royal Academy of Arts
Hive (2009)
Yellow (1999)
Svayambh (2007)
Shooting into the Corner (2008-2009)
อนิช คาพัวร
Ai Wei Wei, Sunflower Seeds.
เมล็ดทานตะวัน
The Unilever Series, Tate Modern, London.
นับเปนผลงานที่ใหญที่สุดที่ศิลปนไดเคยทํามาจากดินพอรซเลน ซึ่งเปนสินคาที่มีมูลคาสงออกมาก
ที่สุดของจีน เมล็ดทานตะวันทุกเมล็ดนั้นจะไมมีความเหมือนกัน ซึ่งแตกตางจากการผลิตในระบบของโรงงาน
อุตสาหกรรม เหมือนกับงานที่เปน “readymade” หรือ “found object” (สิ่งของที่อยูในชีวิตประจําวันจะ
กลายเปนงานศิลปะได) ของศิลปนฝงตะวันตก แตนี่คืองานหัตถศิลป (craft) อยางประณีตของแรงงานภาค
หัตถกรรมของจีนที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่จิ๋นเตอเจิ้น (Jingdezhen) ซึ่งเปนแหลงผลิตงานเครื่องปนดินเผาที่มี
ชื่อเสียงของจีน ทุกๆ เมล็ดเผาดวยไฟสูงถึง 1,300 องศาเซลเซียส เพนทสีทีละเมล็ด จากนั้นจึงนําเขาเตาเผา
อีกครั้งที่อุณหภูมิ 800 องศาเซลเซียส ใชเวลาในกระบวนการทําจนเสร็จสิ้นกวาสองป ถึงจะไดเมล็ดทานตะวัน
กวา 100 ลานเมล็ด หนักกวา 150 ตัน จากนั้นจึงถูกนํามาจัดวางบนพื้นที่ 1,000 ตารางเมตรของเทอรไบน
ฮอลล
สําหรับอายแลว เมล็ดทานตะวันเปนของขบเคี้ยวยามวางของคนจีนที่กินรวมกันระหวางเพื่อนฝูง
กิจกรรมนี้เกี่ยวของกับการปฏิวัติวัฒนธรรมในชวงป ค.ศ. 1966-76 ซึ่งชวงนัน้ ความเปนสวนตัวของผูคนถูก
จํากัดไวซึ่งอิสรภาพ ภาพของโฆษณาชวนเชื่อ โดยทานประธานเหมา เจอ ตุง ซึ่งเปรียบเสมือนเปนแสงอาทิตย
ในขณะที่ประชาชนเปนเพียงแคเมล็ดทานตะวัน ซึ่งตัวเขายังจําไดดีวา การกินเมล็ดทานตะวันรวมกันเปนการ
แสดงออกถึงความเมตตาของผูคน ซึ่งสรางสัมพันธภาพระหวางเพือ่ นฝูง ในชวงภาวะของความยากจนที่ตอง
อดทนอดกลั้นกับสภาวะทางการเมืองที่ไมมีความมั่นคง ในชวงของการปฏิวัตินั้น นี่ก็คือเสียงสะทอนรวมสมัย
ในผลงานซึ่งเปนการผลิตจํานวนมากแบบแรงงานฝมือหัตถกรรม ซึ่งผลงานไดเชื้อเชิญใหผูคนไดเขามาดูอยาง
ใกลชิดในงานแตละเมล็ดที่เสมือนมีแบรนดติดวา “Made in China” ปรากฏการณเชนนี้เปนการเปลี่ยนแปลง
ภูมิศาสตรทางการเมือง วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของจีนเลยทีเดียว
ซึ่งถามองจริงๆแลว เมล็ดทานตะวันเหลานี้คือตัวแทนของประชาชนชาวจีน ซึ่งอายตั้งคําถามถึงตัวตน
ของตัวเองผานผลงานที่แตกตางกันในแตละเมล็ดวา “ความเปนตัวตนในสังคมปจจุบันนั้นหมายถึงอะไร เรา
ยังคงมีความสําคัญ มีพลังที่สามารถแสดงออกหรือไม ในตอนที่เรายังเปนวัยรุน เราเริ่มที่จะรูสึกถึงการมีตัวตน
ในสังคมหรือเปลา ซึ่งสังคมเองก็มักตั้งคําถามกับเราเชนกันวา คุณคือใคร สังคมแบบไหนที่คุณตองการ” [1]
เมล็ดทานตะวันซึ่งไมอาจจะงอกเงยเปนดอกไมที่สวยงามได เพราะตองถูกเหยียบย่ําจากผูนําของจีนเองและ
จากคนตะวันตก ซึ่งการเปรียบเปรยนี้เปนนัยยะทางการเมือง ตลอดจนคําถามจากแรงงานชาวจีนซึ่งสวนใหญ
ยังคงอยูในภาคหัตถกรรม แตตอมาเมื่อระบบอุตสาหกรรมเขามาแทนที่ คนเหลานี้ตองปรับตัว และตกงาน ก็
เหมือนกับการถูกเหยียบย่ําใหกลายเปนเพียงแคเมล็ดทานตะวัน เปนของวางยามสนทนา ซึ่งงานนี้หลังจากที่
จัดแสดงใหผูชมไดมาเดินสัมผัสผลงานลงบนทุงเมล็ดทานตะวันไดแคเพียงสี่วัน ในวันที่ 15 ตุลาคม 2010 ทาง
พิพิธภัณฑเทตก็ไมอนุญาตใหผูชมเขาไปเดินไดอีก แตสามารถดูและหยิบเมล็ดจากรอบๆ มาดูได โดยที่ให
เหตุผลวา “ฝุนซึ่งเกิดจากดินพอรซเลนอาจจะเปนอันตรายเมื่อสูดดม”[2] นี่อาจจะเปนเหตุผลที่บังเอิญ แตมัน
ชางเขากับบริบททางการเมืองของตัวศิลปนเสียจริง จนทุกวันนี้ก็ยังมีคนหลายคนที่พยายามฝาฝนเขาไปเหยียบ
ย่ําเมล็ดทานตะวันเปนประจํา หรือนี่จะเปนการบอกวา ไมมีทางหรอกที่ตะวันตกจะหยุดย่ํายีชาติที่ดอยกวา
แมวาเมล็ดนั้นจะอยูที่ไหนก็ตาม และถึงอยางไรพวกเขาก็ยังตองพึ่งพาแรงงานชาวจีนผลิตสินคาอยูดี พวกเขา
ไมเคยคิดเลยวาแรงงานจีนจะไดรับมลพิษมากเทาไรเพื่อผลิตสินคาสนองความสุขสบายของชาวตะวันตก หรือ
เพราะแรงงานพวกนี้เปนเพียงแคเปลือกเมล็ดทานตะวันที่หลนตามพื้นเทานั้น
ซันเยอร: คุณยังคงตองการเปนศิลปนตลอดเวลาหรือเปลา
อาย: ไมเลย ผมตัดสินใจเปนศิลปนชวงตอนปลายของยุคป 70 เพื่อนตองการหลบหลีกเงื่อนไขทางเผด็จการ
ของจีน ทุกคนตองการที่จะเปนสวนหนึ่งของพลังการเมืองนัน้ ซึ่งมันเปนเรื่องของการโกหกและเปน
ขอผิดพลาดทุกหนแหง สําหรับตัวผมศิลปะคือการหลบหนีจากระบบนั้น
ซันเยอร: มีขอแตกตางระหวางงานศิลปะกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองไหม
อาย: ศิลปะและการเมืองเปนสวนหนึ่งของสิ่งเดียวกัน เปนสวนที่เขาใจซึ่งกันและกันของสภาพแวดลอม
บางครั้งงานของผมเปนการเมือง บางครั้งเปนงานสถาปตยกรรม บางครั้งก็เปนแคความงดงามของศิลปะ ผม
เห็นมันเหมือนความไมลงตัวของรัฐบาลเชนเดียวกัน
ซันเยอร: ความสนใจในการเมืองสงผลตอความสนใจในศิลปะของคุณอยางไร
อาย: ศิลปะของผมมันจะดีที่สุดภายใตรากเหงาของการเมือง ผมตองการใหความพยายามทางการเมืองของผม
กลายเปนงานศิลปะ ผมตองการรับผิดชอบตอการพูดตอหนาผูคนรอบๆ ตัว ผูคนซึ่งหวาดกลัวและผูซึ่งมี
ความหวัง ผมอยากจะบอกวา พวกคุณสามารถทําได มันโอเคที่จะพูด แตมันก็ไมไดเปนเหตุผลอะไรที่สําคัญ
มากกวาผมเปนคนอยางไร
ซันเยอร: ผูคนอธิบายวาคุณคือผูนําของศิลปนที่จะตอสูกับอิสรภาพและการแสดงออก
อาย: มันพูดยาก คตินิยมในจีนไมสามารถที่จะมีอิสระในการพูดในที่สาธารณะ เราไมมีอิสระในการรับรูขอมูล
ทุกๆ คนรูวาอินเทอรเน็ตและหนังสือพิมพถูกเซ็นเซอรอยางหนัก ผมคิดวาศิลปนควรจะยืนหยัดในพลังและรวม
เปนสวนหนึ่งที่จะเรียกรองซึ่งอิสรภาพ ซึ่งศิลปนทางตะวันตกไมตองตอสูเพื่อสิ่งนี้ แตสังคมประชาธิปไตย
อยางไรก็มีปญหาอยางอืน่
ซันเยอร: คุณรูสึกอยางไรถึงการพัฒนาของจีนนับตั้งแตเมื่อตอนเปนเด็ก
อาย: เทคโนโลยีใหมๆ ไดทําใหจีนตองอยูในฐานะที่เปดมากขึ้น แตมันก็ไมไดเปนความตั้งใจของรัฐบาล
โครงสรางทางการเมืองยังคงเปนเหมือนสมัยที่ผมยังเปนเด็ก แตอยางไรก็ตามทุกๆ วันของชีวิตก็ยังดีขึ้นสําหรับ
ผูคน มีงานทํามากขึ้น แตอยางไรผูคนยังคงระมัดระวังวิกฤติการณทางการเมืองที่ยังคงเกิดขึ้น
ซันเยอร: คุณมองอนาคตของจีนในแงดีอยางไร
อาย: ในระยะยาวนัน้ รัฐบาลไมสามารถหยุดชาวจีนไมใหพูดถึงอิสรภาพและประชาธิปไตยได การอาศัยอยูที่นี่ก็
เหมือนเปนการเสี่ยงแตก็นาตื่นเตน คุณมองเห็นความเปนไปไดและเลนตามเกม
ซันเยอร: พวกเราถูกลงโทษหรือเปลา
อาย: ผมไมใชคนมองโลกในแงดีเกี่ยวกับอนาคต ชีวิตทั้งชีวิตถูกออกแบบโดยโชคชะตา แตถึงอยางไรมนุษยก็
ยังคงมีจิตแจมใส ทุกๆ อยางเหมือนเปนการจัดไวแลวทั้งสิ้น
ศิลปะและการเมืองไมอาจจะถูกแยกออกจากกันได ตราบใดที่ศิลปนเองยังตองใชพลังการเคลื่อนไหว
ของสังคมในการสรางสรรคศิลปะ ในขณะที่ศิลปนเองกําลังเรียกรองอิสรภาพจากประเทศที่เปนสาธารณรัฐ อีก
ประเทศซึ่งเรียกตัวเองวาเปนประชาธิปไตยตางมีบทบาทหนาที่ไมตางอะไรกับเผด็จการในการเซ็นเซอรและปด
กั้นขอมูลขาวสารเชนเดียวกัน สิ่งนี้หรือเปลาคือสิ่งที่ศิลปนควรรวมกันเรียกรองถึงอิสรภาพมากกวาการยอม
จํานนเพื่อบอกวาเรามีสันติภาพจากการปรองดองอันเปนมายาคติที่ทางรัฐไดพยายามสรางมันตลอดมา ถาการ
ทํางานศิลปะคือการตองมีเงื่อนไขภายใตความหวาดกลัวและแวดระวัง งานนัน้ จะยังคงมีพลังเพื่อสงสารตอ
ผูคนวา “เสรีภาพของงานศิลปะมันคือความกลัวที่รอการปลดปลอยใหเปนอิสระหรือไม” จนกวาวันนั้นจะ
มาถึง วันที่ศิลปนในประเทศไมไดทํางานเพื่อปากทองและสรางภาพแตอยางเดียว แตมันคือการทํางานเพื่อ
รับผิดชอบตอสังคมที่เปนอยู ที่ซึ่งเกิดและตายอยางมีเกียรติและศักดิ์ศรี หรือเปนที่เกิดและตายอยางนาสมเพช
ของศิลปนอีกมาก สวนนอยนั้นคงตายตาหลับ
[1]
http://artasiapacific.com/Magazine/72/SunflowerSeedsAiWeiwei
[2]
http://www.guardian.co.uk/artanddesign/2010/oct/15/tate-modern-sunflower-seeds-ban
[3]
http://www.timeout.com/newyork/art/review-ai-weiwei-sunflower-seeds
[4]
http://metro.co.uk/2010/10/08/ai-weiwei-on-being-the-chinese-andy-warhol-539853/
[5]
http://www.newstatesman.com/blogs/cultural-capital/2010/10/chinese-artist-china-freedom
ภาพประกอบจาก Tate Modern
Remembering (2009)
Dropping Vase (1995)
นอกจากนี้ยังมีงานทดลองที่เขาไดทําการวาดและระบายสีอีกหลายภาพ โดยภาพสวนใหญมักเปน
ลวดลายกราฟกธรรมดา แตสรางสถานะใหมีความเชื่อมโยงของกันและกัน รวมถึงงานภาพถายในหลายๆ
ชวงเวลาที่เขาไดอยูในเมืองใหญ ผานประสบการณใชชีวิตและนําเอาวัตถุดิบในเมืองนั้นมาเลนมาตีความใน
รูปแบบของเขาได สิ่งหนึ่งที่คนพบในผลงานของเขาอาจจะไมใชเปนการคนหาสิ่งแปลกใหมที่บังเกิดในงาน
ศิลปะที่มีมาชานานแลวดังที่เขาไดกลาวออกตัวไวแตตนวาเขาไมใชนักคิดคน แตเปนนักการตีความ การตีความ
ในรูปแบบใหมซึ่งเปนการยากในการทําใหมุมมองนั้นมีความแหลมคมเฉกเชนงานของเขา และมันก็ไมไดมี
ความสําคัญอะไรเลยกับผลงานของเขาถาคุณไมไดรูสึกอะไรกับสิ่งที่เขาทํา แตหลังจากที่ผูชมงานกลับบานไป
แลว มุมมองของคนเหลานั้นเมื่อไดเห็นวัสดุเหลานี้อีกครั้งจะเปลี่ยนไป หรือแมกระทั่งวัสดุอื่นๆ ที่
นอกเหนือจากงานของเขาก็ตาม คนเหลานั้นจะสามารถมีจินตนาการมองไปไดมากขึ้นวาวัสดุทั่วๆ ไปที่พบเห็น
เหลานี้มันสามารถเปลี่ยนประโยชนใชสอยอยางพลิกหนาพลิกหลังได นั่นคือสิ่งที่ควรจะไดจากผลงานของเขา
ดังเชนที่ไอนสไตนเคยบอกวาจินตนาการสําคัญที่สุด ซึ่งเขาก็นําคํากลาวนี้มาตีความในรูปแบบของเขา
เชนเดียวกัน จึงเกิดเปนงานชิ้นใหมที่พลิกประโยชนใชสอยใหตางไปจากเดิมได เปนการตอยอดความคิดของสิ่ง
หนึ่งสิ่งใดที่มีการผลิตซ้ําๆ มาแตเดิมดวยฝมือของเครื่องจักรใหกลายเปนงานศิลปะโดยผานกระบวนการ
ความคิดของศิลปนนั่นเอง
[1]
Gabriel Orozco, Artist, In conversation with Michelle Kuo, Editor in Chief, Artforum, New York, 2011.
http://www.telegraph.co.uk/culture/art/art-reviews/8264987/Gabriel-Orozco-Tate-Modern-review.html
ภาพประกอบจาก Tate Modern
Gabriel Orozco
Chicotes (2010)
Black Kites (1997)
นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนของรัสเซียและผูรวมตอตานอธิบายวา กลาสนอสตเปนภาษารัสเซียมา
นานกวาศตวรรษ มันอยูในพจนานุกรมและอยูในหนังสือกฎหมาย เปนคําธรรมดาไมไดแยกประเภทไว เปนคํา
ที่จะอางถึงกระบวนการการตัดสินของอํานาจการปกครองในระบบเปด คํานี้จะใชจําเพาะในยุคสมัยใน
ประวัติศาสตรของสหภาพโซเวียตชวงยุคป 1980 ซึ่งเปนยุคที่มีการเซ็นเซอรนอยและขอมูลขาวสารตางๆ มี
อิสระเปนอยางมาก กลาสนอสต ใหอิสรภาพสําหรับประชาชนทั้งขอมูลขาวสาร บทความ วรรณกรรม รวมถึง
สื่อตางๆ และการพูดในที่สาธารณะ ที่สามารถวิพากษวิจารณการทํางานของรัฐบาลได ดังเชนอุดมคติของเล
นินที่กอรบาชอฟใชในการปฏิรูปนโยบายนี้
การผอนปรนการเซ็นเซอรสงผลใหสื่อมวลชนมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น โดยสื่อเริ่มที่จะเปดโปงปญหา
เศรษฐกิจ ที่รัฐบาลมักจะปกปดมาตลอด เชน ปญหาของคนจนไรที่อยูอาศัย การขาดแคลนอาหาร ประชากร
ติดสุราเปนจํานวนมาก และอัตราการตายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการเสียเปรี ยบในสังคมและความไม่เท่าเทียมกัน
ของสตรี อยางไรก็ตาม การลดความเขมงวดในการเซ็นเซอรและความพยายามที่จะสรางการเมืองที่เปดกวาง
มากขึ้น ไดปลุกความรูสึกชาตินิยมและตอตานรัสเซียในสาธารณรัฐเล็กๆ ที่เปนชนกลุมนอยในสหภาพโซเวียต
ในคริสตทศวรรษ 1980 เสียงที่เรียกรองอิสรภาพจากการปกครองจากมอสโกไดดังขั้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะใน
สาธารณรัฐแถบทะเลบอลติก คือ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย ที่รวมกับสหภาพโซเวียตตั้งแตป 1940 โดย
โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) ความรูสึกชาตินิยมนั้นก็ยังไดแพรหลายในสาธารณรัฐอื่นๆ เชน ยูเครน
จอรเจีย และอาเซอรไบจาน ขบวนการชาตินิยมเหลานี้ไดเขมแข็งขึ้นอยางมากเมื่อเศรษฐกิจของโซเวียตตกต่ํา
รัฐบาลที่กรุงมอสโกนั้นกลายเปนแพะรับบาปของภาวะเศรษฐกิจตกต่ํา แสดงวา กอรบาชอฟนั้นไดปลดปลอย
พลังที่จะทําลายสหภาพโซเวียตไปแลวโดยไมไดตั้งใจ ทําใหเกิดการลมสลายของสหภาพโซเวียตในป ค.ศ.
1991 ในที่สุด[3]
Milestones in Glasnost and Perestroyka: Politics and People. Brookings Institution Press. 1991. ISBN 0-8157-3623-1.
[1]
[2]
Alexeyeva, Lyumila and Paul Goldberg The Thaw Generation: Coming of Age in the Post-Stalin Era Pennsylvania: University
of PIttsburg Press, 1990
[3]
Shane, Scott (1994). "A Normal Country: The Pop Culture Explosion". Dismantling Utopia: How Information Ended the Soviet Union. Chicago: Ivan R.
Dee. pp. 182 to 211. ISBN 1-56663-048-7.
[4]
http://haunchofvenison.com/exhibitions/past/2010/glasnost/
ภาพประกอบจาก Haunch of Venison
God! Help Me to Survive Amongst This Deathly Love (1991–2000) โดย ดมิทรี วรูเบล (Dmitry
Vrubel)
การตั้งอยูอยางชั่วคราวของธรรมชาตินั่นคือความตั้งใจที่เกิดขึ้น ไมมีงานชิ้นไหนของเขาที่จะปรากฏอยู
อยางถาวร ไรทสนใจในเรื่องของความเปราะบางในชั่วขณะหนึ่งของการผูกมัด นั่นก็เหมือนการมีชีวิตอยูหรือ
การดํารงชีวิตนั่นเอง และเมื่อถามถึงความรูสึกของเขาหลังจากงานที่เขาทํานั้นจะถูกรื้อถอนทําลายลงวารูสึก
อยางไร เขากลาววา “บางครั้งก็รูสึกสูญเสีย แตอีกขณะหนึ่งมันก็เหมือนเปนการบําบัดอยางหนึ่งเชนกัน”[3]
ในชวงเริ่มแรกของการทํางานไรทวาดภาพลงบนผาใบเฉกเชนศิลปนคนอื่นๆ แตหลังจากที่เขาได
เปลี่ยนแนวทางการทํางานมาทําลงบนผนังทั้งหมด เขาก็ไดทําลายภาพที่วาดบนผาใบทั้งหมด “ภาพวาดคือ
ขยะ” ไรทกลาวเชนนั้น เขารูสึกวาหลายสิ่งนั้นเปนแรงบันดาลใจใหกับความคิดของเขาซึ่งเชื่อมตอกับเวลา เขา
ตองการที่จะทํางานของเขาใหกลายเปนแคสวนหนึ่งของโลกใบนี้เทานั้น เหมือนเปนการปลอยใจใหเปนอิสระ
เพราะวางานของเขานั้นไมสามารถนําติดตัวไปไหนมาไหนกับเขาไดนั่นเอง โดยปกติแลวงานของเขาไมสามารถ
ซื้อหรือขายได ซึ่งมันเปนเรื่องไมปกติในตลาดของงานศิลปะทั่วไป ซึ่งตองการใหมีการคาขายผลงานของศิลปน
สําหรับงานที่ไดจัดแสดงที่พิพิธภัณฑเทต บริเทน (Tate Britain) กับรางวัลเทอรเนอรนี้ ไดรับแรงบันดาลใจมา
จากความทรงจําตอนทองเที่ยวจากสกอตแลนดมายังลอนดอนและไดเขาเยี่ยมชมแกลลอรีเทต (Tate gallery)
หนึ่งคืนในลอนดอน หนึ่งวันในแกลลอรี และอีกหนึ่งคืนคือการเดินทางกลับ เขาเปรียบงานวาเหมือน
แสงอาทิตยที่ปรากฏผานมานหมอกดวยเทคนิคสีเฟรสโกทองคํา (Golden fresco) เปนงานนามธรรมซึ่งบาง
คนก็บอกวามันคือภูมิทัศนศิลปะ ซึ่งสามารถมองเห็นไดแคที่แกลลอรีนี้เทานั้น
ทั้งหมดนี้คือความเคลื่อนไหวของงานศิลปะจากฝงอังกฤษ ซึ่งมีสวนผสมของกลิ่นอายทางวัฒนธรรม
ความคิด ยุคสมัย และการตีความในรูปแบบใหมจากงานศิลปะในรูปแบบเดิม ที่คงเหลือทิ้งไวแคเทคนิควิธีการ
เทานั้น ศิลปะของปนี้จะเปนอยางไรติดตามผลของผูเขาเสนอชิงของปนี้ 2010 ซึ่งไดแก เด็กซเตอร ดัลวูด
(Dexter Dalwood), อังเคลา เด ลา กรุซ (Angela de la Cruz), ซูซาน ฟลิช (Susan Philipsz) และ ดิ โอโท
ลิท กรุป (The Otolith Group) ซึ่งจะมีการประกาศผลรางวัลชวงปลายปครับ
[1]
http://www.tate.org.uk/download/file/fid/21749
[2] [3]
http://www.guardian.co.uk/artanddesign/2009/dec/07/turner-prize-winner-richard-wright
ภาพประกอบจาก Tate Britain.
ในชวงที่ซูซานทํางานประติมากรรมที่เบลฟาสต ขณะนั้นเหมือนกับมีแรงดึงดูดอะไรบางอยางให
ทํางานเชนนั้น แตหลังจากที่เริ่มมาทํางานเกี่ยวกับเสียง เธอก็ไดคนพบอะไรบางอยางที่เปลี่ยนไป ซึ่งเธอชอบที่
จะรองเพลง เธอเริ่มดึงกายภาพทางการเปลงเสียงซึ่งตองคํานึงถึงที่วาง ทั้งที่จริงๆ แลวเสียงของเธอไมไดฝกฝน
สําหรับการรองเพลงที่ตองใชพลังที่ตองนํามาแสดงในงาน แตมันก็ทําใหมีขอดีคือ น้ําเสียงที่ดูเปราะบาง คง
ความเปนธรรมชาติ และสามารถเปลี่ยนทิศทางไปสูผูฟงไดงาย ตลอดจนความลึกซึ้งของอารมณและความมี
น้ําหนักในเสียงของเธอ ทําใหเกิดความมีชีวิตชีวา สามารถมองเห็นภาพจากเสียงของเธอได
ชวง 9 ปที่ผานมาจนปจจุบัน เธออาศัยอยูที่เบอรลินกับคูชีวิตของเธอโออัน แมคทีก (Eoghan
Mctigue) เบอรลินเปนเมืองที่มีศิลปนชาวอังกฤษอาศัยอยูมากที่สุด และในตอนนี้เธอยังไมมีแผนที่จะกลับไป
ยังที่นั่น ซึ่งบางครั้งเธอคิดถึงสามีของเธอถึงสิ่งที่เขามักจะหัวเราะ เชน การไมสามารถเปลี่ยนหลอดไฟดวย
ตัวเองได “บางครั้งฉันก็พลาดทําอะไรดวยตัวเองไปเชนกัน” เธอกลาวเชนนั้น
[1]
http://www.guardian.co.uk/education/2010/dec/06/student-protests-turner-prize
[2]
http://www.guggenheim.org/new-york/collections/collection-online/show-full/bio/?artist_name=Susan%20Philipsz&page=1&f=Name&cr=1
ภาพประกอบจาก Tate Britain.
[1] [2]
http://www.telegraph.co.uk/culture/art/art-reviews/6262559/Pop-Life-at-Tate-Modern-review.html
ภาพประกอบจากพิพิธภัณฑ Tate Modern
ศิลปนปแอโร มันโซนี (Piero Manzoni) กับงาน Merda d’artista (1961) หรือ Artist’s Shit งานที่
ไมนาเชื่อวามันจะเปลี่ยนของสกปรกที่เรียกวาอุจจาระใหกลายเปนทองไปได นั่นก็เปนเรื่องจริงขึ้นมา จาก
ความคิดที่วา การคิดทําศิลปะนั้นไมมีที่สิ้นสุด มันนาตื่นเตน ถางานนั้นไมอยูในกฎเกณฑที่วางไว ทุกสิ่งที่คุณ
ปฏิเสธวามันไมใชงานศิลปะแตมันคือศิลปะ ดวยการนําเอาอุจจาระของศิลปนไปบรรจุกระปองทั้งสิ้น 90
กระปอง และไมนาเชื่อวา การเลนแรแปรธาตุของศิลปนในครั้งนี้ก็เปนจริงดังความคิดเปลี่ยนของสกปรกให
กลายเปนทอง เมื่อกระปองเบอร 57 ถูกประมูลโดย ซอทเทอบีที่มิลานไปในราคาถึง 110,000 ยูโร (เอา 50
บาทคูณเขาไปนะครับ) เปนเงินไทยแลวจะตกใจ ซึ่งงานนี้ไดทําลายกฎของตลาดศิลปะไปโดยสิ้นเชิงวาจริงๆ
แลว หลักเกณฑและกลไกของตลาดงานศิลปะอยูตรงไหน มันยอมอยูน อกกฎเกณฑ (บางครั้ง) ใชหรือไม หรือ
การตั้งคําถามของศิลปนวาความสัมพันธของศิลปะ ศิลปน และนักสะสมงานนั้นมีความสัมพันธกนั อยางไร ซึ่ง
มันกําลังจะกลายเปนสัญลักษณอยางหนึ่งของงานศิลปะไปแลว
How to work better (1991) จากศิลปน ปเตอร ฟชลิ (Peter Fischli) และ เดวิด ไวส (David
Weiss) ซึ่งไดเขียนเหมือนเปนลายแทงสอนศิลปนวาจะทํางานใหดีนั้นตองทําอยางไร กลาวคือ 1. ทํางานอยาง
เดียวในชวงเวลาหนึ่ง 2. รูจักปญหา 3. พรอมที่จะฟง 4. พรอมที่จะถาม 5. แยกความรูสึกออกจากเรื่อง
เหลวไหล 6. ยอมรับโอกาสถามันไมสามารถเลี่ยงได 7. ยอมรับขอผิดพลาด 8. แลวพูดวามันเปนเรื่องงายๆ 9.
อยูในความสงบ 10. แลวยิ้มซะ หรือจะเปนงาน How to make more money ของศิลปน วิลเลียม พาวฮิดา
(William Powhida) เริ่มที่วลี หยุดวาดเขียน, แลวมาเพนต, จากนั้นเพิ่มราคาเปนสองเทา, แลวจาง
ผูเชี่ยวชาญที่มีประสบการณ, ดูพวกเขาทํางาน, ลงชื่อเมื่อพวกเขาวาดเสร็จ, ขายมันในงานแสดงสินคาศิลปะ,
จากนั้นอัพราคาเพิ่มอีก, เตรียมแสดงงานเดี่ยว, จูบกนนักวิจารณซะ, เก็บงานที่ทําสะสมเอาไว, แลวแสรงทํา
เปนวาจะฆาตัวตาย, ขายงานที่หมกเม็ดเอาไวใหกับการประมูลงาน
[1]
Marcel Duchamp, “Where Do We Go from Here?”lecture at the Philadelphia Museum College of Art, March 20, 1961,
trans. Helen Meakins, Studio International 189, no. 973 (January–February 1975), p. 28.
[2]
Jörg Immendorff, Hier und jetzt, das tun, was zu tun ist:Materialien zur Diskussion, Kunst im politischen Kampf; auf
welcher Seite stehst Du, Kulturschaffender?(Cologne: König, 1973), p. 208.
[3]
Andy Warhol, The Philosophy of Andy Warhol: From A to B and Back Again (New York: Harcourt Brace Jovanovich, 1975), p. 178.
ภาพประกอบจาก Schirn Kunsthalle Museum.
ขอหยิบยกงานของศิลปนบางทานที่นาสนใจมาใหชม เพื่อจะไดเห็นแนวทางของอัลเทอรโมเดิรน
ชัดเจนขึ้น คนแรกคือ สุพธ คุปตะ (Subodh Gupta) กับงาน Line Of Control (2008) เขาเกิดและทํางานที่
อินเดียและนับถือศาสนาพุทธ เขาเองก็เหมือนอีกหลายๆ คนที่มาจากชนบท เขามาสูชุมชนเมืองในนิวเดลีซึ่ง
เปนมหานครแหงอินเดีย ความรูสึกของการบริโภคนิยม ซึ่งไดรับอิทธิพลจากทางตะวันตกทําใหเกิดวงจรสั้นๆ
ของการเปลี่ยนขนบประเพณีซึ่งสงผลกระทบตอผูคนในเชื้อชาติ งานที่ชื่อวา Line Of Control เหมือนเปน
กลุมเมฆความเจริญที่ระเบิดไปสูความสงบสุขและความสามัคคีจากการรองขอของอาหารและภาชนะที่ทํา
จากสแตนเลสหลายพันชิ้นประกอบกันขึ้นเปนงานประติมากรรม ซึ่งเปนเรื่องใกลตัวของคนอินเดีย แรงบันดาล
ใจเบื้องลึกมาจากสงครามฉนวนแบงกั้นระหวางบอสเนียและแคชเมียรที่ซึ่งถูกจํากัดสิทธิทางการเมืองจนเกิด
ชองวางของความปรารถนา ความเชื่อ ความฝน ความจริง กลางคืน และฝนราย งานของเขาเหมือนเปนการ
ปลดปลอยสิ่งที่ยุงยากใหเปนอิสระในโลกของการครอบงํา โดยการระเบิดของกลุมเมฆซึ่งคลายเห็ดมหึมา เพื่อ
สดุดีความสงบสุข ซึ่งมาจากจิตสํานึกที่ดีงามของศิลปน งานชิ้นนี้ใชเวลาการติดตั้งเปนเวลาหลายเดือน มีความ
สูงเทากับตึกสามชั้น และติดตั้งอยูกลางหอศิลปนี้
กับเรื่องราวที่ศิลปนพยายามปะติดปะตอความทรงจําที่ดีในอดีต ใหเกิดขึ้นอีกครั้งเหมือนเปนการสราง
ความสัมพันธระหวางงานรวมสมัยไปสูอดีต และใชเทคโนโลยีผสมงานหัตถศิลปใหเปนงานศิลปะขึ้นมาได ไซ
มอน สตารลิง (Simon Starling) เกิดที่อังกฤษ ปจจุบันอาศัยและทํางานที่เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมารก
กับผลงาน Three White Desks (2008-2009) เขาหลงใหลกับงานที่เปนทักษะฝมือของมนุษยในงาน
ออกแบบ จนนําจุดนั้นมาเปนกระบวนการทํางานศิลปะ เพื่อใหเกิดการเปลี่ยนแปลง การทําใหม และการ
จัดการใหเปนรูปรางขึ้นมา งานของเขาชิ้นนี้ไดกลาวถึงโตะตัวหนึ่งซึง่ ออกแบบโดยฟรานซิส เบคอน (Francis
Bacon) เพื่อนักเขียนชาวออสเตรเลียที่ชื่อ แพทริก ไวท (Patrick White) ในชวงที่เบคอนยังคงทํางาน
ออกแบบในยุคตนป 1930 และในชวงป 1947 แพทริก ไวท ไดเดินทางกลับไปยังออสเตรเลียโดยที่ไมไดนําโตะ
ตัวนั้นกลับบานเกิดดวย แตเขาไดนํารูปภาพของโตะตัวนีไ้ ปใหชางที่ซิดนียทําขึ้นมาใหมแตก็ไมเปนผลสําเร็จ
ศิลปนจึงอยากจะสานเรื่องราวนี้ใหเปนความจริงขึ้นมา จากรูปถายใบเดียวกัน โดยสงไปใหชางที่เบอรลินซึ่ง
เปนที่ผลิตโตะตัวแรกใหทําขึ้นมาใหม จากนั้นจึงสงรูปไปใหชางที่ซิดนียทําขึ้นเปนตัวที่สอง และสงไปใหชางที่
ลอนดอนทําเปนตัวที่สาม และนําโตะทั้งหมดที่สั่งทําจากแตละที่มาจัดแสดงเพื่อใหความทรงจําจากอดีตปรากฏ
ขึ้นอีกครั้ง
ศิลปนเปรียบเปนเหมือนนักทองเที่ยว และเปรียบเทียบงานภาพวาดเหมือนเปนเทคโนโลยี GPS
(Satellite Navigation) ที่สื่อสารอยางไรพรมแดน ฟรันซ อัคเคอรมานน (Franz Ackermann) เกิดและ
ทํางานที่เบอรลิน กับงาน Gateway-Getaway (2008-2009) งานของเขาสวนมากเปนการจัดวางของสังคม
เมือง และมีขนาดใหญซึ่งเปนตัวเปรียบเทียบกับลักษณะงานจิตรกรรม (painting) แบบประชดประชัน งานสี
น้ําของเขาเปรียบเหมือนเปนแผนที่ทางจิต (mental maps) การจัดวางงานตองการที่จะใหคนดูเผชิญหนากับ
งานสองมิติที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนมุมมองในระยะที่เดินดู การวาดภาพที่เปนแนวราบเหมือนเปนที่วางที่
บังคับคนดูใหเขาไปและใชประสบการณกับมัน เปนเหมือนการบังคับการมองเห็นที่นําไปสูสภาวะแวดลอมที่
ลวงตาในงานของเขา ดวยวิธีการวาดและใชเสนสายตาเปนตัวชี้นําประสบการณของศิลปนใหกับคนดูไดคลอย
ตามและถูกลอลวงดวยมิติระนาบของงานศิลปะ
[1]
http://www.tate.org.uk/whats-on/tate-britain/exhibition/altermodern/explain-altermodern/altermodern-explained-manifesto
[2]
http://www.phaidon.com/agenda/art/articles/2012/march/14/the-phaidon-guide-to-art-speak-altermodern/
ภาพประกอบจาก Tate Britain
From Puk-kun to Mari (2008) และ Hong Rub Khaek (2008) โดย นาวิน ลาวัลย์ชยั กุล
Identity 8 rooms 9 lives
เราคือใคร
Wellcome Collection, London.
ชารลอต ลอตต (Charlotte Lotte) และ เอมิลี ฮินช (Emily Hinch) ฝาแฝดเปนตนแบบที่ดีของการ
ตามหาเอกลักษณเฉพาะตัว เพราะฝาแฝดนั้นมีอะไรหลายอยางที่ทั้งเหมือนและไมเหมือนนอกจากหนาตาและ
นิสัยใจคอ ซึ่งเรามักคิดวาฝาแฝดมักจะตองคิดหรือทําอะไรหลายๆ อยางเหมือนกันหรือทําแทนกันได ซึง่
นักวิทยาศาสตรไดพยายามศึกษาทั้งแฝดเหมือนและแฝดคลายซึ่งเกิดจากไขใบเดียวกันและคนละใบตามลําดับ
ในเรื่องของสุขภาพ นิสัย และลักษณะเฉพาะตัว ครอบครัวตระกูลฮินชมีฝาแฝดถึงสามรุน โดยที่แตละรุนจะมี
แฝดที่แตกตางกันออกไป เริ่มจาก (Julian) และเจเรมี (Jeremy) เปนแฝดเหมือนทุกอยางที่ตอนนี้ทั้งคูมีอายุ
40 ปตนๆ แตก็ยังอาศัยอยูดวยกัน ทั้งคูในวัยเด็กนั้นเลนของเลนเหมือนกัน แตงตัวเหมือนกัน แตพอโตขึ้นก็เริ่ม
มีความคิดที่แตกตางกัน เชน ฟงเพลงคนละแนว เขียนหนังสือดวยภาษาความคิดตางกัน เปนตน โดยที่แมของ
พวกเขาก็เปนฝาแฝด จนมาถึงรุนลูกของ Julian ซึ่งเปนแฝดที่เกิดจากการผสมในหลอดแกว ลูกสาวของเขาจึง
ไมเหมือนแฝดรุนพอ ชารลอตและเอมิลีไมเหมือนกันทั้งรูปรางหนาตาและนิสัยซึ่งแตกตางจากแฝดรุนพอ สิ่งนี้
เปนสิ่งที่นาแปลกใจของนักวิทยาศาสตรวา เหตุใดแฝดแตละคูจึงไมเหมือนกัน แมจะเกิดในตระกูลเดียวกัน
การเลี้ยงดูแบบเดียวกันก็ตาม
ตัวอยางที่ยกมานั้น พอจะเปนขอมูลใหไดศึกษาวิเคราะหถึงลักษณะเฉพาะของมนุษยวามีความ
เชื่อมโยงอยางไรกับทั้งดานวิทยาศาสตรและมานุษยวิทยา และถาเราเอามาเชื่อมโยงกับงานศิลปะ เราจะพอ
มองออกไหมวา ลักษณะเฉพาะของงานศิลปะของแตละศิลปนนั้นบงบอกอะไรหรือไมอยางไร นาลองคิด
เหมือนกันนะครับวาทุกวันนี้ศิลปนหลายคนพยายามบงบอกวางานของตัวเองมีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งใครก็ไม
สามารถทําไดเหมือนเจาของ บางทีเขาอาจจะคิดผิดเหมือนนักวิทยาศาสตรสมัยโบราณก็เปนได หรืออาจจะ
เปนแคบทบาทการแสดงอยางหนึ่งในชีวิตประจําวันเทานั้นเอง ในมุมกลับกัน ลักษณะเฉพาะของศิลปนหลาย
คนก็โดดเดนจนเปนที่ยอมรับทั้งในวงการศิลปะและกับสังคมปจจุบัน ทั้งๆ ที่ตอนตนอาจจะไมไดเรียนศิลปะมา
เลยก็ตาม นาสนใจไหมครับวาจริงๆ แลวเอกลักษณเฉพาะของแตละคนนั้นมาจากไหน ถึงตอนนี้ผมก็ไดแตหวัง
วาลักษณะเฉพาะที่กลาวมาทั้งหมดจะทําใหศิลปนหลายๆ คนกลับมามองยอนดูงานของตัวเองวาเปนเรื่องจริง
หรือลวง
[1]
http://www.bionews.org.uk/page_54471.asp
[2]
http://www.theguardian.com/artanddesign/2009/nov/29/identity-eight-rooms-nine-lives
[3]
http://www.theguardian.com/artanddesign/2009/nov/29/identity-eight-rooms-nine-lives
ภาพประกอบจาก Wellcome Collection
เอพริล แอชลีย
ฟรันซ โยเซฟ ไกล
ฟโอนา ชอว
ภาพการทํางานสมองโดย ฟรันซ โยเซฟ ไกล
http://www.npg.org.uk/gayicons/exhib.htm
http://www.pinknews.co.uk/2009/07/24/review-national-portrait-gallery-salutes-gay-icons/
http://www.wexphotographic.com/blog/gay-icons-national-portrait-gallery
ภาพประกอบจาก National Portrait Gallery
โจ ดัลเลสซันโดร
เค.ดี. แลง
โจ ออรตัน
ฮารวีย มิลก
ฟรานซิส เบคอน
เดวิด ฮอกนีย
Found
สิ่งมีคาที่หาเจอ
Haunch of Venison, London
http://www.modemonline.com/art/modem-mag/news/438
http://www.dezeen.com/2009/12/04/found-by-stuart-haygarth-at-haunch-of-venison/
ภาพประกอบจาก Haunch of Venison
โคมไฟจากกระจกขางรถยนต
โคมไฟจากขาแวนตา
โตะจากเศษกระจกแตก โคมไฟจากแวนตา
โคมไฟฐานตุกตาเซรามิก โคมไฟจากฝาขวด
TellingTales: Fantasy and Fear in Contemporary Design
นิทานออกแบบปรัมปรา
V&A Museum, London
http://www.iconeye.com/read-previous-issues/icon-076-|-october-2009/telling-tales
http://www.theguardian.com/artanddesign/2009/jul/17/victoria-and-albert-telling-tales
http://www.dezeen.com/2009/07/15/telling-tales-at-the-va/
ภาพประกอบจาก V&A Museum
Telling Tales
The Fig Leaf Wardrobe (2008) โดย ทอร์ ด บุนชิ
เฉกเชนเดียวกับสิ่งอื่นที่ไดรับผลกระทบจากเม็ดฝนที่ถาโถม การกัดเซาะของน้ําฝนกับประติมากรรม
ทําใหเกิดสนิม และเหตุการณประหลาดก็เกิดขึ้น เมื่อพวกมันเริ่มโตขึ้นและโตขึ้นเหมือนตนไมที่กระหายน้ํามา
เปนเวลานานแสนนาน เตียงนับรอยเตียงทามกลางประติมากรรมหลายชิ้นเพื่อเตือนความทรงจําของศิลปน เฮ
นรี มัวร (Henry Moore) กับงานชุด The Shelter Drawings (1940-1941) แอปเปลถูกกัดกิน Apple Core
(1992) ศิลปน แคลส โอลเดนเบิรก (Claes Oldenburg) แมงมุมยักษของคุณยายหลุย บูรชัวส (Louise
Bourgeois) และนกฟลามิงโกสีแดงของ
อเล็กซานเดอร คัลเดอร (Alexander Calder) เตียงเหลานั้นถูกบรรจุดวยผูคนที่อพยพเขามายังโถงกลางแหงนี้
เตียงแตละเตียงถูกวางดวยหนังสือหนึ่งเลมใหอาน เพื่อลดความหดหู จอภาพที่อยูเบื้องหนาฉายหนังที่ดูแปลก
แหวกจากการตัดตอหนังวิทยาศาสตรเรื่อง Solaris (1972), Fahrenheit 451 (1966) และ Planet of the
Apes (1968) ผสมปนเปไปกับงานนามธรรมของ โจอันนา โวด (Johanna Vaude) ชิ้นที่ชื่อวา L'Oeil
Sauvage (1998) สลับกับรูปภาพจากนิยายวิทยาศาสตรเรื่อง La Jetée (1962) ซึ่งดําเนินเรื่องดวยรูปถาย
เกือบทั้งเรื่องและกํากับโดยคริส มารกเกอร (Chris Marker) ในตอนนี้ที่นี่ถูกปดมากวาป เพื่อปองกันการทวม
ของน้ําฝน จนงานศิลปะกลายเปนเรื่องนาฉงนของภาวะเชนนี้ ภาพที่ซอนกันเหมือนหยดน้ํากระเพือ่ ม ซึ่งมีทั้ง
งานประติมากรรม วรรณกรรม ดนตรี ภาพยนตร ภาพของผูคนและเสียงสายฝน ถูกรวมไว ณ ที่นี้ [2]
[1]
http://www.tate.org.uk/whats-on/tate-modern/exhibition/unilever-series-dominique-gonzalez-foerster/dominique-gonzalez-0
[2]
http://www.tate.org.uk/whats-on/tate-modern/exhibition/unilever-series-dominique-gonzalez-foerster/dominique-gonzalez-0
http://www.telegraph.co.uk/culture/art/3562113/TH.2058-A-nightmare-unleashed-at-Tate-Moderns-Turbine-Hall.html
ภาพประกอบจาก Tate Modern
The Studio and Goat's Skull, Bottle and Candle (1952) โดย ปื กัสโซ
The Pack (1969) โดย โจเซฟ บอยส์
http://www.mmk-frankfurt.de/en/ausstellung/current-exhibitions/exhibition-details/exhibition_uid/1197/
ภาพประกอบจาก Museum für Moderne Kunst Frankfurt am Main
Bradley “The Beast“ Field R.I.P. (1997) โดย สตีเวน พาร์ ริโน
Green Disaster 2 โดย แอนดี วอร์ ฮอล
บรูซ นิวมัน
(We are the world) Somethinghas to change for everythingto stay the same.
วากันดวยเรื่องของสงครามกับศิลปะ
The Hayward Project Space, London.
ชวงที่กําลังเขียนตนฉบับอยูนี้ ขาวสถานการณบานเมืองของเรากําลังรอนระอุไปดวยกลิ่นของการสูรบและคาว
เลือด ขาวจากสื่อตางๆ ทั้งในและตางประเทศดูจะมีความคลาดเคลื่อนกันอยางกับอยูคนละสถานการณ จน
แยกไมออกวาจริงๆ แลวเราควรที่จะเชื่อใคร หรือไมควรที่จะเชื่อใคร แตสิ่งที่เชื่อที่สุดคือ สงครามในใจของคน
ในชาติกันเอง แทจริงแลวพวกเราทําสงครามกันทุกวันตั้งแตเกิด การดิ้นรน การแกงแยง ซึง่ เจอะเจอไดในทุก
ชนชั้น แตเราไมเคยรูเลยวานั่นคือสงคราม จนกระทั่งเราเห็นความตาย
http://www.theguardian.com/artanddesign/2010/feb/03/artist-michael-rakowitz
http://artpulsemagazine.com/michael-rakowitz-star-wars-meets-saddam
http://www.e-flux.com/announcements/martin-sastre/
KIM X LIZ (2008) โดย มาร์ ติน ซัสเตร
Ride with Obama (2009) โดย มาร์ ติน ซัสเตร
The worst condition is to pass under a sword which is not one's own (2009) โดย ไมเคิล ราโควิช
Coming Soon - The Moon, The Stars and The Sun (Strike the Empire Back Series) (2009) โดย
ไมเคิล ราโควิช
http://www.theguardian.com/artanddesign/2009/feb/01/unveiled-saatchi-gallery-review-art
http://www.telegraph.co.uk/journalists/richard-dorment/4346252/Unveiled-New-Art-from-the-Middle-East-at-the-Saatchi-Gallery.html
http://www.saatchigallery.com/artists/unveiled/
ภาพประกอบจาก Saatchi Gallery
Spectre (The Yacoubian Building, Beirut) (2006-2008) โดย มาร์ วนั เรชมาอุย
(Untitled 2008) โดย อาฮ์หมัด มอร์ เชดลู
ซุน หยวน (Sun Yuan) และ เผิง หยู (Peng Yu) ศิลปนจากจีนในหองแสดงที่ 13 ชั้นใตดิน หองแสดง
นี้มาจากการแสดงของนิทรรศการครั้งที่แลว “The Revolution Continues: New Chinese Art” ที่
แนวความคิดยังเขากับการแสดงครั้งนี้ เลยยังเก็บไวอยู สองศิลปนที่มักพูดเรื่องของความขัดแยง เขามักใชวัสดุ
ที่ดูตื่นตาตื่นใจ เชน เนื้อมนุษยที่มีแตไขมัน ศพเด็กทารกและสัตวเปนๆ เพื่อสื่อถึงเรื่องของความตายและ
เงื่อนไขของการเปนมนุษย ในงานชุดนี้ Old Persons Home (2007) เขาตองการใหผูคนประหลาดใจในภาพ
ของผูนําประเทศที่มีบทบาทในสงครามที่มีแตความโหดราย เมื่อถึงวัยชรากลับทําอะไรไมไดกับรางกายของ
ตัวเอง ฟนหัก น้ําลายไหล ตองนั่งบนรถเข็นที่เคลื่อนที่ชนกัน เหมือนหอยทากเดิน การลอเลียนภาพของผูนํา
เชนนี้เพื่อใหเห็นสัจธรรมของชีวิตวา ในที่สุดแลว ผูนําเหลานี้ก็ไมอาจอยูกับสงครามไปตลอด ตองมีวันหมด
สมรรถภาพ เปนคนชราไรเรี่ยวแรงอยูวนั ยังค่ํา เหมือนกับสงครามที่ตองรางราเมื่อไรผูนํา งานนี้ดูจะมี
ความหมายที่ลึกซึ้งมากกวาตองการสื่อถึงเทคโนโลยีที่ใชจัดแสดงที่ดูนาเขาไปมีสวนรวมกับงานศิลปะที่กําลัง
เคลื่อนไหวนี้ หลายคนเฝาสังเกตการณวารถเข็นของผูนําคนใดจะชนกับรถเข็นใคร จะเคลื่อนที่ไปทางไหน ซึง่ ก็
ตรงกับจุดมุงหมายของศิลปนที่ตองการใหเห็นถึงสัจธรรมของมนุษยในเรื่องของการเกิด แก เจ็บ และตาย
โลกศิลปะของชาวตะวันออกกลาง โลกที่เต็มไปดวยความขัดแยงอยางรุนแรงทั้งในเรื่องการเมือง
เศรษฐกิจ ศาสนา และในเรื่องเพศ ศิลปนไดเปดเผยตัวตนที่แทจริงในโลกอีกใบหนึ่งที่เราไมคอยจะไดพบเห็น
มากนักกับงานศิลปะแบบนี้ ในโลกของความเปนจริงอาจจะมีความโหดราย หดหูตามภาพขาวทางโทรทัศน
มากกวาที่เห็นในงานศิลปะ ซึ่งศิลปนเปนไดเพียงผูสังเกตการณที่สะทอนภาพเหลานั้นเผยแพรสูสายตาผูคน
จากทั่วโลก งานของพวกเขาเปรียบเสมือนเปนกระบอกเสียงที่สําคัญใหกับประชาชนในดินแดนที่ตองการความ
สงบและเสรีภาพ นี่คือความยิ่งใหญของศิลปะที่สวยงามและมีพลังแหงอิสรภาพที่แฝงตัวอยู นิทรรศการ
“Unveiled: ปลดผาคลุมหนา” ไดเปดเผยถึงเสรีภาพในใจของชาวตะวันออกกลางเฉกเชนผูคนจากทุก
ประเทศที่ตองการสันติภาพ อิสรภาพ และความเทาเทียมในความเปนมนุษย ที่จะสามารถดํารงชีวิตนี้ไดอยาง
ไมตองปดบังภายใตผาคลุมผืนนั้นอีกตอไป
http://www.theguardian.com/artanddesign/2009/feb/01/unveiled-saatchi-gallery-review-art
http://www.telegraph.co.uk/journalists/richard-dorment/4346252/Unveiled-New-Art-from-the-Middle-East-at-the-Saatchi-Gallery.html
http://www.saatchigallery.com/artists/unveiled/
ภาพประกอบจาก Saatchi Gallery
เราลองมาดูงานของเธอไปเรื่อยๆ แวบแรกที่เห็นวัตถุสีทองก็ไมไดสังเกตอะไรมากกับวัตถุตรงหนา ดู
แลวก็เดินเลยผานไปกับงานที่ชื่อวา Things that happen again (1986) เธอสรางงานชุดนี้จากหนึ่งในสี่งาน
ที่เปนงานจัดวาง ในปลายชวงป 1980 แทงทองแดงปลายตัดทั้งสองขาง ซึ่งขางหนึ่งเล็กกวาอีกขางหนึ่งถูกวาง
อยูในหองสองหอง เมื่อผูชมเดินผานหองแรกจะเห็นงานชิ้นที่หนึ่ง จากนั้นเมื่อเดินผานไปอีกหองหนึ่งที่อยู
ติดกันก็จะเห็นงานที่เหมือนกันอยูในหองนั้นเชนเดียวกัน ผูชมทั่วไปอาจจะเถียงในใจวามันตองมีอะไรที่ไม
เหมือนกับในหองแรกอยางแนนอน จากนั้นจึงเฝาสังเกตความแตกตางของงานทั้งสองชิ้น ทั้งๆ ที่ทั้งสองชิ้นนั้น
เหมือนกันทุกประการ เหตุผลเนื่องมาจากสมองไดถูกปดกั้นความคิดจากงานชิ้นแรกไปแลววามันเสร็จสิ้นแลว
ทําใหเรารูสึกวาชิ้นที่สองจะตองไมเหมือนเดิม และที่วางระหวางงานทั้งสองชิ้นไดกลายมาเปนสวนหนึ่งของงาน
แทนที่งานประติมากรรมไปสูอีกสถานะหนึ่ง ที่สภาพแวดลอมของงานก็กลายเปนงานดวย
นี่ก็เปนแคตัวอยางงานบางสวนของเธอที่นํามาจัดแสดงครั้งนี้ที่ผมเห็นวามีความพิเศษตอการรับรูทาง
ศิลปะและการตีความในมุมมองของศิลปนซึ่งบอกแตขางตนวา เอกลักษณไมจําเปนตองคงอยูกับที่ หากแตมัน
มีความเคลื่อนไหวไดนั้น ผมมองวาถาเปนในเรื่องของวัสดุ เทคนิค กระบวนการทํางานนั้นเปนเรื่องดังที่เธอ
กลาวมาทั้งสิ้น แตในเรื่องของความคิดนั้นความเปนเอกลักษณของเธอกลับเดนชัดในงานที่แสดงออกมา
เหลือเกิน ดังเชนสระน้ําที่สะทอนเรื่องราวตางๆ ความคิดที่ตองใชการสังเกต วิเคราะหเหตุผลที่มาที่ไปในตัว
ชิ้นงาน หรือในทางตรงกันขามคุณก็ไมตองทําอะไรเลยกับความคิดนั้น แคเปนผูสังเกตการณและใช
ประสบการณที่มีมองดูงานศิลปะของเธอใหเปนอิสระจากพันธนาการทั้งปวง นาจะเปนการดีทั้งสองแบบ ดังที่
เธอไดเสนอแนวทางเอาไว สําหรับตัวผมไดมุมมองที่เพิ่มขึ้นในการดูงานศิลปะอยางเห็นไดชัดวา ไมควรที่จะ
มองขามงานศิลปะชิ้นใดๆ ไมวางานนั้นจะมีเอกลักษณหรือไมก็ตาม เพราะประสบการณและเวลานั้นจะเปนตัว
บอกคุณคาของงานชิ้นนั้นผานสถานที่และคุณคาของตัวมันเอง “เอกลักษณคือสายน้ํา” ที่ไมไหลยอนกลับ แต
มันจะนําพาประสบการณที่มากขึ้นไหลผานเสนทางศิลปะของศิลปนตอไป
http://www.artinamericamagazine.com/news-features/news/roni-horn-aka-roni-horn-/
http://www.tate.org.uk/whats-on/tate-modern/exhibition/roni-horn-aka-roni-horn
http://www.theguardian.com/artanddesign/2009/mar/14/roni-horn-tate-modern-exhibition
http://artpulsemagazine.com/roni-horn-aka-roni-horn-at-the-tate-modern-level-4
ภาพประกอบจาก Tate Modern
หนังสือพิมพไมใชเปนเพียงแคแหลงความรูแตมันยังเปนพื้นที่ของผูบริโภค การไวเนื้อเชื่อใจในหนา
โฆษณาเหมือนเปนการตออายุสมาชิกโดยอัตโนมัติ ในงาน In Watching You without me (2010) ซึ่งเปน
งานที่รําลึกถึง ไดเทอร รอท (Dieter Roth) กับโปรเจกต The sea of tears งานที่สัมพันธกับการโฆษณาที่มี
คติคําพังเพยในนั้น และออรเตกานํากลับมาทําใหมโดยเขาไดซื้อรองเทาบูทสีน้ําตาลจากหนาโฆษณาใน
หนังสือพิมพอินดีเพนเดนต (Independent) เมื่อสัปดาหกอนที่เขาจะนํารองเทานี้กลับมาประกาศขายอีกครั้ง
ในหนาหนังสือพิมพเดียวกัน ไอเดียนี้เปนการทําลายโครงสรางของหนังสือพิมพกับไอเดียของเขาซึ่งถือเปนการ
แลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจมากกวาการซื้อขายจริง
ตอนที่ออรเตกาเปนนักวาดการตูนการเมืองในเม็กซิโก เขาทํางานในฐานะนักขาวที่ตองตอบสนอง
ความเปนจริงในสังคม ประสบการณนี้ชวยพัฒนาโปรเจกตของเขา อารมณของนักเขียนการตูนที่ทั้งขบขันและ
กดดันนั่นคืออาวุธในงานศิลปะ เมื่อเร็วๆ นี้เขาไดไปพูดที่สถาบันศิลปะรวมสมัย (ICA: Institute of
Contemporary Art) ที่เมืองบอสตัน และมีใครคนหนึ่งในจํานวนผูมาฟงกลาวถึงงานของเขาวา รูสึกถึงความ
นากลัวทางกายภาพในงาน บางทีประสบการณของความกลัวอาจจะมาจากการแตกหักผุพังของอะไรบางอยาง
ในธรรมชาติ การใชชีวิตประจําวันของสิ่งของในงาน มันไดแปรเปลี่ยนไปสูโครงสรางภายใน วัตถุนั้นดูแตกตาง
และบางทีเปนการกระทําของมนุษยที่ไมไดเคยคิดมากอนวามันจะเกิดอะไรขึน้ และบางครั้งสิ่งของวัตถุคือการ
พัฒนาของสิ่งมีชีวิต การปรับเปลี่ยนประโยชนใชสอยและเปดเผยอีกดานของพวกมัน เขายังไมแนใจวา
ความคิดนี้มันกระจางหรือยัง แตก็คิดวาสิ่งขบขันและความกลัวไดผลิตบางอยางที่มันไมแนนอน บังคับใหคนดู
ตั้งคําถามและสอบถามกลับไปถึงวัตถุเหลานั้น มันก็เหมือนกับการพลิกเหรียญอีกดานเพื่อดู ซึ่งนาสนใจที่เปน
การสรางองคความรูใหมๆ และมันก็เหมือนเปนการบังคับคนดูใหสงสัยในสิ่งที่เขาทํา ใหพวกเขาไดคิดตาม นั่น
คือสิ่งที่นาสนใจในงานศิลปะ
หนังสือพิมพ ขาวสารที่เกิดขึ้นทุกขณะในระหวางที่กําลังหายใจคือปจจัยสําคัญและเปนแหลงขอมูลอัน
ดีของศิลปนในการสรางสรรคผลงาน คําถามที่ถามกลับไปวาในปจจุบันนี้ขอมูลขาวสารนั้นมีน้ําหนักและความ
นาเชื่อถือ รวมถึงมีขอเท็จจริงมากนอยแคไหน หรือการที่หนังสือพิมพไมมีปจจัยตามที่กลาวมานั้น ก็เปนขอมูล
ใหศิลปนไดหยิบยกมาทํางานไดเชนเดียวกัน ทั้งหมดนี้คือการทํางานที่มีสวนรวมและรับผิดชอบตอสังคม ถาม
กลับมาที่สังคมบานเรา ทุกวันนี้ศิลปนและนักออกแบบมีสวนรวมและรับผิดชอบตอสังคมและสวนรวมแคไหน
หรือแคอานหนังสือพิมพนั้นเพื่อหาปจจัยของความบันเทิงแคนั้น ทั้งหมดนี้เมื่อมองยอนกลับมาดูตัวเองและ
บทบาทหนาที่ของสังคมนั้น จะเหมือนกับการอานหนังสือพิมพที่สะทอนเรื่องราวความเปนไปเปนมาหรือไม
คําตอบนั้นอยูที่กระบวนการคิดที่ไดหลังจากการอานหนังสือพิมพ
http://we-make-money-not-art.com/archives/2010/11/damian-ortega-the-independent.php#.UyZ74oWJnms
http://www.thisistomorrow.info/viewArticle.aspx?artId=520
http://www.independent.co.uk/arts-entertainment/art/features/art-thats-making-the-headlines-the-independent-
inspires-damin-ortegas-latest- sculptures-2105953.html
ภาพประกอบจาก Barbican, London
ตอนนี้มีนิทรรศการครั้งสําคัญซึ่งเหมือนเปนการเฉลิมฉลองครบรอบสิบปของการเปดที่นี่ ที่ซึ่งมีสวน
สําคัญกับงานศิลปะ สังคม และปรากฏการณบนโลกใบนี้ จึงไดจัดใหมีนิทรรศการ “YOU_ser. The Century
of the Consumer” ขึ้น โดยที่หลายปที่ผานมาไดมีงานทั้ง Op-Art, Kinetic and Cybernetic Art, Arte
Programmatic, Conceptual art, Fluxus, ,Happenings and interactive computer-aided
installations ผานสายตาผูชมมาตลอดสิบป ซึ่งศูนยศิลปะแหงนี้เปดโอกาสใหผูชมมีสวนรวมได ใน
ขณะเดียวกันทางฟากของอินเทอรเน็ตก็ไดแบงพื้นที่ไวใหไดสรางสรรคผลงานกันโดยผานทางเว็บไซตเชน
www.flickr.com, www.youtube.com, www.myspace.com และ www.secondlife.com จะเห็นไดวา
ศิลปนไมไดถูกจํากัดการสรางสรรคผลงานอีกตอไป และทุกคนตางเขารวมเปนสวนหนึ่งสวนใดของงานได ไมวา
จะมาเปนผูกํากับ ผูออกแบบ ผูรวมแขงขันทางสื่อโทรทัศน วิทยุ และหนังสือพิมพ ทุกคนลวนเกี่ยวของกัน ไม
เฉพาะแตโลกไซเบอรเทานั้นที่เจริญถึงขีดสุด แตกับตัวศูนยศิลปะเองนั้นก็สงผลใหมีความเจริญและมีแนวโนม
การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม สังคมของผูบริโภค จึงทําใหเกิดการศึกษา การเรียนรูใหมๆ ที่ครอบคลุมมาก
ยิ่งขึ้น นิทรรศการนี้ผูชมจึงเปนเหมือนการชมงานเพื่อปลดปลอยตัวเอง พวกเขาสามารถทําตัวเปนศิลปน
ภัณฑารักษ และผูผลิต ดังคํากลาวที่วา “YOU are the content of the exhibition” (คุณคือเนื้อหาของ
งานนิทรรศการนี)้ ไมวาคุณจะเปนใคร คุณก็สามารถมีสวนรวมในงานนี้ได นิทรรศการซึ่งจัดใหเพื่อผูบริโภคงาน
ศิลปะลวนๆ
แวบแรกที่เดินผานประชาสัมพันธ เมื่อเงยหนาขึ้นไปก็พบกับรูปทรงคลายๆ กระปองพลาสติกสองแสง
ไดนับพันๆ ใบอยูบนหัว ตอนแรกคิดวานี่คือการตกแตงเพื่อใหสวยงามเฉยๆ พอมาอานเจอวาเปนโปรเจกตหนึ่ง
ที่ชื่อวา “HYPERION Fragment, 2008” โปรเจกตนี้เปนการทํางานรวมกับศิลปนเมืองซตุตตการต
(Stuttgart) และนักประพันธเพลง กีออรก ฟรีดิช ฮาส (Georg Friedrich Hass) เพื่อใชแสดงในงานเทศกาล
ดนตรีโดเนาเอชิงเกน (The Donaueschingen Music Festival) ในป 2006 ในครั้งนั้นประกอบไปดวยแสงสี
ตางๆ ถึง 3,150 จุดในกระปองพลาสติกสีขาวขุน ซึ่งจะเปลี่ยนสีไปตามจังหวะดนตรีที่ตั้งโปรแกรมเอาไว และมี
ขนาดถึง 9.25 x 27 เมตร โดยไดแนวความคิดจาก "Light Music for a Large Orchestra" (ดนตรีเบาๆ เพื่อ
วงออเคสตราขนาดใหญ) ซึ่งหลังจากงานนั้นจบลง งานชิ้นนี้ก็กลายมาเปนงานแสดงศิลปะการจัดวางแสง
(Light Installation) ใหกับศูนยศิลปะแหงนี้เปนตนมา เสียดายที่ปจจุบันเคาไมไดเปดเพลงประกอบตามแสงสี
แลว เลยเหมือนไมครบองคประกอบที่สมบูรณ
งานชิ้นแรกเปนงานของ ไอราน คัง (Airan Kang) กับงาน The space of book-The Sublime
(2009) เปนการนําเอางานมีเดียผสมกับงานของหนังสือทําใหผูชมเสมือนอยูในโลกของหนังสือที่สามารถสัมผัส
ไดจริง โดยที่จะตองนําเอาหนังสือที่สรางขึ้นเปนรูปทรงกลองที่มีแสงไฟและชื่อหนังสือตรงสัน หยิบเขามาใน
หองและยืนตรงตําแหนงที่สามารถสัมผัสกับการระบุตัวตนดวยคลื่นวิทยุ (RFID: Radio Frequency
Identification) ซึ่งเมื่อระบบไดรับขอมูลมันก็จะทําการแพรภาพขอมูลบนจอสกรีนที่อยูเบื้องหนาจะปรากฏ
เนื้อหาของหนังสือบนจอนั้น ในขณะที่ 3 จอรอบขางก็จะมีภาพเนื้อหาที่เกี่ยวของใหไดชมดวยเชนกัน โดยมี
หนังสือ 5 เลมประกอบของ คาสปาร ดาวิด ฟรีดิช (Caspar David Friedrich, 1774-1840) , โจเซฟ มัลล
อรด วิลเลียม เทอรเนอร (Joseph Mallord William Turner, 1775-1851) , มารก รอทโก (Mark Rothko,
1903-1970) , บารเน็ตต นิวแมน (Barnett Newman, 1905-1970) , เจมส เทอรเรล (James Turrell,
1943) ในอนาคตการอานหนังสือจึงไมจํากัดแคในกระดาษหรือคอมพิวเตอรอีกตอไป สื่อในอนาคตจะทําให
หนังสือมีชีวิตเสมือนของจริงมากยิ่งขึ้น เปนโปรเจกตที่ทําออกมาแลวสวยในแงที่เปนทั้งประติมากรรม มีเดีย
และการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเขากับศิลปะ
ตอมาเปนงานของ คริสตา ซอมเมอเรอร และ โลรอง มีญงโน (Christa Sommerer & Laurent
Mignonneau) กับงาน Life Writer (2006) เปนการผสมผสานกันระหวางสิ่งของโบราณกับเทคโนโลยี การ
นําเอาพิมพดีดรุนเกาที่เชื่อมตอกับระบบคอมพิวเตอร เมื่อคุณพิมพบนแปนพิมพจะปรากฏรูปทรงคลายกับตัว
แมงมุมและตัวอักษรออกมาตามจํานวนการพิมพ แมงมุมพวกนี้จะคอยกัดกินตัวอักษรบนหนาจอสกรีนที่ดู
คลายกับกระดาษพิมพดีด พวกมันจะแพรพันธุไดรวดเร็วมากจนเต็มหนากระดาษ วิธีที่จะกําจัดมันคือการหมุน
กระดาษกลับเขาแปนพิมพใหเหมือนเดิมนั่นเอง ในแนวความคิดนี้เปนการกําเนิดสิ่งมีชีวิตไปสูแนวความคิด
และนําความคิดนี้เพื่อสงผลตอการพัฒนาการกาวหนา การหลบเรน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลง โปรเจกตที่
พิเศษนี้ไมใชเพียงการใชเทคโนโลยีสมัยใหมไปสูฟอรมของงานประติมากรรมเทานั้น แตมันเปนการรวมความ
เกาและใหมของเทคโนโลยีไปสูการพัฒนาตอของสื่อทางโบราณคดีอีกดวย ตามแนวความคิด "Living Art"
(ศิลปะมีชีวิต) ที่สําคัญยังเปนการตั้งเงื่อนงําคําถามถึงอนาคตเกี่ยวกับการที่มนุษยมีความสัมพันธกับสมองกล
และระดับความสัมพันธของการอยูรวมกันของสิ่งมีชีวิตทั้งมนุษยและเครื่องจักรอีกดวย ผมเห็นเด็กๆ เลนกัน
อยางสนุกสนานกับงานชิ้นนี้ งานซึ่งแฝงไปดวยคมความคิดของการใชชีวิตของมนุษยกับเทคโนโลยี
เปนการยากที่จะทํางานศิลปะโดยการพัฒนาเทคโนโลยีมารองรับความคิดของศิลปนที่จินตนาการเปน
รูปราง มีแนวความคิดใหสอดคลองกัน และยากขึ้นไปอีกที่จะตองตอบโจทยของงานนี้ที่จัดขึ้นเพื่อผูบริโภคหรือ
คนดูใหสามารถเขาไปมีสวนรวมกับงาน ที่จะตองดูสนุก เพลิดเพลิน แตก็แฝงดวยความคิดที่เมื่อชมเสร็จ เลน
เสร็จ อาจจะตองมองยอนมาที่งานวา ศิลปนและผูชมไดรวมกันทํางานศิลปะเปนไปตามจุดมุงหมาย และได
คํานึงถึงงานศิลปะวามันมีความสําคัญกับมนุษย สังคม และโลกใบนี้อยางไร และเทคโนโลยีและสื่อนั้นจะมี
บทบาททั้งในแงมุมที่ดีและไมดีอยางไรตอไปในอนาคตภายหนา มนุษยเทานั้นที่จะเปนตัวกําหนดบทบาทของ
สิ่งเหลานี้ไมใชสื่อหรือเทคโนโลยีที่เปนตัวกําหนดบทบาทของมนุษย
http://www02.zkm.de/you/
http://www.goethe.de/kue/bku/kpa/en2945010.htm
ภาพประกอบจาก ZKM: Center for Art and Media
Life Writer (2006) โดย คริ สตา ซอมเมอเรอร์ และ โลรอง มีญงโน
Cell Phone Disco (2007) โดย อินฟอร์ เมชันแล็บ
Mikrogalleri.es (2007) โดย เม หยาง (Mehi Yang) และ แอกเซิล โรช (Axel Roch)
โทมัส กรุนเฟลด (Thomas Grünfeld) เกิดป 1956 ที่เมืองโอพลาเดน (Opladen) ของเยอรมัน งาน
ของเขาเปนประสบการณความทรงจําชวงยุคหลังยุคแนวความคิดสมัยใหม (Modernism) เปนการสราง
ประโยชนใชสอยขึ้นมาใหมจากของเดิมที่มีอยู โดยยกเลิกทัศนคติของคนเยอรมันชวงหลังสงครามโลกทิ้งไป ใน
ผลงานชุด “ohne Titel (Polstertisch) ohne Titel (Polster/zweiteilig) [untitled (Cushion Table)
untitled (Cushion/two parts) ], 1987” และ “misfit (Giraffe/Strauß/Pferd)” “ศิลปิ นทําตัวเหมือนเป็ น
เด็กที่ข้องเกี่ยวกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ มีความสุขอยูก่ บั ห้ องนัง่ เล่นที่ประดับตกแต่งไปด้ วยของ
ประหลาด เช่น นกที่มีหวั เป็ นยีราฟ ภาพประดับผนังที่ทําจากหนังคล้ ายผลของมันฝรั่ง ชุดรับแขกทําจาก
หนังสีเหลืองที่มีกระถางต้ นไม้ วางอยูด่ ้ านบน จัดวางตกแต่งตามกําลังทรัพย์ของชนชั ้นกลาง พร้ อมกับมี
เพื่อนบ้ านที่ไม่คอ่ ยเกรงใจ และชอบถากถาง เยาะเย้ ย การออกแบบของเขาซ่อนนัยยะของสัญลักษณ์
บางอย่างและได้ รับอิทธิพลของความรู้สกึ ที่ลกึ ซับซ้ อน เป็ นความสุขของชนชั ้นกลางกับบ้ านที่แสนจะน่า
เกลียด เหมือนไม่ต้องการจะต้ อนรับแขกผู้มาเยือนหรื อต้ องการที่จะหลบเร้ นตัวเองให้ หายไปจากสังคม
แยกตัวจากผู้คนที่ดปู ่ วยในสังคม โดยอยูใ่ นห้ องกับครอบครัวที่ค้ นุ เคยและปราศจากการรบกวนโดยสิ ้นเชิง”
http://arttattler.com/archivecollectionlandesbank.html
http://www02.zkm.de/extended/index.php?option=com_content&view=article&id=35&Itemid=34&lang=en
ภาพประกอบจาก ZKM | Museum of Contemporary Art
ohne Titel (Polstertisch) ohne Titel (Polster/zweiteilig) [untitled (Cushion Table) untitled
(Cushion/two parts) (1987) โดย โทมัส กรุนเฟลด์.
เทคโนโลยีดิจิทัลคือเครื่องมือใหมสําหรับศิลปนและนักออกแบบในปจจุบัน การพัฒนาการสื่อสารของ
มนุษยกับดิจิทัลคือการแสดงออกอยางหนึ่งของการมีชีวิตทามกลางโลกที่รวมสมัย ที่ทุกอยางสามารถผสม
กลมกลืนกันไดอยางแยบยล กวา 400 ปที่ผานมา เทคโนโลยีไดพัฒนามาจากคอมพิวเตอรมาจนถึงปจจุบันนี้ ผู
ที่ทํางานแวดวงออกแบบและศิลปะไดปรับเปลี่ยนกระบวนการทํางานไปในหลายรูปแบบ โฉมหนางานใน
ปจจุบันไดปรับตัวใหเชื่อมโยงเขากับคนดูไดใกลชิดมากขึ้น ซึ่งงานไมจําเปนตองตั้งโชวแคในแกลลอรีหรือ
พิพิธภัณฑเพื่อความหรูหราแตะตองไมไดเพียงอยางเดียวอีกตอไป นั่นคือการปรับเปลี่ยนเพื่อเขาใจใน
วัฒนธรรมรวมสมัยของการบริโภคของคนรุน ปจจุบัน
ภาพของระบบดิจิตอลกําลังปลูกตนไมและภาพของดวงตาจักรกลที่มีกลไกเหมือนเปนกระจกที่
กระพริบตาทักทายและสะทอนหนาตาของคนที่มาดู เด็กๆ กําลังเลนสนุกกับภาพดิจิตอลบนจอเสมือนหนึ่งเปน
ของเลนชิ้นใหม นี่คือสวนหนึ่งของงานออกแบบดิจิตอลที่ใชชื่องานวา “Decode: Digital Design
Sensations” ถอดรหัสดิจิตอล นิทรรศการนี้จะพาทุกทานไปพบกับงานออกแบบที่เชื่อมระหวางมนุษยและ
เทคโนโลยี จากงานที่เล็กที่สุดไปจนถึงงานที่มีขนาดใหญเลยทีเดียว โดยไดรับความรวมมือจาก วันดอตซีโร
(Onedotzero) ซึ่งเปนบริษัทงานที่ผลิตระบบดิจิตอลและสื่อทุกประเภทที่มีชื่อแหงหนึ่งของลอนดอน รวมถึง
นักออกแบบและศิลปนที่รวมงานนี้ เชน ดาเนียล บราวน (Daniel Brown), โกแลน เลวิน (Golan Levin)
และ ดาเนียล โรซิน (Daniel Rozin) โดยไดรับความรวมมือจากภัณฑารักษ หลุยส แชนนอน (Louise
Shannon) เปนผูจัดงานนี้ที่พิพิธภัณฑวีแอนดเอ (V&A Museum) กรุงลอนดอน
ยังมีอีกหลากหลายผลงานที่ผูชมสามารถมีสวนรวมทั้งเลน และสนุกไปกับเทคโนโลยีสมัยใหมจากการ
สรางสรรคโดยนักออกแบบและศิลปน ทั้งหมดนี้คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษยในอนาคตรวมทั้ง
ปจจุบันใชหรือไม นั่นคือคําถามที่ตั้งไวในตอนทายของนิทรรศการนี้
http://www.vam.ac.uk/microsites/decode/
http://www.dezeen.com/2009/12/14/decode-digital-design-sensations-at-the-va/
http://artdaily.com/news/34792/Victoria---Albert-Museum-Presents--Decode--Digital-Design-Sensations-#.UyZ_E4WJnms
ภาพประกอบจาก V&A Museum
http://www.tate.org.uk/whats-on/tate-modern/exhibition/unilever-series-anish-kapoor-marsyas
http://www.tate.org.uk/whats-on/tate-modern/exhibition/unilever-series-louise-bourgeois-i-do-i-undo-i-redo
http://www.tate.org.uk/whats-on/tate-modern/exhibition/unilever-series-doris-salcedo-shibboleth
http://www.tate.org.uk/whats-on/tate-modern/exhibition/unilever-series-ai-weiwei-sunflower-seeds
ภาพประกอบจาก Tate Modern
งานศิลปะและออกแบบในปจจุบันไดตอบโจทยของการพัฒนาสิ่งแวดลอมและสังคมอยางยั่งยืนดวยแง
คิดของการสรางสรรคและมีสวนรับผิดชอบในสิ่งที่ผลิตหรือสรางออกมาสําหรับอนาคตมหาวิทยาลัยรอยัล คอล
เลจ ออฟ อารท (Royal College of Art) ณ กรุงลอนดอนไดจัดนิทรรศการนี้ขึ้นเพื่อสะทอนแนวความคิดของ
การสรางสรรคอยางยั่งยืน โดยคัดเลือกผลงานของนักศึกษาที่แสดงกอนจบปการศึกษาที่มีแนวความคิดที่
สอดคลองมาจัดแสดง ดังเชนงานของ โนเอมี กูดัล (Noémie Goudal) นักศึกษาปริญญาโทดานภาพถาย เธอ
คนหาความสัมพันธของมนุษยที่มีตอสิ่งแวดลอม การใชวัสดุทรัพยากรอยางไรจริยธรรมและแรงปรารถนาของ
มนุษยที่ผลักดันใหเกิดไดทั้งการสรางสรรคและการทําลาย แกนของโปรเจกต “Les Amants (The Lovers)”
คือการที่มนุษยสรางสิ่งตางๆ และรุกล้ําเขาไปในระบบนิเวศ มันเปนประเด็นทางสิ่งแวดลอมที่ใครๆ ก็พูดถึงใน
สังคมในขณะนี้ ไมวาสายสัมพันธอันแนบแนนทีส่ ังคมคงไวใหกับโลกซึ่งเปนที่ที่สังคม (มาขอ) อาศัยอยูเพื่อ
ประโยชนของตัวเอง ความตองการของมนุษยที่มากมายในการที่จะรุกล้ําและแผขยายอาณาเขตเขาไปใน
ธรรมชาติที่ยังไมไดถูกคนพบ มันชางเหมือนพฤติกรรมของมนุษยที่ตกหลุมรักใครสักคนหนึ่ง โนเอมีบอกไวเปน
นัยวา “ความรักที่เกิดขึ้นเพราะเขาหรือเธอสามารถตักตวงความสําราญจากสิ่งที่ตนบอกวารักนักหนาไดอยาง
เต็มที่ ในที่นี่สิ่งนั้นก็คือโลกใบนี้ และความรักที่วานั้นก็ชางมากมายเสียจนทรัพยากรทางธรรมชาติถูกใชไปจน
หมดในเวลาอันรวดเร็ว และแลวมนุษยก็จากไป” รองรอยที่ถูกทิ้งไวนี้กลับกอใหเกิดแรงปรารถนาขึ้นมาอีกครั้ง
ในภายหลัง ซากของธรรมชาติที่เคยสวยงามเหมือนสวรรคก็ไดหยิบยื่นจินตนาการใหเพอฝนถึงโลกใหม ในที่สุด
มนุษยก็คิดออกวาจะหาความสุขจากการประดิษฐโลกใหมบนซากของโลกใบเดิมนี้อยางไร ความรักครั้งใหมจึง
เกิดขึ้นและก็จะวนอยูเชนนี้ตอไปอีกเรื่อยๆ เชนเดียวกับการสรางและการทําลาย
งานที่ชื่อวา “Flower Seating” และ “Limbs, Rings & Tunnels” ของจรัมชัย สิงคาลวณิช นักศึกษา
ปริญญาโทดานสิ่งทอ มีจุดเริ่มตนมาจากคําถามที่วาการออกแบบจะมีสวนชวยใหสังคมมีความสุขอยางสงบ
ตามหลักของพุทธศาสนาไดอยางไร จากงานเขียนวิจัยเขาพบวาทางออกอันหนึ่งที่นักออกแบบผูซึ่งเหมือนจะ
ยืนอยูฝงตรงขามกับพุทธศาสนาพอจะทําไดก็คือ การออกแบบอยางมีศีลธรรม เชน ไมทําลายระบบนิเวศ ไมมุง
ใหงานกระตุนใหเกิดความอยากทางกามารมณ แตใหงานออกแบบมีสวนชวยใหผูใชเกิดความสบายกายและ
ความปติ เพื่อใหพรอมตอการแสวงหาความสุขทางจิตวิญญาณขั้นสูงขึ้นไป จรัมชัยตัดสินใจเลือกที่จะนําเอา
ขยะที่เกิดขึ้นจากโรงงานทอผาในอังกฤษมาใชเปนวัตถุดิบ ขยะที่วาคือ “ริมทิ้ง” ซึ่งเปนริมผาที่ถูกตัดทิ้งขณะที่
ผืนผากําลังทออยูบนเครื่องทอ เฉพาะริมทิ้งที่ทอดวยดายขนแกะเทานั้นที่ถูกนํามาใช ดวยเหตุผลที่วาใยขนแกะ
ไมเปนพิษตอสภาพแวดลอม สามารถนํามาแปรรูปดวยวิธีทางธรรมชาติที่ปลอดภัยไดหลายวิธี และริมทิ้งชนิดนี้
ก็เกิดขึ้นทุกวันอยางตอเนื่องในปริมาณที่มากพอสมควร หลังจากนั้นจึงนํามาผานวิธีการ “เฟลติง” (felting)
แบบใหมที่จรัมชัยเปนผูคิดคนขึ้น หลักการทํางานของจรัมชัยดําเนินไปตามหลักการสากลทั่วไปของการอนุรักษ
สิ่งแวดลอม เชน การไมผสมผสานวัสดุที่ยอยสลายดวยวิธีที่ขัดแยงกันเขาดวยกัน การใชแตสารที่ยอยสลาย
ดวยวิธีทางธรรมชาติ เชน แปงมัน และการใชวัตถุดิบทองถิ่นเพื่อเปนการเลี่ยงคาใชจายและกาซ
คารบอนมอนอกไซดที่เกิดขึ้นไดจากการขนสง ในแงของหลักการออกแบบ จรัมชัยไดปลอยใหตัววัสดุและผล
จากการทดลองทอในแตละขั้นเปนตัวนําทาง โดยเขาไดวางตัวเองเปนผูสังเกตการณและจับเอาธรรมชาติของ
สิ่งที่อยูตรงหนาที่มีศักยภาพที่จะกอใหเกิดประโยชนมาพัฒนาใหออกมาเปนรูปธรรมที่ใชงานได ความนารัก
อยางเด็กๆ ความอิ่มอวบอวนอุดมสมบูรณ ความเปนมิตรและอารมณดี คุณภาพทางบวกเหลานี้คือสิ่งที่เขาพบ
และถายทอดออกไปผานรางที่รูปทรงของมันไดแรงบัลดาลใจมากจากดอกไมทะเล เขาจงใจเลือกใชฟอรมที่เต็ม
ไปดวยกิ่งกาน หวง ปุม และขนปุกปุย ก็เพื่อเชื้อเชิญใหเกิดการสัมผัสอันจะนําความผอนคลายมาใหในที่สุด
https://www.saatchigallery.com/artists/noemie_goudal.htm?section_name=photography
http://www.anothermag.com/current/view/567/Cascade_by_Noemie_Goudal
ภาพประกอบจาก Royal College of Art
ตูหนังสือใหญหนึ่งใบที่จัดไวเปนประตูลับไวสื่อสารระหวางคนขางลางกับครอบครัวของพวกเธอ เหนือ
ประตูทางขึ้นไปชั้นบนสุด ผมไดอานขอความที่วา “เธอรูสึกแยมากๆ ที่ฟงวิทยุจากคลื่นของทางอังกฤษวา
ตอนนี้การรมยาพิษฆาชาวยิวไดเสร็จสิ้นแลว” แมวาจะไมไดอยูในเหตุการณเหมือนเธอ แตความรูสึกตอนนั้นก็
คิดวา เธอคงจะคิดวาสักวันก็ตองเปนเชนนั้น เมื่อเดินผานมาถึงหองชั้นบนสุดที่เปนจอภาพแสดงวาหลังจากนั้น
คนทั้ง 8 คน เปนอยางไร ใชครับ มีคนไปบอกพวกทหารวาเธอหลบซอนอยูที่บานหลังนี้ ผมไมอยากจะคิดเลย
วาพวกเขาทําไปทําไม ทั้งหมดมีชะตาชีวิตเดียวกันหมด คือ “ถูกฆา” แตพอของเธอรอดออกมาได ผมดูบัญชี
รายชื่อ วันเวลา ที่ครอบครัวนี้ถูกฆาอยางหดหู จนตองรีบเดินออกไปอีกหอง
จดหมายและภาพถายถูกเก็บไวอยางดีในหองทํางาน
ผนังจะมีบันทึกถายทอดอารมณความรูสึก
ตูหนังสือใหญ ที่จัดไวเปนประตูลับ
เรื่องราวของแอนน ที่แปลเปนภาษาไทย
ทางเลือกของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยในปจจุบันทั้งในประเทศและตางประเทศนั้นลวนแตมีปญหาใน
เรื่องของการเรียนการสอนตามความสามารถในสิ่งที่สนใจและไมสนใจ หากหลักสูตรการศึกษาศิลปะบานเรา
เปดโอกาสใหนักศึกษาไดมีสวนรวมในการออกแบบหลักสูตรใหสอดคลองกับสภาพปจจุบันรวมกับการศึกษา
นั้น นาจะเปนสิ่งที่ดี มากกวาที่จะใหนักศึกษาไมมีสิทธิ์เสียงในสิ่งที่พวกเขากําลังเรียนเพื่อที่จะตองนําเอาไปใช
ในอนาคต
เมื่อเริ่มเปดเทอมภาคการศึกษาที่สาม พวกเราก็เริ่มที่จะรื้อเฟอรนิเจอรของภาคจิตรกรรมเกาซึ่งทิ้งไม
เหลือใชไวจํานวนมาก พวกเรานําไมเหลานั้นกลับมาใชใหมโดยที่คิดรวมกันทั้งนักเรียนออกแบบและศิลปะวา
เราตองทําเฟอรนิเจอรอะไรบาง เชน โตะ เกาอี้ กีต่ ัว จึงจะเพียงพอกับทุกคนที่เขารวมโปรเจกต แลวพวกเราก็
ตองมานั่งตัด ขัด ทําเฟอรนิเจอรไวใชเอง รวมทั้งการทําความสะอาดซึ่งภาคเดิมไมไดทํามาเลยกวา 30 ป ซึ่ง
ไมไดงายเลย ไมนาเชื่อวานักเรียนออกแบบที่เคยทําการออกแบบแตในคอมพิวเตอรเมื่อถึงเวลาจะตอง
ประกอบขึ้นมาเองจริงๆ กลับทิ้งทฤษฎีที่ร่ําเรียนมา แลวใชสัญชาติญาณของมนุษยในการสรางสิ่งของเพื่อ
ตอบสนองแคประโยชนใชสอยมากกวาที่ตองออกแบบใหมันเกินจําเปนและเทเพียงแตอยางเดียวตามที่ไดเรียน
มา เฟอรนิเจอรที่พวกเราสรางจึงเรียบงายและใชประโยชนไดจริง ตอบสนองเพียงความตองการขัน้ พื้นฐานใน
การดํารงชีวิตของตัวเองเทานั้น โดยที่แมงานที่ตองขอชื่นชมคือทั้งเบียงกา เอลเซนบาวเมอร, ฟาบิโอ ฟรานซ
และพอลลี ฮันเตอร นั้นตางทุมเทเวลาและแรงกายแรงใจทั้งหมดใหกับโปรเจกตนี้โดยที่ไมมีการเกี่ยงวาใคร
จะตองทําอะไรมากแคไหน เพราะทั้งสามคนนั้นลงมือทําเองทุกวันแมในตอนแรกที่ทํานั้นจะมีคนมาชวยไมกี่คน
จากทั้งหมด 20 คน เพราะตางปดเทอมก็กลับบานกันหมด และดวยความทุมเทของทุกคนที่มาชวยงานในตอน
แรก เราจึงไดพื้นที่ของภาควิชาใหมที่ดูดีตามกําลังและความสามารถ พวกเรามีโตะยาวที่ไวใชทํางานกว่า 8 ตัว
เกาอี้กวา 30 ตัวที่รวมกันทํา ใครมีอะไรก็นํามาใชรวมกัน กินรวมกัน แบงปนกันในระยะเวลาหนึ่งเดือนที่จะ
เกิดขึ้น ซึ่งอันนี้นับวาเปนการเริ่มตนที่ดีในการรวมมือกันระหวางนักเรียนระหวางภาควิชา
แตแลวทุกอยางก็ผานพนไปดวยดีในวันเปด เพราะเราคิดวาควรจะโชวกระบวนการกอนจะมาเปน
ภาควิชาที่ 21 ซึ่งวันเปดตอนเย็นพวกเราก็ยังนัง่ ทําเกาอี้ บางคนยังทาสี ฉายโปรเจกเตอรแสดงความเปนมา
กอนจะมีภาควิชาใหมนี้และในสวนพื้นที่ของขาพเจาก็ไดปูเสื่อ ทําอาหารเลี้ยงผูคนที่มา ซึ่งจะขอกลาว
รายละเอียดของโปรเจกตที่ขาพเจาทําที่นี่ในภายหลัง ซึ่งงานวันนั้นผูคนมารวมกันอยางมากมาย ทําใหพื้นที่
วางๆ ทั้งชั้นสามแนนขนัดไปดวยผูคน แตหลายคนก็ยังมีคําถามวา โปรเจกตนี้คืออะไร ทําอะไรกันบางนอกจาก
วันเปดนี้ แนนอนพวกเราคิดไวแลว จึงไดทําปฏิทินกิจกรรมและเพนตไวบนผนัง แบงชองตามวันวาวันไหนมี
กิจกรรมอะไรบาง ซึ่งแนนอนเรามีกิจกรรมเต็มทุกวันจนครบหนึ่งเดือน หลักๆ เราเนนที่การมีเวิรกช็อปจาก
ภาคตางๆ เหมือนเปนการแลกเปลี่ยนความรูในแตละภาค เชน ภาควิชาเครื่องประดับมาทําเวิรกช็อปออกแบบ
เฟอรนิเจอร ซึ่งเฟอรนิเจอรที่ออกมาก็จะมีความพิเศษ มีรายละเอียดและประโยชนใชสอยที่นักเรียนออกแบบ
ทั่วไปคิดไมถึง ภาควิชาเซรามิกก็นําดินนําแปนหมุนมาสอนใหนักเรียนภาคอื่นๆ ปนตาม ซึ่งนักเรียนที่สวนใหญ
จะใชแตคอมพิวเตอรทํางานจะชอบมากเปนพิเศษเพราะไมเคยไดทําอะไรที่เปนงานทํามือแบบนี้ ภาควิชา การ
ทําภาพเคลื่อนไหว (Animation) ก็จัดอบรมทําภาพเคลื่อนไหวแบบงายๆ ซึ่งอันนี้ขาพเจาชอบมากเปนพิเศษ
เพราะไดเรียนรูเรื่องการนําเทคนิคตางๆ มาทําเปนวิดีโออารทในภายหลัง ซึ่งจริงๆ แลวทุกภาควิชาสามารถ
เรียนรูแลวนําไปปรับใชกับงานของตัวเองได ภาควิชาการสื่อสาร (communication) ก็จัดสอนการทําเว็บไซต
โชวงานของตัวเองแบบงายๆ และยังมีการฉายหนังทุกอาทิตย เปนหนังศิลปะที่หาดูไดยากและยังมีคนมาบอก
เลาและวิเคราะหใหฟง ซึ่งถาจะกลาวถึงกิจกรรมทั้งหมดนั้นคงจะเลาไมไดทั้งหมดนอกจากจะเขาไปลองอานดู
กิจกรรมทั้งหมดไดที่ www.department21.net
ที่จริงแลวยังมีรายละเอียดปลีกยอยของการทําภาควิชาใหมนี้อีก สิ่งที่สําคัญคือขาพเจาไดรูจักเพื่อน
ตางภาควิชาหลายคนซึ่งถาใหเรียนแตในภาควิชาของตัวเองก็นอยนักที่จะเจอะเจอเพื่อนใหมเชนนี้ ไดรูจัก
อาจารยตางภาควิชาซึ่งทําใหขาพเจาสามารถเอางานของตัวเองไปคุยไปขอความคิดเห็น ลองฟงมุมมองใหมๆ
โดยที่เราไมตองสนวาจะเปนอาจารยภาคไหนก็ตาม เพราะหลังจากที่ขาพเจาไดไปพูดคุยก็เกิดองคความรูใหมๆ
มุมมองใหม ซึ่งอาจารยในแตละภาคนั้นก็จะมีมุมมองที่แตกตางกันออกไป รวมทั้งความเห็นของเพือ่ นๆ ในกลุม
ทั้ง 20 คนที่เรามีการแลกเปลี่ยนพูดคุยกันตลอดเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นที่นี่ และเปนขาวดีคืออธิการบดี
ขยายเวลาจากหนึ่งเดือนออกไปอีกสองอาทิตยใหพวกเราไวใชจัดกิจกรรมกันตอไป แตแทจริงแลวพวกเราคุย
กันวาเราตองการที่จะเซตภาควิชาใหมนี้ใหเปนทางเลือกใหกับนักเรียนที่นี่ ไดมาทํากิจกรรมดวยกัน ไมแบงเปน
ภาควิชาของใครของมัน แตทั้งนี้ก็ขึ้นอยูกับปจจัยหลายอยางในการดําเนินการ ซึ่งหนาที่ตัดสินใจทั้งหมดคง
ขึ้นอยูกับทางผูบริหารของทางมหาวิทยาลัย ซึ่งตองจัดสรรพื้นที่และงบประมาณใหเรามาทํากิจกรรมที่ดีๆ กัน
อีก เพราะโปรเจกตนี้ถือวาประสบความสําเร็จเปนอยางมาก มีมหาวิทยาลัยที่อื่นในลอนดอนสนใจที่จะใหพวก
เราไปพูดคุย ไปจัดกิจกรรมในโรงเรียนตางๆ อีกดวย
ตอนนี้พวกเราก็ไดแตหวังวาในอนาคตภาคหนาจะมีภาควิชาใหมที่จัดการกันเองโดยนักศึกษาที่จะ
ดําเนินการกันไปเปนรุนๆ ความฝนนี้ยงั ไมชัดเจนในตอนนี้ เนื่องจากพวกเรายังไมไดรับคําตอบอันใดจากทาง
มหาวิทยาลัย แตสิ่งที่พวกเราทําไดดีที่สุดคือการเตรียมงานแสดงโชวสุดทาย (final show) ที่จะเปนการแสดง
งานจบของนักเรียนชั้นปที่สอง ซึง่ ถือวาเปนงานที่ใหญและสําคัญที่สุดของมหาวิทยาลัย ซึ่งจะมีผูคนที่เขา
มารวมชมงานนักศึกษาตางๆ เปนประจําทุกป ซึ่งพวกเราก็ไดพื้นที่จัดแสดงรวมกับภาควิชาอื่นๆ อีก 20 ภาค
ดวย การเตรียมการ กิจกรรม และสิ่งอื่นที่จะดึงดูดคนใหเขามารวมจะเปนอยางไร รวมทั้งโปรเจกตที่ขาพเจาได
ทดลองที่ Department21 นั้นเปนเชนไร โปรดติดตามในตอนหนาครับ
ภาพประกอบจาก Royal College of Art
กอนจะมาเปน Department21
ชวยกันทําเฟอรนิเจอร
สัมมนากับแขกรับเชิญ
ตรุษจีน
เวิรกชอปภาคการทําเซรามิก
Department 21 (ตอ)
ภาควิชาศตวรรษที่ 21
Royal College of Art, London
ในบทความตอนตอนี้ จะนําเสนอในรายละเอียดและมุมมองของผูเขียนเองที่ไดมีโอกาสเขาไปมีสวน
รวมอยูในโปรเจกตทดลองนี้ตั้งแตเริ่มเปนระยะเวลาเดือนครึ่ง จนไปถึงการแสดงโชวครั้งสุดทายซึ่งเรียกวาเปน
“โชวสุดทาย” (Final Show) ซึ่งจัดขึ้นอยางยิ่งใหญใหกับนักศึกษาทุกชั้นปที่สําเร็จการศึกษา ตองขอออกตัว
กอนวาการเรียนปริญญาโทครั้งนี้ที่รอยัล คอลเลจ ออฟ อารท เปนปริญญาโทใบที่สองของขาพเจา จากใบแรก
ที่เรียนศิลปะที่เมืองไทย จนอดเปรียบเทียบความแตกตางระหวางการเรียนการสอนสาขาศิลปะเหมือนกันแต
ระบบนั้นแตกตางกันไมได ตองบอกวาดีกันคนละอยาง และเสียกันคนละหลายอยาง และถาจะใหพูดอยาง
จริงใจและตรงไปตรงมากับการศึกษาบานเรา ก็คงจะตองพูดใหตรงและมองในความเปนจริงของปญหาการ
เรียนการสอนที่ยังมีศูนยกลางอยูที่ผูสอนมากเกินไป ทั้งๆ ที่ในระดับปริญญาโทนั้นผูเรียนนาจะเปนศูนยกลาง
ของการศึกษา ระบบความคิดการทํางานยังไมสามารถพึ่งพาตนเองได ตลอดจนการเปดกวางและเปดใจของทั้ง
ผูสอนและผูเรียนยังไมสามารถพูดคุยกันไดอยางไมมีกําแพงกั้นของคุณวุฒิและวัยวุฒิ ทําใหกลายเปนวา ศิลปะ
บานเราคือระบบที่อยูในกรอบของผูสอน ทั้งที่แทจริงแลวศิลปะไมควรมีกรอบหรือกําแพงอะไรในยุคนี้อีกแลว
ผูสอนควรเปนผูที่เขาใจในธรรมชาติของผูเรียนและสามารถแนะแนวทางใหเขา ไมใชเปนผูกําหนดแนวทางของ
เขา ซึ่งนั่นก็เทากับวาผูสอนนั้นตองมองขาดในงานของนักเรียนและมีความรูที่กวางไกลเพียงพอที่จะแนะนําได
เพราะนั่นคือการรับผิดชอบอนาคตคนคนหนึ่งเลยทีเดียว
ผูเรียนก็ตองถามตัวเองวาแทจริงที่มาเรียนในระดับที่สูงกวาปริญญาตรีนั้นดวยเหตุใด ตองการเปน
ศิลปน ลาราชการมาเรียนเพื่อหวังตําแหนง หรือเพราะวาวางไมมีอะไรทํา ซึ่งถาเขาใจในที่มาที่ไปของนักเรียน
แตละคน ก็จะเขาใจในงานศิลปะของพวกเขาวาทําอะไรและตองการอะไร ผูเรียนควรตองศึกษาและหมั่นหา
ความรูจากนอกหองเรียน ความรูที่ไมใชแคที่ตนเองสนใจและสามารถนําขอมูลและประเด็นมาตั้งคําถาม ถกกับ
เพื่อนคนอื่นๆ ในมุมมองของตนเองและรับฟงจากคนอื่นได นั่นคือการเรียนที่โตกวาระดับปริญญาตรี ที่เราพูด
กันถึงเรื่องของความคิด มุมมอง และทัศนคติของงานศิลปะ มากกวาการทําตัวเปนแคชางฝมือในหลากหลาย
แขนงของงานศิลปะ ซึ่งเมื่อจบการศึกษาไปแลวคุณอาจจะถามตัวเองวา เรามาเรียนศิลปะเพื่ออะไร และศิลปะ
คืออะไร นัน่ คือคําตอบที่หลายคนในการศึกษาที่ระดับสูงถามตัวเอง ทั้งนี้ตองออกตัวกอนวา ผูเขียนไมไดเหอ
และชื่นชมการศึกษาของฝงตะวันตกจนปรักปรําการศึกษาบานเรา แตทั้งนี้ เพราะมองในความเปนจริงที่เกิด
และตั้งอยู จึงกลาที่จะเขียนในมุมมองของตัวเอง นําเสนอเพื่อใหเกิดการวิพากษในประเด็นปญหาที่มีขึ้นตอไป
ตอมาในงานโชวสุดทายของนักเรียนที่ตองสําเร็จการศึกษาในปนี้ตองนําผลงานทั้งหมด 20 ภาควิชามา
จัดแสดง ซึ่งกลุม Department 21 ก็ไดรับเชิญใหเขารวมเปนภาควิชาที่ 21 ดวย โดยเราไดพื้นที่เปนชานโลงมี
ตนไมรมรื่น พวกเราจึงคิดกิจกรรมที่จะนํามาใชในการโชวนี้ ซึ่งหลักๆ ก็คือการเชิญแขกรับเชิญมาพูดคุย
สัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหลากหลายแงมุม เชน กลุมอาจารยสถาปตยจะนําเสนอเรื่องเกี่ยวกับ
งบประมาณของมหาวิทยาลัยวารายรับรายจายในแตละปมากนอยเพียงใด ซึ่งขอมูลนี้ฟงดูไมเกี่ยวกับนักเรียน
เทาไหร แตคิดอีกที นี่คือปจจัยเบื้องตนในการออกแบบ ซึ่งตองคํานวณจากงบประมาณที่มี แคนี้ก็นาสนใจ อีก
กลุมพูดถึงเรื่องการออกแบบอาหารซึ่งปจจุบันนั้นเชื่อมโยงกับทุกศาสตรในการทํา คนทําอาหารก็ตองมีศิลปะ
ทั้งการปรุงและการออกแบบหนาตาของอาหาร เปนตน
ตลอดสองสัปดาหที่แสดงงาน เรามีกิจกรรมทุกวัน โดยที่วันเปดและวันปดทางกลุมก็ใหเกียรติกับผม
มาแสดงงานของตัวเองในวันเปด ซึ่งผมไดทําวันเปดดวยการตอนรับชงชาและพูดคุยเหมือนเปนการแสดงซึ่ง
แนวความคิดจริงๆ แลวนั้นเปนเรื่องของการเมืองในโรงเรียนนี้เหมือนกัน จะขอเลาคราวๆ วานักเรียนตางชาติ
นั้นตองจายคาเลาเรียนที่แพงกวาคนที่นี่เกือบ 15 เทา แตคุณภาพการศึกษานั้นพวกเรากลับรูสึกวามีสอง
มาตรฐานในการเรียนของที่นี่ ที่ใหโอกาสกับคนชาติตนเองมากกวานักเรียนตางชาติที่ไมไดใชภาษาอังกฤษได
เหมือนคนพื้นถิ่น ผมจึงปนถวยชาขึ้นมา 1,000 ใบโดยใชเงินจากทางภาควิชาที่ใหแตละคน คนละ 500 ปอนด
ในแตละปมาทํางาน เนื่องจากเงินจํานวนนี้ถาไมใชก็จะไมไดคืน และสองเทอมที่ผานมาผมใชไปแค 30 ปอนด
เหลืออีก 470 ปอนด ซึ่งไมสามารถเบิกออกมาเปนเงินสดได ตองซื้อของใน shop ของภาควิชาเทานั้น ผมจึง
ซื้อดินมาปนถวยชาทั้งหมด 1,000 ใบ แจกจายใหกับผูคนที่มาในงาน พรอมทั้งใหถวยชากลับไปดวย แตในถวย
ชาก็จะเขียนไววา Of 24,000 pounds, I have 470 pounds to return to the RCA. In Thailand,
people are generous. ซึ่งหมายความวา จากคาเทอม 24,000 ปอนด ขาพเจายังเหลือเงิน 470 ปอนด
ขาพเจาสมควรคืนเงินนี้ใหกับมหาวิทยาลัย เพราะวาคนไทยนั้นใจดีมีเมตตา ฟงดูแลวก็เหมือนเปนการประชด
เยยหยันอะไรบางอยาง แตเรานํามาแสดงออกในลักษณะของการเชื้อเชิญ ตอนรับดวยน้ําชาซึ่งเหมือนเปนการ
เคารพในมุมมองของคนตะวันออก แตในใจเรานั้นกลับรูสึกถึงการถูกเอาเปรียบโดยคนตะวันตก ในวันสุดทาย
พวกเรายังไดเกียรติใหทําอาหารไทยโดยนักเรียนไทยที่มีแค 4 คนที่นี่ชวยกันทํา และจําหนายใหกับผูคนที่มาใน
งาน ซึ่งทุกคนก็เอยปากชมถึงอาหารไทยวาอรอย แตกลับขาดทุนเพราะพวกเราใจดีแถมไมอั้นเพราะคนไทยใจ
ดีนั่นเอง
ชมภาพยนตร
ดูดวงใหฝรั่ง
Performance
พื้นที่แสดงงานของ Department 21ในโชวสุดทาย
เวิรกชอปของโชวสุดทาย
ถวยชา 1,000 ใบ
HopeǿtoǿdwellǿinǿfearǿandǿTheǿImpossibleǿDream.
ความหวังภายใตความหวาดกลัว และความฝนอันสูงสุด
ศิลปน ปฐมพล เทศประทีป และ ประพัทธ จิวะรังสรรค
The Office of Education Affairs, Royal Thai Embassy London
Hockney Gallery, Royal College of Art, London
จากตอนหนึ่งในสูจิบัตร
“ บนผนังยาวมีรูปถ่ายหมู่ของคนร่วมชาติ ทุกคนดูภมู ิฐาน แม้ อยูใ่ ต้ ร่มไม้ ใหญ่ แสงลอดผ่านชุดสูท
สีเข้ ม บ้ างกอดอก บ้ างยืน บ้ างนัง่ บ้ างยิ ้ม ผ่านชีวิตในเมืองหมอกฝนอันยาวนาน ในห้ องสมุด บานเปิ ดตู้
หนังสือดูแปลกตาจากที่เคยเห็น ราวกับว่ามีกลไกอะไรซ่อนไว้ เหมือนบรรดาหนังสือในตู้ที่ปิดบังอะไร
บางอย่าง บางทีเจ้ าของหนังสืออาจจะต้ องการบอกเรื่ องราวผ่านตัวหนังสือ ที่รอคอยการจัดเรี ยงตาม
เนื ้อหาเชิงสัญลักษณ์ หน้ าห้ องเดียวกันมีป้ายจารึกสีทองบ่งบอกการก่อกําเนิดของสถานที่และเรื่ องราวจาก
นี ้
จากคําพรรณนาขางตนที่ไดแรงบันดาลใจมาจากสถานที่จริงที่สํานักงานผูดูแลนักเรียนในประเทศ
อังกฤษนั้น ครอบคลุมถึงทุกชิ้นงานที่จัดแสดงทั้งสองนิทรรศการนี้ ภาพถายหมูที่พยายามจะถายขึ้นใหมกับ
นักเรียนในสมัยปจจุบันที่เรียนดานศิลปะในอังกฤษ เพื่อเปนการเติมเต็มประวัติศาสตรจากภาพถายของ
นักเรียนไทยในสมัยโบราณใหมีความตอเนื่องมาจนปจจุบัน จดหมายจากชางภาพที่อนุญาตใหใชรูปไดบางรูป
ในความคิดของชางภาพวาเหมาะสมกับบริบทเชิงความคิดที่ยอนแยงสังคมปจจุบัน จนลืมคิดถึงความเปนจริงที่
ยังตั้งอยู ซึง่ บงบอกถึงความหวาดกลัวในการทํางานศิลปะที่อยูภายในของศิลปนทุกผูนาม ถูกจัดวางประกอบ
กับงานวีดีโอเบื้องหลังการถายภาพที่ไรเสียง แตยังคงมีพลังในการสรางสรรคและเกิดการทดลองเชิงสัญลักษณ
บางอยางที่มีอยูจริงในสังคมไทย
หองสมุดที่มีหนังสือหลากหลายปก ทั้งคนแตงเปนนักเรียนที่มาเรียนที่นี่ ที่เปนทั้งสามัญชนและ
ราชวงศถูกจัดวางอยูในตูที่มีบานเปดแปลกกวาที่เคยเห็น บางทีหนังสือแตละเลมอาจจะรอการอานเพื่อตีความ
หรือรอการจัดขึ้นใหมโดยใชกระบวนการทางศิลปะเขามาจัดการ กระทั่งการกลับสันหนังสือแลวจัดเรียงใหม
โดยหยิบยกความหมายของบางเลมใหเปดเผยโดยมิทันไดสังเกต เนื้อหาที่รอยเรียงกันนั้นจะเกิดเปน
ความหมายทางประวัติศาสตรที่ถูกเก็บไวรอคอยการชําระ หนังสือที่วางตั้งสูงบนโตะคือการจัดเรียง รวมถึงรอย
เรียงเนื้อหาที่เกิดขึ้นเชนกัน แตปริมาตรและเนื้อหาอาจจะมีความเสี่ยงถาเกิดพลาดพลั้งโคนลงมา การจัดวาง
หนังสือในหองสมุดทั้งหมดถูกบันทึกเสียงของการกระทําที่เปดพรอมไปกับงานศิลปะจัดวางในหองเพื่อแสดงถึง
การมีอยูจริงที่เกิดขึ้นตั้งแตในอดีต เมื่อไหรไมมีใครทราบ แตการกระทําทุกอยางยอมเปนประวัติศาสตรของใน
วันนี้ เฉกเชนเดียวกันกับสถานการณบานเมืองในวันนั้น
ละครที่สะทอนและสะเทือนทุกอยางถูกจัดแสดงราวกับโฆษณาชวนเชื่อในสังคมไทย การถูก
ปรับเปลี่ยนแกไขบททุกครั้งจนถึงวันที่ทําการแสดง เพราะความกลัวและไมแนใจในบริบทที่สะทอนกับสังคมที่
ไมมีอะไรที่เปนเรื่องจริง ความจริงอาจเขียนเพื่อใหลวง ใหขบขัน ทั้งที่มันมีอยู แตไมมีใครกลาเปดเผยและยอม
รับรูถึงสิ่งที่เปน ตัวละครชื่อเดียวกันสองบุคลิกตางพยายามคนหาและลอลวงทั้งตัวเองและคนใกลชิด จนไม
อาจจะกลาวไดวาบทสรุปตอนจบนั้นเปนเชนไร นอกจากการหาคําตอบในความวางเปลาที่อยูเบื้องหนา แลว
เสียงจากไวโอลินก็บรรเลงปดดวยทอนจบของอารมณฉุนเฉียวและสับสน เสียงปรบมือเบาลงพรอมกับความเวิ้ง
วาง
วันหนึ่ง จะไมมีใครถามพวกทาน
ประชาชนผูไรปญญาของเรา ถึงความเหลวไหล
จะลุกขึ้นถาม ของความคิดที่กําหนดความดีและความเลว
พวกปญญาชน ซึ่งสรางขึ้นมาจากเงา
ผูไมสนใจการเมือง ของการโกหกทั้งมวล