Professional Documents
Culture Documents
โรงเรียนทหารสื่อสาร
กรมการทหารสื่อสาร
แนวสอน
วิชา
การสื่อสารประเภทวิทยุ
ว.๐๔๐๒
หลักสูตร นายสิบอาวุโส เหล่า ส.
แผนกวิชาการสื่อสารประเภทวิทยุและ
อิเล็กทรอนิกส์ประยุกต์
------------------------------
พ.ศ.๒๕๖๐
สารบัญ
หน๎า
บทที่ 1 การสื่อสารประเภทวิทยุ
1.1 กลําวทั่วไป....................................................................................................................... 1
1.2 ขีดความสามารถและขีดจากัด......................................................................................... 1
1.3 การใช๎ทางยุทธวิธี............................................................................................................. 2
บทที่ 2 หลักพื้นฐานการสื่อสารประเภทวิทยุ
ตอนที่ 1 สํวนประกอบในการสํงและการรับวิทยุ
2.1 เครื่องวิทยุ.......................................................................................................... 3
2.2 เครื่องสํงวิทยุ...................................................................................................... 3
2.3 เครื่องสํงคลื่นเสมอ............................................................................................. 4
2.4 เครื่องสํงวิทยุโทรศัพท์...................................................................................... 4
2.5 สายอากาศ........................................................................................................ 5
2.6 เครื่องรับวิทยุ.................................................................................................... 5
ตอนที่ 2 คลื่นวิทยุ ( RADIO WAVE )
2.7 กลําวทั่วไป......................................................................................................... 7
2.8 ความยาวคลื่น................................................................................................... 7
2.9 ความถี.่ .............................................................................................................. 7
2.10 แถบความถี่...................................................................................................... 8
2.11 คุณลักษณะของแถบความถี่............................................................................ 9
ตอนที่ 3 วิธีการสํง ( METHODS OF TRANSMISSION )
2.12 กลําวทั่วไป....................................................................................................... 9
2.13 การปรุงคลื่น................................................................................................... 10
บทที่ 3 การแพรํกระจายคลื่นและความถี่ในยํานตํางๆ
3.1 คลื่น (WAVE) ................................................................................................................ 17
3.2 คลื่นเสียงหรือความถี่เสียง.............................................................................................. 18
3.3 คลื่นวิทยุหรือความถี่วิทยุ................................................................................................ 18
3.4 ชั้นบรรยากาศ................................................................................................................. 20
3.5 การแพรํกระจายคลื่น..................................................................................................... 23
บทที่ 4 การผสมคลื่นและเครือ่ งสํงวิทยุ AM-FM
4.1 การผสมคลื่นทางความสูง............................................................................................... 33
4.2 การผสมคลื่นทางความถี่................................................................................................ 36
4.3 การผสมคลื่นทางเฟส..................................................................................................... 38
4.4 เครื่องสํงวิทยุ.................................................................................................................. 39
4.5 เครื่องสํงวิทยุแบบคลื่นตํอเนื่อง...................................................................................... 40
4.6 เครื่องสํงวิทยุ AM........................................................................................................... 43
4.7 ไซด์แบนด์วิทยุ AM........................................................................................................ 45
4.8 เครื่องสํงวิทยุ FM........................................................................................................... 48
----------------------------------------
บทที่ 1
การสื่อสารประเภทวิทยุ
1.1 กล่าวทั่วไป
ก.วิทยุเป็นมัชฌิมหลักของการสือ่ สารในหนํวยทางยุทธวิธีสํวนมากวิทยุนั้นใช๎เพื่อการบังคับบัญชาควบคุม
การยิง แลกเปลี่ยนขําวสาร งานธุรการและการติดตํอระหวํางหนํวยตํางๆ นอกจากนั้นยังใช๎เพื่อการสื่อสาร
ระหวํางเครื่องบินในขณะบินและระหวํางเครื่องบินกับหนํวยทางพื้นดิน
ข.การสือ่ สารทางวิทยุเหมาะทีจ่ ะใช๎ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยํางรวดเร็วการสื่อสารกับหนํวย
เคลื่อนทีเ่ ร็ว เชํน เรือ เครื่องบินและรถถังนั้นจะมีความยุงํ ยากอยํางมากถ๎าไมํมีวิทยุใช๎
ค.วิทยุเป็นสิ่งสาคัญในการสื่อสารไปเหนือพื้นน้าอันกว๎างขวาง เหนือแผํนดินที่ข๎าศึกยึดอยูํ และเหนือภูมิ
ประเทศซึง่ ไมํอาจสร๎างทางสายได๎สะดวกหรือไมํเหมาะสมทีจ่ ะสร๎างทางสาย
1.2 ขีดความสามารถและขีดจากัด
ก. ขีดความสามารถ
1. อุปกรณ์สื่อสารประเภทวิทยุตามปกติแล๎วอาจจะติดตั้งได๎รวดเร็วกวําอุปกรณ์สื่อสารทางสาย ฉะนั้น
วิทยุจึงมีที่ใช๎อยํางกว๎างขวางเป็นมัชฌิมหลักการสื่อสาร ในระหวํางขั้นแรกของการรบและในสถานการณ์ทาง
ยุทธวิธีซึ่งเคลื่อนที่เร็ว
2. เมื่อติดตั้งบนรถแล๎วเครื่องวิทยุก็พร๎อมทีจ่ ะใช๎งานได๎และไมํต๎องมีการติดตั้งใหมํอีก
3. วิทยุอาจเคลื่อนที่ได๎จึงอาจจะใช๎กบั หนํวยที่ไปในอากาศ หนํวยสะเทินน้าสะเทินบก หนํวยยานยนต์
และหนํวยเดินเท๎า
4. วิทยุอาจจะใช๎ปฏิบัติการได๎หลายลักษณะ เชํน เป็นคาพูด ,วิทยุโทรศัพท์ ,วิทยุโทรเลข ,วิทยุโทรพิมพ์
แสดงให๎เห็นเป็นภาพและการรับสํงข๎อมูลตัวเลข
5. สิ่งกีดขวางตามธรรมชาติ ดงระเบิดและภูมิประเทศที่ขา๎ ศึกยึดครองอยูหํ รือที่ถูกข๎าศึกยิงไมํอาจจากัด
วิทยุได๎เหมือนอยํางมัชฌิมการสื่อสารอื่นๆ ในการสื่อสารทางวิทยุเว๎นแตํการใช๎เครื่องควบคุมระยะไกลแล๎วจะไมํ
ต๎องการใช๎สายโทรศัพท์ระหวํางตาบลซึง่ เป็นทีเ่ ริ่มต๎นให๎ขําวและตาบลทีจ่ ะต๎องสํงขําวเลย เพราะเหตุวําได๎ใช๎คลื่น
แมํเหล็กไฟฟูาในอากาศเป็นเครื่องเชื่อมโยงถึงกันอยูํ
6. โดยการใช๎เครื่องบังคับระยะไกลพนักงานวิทยุอาจจะอยูํไกลออกไปจากเครือ่ งที่ตนใช๎งานก็ได๎ เชํนนีจ้ ะ
ทาให๎มีความปลอดภัยแกํพนักงาน สถานีวิทยุ และทีบ่ ังคับการที่สถานีวิทยุนั้นประจาอยูํ
ข. ขีดจากัด
1. วิทยุนั้นอาจจะชารุดเสียหายได๎งําย ถูกรบกวนจากสภาพของบรรยากาศ และถูกรบกวนจากเครื่อง
อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ได๎ นอกจากนั้นยังอาจถูกกํอกวนได๎โดยงําย
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 1
2. เพื่อให๎สามารถปฏิบัติการด๎วยกันได๎ วิทยุจะต๎องมีความถี่รํวมกันหรืออยํางน๎อยทีส่ ุดเหลื่อมกันบ๎าง ทัง้
จะต๎องสํงและรับสัญญาณในแบบเดียวกัน และจะต๎องอยูํภายในรัศมีการปฏิบัติงาน
3. วิทยุเป็นมัชฌิมการสื่อสารทีป่ ลอดภัยน๎อยที่สุด และจะต๎องถือวํามีการดักรับอยูํทุกครั้งทีเ่ ครื่องสํง
ทางาน เพียงแตํทราบวําวิทยุทางานอยูํก็ถอื วําข๎าศึกได๎ขําวสารไปแล๎ว การที่ข๎าศึกวิเคราะห์จานวนสถานีวิทยุที่
ปฏิบัติงาน จานวนขําวที่รับสํงหรือที่ตั้งของสถานีวิทยุกม็ ีคําตํอการขําวกรอง
1.3 การใช้ทางยุทธวิธี
ขอบเขตทีจ่ ะใช๎วิทยุในการรบนั้นขึ้นอยูํกบั ความต๎องการ การรักษาความลับและการจูํโจมโดยชั่งน้าหนัก
เทียบกับความเรํงดํวนในการสื่อสารทางวิทยุ เมื่อการจูโํ จมเป็นสิง่ สาคัญการปฏิบัติทางวิทยุก็ต๎องจากัดในขั้นต๎น
กับหนํวยที่ได๎มกี ารปะทะกับข๎าศึกแล๎ว ในบางกรณีอาจให๎มกี ารลวง
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 2
บทที่ 2
หลักพื้นฐานการสื่อสารประเภทวิทยุ
ตอนที่ 1 ส่วนประกอบในการส่งและการรับวิทยุ
2.1 เครื่องวิทยุ
ชุดวิทยุประกอบด๎วยสํวนประกอบทีส่ าคัญ คือเครื่องสํงซึ่งเป็นสํวนที่ทาให๎เกิดพลังงานความถี่วิทยุ แหลํง
กาลังไฟฟูา คันเคาะ ปากพูด หรือเครื่องโทรพิมพ์ ซึ่งเป็นสํวนที่ควบคุมคลื่นพลังงาน สายอากาศสํงเป็นสํวนที่ใช๎
แพรํรงั สีคลื่นวิทยุ สายอากาศรับเป็นสํวนที่ดักรับคลื่นวิทยุที่แพรํรงั สีออกมา แหลํงกาเนิดไฟฟูาเครื่องรับใช๎ในการ
เปลี่ยนคลื่นความถี่วิทยุที่ดักรับให๎เป็นพลังงานที่นาไปใช๎ได๎( USABLE ENERGY )
( ตามปกติแล๎วได๎แกํพลังงานความถี่เสียง ) และลาโพง หูฟงั หรือเครือ่ งโทรพิมพ์จะทาให๎พลังงานที่ได๎นี้ออกมาเป็น
สิ่งทีเ่ ข๎าใจกันได๎เมื่อชุดวิทยุทั้งสองไมํเกินรัศมีการทางานของเครื่องแล๎วสามารถทาการสื่อสารสองทาง(TWO WAY
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 3
COMMUNICATION ) ด๎วยการใช๎เครื่องแมํเหล็กไฟฟูาได๎เสมอ
รูปที่ 2 - 1 แสดงแผนผังรูปสีเ่ หลี่ยมของชุดวิทยุหลัก
2.2 เครื่องส่งวิทยุ
เครื่องสํงวิทยุแบบงํายๆ ( รูปที่ 2-2 ) ประกอบด๎วยแหลํงจํายกาลังและ OSCILLATOR หนึ่งเครือ่ ง
แหลํงจํายกาลังอาจเป็นหม๎อไฟฟูา เครื่องกาเนิดไฟฟูา แหลํงกาลังไฟฟูาสลับ รวมทัง้ เครือ่ งเรียงกระแสและเครือ่ ง
กรองกระแสไฟฟูาหรือกาลังที่เกิดจากมือหมุน ( ROTATING POWER SOURCE ) ให๎เป็นกระแสตรงด๎วย ภาค
OSCILLATOR ซึ่งทาให๎เกิดกระแสสลับความถี่วิทยุนั้นต๎องประกอบด๎วย วงจรปรับตั้ง ( TUNED CIRCUIT ) เพื่อ
ใช๎ปรับตั้งเครื่องสํงให๎ได๎ความถี่ใช๎งานตามต๎องการ เครือ่ งสํงต๎องมีเครื่องมือสาหรับควบคุมพลังงานความถี่วิทยุที่จะ
สํงออกไป / คันเคาะโทรเลขเป็นเครื่องมือแบบงํายๆ ที่มลี ักษณะเป็นไกไฟฟูา(SWITCH)แบบหนึ่งใช๎ควบคุมการ
ไหลของกระแสไฟฟูา เมือ่ ใช๎คันเคาะภาค OSCILLATOR ก็จะกด-ปลํอยปิดหรือเปิดทาให๎เปลี่ยนแปลงชํวงเวลา
ของพลังงานความถี่วิทยุให๎เป็นรูปของ จุด และ ขีด
2.3 เครื่องส่งคลื่นเสมอ
เมื่อ OSCILLATOR ( OSC ) ทาความถี่วิทยุขึ้นมาซึ่งปกติแล๎วไมํวําความถี่คงที่และแรงพอทีจ่ ะให๎ความ
เชื่อถือได๎ ในการสํงระยะไกลหรือไมํก็ตามจะมีภาคขยายเพือ่ ขยายความถี่วิทยุตํอจากภาค OSC อีกภาคหนึ่ง ( รูป
ที่ 2-3 ) เพื่อทาให๎เกิดกาลังออกอากาศคงที่และแรงขึ้น แตํถ๎าต๎องการเพียงประมวลเลขสัญญาณเทํานั้นเครือ่ งสํง
ดังที่กลําวมาแล๎วนี้ก็ใช๎ได๎ผลอยํางสมบูรณ์แล๎ว
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 4
รูปที่ 2-3 แผนผังสี่เหลี่ยมของเครื่องวิทยุคลื่นเสมอมีภาคเครื่องแกวํง เครื่องขยาย
2.4 เครื่องส่งวิทยุโทรศัพท์
เมื่อต๎องการจะสํงขําวเป็นคาพูด จาเป็นต๎องใช๎เครื่องมืออยํางใดอยํางหนึง่ ควบคุมให๎กาลัง
ออกอากาศของเครื่องสํงวิทยุเป็นไปตามความถี่ของคาพูด ( หรือความถี่เสียง ) ภาคที่ใช๎ในการควบคุมภาคปรุง
คลื่น ซึ่งจะทาการเปลี่ยนแปลงกาลังออกอากาศของเครื่องสํงวิทยุให๎เป็นไปตามความถี่ของคาพูดกรรมวิธีเชํนนี้
รูปที่ 2-5
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 6
( STRENGTH ) หรือชํวงสูงด๎วยอัตราเร็วมาก ภายหลังที่ออกมาจากสายอากาศสํงแล๎วและเพราะวํามีความถี่วิทยุ
หลายความถี่รวมกันอยูํอยํางหนาแนํนในความถี่วิทยุ จึงไมํอาจจะใช๎เฉพาะภาคเครื่องรับคลื่นเทํานั้น จาเป็นต๎อง
เพิ่มภาคเครื่องขยายความถี่วิทยุ ( รูปที่ 2 - 6 ) เข๎าในเครือ่ งรับเพื่อให๎มีความไว ( SENSITIVITY ความสามารถที่
จะรับสัญญาณอํอนๆได๎ ) และมีการเลือกเฟูน ( ความสามารถที่จะแยกสัญญาณความถี่วิทยุและความถี่เสียงออก
จากกันได๎ ) เครื่องขยายความถี่วิทยุจะมีวงจรปรับตั้ง หนึ่งวงจรหรือมากกวํานั้น เพื่อให๎สญ ั ญาณความถี่วิทยุที่
ต๎องการนั้น ( ความถี่ที่ถูกปรับตัง้ ) ได๎รับการขยายมากกวําสัญญาณความถี่อื่น
รูปที่ 2-6
ค. ภาคเครื่องขยายความถี่เสียง ( AF AMPLIFIER )
กาลังออกอากาศของภาคตัดเครื่อง ( DETECTOR ) ทั้งที่มีหรือไมํ ภาคขยายความถี่วิทยุนั้น
ตามปกติมกี าลังอํอนมากที่จะนาไปใช๎งานได๎ จึงต๎องเพิ่มภาคขยายความถี่เสียงขึ้นอีกหนึง่ ภาคหรือหลายภาค ( รูป
ที่ 2-7 ) เพื่อทาให๎กาลังความถี่เสียงแรงขึ้นถึงระดับทีห่ ูฟัง ลาโพงหรือเครื่องโทรพิมพ์ทางานได๎
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 7
ที่ 2-8 ) คลื่นแมํเหล็กไฟฟูาเหลํานีผ้ ํานอากาศไปด๎วยความเร็วเทํากับความเร็วแสงประมาณ 186,000 ไมล์
( 300,000 กิโลเมตร ) ตํอวินาที
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 8
รูปที่ 2-10 การเปรียบเทียบคลื่นสองคลื่นทีม่ ีความแตกตํางกัน
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 9
แตํ 1.5 MHz. ถึง 400 MHz. ความถี่วิทยุจะแบํงออกเป็นกลุํมหรือแถบความถี่เพื่อสะดวกในการศึกษาและเป็น
หลักฐานอ๎างอิง ( REFFERENCE ) แถบความถี่ของเครือวิทยุได๎แสดงตามแผนภาพตํอไปนี้
แถบ ความถี่
ความถี่ต่ามาก ( VLF ) 3 - 30 KHz.
ความถี่ต่า (LF) 30 - 300 KHz.
ความถี่ปานกลาง ( MF) 300 - 3000 KHz.
ความถี่สูง ( HF) 3 - 30 MHz.
ความถี่สูงมาก ( VHF) 30 - 300 MHz.
ความถี่สูงอุลตรา ( UHF) 300 - 3000 MHz.
ความถี่สูงซุปเปอร์ ( SHF) 3 - 30 GHz.
ความถี่สูงสุด ( EHF) 30 - 300 GHz.
ระยะ
แถบ คลื่นพื้นดิน คลื่นฟูา กาลังที่ต๎องการ
ไมล์ กิโลเมตร ไมล์ กิโลเมตร ( ก.ว. )
LF 0-1000 0 - 1609 500-8000 ก.835- เกินกวํา 50
MF 0 - 100 0 - 161 100-1500 12872 ข. 5 - 50
HF 0 - 50 0 - 83 100-8000 161-2415 0.5 - 5
VHF 0 - 30 0 - 48 ก.50-150 161-12872 0.5 หรือน๎อยกวํา
UHF 0 - 50 0 - 83 - ก.835-241 0.5 หรือน๎อยกวํา
-
ก. การสะท๎อนกระจายชั้นโทโปหรือการสะท๎อนกระจายไอโอโนระยะไกลขนาดนี้
ข. การสะท๎อนกระจายชั้นโทโปหรือการสะท๎อนกระจายไอโอโนต๎องการกาลังขนาดนี้
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 10
2.12 กล่าวทั่วไป
ก. เครื่องสื่อสารประเภทวิทยุในหนํวยระดับรองๆนั้น ตามปกติใช๎สํงขําวด๎วยคาพูดหรือประมวลเลข
สัญญาณ ( TELEGRAPHIC CODE )
ข. ความรู๎สึกทีเ่ กิดขึ้นตํอระบบประสาทของมนุษย์ เมือ่ เยื่อหูได๎รับการสั่นสะเทือนตํอความถี่เสียง ( คาพูด
หรือประมวลเลขสัญญาณ ) เรียกวําเสียง พลังงานเสียงนีเ้ คลื่อนที่ไปในอากาศด๎วยความเร็วประมาณ 1,100 ฟุตตํอ
วินาที
ค. ถึงแม๎วําเราจะเปลี่ยนเสียงให๎เป็นพลังงานไฟฟูาความถี่เสียง ได๎แตํในทางปฏิบัติไมํอาจสํงผํานไปใน
บรรยากาศรอบโลกได๎ด๎วยการแพรํรังสีแมํเหล็กไฟฟูา ตัวอยํางเชํนสํงเสียงสัญญาณ 20 ไซเคิ้ล ให๎ได๎ผลต๎องใช๎
สายอากาศยาวเกือบ 5,000 ไมล์
ง.ข๎อจากัดข๎างบนนี้จะหมดไปได๎ถ๎าได๎ใช๎พลังงานไฟฟูาเป็นถีว่ ิทยุเป็นพาหะของขําวคือจะสามารถ
ครอบคลุมระยะทางได๎ไกลมาก สายอากาศที่มปี ระสิทธิผลสาหรับความถี่นั้นก็มีความยาวที่เหมาะ ในทางการ
ปฏิบัติการสูญเสียกาลังของสายอากาศอยูํในระดับพอควร ทั้งใช๎ได๎หลายชํองการสื่อสารซึ่งแตํละชํองสัญญาณนา
สัญญาณไปได๎และมีการเคลื่อนเฟูนสัญญาณไปด๎วย
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 11
ก. เมื่อความถี่วิทยุที่เป็นพาหะถูกปรุงคลื่นเข๎ากับเสียงเดี่ยวจะเกิดความถี่เพิ่มขึ้น 2 ความถี่
คือความถี่ สูงกวํา ( UPPER FREQ. ) อันเกิดจากผลบวกของความถี่คลื่นพาห์กบั เสียง และความถี่ต่ากวํา (
LOWER FREQ.) ซึ่งเกิดจากผลตํางความถี่ของคลื่นพาห์กับเสียง ความถี่สูงกวําความถี่คลื่นพาห์ คือความถี่ข๎างสูง (
UPPER SIDE FREQ. ) และความถี่ต่ากวําความถี่คลื่นพาห์ คือ ความถี่ข๎างต่า ( LOWER SIDE FREQ. )
ข. เมื่อสัญญาณซึ่งจะนาไปปรุงคลื่น ( MODULATION SIGNAL ) เป็นเสียงเชิงซ๎อนคาพูด
สํวนประกอบของความถี่แตํละความถี่ของสัญญาณปรุงคลื่นทาให๎เกิดเป็นความถี่ข๎างสูง ( UPPER SIDE FREQ. )
และความถี่ข๎างต่า ( LOWER SIDE FREQ. ) ขึ้น ความถี่ข๎างเหลํานี้คงอยูํในแถบของความถี่แถบหนึ่งซึง่ เรียกวํา
แถบข๎าง ( SIDE BAND ) แถบข๎างซึ่งประกอบด๎วยผลบวกของความถี่คลื่นพาห์กับความถี่ปรุงคลื่นเรียกวํา แถบข๎าง
สูง ( UPPER SIDE BAND ) และแถบข๎างที่ประกอบด๎วยผลตํางของความถี่คลื่นพาห์กับความถี่ปรุงคลื่นเรียกวํา
แถบข๎างต่า ( LOWER SIDE BAND )
ค. ชํวงความถี่ซึ่งมีคลื่นพาห์และแถบข๎างอยูํด๎วยนั้นเรียกวําชํองการสื่อสาร ( CHANNEL ) ในการปรุงคลื่น
ทางชํวงสูง , ความกว๎างของชํองการสื่อสาร ความกว๎างแถบ ( BANDWIDT ) มีคําเป็นสองเทําของคําสูงสุดของ
ความถี่ปรุงคลื่น เชํน ถ๎าปรุงคลื่นพาห์ 5,000 KHz. เข๎ากับแถบความถี่มีความกว๎างตั้งแตํ 200 ถึง 5,000 Hz. (
0.2 ถึง 5 KHz. ) จะได๎แถบข๎างสูงมีคําตั้งแตํ 5,002 ถึง 5,005 KHz. และแถบความถี่ข๎างต่ามีคําตั้งแตํ 4,999.8 ถึง
4,995 KHz. ฉะนั้นความกว๎างแถบก็มีคําเทํากับ 10 KHz. ซึง่ เทํากับสองเทําของความถี่ปรุงคลื่นสูงสุด ( 5 KHz. )
ง.ขําวที่รํวมอยูํในสัญญาณปรุงคลื่นทางชํวงสูงจะอยูทํ ี่แถบข๎างทั้งสองแถบชํวงสูงของสัญญาณ และ
เปลี่ยนแปลงไปตามความแรงของสัญญาณปรุงคลื่น
จ.การปรุงคลื่นทางชํวงสูงตามปกติใช๎ในเครื่องสํงวิทยุโทรศัพท์ซึ่งใช๎ความถี่ปานกลางและความถี่สูง
ภายในเครือความถี่
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 12
รูปที่ 2-11 รูปคลื่น
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 13
แถบข้างเดี่ยว
ก.สัญญาณแถบข๎างเดี่ยว ( SSB ) จะมีแถบข๎างเพียงหนึ่งในสองของแถบความถี่ของสัญญาณทีป่ รุงคลื่น
ทางชํวงสูง ตามรูปที่ 2-12 แสดงถึงทฤษฎีการแจกแจงกาลัง ( THEORETICAL DISTRIBUTION OF POWER )
ในสัญญาณ AM ตามรูปที่ 2-13 แสดงถึงเครื่องสํงแถบข๎างเดียวที่มีกาลังเทําเดิมแตํสามารถกรองแถบความถี่เพียง
ข๎างเดียวกาจัดคลื่นพาห์ ( SUPPRESS CARRIER ) และนากาลังของแถบข๎างที่ถูกกรองกับกาลัง ของคลื่นพาห์ที่
กาจัดออกไปนั้นมาเพิ่มกาลังสํงให๎กับแถบข๎างที่เหลืออยูํ
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 14
ข. เนื่องจากสัญญาณ SSB นั้นผลิตขึ้นโดยการผสมความถี่ จึงทาให๎เกิดผลบวกและผลตํางขึ้น ทั้งแถบ
ความถี่ข๎างสูงและข๎างต่าประกอบด๎วย ขําวที่ได๎นามาปรุงคลืน่ เหมือนกัน การเลือกสํงแถบข๎างใดขึ้นอยูกํ ับลักษณะ
ของเครื่องกรองแถบข๎างเดี่ยวที่นามาใช๎ ดังนั้นการสํงแถบข๎างเดี่ยวจึงกินที่ของเครือความถี่น๎อยกวําการปรุงคลื่น
AM
วิทยุโทรเลข
ก.ขําววิทยุโทรเลขสามารถสํงไปได๎ด๎วยการปรุงคลื่นพาห์และหยุดสํงด๎วยไกไฟฟูาหรือคันเคาะ
ตัวเลขและตัวอักษรแตํละตัวในวงถูกกาหนดขึ้นโดยการประกอบห๎วงไฟฟูา ( PULSE ) สั้นและยาวเป็นหมูํๆ ตาม
ประมวลเลขสัญญาณ ตัวอยําง เชํน พนักงานวิทยุต๎องการสํงตัวอักษร A ในรูปประมวลเลขสัญญาณก็จะกดคัน
เคาะใช๎เวลาเพียงเศษสํวนของวินาทีและปลํอยคันเคาะในห๎วงเวลาเทําเดิมแล๎ว จึงกดคันเคาะอีกห๎วงในเวลานาน
เป็น 3 เทํา ของการกดครัง้ แรก วิธีการสํงขําวเชํนนี้เรียกวํา การสํงวิทยุโทรเลขหรือคลื่นเสมอ ( CW ) ซึ่งได๎แสดง
รูปของคลื่น (WAVE FORM )ไว๎ในรูปที่ 2-14
ข. ขําววิทยุโทรเลขอาจสํงไปได๎ด๎วยคลื่นปรุงเสียง ( TONE MODULATED WAVE ) ในการสํงวิทยุด๎วย
คลื่นปรุงเสียงนั้นคลื่นพาห์จะถูกปรุงเสียงที่ความถี่คงที่ซึ่งมีความถี่ระหวําง 500 ถึง 1000 Hz.
ตํอวินาที เนื่องจากการปลํอยคลื่นปรุงเสียง ( TONE EMISSION ) นั้น ได๎ยํานกว๎างจึงอาจใช๎ตํอต๎านการกํอกวน (
ทางอิเล็กทรอนิกส์ ) บางแบบได๎ แตํเนื่องจากสัญญาณมียํานกว๎าง จึงทาให๎วิทยุหาทิศ
( RADIO DIRECTION FINDER ) หาเปูาหมายงําย เครื่องสํงที่ปรุงคลื่นรัศมีการทางานน๎อยกวําเครื่องสํงคลื่นเสมอ
( CW ) ในเมื่อมีกาลังออกเทํากัน
ค. การสํงวิทยุโทรเลขด๎วยมือนั้นจากัดด๎วยความสามารถในการใช๎มือรับ - สํงขําว ตามปกติแล๎วใช๎ใน
หนํวยระดับต่าของกองทัพบกซึง่ มีปริมาณขําวจานวนน๎อย การสํงวิทยุโทรเลขอาจใช๎สาหรับสถานีตาบลที่ตงั้ ซึ่ง
อยูํโดดเดี่ยวหรืออยูํหํางไกลได๎ ถ๎ามัชฌิมอื่นไมํมี
1. การสื่อสารด๎วยวิทยุโทรเลขสามารถใช๎ได๎เสมอๆ ในขณะที่การสื่อสารด๎วยแบบอื่นๆ
ใช๎ไมํได๎ผลเนื่องจากสภาพบรรยากาศหรือการรบกวน
2. เครื่องสํงวิทยุโทรเลขมีรัศมีการทาการไกลกวําเครื่องสํงวิทยุโทรศัพท์ ในเมื่อมีกาลังออกอากาศเทํากัน
ทั้งนี้เพราะกาลังออกอากาศของสัญญาณแรงขึ้นเมื่อความกว๎างแถบน๎อยลง
3. ในแถบความถี่ที่กาหนดมาให๎นั้น สามารถสํงวิทยุโทรเลขได๎มากกวําสถานีวิทยุ
โทรศัพท์โดยไมํรบกวนซึ่งกันและกัน
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 15
รูปที่ 2-14 สัญญาณวิทยุโทรเลข
วิทยุโทรศัพท์
ก.ปากพูดของวิทยุโทรศัพท์จะเปลี่ยนแปลงเสียงหรือคลื่นเสียงให๎เป็นห๎วงคลื่นไฟฟูาเบาๆ ห๎วง
คลื่นไฟฟูาเหลํานีจ้ ะถูกทาให๎แรงขึ้น โดยผํานเครื่องขยายความถี่เสียงติดตํอกันหลายๆภาคแล๎ว ผํานเข๎าไปใน
เครื่องปรุงคลื่น เครือ่ งปรุงคลื่นจะปลํอยให๎กาลังงานคลื่นเสียงเทําทีจ่ าเป็นปรุงเข๎ากับคลื่นวิทยุในวงจรขยายความถี่
วิทยุ ที่เครื่องรับวิทยุความถี่วิทยุทปี่ รุงคลื่นแล๎วจะถูกแยกคลื่น โดยยอมให๎ แตํเฉพาะองค์ประกอบความถี่เสียง
ของสัญญาณที่เข๎ามาเทํานั้นทีจ่ ะเกิดเป็นเสียงขึ้นในลาโพงหรือชุดสวมศีรษะ
ข.วิทยุโทรศัพท์ใช๎ในการสื่อสารอยํางกว๎างขวางในหนํวยรบที่เคลื่อนที่ด๎วยความเร็วสูง ซึ่งจาเป็นต๎องสํง
ขําวด๎วยความเร็ววิทยุโทรศัพท์ในการติดตํอระหวํางบุคคลเมือ่ ไมํมีข๎อจากัดเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยในการ
สื่อสาร
วิทยุโทรพิมพ์
ก.การสํงวิทยุโทรพิมพ์นั้นกระทาได๎ในระยะทางไกลๆจนถึงนับพันไมล์,มักใช๎ในหนํวยระดับสูงๆ ซึ่งมีการ
เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทางยุทธวิธีอยํางรวดเร็วโดยที่เวลาในการติดตั้งเครื่องสื่อสารประเภทสายไมํอานวยให๎และ
ในพื้นที่ซึ่งมีปริมาณขําวสารมากและวงจรวิทยุก็มีความเชื่อถือได๎วิทยุโทรพิมพ์ที่ใช๎ได๎ประโยชน์อยํางมากในที่ซึ่งไมํ
สามารถวางสายได๎งํายๆเชํนพื้นที่ที่ถูกแบํงแยกด๎วยพื้นน้ากว๎างใหญํหรือปุาทึบ
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 16
ข. เครื่องสํงวิทยุโทรพิมพ์ประกอบด๎วยแปูนอักษรที่ใช๎สํง ( TRANSMITTING KEYBOARD ) และกลไกที่ใช๎
รับและพิมพ์ ( RECEIVING AND PRINTING MACHANISM ) เมื่อทาการกดแปูนตัวอักษร KEY จะเป็นการปลด
กลไกสํง โดยสํงห๎วงคลื่นไฟฟูาติดตํอกัน ( A SERIES OF ELECTRICAL IMPULSES ) เข๎าไปในชํองสื่อสารทาง
วิทยุ ไปยังเครื่องรับเครื่องรับจะเปลี่ยนห๎วงไฟฟูาให๎เป็นการทางานทางกลไกเครื่องพิมพ์ ( PRINTE ) จะเลือกและ
พิมพ์เฉพาะตัวอักษรตามห๎วงคลื่นไฟฟูาที่รบั มาเทํานั้น แปูนอักษรแตํละตัวจะลงเฉพาะห๎วงไฟฟูาซึ่งกาหนดไว๎
ตํางๆ กัน ( รูปที่ 2-15 ) ขําวอาจพิมพ์บนหน๎ากระดาษ ( PAGE FORM ) หรือบนแถบ ( TAPE ) ก็ได๎ แปูน
ตัวอักษรจะประกอบด๎วยตัวอักษรพยัญชนะและเครือ่ งหมายวรรคตอน ( รูปที่ 2-16 ) กลไกตํางๆจะทาให๎เกิดการ
ทางานตํางๆ คือ กลับแครํ ( CARRIAGE RETURN ) เลือ่ นบรรทัด ( LINE SHIFT ) เลื่อนอักษร ( LETTER SHIFT )
เลื่อนตัวเลข ( FIGURE SHIFT ) และ เว๎นวรรค ( SPACE )
ค. ประมวลสัญญาณพิเศษ ( SPECIAL SIGNALING CODE ) ที่ใช๎ในการสํงโทรพิมพ์นั้น ตัวอักษรหรือ
สัญญาณแตํละตัวนั้นจะมีระยะเวลาสม่าเสมอกัน ( UNIFORM LENGTH ) และมี 5 ห๎วงเวลา ( ENTERVALS OF
TIME ) หนํวยของสัญญาณแตํละหนํวยจะมีความยาวเทํากันมีชื่อเรียกวําห๎วงหมาย (ไฟฟูา ) ( MARKING
IMPULSE ) หรือ ห๎วงวําง(ไฟฟูา) ( SPACING IMPULSE ) ในวงจรห๎วงหมาย( ไฟฟูา )จะปรากฏในขณะที่มีกระแส
ไหลในวงจรและแมํเหล็กเลือกอักษร ( SELECTOR MAGNETS ) ซึ่งอยูํในเครื่องพิมพ์ของเครื่องรับจะทางาน ห๎วง
วําง( ไฟฟูา ) ปรากฏเมื่อวงจรอยูํในสภาพวงจรเปิดซึง่ แมํเหล็กเลือกอักษรในเครือ่ งพิมพ์ของเครื่องรับจะไมํทางาน
การเอาห๎วงหมายและห๎วงวํางมารวมกันโดยไมํมีแบบตํางๆกันนั้นทาให๎เกิดเป็นตัวอักษร , ตัวเลข การทางานตาม
หน๎าที่ ( FUNCTIONS ) ตํางกัน
ง. สัญญาณโทรพิมพ์ซงึ่ ใช๎กันโดยทั่วๆ ไป นั้นทาได๎โดยการตัดตํอ KEY เครื่องสํงวิทยุให๎แพรํรังสี ณ ความถี่
หนึ่งในขณะที่เป็นห๎วงหมาย และในขณะที่เป็นห๎วงวํางความถี่จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเล็กน๎อย การทางาน
เชํนนี้ใช๎การปรุงคลื่นทางความถี่เรียกวํา การตัดเลื่อนความถี่ ( FREQ. SHIFT KEYING ( FSK ))(M ลด ) เครื่องรับ
วิทยุจะเปลี่ยนความถี่ทงั้ สองซึง่ อยูํหํางกัน 850 Hz. กลับเข๎าเป็นห๎วงไฟฟูาของโทรพิมพ์และห๎วงไฟฟูาเหลํานี้จะทา
ให๎เครื่องรับโทรพิมพ์ ทางาน การกดแปูนอักษรทางเครื่องสํงโทรพิมพ์จะทาให๎ทางเครื่องรับตีพมิ พ์อักษรตัวที่
ตรงกันด๎วย
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 17
รูปที่ 2-16
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 18
บทที่ 3
การแพร่กระจายคลื่น และความถี่ในย่านต่างๆ
3.1 คลื่น (WAVE)
คลื่นมีมากมายหลายชนิด เกิดจากแหลํงกาเนิดตํางกัน คลื่นชนิดหนึ่งที่จะพบเห็นได๎เสมอคือ คลื่นในแมํน้า
ลาคลอง ในทะเล ซึ่งจะเรียกวําคลื่นน้า ถ๎าเราโยนก๎อนหินลงในน้านิ่งๆ หินจะทาให๎น้านั้นเกิดคลื่นซ๎อนกันไปเรื่อยๆ
เป็นระลอกกระจายเป็นวงออกไปไกล จนในทีส่ ุดก็ราบเรียบเป็นน้านิ่งอยูํตามเดิม
สํวนประกอบของคลื่น
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 19
รูปที่ 3-2 แสดงสํวนประกอบของคลื่น
สํวนประกอบตํางๆ ของคลื่นจะมีชื่อเรียกตํางกันอธิบายได๎ดังนี้
1. ระยะ AB และ CD เป็นระยะสํวนสูงและสํวนต่าของคลื่น สํวนใหญํจะเรียกสํวนสูงของคลื่น หรือ
แอมปลิจูด (Amplitude)
2. ระยะความหํางของยอดคลื่นหนึ่ง ไปยังอีก คลื่นหนึ่งคือระยะ A ถึง F เรียกวําความยาวคลื่น หรือ
เวฟเลงท์ (Wave Length)
3. การเคลื่อนที่ของคลื่นจาก E ไป F ไป G ครบสํวนที่ H เรียกการเคลื่อนที่ครบรอบของคลื่นวํา 1 ลูก
คลื่น หรือ 1 ไซเกิล (Cycle)
4. คลื่นที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้จะมีชื่อเรียกวําคลื่นไซน์ หรือไซน์เวฟ (Sine Wave)
5. การบอกความเร็วในการเคลื่อนที่ของคลื่น จะบอกเป็นจานวนไซเกิลใน 1 วินาที (Cycle/Sec.) มักจะ
เรียกความถี่ (Frequency) สมมติคลื่นเคลื่อนที่ใน 1 วินาที ได๎ 100 ไซเกิล เรียกวําคลื่นนั้นมีความถี่ 100 ไซเกิล
ตํอ วินาที (100 C/S) ในปัจจุบันความถี่ของคลื่นจะมีหนํวยเป็นเฮริทซ์ (Hertz) ใช๎ตัวยํอ Hz. แทนคาวําไซเคิลตํอ
วินาที (Cycle/Sec.)
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 20
F=V / Hz.
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 21
6.ULTRA HIGH REQUENCY 300 MHz – 3 GHz 1 m – 10 cm ใช๎สํง TV ชํอง 14 – 83 เรดาร์ , และไมโครเวฟ
( UHF )
7. SUPER HIGH FREQUENCY 3 GHz – 30 GHz 10 cm – 1 cm เรดาร์ , ไมโครเวฟ , สื่อสารดาวเทียม , ค๎นคว๎าทดลอง
( SHF )
8.EXTREMELY HIGH 30 GHz – 300 GHz 1 cm – 1 mm ค๎นคว๎าทดลอง
FREQUENCY ( EHF )
9. ยํานที่ยงั ไมํมีชื่อ 300 GHz – 3 THz 1 mm – 0.1 mm ค๎นคว๎าทดลอง
หมายเหตุ
1. หนํวยความถี่ที่สูงกวําเฮริทซ์ (Hertz) ขึ้นไปแบํงเป็นดังนี้
1 กิโลเฮริทซ์ (Kilo Hz.), kHz. = 103 Hz.
1 เม็กกะเฮริทซ์ (Mega Hz.), MHz. = 106 Hz.
1 จิกกะเฮริทซ์ (Giga Hz.), GHz. = 109 Hz.
1 เทราเฮริทซ์ (Tera Hz.), THz. = 1012 Hz.
2. หนํวยความยาวคลื่นที่สูงกวําและต่ากวําเมตรแบํงเป็นดังนี้
1 กิโลเมตร (Kilometer), Km. = 103 m.
1 เซนติเมตร (CentiMeter), cm. = 10-2 m.
1 มิลลิเมตร (MilliMeter), mm. = 10-3 m.
1 ไมโครเมตร (MicroMeter), m. = 10-6 m.
1 นาโนเมตร (NanoMeter), nm. = 10-9 m.
1 พิโคเมตร (PicoMeter), pm. = 10-12 m.
3. รังสีแกมมา (Gamma Rays) คือ คลื่นรังสีแมํเหล็กไฟฟูา ซึ่งถูกสํงอกมาโดยเครื่องกาเนิดรังสีแกมมา มีความยาว
คลื่นสั้นมาก มีอานาจทะลุทะลวงมากกวํารังสีเอ็กซ์เรย์ (X-Rays)
4. รังสีคอสมิก (Cosmic Rays) คือรังสีที่มีความถี่สูงกวํารังสีแกรมมา มีอานาจทะลุทะลวงสูงยิ่ง ไมํทราบที่มา
แนํนอน แหลํงรังสีอยูํในระหวํางกลุํมดาวในอวกาศ สามารถทะลุทะลวงแทํงตะกั่วแข็งได๎ถึง 1.5 ฟุต หรือประมาณ
200 ฟุตในน้า
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 22
ทางอุณหภูมิ, ความชั้น, ความดัน และอื่นๆ ทาให๎ดัชนีหักเหของคลื่นวิทยุเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา และความเป็น
สุญญากาศ คําดัชนีหักเหของคลื่นวิทยุมีผลตํอการกระจายคลื่นในชั้นบรรยากาศต่าๆ ยํานนี้
2. ชั้นสตาร์โทสเฟียร์ (Startosphere) ระยะสูงจากพื้นโลกประมาณ 15-50 กม. เป็นชั้นบรรยากาศซึ่ง
อุณหภูมิจะไมํเปลี่ยนแปลง
3. ชั้นไอโอโนสเฟียร์ (Ionosphere) ระยะอยูํสูงจากพื้นโลกประมาณ 50-500 กม. บรรยากาศในชั้นนี้
อากาศจะเต็มไปด๎วยอีออน (ION) มีคุณสมบัติในการดูดกลืนหรือสะท๎อนคลื่นวิทยุ ตัวที่มีบทบาทคือความเข๎มของ
ตัวอิเล็กตรอนอิสระ (Free Electron Density) บรรยากาศในชั้นนี้ยังสามารถแบํงออกได๎เป็นชั้นยํอยๆ ได๎อีกดังนี้
- ชั้น D (D-Layer) มีความสูงจากพื้นโลกประมาณ 50-90 กม. จะปรากฏบรรยากาศชั้นนี้เฉพาะเวลา
กลางวันเทํานั้น และความเข๎มของการไอโอไนซ์ จะเปลี่ยนแปลงไปตามความสูงของดวงอาทิตย์ ชั้นนี้มีคุณสมบัติใน
การสะท๎อนคลื่นวิทยุยํานความถี่สูง และดูดกลืนคลื่นวิทยุผํานความถี่ต่า
- ชั้น E (E-Layer) มีความสูงจากพื้นโลกประมาณ 110 กม. มีผลในการสะท๎อนกลับของคลื่นวิทยุสูํผิวโลก
ได๎ ชั้นนี้จึง ใช๎ป ระโยชน์ในการรับสํง วิท ยุระยะไกลๆ ได๎ความหนาแนํนของอากาศน๎อยลง กา รชนกั นระหวําง
อิเล็กตรอนในอณูของอากาศจะลดลง ยกเว๎นในกรณีที่มีชํวงเวลาการไอโอไนซ์มากๆ เชํนตอนบํายๆ ชั้น E ก็จะ
ดูดกลืนคลื่นวิทยุได๎เหมือนกัน
- ชั้น F1 (F1-Layer) มีความสูงประมาณ 175-250 กม. มีการไอโอไนซ์ตลอดเวลา มากที่สุดในตอนบําย
ความสูงของชั้นนี้เปลี่ยนแปลงไปบ๎าง ขึ้นอยูํกับจุดดับในดวงอาทิตย์ ฤดู และเวลาในวันหนึ่งๆ ด๎วย คุ ณสมบัติของ
F1 ใช๎ในการสะท๎อนคลื่นวิทยุในการรับสํงระยะไกล แตํมีการดูดกลืนคลื่นวิทยุบ๎างเล็กน๎อย
- ชั้น F2 (F2-Layer) มีความสูงประมาณ 250-400 กม. ชั้นนี้มีบทบาทในด๎านการสื่อสารอยํางยิ่ง ชั้นนี้สูง
ที่สุดที่เกี่ยวข๎องกับคลื่นวิทยุ มีการไอโอไนซ์อยํางรุนแรง แตํเนื่องจากความหนาแนํนของอากาศเบาบางมาก จึงทา
ให๎การไอโอไนซ์ที่เกิดขึ้นค๎างอยูํได๎เป็นเวลานาน การไอโอไนซ์จะรุนแรงมากในตอนบําย แล๎วคํอยๆ ลดลงจนน๎อย
ที่สุดกํอนพระอาทิตย์ขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงอยํางรวดเร็วในตอนเช๎า ชั้นนี้เป็นชั้นที่มีประโยชน์มากที่สุดในการ
สื่อสารด๎วยคลื่นวิทยุระยะไกล (HF) ความสูงของชั้น F2 ฤดูร๎อนจะสูงกวําในฤดูหนาว ในเวลากลางคืนชั้น F1 และ
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 23
รูปที่ 3-3 ชั้นบรรยากาศทีห่ ํอหุ๎มโลก
คุณลักษณะของบรรยากาศไอโอโน
ก. ความถี่วิกฤติ ระยะของการสํงวิทยุระยะไกลนั้นกาหนดได๎จากความหนาแนํนของการ แตกตัวเป็น
ไอออนในชั้นบรรยากาศแตํละชั้นเป็นประการแรกความถี่สงู ขึ้นก็ยิ่งทาให๎เกิดการหักเหกลับมายังโลกได๎ ชั้น
บรรยากาศที่สงู ๆขึ้นไป ( ชั้น E และ ชั้น F ) จะหักเหคลื่นวิทยุความถี่สูงๆกลับมายังพื้นโลกเพราะวํา ณ ชั้น
บรรยากาศดังกลําวมีการแตกตัวเป็นไอออนสูงมากทีส่ ุด ชั้นบรรยากาศ D ซึ่งมีการแตกตัวเป็นไอออนน๎อยที่สุด จะ
ไมํหักเหความถี่สูงเกิน 500 KHz. โดยประมาณ ฉะนั้น ณ เวลาที่กาหนดเวลาใดเวลาหนึง่ ณ ชั้นบรรยากาศชั้นใด
ชั้นหนึ่งจะมีขีดจากัดของความถี่ด๎านสูงคําหนึง่ ซึ่งเมือ่ คลื่นขึ้นไปในแนวดิ่งแล๎วหักเหกลับลงมายังโลกได๎ ความถี่
จากัดอันนี้เรียกวํา ความถี่วิกฤติ คลื่นที่สํงขึ้นไปในแนวดิ่งด๎วยความถี่สูงกวําความถี่วิกฤตินี้ จะทะลุผํานบรรยากาศ
ชั้นนั้นไปยังอวกาศ คลื่นทั้งหลายที่สงํ ตรงขึ้นไปยังบรรยากาศไอโอโน โดยมีความถี่ต่ากวําความถี่วิกฤติ แล๎วจะหัก
เหกลับมายังโลก
ข. มุมวิกฤติ คลื่นวิทยุที่ใช๎ในการสื่อสารโดยปกติจะพุํงตรงไปยังบรรยากาศ ไอโอโน เป็นมุมเอียงบ๎างซึ่ง
เรียกวําเป็นมุมตก ( ANGLE OF INCIDENCE ) คลื่นวิทยุที่มีความถี่สูงกวําความถี่วิกฤติจะกลับมายังโลกได๎ ถ๎า
แพรํกระจายออกไปด๎วยมุมที่ต่ากวํา มุมวิกฤติ ณ มุมวิกฤติและมุมซึ่งโตกวํามุมวิกฤติคลื่นจะทะลุผํานบรรยากาศ
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 24
ไอโอโน ถ๎าความถี่ของคลื่นนั้นสูงกวําความถี่มุมวิกฤติเมื่อมุมนั้นเล็กลงจนถึงมุมหนึ่งที่คลื่นโค๎งกลับมาสูโํ ลกด๎วยการ
หักเห ระยะทางระหวํางสายอากาศและจุดซึง่ คลื่นตกลงมาสูํโลกเป็นครั้งแรกเรียกวําระยะกระโดด
การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศไอโอโน
การเคลื่อนตัวของโลกรอบดวงอาทิตย์ และการเปลี่ยนแปลงตํางๆของดวงอาทิตย์ ทาให๎เกิดการ
เปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ ไอโอโน มีการเปลี่ยน แบํงออกเป็นประเภทใหญํๆได๎ 2 ประเภท การเปลี่ยนปกติซึ่ง
สามารถทานายได๎กบั การเปลี่ยนแปลงไมํปกติ ซึง่ เป็นผลจากอาการอันผิดปกติของดวงอาทิตย์
ก. การเปลี่ยนแปลงปกติ อาจแบํงออกได๎เป็น 4 ชนิด คือ การเปลี่ยนแปลงประจาวันหรือรอบวัน ซึ่งเกิด
จากการหมุนรอบตัวเองของโลก การเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนตัวขึ้นเหนือและลงใต๎ของดวง
อาทิตย์ การเปลี่ยนแปลงรอบ 27 วัน ซึ่งเกิดจากการหมุนรอบแกนของดวงอาทิตย์ และการเปลี่ยนแปลงรอบ 11
ปี ซึ่งเป็นห๎วงเวลาโดยเฉลี่ยระหวําง ซึง่ ปรากฏการณ์จุดดับในดวงอาทิตย์ เปลี่ยนจากมากที่สุดไปน๎อยที่สุด และ
กลับมามากที่สุดอีก
ข. การเปลี่ยนแปลงไมํปกติ การเปลี่ยนแปลงในชั้นบรรยากาศไอโอโน ในชั่วขณะไมํอาจทานายได๎ มีผล
อยํางมากตํอการแพรํกระจายคลืน่ วิทยุ ผลบางประการเหลํานี้ได๎แกํ
1) การผิดปกติในชั้น E เป็นครัง้ คราว ( SPORADICE ) เมื่ออากาศเกิดการแตกตัวเป็น
ไอออนอยํางมากมาย บรรยากาศชั้น E จะปิดกลั้นการหักเหจากบรรยากาศชั้นเหนือกวําโดยสิ้นเชิง และผลอันนี้
เกิดขึ้นได๎ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน
2) การรบกวนตํอบรรยากาศไอโอโนอยํางฉับพลัน(SUDDEN IONOSPERIC DISTURBANCE )
การรบกวนตํอบรรยากาศไอโอโนอยํางฉับพลัน ( SID ) จะเกิดในขณะเดียวกับทีม่ ีการพุพุํงขึ้นอยํางแรงของดวง
อาทิตย์ และกํอให๎เกิดการแตกตัวเป็นไอออนอยํางผิดปกติในบรรยากาศชั้น D ผลอันนีจ้ ะทาให๎เกิดการดูดซึม
พลังงานวิทยุความถี่สูงกวํา 1 MHz. ทั้งหมด ลักษณะอันนี้จะเกิดขึ้นโดยไมํมีการเตือนลํวงหน๎า ในระหวํางเวลา
กลางวันและอาจจะคงอยูํนานตัง้ แตํ 2 - 3 นาที ถึงหลายๆ ชั่วโมง เมื่อเกิดการรบกวนตํอบรรยากาศไอโอโนอยําง
ฉับพลันขึ้นเครื่องรับทุกเครื่องจะเป็นเสมือนเครื่องเสีย
3.5 การแพร่กระจายคลื่นวิทยุ
การแพรํกระจายคลื่นวิทยุออกไปในบรรยากาศสามารถแบํงออกได๎ตามลักษณะธรรมชาติจาเพาะของแถบ
คลื่นในยํานตํางๆ ได๎ 4 ประเภทดังนี้คือ
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 25
รูปที่ 3-4 การแพรํกระจายคลื่นวิทยุของสายอากาศในทิศทางตํางๆ
รูปที่ 3- 5 การแพรํกระจายคลื่นของคลื่นดินในแตํละแบบ
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 27
การแพรํกระจายคลื่นแบบนี้ บางครั้งคลื่นวิทยุที่สะท๎อนลงมาจากชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ถึงผิวโลกแล๎ว ยัง
สามารถสะท๎อนกลับขึ้นไปสูํชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ และสะท๎อนกลับลงสูํผิวโลกได๎อีก ถ๎ามีกาลังสํงสูงพอ ซึ่ง
สามารถสะท๎อนขึ้นลงได๎มากกวํา 1 ครั้ง ทาให๎การติดตํอสื่อสารไปได๎ไกลมากขึ้น
การแพรํกระจายคลื่นวิทยุในประเภทนี้ยังมีข๎อเสียอีกคือ ระดับความสูงของชั้นบรรยากาศไอโอโนเฟียร์จะ
ขึ้นอยูํกับ อิท ธิพลของดวงอาทิ ตย์ นั่นคือ ระดับความสูง ของชั้นบรรยากาศชั้นไอโอโนเฟียร์จะเปลี่ยนแปลงอยูํ
ตลอดเวลา ไมํวําในเวลากลางวัน เวลากลางคืน รอบฤดูกาล แม๎กระทั่งการเกิดจุดดับบนดวงอาทิตย์ ฉะนั้นการ
สื่อสารที่ใช๎การแพรํกระจายคลื่นแบบนี้จึงไมํสู๎แนํนอนนักต๎องมีการศึกษาในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์
ในรอบฤดูกาลต๎องใช๎เครื่องมือวัดความสูงของชั้นบรรยากาศชั้นนี้ และใช๎การทานายเหตุการณ์ลํวงหน๎าจากสถิติที่
ได๎กระทาไว๎เป็นระยะเวลานานหลายปี เลือกใช๎ความถี่ให๎เหมาะสมกับเวลา ดัง นั้นจึงจะทาให๎การสื่อสารโดยการ
แพรํกระจายคลื่นแบบนี้มีเปอร์เซ็นต์ความแนํนอนสูงขึ้น
รูปที่ 3 - 9 (A) แสดงการสํงคลื่นวิทยุไปกระทบชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ในมุมที่ตํางกัน
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 28
รูปที่ 3 - 9 (B) แสดงการสะท๎อนคลื่นวิทยุในเวลากลางวันและเวลากลางคืนตํางกัน
รูปที่ 3 - 10 การสะท๎อนกลับของคลื่นในยํานความถี่ตํางๆ
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 29
3) คลื่นโทรโพสเฟียริค (Tropospheric Wave)
การแพรํกระจายคลื่นวิทยุป ระเภทนี้จ ะเกิดขึ้นเฉพาะความถี่ในยําน VHF และตอนต๎นของยําน UHF
เทํานั้น ลักษณะการแพรํกระจายคลื่นในประเทศนี้จะเดินทางออกจากสายอากาศของเครื่องสํงเป็นเส๎นโค๎งเล็กน๎อย
เกือบจะเป็นเส๎นตรง ไปตามสภาพอากาศปกติของชั้นบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ แล๎วกลับเข๎าหาพื้นโลก การ
แพรํกระจายคลื่นแบบนี้ถ๎ามีสิ่งกีดขวางเชํน ภูเขา หรือสิ่งกํอสร๎างแล๎วคลื่นจะเดินทางผํานไปไมํได๎ ดังนั้นอุปสรรค
สาคัญของระยะการติดตํอสื่อสารการแพรํกระจายคลื่นแบบนี้ก็คือการสาบังของสวํนโค๎งของโลก ตามปก-ระยะ
ทางการติดตํอสื่อสารในแถบคลื่น VHF ใน ระดับพื้นที่ราบ เมื่อความสูงของเสาอากาศปกติจะอยูํในราวประมาณ
80 -100 กม. เทํานั้น ถ๎าจะให๎ได๎ไกลกวํานี้อาจทาได๎ 2 วิธี คือ
3.1ยกสายอากาศของเครื่องสํงหรือเครื่องรับ หรือทั้งสองอยําง ให๎มีความสูงมาก หรือตั้งสถานี บนยอดเขา
3.2ใช๎สถานีถํายทอดสัญญาณหรือสถานีทวนสัญญาณ (Relay or Repeater Station)
รูปที่ 3 - 11 การแพรํกระจายคลื่นประเภทคลื่นโทรโพสเฟียริค
ตัวอยํางการใช๎ความถี่ในแถบคลื่น VHF ที่ใช๎การแพรํกระจายคลื่นแบบคลื่นโทรโพสเฟียริค คือ การ
กระจายเสียงในระบบ FM (Frequency Modulation) และโทรทัศน์ เป็นต๎น จะเห็นได๎วําผูท๎ ี่มีเครื่องรับโทรทัศน์
หรือวิทยุ FM ที่อยูํหํางไกลออกไป จะต๎องพยายามยกระดับสายอากาศรับให๎สูงขึ้นมากๆ และถ๎าอยูํไกลมากๆ ก็ไมํ
สามารถรับได๎ ทางด๎านสถานีสํงก็แก๎ปญ ั หาโดยการติดตั้งเสาให๎สูง และติดตั้งสถานีถํายทอดสัญญาณตามจุดตํางๆ
เพื่อขยายเขตของผู๎รบั ได๎กว๎างขวางมากขึ้น ดังที่รจู๎ ักและได๎ยินคาวําสถานีโทรทัศน์ ทรานสเลเดอร์ (TV.
Translator)
4.1ยกระดับสายอากาศให๎สูงขึ้นมากๆ หรือตั้งสถานีบนยอดเขา
4.2ใช๎สถานีถํายทอดสัญ ญาณหรือทวนสัญญาณ (Relay or Repeater Station) เป็นชํวงๆ ชํวงละ
ประมาณ 80 กม. จนกระทั่งถึงปลายทางดังเชํนในระบบโทรคมนาคมภายในประเทศดังรูปที่ 1 – 12
4.3โดยการใช๎ระบบดาวเทียม ซึ่งดาวเทียมก็คือสถานีถํายทอดสัญญาณกลางอวกาศนั่นเอง ซึ่งจะเพิ่ม
ระยะทางการติดตํอสื่อสารได๎ไกลมากโดยใช๎เป็นการติดตํอสื่อสารระหวํางประเทศในขณะนี้
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 31
รูปที่ 3 - 14 ระบบสื่อสารดาวเทียมใช๎การแพรํกระจายคลื่นแบบคลื่นตรง (Directed Wave)
รูปที่ 3 - 15 ระยะทางการสื่อสารระดับสายตา
การแพร่กระจายคลื่นฟ้า
ก. เส๎นทางการสํงคลื่นฟูา การแพรํกระจายคลื่นฟูาหมายถึง การสํงวิทยุแบบตํางๆซึ่งขึ้นกับบรรยากาศไอ
โอโน เพื่อทาให๎เกิดเส๎นทางของสัญญาณระหวํางเครือ่ งสํงและเครื่องรับ เส๎นทางคลื่นวิทยุที่เป็นไปได๎บางเส๎นทาง
จากเครื่องสํงไปยังเครื่องรับ โดยการใช๎บรรยากาศไอโอโนนัน้ แสดงไว๎ในรูปที่ 3-16
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 32
รูปที่ 3-16 เส๎นทางการสํงคลื่นฟูา
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 33
รูปที่ 3-17 เขตกระโดด
การจางหาย
ก. เหตุสามัญประการแรกที่ทาให๎เกิดจากการจางหายนั้น เกิดจากผลของการกระทาซึง่ กันและกันของ
คลื่นวิทยุเดี่ยวกันทีเ่ ดินคนละเส๎นทาง ณ ระยะหํางจากเครือ่ งสํงที่แนํนอนอันหนึ่ง อาจรับได๎ทั้งคลื่นฟูาและคลื่นดิน
แตํเนื่องจากคลื่นวิทยุเคลื่อนที่ตํางเส๎นทางกัน ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได๎ที่คลื่นวิทยุจะไปถึงมุมไฟฟูาตํางกัน เมือ่ เกิด
กรณีนี้ขึ้นคลื่นทัง้ สองนั้นจะหักล๎างกันและกัน ณ จุดที่คลื่นทัง้ สองไปพบกัน
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 34
รูปที่ 3-19 การจางหายเนือ่ งจากคลื่นพื้นดินและคลื่นฟูา
ผลของความถี่ต่อการแพร่กระจายคลื่น
ก. ณ ความถี่ต่า ( LF ) ( 30 - 300 KHz. ) คลื่นพื้นดินจะมีประโยชน์มากที่สุดในการสื่อสารระยะไกลๆ
สัญญาณจากคลื่นพื้นดินคํอนข๎างคงที่ และมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลแตํเพียงเล็กน๎อย
ข. ในแถบความถี่ปานกลาง ( MF ) ( 300 - 3000 MHz. ) คลื่นพื้นดินจะมีระยะเปลี่ยนแปลงอยูํ 15 ไมล์
( 24 กม. ) ณ ความถี่ 3000 KHz. และประมาณ 400 ไมล์ ( 640 กม. ) ณ ความถี่ข๎างต่าของหลายความถี่นั้น
การรับคลื่นฟูาทาได๎ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน โดยใช๎ความถี่ต่าๆ ของแถบความถี่นั้น ในเวลากลางคืน
อาจจะรับคลื่นฟูาได๎ในระยะไกลถึง 800 ไมล์ ( 12,870 กม. )
ค. ในแถบความถี่สูง ( HF ) ( 3-30 MHz. ) ระยะของคลื่นพื้นดินลดลงเมื่อมีความถี่เพิม่ สูงขึ้นและ
ข๎อพิจารณาเกี่ยวกับบรรยากาศไอโอโนก็จะมีอิทธิพลอยํางมากตํอคลื่นฟูา
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 35
ง. ในแถบความถี่สูงมาก ( VHF ) ( 30 - 300 MHz. ) คลื่นพื้นดินใช๎ไมํได๎ และมีการหักเหของคลื่นฟูา
กลับมาเล็กน๎อยในเมื่อใช๎ความถี่ต่าของแถบความถี่นั้น คลื่นตรงใช๎เพื่อการสื่อสารได๎ถ๎าสายอากาศสํงและ
สายอากาศรับตั้งอยูเํ หนือพื้นผิวโลกพอเพียง เพราะวําสภาพที่ผิดปกติเป็นครั้งคราวในบรรยากาศไอโอโน การสํง
คลื่นไปในระยะทางไกลๆ จึงไมํอาจทานายได๎ และสามารถสือ่ สารได๎ในชํวงเวลาสั้น
จ. ในแถบความถี่สูงอุลตร๎า ( UHF ) ( 300 - 3000 MHz. ) ต๎องใช๎คลื่นตรงทาการสือ่ สารทางวิทยุโดย
ตลอด การสื่อสารจะจากัดในระยะเลยขอบฟูาไปเล็กน๎อยเทํานั้น การรบกวนจากไฟฟูาสถิตย์และการจางหาย
สาหรับความถี่ในแถบนี้ไมํมี จึงทาให๎การรับ - สํงตามเส๎นสายตากระทาได๎เป็นผลดี สายอากาศบํงทิศทางอยํางดี
สร๎างขึ้นได๎โดยมีขนาดเล็กและสามารถรวมกาลังของคลื่นวิทยุให๎เป็นลาแคบๆ ดังนั้นจึงเพิม่ ความเข๎มของสัญญาณ
ได๎มาก
บทที่ 4
การผสมคลื่น เครื่องส่งวิทยุ AM-FM และ FM สเตอริโอมัลติเพล็กซ์
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 36
3.การผสมคลื่นทางเฟส หรือ PM (Phase Modulation)
รูปที่ 4 - 1 การผสมสัญญาณระหวํางความถี่เสียงกับคลื่นพาหะ
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 37
รูปที่ 4 - 2 วงจรที่ทาให๎เกิดการผสมคลื่นแบบ AM
จากสมการดังนี้
รูปที่ 4 - 4 (a) แสดงคําสูงสุด และต่าสุดของคลื่นผสมแบบ AM
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 38
(b) แสดงตาแหนํงของแรงดันสูงสุด (Max) และต่าสุด (Min) ของคลื่น AM และวิธีหาเปอร์เซ็นต์การผสม
คลื่นแบบ AM
(c)แสดงวิธีการหาเปอร์เซ็นต์การผสมคลื่นแบบ AM อีกวิธีหนึ่ง
เปอร์เซ็นต์การผสมคลื่น (% MOD.) (Emax-Emin)/(Emax+Emin) x 100 ……….%
จากรูป 4 - 3 รูป C,E จะหาเปอร์เซ็นต์การผสมคลื่นได๎ดังนี้
รูป C Emax = 15 : Emin = 5
% MOD = (15-5)/(15+5) x 100 = 10/20 x 100 =50 %
รูป D Emax = 20 : Emin = 0
% MOD = (20-0)/(20+0) x 100 = 20/20 x 100 =100 %
รูปที่ 4 - 5 แสดงเปอร์เซ็นต์การผสมคลื่นคําตํางๆ
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 39
4.2 การผสมคลื่นทางความถี่ (Frequency Modulation)
การผสมคลื่ นแบบ FM คือ การผสมคลื่น ที่ สัญ ญาณเสียงไปควบคุม ให๎ ความถี่วิท ยุ (ความถี่พ าหะ)
เปลี่ยนแปลงความถี่ไปตามสัญ ญาณเสียงที่ สํง เข๎ามาควบคุม ความถี่คลื่นพาหะจะเพิ่ม สูง ขึ้นจากปกติ เมื่ อมี
สัญญาณเสียงชํวงบวกเข๎ามาผสม และความถี่คลื่นพาหะจะลดต่าลงจากปกติ เมื่อมีสัญญาณเสียงชํวงลบเข๎ามา
ผสม
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 40
รูปที่ 4 - 7 การผสมคลื่นเสียงเข๎ากับพาหะในระบบ FM ที่มีสัญญาณเสียงมีความถี่ตํางกัน
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 41
รูปที่ 4 - 8 วงจรที่ทาให๎เกิดการผสมคลื่นแบบ FM
การผสมสัญญาณระหวํางสัญญาณเสียงกับคลื่นพาหะในระบบ FM ก็จะต๎องมีอุปกรณ์ที่ทาหน๎าที่ผสม
สัญญาณเข๎าด๎วยกัน ซึ่งก็คือวงจรผสมคลื่นทางความถี่ (Frequency Modulator) จะทาให๎ความถี่คลื่นพาหะ
เปลี่ยนแปลงสูงต่าตามสัญญาณเสียงที่ปูอนเข๎ามา
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 42
รูปที่ 4 - 9 ความแตกตํางของคลื่น FM กับคลื่น PM
รูปที่ 4 - 9 แสดงการเปรียบเทียบสัญญาณ FM กับ PM จะเห็นได๎วําสัญญาณทั้งสองมีลักษณะเหมือนกัน
ทุก อยําง คือสัญญาณเสียงจะไปท าให๎คลื่นพาหะเปลี่ยนความถี่ไปเชํนเดียวกั น แตํสัญญาณ PM ในการผสม
สัญญาณทางเฟส ความถี่คลื่นพาหะเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนเฟส และความสูงของสัญญาณเสียง ที่จะเข๎ามา
ผสมสัญญาณคลื่นพาหะ ด๎วยเหตุนี้การผสมคลื่นทางเฟส ความถี่คลื่นพาหะจะเปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด ในขณะที่
สัญญาณเสียงเปลี่ยนแปลงความสูงผํานตาแหนํงศูนย์ คือ ความถี่พาหะจะเปลี่ยนความถี่สูงขึ้นขณะสัญญาณเสียง
เปลี่ยนจากลบเป็นบวก และความถี่พาหะจะเปลี่ยนความถี่ต่าลง ขณะสัญญาณเสียงเปลี่ยนจากบวกเป็นลบ
สังเกตชํวงเวลาที่ t2 สัญญาณเสียงที่ปูอนเข๎ามาผํานตาแหนํงศูนย์ สัญญาณ PM เบี่ยงเบนไปยังความถี่
ต่าสุด และที่ชํวงเวลา t2 สัญญาณเสียงที่ปูอนเข๎ามาผํานตาแหนํงศูนย์อีกครั้ง สัญญาณ PM เบี่ยงเบนไปยังความถี่
สูงสุด ดังนั้นการผสมคลื่นทางเฟสจึงทาให๎เกิดสัญญาณ FM ด๎วยเชํนกัน บางครั้งเรียกการผสมคลื่นทางเฟสวําเป็น
FM โดยอ๎อม (Indirect FM)
ข๎อแตกตํางของสัญญาณ PM กับ FM แยกได๎ดังนี้
1.สัญ ญาณ PM มี ความถี่เ บี่ยงเบนเป็นสัดสํวนโดยตรงกับ ความถี่และความแรงของสัญ ญาณเสียงที่
ปูอนเข๎ามาผสม
2.สัญญาณ FM มีความถี่เบี่ยงเบนเป็นสัดสํวนโดยตรงกับความแรงของสัญญาณเสียงที่เข๎ามาผสม
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 43
จากที่กลําวมาจะสรุปได๎วําสัญญาณ FM กับ PM จะมีรูปคลื่นเหมือนกันทุกประการ เพียงแตํชํวงเวลาของ
สัญญาณเสียงที่จะเข๎ามาผสมตํางกัน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงวงจรผสมคลื่นแบบ FM ให๎เป็น PM หรือแบบ PM ให๎
เป็น FM จะทาได๎โดยใช๎วงจรฟิลเตอร์ RC แบบธรรมดา
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 44
รูปที่ 4 - 11 การตํอวงจรของระบบเครื่องรับ-สํงวิทยุ
เครื่องสํงวิทยุคือ อุปกรณ์ที่กาเนิดสัญญาณคลื่นวิทยุ (คลื่นพาหะ) ขึ้นมาและสํงตํอสัญญาณคลื่นวิทยุที่
ความถี่หนึ่งไปให๎กับสายอากาศ พร๎อมกับนาขําวสารซึ่งอยูํในรูปของสัญญาณไฟฟูาแพรํกระจายออกอากาศไปใน
รูปของคลื่นแมํเหล็กไฟฟูา ระบบของการสํงขําวสารนั้นอาจจะเป็นแบบหนึ่งแบบใดใน 2 แบบนี้ คือ
1.แบบคลื่นตํอเนื่อง (Continuous Wave, CW) คือการสํงสัญญาณของคลื่นวิทยุเป็นแบบระยะเวลาสั้น
หรือระยะเวลายาว ซึ่งกาหนดเป็นจุด (DOT) และขีด (DASH) จะทางานในระบบวิทยุโทรเลข (Radio Telegraph)
ซึ่งตามปกติคําระดับความแรงของการสํงสัญญาณนี้จะเทํากันตลอดทุกๆ ไซเกิล
2.แบบคลื่นผสม (Modulated Wave) การสํงสัญญาณแบบคลื่นผสมนี้ตามปกติใช๎ในระบบวิทยุโทรศัพท์
(Radio Telephone) ในการสํง ลัก ษณะนี้ จ ะมี ขํา วสารผสมอยูํด๎ว ย จะเป็นการผสมกั นทางด๎านความสู ง
(Amplitude Modulation, AM) หรือผสมกันทางด๎านความถี่ (Frequency Modulation, FM) หรือผสมกัน
ทางด๎านเฟส (Phase Modulation, PM) ซึ่งสัญญาณคลื่นวิทยุจะแปรผันไปตามความแรงของสัญญาณเสียง
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 45
รูปที่ 4-13 ลักษณะการสํงสัญญาณ CW (A)สวิทซ์ตํอมีสญ
ั ญาณออก (B)สวิทซ์ตัดไมํมสี ัญญาณออก
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 46
สายอากาศเพื่อแพรํกระจายคลื่นไปในสายอากาศ
จากรูปที่ 4 - 17 เครื่องสํงยังอาจมีกาลังสํงน๎อยอยูํเราสามารถเพิ่มกาลังสํงได๎โดยเพิ่มภาคขยายกาลังเข๎า
ไปหลายๆ ภาคเรียกวําอินเตอร์มีเดียท เพาเวอร์ แอมปิไฟเออร์ (Intermediate Power Amplifier) ชํวยทาให๎
กาลังสํงของเครื่องสํงสูงขึ้น
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 47
รูปที่ 4 - 18 เครื่องสํงแบบ CW เพิ่มภาคอินเตอร์มเี ดียท เพาเวอร์ แอมปลิไฟเออร์ เข๎าไป
การผสมคลื่นระหวํางสัญญาณเสียงกับคลื่นพาหะจะมีเปอร์เซนต์การผสมคลื่นได๎หลายแบบ เชํน 15 %, 30 %
หรือ 100 % การผสมคลื่นสูงสุดที่สามารถทาได๎คือไมํเกิน 100 %
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 48
รูปที่ 4 - 21 เปอร์เซนต์การผสมคลื่นระหวํางสัญญาณเสียงกับพาหะ
รูปที่ 4 - 22 บล็อกไดอะแกรมของเครื่องสํงแบบ AM
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 49
ภาคขยายกาลังความถี่วิทยุ (RF Power Amplifier) หรือภาคขยายความถี่วิทยุภาคสุดท๎าย (Final RF
Amplifier) จะขยายสัญญาณคลื่นที่ผสมแล๎วให๎มีกาลังสํงมากขึ้นกํอนที่จะสํงออกสายอากาศ
ภาคผสมคลื่น (Modulator) จะท าการผสมสั ญ ญาณเสี ย งเข๎ า กั บ คลื่น พาหะในระบบ AM คื อ
สัญ ญาณเสียงจะไปควบคุมความแรงของคลื่นพาหะให๎สูงขึ้นหรือต่าลง ซึ่งการผสมคลื่นของเครื่องสํง ยังแบํง
ออกเป็น 2 อยําง คือ การผสมคลื่นระดับสูง (High Level Modulation) และการผสมคลื่นระดับต่า (Low Level
Modulation)
ภาคขยายเสี ยง (AF Speech Amplifier) จะขยายสัญ ญาณเสีย งที่ ก าเนิดขึ้น มาจากไมโครโฟน
(Microphone) ให๎มีระดับความแรงมากขึ้นกํอนที่จะสํงไปเข๎าภาคผสมคลื่น
ภาคจํายไฟ (Power Supply) จะจํายไฟ DC ไฟเลี้ยงภาคตํางๆ ของเครื่องสํง
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 51
กาหนดให๎หนึ่งสถานีมีแบนด์วิดท์กว๎างถึง 10 KHz. คือมีไซด์แบนด์ได๎ด๎านละ 5 KHz. นั่นหมายถึงในแตํละสถานีสํง
จะสามารถผสมสัญญาณเสียงเข๎ากับคลื่นพาหะ สัญญาณเสียงจะมีความถี่ได๎สูงสุดไมํเกิน 5 KHz. ตามมาตรฐาน
ของ FCC (ในประเทศไทยตามระเบียบวําด๎วยวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ กาหนดแบนด์วิดท์ไว๎กว๎างสุดไมํ
เกิน 20 KHz. คือไซด์แบนด์ด๎านละไมํเกิน 10 KHz.)
จากรูปที่ 4 - 25 ถ๎าสมมติคลื่นพาหะ (fc) มีความถี่ 1 MHz. สัญญาณเสียง (fa) มีความถี่สูงสุด 5 KHz. คลื่นถูก
ผสมเข๎าด๎วยกันจะได๎ความถี่ออกมามีแบนด์วิดท์กว๎าง 10 KHz. พอดี ถือวําเป็นการสํงวิทยุระบบ AM ของ 1 สถานี
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 52
กาลังที่ต๎องการในการผสมคลื่น (Modulation Power) จะขึ้นอยูํกับวิธีการผสมคลื่นและเปอร์เซนต์ของ
การผสมคลื่น ในการผสมคลื่นเพื่อให๎ได๎กาลังสํงออกสูงสุดจะต๎องมีเปอร์เซนต์การผสมคลื่น 100 % ถือวําเป็นคํา
เหมาะสม และทาให๎ความถี่ที่ต๎องการสํงออก สามารถสํงออกได๎ตามต๎องการ และความถี่ที่ ต๎องการควบคุม ก็
สามารถควบคุมกาจัดทิ้งได๎ ซึ่งการผสมคลื่นเกิน 100 % แล๎วจะทาให๎เกิดผลเสียคือ สัญญาณเสียงที่ได๎ทางภาครับ
จะผิดเพี้ยน (Distrotion) และเกิดความถี่แปลกปลอม (Spuriousfrequency) ไมํวําจะเป็นความถี่ฮาร์โมนิคคี่
(Odd Harmonic) หรือฮาร์โมนิคคูํ (Even Harmonic) ของความถี่คลื่นพาหะเกิดขึ้นมากมาย จะทาให๎ไปรบกวน
กับสถานีข๎างเคียง
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 53
รูปที่ 4 - 28 จานวนชํองมาตรฐานของวิทยุกระจายเสียงระบบ AM ของ FCC
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 54
สัญญาณรบกวน (Signal to Noise Ratio) ต่าลง จากผลดังกลําวจึงต๎องใสํภาคปรีเอมฟาซีสเข๎ามาเพื่อชดเชยให๎
S/N Ratio เทํากันตลอดยํานความถี่เสียง สํงตํอสัญญาณไปเข๎าภาคขยายเสียง
ภาคขยายสัญญาณเสียง (AF Amplifier) จะขยายสัญญาณเสียงให๎มีระดับความแรงมาก ซึ่งเป็นการขยาย
ที่ไมํผิดเพี้ยน และพอที่จะสํงตํอไปเข๎าภาคผสมคลื่น
ภาคผสมคลื่นทางความถี่ (FM Modulator) จะรับสัญ ญาณเสียงเข๎ามา ควบคุมให๎ภาคผสมคลื่นมี
คุณสมบัติของตัวเองมีคําความจุ (Capacitance) เปลี่ยนแปลงสูงขึ้นหรือต่าลงตามสัญญาณเสียงที่เข๎ามาควบคุม
คือสัญญาณเสียงชํวงบวกเข๎ามา คําความจุของภาคผสมคลื่นจะต่าลงและเมื่อสัญญาณเสียงชํวงลบเข๎ามา คําความ
จุของภาคผสมคลื่นจะสูงขึ้น คําความจุที่ เปลี่ยนแปลงดังกลําวนี้จ ะถูก สํงไปควบคุมการกาเ นิดความถี่ของภาค
กาเนิดความถี่แบบ LC
ภาคกาเนิดความถี่แบบ LC (LC Oscillator) จะรับคําความจุที่เปลี่ยนแปลงตามสัญญาณเสียงของภาค
ผสมคลื่นเข๎ามา ควบคุมการกาเนิดความถี่ ของวงจรกาเนิดความถี่แบบ LC คําความจุที่เพิ่มขึ้นจะทาให๎วงจรกาเนิด
ความถี่แบบ LC กาเนิดความถี่ต่าลง และเมื่อคําความจุที่เข๎ามามีคําต่าลง จะทาให๎วงจรกาเนิดความถี่แบบ LC
กาเนิดความถี่สูงขึ้น ทาให๎ความถี่ที่ได๎เปลี่ยนแปลงไป เกิดความถี่ FM ขึ้นที่เอาพุทของภาคกาเนิดความถี่แบบ LC
สํงตํอไปภาคบัฟเฟอร์
ภาคบัฟเฟอร์ (Buffer) จะรับสัญญาณ FM มาจากภาคกาเนิดความถี่แบบ LC มาขยายความแรงของ
สัญญาณให๎มากขึ้น และยังทาหน๎าที่ปูองกันการรบกวนซึ่งกันและกันระหวํางภาคกาเนิดความถี่แบบ LC กับภาค
ทวีคูณความถี่ และสํงตํอสัญญาณ FM ไปเข๎าภาคทวีคูณความถี่
ภาคทวีคูณความถี่ (Frequency Multiplier) จะทาหน๎าที่เพิ่มความถี่ของสัญญาณ FM ให๎มีความถี่สูงขึ้น
ถึงยํานของของสถานี FM เพราะวงจรกาเนิดความถี่แบบ LC จะไมํสามารถกาเนิดความถี่ขึ้นมาได๎สูงมากเทําที่
ต๎องการ จึงต๎องเอาความถี่ FM ดังกลําวมาทวีความถี่ให๎สูงมากขึ้น ในวงจรทวีคูณความถี่จะสามารถทวีคูณความถี่
ได๎หลายแบบ เชํน แบบทวี คูณ 2 เทําเรียกวําดับเบิล (Doubler) ทวีคูณ 3 เทําเรียกวํา ทริปเปิล (Tripler) และ
ทวีคูณ 4 เทํา เรียกวํา ควอดดูเปิล (Quadrupler) เมื่อทวีคุณความถี่จนได๎ตามสถานีสํงแล๎วจึงสํงสัญญาณ FM
ตํอไปภาคขยายกาลังความถี่วิทยุ
ภาคขยายกาลังความถี่วิทยุ (RF Power Amplifier) ทาหน๎าที่ขยายสัญญาณความถี่ FM ที่มีกาลังต่า ให๎
เป็นความถี่ FM ที่มีกาลังสูง พอที่จะสํงตํอไปให๎สายอากาศ (Antenna) แพรํกระจายสัญญาณความถี่ FM ออกไป
ในอากาศในรูปของคลื่นแมํเหล็กไฟฟูา (Electromagnetic Wave)
ภาคควบคุมความถี่โดยอัตโนมัติ (Automatic Frequency Control) เรียกสั้นๆ วํา AFC ซึ่ง AFC จะทา
หน๎าที่ควบคุมศูนย์กลางความถี่ (Center Frequency) ของวงจรกาเนิดความถี่ไว๎ให๎ตรง โดยจัดไฟ DC ไปคอย
ควบคุมภาคผสมคลื่น FM ให๎มีคําความจุของวงจรเปลี่ยนไป คําความจุที่เปลี่ยนนี้จะไปทาให๎ภาคกาเนิดความถี่
แบบ LC เปลี่ยนแปลงปรับ ศูนย์กลางความถี่เ ข๎าความถี่เ ดิม แรงไฟ DC นั้นได๎ม าจากภาคดีส คริม มิเ นเตอร์
(Discriminator) ในสํวนของภาค AFC ยังแบํงรายละเอียดออกได๎อีก 3 ภาค คือ
ภาคกาเนิดความถี่คริสตอล (Crystal Oscillator) จะกาเนิดความถี่วิทยุขึ้นมามีความถี่เทํากับความถี่
พาหะของสถานี FM นั้น เชํน สถานี FM สํงด๎วยความถี่ 90 MHz. ภาคกาเนิดความถี่คริสตอลก็จะกาเนิดความถี่
ออกมา 90 MHz. เชํนกัน สํงตํอไปเข๎าภาคมิกเซอร์
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 55
ภาคมิกเซอร์ (Mixer) จะรับสัญญาณเข๎ามา 2 สัญญาณ คือ สัญญาณวิทยุ FM ที่ได๎จากภาคทวีคูณความถี่
และสัญญาณความถี่วิทยุจากภาคกาเนิดความถี่คริสตอล นาสัญญาณทั้งสองมาหักล๎างกัน ถ๎าความถี่ทั้งสองมีคํา
เทํากันเมื่อหักล๎างกันความถี่จะหมดไป ไมํมีความถี่สํง ออก ถ๎าศูนย์กลางความถี่จากภาคกาเนิดความถี่แบบ LC
เพิ่มขึ้นความถี่ที่สํงออกภาคทวีคูณความถี่ก็จะเพิ่มขึ้นตาม เมื่อหักล๎างกับความถี่จากภาคกาเนิดความถี่คริสตอล
จะได๎ความถี่ชํวงบวกออกมา และในทางตรงข๎ามถ๎าศูนย์กลางความถี่จากภาคกาเนิดความถี่แบบ LC ลดลง ความถี่
ที่สํงออกจากภาคทวีคูณความถี่ก็จะลดลงตาม เมื่อหักล๎างกับความถี่จากภาคกาเนิดความถี่คริสตอลจะได๎ความถี่
ชํวงลบออกมา สํงความถี่ที่ได๎นี้ไปภาคดิสคริมมิเนเตอร์
ภาคดีสคริมมิเนเตอร์ (Discriminator) ทาหน๎าที่รบั ความถี่ผลตํางจากภาคมิกเซอร์มาแปลงเป็นไฟ DC ถ๎า
ได๎ความถี่ชํวงบวกมา เมื่อแปลงเป็นไฟ DC ก็จะได๎ไฟ DC เป็นบวก ถ๎าได๎ความถี่ชํวงลบมา เมื่อแปลงเป็นไฟ DC ก็
จะได๎ DC เป็นลบมา สํงแรงไฟ DC ที่ได๎ไปควบคุมศูนย์ก ลางความถี่ของภาคกาเนิดความถี่แบบ LC ให๎กาเนิดมี
ศูนย์กลางความถี่คงที่
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 56
ภาคขยายสัญญาณเสียง (AF Amplifier) จะขยายสัญญาณเสียงที่มาจากภาคปรีเอมฟาซีส ให๎มีระดับ
ความแรงมากขึ้น จะต๎องขยายแบบไมํผิดเพี้ยนและสํงตํอไปเข๎าภาคกรองความถี่ต่าผําน
ภาคกรองความถี่ต่าผ่าน (Low Pass Filter ; LPF ) ทาหน๎าที่ เปลี่ยนเฟสของสัญญาณเสียงให๎เลื่อน
(Shift) ไป 90 องศา กํอนที่จะสํงไปเข๎าภาคผสมคลื่นทางเฟส จึงจะทาให๎เอาท์พุทของภาคผสมคลื่นทางเฟส เป็น
สัญญาณความถี่ FM โดยสมบูรณ์
ภาคกาเนิดความถี่คริสตอล (Crystal Oscillator) ทาหน๎าที่กาเนิดความถี่คลื่นพาหะขึ้นมามีความถี่คงที่
คําหนึ่ง สํงตํอไปภาคผสมคลื่นทางเฟส
ภาคผสมคลื่นทางเฟส (Phase Modulator) ทาหน๎าที่ ผสมคลื่นระหวํางสัญญาณเสียงที่ผํานภาคกรอง
ความถี่ต่าผํานมา และสัญญาณความถี่คลื่นพาหะที่มาจากภาคกาเนิดความถี่คริสตอลได๎สัญญาณออกเอาท์พุทเป็น
แบบ PM แตํเนื่องจากสัญญาณเสียงจากภาคขยายเสียงถูกเลื่อนเฟสไปอีก 90 องศา โดยภาคกรองความถี่ต่าผําน
เมื่อถูกภาคผสมคลื่นทางเฟสผสมสัญญาณ สัญญาณความถี่ที่ได๎ออกมาจึงกลับมาเป็นความถี่แบบ FM อีกครั้งหนึ่ง
ดูรูปที่ 4.9 ประกอบ สํงสัญญาณ FM ที่ได๎ตํอไปเข๎าภาคบัฟเฟอร์
ภาคบัฟเฟอร์ (Buffer) ทาหน๎าที่ขยายสัญญาณความถี่ FM ที่สํงมาจากภาคผสมคลื่นทางเฟส ให๎มีระดับ
ความแรงมากขึ้น และยังทาหน๎าที่ปูองกันการรบกวนซึ่งกันและกันระหวํางภาคผสมคลื่นทางเฟสกับภาคทวีคูณ
ความถี่ สํงตํอสัญญาณไปภาคทวีคูณความถี่
ภาคทวีคูณความถี่ (Frequency Multiplier) ทาหน๎าที่เพิ่มความถี่ของสัญญาณ FM ให๎มีความถี่สูงขึ้นถึง
ยํานของสถานี FM เพราะวงจรกาเนิดความถี่คริสตอล จะไมํสามารถกาเนิดความถี่ขึ้นมาได๎ถึงคําความถี่ที่ต๎องการ
จึงต๎องเอาความถี่ FM ดังกลําวมาทวีความถี่ให๎สูงมากขึ้น จนได๎ความถี่ตามต๎องการแล๎ว จะสํงสัญญาณ FM ตํอไป
ภาคขยายกาลังความถี่วิทยุ
ภาคขยายกาลังความถี่วิทยุ (RF Power Amplifier) ทาหน๎าที่ขยายสัญญาณความถี่ FM ที่มีกาลังต่า ให๎
เป็นความถี่ FM ที่มีกาลังสูงพอที่จะสํงตํอไปให๎สายอากาศ (Antenna) แพรํกระจายสัญญาณความถี่ FM ออกไป
ในอากาศในรูปของคลื่นแมํเหล็กไฟฟูา (Electromagnetic Wave)
m = F/ f
m = ดัชนีการผสมคลื่น
F = อัตราการเปลี่ยนแปลงสูงสุดของความถี่ที่ถูกผสมแล๎ว หนํวย Hz.
f = ความถี่สูงสุดของสัญญาณเสียงที่จะเข๎ามาผสมคลื่น หนํวย Hz.
ในการสํงวิทยุกระจายเสียง FM ตามกฎของ FCC กาหนดให๎ความถี่คลื่นพาหะมีอัตราการเปลี่ยนแปลงไป
ได๎สูงสุด = +75 KHz. และความถี่ของสัญญาณเสียงที่จะเข๎ามาผสมคลื่นมีคําสูงสุดได๎ =15 KHz.
ดัชนีของการผสมคลื่นจะได๎
m=F/f
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 58
F=75KHz., f=15 KHz. m = 75K/15K = 5
เมื่อได๎ดัชนีการผสมคลื่น (m) แล๎วเราสามารถหาคําแบนด์วิดท์โดยประมาณได๎จากสมการ
BW = 2 (m+1)f
BW=แบนด์วิดท์โดยประมาณ หนํวย Hz.
m= ดัชนีการผสมคลื่น
f=ความถี่สูงสุดของสัญญาณเสียงที่จะเข๎ามาผสมคลื่น หนํวย Hz.
ฉะนั้นจากคําที่กาหนดไว๎ตามมาตรฐานของ FCC จะได๎แบนด์วิดท์โดยประมาณ ดังนี้
BW = 2(5+1) 15 KHz. = 180 KHz.
มาตรฐานของ FCC กาหนดไซด์แบนด์ของวิทยุกระจายเสียงยําน FM ไว๎ +75 KHz. รวม 150 KHz. มี
แบนด์วิดท์สถานีละ 200 KHz. ฉะนั้นจะเป็นชํองวํางของความถี่ที่ไมํมีสัญญาณสํงอีก 50 KHz.(200 KHz.-150
KHz. = 50 KHz.) ซึ่งจะเรียกสํวนความถี่ที่ไมํมีก ารสํงสัญญาณออกวําการ์ดแบนด์ (Guard Band) จะมีคํา
+25KHz. เพื่อปูองกันการรบกวนและแทรกกันระหวํางสถานีรวมแบนด์วิดท์ 1 สถานีของวิทยุกระจายเสียง FM มี
ความถี่ 200 KHz. เป็นไซด์แบนด์ด๎านต่า (LSB) 75KHz. ไซด์แบนด์ด๎านสูง (USB) 75 KHz. และเป็นการ์ดแบนด์
แบนด์ด๎านต่าและด๎านสูงด๎านละ 25 KHz. ความถี่ที่ใช๎ในการสํงกระจายเสียงวิทยุ FM อยูํในชํวง 88 MHz.-
108MHz. ซึ่งมีชํวงความถี่ที่ใช๎ 20MHz. (108MHz.-88MHz.=20MHz.) หรือ 20,000 KHz. เมื่อนาแบนด์วิดท์ 1
สถานีมาหารจะทาให๎ได๎จานวนชํองของสถานี FM ถึง 100 สถานี (20,000KHz./20KHz.=100)
ถ๎าเป็นการสื่อสารวิทยุ FM อื่น ๆ จะมีไซด์แบนด์ที่แตกตํางกันไป เชํน FM ของเสียงในโทรทัศน์มีไซด์
แบนด์ + 25 KHz. หรือในวิทยุ FM ตารวจ, หนํวยราชการ, วิทยุสมัครเลํน มีไซด์แบนด์ + 5 KHz. หรือ + 15
KHz. เทํานั้น
รูปที่ 4 - 32 แสดงแบนด์วิดท์แตํละสถานีของวิทยุกระจายเสียงยําน FM
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 59
KHz. เชํน สถานี FM ที่ 1 สํงด๎วยคลื่นพาหะ 88.5 MHz. สถานี FM ที่ 2 สํงด๎วยคลื่นพาหะ 89 MHz. สถานี FM
ที่ 3 สํงด๎วยคลื่นพาหะ 89.5 MHz. เป็นต๎น ก็ทาให๎มีชํวงการ์ดแบนด์มากขึ้น การรบกวนของแตํละสถานีก็จะยาก
ขึ้น ยังสามารถซอยสถานีออกได๎อีกเมื่อจาเป็น
2 – 25
ปี พ.ศ.2504 รัฐบาลสหรัฐอเมริก าได๎รับ ระบบของบริษัท ยีอี (GE) และเซนิท เรดิโอคอร์พอเพรชั่น
(Zenith Radio Corpration) ไว๎เป็นระบบของรัฐโดยนาระบบทั้งสองมาปรับปรุงใหมํเป็นระบบเดียวกัน เรียก
ระบบสัญญาณไพลอตโทน (Pilot Tone Signal) เป็นระบบหนึ่งของ FM สเตอริโอมัลติเพล็กซ์ที่ในประเทศไทยใช๎
อยูํ เป็นระบบที่ FCC รับรอง เพื่อใช๎เป็นระบบมาตรฐานทั่วไป เหตุที่ใช๎ระบบนี้เพราะ เครื่องรับวิทยุ FM ธรรมดา
ที่มี อยูํแล๎วก็ ส ามารถรับฟั ง วิท ยุ FM สเตอริโ อมั ล ติเ พล็ก ซ์นี้ได๎โดยมีคุณภาพเทํ าเดิม และไมํ ต๎องไปปรับ ปรุง
เปลี่ยนแปลงเครื่องรับที่มีอยูํเดิม ประหยัดใช๎ความถี่เดียวและใช๎ได๎สะดวก
เครื่องส่ง FM ธรรมดา
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 60
รูปที่ 4 - 33 เครื่องสํงวิทยุ FM ธรรมดา (MONO)
จากรูปที่ 4 - 33 เป็นบล็อกไดอะแกรมของเครื่องสํง FM ธรรมดา สัญญาณเสียงที่กาเนิดขึ้นมาจาก
แหลํงกาเนิดเสียง ไมํวําจะเป็นด๎านซ๎าย (L) หรือด๎านขวา (R) สัญญาณเสียงดังกลําวจะถูกสํงมารวมกันที่ไมโครโฟน
เพียงตัวเดียว สํงตํอไปเข๎าปรีแอมฟาซิสเพื่อยกระดับความแรงของสัญญาณเสียงความถี่สูงให๎แรงขึ้นให๎มากกวํา
ปกติ เพื่อทาให๎สัญญาณเสียงตํอสัญญาณรบกวน (S/N Ratio) เทํากันตลอดยํานความถี่เสียง สํงตํอสัญญาณไป
ภาคขยายเสียง ให๎สัญญาณเสียงมีความแรงมากขึ้นสํงตํอไปเข๎าภาคผสมคลื่นทางความถี่ (FM) ซึ่งที่ภาคนี้มีความถี่
สํงเข๎ามา 2 ความถี่ คือ ความถี่คลื่นพาหะ (RF) ของสถานี FM และความถี่สัญญาณเสียง (AF) จะผสมคลื่นทั้งสอง
เข๎าด๎วยกันทางความถี่ (FM) สํงตํอไปเข๎าวงจรทวีคูณความถี่เพิ่มความถี่ให๎สูงขึ้นเทํากับความถี่ของสถานี FM ที่จะ
สํงกระจายเสียง สํงตํอไปภาคขยายก าลังเพื่อเพิ่ม ระดับ ความแรงของสัญญาณให๎แรงมากขึ้นพอที่จ ะสํงตํอไป
สายอากาศเพื่อแพรํความถี่ออกอากาศในรูปคลื่นแมํเหล็กไฟฟูา
เครื่องส่ง FM สเตอริโอมัลติเพล็กซ์
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 61
รบกวน (S/N Ratio) เทํากั นตลอดยํานความถี่เ สียง สํงตํอสัญ ญาณไปเข๎าภาคขยายเสียงด๎าน R และด๎าน L
ตามลาดับ ทาให๎สัญญาณเสียงด๎าน R และด๎าน L มีระดับความแรงมากขึ้น และสํงตํอไปเข๎าภาคเข๎ารหัสสเตอริโอ
จะรวมสัญญาณเสียงด๎าน R และด๎าน L เข๎าด๎วยกัน จนได๎สัญญาณเบ็ดเสร็จ สเตอริโอ (Composite Stereo
Signal) สํงตํอไปเข๎าภาคผสมคลื่นทางความถี่ (FM) ภาคผสมคลื่นทางความถี่จะรับสัญญาณเข๎ามา 2 สัญญาณ คือ
สัญญาณคลื่นพาหะ (RF) จากภาคกาเนิดความถี่ คลื่นพาหะ และสัญญาณเบ็ดเสร็จสเตอริโอจากภาคเข๎ารหัสสเต
อริโอ โดยทาการผสมคลื่นทางความถี่ สํงตํอไปภาคทวีคูณความถี่เพื่อเพิ่มความถี่คลื่นพาหะให๎มีความถี่สูงขึ้นจนถึง
ระดับความถี่ของสถานี FM สํงตํอไปภาคขยายกาลังขยายความถี่ FM ให๎มีระดับความแรงมากขึ้นพอที่จะสํงไป
สายอากาศเพื่อแพรํกระจายคลื่นไปในอากาศในรูปคลื่นแมํเหล็กไฟฟูา
จากเครื่องสํงวิทยุ FM ธรรมดา กับเครื่องสํงวิทยุ FM สเตอริโอมัลติเพล็กซ์ สํวนแตกตํางกันของเครื่องสํง
ทั้งสองอยูํที่ภาคเข๎ารหัส สเตอริโอ (Stereo Encoder) และการรับสัญญาณเสียงเข๎ามา เพราะคาวําสเตอริโ อ
แปลวําสอง คือมี 2 สํวน หรือ 2 ด๎าน ภาคเข๎ารหัสสเตอริโอจะเป็นตัวรวมสัญญาณเสียงด๎าน R และด๎าน L เข๎า
ด๎วยกันแบบสามารถแยกกันได๎เมื่อถึงเครื่องรับ รายละเอียดของภาคเข๎าระหัสสเตอริโอ มีดังนี้
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 62
2.วงจรกลับเฟสสัญญาณ 180 องศา (180 Phase Inverter) จะรับสัญญาณเสียงด๎าน R เข๎ามากลับเฟส
สัญญาณเสียงไป 180 องศา จากสัญญาณเสียงปกติ เชํน สมมติรับสัญญาณเสียงเข๎ามา +R เมื่อผํานวงจรกลับเฟส
สัญญาณ 180 องศา จะเป็น –R สํงผํานสัญญาณเสียงไปวงจรรวมสัญญาณ L-R
3.วงจรรวมสัญ ญาณ L-R (L-R Adder) จะรับสัญญาณเสียงด๎าน –R กับ ด๎าน L มารวมกัน จะได๎
สัญญาณเสียงออกเป็นสัญญาณเสียง L-R ก็คือ รวมเอาสัญญาณเสียงด๎าน L กับด๎าน R เข๎าด๎วยกันนั่นเอง เพียงแตํ
สัญญาณเสียงด๎าน R ถูกกลับเฟสไป 180 องศา กํอนการเข๎ารวมตัวในภาคนี้ และสํงตํอไปวงจรผสมคลื่นแบบ
สมดุลย์ (Balance Modulator)
4.วงจรกาเนิดความถี่ 19KHz. (19KHz. Oscillator) จะกาเนิดความถี่ขึ้นมา 19 KHz. ซึ่งจะกาเนิดความถี่
ขึ้นมาจากตัวคริสตอล (Crystal) จะเรียกความถี่ 19 KHz. นี้วําสัญญาณไฟลอต (Pilot Signal) เป็นความถี่ที่สาคัญ
ที่จะทาให๎การสํงและการรับในระบบ FM สเตอริโอมัลติเพล็กซ์ทางานได๎ถูกต๎องและสมบูรณ์ จะถกสํงออก 2 ทาง
คือ สํงไปเข๎าวงจรรวมสัญญาณทั้งหมด และสํงไปเข๎าวงจรทวีคูณความถี่ 2 เทํา 38 KHz.
5.วงจรทวีคูณความถี่ 2 เทํา (38 KHz. Frequency Double) ทาหน๎าที่เพิ่มความถี่ 19 KHz. ที่รับเข๎ามา
เปูนความถี่ 38 KHz. เรียกความถี่ 38 KHz. นี้วํา คลื่นพาหะยํอย (Subcarrier) สํงตํอความถี่ 38 KHz. ไปเข๎าวงจร
ผสมคลื่นแบบสมดุลย์
6.วงจรผสมคลื่นแบบสมดุลย์ (Balance Modulator) วงจรนี้จ ะรับ สัญญาณเข๎ามา 2 สัญ ญาณ คือ
สัญญาณเสียง L-R และสัญญาณคลื่นพาหะยํอย 38 KHz. เข๎ามาผสมคลื่นกันในแบบ AM โดยผสมคลื่นเสียง L-R
กับความถี่พาหะยํอย 38 KHz. แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ และกาจัดคลื่นพาหะทิ้งไปเหลือเพียงไซด์แบนด์ด๎านสูง
(USB) หรือ + (L-R) กับไซด์แบนด์ด๎านต่า (LSB) หรือ – (L-R) เรียกรวมวําสัญญาณ 38 KHz. ไซด์แบนด์ L-R หรือ
สัญญาณ L-R สํงตํอสัญญาณไปวงจรรวมสัญญาณทั้งหมด
7.วงจรรวมสัญญาณทั้งหมด (Adder) จะรับสัญญาณเข๎ามาทั้งหมด 3 สัญญาณ คือ สัญญาณเสียงโมโน
L+R สัญญาณไฟลอต 19 KHz. และสัญญาณ 38 KHz. ไซด์แบนด์ L-R เข๎ามารวมกัน และสํงออกเป็นสัญญาณ
เดียว เรียกวําสัญญาณเบ็ดเสร็จสเตอริโอ (Composite Stereo Signal) สัญญาณดังกลําวนี้จะถูกสํงไปเข๎าภาค
ผสมคลื่นทางความถี่ (FM)
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 63
รูปที่ 4 - 36 เปอร์เซนต์การผสมคลื่นของสัญญาณเบ็ดเสร็จสเตอริโอ และสเปคตรัมความถี่
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 64
รูปที่ 4 - 37 เครื่องสํง FM สเตอริโอมัลติเพล็กซ์ ที่มีสัญญาณ SCA ผสมมาด๎วย
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 65
บทที่ 5
เครื่องรับวิทยุ AM และ FM
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 66
ตอนที่ 1 เครือ่ งรับวิทยุ AM
เครื่องรับวิทยุเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยการนาเอาอุปกรณ์แตํละตัวมาประกอบกันเป็นวงจร
สามารถรับฟังสัญญาณเสียงที่สํงกระจายเสียงในระบบของวิทยุ เครื่องรับวิทยุ AM แบํงได๎เป็นหลายประเภทดังนี้
1.เครื่องรับวิทยุแรํ (CRYSTAL RECEIVER)
2.เครื่องรับแบบจูนความถี่ (TUNED RADIO FREQUENCY RECEIVER, TRF)
3.เครื่องรับแบบซุปเปอร์เฮทเตอร์โรดายน์ (SUPERHETERODYNE RECEIVER)
สาหรับเครื่องรับวิทยุแบบที่ 1 และ 2 เป็นเครื่องรับวิทยุที่ไมํใช๎งานแล๎วในปัจจุบัน ที่มากลําวในที่นี้เพื่อ
เป็นพื้นฐานของการศึกษาและทาความเข๎าใจเกี่ ยวกั บการรับ สัญ ญาณวิท ยุ จุได๎เ ข๎าใจถึง หลัก การทางานของ
เครื่องรับวิทยุแบบซุปเปอร์เฮทเตอร์โรดายน์
จากรู ป ที่ 5-1 สภาวะการรั บ สั ญ ญาณวิ ท ยุ ร ะบบ AM จะรั บ สั ญ ญาณได๎ จ ะต๎ อ งมี ตั ว แยกคลื่ น
(DEMODULATOR) เพื่อจะแยกคลื่นพาหะออกจากคลื่นเสียงเพื่อให๎เหลือเฉพาะคลื่นเสียง แล๎วไปผํานเข๎าหูฟัง
(HEADPHONES) ก็สามารถรับฟังสัญญาณเสียงที่สํงกระจายเสียงออกมาได๎
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 67
เครื่อ งรับวิทยุแรํถือวําเป็นเบื้องต๎นของเครื่องรับวิทยุ โดยใช๎วงจรแยกคลื่น (DEMODULATOR) แยก
สัญญาณเสียงออกจากสัญญาณวิทยุ และผําน C เพื่อกรองสัญญาณพาหะให๎หมดไปเหลือเฉพาะสัญญาณเสียงสํง
ตํอไปให๎หูฟังเปลี่ยนสัญญาณเสียงในรูปพลังงานไฟฟูาให๎เป็นสัญญาณเสียงในรูปพลั งงานกล คือทาให๎อากาศรอบๆ
หูฟังกระเพื่อมตามจังหวะของสัญญาณเสียง
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 68
รูปที่ 5-3 บล๏อกไดอะแกรมของเครื่องรับวิทยุแบบ TRF
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 69
สํงมาก สัญญาณที่รบั ได๎จะมีความดังมาก แตํถ๎าสถานีที่รบั อยูํไกล หรือสถานีทรี่ ับมีกาลังสํงน๎อย สัญญาณทีร่ ับได๎
จะมีความดังน๎อย คือทุกสถานีทรี่ ับได๎มีความดังของสัญญาณเสียงไมํเทํากัน
จากข๎อเสียของเครื่องรับ AM แบบ TRF จึงได๎ดังแปลงวงจรเพื่อแก๎ไขข๎อเสียของเครื่องรับ AM แบบ TRF
มาเป็นแบบซุปเปอร์เฮท ทาให๎สามารถจัดวงจรภาคขยาย RF มากๆ ได๎ตามต๎องการ สามารถใช๎วงจรจูนความถี่
น๎อยวงจรได๎ สามารถลดการแพรํกระจายคลื่นออกไปรบวนเครื่องรับข๎างเคียงได๎ แตํมีความไวในการรับดีมากขึ้น
สามารถแยกรับสัญญาณได๎ดีมากขึ้น มีความชัดเจนในการรับดีมากขึ้นและมีระดับความแรงของสัญญาณเสียงที่รบั
ได๎ดังแรงเทํากันทุกสถานี การดัดแปลงทาดังนี้
1. นาสัญญาณทีร่ ับเข๎ามาไปทาให๎เกิดการเฮทเตอร์โรดายน์ (HETERODYNE) กับความถี่วิทยุ (RF
FREQUENCY) อีกความถี่หนึ่งทีผ่ ลิตขึ้นมาในเครือ่ งรับวิทยุนั้นสํวนมากเรียกชื่อทางเทคนิควําภาคมิกเซอร์
(MIXER)
2. ใช๎วงจรจูนความถี่วิทยุ (TUNE CIRCUIT) เฉพาะในวงจรที่ต๎องการรับสัญญาณความถี่โดยตรงจาก
เครื่องสํง กํอนหน๎าภาคที่จะทาเฮทเตอร์โรดายน์กันเทํานั้น
3. หลังจากการทาเฮทเตอร์โรดายน์แล๎ว จะใช๎วงจรจูนความถี่เลือกเอาความถี่ผลตํางทีม่ ีคําคงที่ตลอดยําน
ความถี่ของสัญญาณความถี่วิทยุทจี่ ูนรับเข๎ามา ดังนั้นจึงสามารถประกอบวงจรเป็นแบบวงจรจูนคงที่ (FIXED
TUNE CIRCUIT) จะขยายเพิม่ ขึ้นอีกกี่ภาคก็ได๎ เรียกชื่อทางเทคนิควําภาคขยายความถี่ปานกลาง
(INTERMEDIATE FREQUENCY หรือ IF)
4. วงจรจูนความถี่ IF ทั้งหมดมีกระป๋องโลหะครอบมิดชิด ปูองกันการแพรํกระจายของคลื่นวิทยุออกไป
ภายนอก
5. ความถี่ IF เป็นความถี่ในยํานที่ต่ากวําความถี่ของสัญญาณ RF ที่รบั จากสถานี ดังนั้นถ๎ามีการ
แพรํกระจายคลื่นออกไป ก็จะไมํเกิดการรบกวนกับเครื่องรับใกล๎เคียง
6. จากกรรมวิธีดังกลําวเครื่องรับวิทยุแบบซุปเปอร์เฮท ยังพบวําการขยายสัญญาณความถี่วิทยุในยําน
ความถี่ IF ทาได๎งํายกวํา และให๎อัตราขยาย (GAIN) ที่สงู กวําอีกด๎วย
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 70
รูปที่ 5-4 คุณสมบัติของเครื่องรับวิทยุต่อการรับสัญญาณ
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 71
รูปที่ 5-5 บล๏อกไดอะแกรมเครือ่ งรับแบบซุปเปอร์เฮท
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 72
5.ภาคดีเทคเตอร์ (DETECTOR) ทาหน๎าที่ตัดสัญญาณความถี่ IF ออกครึ่งหนึ่ง และกรองเอาความถี่ IF
ออกไป ให๎เหลือเฉพาะความถี่เสียง (AF) ที่ต๎องการ สํงตํอไปภาคขยายเสียง มีบางสํวนของสัญญาณเสียงจะถูก
วงจรฟิลเตอร์ทาเป็นไฟ DC สํงย๎อนกลับมายังภาคขยายความถี่ IF เป็นแรงไฟ AGC (AUTOMATIC GAIN
CONTROL) หรือในบางวงจรจะสํงย๎อนกลับมาภาคขยายความถี่วิทยุเพื่อควบคุมอัตราการขยายโดยอัตโนมัติ ทา
ให๎ความแรงของสัญญาณที่รบั ได๎แตํละสถานีมีระดับความแรงเทําๆ กัน
6.ภาคขยายเสียง (AM AMPLIFIER) ทาหน๎าที่ขยายสัญญาณเสียงที่สงํ มาจากภาคดีเทคเตอร์ให๎มีความแรง
มากขึ้นพอทีจ่ ะไปขับลาโพงให๎สั่นตามสัญญาณเสียง และการขยายสัญญาณต๎องไมํผิดเพี้ยน
7.ภาคจํายกาลังไฟ (POWER SUPPLY) ทาหน๎าทีจ่ ํายแรงดันไฟ DC เลี้ยงวงจรของเครื่องรับวิทยุ AM ทั้ง
เครื่องให๎สามารถทางานได๎
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 73
รูปที่ 5-7 บล็อกไดอะแกรมเครือ่ งรับวิทยุ FM
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 74
ความถี่ที่วงจรจูนด์ IF ให๎ผํานมีความถี่เดียว คือ ความถี่ IF (OSC-RF) เทํากับ 10.7 MHz. ไมํวําภาคขยาย
RF จะรับความถี่เข๎ามาเทําไรก็ตาม และภาค OSC จะผลิตความถี่ขึ้นมาเทําไรก็ตาม เมื่อเข๎าผสมกันที่ภาคมิกเซอร์
แล๎วจะได๎ความถี่ IF เทํากับ 10.7 MHz. ออกเอาท์พุทเสมอ
4. ภาคโลคอลออสซิเลเตอร์ (LOCAL OSCILLATOR) ทางานเหมือนกับเครื่องรับวิทยุ AM คือ ผลิต
ความถี่ที่มีความแรงคงที่ขึ้นมา ความถี่ที่ผลิตขึ้นจะสูงกวําความถี่ที่วงจรจูนด์ RF รับเข๎ามาเทํากับความถี่ IF คือ
10.7 MHz. เชํน วงจรจูนด์ RF รับความถี่เข๎ามา 100 MHz. ความถี่ OSC จะผลิตขึ้นมา 100 MHz. + 10.7 MHz.
= 110.7 MHz.
ความแตกตํางของภาคนี้ระหวํางวิทยุ AM และ FM อยูํที่วงจรเรโซแนนท์ที่กาเนิดความถี่ขึ้นมาแตกตํางกัน
ทาให๎ L, C ที่ใช๎ใน FM จะใช๎คําน๎อยกวํา AM และการกาเนิดความถี่ OSC ของวิทยุ FM จะต๎องมีวงจร AFC
(AUTOMATIC FREQUENCY CONTROL) มาคอยควบคุมเพื่อควบคุมให๎ความถี่ OSC กาเนิดขึ้นมา เมื่อผสมกับ
ความถี่ RF แล๎วได๎ความถี่ IF เทํากับ 10.7 MHz. ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงตามสัญญาณเสียงที่ผสมเข๎ามา ในระบบการ
ผสมคลื่นแบบ FM ความถี่ IF จะเพิ่มขึ้นเมื่อมีสัญญาณเสียงชํวงบวกผสมและจะลดลงเมื่อสัญญาณเสียงชํวงลบ
ผสม ดังนั้นวงจร OSC จะต๎องมีความถี่เพิ่มขึ้นเล็กน๎อยเมื่อความถี่ RF ที่รับเข๎ามามีสัญญาณเสียงชํวงบวกผสม
และจะลดลงเล็กน๎อยเมื่อความถี่ RF ที่รับเข๎ามามีสัญญาณเสียงชํวงลบผสม เมื่อผสมสัญญาณที่ภาคมิกเซอร์จึงได๎
IF ที่ถูกต๎อง AFC ดังกลําวจะถูกสํงมาจากภาคดีเทคเตอร์ และจะทางานโดยอัตโนมัติ
5. ภาคขยายไอเอฟ (IF AMPLIFIER) จะทาหน๎าที่เหมือนเครื่องรับวิทยุ AM และยังสามารถขยายความถี่
IF ทั้งของ AM และ FM ได๎ ในเครื่องรับวิทยุบางรุํนที่มีทั้ง AM และ FM ในเครื่องเดียวกัน อาจใช๎ภาคขยาย IF
รํวมกันทั้งวิทยุ AM และวิทยุ FM คือขยายความถี่ IF ให๎มีระดับความแรงมากขึ้นแบบไมํผิดเพี้ยน
สํวนที่แตกตํางกันระหวําง IF ของ AM และ FM คือ ในสํวนวงจรจูนด์ IF เพราะใช๎ความถี่ไมํ เทํากัน
คําความถี่เรโซแนนท์ตํางกัน การกาหนดคํา L, C มาใช๎งานตํางกัน
6. ภาคดีเทคเตอร์ (DETECTOR) ทาหน๎าที่แยกสัญญาณเสียงออกจากความถี่ IF แตํจะแตกตํางกันใน
ระบบการแยกเสียง เพราะในระบบ AM สัญญาณเสียงถูกผสมมาทางความสูงของคลื่นพาหะ สามารถแยกได๎โดย
ใช๎ไดโอดหรือทรานซิสเตอร์รํวมกับ R, C ฟิลเตอร์ก็สามารถตัดความถี่ IF ออกเหลือเฉพาะสัญญาณเสียงได๎ สํวนใน
ระบบวิทยุ FM สัญญาณเสียงจะผสมกับคลื่นพาหะ โดยสัญญาณเสียงทาให๎คลื่นพาหะเปลี่ยนความถี่สูงขึ้นหรือ
ต่าลง สํวนความแรงคงที่ ไมํส ามารถใช๎วิธีก ารดีเ ทคเตอร์แบบ AM ได๎ ต๎องใช๎วิธีพิเ ศษ เชํน ดิส คริมิ เ นเตอร์
(DISCRIMINATOR), เรโซดีเทคเตอร์ (RATIO DETECTOR), เฟส ล๎อก ลูป ดีเทคเตอร์ (PHASE LOCK LOOP
DETECTOR) เป็นต๎น จะแตกตํางจากของ AM โดยสิ้นเชิง
ในสํวนดีเทคเตอร์นี้จะมีสัญญาณถูกสํงออก 2 ทาง คือ ทางหนึ่งสํงตํอไปภาคขยายเสียง อีกทางหนึ่งจะถูก
สํงผํานชุดฟิลเตอร์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อแปลงสัญญาณเสียงเป็นแรงไฟ DC เพื่อสํงย๎อนกลับมาควบคุมวงจรกาเนิด
ความถี่ OSC เป็นแรงไฟ AFC
7. ภาคขยายเสียง (AF AMPLIFIER) ใช๎งานรํวมกับของเครื่องรับวิทยุ AM ได๎ เพราะทาหน๎าที่ขยายเสียง
ที่สํงมาจากภาคดีเทคเตอร์ ให๎มีระดับความแรงมากขึ้นแบบไมํผิดเพี้ยนพอที่จะไปขับลาโพงให๎เปลํงเสียงออกมา
ในเครื่องรับวิทยุบางแบบอาจมีภาคขยายเสียงในตัว แตํบางแบบไมํมีเครื่องขยายเสียงในตัว แตํจะมีอยูํ
ตํางหาก เครื่องรับวิทยุที่มีเครื่องขยายเสียงภายนอกเรียกวํา จูนเนอร์ (TUNNER)
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 75
8. ภาคจํายกาลังไฟ (POWER SUPPLY) ทาหน๎าที่จํายแรงดันไฟ DC เลี้ยงวงจรของเครื่องรับวิทยุ FM ซึ่ง
จะต๎องใช๎วงจรเรคกูเ ลเตอร์ (REGULATOR) ควบคุม แรงดันไฟ DC ให๎คงที่เพื่อเลี้ยงวงจร ทาให๎คุณภาพของ
เครื่องรับวิทยุ FM ดีขึ้น
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 76
ภาคมิกเซอร์ จะรับสัญญาณเข๎ามา 2 ทาง คือ ความถี่ RF จากวงจรจูนด์ RF และความถี่ OSC จากภาค
OSC เข๎ามาผสมกันได๎สัญญาณออก 4 สัญญาณคือ
ก. ความถี่ RF 90 MHz.
ข. ความถี่ OSC 100.7 MHz.
ค. ความถี่ OSC - RF = 100.7 MHz. - 90 MHz. = 10.7 MHz.
ง. ความถี่ OSC + RF = 100.7 MHz. + 90 MHz. = 190.7 MHz.
สัญญาณความถี่ทั้ง 4 จะถูกสํงไปเข๎าวงจรจูนด์ IF1 จูนด์ IF 1 ถูกกาหนดให๎ตอบสนองความถี่ที่ความถี่ IF
คือ 10.7 MHz. จึงกรองผํานเฉพาะความถี่ IF สํงตํอไปภาคขยายความถี่ IF ตํอไป
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 77
ในวงจรขยาย IF อาจจะมีวงจรลิมิตเตอร์ (LIMITTER) ที่จะทาหน๎าที่กาจัดสัญญาณรบกวนที่ปนมากับ
สํวนสูงของความถี่ IF ให๎หมดไป วงจรลิมิตเตอร์นี้อาจจะไมํมีในทุกวงจรของเครื่องรับวิทยุ FM เพราะบางวงจรอาจ
ใช๎วงจรน๎อยส์แบลงเกอร์ (NOISE BLANKER) กาจัดสัญญาณรบกวน หรือวิธีการอื่นๆ ก็ได๎
วงจรดีเทคเตอร์ FM
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 78
2. แบบเรโซดีเทคเตอร์ (RATIO DETECTOR) เป็นแบบที่นิยมใช๎ในปัจจุบัน ยังแบํงยํอยเป็น ก.บาลานซ์
ข. อันบาลานซ์
3. แบบเฟส ล๎อค ลูป ดีเทคเตอร์ (PHASE LOCKED LOOP DETECTOR) ใช๎ตัวยํอวํา PLL เป็นดีเทค
เตอร์ที่ใช๎ IC เป็นแบบที่นิยมใช๎ในปัจจุบันเชํนกัน
บทที่ 6
สายอากาศ
6.1 กล่าวนา
6.1.1 กลําวทั่วไป
ในระบบการสื่อสารทางวิทยุ( รูปที่ 6-1 )กาลังงานความถี่วิทยุจะกาเนิดขึ้นจากเครื่องสํงและปูอนไปยัง
สายอากาศเครื่องสํงด๎วยสํงกาลัง สายอากาศจะแผํรังสีกาลังงานนี้ออกไปในอวกาศด๎วยความเร็วประมาณเทํากับ
ความเร็วของคลื่นแสง สายอากาศรับดูดกาลังงานนี้บางสํวนไว๎แล๎วสํงไปยังเครื่องรับ ผํานสายสํงกาลังอีกเส๎นหนึ่ง
6.1.2 หน๎าที่ของสายอากาศ
หน๎าที่ของสายอากาศสํง คือ เปลี่ยนกาลังงานออกซึ่งได๎รับจากเครื่องสํงให๎เป็นสนามแมํเหล็กไฟฟูาซึ่งแผํ
รังสีไปในอวกาศ นั่นก็คือสายอากาศเปลี่ยนกาลังงานรูปหนึ่งให๎เป็นกาลังงานอีกรูปหนึ่งหรือเป็นการเปลี่ยนกาลัง
งานในทิศทางตรงกันข๎ามสายอากาศรับนั้นทาหน๎าที่คือ ทาการเปลี่ยนสนามแมํเหล็กไฟฟูาที่เคลื่อนที่ผํานตัว
สายอากาศให๎เป็นกาลังไฟฟูา แล๎วจํายให๎กับเครื่องรับวิทยุตํอไป ในการสํงตัวสายอากาศจะทาหน๎าที่เป็นภาระ
(LOAD) ของเครื่องสํง ในการรับสายอากาศจะทาหน๎าที่เป็นแหลํงสัญญาณให๎เครื่องรับ
6.1.3 ผลเพิ่มของสายอากาศ ( ANTENNA GAIN )
ผลเพิ่ มของสายอากาศนั้น ประการแรกจะขึ้นกับ การออกแบบสร๎างสายอากาศนั้นๆ สายอากาศสํง
ออกแบบสร๎า งให๎ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพสู ง ในการแผํ รัง สี ก าลั ง งานออกไปและสายอากาศรั บ ออกแบบสร๎ างให๎ มี
ประสิทธิภาพในการรับกาลังงาน ในวงจรวิทยุบางวงจรจะมีการสํงระหวํางเครื่องสํงเครื่องหนึ่งกับเครื่องรับอีก
เครื่องหนึ่งเทํานั้น ในกรณีดังกลําวจึงมีความต๎องการที่จะแผํรังสีกาลังงานออกให๎มากที่สุดเทําที่จะทาได๎ไปใน
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 79
ทิ ศ ทางใดทิ ศ ทางหนึ่ ง ทั้ ง นี้เ พราะวํ าก าลัง งานที่ แ ผํอ อกไปจะเกิ ดประโยชน์ไ ด๎ก็ เ ฉพาะทิ ศทางนั้ นเทํ า นั้ น
คุณลักษณะในการบํงทิศทางของสายอากาศรับจะเพิ่มการรับกาลังงานหรือ มีผลเพิ่มในทิศทางที่ถูกต๎อง และลด
การรับเสียงรบกวนและสัญญาณที่ไมํต๎องการที่มาในทิศทางอื่นลง ความต๎องการโดยทั่วๆ ไปของสายอากาศสํง
และสายอากาศรับคือ ให๎เสียกาลังงานไปแตํน๎อย และจะเป็นตัวแผํรังสีคลื่นและตัวรับคลื่นที่มีประสิทธิผล
6.1.4 การแผํรงั สี
ก. เมื่อสํงกาลังไปสายอากาศ พลังงานที่มีลักษณะเป็นรูปคลื่น ( FLUCTUATING ENERGY )จะทาให๎
เกิดสนามสองสนาม สนามหนึ่งคือสนามเหนี่ยวนา ซึ่งรวมอยูํกับพลังงานที่เก็บไว๎ สํวนอีกสนามหนึ่งนั้นเป็น
สนามแผํรังสีซึ่งคลื่นที่ไปในอวกาศ โดยมีความเร็วเกือบเทําความเร็วของแสงที่สายอากาศ ความเข๎มของสนามทั้ง
สองนี้จะสูงและเป็นปฏิภาคกับปริมาณของกาลังที่จํายไปยังสายอากาศ ณ ระยะใกล๎ๆ สายอากาศและหํางออกไป
จะเหลือแตํเพียงสนามแผํรังสีเทํานั้น สนามแผํรังสีนี้จะประกอบด๎วยองค์ประกอบทางไฟฟูากับ องค์ประกอบทาง
แมํเหล็ก
ข.สนามไฟฟูาและสนามแมํเหล็ก ( องค์ประกอบ ) ซึ่งแผํรังสีจากสายอากาศและกํอให๎เกิดสนามแมํเหล็ก
ไฟฟูาและสนามนี้ทาให๎เกิ ดการสํง และรับ กาลัง งานแมํเ หล็กไฟฟูาในอวกาศอิสระได๎ ดังนั้นวิทยุจ ะหมายถึง
สนามแมํเหล็กไฟฟูาที่กาลังเคลื่อนที่ก็ได๎ซึ่งมีความเร็วในทิศทางที่เคลื่อนที่ไป และมีองค์ประกอบ สํวนความเข๎ม
ไฟฟูาและความเข๎มแมํเหล็กที่ตัดทามุมฉากซึ่งกันและกัน
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 80
รูปที่ 6-2 องค์ประกอบของคลื่นแมํเหล็กไฟฟูา
6.15 รูปแบบการแผํรังสีของสายอากาศ
ก. กาลังงานของสัญญาณวิทยุซึ่งแผํรังสีออกจากสายอากาศ จะทาให๎เกิดสนามแมํเหล็กไฟฟูาซึ่งมีรปู แบบ
โดยเฉพาะขึ้น ทั้งนี้แล๎วแตํชนิดของสายอากาศที่ใช๎ รูปแบบของแผํรังสีนี้ใช๎เพื่อแสดงลักษณะของสายอากาศทัง้
ทางระยะและทางทิศ สายอากาศดิ่งในทางทฤษฎีนั้นจะแผํรังสีกาลังงานเทําๆ กันออกรอบทิศ แตํในทางปฏิบัติ
แล๎วรูปแบบมักจะบิดเบี้ยวไปตามสิง่ กีดขวางหรือลักษณะของพื้นภูมิประเทศที่อยูํใกล๎
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 81
รูปที่ 6-4 แสดงรูปตัดขวางด๎านหนึ่งในการแผํรังสีของกระสวน
6.1.6 ขั้วไฟฟูา
ก.ขั้วไฟฟูาของคลื่นที่แผํรังสีนั้น กาหนดขึ้นจากทิศทางของเส๎นแรงสนามไฟฟูา ถ๎าเส๎นแรงไฟฟูาตั้ง
ฉากกับพื้นโลกคลื่นนั้นก็จะมีขั้วทางดิ่ง(รูปที่6-5) ถ๎าเส๎นแรงไฟฟูาขนานกับผิวพื้นโลก คลื่นนั้นจะมีขั้วทางระดับ
(รูปที่6-6)
ข.เมื่อใช๎เส๎นลวดเพียงเส๎นเดียวขึงเพื่อรับเอาพลังงานจากคลื่นวิทยุที่ผํานไปการรับกาลังงานจะได๎ผลสูงสุดเมื่อ
สายอากาศขึงให๎มีทิศทางเชํนเดียวกับทิศทางขององค์ประกอบสนามไฟฟูา เมื่อเป็นดังนั้นสายอากาศทางดิ่งก็จะ
รับคลื่นที่มีขั้วทางดิ่งได๎อยํางมีประสิทธิผลและสายอากาศระดับก็ใช๎สาหรับคลื่นที่มีขั้วทางระดับ
ในบางกรณี สนามแมํเหล็กไฟฟูาจะหมุนไปขณะเมื่อคลื่นเคลื่อนไปในอากาศและภายใต๎สภาพดังกลําวนี้ทั้ง
องค์ป ระกอบทางระดั บ และทางดิ่ง ของสนามแมํ เ หล็ก ไฟฟูาจะเปลี่ยนขั้วไปด๎วย และคลื่นแบบนี้ก็ เ รียกวํ า
คลื่นไฟฟูาเป็นรูปวงรี
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 82
รูปที่ 6-5 สัญญาณขั้วดิ่ง
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 83
6.1.7 ความต๎องการขั้วไฟฟูาสาหรับความถี่ตํางๆ
ก. ณ ความถี่ปานกลางและความถี่ต่า(HF) การสํงด๎วยคลื่นพื้นดินนั้นใช๎มากและจาเป็นต๎องใช๎ขั้วไฟ
ฟูาทางดิ่ง เส๎นแรงไฟฟูาจะตั้งได๎ฉากกับพื้นดินและคลื่นวิทยุสามารถเคลื่อนที่ไปได๎ไกลมากตามผิวพื้น ดิน โดยมี
ปริมาณการลดถอยน๎อยที่สุด ทั้งนี้เพราะวําพื้นโลกจะแสดงตัวเป็นตัวนาที่คํอนข๎างดี ณ ความถี่ต่า สาหรับเส๎น
แรงไฟฟูาระดับจะลัดวงจรไปหมด ดังนั้นการเป็นขั้วไฟฟูาทางระดับจึงมีระยะทางานที่ใช๎ได๎ผลจากัด
ข. ณ ความถี่สูง(HF) การสํงด๎วยคลื่นไฟฟูาไมํวําใช๎ขั้วทางดิ่งหรือขั้วทางระดับ ก็จะมีผลแตกตํางกัน
แตํเพียงเล็กน๎อย หลังจากคลื่นฟูาสะท๎อนกลับมาจากบรรยากาศไอโอโนแล๎วก็จะไปถึงสายอากาศรับ โดยมีขั้ว
เป็นรูปวงรี ดังนั้นสายอากาศสํงและสายอากาศรับจะสร๎างให๎เป็นสายอากาศระดับหรือสายอากาศตั้งก็ได๎ อยํางไร
ก็ ตามมั ก จะใช๎ส ายอากาศระดับ เพราะสามารถท าให๎มี ก ารแพรํก ระจายคลื่นท ามุ ม ทิ ศกั บ พื้นดิ นได๎สูง และมี
คุณสมบัติบํงทิศในตัวเองอีกด๎วย
ค. ณ ความถี่สูงมากหรือความถี่อุลตร๎า(VHF,UHF) การใช๎ขั้วไฟฟูาทางระดับหรือทางดิ่งก็ได๎ผลพอใช๎
ทั้ง นี้เ นื่องจากคลื่นวิท ยุเ คลื่อ นที่ จ ากสายอากาศตรงไปยัง สายอากาศรับ และการเป็นขั้วไฟฟูาแตํเ ดิม เกิ ดที่
สายอากาศสํง จะคงสภาพไว๎ตลอดระยะทางที่เคลื่อนที่ ไปจนถึงสายอากาศรับ ดังนั้นถ๎าสํงด๎วยสายอากาศระดับ
คลื่นก็จะใช๎
6.1.8 ประโยชน์ของขั้วไฟฟูาทางดิ่ง
ก. สายอากาศดิ่งครึ่งคลื่นแบบงํายๆ สามารถทาการสื่อสารรอบตัว (ในทุกทิศทาง ) เชํนนี้จะเป็นผล
ประโยชน์เมื่อต๎องการสื่อสารกับยานพาหนะที่กาลังเคลื่อนที่
ข. เมื่อจากัดความสูงของสายอากาศเหนือพื้นดินเพียง 10 ฟุตหรือน๎อยกวํา เชํน การติดตั้งสาย
อากาศบนยานยนต์ ขั้วไฟฟู าทางดิ่งจะท าให๎สัญญาณที่รับได๎แรงขึ้น ณ ความถี่สูงถึงประมาณ 50 MHz จาก
ความถี่โดยประมาณ 50 ถึง 100 MHz ก็จะมีผลดีกวําขั้วไฟฟูาทางระดับเพียงเล็กน๎อย ในเมื่อ สายอากาศเทํากัน
ณ ความถี่สูงกวํา 100 MHz ผลตํางของความแรง ของสัญญาณเมื่อเป็นขั้วไฟฟูาทางดิ่งและทางระดับหลังเกือบจะ
ไมํมีเลย
ค. การแผํรังสีเมื่อใช๎ขั้วไฟฟูาทางดิ่งนั้น จะเกิดการกระทบกระเทือนแตํน๎อยจากการสะท๎อนกลับของ
สัญญาณจากเครื่องบินซึ่งกาลังบินอยูํเหนือทางสํงคลื่น แตํถ๎าขั้วไฟฟูาทางระดับแล๎ว การสะท๎อนนั้นจะทาให๎เกิด
การเปลี่ยนแปลงของสัญญาณที่รับได๎อยํางมาก ปัจจัยนี้มี ความส าคัญ ในพื้นที่ ซึ่งมี การจราจรของอากาศยาน
หนาแนํน
ง. เมื่อใช๎ขั้วไฟฟูาทางดิ่ง จะมีการรบกวนเกิดขึ้นแตํน๎อยเมื่อจากการรับ-สํง การกระจายคลื่น VHF
และ UHF อยํางแรงของสถานีกระจายคลื่น(โทรทัศน์และการปรุงคลื่นหาความถี่ ) ซึ่งสถานีเหลํานั้นใช๎ขั้วไฟฟูา
ทางระดับ ปัจ จัยข๎อนี้มี ความส าคัญตํอ เมื่ อขั้วสายอากาศอยูํในบริเวณชานเมื องที่มี ส ถานีโ ทรทั ศน์และสถานี
กระจายเสียง FM อยูํด๎วย
6.1.9 ประโยชน์ของขั้วไฟฟูาทางระดับ
ก. สายอากาศระดับครึ่งคลื่นแบบงํายๆ แพรํคลื่นบํงทิศ 2 ทิศทาง คุณลักษณะอันนี้เป็นประโยชน์ ถ๎า
ต๎องการจะลดการรบกวนที่มาจากทิศทางใดที่แนํชัด
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 84
ข. สายอากาศระดับ รับเอาเสียงรบกวนที่เกิดจากการกระทาของมนุษย์ไว๎น๎อย ซึ่งตามปกติแล๎วเสียง
รบกวนเหลํานั้นจะเป็นขั้วไฟฟูาทางดิ่ง
ค. เมื่อสายอากาศตั้งอยูํใกล๎ปุาทึบ คลื่นซึ่งมีขั้วไฟฟูาทางระดับจะสูญเสียกาลังน๎อยกวําคลื่นที่มีขั้วไฟ
ฟูาทางดิ่ง โดยเฉพาะอยํางยิ่งเมื่อมีความถี่สูงกวํา 100 MHz
ง. การเปลี่ยนแปลงที่ตั้งของสายอากาศไปเล็กน๎อยไมํเป็นเหตุให๎เกิดการเปลี่ยนแปลงความเข๎มของ
สนามอันเกิดจากคลื่นซึ่งมีขั้วไฟฟูาทางระดับ ในเมื่อสายอากาศนั้นขึงอยูํระหวํางต๎นไม๎หรืออาคารตํางๆ แตํถ๎า
ขั้วไฟฟูาทางดิ่งการเปลี่ยนแปลงที่ตั้งของสายอากาศไปเพียงไมํกี่ฟุตอาจจะทาให๎เกิดผลอยํางมากตํอความแรงของ
สัญญาณที่รับได๎
จ. เมื่อใช๎สายอากาศครึ่งคลื่นทางระดับแบบงํายๆ สายสํงกาลังซึ่งจะต๎องอยูํในทิศทางดิ่งจะไมํกระทบ
กระเทือนตํอตัวสายอากาศซึ่งขึงอยูํในทางระดับ โดยการที่ให๎สายอากาศตั้งฉากกับสายสํงกาลังและใช๎การเป็น
ขั้วไฟฟูาทางระดับ สายสํงกาลังนั้นจะแยกออกจากสนามแท๎จริงของสายอากาศ ผลที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติก็คือ
รูปแบบการแผํรังสีและคุณลักษณะทางไฟฟูาของสายอากาศก็จะไมํถูกกระทบกระเทือนโดยการสํงกาลังที่มีอยูํนั้น
เลย
6.1.10 สายอากาศรับ
ก. สายอากาศตั้ง ซึ่งเป็นสายอากาศรับสัญญาณวิทยุได๎เทํากันโดยรอบตัวจากทิศทางระดับ ซึ่งเชํน
เดียวกับสายอากาศสํงชนิดดิ่ง ซึ่งแผํรังสีออกรอบตัวทางระดับเพราะคุณลักษณะอันนี้สถานีอื่นๆ ซึ่งทางาน ณ
ความถี่เดียวกัน หรือใกล๎เคียงกันจึงอาจรบกวนกับสัญญาณที่ต๎องการรับได๎ และทาให๎ไมํสามารถรับสัญญาณได๎
หรือรับได๎ด๎วยความลาบาก อยํางไรก็ตามการรับสัญญาณที่ต๎องการอาจปรั บปรุงให๎ดีขึ้นได๎โดยการใช๎สายอากาศ
บํงทิศ
ข. สายอากาศระดับครึ่งคลื่น รับสัญญาณได๎รอบทิศเว๎นแตํสองทิศที่อยูํในแนวเส๎นตรงของปลายสาย
อากาศ ดังนั้นเมื่อมีสัญญาณแตํเพียงหนึ่งสัญญาณที่ทาให๎เกิดการรบกวนขึ้น หรือเมื่อสัญญาณรบกวนหลายๆ
สัญ ญาณมาจากทิ ศเดียวกั น ฉะนั้ นอาจขจัดหรือลดการรบกวนลงได๎โ ดยเปลี่ยนทิ ศของสาย โดยให๎ป ลาย
สายอากาศหันไปทางสถานีรบกวนนั้น
6.1.11 การบํงทิศ
การสื่อสารด๎วยวงจรวิทยุสาเร็จได๎ก็ตํอเมื่อสัญญาณที่รับได๎มีความแรงมากพอที่จะทับสัญญาณและเสียง
รบกวนที่ไมํต๎องการ หรืออีกนัยหนึ่งเครื่องรับจะต๎องอยูํ ในระยะการทางานของเครื่องสํง ประสิทธิผลของการ
สื่อสารระหวํางสถานีวิท ยุอ าจจะเพิ่ มขึ้นได๎ โดยการเพิ่ม กาลัง ของเครื่องสํง เปลี่ยนแบบของการปลํอยคลื่น
(ตัวอยํางเชํน เปลี่ยนจากวิทยุไปใช๎ความถี่ที่ไมํถูกดูดซึมได๎งําย วิทยุโทรศัพท์เป็นวิทยุโทรเลข) เปลี่ยนหรือใช๎
สายอากาศบํงทิศให๎มากขึ้น ในการสื่อสารจากจุดหนึ่งถึงจุดนั้นการเพิ่มการบํงทิศของระบบสายอากาศมักจะทาให๎
ประหยัดมากยิ่งขึ้น สายอากาศบํงทิศรวมการแผํรังสีในทิศทางที่กาหนดให๎และลด
การแผํรังสีในทิศทางอื่นลงน๎อยที่สุด สายอากาศบํงทิศอาจใช๎เพื่อลดการดักรับของข๎าศึก และลดการรบกวนของ
สถานีฝุายเดียวกัน
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 85
6.2 สมรรถนะของสายอากาศ
6.2.1 กลําวทั่วไป
ก. เนื่องจากในทางปฏิบัติ สายอากาศตั้งอยูํเหนือพื้นดินและมิได๎ขึ้นไปอยูํในอากาศอิสระ และการอยูํ
ที่ใกล๎พื้นดินนี่เองอาจจะเปลี่ยนรูปแบบการแผํรังสีของสายอากาศให๎ผิดไปจากรูปแบบในอากาศอิสระ และพื้นดิน
ก็ยังอาจมีผลกระทบกระเทือนตํอลักษณะทางไฟฟูาของสายอากาศอีกด๎วย
ข. โดยทั่วไปแล๎วพื้นดินมีผลอยํางมากตํอสายอากาศ ซึ่งจาเป็นต๎องตั้งอยูํคํอนข๎างใกล๎พื้นดิน โดยคิด
ความสูงเป็นกี่ความยาวคลื่น ตัวอยํางเชํน สายอากาศสาหรับความถี่ปานกลาง(MF) และความถี่สูง (HF) นั้น จะ
ตั้งอยูํเหนือพื้นดินเป็นเศษสํวนของความยาวคลื่นเทํานั้น ก็จะมีรูปแบบการแผํรังสีซึ่งแตกตํางไปจากรูปแบบใน
อวกาศอิสระอยํางมาก
6.2.2 สายอากาศตํอดิน
ก. พื้นดินเป็นตัวนาซึ่งคํอนข๎างดีสาหรับความถี่ปานกลาง(MF) และความถี่ต่า(LF) และจะเป็นเสมือน
กระจกเงาบานใหญํสาหรับกาลังงานที่แผํรงั สีออกไป และจากผลอันนี้เองทาให๎พนื้ ดินสะท๎อนกาลังงานจานวนมาก
ซึ่งแผํรังสีลงมาจากสายอากาศซึ่งตั้งอยูํเหนือพื้นดินสํวนนั้น
ข. การใช๎ประโยชน์จากลักษณะของพื้นดิน ทาให๎สายอากาศซึ่งยาวเพียง 1/4 ชํวงคลื่นเป็นเสมือน
สายอากาศครึ่งคลื่นได๎ ในเมื่อสายอากาศนั้นตั้งดิ่งและปลายลํางของสายอากาศทาการตํอไฟฟูากับพืน้ ดิน(รูปที่31)
สายอากาศ1/4ชํวงคลื่นก็จะทางานเหมือนสายอากาศครึ่งคลื่น เพราะวําภายในสภาพการณ์เหลํานี้พื้นดินก็จะทา
หน๎าที่แทน1/4ชํวงคลื่นที่ขาดไป และการสะท๎อนจะจํายกาลังงานแผํรังสีสํวนนั้น ซึ่งตามปกติแล๎วจะต๎องจํายโดย
สํวนครึ่งลํางของสายอากาศครึ่งคลื่นที่ไมํได๎ตํอดิน
6.2.3 ชนิดของพื้นดิน
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 86
ก. เมื่อใช๎สายอากาศตํอดินแล๎วสิ่งสาคัญเป็นพิเศษก็คือพื้นดินจะต๎องมีความนาไฟฟูาสูงเทําที่จะทาได๎
ซึ่งจะทาให๎ความสูญเสียเนื่องจากดินลดลง และทาให๎มีพื้นผิวการสะท๎อนกาลังงานแผํรังสีลงมาสายอากาศให๎ดี
ที่สุดเทําที่จะดีได๎ ณ ความถี่ต่าและปานกลาง พื้นดินเป็นตัวนาที่ดีพอสมควร และการตํอดินจะต๎องทาในลักษณะ
ที่เกิดความต๎านทานน๎อยที่สุดเทําที่จะทาได๎ ณ ความถี่สูงๆ ดินเทียมซึ่งสร๎างขึ้น จากแผํนโลหะขนาดใหญํทาหน๎าที่
ได๎เชํนเดียวกัน
ข. การตํอดินนั้นทาได๎หลายแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยูํกับแบบของการติดตั้งและความสูญเสียที่จะยอมให๎ได๎
เพียงใด ในการติดตั้งงํายๆ ในสนามนั้นการตํอดินทาได๎โดยการใช๎แทํงโลหะแทํงหนึ่งหรือหลายแทํงปักลงไป เมื่อ
ได๎ดาเนินการหลายอยํางแล๎วก็ยังไมํได๎ผล สิ่งที่อาจจะทาได๎ก็คือตํอดินกับสิ่งที่เป็นสื่อใดๆ ที่มีอยูํซึ่งตํอลงดินอยูํ
แล๎ว โครงสร๎างโลหะหรือระบบทํอใต๎ดิน โดยธรรมดาแล๎วก็ใช๎เป็นการตํอลงดินได๎ ในภาวะฉุกเฉินการตํอนี้ทาได๎
โดยการดาบปลายปืนปักลงในพื้นดิน
ค. เมื่อจะต๎องตั้งสายอากาศบนดินที่มีความนาไฟฟูาต่ามาก ขอแนะนาให๎ดาเนินการกับพื้นดินโดย
ตรงเพื่อลดความต๎านทานของดินลง อาจจะผสมดินนั้นกับผงถํานหินจานวนหนึ่งเพื่ อความมุํงหมายนี้ก็ได๎ หรือ
อาจจะเติมวัตถุบางอยํางที่มีความนาไฟฟูาสูง ในลักษณะที่เป็นน้ายาวัตถุเหลํานั้นเรียงตามลาดับความดีเลวของมัน
คือ โซเดียมคลอไรด์(เกลือธรรมดา) แคลเซียมคลอไรด์ คอปเปอร์ซัลเฟต(จุลสี) แม็กนีเซียมซัลเฟต(ดีเกลือ)
และโปแตสเซียมไนเตรท(ดินปะสิว) ปริมาณที่ต๎องใช๎นั้นขึ้นอยูํกับชนิดของดินและความชื้นของดิน
ข๎อควรระวัง เมื่อใช๎วัสดุเหลํานี้หัวข๎อสาคัญก็คือวําอยําใช๎วัสดุเหลํานี้ไหลลงไปในบํอน้าดื่มที่อยูํใกล๎เคียงได๎
ง. การติดตั้งงํายๆ หลักดินเดี่ยวหลักหนึ่งอาจจะทาขึ้นจากทํอน้าหรือโลหะอื่น สิ่ งที่สาคัญก็คือจะต๎องตํอ
สายดินกับหลักดินให๎มีความต๎านทานแตํน๎อย หลักดินจะต๎องทาให๎สะอาดโดยการเกลาและใช๎กระดาษทรายขัด
ตรงที่ๆ จะตํอ และตํอด๎วยเหล็กหนีบที่สะอาด แล๎วบัดกรีหรือเชื่อมสายดินเข๎ากับข๎อตํอ และจะต๎องพันด๎วยผ๎าพัน
สายเพื่อปูองกันมิให๎มีความต๎านทานสูงขึ้นเนื่องจากเป็นสนิม
6.2.4 สายดินเทียม(COUNTERPOISE)
ก. เมื่อไมํสามารถตํอดินจริงๆ ได๎ เพราะวําดินมีความต๎านทานสูงหรือเพราะวําระบบการฝังสายดินขนาด
ใหญํทาได๎ไมํสะดวก อาจใช๎สายดินเทียมแทนการตํอตามปกติได๎ ซึ่งการตํอดินตามปกติมีกระแสไฟฟูาไหลไปมา
ระหวํางสายอากาศและดินได๎จริงๆ สายดินเทียม (รูปที่ 5-8) ประกอบด๎วย โครงสร๎างซึ่ง ทาด๎วยเส๎นลวด ซึ่ง
วางอยูํเหนือพื้นดินเล็กน๎อยและหุ๎มฉนวนมิให๎สัมผัสดินได๎ ขนาดของสายดินเทียมอยํางน๎อยที่สุดจะต๎องโตกวํา
ขนาดของที่เลือกแล๎วของสายอากาศ
ข . เมื่อตั้งสายอากาศในทางดิ่ง การทาสายดินเทียมให๎มีรูปแบบทางเรขางํายๆ เชํนตามรูปที่ 5-8 ไมํ
ต๎องการที่จะให๎มีรูปสมสํวนกันอยํางสมบูรณ์แบบ แตํสายดินเทียมก็จะต๎องกระจายออกไป โดยมีระยะทางเทํากัน
ในทุกทิศทางจากตัวสายลากได๎
ค. การติดตั้งสายอากาศความถี่สูงมากบางแบบบนยานยนต์ อาจใช๎หลังคาโลหะนั้นเป็นสายดินเทียมก็ได๎
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 87
ง. สายดินเทียมขนาดเล็กซึ่งทาด๎วยตาขํายโลหะ อาจใช๎กับสายอากาศ VHF ขนิดพิเศษ ในบางครั้ง
จะต๎องวางไว๎ให๎มีระยะหํางมากเหนือพื้นดิน สายดินเทียมนี้จะทาหน๎าเป็นดินเทียมซึ่งจะชํวยให๎เกิดรูปแบบการแผํ
รังสีตามต๎องการได๎
รูปที่ 6-8
6.3 แบบของสายอากาศ
6.3.1 กลําวทั่วไป
ก.สายอากาที่ใช๎สํงวิทยุมีอยูํหลายแบบและหลายขนาด และยังมีสายอากาศที่มีแบบทางไฟฟูาแตกตํางกัน
อีกมากมาย ในการกาหนดวําจะใช๎สายอากาศใด ขนาดใดและรูปรํางอยํางไรนั้น มีปัจจัยบางประการดังนี้
1) ความถี่ใช๎งานของเครื่องสํง
2) กาลังที่แผํรังสีออกไป
3) ทิศทางโดยทั่วไปของเครื่องรับคูํสถานี
4) ขั้วไฟฟูาที่ต๎องการ
5) ประโยชน์ที่ต๎องการใช๎สายอากาศเพื่อประโยชน์อยํางไร
ก.แบบตํางๆ ของสายอากาศสํง(แสดงไว๎ในรูปที่ 6-9)
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 88
1) รูป A คือ สายอากาศแบบสาย-ยาง ไมํก๎อง ซึ่งใช๎ในการติดตั้งสถานีประจาถิ่นขนาดใหญํ
2) รูป B คือ สายอากาศแบบเฮิร์ซครึ่งคลื่น ซึ่งสํงกาลังด๎วยสายสํงกาลังจากเครื่อ งสํง
3) รูป C คือ สายอากาศมาโคนี ดัดแปลง ตั้งดิ่ง ปูอนกาลังทางปลายหรือเรียกอีกอยํางหนึ่งวํา
สายอากาศแบบแส๎
4) รูป D คือ สายอากาศวงรอบ ซึ่งแผํรังสีโดยมีสัญญาณแรงในบางทิศทาง และเกือบจะไมํมี
สัญญาณเลยในทิศทางอื่นๆ
5) รูป E คือ สายอากาศแบบมาโคนี
6) รูป F คือ สายอากาศแบบเฮิร์ซครึ่งคลื่น ซึ่งปูอนกาลังโดยสายสํงกาลังจากเครื่องสํง
7) รูป G คือ ตัวแผํรังสี ใช๎สาหรับสถานีประจาที่ ซึ่งมีความสูงเป็นร๎อยๆ ฟุต
ข. สายอากาศที่ใช๎ในทางปฏิบัติ จะต๎องใช๎อยํางใดอยํางหนึ่งใน 2 ประเภท คือ สายอากาศแบบ
เฮิร์ซหรือสายอากาศแบบมาโคนี สายอากาศแบบเฮิร์ซทางานได๎โดยขึงไว๎เหนือพื้นดินสูงพอสมควร และอาจเป็น
ทั้งทางดิ่งและทางระดับ สายอากาศแบบมาโคนีทางานได๎โดยตํอปลายข๎างหนึ่งลงดิน(ตามปกติแล๎วงตํอลงดินจาก
ทางออกของเครื่องสํง หรือทางขดลวดประกับที่ปลายข๎างหนึ่งของสายปูอนกาลัง ) สายอากาศแบบเฮิร์ซนี้ใ ช๎
โดยทั่ ว ไปส าหรับ ความถี่สู ง ๆ (มากกวํา 2 MHz)สํวนสายอากาศแบบมาโคนีนั้น ใช๎โ ดยทั่ วไป ณ ความถี่ต่ า
สายอากาศมาโคนีเมื่อใช๎ในยานยนต์ จะกลายเป็นดินที่ดีสาหรับสายอากาศไป
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 89
รูปที่ 6-9
6.3.2 สายอากาศเฮิร์ซ
ก. สายอากาศเฮิร์ซปฏิบัติงานได๎โดยขึ้นกับหลักความจริงที่วํา สายตัวนาใดจะปรับตัวให๎เหมาะกับ
ขนาดความยาวคลื่นเทําใดนั้นขึ้นอยูํโดยตรงกับความยาวของสายตัวนานั้น สายตัวนาซึ่งเป็นตัวแผํรังสีจะปรับตั้ง
ได๎ในตัวเอง ไมํจาเป็นต๎องอาศัยพื้นดินหรือแผํนตัวนาใดเลย เมื่อเป็นดังนั้นสายอากาศเฮิร์ซจะตั้งที่ใดก็ได๎ โดยจะ
มีการรบกวนได๎น๎อยจากผลของสิ่งตํางๆ บนพื้นดิน เชํน อาคารและพุํมไม๎เตี้ยๆ
ข. สายอากาศเฮิร์ซแบบมูลฐาน เป็นสายตัวนาเดี่ยวซึ่งมีความยาวเทํากับประมาณครึ่งของ
ความยาวคลื่นของสัญญาณที่จะสํงออกไป สายอากาศชนิดนี้มีชื่อเรียกอีกอยํางหนึ่งวําสายอากาศดับเบลท ได
โพล ไมํตํอดินหรือสายอากาศแบบครึ่งคลื่นซึ่งสามารถขึงกางในทางดิ่ง ในทางระดับหรือในทางเฉียงก็ได๎
ค. สายอากาศเฮิร์ซปูอนตรงกลางแบบครึ่งคลื่น ซึ่งใช๎เสมอในทางทหาร มี 2 แบบดังแสดงในรูป
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 90
34 และ 35 สายอากาศเหลํานี้ใช๎สาหรับการสํงและรับสัญญาณซึ่งมีความถี่อยูํระหวําง 1.5 MHz ถึง 18 MHz
รูปที่ 6-10
รูปที่ 6-11
6.3.3 สายอากาศแบบมาโคนี
ก. ถ๎าใช๎พื้นราบที่เป็นสื่อที่กว๎างใหญํแทนครึ่งลํางของสายอากาศเฮิร์ซแบบดิ่งแล๎วก็ไมํมีการรบกวน
เกิดขึ้นในคลื่นที่แพรํกระจายออกไปครึ่งบนของสายอากาศ หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ สายอากาศ1/4ชํวงคลื่น ที่
เหลือนั้นคงแพรํคลื่นได๎มากเชํนเดียวกับ สายอากาศครึ่ง คลื่น ทั้ งนี้เ นื่องจากที่มี พื้นที่ร าบเป็นสื่อกว๎างใหญํม า
ประกอบเข๎านั่นเอง วิธีการปฏิบัติที่ทาให๎เกิดการแผํรังสีระบบนี้ก็คือ สายอากาศมาโคนีซึ่งตัว สาย
อากาศมีความยาว1/4ชํวงคลื่นพอดี และพื้นดินจะทาให๎มีอีก1/4ชํวงคลื่น ความยาวที่ใช๎งาน(หรือความยาวทาง
ไฟฟูา) ทั้งหมดจะเป็นครึ่งชํวงคลื่น
ข. การที่จะสร๎างพื้นราบที่เป็นสื่อนั้น มิใชํทาได๎งํายๆ เ สมอไปทั้งนี้เนื่องจากพื้นโลกบางแหํงก็แห๎งและเต็มไป
ด๎วยทราย และถ๎าเข๎าไปในกรณี นี้แล๎ว ก็ต๎องใช๎สายดินเทียม
ค. ประโยชน์ป ระการส าคัญ ของสายอากาศมาโคนี คือ ไมํ วําความถี่ใดๆ ของสายอากาศสั้นกวํา
สายอากาศเฮิร์ซ เรื่องนี้สาคัญเฉพาะการติดตั้งวิทยุในสนามหรือบนยานยนต์สายอากาศมาโคนีแบบหลักๆ ก็คือ
แบบแอลกลับ แบบแส๎ แบบพื้นดินเทียม(GROUND PLANE)และแบบพื้นดินเทียมดัดแปลง
6.3.4 แบบแอล-กลับ(INVERTED-L ANTENNA)
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 91
ก.สายอากาศแบบแอล-กลับ เป็นสายอากาศตํอดินสํวนหนึ่งของสายอากาศขึงในแนวระดับ สํวนที่
ขึงทางระดับหรือตามทางราบนี้คํอนข๎างยาวและมีสํวนดิ่ง สํวนนี้เป็นสํวนสาคัญในการแผํรังสี ตํอกับปลายด๎าน
หนึ่งของสํวนระดับความยาวของสายอากาศวัดจากปลายข๎างหนึ่งของสํวนระดับไปจนถึงปลายของสํวนดิ่งที่ตํออยูํ
กับเครื่องสํง
ข.สาหรับการแพรํกระจายคลื่นพื้นดิน สํวนตั้งแผํรังสีพื้นดินเกือบทั้งหมด แตํสํวนราบทาหน๎าที่เป็น
ภาระด๎านบน(TOPLOADING) สาหรับการแพรํกระจายคลื่นฟูาระยะใกล๎นั้น สํวนระดับจะแผํรังสีออกอยํางได๎ผล
สํวนดิ่งทาหน๎าที่เป็นเพี ยงแตํสายตํอเทํานั้น สาหรับการแพรํกระจายคลื่นฟูาระยะปานกลางทั้งสํวนจะแผํรัง สี
ด๎วยกัน
ค.ความมุํงหมายของระบบสายอากาศแบบแอล-กลับ เพื่อให๎สามารถปฏิบัติงานได๎ผล ในเมื่อไมํ
สะดวกในการตั้งเสาอากาศดิ่งให๎สูงได๎ เรื่องนี้จาเป็นเฉพาะในการปฏิบัติงานในเมื่อต๎องการใช๎ความถี่ต่าๆ
ง.สายอากาศแบบแอล-กลับ ซึ่งแสดงในรูป 6-12 เป็นแบบที่ทหารใช๎อยํางแพรํหลาย สายอากาศนี้
ประกอบด๎วยสายอากาศเส๎นเดี่ยวซึ่งจะใช๎สายอากาศนี้เป็นสายอากาศครึ่งคลื่น (4-8 MHz) หรือสายอากาศเสี้ยว
คลื่นก็ได๎(2-4 MHz)
รูปที่ 6-12
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 92
รูปที่ 6-13 สายอากาศพื้นดินเทียม
6.3.6 สายอากาศแส๎
ก.สายอากาศแส๎ (รูปที่ 6-14) เป็นสายอากาศที่แพรํห ลายที่สุดซึ่งใช๎สาหรับการสื่อสารประเภทวิทยุทาง
ยุทธวิธีในระยะทางใกล๎ๆ คาวําสายอากาศแส๎ใช๎เรียกการแผํรังสีซงึ่ อํอนตัวได๎ที่ใช๎รํวมกับเครือ่ งวิทยุชนิดหอบหิว้ ไป
ได๎หรือเคลื่อนที่ได๎
ข.สายอากาศแส๎ สํวนมากทาจากแทํงโลหะกลวงเป็นทํอนๆ สามารถแยกออกได๎เมื่อใช๎ และด๎วยวิธีนี้เอง
สายอากาศจะมีความยาวน๎อยที่สุดในขณะเคลื่อนที่ และนาไปมาได๎สะดวกขึ้น ในเครื่องวิทยุชนิดหอบหิ้ว น้าหนัก
เบา บาง ชนิดสายอากาศสามารถหดลงไปในเครื่องวิทยุได๎หมด ดังนั้นจึงมองไมํเห็นสายอากาศเลย
ค.มีอยูํหลายโอกาสที่สายอากาศแบบแส๎จะอยูํบนยานยนต์โดยให๎มีความยาวเต็มที่ ทั้งนี้เพื่อให๎สามารถใช๎ได๎
ทันทีในขณะที่ยานยนต์เคลื่อนที่ ฉนวนที่ติดตั้งสายอากาศแส๎ติดอยูํกับแนบขดซึ่งประกอบเข๎า
กับเหล็กฉากรองรับบนยานยนต์ ฐานแหนบที่ทาให๎สายอากาศแส๎ลูํไปทางราบได๎ ดังนั้นจึงสามารถขับยานยนต์ให๎
ลอดสะพานหรือเครื่องกีดขวางต่าๆ ได๎ เมื่อสายอากาศกระทบสิ่งกีดขวางสายอากาศแส๎จะไมํหัก เพราะวําฐาน
แหนบจะรับแรงกระแทกไว๎ทั้งหมด
คาเตือน เมื่อปลํอยสายอากาศมีความยาวเต็มที่ในขณะเคลื่อนที่นั้นจะต๎องหลีกเลี่ยงมิให๎กระทบกับสายไฟฟูา
เป็นอันขาด อาจเป็นอันตรายหรือบาดเจ็บสาหัส ถ๎าสายอากาศซึ่งติดตั้งบนยานยนต์ดูดเข๎ากับสายไฟแรงสูง
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 93
รูปที่ 6-14 สายอากาศแส๎แบบทั่วๆไป
ง.เมื่อตั้งสายอากาศแส๎บนยานยนต์ สํวนที่เป็นโลหะของยานยนต์นั้นจะกระทบกระเทือนการปฏิบัติงาน
ของสายอากาศด๎วย ผลก็คือทาให๎ทิศทางที่ของยานยนต์พ๎นไปนั้นอาจกระทบกระเทือนการสํงและรับสัญญาณ
โดยเฉพาะอยํางยิ่งเมื่อระยะทางไกลหรือใกล๎สัญญาณอํอน
จ.สายอากาศที่ตั้งอยูํด๎านหลังข๎างซ๎ายของยานยนต์จะสํงสัญญาณแรงที่สุดในแนวทางตรงจากสายอากาศ
ผํานไปทางด๎านหน๎าข๎างขวา(รูปที่ 6-15) ในทานองเดียวกันสายอากาศที่ตั้งอยูํด๎านขวาของยานยนต์จะแผํรังสีที่มี
สัญญาณแรงที่สุดในทิศทางตรงไปด๎านหน๎าทางซ๎าย การรับที่ดีที่สุดจะได๎จากสัญญาณทีเคลื่อนไปมาในทิศทางที่
แสดงไว๎เป็นเส๎นประ
ฉ.ในบางกรณีอาจหาทิศทางที่ดีที่สุดได๎โดยวิ่งรถเป็นวงกลมเล็กๆ จนกระทั่งหาได๎วําตรงจุดไหนได๎รับที่ดี
ที่สุด โดยปกติแล๎วทิศทางที่รับจากสถานีปลายทางได๎ดีที่สุดก็จะเป็นทิศทางที่สํงออกไปได๎ดีที่สุดเชํนกั น
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 94
รูปที่ 6-15 ทิศทางที่ดีทสี่ ุดของสายอากาศแบบแส๎ติดตั้งบนยานยนต์
6.3.7 สายอากาศหุํน (DUMMY ANTENNA)
การใช๎สายอากาศซึ่งแผํรังสีได๎นั้น อาจจะเป็นการแสดงที่ตั้งเครื่องสํงให๎ข๎าศึกทราบได๎โดยการหาทิศด๎วย
วิทยุ และอาจดกํอให๎เกิดการรบกวนสถานีอื่นซึ่งปฏิบัติง าน ณ ความถี่เดียวกัน เพื่อขจัดมิให๎มี เสียงสัญญาณ
สํงออกซึ่งอาจจะออกอากาศไปได๎โดยมิได๎รับอนุญาต ดังนั้นบางครั้งต๎องใช๎สายอากาศหุํน สายอากาศหุํนนี้จะทา
หน๎าที่เป็นภาระของเครื่องสํงโดยไมํมีการแผํรังสีสัญญาณออกไป สายอากาศหุํนนั้นโดยทั่วไปจะประกอบด๎วยตัว
ต๎านทานที่ไมํ มีความเหนี่ยวนา ซึ่งมี ความทางสูง พอที่จะดูดซึมกาลังงานจากเครื่องสํงและทาให๎เ กิดความร๎อน
กระจายหายไป สายอากาศหุํนบางชนิดจะมีมาตรวัดกาลัง(WATTMETER) ของเครื่องวิทยุอยูํด๎วยเพื่อตรวจสอบ
กาลังออกอากาศของคลื่นวิทยุจากเครื่องสํง
6.4 สายอากาศแสวงเครื่อง
6.4.1 สายอากาศฉุกเฉินหรือเร่งด่วน
บางคราวสายอากาศหัก หรือ เสียหาย เป็นเหตุให๎ขาดการสื่อสารหรือการสื่อสารไมํ ดี ถ๎ามีฐานเสาอากาศ
อะไหลํก็จะใช๎ทดแทนสายอากาศที่เสียหายได๎ เมื่อไมํมีอะไหลํก็จาเป็นต๎องทาสายอากาศฉุกเฉินขึ้น ข๎อแนะนา
ตํอไปนี้ชํวยในการสร๎างสายอากาศฉุกเฉิน
ก. ข๎อแนะนาทั่วไป
1) สายลวดที่ดีที่สุดที่จะทาสายอากาศนั่นคือ ทองแดงหรืออลูมีเนียม แตํในยามฉุกเฉินใช๎สายลวดชนิดใด
ที่มีอยูํก็ได๎
2) ความยาวที่ถูกต๎องของสายอากาศนั้นถือวําสาคัญ ดังนั้นความยาวของสายอากาศฉุกเฉินที่จะนาไป
แทนจึงควรเทํากับความยาวของสายอากาศเดิม
3) สายอากาศที่ยึดอยูํกับต๎นไม๎ โดยปกติแล๎วจะทนทานตํอพายุแรงๆ ได๎ ถ๎าใช๎ต๎นไม๎ที่มีลาต๎นหรือกิ่งไม๎กงิ่
ใหญํๆ เป็นที่ยึดเหนี่ยว เพื่อรักษามิให๎สายอากาศตึงมากเกินไปและปูองกันมิให๎ขาดหรือยืด เมื่อต๎นไม๎โอนเอนให๎
ตํอสปริงปอกรองในเกําๆ เข๎ากับปลายข๎างหนึ่งสายอากาศ หรือเอาเชือกร๎อยเข๎าในลูกลอกหรือหํวง
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 95
กลมแล๎วผูก ปลายเชือ กไว๎กั บ สายอากาศ สํวนปลายเชือกอีก ปลายหนึ่ง ถํวงไว๎ด๎ วยของหนัก ๆ เพื่อรัก ษา ให๎
สายอากาศตึงอยูํเสมอ
4) สายหนวดพราหมณ์ที่ใช๎ยึดเสาอากาศทาด๎วยเชือกหรือลวดเพื่อให๎แนํใจวําลวดหนวดพราหมณ์จะไมํ
กระทบกระเทือนการปฏิบัติงานของสายอากาศ ให๎ตัดลวดออกเป็นเส๎นสั้นๆ หลายๆ เส๎นแล๎วนามาตํอกันโดยมี
ฉนวนคั่น
ข. ประสิทธิภาพของสายอากาศ สายอากาศเรํงดํวนอาจเปลี่ยนแปลงสมรรถนะของเครื่องวิทยุได๎ มีวิธี
งํายๆ ที่จะใช๎เพื่อหาวําสายอากาศเรํงดํวนทางานได๎ถูกต๎องหรือไมํ
1) ใช๎เครื่องรับด๎านปลายทางทดสอบสายอากาศ ถ๎าสัญญาณที่ได๎รับจากสถานีแรงแสดงวําสายอากาศ
ท างานได๎ผ ลดี ถ๎ าสัญ ญาณที่ รับ ได๎อํ อ นให๎ป รับ ความสู ง และความยาวของสายอากาศและสายอากาศก าลั ง
จนกระทั่งได๎รับสัญญาณแรงที่สุด โดยตั้งปุุมควบคุมความดังไว๎ที่เดิม
2) ชุดวิทยุบางชุดใช๎เครื่องสํงเพื่อปรับสายอากาศ ขั้นแรกตั้งปุุมควบคุม ที่เครื่องสํงให๎อยูํในตาแหนํง ที่
เหมาะสมสาหรับการปฏิบัติงานปกติ แล๎วปรับตั้งระบบการสํง โดยการปรับความสูงของสายอากาศ ความยาว
ของสายอากาศและความยาวของสายสํงกาลัง เพื่อให๎ได๎กาลังออกให๎ดีที่สุด
คาเตือน อาจบาดเจ็บสาหัสหรือถึงตายเมื่อสัมผัสกับสายอากาศของเครือ่ งสํงทีม่ ีกาลังปานกลางหรือกาลัง
สูง ให๎ปิดไฟเครื่องสํงขณะที่เครื่องทาการปรับสายอากาศ
6.4.2 การซํอมสายอากาศแส๎
เมื่ อสายอากาศหัก เป็นสองทํอ น ทํ อนที่ หัก ถอดออกมาอาจตํอเข๎ากั บ ทํอนที่ติดตั้ง อยูํบ นฐานโดยการ
เชื่อมตํอทํอนทั้งสองเข๎าด๎วยกันดังรูปที่ 5-16 ใช๎วิธีเชื่อมตํอดังแสดงไว๎ในรูปที่ 6-16A เมื่อสํวนทั้งสองของ
สายอากาศที่หักยังมีอยูํและใช๎งานได๎ใช๎วิธี เชื่อมตํอดังแสดงไว๎ในรูปที่ 6-16B เมื่อสํวนที่หักออกของสายอากาศ
หลํนหายไปหรือเสาอากาศแส๎นั้นเสียหายอยํางมากจนไมํสมควรที่จะนาไปใช๎อีก เพื่อที่จะซํอมสายอากาศให๎มี
สภาพความยาวตามเดิมของมันให๎เพิ่มสายลวดที่มีความยาวเทํากับสํวนของสายอากาศแส๎ที่หายไปแล๎ว ผู๎มั ดเหล็ก
ค้าเพื่อยึดสํวนทั้งสองของสายอากาศตํอกันได๎แนํน ทาความสะอาดสํวนทั้งสองของสายอากาศให๎ทั่วกํอนที่จะตํอ
สายอากาศเข๎ากับหลักยึด ถ๎าทาได๎ก็ให๎บัดกรีรอยตํอให๎แนํน
6.4.3 การซํอมสายอากาศเส๎นลวด
การซํอมสายอากาศเส๎นลวดเรํงดํวน อาจจัดได๎เ ป็นสองประเภทคือ การซํอม เปลี่ยนเส๎นลวดซึ่งใช๎เ ป็นตัว
สายอากาศ หรือสายสํงกาลังและการซํอมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ประกอบชุดที่ใช๎ขึงลวดสายอากาศ
ก.เมื่อเส๎นลวดหนึ่งหรือหลายเส๎นที่ประกอบเป็นสายอากาศขาด อาจซํอมสายอากาศได๎ด๎วยการตํอเส๎นลวดที่
ขาดเหลํานั้น ทาได๎โดยลดเสาอากาศลงมายังพื้นดิน ทาความสะอาดผิวเส๎นลวดแล๎วบิดเกลียวเส๎นลวดเข๎าด๎วยกัน
และถ๎าทาได๎ก็ให๎บัดกรีรอยตํอนั้นด๎วย
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 96
รูปที่ 5-16 การซํอมฉุกเฉิน
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 97
ข.สายหนวดพราหมณ์ สายยึดที่ใช๎เพื่อให๎เสาที่ขึงสายอากาศแนํนอยูํกับที่นั้นเรียกวําสายหนวดพราหมณ์
สายยึดเหลํานี้อาจจะทาด๎วยเส๎นลวด,เชือกหรือเชือกไนลํอนก็ได๎
ค.ทํอนเสาอากาศ สายอากาศบางชนิดยึดด๎วยทํอนเสาอากาศ ดังนั้นเมื่อทํอนหนึ่งหักอาจใช๎เสาทํอนอื่นที่มี
ความยาวเทํากันเปลี่ยนแทนได๎ ถ๎าไมํมีเสาอากาศที่ยาวพอเปลี่ยนแทนก็อาจใชํเสานั้นหลายเสามาตํอโดยเกยกัน
แล๎วผูกให๎แนํนด๎วยเชือกหรือลวด เมื่อให๎มีความยาวตามต๎องการ
6.4.5 สายอากาศดิ่ง
สายอากาศดิ่งนั้นปรับให๎เหมาะสมได๎ ถ๎าความยาวทางไฟฟูาของเสาอากาศนั้นเทํากับ ความยาวทางไฟฟูาของ
สายอากาศ ซึ่งปกติจํายมากับชุดวิทยุอยูํแล๎ว แตํถ๎าไมํรู๎วํายาวเทําไรก็จาเป็นจะต๎องสร๎างให๎สายอากาศมีความยาว
มากไว๎กํอนแล๎วปรับความยาวทางไฟฟูาโดยตัดออกจนกระทั่งได๎ความยาวทางไฟฟูาที่ดีทีสุด กรรมวิธีการตัดความ
ยาวลงนี้ใช๎ได๎กับลวดสายอากาศดิ่ง แตํจะปฏิบัติไมํได๎กับสายอากาศที่ทาด๎วยทํอนโลหะหรือทํอน้า
ก.สายอากาศดิ่งอาจจะแสวง เครื่องได๎โดยการใช๎โลหะหรือทํอโลหะซึ่งมีความยาวถูกต๎อง ตั้งขึ้นโดยใช๎สาย
หนวดพราหมณ์ยึดปลายลํางของสายอากาศ ควรจะมีฉนวนกันมิ ให๎ถูกดินโดยวางไว๎บนทํอนไม๎ หรือวัสดุที่เป็น
ฉนวนอื่นๆ
ข.สายอากาศดิ่งอาจจะประกอบขึ้นด๎วยสายลวดที่ยึดไว๎กับต๎นไม๎หรือเสาไม๎ (รูปที่ 6-18A) สาหรับสายอากาศ
ดิ่งสั้นๆ เสาอาจไมํต๎องใช๎สายหนวดพราหมณ์ (ถ๎าฐานยึดแนํนดีแล๎ว) ถ๎าทํอนเสาดิ่งยาวไมํพอที่จะขึงให๎สายตึงได๎
อาจจาเป็นต๎องดัดแปลงการตํอที่ปลายสายอากาศ(รูปที่ 6-18B)
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 98
รูปที 6-19 การขึงสายอากาศดิ่งในสนาม
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 99
สายอากาศครึ่งคลื่นปูอนตรงกลางอยํางสั้นๆ อาจยึดไว๎ได๎ทั้งเส๎นทํอนบนทํอนไม๎ สายอากาศดิ่งแบบนี้
แสดงไว๎ในรูป 6-21A สายอากาศแบบที่คล๎ายคลึงกันแสดงไว๎ในรูป 6-21B สายอากาศเหลํานี้หมุนไปได๎ทุกทาง
เพื่อให๎ได๎สมรรถนะที่ดีที่สุด ถ๎าสายอากาศนี้ตั้งดิ่งสายสํงกาลังก็ ควรจะตํอไปทางระดับ ให๎หํางอยํางน๎อยเทํากับ
ครึ่งหนึ่งของความยาวสายอากาศ กํอนที่จะหยํอนลงไปยังเครื่องวิทยุสายอากาศครึ่งคลื่นปูอนตรงกลางขนาดสั้นๆ
อาจสร๎างขึ้นด๎วยคล๎ายๆ กับที่กลําวมาแล๎ว แสดงไว๎ในรูปที่ 6-22 ปลายสายอากาศนี้จะตํอกับทํอนไม๎แห๎ง และดึง
สายอากาศให๎โค๎งเพื่อทาให๎สายอากาศดึง ใช๎เสาต๎นเดียวหรือเสาที่เป็นมัดทาหน๎าที่เป็นทํอนเสาอากาศ
ตอนที่ 1 ยุทโธปกรณ์ประเภทวิทยุ FM
7.1 ชุดวิทยุ PRC-624
7.2 ชุดวิทยุ PRC-710
7.3 ชุดวิทยุ AN/PRC-77
7.4 ชุดวิทยุ AN/VRC-12, 43-49
7.5 ชุดวิทยุตระกูล CNR-900
7.6 ชุดวิทยุตระกูล CNR-900T
7.7 เครื่องควบคุมระยะไกล AN/GRA-39
7.8 ชุดสายอากาศ RC-292
7.9 ชุดสายอากาศ OE-254
กล่าวทั่วไป
เครื่องวิทยุ PRC-624 เป็นวิทยุมือถือในยํานความถี่ VHF/FM และยังสามารถใช๎เป็นวิทยุชนิดสะพาย
หลังได๎ด๎วย การทางานของ PRC-624 อยูํภายใต๎การควบคุมของไมโครคอมพิวเตอร์ และการใช๎งานก็มีปุม
ควบคุมน๎อยมาก โดยมีปุมอยูํ 4 ปุุม มีจอภาพสาหรับแสดงผลการทดสอบตัวเองและการใช๎งาน รวมถึงความถี่
ที่ใช๎อยูํ, แสดงสัญญาณที่รับได๎, ระดับของสัญญาณที่ออกอากาศ และ ระดับไฟในแบตเตอรี่
คุณลักษณะทางเทคนิค
ระดับหนํวยที่ใช๎งาน หมูํ
ยํานความถี่ 30.00 - 87.975 MHz.
จานวนชํองสื่อสาร 2,320 ชํอง(แตํละชํองหํางกัน 25 KHz.)
ความคงที่ของความถี่ + 10 PPM ( 1 : ล๎าน )
การปรุงคลื่น FM (F3) simplex
MODE เสียงและข๎อมูล (X-MODE)
ชํองสถานีลํวงหน๎า 10 ชํอง
การโปรแกรมชํอง ปุุมกด, จากเครือ่ งอื่น, คอมพิวเตอร์
การทดสอบตัวเอง อัตโนมัติตลอดเวลา และโดยผู๎ใช๎
อายุการใช๎งาน มากกวํา 6,600 ชั่วโมง
สภาพแวดล๎อม มาตรฐานทางทหาร 810-D
ภาคส่ง
กาลังออกอากาศ
ภาคสูง 2 วัตต์ (ปรับได๎ถึง 2.6 วัตต์)
ภาคต่า 1 วัตต์ (ปรับได๎ถึง 0.25 วัตต์)
ความคงที่ของความถี่ที่ 25 องศา +10 PPM (ปกติ +5)
ความคลาดเคลื่อนของความถี่ 5.6 KHz.
การผสมคลื่น tone 150 KHz. ความเบี่ยงเบน 3 KHz.
ระดับเสียงไมค์
ปกติ 1.4 mV ที่ 150 โอห์ม
เมื่อใช๎เสียงกระซิบ (เลือกใช๎ได๎) 0.4 mV ที่ 150 โอห์ม
การปูองกันภาคเอาท์พุท ลัดวงจรและเปิดวงจร
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 104
การแพรํคลื่น Spurious 90 dB ต่ากวําคลื่นพาห์
ที่ 4f >200 KHz.
การลดทอนคลื่นฮาร์โมนิค
อันดับที่ 2 ดีกวํา 30 dB
อันดับที่ 3 ดีกวํา 40 dB
อันดับที่ 4 และสูงกวํา ดีกวํา 50 dB
ความเพี้ยนของเสียง ไมํเกิน 5%
การตอบสนองของเสียง ยํานกว๎าง : 10 ถึง 8,000 Hz. ( WIDE BAND )
ยํานแคบ : 300 ถึง 3,000 Hz.
ภาครับ
ความไว 0.4 V for 10 dB SINAD
สเควลซ์ 150 tone
CW (เผื่อเลือก)
ระดับสัญญาณจากลาโพงในตัว 50 mW
ลาโพงภายนอก 180 mW
หูฟังภายนอก 10 mW
ความเพี้ยนของเสียง ไมํเกิน 5 %
การตอบสนองตํอความถี่เสียง แบนด์กว๎าง : 10 ถึง 8,000 Hz.
แบนด์แคบ : 300 ถึง 8,000 Hz.
Selectivety (voice) 40 dB at +25 KHz.
70 dB at +200 Hz.
110 dB at +10 MHz.
การกาจัดความถี่ IF 80 dB (ปกติ)
การกาจัดความถี่เงา 60 dB (ปกติ)
แหล่งจ่ายพลังงาน
ระดับไฟปกติ 12 VDC.
ระดับไฟใช๎งาน 10-17 VDC.
ระยะเวลาใช๎งานแบตที่กาลังสํง 2 วัตต์
แบต Nicd ประมาณ 14 ชม. ที่อัตราสํวน
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 105
สํง/รับ/เฝูารอ = 1:2:7
แบตลิเธียม ประมาณ 14 ชม. ที่อัตราสํวน
สํง/รับ/เฝูารอ = 1:2:7
แบตอัลคาไลน์ (10 ก๎อน) ประมาณ 18 ชม. ที่อัตราสํวน
สํง/รับ/เฝูารอ = 1:2:7
......................................
ชุดวิทยุ PRC-710
กล่าวทั่วไป
ชุดวิทยุ PRC-710 วิทยุมือถือยําน VHF/FM สาหรับเสียงพูด/ข๎อมูลเข๎ารหัส
และความถี่ก๎าวกระโดด
วิทยุ PRC-710 เป็นวิวัฒนาการลําสุด ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นมาเพื่อ
ตอบสนองความต๎องการทางทหารทีส่ ูงขึ้นโดยผนวกเอาคุณลักษณะทีห่ ลากหลาย ได๎แกํ
การติดตํอสือ่ สารประเภทคาพูด และข๎อมูลที่มีการเข๎ารหัสทาให๎มีความปลอดภัยในการ
ติดตํอสื่อสารทีส่ ูง มีระบบปูองกันการรบกวน Jamming จากข๎าศึกได๎ ด๎วยการสือ่ สาร
ระบบความถี่ก๎าวกระโดด เข๎ากับขนาดที่เล็กกะทัดรัดและมีน้าหนักเบาของตัววิทยุ
(ประมาณ 750 g)
คุณลักษณะทางเทคนิค
- ยํานความถี่ใช๎งาน 30.000 - 87.975 MHz
การทางานของเสียง
ความถี่ที่ตอบสนอง ความถี่ 300 – 3,000 Hz.
ระดับของเสียง
สัญญาณเสียงเข๎า ปกติ 1.4 mV.
เสียงกระซิบ 0.8 mV.
ระดับเสียงออกหูฟัง 12 mW./600 ohm.
ระดับเสียงลาโพง 150 mW./45 ohm.
ตํอลาโพงภายนอก 300 mW.
สัญญาณ Squelch สัญญาณรบกวน และสัญญาณ 150 Hz.
๑. กด เพื่อเข๎าสูเํ มนู
๒. กด หรือ เพื่อเลือกเมนู
ชุดวิทยุ AN/PRC-77
AN/VRC-64 และ AN/GRC-160
กล่าวทั่วไป
ชุดวิทยุ AN/PRC-77 เป็นชุดวิทยุ VHF/FM มีลักษณะภายนอกเหมือนชุดวิทยุ AN/PRC-25 ทุกประการ
เพียงแตํ AN/PRC-77 มีวงจรเป็น Transistor ล๎วนๆ มีการปรับปรุงแก๎ไขขีดความสามารถในการสํงตํอให๎ดีขึ้น
และสามารถสํงขําวด๎วยเครื่องรักษาความปลอดภัยทางคาพูด (X-MODE) ได๎
ระดับหนํวยที่ใช๎งาน มว.-พัน.ร.
สํวนประกอบสาคัญ เครื่องรับ-สํง RT-841/PRC-77
ชุดขยายแหลํงกาลังไฟฟูา OA-3633 หรือ AM-2060
แบตเตอรี่ BA-386/PRC-25 หรือ BA-4386/U หรือ BA-386
การควบคุมระยะไกล ใช๎ AN/GRA-39 หรือ AN/GRA-6 พร๎อมด๎วยสาย
CX-7474/U
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 113
การสํงตํอ สาย MK-456/GRC (ยาว 50 ฟุต)
น้าหนัก 10.7 ก.ก. พร๎อมแบตเตอรี่
เครื่องรักษาความปลอดภัยทางคาพูด TSEC/KY-38
คุณลักษณะทางเทคนิค
แบบของการใช๎งาน คาพูด
ยํานความถี่ 30.00 – 75.95 MHz.
ระยะการสือ่ สารในการวางแผน 8 กม. (AT-271) 5 กม.(AT-892)
จานวนชํองการสื่อสารในการวางแผน 920 ชํอง แตํละชํองหํางกัน 50 KHz.
แหลํงกาเนิดไฟ แบตเตอรรี่ BA-386/PRC-25 หรือ BA-4386/U
หรือ BA-398/U แบตเตอรี่ยานยนต์ 24 VDC.
PP-2953 แปลงไฟ 115/230 VAC. เป็น 24 VDC.
กาลังออกอากาศ 1.5 - 4 วัตต์
สายอากาศ AT-892/PRC-25 (3 ฟุต)
AT-271/PRC-25 (10 ฟุต)
AT-912 หรือ AS-1729 ติดตั้งบนยานยนต์ (10 ฟุต)
AT-9984 หรือ RC-292 ติดตั้งประจาที่
การตัง้ ความถี่ลํวงหน๎า 2 ชํอง
การตัดเสียงรบกวน 150 Hz.
การประกอบเป็นชุดวิทยุอื่น
AN/VRC-64
AN/PRC-77
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 114
AN/GRC-160 = AN/PRC-77 + AN/VRC-64
การใช้งานชุดวิทยุ
การเตรียมเครื่องกํอนการใช๎งาน (เมือ่ ประกอบเครือ่ งเสร็จแล๎ว) มีขั้นตอนดังนี้
1. เปิดเครือ่ งโดยการปรับ FUNCTION SWITCH ไปในตาแหนํง ON จะมีเสียงซําที่หูฟงั หรือลาโพง
2. ปรับ VOLUM ลดลงหรือเพิม่ ขึ้น เสียงก็จะมีการเปลี่ยนแปลง
3. บิด FUNCTION SWITCH ไปในตาแหนํง SQUELCH จะเงียบ
4. ตรวจสอบไฟจากแบตเตอรี่โดยการปรับไปที่ตาแหนํง LITE ดูความสวํางของไฟทีห่ น๎าปัทม์บอกความถี่
ถ๎าสวํางมากแสดงวําไฟมาก สวํางน๎อย แสดงวําไฟน๎อย
5. ทาการทดสอบการรับ-สํง โดยการเรียกไปยังคูํสถานี
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 115
การตั้งความถี่ใช้งาน กระทาโดย
1. ดูความถี่ที่ใช๎งานวําอยูํในชํวงต่าหรือสูง โดยชํวงต่าความถี่ตั้งแตํ 30.00 ถึง 52.95 MHz. ชํวงสูง
ความถี่ตั้งแตํ 53.00 ถึง 75.95 MHz.
2. ผลักสวิทซ์เลือก BAND ไปในตาแหนํงที่ต๎องการ
3. หมุนปุุมเปลี่ยนความถี่ให๎ความถี่ที่ต๎องการแสดงทีห่ น๎าปัทม์
การติดต่อกับวิทยุบนอากาศยาน
นอกจากความถี่ที่ใช๎งานตรงกันแล๎ว วิทยุที่จะทาการติดตํอกับอากาศยาน จะต๎องปิดการใช๎ระบบตัด
เสียงสัญญาณรบกวน หรือทาให๎มีเสียงซําอยูํตลอด คือ ถ๎าเป็นวิทยุ AN/PRC-77 จะต๎องอยูํในตาแหนํง ON
มิฉะนั้นจะทาการติดตํอกับอากาศยานไมํได๎ เพราะวิทยุในอากาศยานไมํมีระบบตัดเสียงรบกวน (SQ.)
ข้อควรระวังในการใช้งาน
1. กํอนใสํและถอดแบตเตอรี่ ต๎องปิดเครื่องกํอนทุกครั้ง
2. ห๎ามกดสํง ในขณะที่ไมํได๎ใสํสายอากาศ
3. ห๎ามเปลี่ยนความถี่ในขณะทาการสํง
4. เมื่อไมํใช๎วิทยุเกิน 24 ชม. ให๎ถอดแบตเตอรี่ออกเสมอ
การเลือกความถี่ใช้งาน
1. ความถี่ทั้งสอง (F1 กับ F2) ต๎องหํางกันอยํางน๎อย 3 MHz. ขึ้นไป
2. ความถี่ไมํหํางกันเทํากับ 23 MHz. พอดี
3. ความถี่ไมํเป็นความถี่ที่ถูกต๎องห๎ามใน Interference Chart
4. เครื่องในระบบจะต๎องมีระบบ SQ ที่ดีและเหมือนกัน
ประโยชน์ของการจัดเป็นสถานีส่งต่อ
1. เพื่อเพิม่ ระยะการติดตํอให๎ไกลยิง่ ขึ้นประมาณ 2 เทํา
2. เพิ่มข๎ามสิง่ กีดขวาง เชํน ตึกสูง ภูเขา เป็นต๎น
RT - 246/VRC RT - 524/VRC
-BAND SW. มีตาแหนํง AUTO ใช๎เปลี่ยนความถี่ -BAND SW. ไมํมีตาแหนํง AUTO ใช๎
เปลี่ยนอัตโนมัติ โดยกดปุุมใดปุุมหนึ่งใน 10 ปุุม ความถี่ด๎วย MANUAL
-ไมํมี SPEAKER SW.ON-OFFไมํมีลาโพงในตัว -มี SPEAKER SW.ON-OFF มีลาโพง
เครื่อง ในตัวเครื่อง
-POWER SW. มีตาแหนํง REMOTE ใช๎กับ -POWER SW.ไมํมีตาแหนํง REMOTE
C - 2742/VRC เลือกความถี่โดยอัตโนมัติ
-มีขั้วตํอ REMOTE ไปยัง C-2742/VRC -ไมํมีขั้วตํอ REMOTE
คุณลักษณะทางเทคนิค
ก. เครื่องรับ-ส่ง RT-246/VRC และ RT-524/VRC
ระดับหนํวยที่ใช๎งาน กองพัน - กองพล
ยํานความถี่ BAND A 30.00 - 52.95 MHz
BAND B 53.00 - 75.95 MHz
การตั้งความถี่ 10 แชนแนล (ฉพาะ RT-246/VRC)
จานวนแชนแนล 920 แชนแนล
ความหํางระหวํางแชนแนล 50 KHz
แบบของการ MODULATE FM
แบบของสัญญาณ คาพูด
กาลังออกอากาศ HIGH 35 วัตต์ (อยํางน๎อย)
LOW 1-3 วัตต์
รัศมีการทางาน (เมื่อออกอากาศในตาแหนํง HIGH)
ประจาที่ 20 ไมล์ (32 กม.)
เคลื่อนที่ 15 ไมล์ (24 กม.)
สายอากาศ แบบตั้ง CENTER-FED
แบบของ SQUELCH NOISE (7,300 Hz.) และ TONE (150 Hz.)
สัญญาณเสียงปูอนเข๎า 1.5 mV 150 โอมห์
ข. เครื่องรับช่วย R-442/VRC
ยํานความถี่ BAND A 30.00 - 52.95 MHz
รูปที่ 4 – 4 การปรับจูนความถี่ล่วงหน้า
ขั้นตอนในการตั้งความถี่ที่ปุ่มตั้งความถี่ RT-246/VRC
1. บิดสวิทซ์เลือกแบนด์ ไปที่ตาแหน่ง AUTO
2. กดปุุม CHANNEL BUTTON ที่ต๎องการจะตัง้ ความถี่ไว๎ให๎ LOCK ดัง "คลิ๊ก"
3. ปรับปุุม BAND SELECTOR ไปตาแหนํง A หรือ B แล๎วแตํ ความถี่ที่จะตั้งวําอยูํ ใน BAND A หรือ BAND B
4. กดปุุม TUNE ค๎างไว๎
5. ปรับปุุม PRESET จนกระทั่งความถี่ที่ตอ๎ งการปรากฎบนชํองหน๎าปัทม์
6. ปลํอยปุมุ TUNE
ส่วนประกอบชุดและชิ้นส่วนอะไหล่
สํวนประกอบชุดและชิ้นสํวนอะไหลํของชุดวิทยุ AN/VRC-12,AN/VRC-43 ถึงAN/VRC-49 มีดังนี้
C-2299/VRC
หมายเหตุ
1. จากแผนผังการจัดชุดวิทยุ AN/VRC-45 หรือ AN/VRC-49
เพื่อทาเป็นสถานีสงํ ตํอนั้น ความถี่ F1 กับ F2 จะต๎องหํางกัน
อยํางน๎อย 10 MHz.และจะหํางกันไมํเทํากับ 23 MHz. พอดี
2. การจัดเป็นสถานีสํงตํอกระทาเพือ่ ประโยชน์ดังนี้
- เพื่อเพิ่มระยะการติดตํอให๎ไกลยิ่งขึ้นประมาณ 2 เทํา
- เพื่อข๎ามสิ่งกีดขวาง เชํน ตึกสูง ภูเขา เป็นต๎น
- เพื่อให๎เครื่องวิทยุที่มี SQ. แบบ OLD กับแบบ NEW ใช๎งานรํวมกันได๎
คุณลักษณะทางเทคนิค
ระดับหนํวยที่ใช๎งาน มว. - กองพล
ยํานความถี่ 30.000 - 87.975 MHz.
จานวนชํองการสื่อสาร 2,320 ชํอง (แตํละชํองหํางกัน 25 KHz.)
การตั้งความถี่ลํวงหน๎า 10 ชํอง
แบบของการมอดูเลต Narrow-band FM
อัตราเร็วในการ HOP มากกวํา 100 Hop/sec.
ความแตกตํางของ TOD ไมํเกิน 4.5 นาที
กาลังออกอากาศ
สะพายหลัง LO 0.25 วัตต์
ติดตั้งบนยานยนต์ MD 4 วัตต์
HI 4 วัตต์
สะพายหลัง 20 W. HI 20 วัตต์
ยานยนต์ระยะไกล LO 0.25 วัตต์
MD 4 วัตต์
HI 50 วัตต์
แหลํงจํายกาลังงาน
ส่วนประกอบเป็นชุดวิทยุอื่นๆ
PRC- VRC- VRC- VRC- VRC- VRC- GRC-
Component 730(*) 742(*) 745(*) 750(*) 1460(*) 1465(*) 1600(*)
(MP) (SR) (LR) (LR) (SR/SR) (LR/LR) (SR)
Receiver 1 1 1 1 2 2 1
Transmitter
RT-7330(*)
Battery Cover 1 - - - - - -
Cy-7320
Short Whip 1 - - - - - -
Antenna AT-980
Long Whip 1 - - - - - -
Antenna AT-290
Antenna 1 - - - - - -
Matching Unit
AB-288
Handset H-250/u 1 1 1 1 2 2 1
Backpack Carrying 1 - - - - - -
Harness, ST-731
เครื่องรับ-สํง RT-9001
คุณลักษณะทางเทคนิค
ระดับหนํวยที่ใช๎งาน มว. - กองพล
ยํานความถี่ 30 - 87.975 MHz.
จานวนชํองการสื่อสาร 2,320 ชํอง (แตํละชํองหํางกัน 25 KHz.)
การปรับจูนความถี่ ด๎วยมือ หรือตั้งลํวงหน๎า
การตั้งความถี่ลํวงหน๎า 100 ชํอง แตํละชํองประกอบด๎วยความถี่, กุญแจรหัส และ
ปัจจัยของ AJ
แบบของการมอดูเลต Narrow-band FM (FM ชนิดแบนด์แคบ)
กาลังออกอากาศ
สะพายหลัง LO 0.25 วัตต์
ติดตัง้ บนยานยนต์ (ระยะใกล๎) MD 5 วัตต์
HI 5 วัตต์
โหมดใช๎งาน - รับอยํางเดียว
- รับ-สํง
- Scanning
- Hailing
- สถานีถํายทอด
การปูองกันสัญญาณผิดโหมด - เสียงกระจําง (Clear)
- เข๎ารหัส (Secure)
- ความถี่ก๎าวกระโดด (Anti-Jamming)
การเลือกเรียก ใช๎ได๎ทุกโหมด ยกเว๎น CLR
หมายเลขประจาตัวเครื่อง
หมายเลขแตํละเครื่อง 1-9, 11-19, 21-29
หมายเลขแตํละกลุมํ 10 คือ 1 ถึง 9
20 คือ 11 ถึง 19
30 คือ 21 ถึง 29
31 คือ 1 ถึง 9 และ 21 ถึง 29
เรียกแบบสํงกระจายเสียง 00 ทุกสถานีรับได๎
การใช๎งานแบบตํางๆ กระจายเสียง ทุกสถานีรบั ได๎
เลือกเรียก คือ เรียกแตํละเครื่อง หรือเรียกทุกสถานี
ชนิดของการสือ่ สาร เสียงแบบอนาล็อก
เสียงแบบดิจิตอล (16 Kbps. CVSD หรือ 2.4/4.8 bps.
โวโคเดอร์)(เผื่อเลือก)
ข๎อมูลความเร็วต่า
ข๎อมูลความเร็วสูง
ข๎อมูล 16 Kbps. ภายนอก CVSD (เผือ่ เลือก)
ข๎อความดํวน : กาหนดตัวเลข
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 137
(000 ถึง 999), ข๎อความคงที่ (เทียบกับคูมํ ือ)
(00 ถึง 99), ข๎อความกาหนดได๎เอง
(00 ถึง 99)
แฟรช เหมือนกับโหมดข๎อมูล แตํใช๎ AJ เพื่อลดการ
เสียเวลาขณะเข๎าจังหวะ
สื่อสารข๎อมูลแบบอนุกรม และใช๎ IP มาตรฐานทางทหาร
MIL-STD-188-220B (ข๎อ1-3a) เพิ่มการ
ควบคุมการสือ่ สาร (ที่อยูํในฐานปรับตั้งยานยนต์
ของ VRC-750)(เผื่อเลือก)
การสือ่ สารทางคาพูด
การตอบสนองความถี่ 300 ถึง 3,000 Hz.
ระดับเสียงปกติ
สัญญาณเข๎าไมค์ ปกติ : 1.4 mV.
กระซิบ : 0.8 mV.
สัญญาณออกทีห่ ูฟัง 3.18 Vrm สูงสุด, ที่ 1,000 โอห์ม ปรับได๎
ชนิดของสเควลซ์ 150 Hz. โทน และ Noise
150 Hz. โทน อยํางเดียว
การปรุงคลื่น
CLR FM แบบอนาลอก
SEC, AJ 16 Kpbs. CVSD
2.4 และ 4.8 Kbps. โวโคเดอร์
แบนด์พาส (X-โหมด) 0.775 Vrms/600 โอห์ม ในชํวง 30-8,000 Hz.
(เฉพาะ CLR)
โหมด CVSD ภายนอก (เผื่อเลือก)
ข๎อมูลเข๎า/ออก RS-232C
รหัสคาพูด 16 Kbps. CVSD ตาม EUROCOM D/1
ความเร็ว 16 Kbps. (ซีนโครนัส)
โหมด FSK (เผื่อเลือก)
ความเร็วข๎อมูล 150 bps., 300 bps. และ 600 bps.
ระดับสัญญาณเข๎า 1.4 mV ปกติ
ระดับสัญญาณออก ไมํเกิน 2 Vrms ที่ 600 โอห์ม ปรับได๎
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 138
การปรุงคลื่น FSK ด๎วยโทน 1,100 และ 2,300 Hz.
การใช๎งานแบบข๎อมูลความเร็วต่า
ข๎อมูลเข๎า/ออก RS-232C
ความเร็ว
ปกติ ซีนโครนัสและอซิงโครนัส 50, 75, 100, 150, 300,
600, 1200, 2400 และ 4,800 bps.
อื่นๆ 19.2 Kbps. อซีนโครนัส พร๎อมแก๎คาผิด
การปูองกันคาผิด แบบ Forward และ Interleaving
การใช๎งานแบบข๎อมูลความเร็วสูง
ข๎อมูลเข๎า/ออก RS-232C
ความเร็ว อซีนโครนัส 19.2 Kbps.
ซีนโครนัส 16 Kbps., 32 Kbps.
เครื่องควบคุมการสื่อสาร (เผื่อเลือก) (เฉพาะ VRC-750)
การปรับรํวมกับโฮสต์
ชนิดการปรับรํวม ขั้วตํอ RS-232 อซีนโครนัส
ความเร็ว 115 Kbps.
การปรับรํวม ปรับโดยเครือ่ งควบคุมการสือ่ สาร
IP เบส ผํานทาง PPP โดยการใช๎ CNR อะแดปเตอร์
การใช๎งานรํวมกับ LAN
ชนิดของการปรับรํวม 10 Base 2 Ethernet
โปรโตคอล IEEE 802.3 and Ethernet
หน๎าที่ปรับรํวม สื่อสารด๎วย IP โดยใช๎ตัวปรับ CNR ในเครื่อง
การรองรับการสื่อสารด๎วย IP
เพิ่มเติม เส๎นทางของ IP ตามตารางที่มีอยูํ
ขั้วตํอเส๎นทาง IP LAN (Ethernet)
ใช๎รํวมกับ Hose ผํานทาง CNR ในเครื่อง
ใช๎งานทางวิทยุ ผํานทางโปรโตคอลระดับ 1 ถึง 3a
ตามมาตรฐาน MIL-STD-188-220
ปัจจัยการใช๎งาน
โหมดเสียงกระจําง
ปัจจัย 100 ชํองความถี่, 10 กลุํม
การโหลด ลงในหนํวยความจาชนิดไมํลบเลือน
โหมดการเข๎ารหัส
ปัจจัย 2 ชุด ชุดละ 10 กุญแจรหัส ปูอนเข๎าเครื่องโดยเครื่อง
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 139
ปูอน, หน๎าปัด หรือจากวิทยุอื่น
การรักษาความจา ใช๎หนํวยความจาชนิดไมํลบเลือนรํวมกับ
แบตเตอรี่ชนิดลิเธียม
โหมดการถูกรบกวน
ปัจจัย ตารางความถี่ 1 ชุด
กุญแจรหัส 2 ชุด (ชุดละ 10)
การปูอนปัจจัย โดยเครื่องปูอน หรือจากวิทยุอื่น สํวนใหญํปูอนได๎
จากปุมุ กดบนหน๎าปัด
การรักษาปัจจัย ใช๎หนํวยความจาชนิดไมํลบเลือน พร๎อมแบตเตอรี่
ชนิดลิเธียม
การรักษาวันเวลา ใช๎แบตเตอรี่ชนิดลิเธียม
กล่าวทั่วไป
เครื่องควบคุมระยะไกล AN/GRA-39 เป็นเครือ่ งควบคุมที่ใช๎วงจรทรานซิสเตอร์ ทางานด๎วยแบตเตอรี่
ซึ่งอานวยให๎สามารถควบคุมเครื่องวิทยุ FM ให๎ทางานในระยะไกลได๎ เครื่องนี้ประกอบด๎วย C-2329/GR สาหรับ
ตํอเข๎ากับเครื่องวิทยุ และ C-2328/GR อยูํทางด๎านไกล
คุณลักษณะทางเทคนิค
ยํานความถี่ เสียง (300 - 3500 Hz.)
ระยะสื่อสารเพื่อใช๎ในการวางแผน 3.2 ก.ม. (2 ไมล์) โดยใช๎สาย WD-1/TT
กาลังไฟ ใช๎แบตเตอรี่ BA-30 จานวน 6 ก๎อนตํอเครือ่ ง
น้าหนัก C-2328 หนัก 11.00 ปอนด์
C-2329 หนัก 10.14 ปอนด์
ลักษณะพิเศษ
1. ให๎บริการด๎วยเครื่องโทรศัพท์ระหวํางที่ตงั้ ทั้งสอง
2. มีสัญญาณเรียก 20 Hz. ระหวํางเครื่องทั้งสอง
3. สามารถรับและสํงขําวด๎วยเครื่องวิทยุจากด๎านใดด๎านหนึ่ง
คุณลักษณะทางเทคนิค
ยํานความถี่ 20 - 76 MHz.
ระยะสื่อสารเพื่อใช๎ในการวางแผน ประมาณ 2 เทํา ของระยะการสือ่ สารของเครื่อง
วิทยุนั้น ๆ เมื่อใช๎สายอากาศวิป
ความสูงเมื่อตั้ง 37 - 41.2 ฟุต
ความต้องการในการเลือกใช้
กล่าวทั่วไป
สายอากาศ OE-254 เป็นสายอากาศแบบใช๎ดินเทียม (Artificial Ground หรือ Ground Plane) ชนิด
ครอบคลุมทั้งยําน (broad band) ใช๎งานทดแทนสายอากาศ RC-292 โดยไมํเปลี่ยนความยาวของสายอากาศเมือ่
ความถี่ใช๎งานเปลี่ยนแปลงไป ใช๎งานได๎เ อนกประสงค์ ติดตั้งประจาที่ ใช๎เพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มระยะ
การติดตํอของเครื่องรับ-สํงวิทยุ FM ที่ใช๎งานทางยุทธวิธี
คุณลักษณะทางเทคนิค
ยํานความถี่ 30 - 88 MHz.
กาลังสํงของวิทยุที่ทนได๎ 350 วัตต์
ระยะสื่อสารเพื่อใช๎ในการวางแผน ประมาณ 2 เทํา ของระยะการสือ่ สารของเครื่อง
วิทยุนั้น ๆ เมื่อใช๎สายอากาศวิป
มาตรฐานทางทหาร SPEC MIL-A-49204
ชุดวิทยุ PRC/VRC-610
กล่าวโดยทั่วไป
เครื่องวิทยุแบบนีเ้ ป็นวิทยุแบบ HF/SSB นาไปมาโดยสะพายหลัง ติดตั้งบนยานพาหนะ หรือ ประจา
ที่มีลกั ษณะพิเศษ คือ สามารถถอดชุดควบคุมออกจากตัวเครื่องขณะใช๎งานอยูํก็ได๎เพือ่ ความสะดวกในการใช๎
งานขณะกาลังสะพายหลังสามารถเข๎าขํายกับเครื่องวิทยุ AM แบบมาตรฐานได๎
ระดับหนํวยที่ใช๎งาน กองร๎อย - กรม ร.
สํวนประกอบสาคัญ เครื่องรับสํง RT - 600
สายอากาศ AT - 600
แบตเตอรี่ NICAD
เครื่องประจุใช๎แสงแดด SC - 601
การควบคุมระยะไกล ไมํมี
การสํงตํอ ไมํมี
น้าหนัก 11.6 กก.
เครื่องรักษาความปลอดภัยคาพูด ไมํมี
การประกอบเป็นวิทยุชุดอื่น ไมํมี
คุณลักษณะทางเทคนิค
แบบของการใช๎งาน คาพูด,CW
ยํานความถี่ 1.6 - 29.9999 MHz.
จานวนชํองสื่อสาร 284,000 ชํอง หํางกันชํองละ 100 Hz.
ระยะสื่อสารเพื่อใช๎ในการวางแผน 20 กม.
กาลังไฟ 15 VDC.
แหลํงกาเนิดไฟ แบตเตอรี่ BB - 600 หรือ BB - 4600
12-30 VDC.จากยานพาหนะรํวมกับ PP-600
กาลังออกอากาศ 4 - 20 W.
กล่าวทั่วไป
AN/GRC-106(*) เป็นวิทยุยํานความถี่สงู HF / SSB กาลังปานกลาง ออกแบบไว๎เพื่อติดตั้งบน
ยานพาหนะ เป็นสถานีสื่อสารเคลือ่ นที่ และอาจใช๎เป็นสถานีประจาที่หรือกึง่ ประจาที่ หรือกึ่งประจาทีก่ ็
ได๎ AN/GRC-106 ใช๎แทนชุดวิทยุ AN/GRC-19
ระดับหนํวยที่ใช๎งาน กรม - กองพล
สํวนประกอบสาคัญ เครื่องรับ - สํง RT-662/GRC (RT-834/GRC)
เครื่องขยาย AM-3349/GRC-106
สายอากาศ WHIP และ DOUBLET AN/GRA-50
น้าหนัก 128 ปอนด์
คุณลักษณะทางเทคนิค
ชนิดการใช๎งาน คาพูด,CW และสามารถติดตั้งเครือ่ งโทรพิมพ์
ใช๎งานรํวมได๎
ยํานความถี่ 2-29.999 MHz
จานวนชํองการสื่อสาร RT-662/GRC มี 28,000 ชํอง หํางกันชํองละ 1 KHz
RT-834/GRC มี 280,000 ชํอง หํางกันชํองละ 100 Hz
ระยะสื่อสารเพื่อใช๎ในการวางแผน 80 กม.(คลื่นดิน)
160 - 2400 กม.(คลื่นฟูา)
กาลังออกอากาศ 200 วัตต์ ( CW และ โทรพิมพ์)
400 วัตต์ ( คาพูด )
กาลังไฟที่ใช๎ 24 - 30 V.DC. (ดีที่สุด 28.5 V.DC.)
ความสิ้นเปลืองกาลังไฟสูงสุด 45 วัตต์ (ขณะสํง)
กินกระแสสูงสุด 38 แอมป์ (สํง SSB)
43 แอมป์ (สํง CW)
แหลํงกาลังไฟฟูา จากยานพาหนะโดยผําน ALTERNATOR จาก
ไฟกระแสสลับ 220/115 V. รํวมกับเครือ่ งเปลี่ยนกระแสไฟ
PP-4763 A
หลักฐานอ๎างอิง TM 11 - 5820 - 520 - 12
......................................
กล่าวทั่วไป
AN/GRC-122(*),142(*) เป็นชุดวิทยุกาลังปานกลาง ติดตั้งบนยานพาหนะใช๎เป็นหลักในการ
ปฏิบัติงานด๎วยวิทยุโทรพิมพ์ ใช๎แทนชุดวิทยุโทรพิมพ์แบบเกําดังนี้
AN/GRC-122 ใช๎ทดแทนแบบ AN/GRC-26 D
AN/GRC-142 ใช๎ทดแทนแบบ AN/GRC-46
ระดับหนํวยที่ใช๎งาน กองพล
สํวนประกอบสาคัญ ดูตาราง
การควบคุมระยะไกล 3.2 กม. โดยใช๎ AN/GRA-6
การสํงตํอ ไมํมี
น้าหนัก ดูตาราง
ข๎อจากัด ปฏิบัติงานได๎แบบ HALF DUPLEX เทํานั้น
(ยกเว๎น AN/GRC-122และความถี่ของเครือ่ งรับชํวย
จะต๎องแตกตํางจากความถี่เครื่องสํงอยํางน๎อย
1 MHz หรือ 10 %)
คุณลักษณะทางเทคนิค
เหมือนกับ AN/GRC-106 ทุกประการ
การประกอบชุดอื่น ๆ
ชุดวิทยุ RT-662 AM-3349 MD-522 PACT-220 AN/GRA-6 น้าหนัก
(RT-834) (กก.)
AN/GRC-122 2 1 1 2 1 831.7
AN/GRC-142 1 1 1 1 1 769.1
* RT-662 (RT-834) จานวน 1 เครือ่ ง ใช๎เป็นเครื่องรับ
......................................
ความมุ่งหมายและการใช้งาน
1. ชุดวิทยุ PRC-1099 เป็นวิทยุรับ-สํงความถี่สูง ระบบซิงเกิลไซแบนด์ (HF/SSB) ,
สะพายหลัง และหอบหิ้วขนย๎ายได๎ ติดตํอสื่อสารด๎วยคาพูด (Voice), โทรเลข (CW) และ
ข๎อมูล (DATA)
2. ชุดวิทยุ PRC-1099 ยังใช๎เป็นสํวนประกอบของชุดขยายกาลังสูง คือ RA 100,
RA 400/5 และ RA 1000/5 ติดตั้งประจาที,่ ขนย๎ายและ เคลื่อนที่โดย รยบ.
3. ชุดวิทยุ PRC-1099 สามารถติดตํอวิทยุ HF/SSB ที่ยํานความถี่ 1.6-30 MHz.
คุณลักษณะทางเทคนิค
ระดับหนํวยที่ใช๎งาน กองร๎อย, กองพัน, กรม
ยํานความถี่ 1.6 - 30 MHz.
จานวนชํองการสื่อสาร 284,000 ชํอง
ชํองหนํวยความจา 10 ชํอง
ความหํางของชํองการสื่อสาร 100 Hz.
แบบของสัญญาณรับ-สํง
ขณะสํง คาพูด (300-2,700 Hz.) SSB, USB/LSB,
โทรเลข (CW), ข๎อมูล (DATA)
......................................
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 163
ชุดวิทยุ HF-2000
PRC-2200 : MANPACK
VRC-2020 : VEHICULAR
คุณลักษณะทางเทคนิค
ระดับหนํวยที่ใช๎งาน กองร๎อย-กรม
ยํานความถี่ 1.5 - 29.9999 MHz.
จานวนชํอง/ความหําง 285,000/100 Hz. (SPACE)
จานวนชํองตั้งลํวงหน๎า 20 CH. ( Parameter )
10 COMSEC KEYS.
10 ECCM TABLES &
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 164
2 AUTOCALL TABLES
โหมดการใช๎งาน FIXED FREQ : CLEAR (CLR)
: SEC (COMSEC)
FREQ HOP : AJ [ANTI-JAMMING (ECCM)]
แบบการรับ-สํงสัญญาณ
คาพูด : USB, LSB, AM
NARROW BAND DATA (INT MODEM: 50/75/150 BAUD) : USB, LSB
WIDE BAND DATA (EXT MODEM) : USB, LSB
CW (CCW, NCW, CW) : USB, LSB
แบบสัญญาณปูองกัน 3 แบบ
: เสียงธรรมดา (CLEAR)
: เสียงเข๎ารหัส (SECURE) : ENCRYPTION/DECRYPTION
: ปูองกันการรบกวน (ANTI-JAMMING) : FREQ. HOPPING
แบบการตั้งความถี่ 3 แบบ
: AUTO-CALL (การเลือกความถี่ที่ดที ี่สุดโดยอัตโนมัติ)
: การเลือกตั้งโดยบุคคล
: การรับ-สํงคนละความถี่ (DUAL) = SEMI-DUPLEX
แบบของ SQUELCH (SQ.)
SQ - SEL.C : เป็น SQ. แบบรหัสดิจิตอล
SQ-SYLAB : SYLABIC SQ. เป็น SQ. แบบเกําที่ใช๎กบั วิทยุ HF/SSB
ทั่วไป
SQ-OFF : ยกเลิกการใช๎ SQ. (ปิด SQ.)
* SEL.C = SELECTIVE CALLING
กาลังออกอากาศ (LO, MI, HI)
PRC-2200 : 5, 10, 20 W.
VRC-2100 : 20, 50, 100 W.
กาลังงานที่ใช๎
PRC-2200 : 10.5 - 14.5 V.DC. (LITHIUM BATT., NI-CAD BATT.)
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 165
VRC-2100 : 22 - 32 V.DC.
ข๎อมูลทาง ECCM
อัตราเร็วในการ HOP มากกวํา 15 HOP/SEC.
จานวน KEY ในการ HOP 10
จานวนตารางการ HOP 10 TABLE
จานวนความถี่ตํอตาราง 8 - 150 FREQ.
เวลาแตกตํางระหวํางวิทยุ 3 นาที (ไมํเกิน)
(PERMISABLE TOD DIFFERANCE BETWEEN RADIO SET)
ความต๎องการปัจจัยตํางๆ ในแตํละ MODE
MODE CLR FREQ CLR
MODE SEC FREQ. KEY SEC
MODE AJ. TOD T.N. K.N. N.No. AJ.
TOD = TIME OF DAY
T.N. = NUMBER OF TABLE
K.N. = NUMBER OF KEY
N.No. = NUMBER OF NET
รูปชุดวิทยุ VRC-2100
ส่วนประกอบชุดวิทยุ PRC-2200
ลาดับ รายการ จานวน
1 Reciever/Transmitter RT-2001 1
2 Antenna Coupler, CP-2003 1
3 Handset, H-250/U 1
4 Antenna Whip Kit, AT-1741H
The Kit includs:
Base, Antenna, AB-591 1
Antenna, Collapsible, AT-271A 1
Belt, Safety 1
Adapter, Antenna, AB-10H 1
5 Carrying Harness, ST-2243 1
6 Battery, Rechargeable,NiCd, TNC-2188 1
.....................................
คุณลักษณะทางเทคนิค
แบบสายอากาศ Doublet ครึ่งคลื่น
ยํานความถี่ 1.5 - 20 MHz.
ใช๎กับเครื่องสํงที่มกี าลังออกอากาศ 100 วัตต์ (สูงสุด)
ส่วนประกอบชุด
สายเคเบิ้ล CG-678/U ยาว 35 ฟุต 1 สาย
INSULATOR IL 4/GRA-4 ยาว 3 นิ้วครึ่ง 1 อัน
ล๎อม๎วนสาย RC-432/G ยาว 12 นิ้ว 2 ล๎อ
WIRE ASSOMBLY ANTENNA CX-7303/G ยาว 160 ฟุต 2 สาย
ถุงผ๎าใบ BG-175 1 ถุง
เชือก MX-2706/G 2 ม๎วน
เทปวัดระยะ ยาว 156 ฟุต 1 ตลับ
หนังสือคูํมือ TM 11-5820-467-15 2 เลํม
ทาเลการติดตั้ง
เนื่องจากในพื้นที่ที่เป็นปุาทึบ สายอากาศแบบตั้งจะมีผลตํอต๎นไม๎ ใบไม๎ เนื่องจากเกิดการดูดกลืนการ
แพรํกระจายคลื่นไปหมดดังนั้นสายอากาศ Doublet จะมีประสิทธิภาพดีกวําสายอากาศแบบตั้งมาก ฉะนั้นควร
เลือกตั้งสายอากาศในพื้นที่ที่ไมํมีต๎นไม๎ปกคลุม
การติดตั้ง
กาหนดความยาวของสายอากาศ โดยใช๎เทปวัดระยะกาหนดความยาวที่แนํนอนของสายอากาศ เพื่อให๎
ตรงกับความถี่ที่ใช๎งาน
ตารางข๎างลํางนี้เป็นตารางบอกความยาวของสายอากาศแตํละข๎าง (รวมล๎อม๎วนสาย) โดยเริ่มตัง้ แตํ 1.5 -
20 MHz.
......................................
กล่าวทั่วไป
AN/GRA-6 เป็นเครื่องควบคุมระยะไกลสาหรับตํอเข๎ากับวิทยุ ที่มหี มุดตํอ AUDIO 10 หมุด ขนาดเล็ก
น้าหนักเขา สามารถควบคุมชุดวิทยุ AM ให๎ทางานในระยะไกลได๎เครื่องนีป้ ระกอบด๎วย C-434 สาหรับตํอเข๎า
กับเครื่องวิทยุ และ C-433 สาหรับตํออยูทํ างด๎านไกล
คุณลักษณะทางเทคนิค
ยํานความถี่ เสียง (300 - 3500 Hz.)
ระยะสื่อสารเพื่อใช๎ในการวางแผน 3.2 ก.ม. (2 ไมล์) โดยใช๎สาย WD-1/TT
กาลังไฟ C-434 ใช๎ BA-30 จานวน 2 ก๎อน
C-433 ใช๎ BA-414 จานวน 1 ก๎อน
BA-30 จานวน 2 ก๎อน
น้าหนัก C-434 หนัก 10.50 ปอนด์
C-433 หนัก 7 ปอนด์
ลักษณะพิเศษ
1. ให๎บริการด๎วยเครื่องโทรศัพท์ระหวํางที่ตงั้ ทั้งสอง
2. มีสัญญาณเรียก 20 Hz. ระหวํางเครื่องทั้งสอง
3. สามารถรับและสํงขําวด๎วยเครื่องวิทยุจากด๎านใดด๎านหนึ่ง
รูปที่ 8-1
8.2.2 ความรับผิดชอบ
ผู๎บังคับบัญชารับผิดชอบดูแลให๎มั่นใจวําเจ๎าหน๎าที่ซึ่งอยูํภายใต๎การบังคับบัญชาปฏิบัติตามระเบียบและ
คาแนะนาเกี่ยวกับการปรนนิบัติบารุงและดูแลให๎เจ๎าหน๎าที่ได๎กรอกข๎อความที่ต๎องการลงในบันทึกการซํอมบารุง
ตามที่มีอยูํในคูํมือทางเทคนิค
8.2.3 การปฏิบัติการปรนนิบัตบิ ารุง
ก.การปฏิบัติประจาวัน การปรนนิบัติบารุงนั้นพนักงานวิทยุเป็นผู๎กระทาตํอเครือ่ งวิทยุทกุ วันที่มกี าร
ใช๎เครื่อง เครื่องวิทยุจะได๎รับการตรวจและปรนนิบัติบารุงให๎เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติที่ได๎กาหนดไว๎ในคูํมือทาง
เทคนิคประจาเครื่องที่ใช๎นั้น ข๎อบกพรํองตํางๆ ซึ่งพนักงานมิได๎แก๎ไขหรือที่ได๎แก๎ไขโดยการสับเปลี่ยนชิ้นสํวนนั้น
จะมีการบันทึกไว๎ในแบบเอกสารการซํอมบารุงอันเหมาะสม
ข.การปฏิบัติตามระยะเวลา การตรวจสอบและการปรนนิบัติบารุงเหลํานี้ได๎อธิบายไว๎ในคูํมือทาง
เทคนิคประจาเครื่องซึ่งเจ๎าหน๎าที่ซํอมบารุงประจาหนํวยเป็นผู๎กระทา ในขณะที่ทาการปรนนิบัติ เจ๎าหน๎าที่ซํอม
บารุงระดับหนํวยจะมีพนักงานวิทยุเป็นผู๎ชํวยทาการตรวจและปรนนิบัติบารุงตํอเครื่องอยํางเป็นระเบียบ บรรดา
ข๎อบกพรํองทั้งหมดตลอดจนข๎อแก๎ไขจะถูกบันทึกไว๎ในแบบเอกสารการซํอมบารุงอัน
เหมาะสม ถ๎าหากการซํอมบารุงนั้นจะต๎องกระทาในระดับสูงขึ้น ก็จะต๎องเตรียมแบบเอกสารการซํอมบารุงและ
สํงไปพร๎อมกับเครื่องถึงหนํวยที่ทาการซํอมบารุงสนับสนุน
8.2.4 อันตรายจากการถูกกระแสไฟฟูาและข๎อควรระวังเพื่อความปลอดภัย
ก.กลําวทั่ วไป ศัก ย์ไฟฟู าแรงสูง นั้ นอาจจะมี อยูํในเครื่องวิท ยุ เพราะฉะนั้น พนัก งานวิท ยุและ
เจ๎าหน๎าที่ซํอมบารุงจึงควรจะทาความรู๎จกั และคุ๎นเคยกับคูํมือประจาเครื่องกํอนที่จะใช๎เครื่องคาเตือน “ถูกถึงตาย”
ถ๎าพนักงานซํอมบารุงและพนักงานผู๎ใช๎เครื่องไมํปฏิบัติตามข๎อควรระวังเพื่อความปลอดภัย
ข.ข๎อควรระวัง เมื่อเครื่องวิทยุใช๎ศักย์ไฟฟูาแรงสูง พนักงานวิทยุควรปฏิบัติตามข๎อควรระวังในการ
ปรนนิบัติบารุงและการใช๎งานดังตํอไปนี้
(1)ระวังอยําสัมผัสขั้วตํอศักย์ไฟฟูาแรงสูงหรือขั้วตํอกาลังไฟฟูา
(2)อยําแตะต๎องสายสํงและสายอากาศซึ่งมีศักย์ไฟฟูาความถี่วิทยุ
8.3 การบารุงรักษาของพนักงานวิทยุ
8.3.1 การฝึกซํอมบารุง
การซํอมบารุงเครื่องวิทยุและเครื่องประกอบนั้นมีความสาคัญที่จะต๎องทาการฝึกพนักงานวิทยุทุกคนใน
เรื่องระเบียบการซํอมบารุงบางประการและในเรื่องการรายการข๎อบกพรํองซึ่งตนไมํได๎รับอนุมัติให๎ทาการแก๎ไข
การฝึก เชํนนี้จ ะต๎อ งกระท าพร๎อมๆ กันกั บการฝึกระเบียบปฏิบัติก ารใช๎เ ครื่องและจะต๎องฝึกให๎ละเอียดละออ
ระเบียบปฏิบัติการซํอมบารุงที่อนุมัติให๎พนักงานกระทาได๎ก็ควรจะสอนควบคูํไปกับระเบียบการใช๎เครื่อง
8.3.2 ขั้นตอนการบารุงรักษาของพนักงานวิทยุ
ขั้นตอนการบารุงรักษาของพนักงานนั้นอาจจะแบํงได๎ดังนี้
ก.การบารุงรักษากํอนใช๎งาน (ตรวจสภาพทางวัตถุ)
ข.การบารุงรักษาระหวํางการใช๎งาน (ตรวจดูและตรวจสอบสมรรถนะเพื่อให๎มั่นใจวําเครื่องนั้นพร๎อมที่จะ
ใช๎งานได๎เมื่อต๎องการ)
8.3.3 การบารุงรักษากํอนการใช๎งาน
กํอนใช๎เครื่องวิทยุใดๆ ปฏิบัติงาน พนักงานวิทยุควรจะต๎อง
ก.ตรวจสายเคเบิ้ลและข๎อตํอตํางๆ
(1)ให๎แนํใจวําข๎อตํอตํางๆ อยูํในสภาพที่ดี ตํอเข๎าที่ถูกต๎องแตํนอน
(2)ให๎แนํใจวําสายเคเบิ้ลตํางๆ อยูํในสภาพที่ดี สะอาด แห๎ง และวางไว๎ในที่ซึ่งไมํเป็นอันตราย
ในระหวํางปฏิบัติงานตามปกติ
(3)เช็คไขมัน น้ามัน ความชื้นและสิ่งสกปรกอื่นๆ ออกจากเคเบิ้ลและข๎อตํอให๎หมด
(4)ให๎แนํใจวําเคเบิ้ลไมํถูกดึงจนเกินไปไมํมีการขดเป็นเกลียวหรือขอด (โดยเฉพาะอยํางยิ่งใกล๎
กับข๎อตํอ) ไมํมีการดึงตรงขอบหรือมุมหีบเครื่องมือ ไมํมีของหนักกดทับหรือพิงทับ ไมํอยูํใกล๎กับความร๎อนที่มาก
เกินไปหรือถูกแสงแดดโดยตรง
ข.ตรวจสํวนควบคุม ไกไฟฟูา และปุุมตํางๆ
(1)ให๎แนํใจวําไกไฟฟูาและสํวนควบคุมตํางๆ เคลื่อนที่ตามลักษณะที่ต๎องการโดยไมํต๎องออก
แรงมาก
(2)ให๎แนํใจปุุมตํางๆ ติดแนํนอยูํกับก๎านของไกไฟฟูาและสํวนควบคุม
(3)ให๎แนํใจวําปุุมดรรชนี (INDEXED KNOBS) หมุนไปบนแกนและแสดงการตั้งที่ถูกต๎องของ
แตํละตาแหนํง
8.4 การซํอมบารุงระดับหนํวย
8.4.1 กลําวทั่วไป
การซํอมบารุงระดับหนํวยนั้น จะต๎องดาเนินการโดยเจ๎าหน๎าที่ผู๎ซึ่งได๎รับการฝึกให๎มีความชานาญใน
เรื่องที่ต๎องการ และแสดงให๎เห็นวํามีความสามารถอยํางเพียงพอในเรื่องเหลํานี้ หลังจากได๎รับการฝึกมาแล๎ว ทั้ง
ได๎รับอนุมัติโดยถูกต๎องให๎ดาเนินการซํอมบารุงระดับหนํวย ควรจะสังเกตไว๎วําการบารุงรักษาของพนักงานและการ
ซํอมบารุงระดับหนํวยนั้นเป็นแตํเพียงการแสดงศัพท์เทํานั้นมิได๎หมายความวําพนักงานผู๎ได๎รับการฝึกและมีความ
ชานาญงานนี้จะไมํได๎รับอนุมัติให๎ทาหน๎าที่การซํอมบารุงระดับหนํวยในบางเรื่องเสียทีเดียว โดยทั่วไปแล๎วศัพท์ทั้ง
สองคานี้เป็นเพียงเครือ่ งชี้บอกที่ยอมรับกันวําเป็นระดับขีดความสามารถที่แสดงวุฒิที่ต๎องการของเจ๎าหน๎าที่ที่จะให๎
ทาหน๎าที่นั้นๆ เทํานั้น ขอบเขตอันแท๎จริงของการซํอมบารุงระดับหนํวยตํอเครื่องวิทยุใดๆ อาจพิจารณากาหนดได๎
จากหนังสือคูํมือประจาเครื่องนั้นๆ
8.4.4 เครื่องมือตรวจวัดทางอิเล็กทรอนิกส์
เจ๎าหน๎าที่ซํอมบารุงระดับหนํวยมักจะถูกใช๎ให๎ตั้งเครื่องใหมํๆ เพื่อใช๎งาน ทาการปรนนิบัติบารุงตามปกติ
หรือทาการซํอมเครื่องมือที่ซับซ๎อน โดยมากแล๎วงานนั้นไมํอาจจะกระทาได๎ถ๎าไมํใช๎เครื่องมือตรวจวัด โดยทั่วไป
แล๎วงานนั้นอาจจะกระทาได๎รวดเร็ว แนํนอนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถ๎าใช๎เครื่องมือตรวจวัดที่เหมาะสมแล๎ว
เครื่องมือตรวจวัดธรรมดาสามัญได๎แกํมาตรวัดรวม (MULTIMETERS) เครื่องกาเนิดสัญญาณ เครื่องตรวจวัดหลอด
มาตรวัดความถี่และเครื่องแกวํง
ก.มาตรวัดรวม (MULTIMETERS) มาตรวัดรวมดูเหมือนจะเป็นเครื่องตรวจวัดชิ้นเดียวที่สะดวก
ที่สุดที่เจ๎าหน๎าที่ซํอมบารุงมีอยูํ เนื่องจากอาจจะใช๎ทาการตรวจศักย์ไฟฟูา ความต๎านทาน และตามปกติวัดกระแส
ด๎วยมาตรขนาดใหญํๆ ซึ่งตามปกติใช๎ในโรงซํอมขั้นสูงๆ นั้นมักจะมีความแนํนอนมากและเสียหายงําย สํวนมาตร
ขนาดเล็กๆ ไมํสู๎จะแนํนอนเหมือนเครื่องขนาดใหญํ แตํมีความแข็งแรงเหมาะที่จะใช๎งานในสนาม
ข.เครื่องกาเนิดสัญญาณ (SIGNAL GENERATORS) เครื่องกาเนิดสัญญาณเป็นเครื่องตรวจวัดที่ให๎
กาเนิดสัญญาณกระแสที่สามารถปรับตั้งคลื่นเครื่องความถี่ได๎เป็นสํวนใหญํ สัญญาณที่กาเนิดขึ้นนี้อาจจะเป็นการ
ปรุงคลื่นหรือไมํปรุงคลื่นก็ได๎ และอาจให๎เพื่อปรับแตํง (ALIGNMENT) วงจรที่ปรับแตํงได๎ การค๎นหาข๎อขัดข๎องของ
เครื่องพลวัต (การตรวจค๎นสัญญาณ) วงจรที่ปรับแตํงได๎ การวัดความไว การวัดความเข๎มของสนามและการวัดผล
เพิ่มของภาพวงจร และการทดแทนด๎วยสัญญาณ
ค.เครื่องตรวจวัดหลอด (TUBE TESTERS) เพื่อให๎เ หมาะที่จะใช๎ในสนามเครื่องตรวจวัดหลอด
จะต๎องให๎การประเมินคําคุณภาพของหลอดได๎งํายและรวดเร็วเครื่องตรวจวัดหลอดทาหน๎าที่อยํางน้าได๎โดยการ
เปรียบเทียบสภาพของหลอดจะตรวจวัดกับมาตรฐานที่กาหนดไว๎ลํวงหน๎า
ง.มาตรวัดความถี่ (FREQUENCY METER) โดยหลักแล๎ว มาตรวัดความวัดความถี่ก็เป็นวงจรที่
ปรับตั้งคลื่นได๎ มาหน๎าปัทม์ซึ่งได๎ปรับเทียบโดยตรงเป็นกิโลไซเกิ้ล หรือรับวิทยุมาตรวัดความถี่ บางแบบอาจจะใช๎
แทนเครื่องกาเนิดสัญญาณในการตรวจด๎วยสัญญาณหรือวิธีการค๎นหาข๎อขัดข๎องอื่นๆ ได๎
จ.เครื่องดูการแกวํง ไฟฟู า (OSCILLOSCOPERS) เป็นเครื่องมื ออิเล็ก ทรอนิกส์ที่แสดงภาพของ
ศักย์ไฟฟูาศักย์หนึ่งที่เกี่ยวกับศักย์ไฟฟูาอีกศักย์หนึ่งบนจอของหลอดรังสีขั้วไฟฟูาลบ (CATHODE-RAY TUBE)
ลักษณะที่สาคัญของเครื่องดูการแกวํงไฟฟูาคือ ลาอิเล็กตรอนไมํมีความเฉื่อย หลอดรังสีขั้วไฟฟูาลบจึงสามารถ
ตอบสนองตํอความถี่สูงๆ มากได๎ดีกวําเครื่องชี้บอกทางไฟฟูาอื่นๆ
8.4.5 ระเบียบปฏิบัติในการค๎นหาข๎อขัดข๎อง
---------------------------------------
บทที่ 9
ปัจจัยควบคุมความเชื่อถือได้ของการสื่อสารประเภทวิทยุ
9.1 การเลือกทีต่ ั้ง
9.1.1 ความต๎องการทางเทคนิค
9.2 ปัจจัยที่เชื่อถือได้ทางด้านเครื่องส่ง
9.2.1 ความถี่
การสื่อสารทางวิทยุสนามสํวนมากใช๎คลื่นพื้นดิน รัศมีการทางานของคลื่นพื้นดินจะสั้นเข๎าเมื่อมีความถี่ที่
ใช๎งานของเครื่องสํงเพิ่มขึ้น ตั้งแตํแถบคลื่นความถี่ปานกลาง(MF) สํวนที่ใช๎การได๎(300–3000KHz) จนถึงแถบ
คลื่นความถีสูง(HF)(3-30 MHz) เมื่อเครื่องสํงปฏิบัติงานเหนือความถี่ 30 MHz ระยะทางจะจากัดลง โดยทั่วไป
แล๎วเกินกวําเส๎นสายตาเล็กน๎อย สาหรับวงจรที่ใช๎การแพรํกระจายคลื่นฟูา ความถี่โดยเฉพาะที่จะต๎องเลือกนั้น
ยํอมขึ้นอยูํกับลมฟูาอากาศ ฤดูกาลและห๎วงเวลาของวัน
9.2.2 กาลัง
9.2.3 สายอากาศ
เพื่อให๎การสํงพลังงานได๎สูงสุด สายอากาศที่ใช๎แผํคลื่นจะต๎องมีความยาวที่เหมาะกับความถี่ที่ใช๎งาน ภูมิ
ประเทศในท๎องถิ่นนั้นมีสํวนในการกาหนดแบบในการแผํคลื่นอยูํด๎วย ซึ่งมีผลตํอทิศทางของสายอากาศตลอดจน
รัศมีการทางานของเครื่องในทิศทางที่ต๎องการ ถ๎าหากเป็นไปได๎ก็ควรจะทดลองเปลี่ยนทําทางสายอากาศไปหลาย
อยํางเพื่อให๎ได๎ทําทางที่ปฏิบัติที่ดีที่สุด ให๎พลังมากที่สุดแผํไปในทิศทางที่ต๎องการ
9.2.4 ขีดความสามารถของพนักงาน
ความชานาญและขีดความสามารถทางเทคนิคของพนักงานประจาเครื่องสํงและเครื่องรับ มีบ ทบาท
สาคัญที่จะทาให๎ได๎รัศมีการทางานของเครื่องสูงสุดที่จะเป็นไปได๎ โดยทั่วไปแล๎วเครื่องสํงก็ดี การประกับกาลัง
ออกอากาศ(OUT PUT COUPLING) ก็คือและวงจรปูอนกาลังไปสายอากาศจะต๎องปรับตั้ง (TUNE) ให๎ถูกต๎อง
เพื่อที่จะได๎กาลังออกอากาศที่สูงสุดนอกจากนั้นทั้งสายอากาศสํงและสายอากาศรับ
จะต๎องสร๎างให๎เหมาะ โดยคานึงถึงลักษณะสมบัติทางไฟฟูาและสภาพภูมิประเทศในท๎องถิ่น
9.4 ปัจจัยทางความเชื่อถือได้ที่เครื่องรับ
9.4.1 ความไวและความเลือกเฟูนของเครื่องรับ
ความไวเป็นเครื่องแสดงการสนองตอบของวงจรวิทยุที่มีตํอสัญญาณ ณ ความถี่ซึ่งถูกปรับตั้งไว๎วํามีมาก
น๎อยเพียงไร ความเลือกเฟูนเป็นเครื่องแสดงวําเครื่องรับสามารถแยกสัญญาณที่ต๎องการออกจากสัญญาณของ
ความถี่อื่นๆ ได๎มากน๎อยเพียงใด ถ๎าหากวําต๎องการความไวและความเลือกเฟูนสูงสุดแล๎วจะต๎องปรับแตํงเครื่องรับ
ให๎เหมาะและใช๎งานอยํางมีประสิทธิภาพ ระดับการรบกวนที่มีอยูํในวงจรเป็นปัจจัยที่จากัดความไวของเครื่องรับ
9.4.2 สายอากาศรับ
ในการสื่อสารด๎วยวิทยุสนาม แบบของการสร๎าง,ที่ตั้งและลักษณะทางไฟฟูาไมํมีปัญหาตํอการปฏิบัติงาน
ของสายอากาศรับเหมือนอยํางเชํนสายอากาศสํง สายอากาศรับนั้นจะต๎องมีความยาวเพียงพอและจะต๎องประกบ
(COUPLING) เข๎ากับวงจรทางเข๎า(INPUT) ของเครื่องรับและในบางกรณีก็ต๎องให๎มีขั้วเหมือนกับสายอากาศสํง
9.4.3 การรบกวนจากแหลํงธรรมชาติ
ก.การรบกวนวิทยุจากแหลํงธรรมชาติ อาจแบํงได๎เป็น 4 ประเภท คือ
1) การรบกวนของบรรยากาศจากพายุไฟฟูา(IONO)
2) การรบกวนของรังสีดวงอาทิตย์และคอสมิค อันเนื่องจากการระเบิดในดวงอาทิตย์และ
ดวงดาวอื่นๆ
3) การเกิดไฟฟูาสถิตย์จากอนุภาคที่มีประจุไฟฟูาในบรรยากาศ อนุภาคเหลํานี้อาจจะเป็น
ฝน,ลูกเห็บ,หิมะ,ทราย,ควันหรือฝุุนละออง อนุภาคที่แห๎งทาให๎เกิดประจุไฟฟูาได๎มากกวําอนุภาคที่เปียกชื้น
4)การจางหายเนื่องจากการรบกวนในมัชฌิม ซึ่งคลื่นวิทยุได๎แพรํกระจายผํานไป
ข.การรบกวนดังกลําวไว๎ข๎างต๎นนั้น จะปรากฎอยูํ ในเครื่องอิเล็กทรอนิกส์เป็นเสียงรบกวน เสียง
รบกวนนี้แสดงออกมาเป็นเสียงในหูฟั ง หรือลาโพง และแสดงออกเป็นสิ่งผิดปกติในด๎านทางออกของเครื่อง
ปลายทางอื่นๆ มีการรบกวนแทบทุกความถี่ แตํอาจจะลดน๎อยลงได๎มากเมื่อคําของความถี่สูงขึ้น การรับความถี่สูง
มากกระทบกระเทือนจากการรบกวนเหลํานี้แตํน๎อย
9.4.4 การรบกวนจากสิ่งที่มนุษย์ทาขั้น
ก.การรบกวนจากสิ่งที่มนุษย์ทาขึ้นนั้น เกิดจากเครื่องไฟฟูา เชํน ระบบจุดเทียนของเครื่องยนต์
แปรงถํานในเครื่องยนต์ไฟฟูาและเครื่องกาเนิดไฟฟูา ซึ่งเกิดประกายขึ้นและเครื่องจักรอื่นๆ ถ๎าหากวําไมํมีการ
ควบคุมการรบกวนนี้แล๎ว มันกลบการสํงสัญญาณไปเสียหมด
ค.การรบกวนซึ่งเกิดจากแหลํงที่อยูํไกลและที่อยูํในบริเวณนั้นหลายแหลํง ความสัมพันธ์เกี่ยวกับ
ความถี่วิทยุ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ การปรับเครื่องผิดพลาด เทคนิคในการปฏิบัติงานไมํเหมาะสมและสภาพลมฟูา
อากาศ เหลํานี้เป็นปัจจัยสาคัญที่กํอให๎เกิดการรบกวนกัน เครื่องมือและระบบซึ่งเป็นเครื่องกาเนิดที่สาคัญในการ
รบกวนกันเองได๎แกํ เรดาห์วิทยุ วิทยุชํวยเดินเรือ(หรือเดินอากาศ) และโทรศัพท์
9.4.6 ขีดความสามารถของพนักงานเครื่องรับ
เครื่องรับในการสื่อสารสํวนมากที่ปุมบังคับที่ปรับได๎ ซึ่งออกแบบสร๎างขึ้นเพื่อผลเสียของการจางหาย
เสียงรบกวน และการรบกวน ความชานาญในการใช๎เครื่องบังคับเหลํานี้ เชํน เครื่องจากัดเสียงรบกวนและเครื่ อง
กรองคลื่นแบบตํางๆ มักจะอ านวยให๎การรับขําวกระทาได๎ดี มิฉะนั้นแล๎วไมํอาจทาการรับขําวได๎ในเมื่อมีเสียง
รบกวนและการรบกวนมาก ถ๎าหากการปรับเครื่องบังคับเหลํานี้ไมํถูกต๎องเนื่องจากความรู๎เทําไมํถึงการณ์ หรือ
ขาดความระมัดระวังก็อาจทาให๎การปฏิบัติงานไมํได๎ผล เพราะฉะนั้นความช่าชองและความชานาญงานทางเทคนิค
ของพนักงานเครื่องรับจึงมีสํวนสาคัญในการรับสัญญาณวิทยุด๎วย
บทที่ 10
ระเบียบปฏิบัติงานทางวิทยุ
( RADIO PROCDURE )
10.1 กล่าวนา
10.1.1 กลําวทั่วไป
คาย่อตามระเบียบการ ความหมาย
AA ทั้งหมดหลังคาวํา……….
AA สถานีที่ไมํรจู๎ ัก
AB ทั้งหมดกํอนคาวํา
AR เลิก
AS คอยกํอน
B ยังมีขําวจะสํงอีก
BT แยกภาค
C ผิด - ขอแก๎
คาย่อตามระเบียบการ ความหมาย
CFN การยืนยัน "ข๎อความตํอไปนี้ยืนยันสํวนหนึ่งของ
ข๎อความของขําว"
DE จาก
EEEEEEEE ยกเลิกขําวนี้
F ไมํต๎องตอบ
FM จาก
G จงอํานทวน
GR(numeral) หมูํคา
GRNC หมูํคาไมํนับ
HM (3 ครั้ง) สัญญาณห๎ามใช๎ฉุกเฉิน
II เครื่องหมายแยกภาค
IMI จงสงซ้า
INFO ผู๎รบั ทราบ
INT คาถาม
IX เตรียมปฏิบัติ
ก. คายํอตามระเบียบการวิทยุโทรเลข
ข. คายํอตามระเบียบการวิทยุโทรพิมพ์
ค. ในเมื่อไมํมีสัญญาณ IX (ขีดยาว 5 วินาที) ในวงจรวิทยุโทรพิมพ์ ให๎ตีพิมพ์ EXECUTE เป็น
สัญญาณให๎ปฏิบัติแทน
10.3.4 สัญญาณปฏิบัติการ
สัญ ญาณปฏิบัติก ารซึ่ง ประกอบไปด๎วยสัญญาณ 3 ตัว อัก ษรที่ ขึ้นต๎นด๎วยอัก ษร Q หรืออัก ษร Z
พนักงานวิทยุโทรเลขเป็นผู๎ใช๎ (รวมทั้งพนักงานวิทยุโทรพิมพ์ด๎วย) เพื่อให๎การสื่อสารเร็วขึ้น สัญญาณ Q หรือ
สัญญาณ Z แตํละอยํางจะสํงความหมายของคาตําง ๆ จานวนหนึ่งและแล๎วก็จะเป็นข๎อความที่สมบูรณ์ ดัง
ตัวอยําง เชํน ZFG หมายถึง "ขําวนี้เป็นคูํฉบับที่แท๎จริงของขําวที่ได๎สํงไปแล๎ว"
ก. บสพ. 131 กลําวถึงความหมายของสัญญาณ Q และสัญญาณ Z ตลอดจนคาแนะนาใน
การใช๎ด๎วย ถ๎าไมํอาจจะแจกจําย บสพ.31 ให๎แกํพนักงานทุกคนได๎ก็จะต๎องทาสัญ ญาณ Q และสัญญาณ Z
เฉพาะรายการที่ใช๎เสมอให๎แกํพนักงานแตํละคนไมํจาเป็นที่พนักงานจะต๎องจดจาสัญญาณปฏิบตั ิงานเหลํานี้ทั้งหมด
ข. สัญญาณปฏิบัติการให๎ถือวําเป็นข๎อความธรรมดา ซึ่งจะต๎องเข๎าอักษรลับเมื่อใช๎เป็นสํวนหนึ่ง
ของขําวอักษรลับ สัญญาณปฏิบัติการใช๎เป็นเครือ่ งชํวยในการรักษาความปลอดภัยในการสื่อสาร เพราะวําเป็นคา
ยํอแตํมีความหมายเป็นที่รู๎จักกันทั่วไปหลายชาติ
ง. ตัวเลข ออกเสียงตามที่ปรากฏตามตารางตํอไปนี้
การออกเสียงตัวเลขตามเสียงของภาษา
ตัวเลข การออกเสียง ตัวเลข การออกเสียง
1 หนึ่ง 6 หก
2 โท 7 เจ็ด
3 สาหาม 8 แปด
4 สี่ 9 เก๎า
5 ห๎า 0 ศูนย์
จ. จานวนเลขออกเสียงเป็นตัว ๆ ไป แตํคาวํา “ร๎อย” หรือ “พัน” ให๎ใช๎ในเมื่อเลขจานวนนั้น
ลงด๎วยร๎อยและพัน
ตัวอยํางเชํน 84 ออกเสียงเป็น “แปด สี่” 2500 เป็น “สอง ห๎าร๎อย” และ 16,000 เป็น “หนึ่ง หก พัน”
ฉ. กลุํมวันเวลาให๎ออกเสียงเป็นตัว ๆ ไป ตามด๎วยเครื่องหมายแสดงเขตเวลา ตัวอยําง เชํน
291205Z ออกเสียงเป็น “ โท เก๎า หนึ่ง โท ศูนย์ ห๎า ซูลู”
ช. พิกัดแผนที่และตัวเลขตํอท๎ายสัญญาณเรียกขานให๎ออกเสียงเป็นตัวไป
คาพูดตามระเบียบการ ความหมาย
ทั้งหมดหลังคาวํา (All After) ขําวตอนนี้ข๎าพเจ๎าอ๎างถึงคือ ข๎อความทั้งหมดที่
ตามหลังคาวํา …………
ทั้งหมดกํอนคาวํา (All Before) ขําวตอนที่ข๎าพเจ๎าอ๎างถึงนี้ คือข๎อความทั้งหมดที่
กํอนคาวํา…………..
แยกภาค (Break) บัดนี้ข๎าพเจ๎าจะแยกข๎อความออกจากภาคอื่น ๆ ของขําว
หรือข๎าพเจ๎าได๎จ บข๎อความของขําวแล๎วและตํอไปนี้เ ป็ น
ลายเซ็น ฯลฯ (เมื่ ออนุญ าติให๎ชะงัก ขําวได๎ พนัก งานรับ
อาจจะขัด จั ง หวะพนัก งานสํ ง เพื่ อขอให๎ ท าการสํ ง ขํ า ว
บางสํวนซ้าอีก โดยใช๎คาพูดตามระเบียบการนี้เป็นสัญญาณ
ขัดจังหวะ)
ผิด – ขอแก๎ (Correction) สํงผิดตํอไปนี้จะสํงคาที่ถูกต๎องตัวสุดท๎าย สํงผิด (หรือแสดง
ขําวที่ผิด) ข๎อความที่ถูกต๎อง คือ …… ข๎อความตํอไปนี้คือ
ข๎อความที่ถูกต๎องตามที่ทํานสอบถามมา
คาพูดตามระเบียบการ ความหมาย
จะอํานทวน (I read back) ตํอไปนี้เป็นการอํานทวนขําวตามที่ทํานขอมา
จะสํงซ้า ( I say back) ข๎าพเจ๎ากาลังสํงขําวซ้า หรือเฉพาะตอนที่ทํานบํงมา
สะกดตัว (I spell) ข๎าพเจ๎าจะสะกดตัวของคาตํอไปนี้ด๎วยชื่อเรียกตัวอักษร
ขอยืนยัน (I verify) ข๎อความตํอไปนี้เป็นรายการยืนยันตามคาขอของทํานซึ่งจะ
สํงให๎ใช๎เฉพาะเมื่อตอบคา “จงยืนยัน” เทํานั้น
รับขําว ( Message follows) ตํอไปนี้มี ขําวที่จ ะต๎องจดบันทึก ไว๎ให๎สํงคาตํอไปนี้ไปทันที
ภายหลังการเรียกขานกันได๎แล๎ว
ขําวที่ (Number) ลาดับที่ขําวของสถานี
เลิก (Out) จบการสํงขําวของข๎าพเจ๎าที่มีถึงทํานและไมํต๎องการคาตอบ
เปลี่ยน (Over) จบการสํง ขําวของข๎าพเจ๎าที่มี ถึง ทํานและต๎องการให๎ทําน
โต๎ตอบ ขอให๎สํงตํอไปได๎
ดํวน ( Friority) คือลาดับความเรํงดํวน “ดํวน”
จงอํานทวน (Read back) จงทวนขําวฉบับนี้ทั้งหมดที่ข๎าพเจ๎าสํงมาและตามที่ทํานรับ
ได๎จริง
สํงตํอ (Relay to) จงสํงขําวฉบับนี้ไปยังผู๎รับทั้งหมดหรือไปยังผู๎ที่มีชื่อจําหน๎า
ทั้งหมด ดังตํอไปนี้
ทราบ (Roger) ข๎าพเจ๎าได๎รับการสํงครั้งหลังของทํานเป็นที่พอใจแล๎ว
ปกติ (Routine) คือลาดับความเรํงดํวน "ปกติ"
จงสํงซ้า (Say again) จงทวนการสํงครั้งหลังของทํานทั้งหมด ถ๎าตามด๎วยข๎อมูล
แสดงลักษณะที่บํงก็หมายความวํา "ให๎ทวน …… (คือสํวนที่
บํงไว๎)"
รับสัญญาณ (Signals follow) หมูํ ค าตอบหลั ง ค านี้ ม าจากสมุ ด สั ญ ญาณ (ค าพู ด ตาม
ระเบียบการนี้ไมํจาเป็นต๎องใช๎ในขํายนี้ใช๎รับ-สํงสัญญาณกัน
เป็น สํว นใหญํ แตํมุํ ง หมายให๎ ใช๎เ พื่อ จะสํง สั ญ ญาณการ
ยุทธวิธีผํานขํายที่มิใช๎ทางยุทธวิธี)
ห๎ามใช๎ (Silence) ยุติการสํงทันที การห๎ามใช๎นี้คงจะอยูํจนกวําจะสั่งให๎ใช๎ได๎
อยํางเดิม (เมื่อมีระบบการรับรองฝุายใช๎บังคับอยูํ การสํง
คาพูดตามระเบียบการ ความหมาย
จาก (This is) การสํงนี้กระทาจากสถานีที่มีนามตํอท๎ายนี้
เวลา (Time) ตํอท๎ายคานี้คือเวลาหรือหมูํวันเวลาของขําวนั้น
ถึง (To) ผู๎รับที่มีชื่อตํอท๎ายคานี้เป็นผู๎รับปฏิบัติตามขําวนั้น
สถานที่ไมํรู๎จัก(Unknow Station) ข๎าพเจ๎าไมํทราบลักษณะเฉพาะของสถานที่
10.5.3 เครื่องหมายวรรคตอน
ก. ไมํต๎อ งใช๎เ ครื่อ งหมายวรรคตอน เว๎นแตํจะมี ความจาเป็นตํอใจความของขําว เมื่อมี คาม
จาเป็นจะต๎องใช๎เครื่องหมายวรรคแทน ก็อนุมัติให๎คายํอและสัญลักษณ์ ดังตํอไปนี้
10.6 นามเรียกขานทางยุทธวิธี
10.6.1 ความมุํงหมายของการเรียกขาน
นามเรียกขานนั้นใช๎เพื่อการจัดตั้งและดารงไว๎ซึ่งการสื่อสารเป็นประการสาคัญ นามเรียกขานประกอบขึ้น
ด๎วยการผสมตัวอักษร หรือถ๎อยคาซึ่งอํานออกเสียงได๎ในลักษณะใดก็ตามซึ่งแสดงให๎ทราบถึงเครื่องมือสือ่ สารอยําง
ใดอยํางหนึ่ง หนํวยบัญชาการ ผู๎มีอานาจที่หนํวยราชการทหาร การเปลี่ยนนามเรียกขานเป็นครั้งคราวยํอมจะ
กํอให๎เกิดความปลอดภัย ในการสื่อสารได๎ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยูํกับปริมาณการในการใช๎คุณภาพ ในการ
วิเคราะห์ขําวของฝุายข๎าศึก นามเรียกขานเป็นคาพูดซึ่งประกอบด๎วยคาซึ่งอํานออกเสียงได๎ เชํน ภูเรือ หรือ
เสือดา นั้นอนุมัติให๎พนักงานวิทยุโทรศัพท์ใช๎ได๎
10.6.2 การใช๎นามเรียกขาน
มีอยูํเสมอที่กองบัญชาได๎รับนามเรียกขานเพียงนามเดียวสาหรับใช๎ในขํายตําง ๆ ซึ่ง กองบัญชาการนั้น
จะต๎องปฏิบัตินามเรียกขานเพียงนามเดียว จะต๎องใช๎ปฏิบัติทั้งในขํายวิทยุโทรศัพท์ นามเรียกขานที่กาหนดให๎
เชํน สิงห์ดง ก็ใช๎ได๎กับวิทยุโทรศัพท์ ในบางสถานการณ์ที่ต๎องการใช๎มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นก็มีความต๎องการ
มากยิ่งขึ้น ในการใช๎นามเรียกขานที่แตกตํางออกไปแตํละขํายซึ่งสถานีนั้น ๆ ปฏิบัติงาน
10.6.3 นามเรียกขานของขํายและการเรียกรวม
10.7 การรับรองฝ่าย
การรับรองผํายเป็นมาตรการของการรักษาความปลอดภัยอยํางหนึ่งซึ่งได๎สร๎างขึ้นเพื่อปูองกันระบบการ
สื่อสารให๎พ๎นจากการสํงขําวลวง มีหลายโอกาสที่จะต๎องใช๎การรับรองฝุาย ทั้งนั้นอยูํกับความจาเป็นหรือความ
ต๎องการของแตํละหนํวยบัญชาการ นโยบายของผู๎บังคับบัญชาได๎พิมพ์ประกาศไว๎ใน นสป. สํวนตารางการรับรอง
ฝุายนั้นมีปรากฏอยูํใน นปส.
10.8 ข่ายวิทยุ
10.8.1 กลําวทั่วไป
สถานีวิทยุสนามตามปกติ จะจัดรํวมเข๎าเป็นขําย ๆ ตามความต๎องการของสถานการณ์ ทางยุทธวิธีแตํ
ละขํายจะได๎รับการกาหนดให๎ใช๎ความถี่ ในการปฏิบัติงานหนึ่งความถี่หรือมากกวํา
ก. เพื่อที่จะให๎มีการควบคุมขํายวิทยุ สถานีวิทยุตามปกติใช๎สถานีที่ประจากับกองบัญชาการสูงสุด
ของขํายนั้น โดยกาหนดให๎เป็นสถานีบังคับขําย (สบข.) อานาจของสบข. นั้นมีเพียงแตํการปฏิบัติงานของขําย
และวินัยในระหวํางที่ทาการออกอากาศและระหวํางระยะเวลาที่ห๎ามสํงเทํานั้น
ข. เนื่องจาก สบข. มีความรับผิดชอบในการดารงรักษาวินัยสื่อสารภายในขําวพนักงานวิทยุ สบข.
จึงมีอานาจในการควบคุมทางปฏิบัติอันจาเป็นเพื่อให๎แนํใจวําได๎ใช๎วงจรที่กาหนดขึ้นในขํายให๎ได๎ประสิทธิภาพมาก
10.8.2 การควบคุมขําย
สบข. มีอานาจเด็ดขาดภายในขอบเขตของการควบคุมทางเทคนิค สบข. เป็นผู๎เปิดและปิดขําย ควบคุม
การสํงและการจัดการไมํ ให๎ขําวคั่ง ค๎างภายในขําย แก๎ไขข๎อผิดพลาดของระเบียบปฏิบัติ หรืออนุญาตหรือไมํ
อนุญาตให๎สถานีตําง ๆ เข๎าหรือออกจากขําย และดารงรักษาวินัยของขํายของเขตในการควบคุมของสบข. ยํอม
แตกตํางไปตามสภาพของการปฏิบัติกลําวคือ ในขํายซึ่ง พนัก งานวิท ยุที่ชานาญสามารถจะสํงขําวไปได๎อยําง
เรียบร๎อยก็มีการควบคุมแตํเพียงเล็กน๎อยเทํานั้น ถ๎าปริมาณของขําวมีมากและพนักงานมีความชานาญน๎อย สบข.
ก็อาจมีความจาเป็นที่จะต๎องควบคุมอยํางแนํนแฟูนเพื่อให๎ขํายมีระเบียบและการรับสํงขําวเป็นไปอยํางเรียบร๎อย
10.8.3 แบบของขํายวิทยุ
ก. ในขํายอิสระ การแลกเปลี่ยนขําว กระทาได๎โดยมิต๎องได๎รับอนุมัติลํวงหน๎าจาก สบข.
ข. ในขํายบังคับ สถานีจะต๎องได๎รับอนุมัติจาก สบข. เสียกํอนที่จะทาการสํงขําว เมื่อสถานีมี
มากกวําหนึ่งสถานีมีขําวที่จะสํงในขํายบังคับสบข.เป็นผู๎ตกลงใจวําสถานีไหนจะสํงซึ่งเป็นไปตามความเรํงดํวน
10.8.4 พันธกิจของ สบข.
บัญชีขําวของพนักงาน ประกอบด๎วย
1) บันทึกการปฏิบัตงิ านของสถานีวิทยุ (ทบ.463-003) 3) บันทึกการเรียกขานของสถานีวิทยุ (ทบ.463-036)
2) บันทึกการรับสํงขําวของพนักงานวิทยุ (ทบ.463-035) 4) บันทึกของพนักงานวิทยุ (ทบ.463-037)
ทบ.๔๖๓-๐๐๓
บันทึกการปฏิบัติงานของสถานีวิทยุ
นามสถานี............................................................................................................
สถานี เปิดสถานี ปิดสถานี
หมูํวันเวลา หมูํวันเวลา
ตารางเวลาปฏิบัติงานของสถานีวิทยุ
หมูํวันเวลา นามพลวิทยุ หมูํวันเวลา นามพลวิทยุ
แตํ ถึง แตํ ถึง
ทบ.๔๖๓-๐๓๕ แผํนที่.............หน๎า...............
บันทึกการรับส่งข่าวของพนักงานวิทยุ
นามสถานี....................................นามหนํวย......................................................เดือน........................ปี.................
นามสถานี นามขําย นามสถานี นามขําย
สํง รับ สํง รับ
คาแนะนาการใช้ บันทึกการรับ-ส่งข่าวของพนักงานวิทยุ
1. บันทึกการรับ-สํงขําวของพนักงานวิทยุนี้ ใช๎บันทึกหมูํวัน เวลารับ-สํงเสร็จของสถานีวิทยุ
โดยพนักงานวิทยุเป็นผู๎บันทึก
2. เขียนหมายเลข แผํนที่ และหน๎า ลงในชํอง “แผํนที่.........หน๎า.........”
3. เขียนนามสถานีของตน ลงในชํอง “นามสถานี”
4. เขียนนามหนํวยที่ประจาอยูํ ลงในชํอง “นามหนํวย”
5. เขียน วัน เดือน ปี ที่บันทึก
6. เขียนนามสถานีที่ติดตํอด๎วย ลงในชํอง นามสถานี และนามขํายที่ประจาอยูํ
7. เขียน หมูํวัน เวลา ที่สํงเสร็จ พร๎อมทั้งเซ็นชื่อผูส๎ ํงลงในชํองสํง
8. เขียน หมูํวัน เวลา ที่รับเสร็จ พร๎อมทั้งเซ็นชื่อผูร๎ ับ ลงในชํองรับ
ทบ.๔๖๓-๐๓๗ แผํนที่........…....หน๎า.........…..
บันทึกของพนักงานวิทยุ
นามสถานี.................................นามหนํวย..................................................เดือน...................ปี.................
วัน/เวลา ลงชื่อ หมายเหตุ
พนักงานวิทยุ
คาแนะนาการใช้ บันทึกของพนักงานวิทยุ
1. บันทึกของพนักงานวิทยุ คือ ประวัติสถานีนั่นเอง (ปูมสถานี) โดยมีพนักงานวิทยุเป็นผู๎จดบันทึก
ความเป็นไปภายในสถานีโดยละเอียด
2. เขียนหมายเลขแผํนที่ หน๎า ลงในชํอง “แผํนที.่ ......หน๎า......”
3. เขียนนามสถานีของตน ลงในชํอง “นามสถานี”
4. เขียนนามหนํวยของตน ลงในชํอง “นามหนํวย”
5. เขียนวัน เวลาที่บันทึก ลงในชํอง “วัน/เวลา (หมูํวันเวลา)”
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 227
6. เขียนเดือน และปีที่บันทึก ลงในชํอง “เดือน.....ปี.......”
7. เขียนชื่อพนักงานวิทยุทจี่ ดบันทึก ลงในชํอง “ลงชื่อพนักงานวิทยุ”
8. เขียนสภาพความเป็นไปของสถานี เป็นต๎นวํา เวลาเปิด-ปิด เวลาในการรับ-สํงขําว ความถี่ และ
การตรวจสอบความถี่ การเปลี่ยนความถี่ การลําช๎า การรบกวน การกํอกวน สภาพความขัดข๎องที่เป็น
ข๎อขัดข๎องของประสิทธิภาพของวงจร ฯลฯ ลงในชํอง “หมายเหตุ”
ข. สถานีวิทยุแตํละแหํงควรจะทาเลขลาดับที่ของสถานีเป็นชุดตํางหากเพื่อใช๎กับทุกสถานีที่ตนทา
การสื่อสารด๎วย เลขลาดับที่ชุดใหมํควรจะเริ่มทันทีในเวลา 0001 ตามเวลาท๎องถิ่นหรือเวลากรีนิช ตามคาสั่ง
ผู๎บังคับบัญชา เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงนามเรียกขานก็ให๎เริ่มต๎นเลขลาดับที่ชุดใหมํ
10.9.5 ประวัติสถานี (STATION LOG)
ก. ประวัติสถานีซึ่งพนักงานวิทยุของทุกแหํงจะต๎องเป็นผู๎ทานั้นมีปรากฎอยูํบนด๎านหลังของบัญชี
ขําวของพนักงาน ประวัติสถานีนี้ควรจะมีบันทึกสภาพการปฏิบัติงานในระหวํ างห๎วงเวลาการปฏิบัติงาน เรื่องที่
จะต๎องลงในประวัติสถานีมีดังตํอไปนี้
1) เวลาเปิดและปิดสถานีหรือวงจร
2) สาเหตุของความลําช๎าในวงจร
3) การปรับและการเปลี่ยนแปลงความถี่
4) เหตุการณ์ที่ผิดปกติ เชํนเกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติและการฝุาฝืนการรักษาความปลอดภัย
5) การรบกวนตามธรรมชาติหรือการกํอกวน
6) สมรรถนะของเครื่องโดยยํอ
ข. เมื่อทาการเปิดวงจรหรือเริ่มต๎นวันใหมํ พนักงานจะเขียนหรือพิมพ์ ยศ ชื่อ เต็มของตนบน
บรรทัดแรกของชํองนามพนักงานของประวัติสถานี เมื่อมีการผลัดเปลีย่ นพนักงานหรือปิดวงจร พนักงานจะลงชื่อ
ทันทีหลังจากได๎ลงบันทึกครั้งสุดท๎ายในสถานีแล๎ว พนักงานที่มีผลัดเปลี่ยนก็จะเขียนหรือพิมพ์ ยศ ชื่อเต็มของตน
ลงบนบรรทัดถัดไป
ค. การลงประวัติสถานีนั้นจะต๎องไมํมีการลบการเปลี่ยนแปลงตําง ๆ นั้นให๎กระทาได๎โดยการขีด
ฆําด๎วยเส๎นเดี่ยวทับลงบันทึกอันเดิมและเพิ่มข๎อความที่เปลีย่ นแปลงแทรกลงไป พนักงานที่เป็นผู๎ริเริ่มแก๎ไขนั้นต๎อง
กระทาด๎วยตนเอง
ง. การทาประวัติสถานีจะต๎องไมํให๎กระทบกระเทือนตํอการรับ - สํงขําว
11.1 กล่าวทั่วไป
ก. สภาพภูมิประเทศที่ผิดปกติและลมฟูาอากาศทีร่ ๎ายแรงมีผลอันสาคัญตํอการสื่อสารทางวิทยุสงิ่ เหลํานี้
เป็นเหตุให๎พนักงานวิทยุจาต๎องหันเหไปจากเทคนิคของการทางานปกติ
ข. เจ๎าหน๎าที่และเครื่องมือ
1) เจ๎าหน๎าที่วิทยุซึ่งจะต๎องใช๎เครื่องวิทยุภายใต๎สภาพภูมปิ ระเทศผิดปกติและลมฟูาอากาศที่
ร๎ายแรงนั้น ควรจะได๎รบั การฝึกเป็นพิเศษเพือ่ เตรียมตัวให๎สามารถใช๎เครื่องวิทยุภายใต๎สภาพนั้น ๆ ได๎
นอกจากนั้นเจ๎าหน๎าที่เหลํานั้นควรจะได๎รับการฝึกให๎ทราบถึงวิธีที่จะชํวยตนเองได๎ภายใต๎สภาพลมฟูาอากาศที่
ร๎ายแรงอีกด๎วย
2) เครื่องวิทยุที่จะต๎องใช๎ในสภาพอันร๎ายแรงนั้นอาจจะต๎องดัดแปลงและบารุงรักษาให๎มากกวํา
ปกติ ความต๎องการในการดัดแปลงและบารุงรักษาดังกลําวนี้มีปรากฏอยูํในคูํมือประจาเครื่องแล๎ว
11.2 การสื่อสารทางวิทยุในป่าทึบ
11.2.1 กลําวทั่วไป
การสือ่ สารทางวิทยุมีความจากัดอยํางมากด๎วยต๎นไม๎ในปุาทึบ
ก. รัศมีการทางานของเครือ่ งวิทยุยุทธวิธีระยะใกล๎ในปุาทึบนั้นยํอมเปลี่ยนแปลงจากร๎อยละ 10 ถึง
ร๎อยละ 60 ของรัศมีการทางานในพื้นโลํงหรือที่เป็นปุาโปรํง
ข. เนื่องจากการขนสํงไมํสะดวก ฉะนั้นจึงมักจะใช๎วิทยุกาลังสูงขนาดใหญํเฉพาะในเขตหลังเทํานั้น
หรือใช๎ ณ ที่ตั้งซึ่งอยูํใกล๎ชิดถนน ทางเกวียน ทางเดินหรือทางน้า ทั้งนี้ขึ้นอยูํกับความแนํนและความชื้นของปุาไม๎
ค. เครื่องวิทยุสนามในปุาทึบจะต๎องได๎รับความระวังรักษาเป็นอยํางมากเนื่องจากความร๎อน
ความชื้น เชื้อรา หรือตัวแมลงทาให๎เกิดชารุดเสียหายได๎
11.2.2 การสื่อสารระยะไกล
การสือ่ สารทางวิทยุระยะไกลในปุาทึบกระทาได๎เฉพาะ เมื่อสายอากาศยกขึ้นเหนือปุาทึบที่อยูํ
รอบ ๆ เมื่อตัง้ สายอากาศในลักษณะดังกลําวแล๎ว การสื่อสารระยะไกลก็คงเหมือนกันกับที่ใช๎ในการปฏิบัติทาง
ทหารอื่น ๆ
11.2.3 การสื่อสารแบบเส๎นสายตา
เมื่อไมํอาจจะสํงคลื่นพื้นดินความถี่สงู ในปุาทึบได๎ก็ให๎ใช๎การสื่อสารแบบเส๎นสายตา
การสื่อสารประเภทวิทยุ หน๎าที่ 234
11.2.4 การติดตั้ง
ก. จะต๎องตั้งสายอากาศวิทยุให๎ถกู ต๎องเพื่อให๎มีประสิทธิภาพอยํางสูงสุด อยํางไรก็ตาม
ข๎อพิจารณาทางทหารอาจต๎องการให๎ใช๎ที่ตงั้ แหํงอื่นมากกวําที่ตั้งสายอากาศที่ดีทสี่ ุดกฏเกณฑ์ดงั ตํอไปนี้ใช๎เป็น
แนวทางที่มีประโยชน์เมื่อตั้งสายอากาศวิทยุ เพื่อปรับปรุงการสือ่ สารทางวิทยุในปุาให๎ดีขึ้น
(1) ควรตั้งสายอากาศไว๎บนเนินเขาที่อยูํเหนือภูมปิ ระเทศและปุาทึบโดยรอบ
(2) สายอากาศควรตั้งอยูํในที่โลํงแจ๎งชายปุาด๎านไกลจากคูํสถานี ที่โลํงแจ๎งนั้นควรจะหําง
จากสายอากาศอยํางน๎อยหนึ่งร๎อยหลาในทิศทางทีห่ ันไปยังคูํสถานี
(3) สายอากาศบํงทิศควรจะหันไปในทางสํงที่เป็นเส๎นตรงเมือ่ มีต๎นไม๎ในปุาทึบมาขวางหรือ
ภูมิประเทศขวางกั้นเส๎นทางสํงทีเ่ ป็นเส๎นตรงก็ให๎หันสายอากาศออกนอกทางเล็กน๎อย เมือ่ หันไปแล๎วก็อยําให๎ถูก
ขัดขวางอีก
(4) ควรตั้งสายอากาศให๎สูงเทําทีจ่ ะทาได๎ในเมื่อที่ตงั้ สายอากาศนั้นอยูํข๎างหลังภูมิประเทศที่
กาบังโดยตรง เมื่อกระทาได๎ให๎ตรึงเครือ่ งวิทยุไว๎กับยอดไม๎และทางานด๎วยการใช๎เครื่องควบคุมระยะไกล การรั้ง
สายอากาศให๎เอนมาข๎างหลังเล็กน๎อยก็จะชํวยให๎หลีกเลี่ยงสิง่ ขัดขวางได๎บ๎าง
(5) ไมํควรตั้งสายอากาศในหุบเขาแคบ ๆ หรือระหวํางสันเขา หรือระหวํางชํองทางของปุาสูง
ทึบ
(6) ควรจะวางสายเคเบิล้ และหัวตํอสายอากาศให๎หํางจากพืน้ ดินเพื่อผลเสียจากความชื้น
เชื้อรา และแมลงตําง ๆ สายเคเบิ้ลไฟฟูาและสายโทรศัพท์ทั้งปวงก็ควรจะกระทาเชํนเดียวกันด๎วย
(7) ระบบสายอากาศทีส่ มบูรณ์ เชํนสายอากาศพื้นดินเทียมและสายอากาศขั้วคูํ(GROUND
PLANE AND DIPOLESANT) ยํอมจะให๎ผลดีมากกวําสายอากาศแบบแส๎ ซึ่งมีความยาวไมํเต็มชํวงคลื่น
(8) พันธุ์ไม๎โดยเฉพาะเมือ่ เปียกชื้นก็จะมีลกั ษณะเหมือนสายอากาศที่มีขั้วในทางดิ่งและจะดูด
ซึมสัญญาณวิทยุทมี่ ีขั้วในทางดิ่งได๎มาก เพราะฉะนั้นจึงควรเลือกใช๎สายอากาศที่มีขั้วในทางระดับดีกวําที่จะใช๎
สายอากาศที่มีขั้วในทางดิง่
ข. ที่ตั้ง ควรจะแผ๎วถางปุาให๎หํางจากที่ตงั้ สายอากาศแตะกับใบไม๎กงิ่ ไม๎ก็จะทาให๎สัญญาณวิทยุ
ลงสูํพื้นดินได๎โดยเฉพาะอยํางยิ่งในระหวํางฤดูฝน
ค. ที่พักกาบัง เมื่อไมํมีตู๎ประทุนเคลื่อนที่ก็ให๎ใช๎กระโจมหรือเพิงเพื่อเป็นทีพ่ ักกาบังของสถานี
วิทยุ ควรจะยกพื้นขึ้นในที่พกั กาบังเหลํานี้ด๎วย เพื่อยกเครื่องวิทยุให๎พ๎นหํางจากพื้นดินที่ชื้นแฉะและพ๎นจาก
ความชื้น เชื้อรา และแมลงตําง ๆ ด๎วย ที่พักกาบังเหลํานี้ควรสร๎างให๎มอี ากาศหมุนเวียนรอบ ๆ เครื่องวิทยุที่
ตั้งอยูํได๎
11.2.5 การปฏิบัติงาน
ฝน ความร๎อน เชื้อราและแมลงในเขตร๎อนเหลํานีจ้ ะกํอให๎เกิดปัญหาใหมํ ๆ ในการทางานของ
เครื่องวิทยุได๎ เนื่องจากการทางานของเครื่องวิทยุที่ให๎ได๎ผลดีในปุาทึบนั้นขึ้นอยูํกบั การฝึกการพินจิ พิเคราะห์ และ
ความพากเพียรของพนักงานวิทยุเป็นรายบุคคลอยูํมาก
11.2.6 การบารุงรักษา
11.3.2 การติดตั้ง
ก. ควรจะหันสายอากาศบํงทิศออกนอกทางเพียงเล็กน๎อยเมือ่ มีภูเขาสูงขวางทางสํงขําวที่เป็น
เส๎นตรงอยูํ
ข. ควรจะใช๎หุบเขาหรือชํองวํางเป็นทางสํงขําวระหวํางภูเขา
ค. เมื่อตั้งสถานีวิทยุอยูํตรงหลังภูเขาสูงซึง่ ขวางกั้นอยูํก็ควรตัง้ สายอากาศไว๎บนทีส่ ูงสุดเทําที่จะ
กระทาได๎
ง. ควรจะยกเคเบิล้ สายอากาศให๎สูงเหนือฟื้นดินเพื่อให๎เป็นทีแ่ นํใจวําจะไมํถูกหิมะกลบหรือแข็งตัว
ติดกับพื้นดิน เรื่องนี้ก็ให๎ปฏิบัติตํอเคเบิล้ โทรศัพท์และเคเบิ้ลไฟฟูารวมด๎วย
จ. จุดตํอสายอากาศและข๎อตํอสายเคเบิล้ ควรจะวางให๎พ๎นหิมะและน้า
ฉ. ในระหวํางฤดูหนาวจะต๎องจัดทํอนเสาอากาศที่เป็นโลหะและเคเบิ้ลสายอากาศอยํางระมัดระวัง
เพราะวํามันจะเปราะในอุณหภูมิต่า ๆ
ช. เมื่อพื้นดินเย็นแข็งก็ควรจะติดตั้งสายดินเทียมให๎แกํสายอากาศ
ซ. ควรจะตั้งสายอากาศบนยอดหรือทีร่ าบด๎านหน๎าของภูเขาถ๎าเป็นไปได๎ก็ควรจะให๎มีความสูงมาก
พอที่จะให๎ทางสํงเป็นเส๎นสายตา
ฌ. ระบบสายอากาศทีส่ มบูรณ์ เชํน ระบบพื้นดินเทียมหรือขั้วคูํ (GROUND PLANES or
DIPOLES) ยํอมจะให๎ผลมากกวําสายอากาศแบบแส๎ซงึ่ มีความยาวไมํถึงชํวงคลื่น โดยเฉพาะอยํางยิ่งเมื่อปฏิบัติการ
อยูํบนพื้นดินทีม่ ีหิมะหรือเยือกแข็ง
ญ. การใช๎สถานีวิทยุถํายทอดบนพื้นทีเ่ ป็นภูเขายํอมจะให๎การสื่อสารไปได๎ไกลกวํารัศมีการทางาน
ของคลื่นพื้นดิน ถส.
11.4 การแบ่งมอบและการกาหนดความถี่วิทยุ
11.4.1 การควบคุมความถี่ปฏิบัตงิ านของวิทยุ
ก. การรบกวน
ถ๎าหากวําเครื่องวิทยุทั้งหมดในกองพลพยายามปฏิบัติงานด๎วยความถี่ขนาดเดียวกันหรือด๎วย
ความถี่ซึ่งเจ๎าหน๎าที่ปฏิบัติงานเลือ กตามใจชอบแล๎ว ก็จะทาให๎ก ารสื่อสารทางวิท ยุนั้นถึงหากกระท าได๎ก็ไมํ
เหมาะอยํางยิ่ง เมื่อมีเครื่องสํงวิทยุสองหรือหลายเครื่องปฏิ บัติงานอยูํในเวลาเดียวกันด๎วยความถี่ชํองเดียวกัน
แล๎ว สถานีรับก็จะได๎รับสัญญาณซึ่งยุงเหยิงผิดเพี้ยนและอํานไมํได๎ความ การรบกวนแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นได๎งําย
ระหวํางสถานีในขํายที่จะต๎องปฏิบัติงานด๎วยความถี่เดียวกัน โดยปกติแล๎ว สบข. อาจจะลดการรบกวนลงให๎น๎อย
ที่สุดได๎โดยการการระเบียบการสํงในฝุายขึ้น เนื่องจากคลื่นวิทยุบางคลื่นไปได๎รอบทิศไกลหลายไมล์ ฉะนั้นการ
รบกวนโดยไมํเจตนาตํอขํายอื่นๆ อาจเกิดขึ้นได๎งําย เว๎นไว๎แตํ การสํงขําวของสถานีทั้งหมดมีการควบคุมอยําง
เข๎มงวด และได๎เลือกความถี่ที่ใช๎งานอยํางรอบคอบ
ข. การใช๎เครื่องความถี่
การจัดโดยอุดมคติเพื่อให๎การสื่อสารทางวิทยุปราศจากการรบกวนนั้น คือ การกาหนด
ความถี่ที่ใช๎งานขนาดตํางๆ กันให๎แกํขํายวิทยุแตํละขําย แตํทวําจานวนชํองความถี่ที่มีอยูํนั้นจากัด เพียงแตํสํวน
น๎อยของเครื่องความถี่วิทยุที่เหมาะแกํการสื่อสารด๎วยวิทยุทางยุทธวิธี สํวนที่ใช๎งานนั้นก็ยังจากัดอีกเพราะวําชํอง
ความถี่วิทยุแตํละชํองก็มีแถบความถี่หลายๆ ความถี่แทนที่จะเป็นความถี่เดียว สัญญาณวิทยุโทรเลขหรือวิทยุโทร
พิมพ์ใช๎เครื่องความถี่ 1 KHz. สํวนซึ่งวิทยุเป็นคาพูด AM นั้นใช๎ 10 KHz. ชํองวิทยุเป็นคาพูด FM ใช๎ 50 ถึง
100 KHz. และชํองวิทยุโทรทัศน์ต๎องการถึง 6,000 KHz. ในชํองวํางของเครื่องความถี่นั้นนอกจากจะมีสัญญาณ
วิทยุอยูํเต็มแล๎ว แล๎วยังต๎องแยกชํองวํางชํองความถี่วิทยุข๎างเคียงอีกด๎วย ทั้งนี้เพื่อลดการรบกวนระหวํางกันอัน
อาจเกิดขึ้นได๎ให๎น๎อยที่สุด
ค. สภาพทางยุทธวิธี
นอกจากข๎อ พิจารณาในทางเทคนิคที่ใช๎ในการเลือกและควบคุมชํองความถี่อันจาเป็นแล๎ว
สภาพทางยุทธวิธียังอาจต๎องการให๎มีการควบคุมความถี่วิทยุอีกด๎วย ด๎วยเหตุนี้จึงต๎องกาหนดตารางความถี่ที่ใช๎
งานให๎แกํแตํละสถานี ทั้งจะต๎องจัดให๎มีความถี่สารองขึ้นบํอยๆ เพื่อใช๎ในเมื่อความถี่เดิมปฏิบัติงานไมํได๎ เพราะมี
11.5 การก่อกวน
11.5.1 กลําวทั่วไป
ก. การรับ สัญ ญาณวิ ท ยุมั ก จะกระท าไมํ ได๎เ นื่ องจากเครื่อ งรับ ถู ก รบกวนจากสัญ ญาณซึ่ง ไมํ
ต๎องการ การรบกวนเชํนนั้นอาจจะเกิดด๎วยการเจตนา (จากแหลํงซึ่งไมํใชํฝุายเดียวกัน) หรือไมํเจตนา (จากแหลํง
ฝุายเดียวกัน) การรบกวนด๎วยเจตนานั้นเรียกวําการกํอกวน(JAMMING)
ข.การกํอกวนทางวิทยุ คือ การสํงคลื่นวิทยุเพื่อขัดขวางการรับขําวสารซึ่งใช๎เครื่องรับวิทยุรับปกติ
การกํอกวนใช๎เพื่อการขัดขวางการสื่อสารทางวิทยุ จูํโจม ทาให๎สับสนและทาให๎พนักงานวิทยุหลงผิด
ค. บรรดาความถี่วิทยุทั้งหมดนั้น อาจจะถูกกํอกวนได๎งํายและข๎าศึกกวนการรับวิทยุเมื่อมีประโยชน์
เพื่อให๎บรรลุผลเชํนนี้ ข๎าศึกก็จะเลือกความถี่ที่จะกํอกวนแล๎วปรับคลื่นเครื่องสํงให๎ตรงกับความถี่นั้น และสํง
สัญญาณแรงๆ ออกไปเพื่อขัดขวางการับสัญญาณที่ต๎องการของฝุายเรา
11.5.2 แบบมูลฐานของการกํอกวนทางวิทยุ
มีแบบมูลฐาน 2 แบบของการกวนทางวิทยุ คือ การกํอกวนเป็นจุดและการกํอกวนเป็นฉาก
ก.การกํอกวนเป็นจุด (SPORT JAMMING) คือการสํงสัญญาณแถบความถี่แคบเพื่อรบกวนชํอง
หรือความถี่โดยเฉพาะแหํงหนึ่ง
ข.การกํ อกวนเป็นฉาก (BARRAGE JAMMING) คือการสํง สัญญาณแถบความถี่ก ว๎างรบกวน
ชํองสื่อสารหลายๆ ชํอ งเทํ าที่ก ระทาได๎ การกํอกวนเป็นฉากอาจจะกระทาได๎โ ดยใช๎เครื่องสํง แถบความถี่แคบ
หลายๆ เครื่องพร๎อมๆ กัน ตํอความถี่หรือชํองสื่อสารที่อยูํใกล๎เคียง
11.5.3 ความแตกตํางระหวํางสัญญาณรบกวนตําง ๆ
มีแหลํงสัญญาณรบกวนอยูํ 2 ชนิด คือ แหลํงจากภายนอก และ แหลํงภายในถ๎าหากการรบกวน
ซึ่งได๎ยินจากเครื่องรับ อาจจะขจัดเสียได๎หรือลดลงได๎ด๎วยการตํอสายอากาศเครื่องรับลงดินหรือปลดออก ก็
อาจจะถือวําการรบกวนนั้นมาจากแหลํงภายนอกถ๎าการรบกวนนั้นยังคงอยูํ ไมํเปลี่ยนแปลงเมื่อ
ปลดสายอากาศหรือตํอสายอากาศลงดินแล๎ว ก็ถือได๎วําการรบกวนนั้นเกิดจากเครื่องรับ และเป็นเครื่องบํงวํา
เครื่องรับทางานไมํปกติถ๎าหากการรบกวนเกิดจากแหลํงภายนอกก็จะต๎องทาการตรวจตํอไปอีก เพื่อพิจารณาวํา
เกิดจากการกํอกวนของข๎าศึก หรือ เกิดจากการรบกวนโดยบังเอิญ
11.5.4 ความแตกตํางระหวํางการกํอกวน และ การรบกวนโดยบังเอิญ
ก. การรบกวนโดยไมํเจตนาจากสถานีวิทยุ และ เรดาร์ของฝุายเดียวกันเรียกวํา การรบกวน
โดยบังเอิญ การรบกวนนี้อาจจะเกิดขึ้นเมื่อ HAMONIC ของคลื่นวิทยุทสี่ ํงออกไปนั้นรบกวนกับความถี่อื่น
11.6 มาตรการป้องกันการก่อกวน
11.6.1 มาตรการที่ควรระมัดระวัง
ถ๎าหากพิจารณาวํามีความจาเป็นที่จะวางมาตรการการระมัดระวังการกํอกวนขึ้นแล๎ว การปฏิบัติ
ขั้นต๎นอาจจะกระทาด๎วยการออกแบบสร๎างวงจรและขํายในการฝึกพนักงานวิทยุ และพิจารณาแหลํงของการ
กํอกวน
ก. การออกแบบสร๎างวงจรและขําย ในการตํอสูก๎ ารกํอกวนนั้นมีความจาเป็นที่จะต๎องปฏิบัติ ดังนี้
(1) จัดวงจรที่มสี ัญญาณรับได๎แรงกวําที่ต๎องการตามปกติ
(2) ลดความยาวของวงจรบางวงจรลง วงจรทีม่ ีความยาวมากเกินไปนั้นไมํเป็นที่เชื่อถือได๎
(3) จัดเส๎นทางสารองหรือชํองการสื่อสารสารองขึ้น
(4) จัดขํายเพื่อให๎สถานีดาวเทียมสามารถสือ่ สารซึง่ กันและกันได๎ และให๎สื่อสารกับสถานี
ควบคูํได๎ด๎วย
(5) ดูแลให๎มั่นใจวําเครื่องวิทยุทั้งหมดได๎รับการรักษาให๎อยูํในสภาพที่ดีและได๎รับการจัดปรับ
ไว๎ดีด๎วย
(6) จั ด ให๎ มี เ ครื่ อ งสํ ง ก าลั ง สู ง เฝู า คอยไว๎ เพื่ อ ให๎ มี เ ครื่ อ งขยายความถี่ วิ ท ยุ เ พื่ อ ให๎ มี
ความสามารถเหนือสัญญาณกํอกวน
ข. การฝึก พนักงานวิทยุทั้งหมดควรจะได๎รับการฝึกให๎รับสัญญาณที่มีการกํอกวน และให๎
สามารถรู๎ลัก ษณะของการกํ อกวนด๎วย นอกจากนั้นเพื่อจะให๎เ ป็นไปตามระเบียบปฏิบัติในการตํอสูํก าร
กํอกวน พนักงานควรจะได๎รับการฝึก ให๎ยึดถือคูํมือของเครื่องวิทยุที่ใช๎เป็นหลักด๎วย
ซ. การถํายทอด อาจจะถํายทอดขําวที่ถูกรบกวนไปในชํองทางสารองได๎
ฌ. การเปลี่ยนความถี่ การเปลี่ยนไปใช๎ความถี่อื่นทาให๎สามารถปฏิบัติงานได๎
11.8 การรายงานการก่อกวน
11.8.1 ความสาคัญของการรายงาน
การรายงานการกํอกวนของข๎าศึกโดยทันที ถูกต๎อง และสมบูรณ์นั้นเป็นสิ่งสาคัญ เพราะวําการ
กํอกวนของฝุายข๎าศึกนั้นมักจะเป็นสํวนหนึ่งของแผนที่จัดระเบียบเป็นอยํางดี และมักกระทาการกํอกวนตํอการ
ดาเนินกลยุทธที่ส าคัญ การรายงานจากพนักงานวิท ยุเป็นบุคคลซึ่ง มัก จะให๎ขําวกรองเกี่ยวกั บขอบเขต และ
ความสาคัญของการปฏิบัติของข๎าศึก ตามปกติเจ๎าหน๎าที่การสงครามอิเล็กทรอนิกส์เป็นผู๎รวบรวมจัดระเบียบขําว
กรองเชํนนี้ ณ กองบัญชาการกองพลหรือกองทัพน๎อย ขําวสารการกํอกวนซึ่งได๎รวบรวมจัดระเบียบไว๎อยําง
เหมาะสมอาจใช๎เป็นเครื่องเตือนให๎ทราบถึงการปฏิบัติของข๎าศึกซึ่งจะเกิดขึ้นในไมํช๎า ในเขตหรือเป็นแนวกว๎าง
11.8.2 การรายงานขั้นต๎น
MEACONONG,INTRUSION,JAMMINGAND,INTERFERENCE (MIJI)
รายงานอีกประเภทหนึ่งทีเ่ ป็นประโยชน์ในการบันทึกการปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์คือ
MIJI REPORT รางานนี้จะแสดงการรบกวนทุกครั้งที่เกิดขึน้ ไมํวําจะโดยจงใจหรือไมํจงใจ แตํการรบกวน
ดังกลําวต๎องสํงผลรุนแรงทุกครั้งที่เกิดขึ้น ไมํวําจะโดยจงใจหรือไมํจงใจ แตํการรบกวนดังกลําวต๎องสํงผลรุนแรง
พอ MIJI REPORT ยังทาหน๎าทีเ่ ตือนหนํวยอื่นวํา ขณะนี้ฝุายข๎าศึกกาลังดาเนินการ MEACONING,
INTRUSION, JAMMING OR INTERFERENCE ตํอหนํวยฝุายเดียวกัน ทาให๎ผบู๎ ังคับหนํวยสามารถตัดสินใจ
ดาเนินมาตรการทีเ่ หมาะสมตํอไป
MEACONING
MEACONING คือการเปลี่ยนแปลงสัญญาณที่ใช๎ในการนาทาง (NAVIGATIONAL SIGNALS) เพื่อให๎เรือ
หรือเครื่องบินให๎ไปผิดเปูาหมาย หรือให๎เฮลิคอปเตอร์ลาเลียงพลไปยังเขตอันตรายหรือ ให๎เครื่องบินตรวจการเข๎า
ไปในนํานฟูาของฝุายข๎าศึก หรือลวงให๎เครือ่ งบินทิ้งระเบิดสิ้นเปลืองอาวุธจากการโจมตีผิดเปูาหมาย
INTRUSION
INTRUSION คือการให๎ข๎อมูลทีผ่ ิด ๆ แทรกเข๎าไปในขํายการสือ่ สาร ข๎อมูลดังกลําวอาจประกอบด๎วย
คาสั่งเคลื่อนย๎ายกาลังพล เปูาหมายลวง หรือพิกัดเปูาหมายของปืนใหญํ
JAMMING
JAMMING คือประเภทตํางๆ ของการกํอกวนจากฝุายข๎าศึกเพื่อทาให๎อุปกรณ์ของฝุายเราลดประสิทธิภาพ
ลง
ความรับผิดชอบ
บุคคลทีร่ ับทราบ MIJI จากฝุายข๎าศึกมีความรับผิดชอบทีต่ ๎องรายงานผํานชํองการสื่อสารทีม่ ีอยูํในพื้นที่
และสํงตํอไปยังกองพล นสป. ปกติจะมีคาแนะนาในการเขียน MIJI REPORTS ภายในกองพลจากข๎อมูลที่ได๎รบั
ในระดับกองพล นายทหารสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์จะตัดสินใจวําจะเขียนรายงานในรูปแบบ MIJI หรือจะสํงตํอข๎อมูล
ไปเพื่อการวิเคราะห์ข๎อมูลตํอไป ซึ่งอาจจะต๎องใช๎ข๎อมูลเพิม่ เติมจากหนํวยที่รายงานหรือในบางครั้งอาจต๎องไป
วิเคราะห์ในจุดที่เกิดปัญหาขึ้นจริง
แบบฟอร์มการรายงาน
รูปแบบรายงานต๎องอยูํในรูปแบบทีง่ ํายแกํการเข๎าใจเพื่อให๎พนักงานประจาเครือ่ งต๎องอธิบายถึงปัญหาที่
เกิดขึ้น ขั้นตอนรายงานควรเป็นสํวนหนึง่ ของ นปส. และควรถูกบรรจุไว๎ในขั้นตอนสูงขึ้นไปของการฝึกพนักงาน
ประจาเครือ่ งทุกเครื่อง
รายงานนี้จะเป็นตัวแสดงให๎เห็นถึงปัญหาทีเ่ กิดขึ้นบํอยๆ และวิธีการในการแก๎ปัญหาเหลํานั้นจุดสาคัญที่
พนักงานจะต๎องเข๎าใจคือ สิ่งที่อาจจะดูไมํสาคัญหรือเป็นแคํการรบกวนในยํานเทํานั้น จริง ๆ แล๎วอาจมี
ความสาคัญเมือ่ นามาพิจารณารํวมกับรายงานจากหนํวยอื่นในพื้นที่
11.9 บันทึกและรายงานการสื่อสาร
11.9.1 กลําวทั่วไป
ก. บันทึกและรายงานการสื่อสารทาขึ้นและปรับปรุงรักษาไว๎เพื่อให๎มี
1) ความตํอเนื่องในการปฏิบัติงาน
2) ขําวอยํางพร๎อมมูลเกี่ยวกับสถานะภาพของระบบการสื่อสาร เครือ่ งมือและสิ่งอุปกรณ์การ
สื่อสาร
3) ข๎อมูลอันเกิดจากประสบการณ์ เพื่อใช๎สาหรับการปฏิบัตงิ านในอนาคต
4) เป็นข๎อมูลทางประวัติศาสตร์
ข. บันทึกและรายงานที่สาคัญเทํานั้นทีจ่ ะปรับปรุงรักษาไว๎ ณ แตํละสํวนของกองบัญชาการ
บันทึกและรายงานทั้งหมดจะได๎นามาทบทวนตามระยะเวลา แตํละสํวนที่ไมํสาคัญให๎ตัดออกไป
ค. การลงบันทึกประจาวันจะลงเหตุการณ์ทเี่ กิดขึ้นอยํางยํอ ถูกต๎องและมีเฉพาะรายละเอียดที่
จาเป็นต๎องทราบ เวลา สถานที่ และเรื่องราวเหตุการณ์นั้น ๆ เอกสารยืนยันทีจ่ าเป็นรวบรวมไว๎ในแฟูม
บันทึกประจาวันมีเรื่องดังนี้
1) การติดตํอ
2) เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติกรสื่อสาร
3) การรับนโยบายหรือคาสั่ง
4) การตรวจเยี่ยมของผูบ๎ ังคับบัญชาและฝุายอานวยการ
5) สภาพภูมิอากาศและเหตุการณ์อื่น ๆ ที่เป็นผลกระทบตํอการปฏิบัตกิ ารสื่อสาร
ง. บันทึกตําง ๆ เหลํานี้จะต๎องเก็บรักษาไว๎ สํวนรายงานจะต๎องสํงไปให๎ทันเวลาอันสมควร
จ. บันทึกเหลํานี้เป็นสิ่งจาเป็นสาหรับไว๎แก๎ไขข๎อผิดพลาด ตรวจสอบประสิทธิภาพหารปฏิบัติ
งาน อันได๎มาซึ่งข๎อคิด ขําวสารเทียบเคียงสาหรับรายงานพิเศษหรือรายงานตามระยะเวลา ขําวสารที่ได๎มาจาก
บันทึกเหลํานี้ถือวําเป็นสิ่งสาคัญในการวางแผนการปฏิบัตงิ านในอนาคต และในการควบคุมในการ
ติดตั้ง การปฏิบัติ การซํอมบารุงของระบบการสื่อสารทั้งสิ้น รายงานเหลํานีจ้ ะต๎องสํงไปยังหนํวยเหนือทุกเรือ่ งราว
โดยทันทีทที่ าได๎
ตารางงานของวงจร (การบันทึกประวัติสถานี-บัญชีข่าว)
ก. ทุกสถานต๎องมีตารางงานของวงจร เพื่อแสดงงานในเรื่อง
- การรับ-สํง
- ความถี่
การบันทึกและรายงานประจาสถานีวิทยุ
ก. จะต๎องทาบัญชีรายชื่อผู๎ที่ได๎รับอนุญาตให๎เข๎ามายังสถานีวิทยุได๎ และทาสมุดผู๎มาเยี่ยมไว๎ ณ
สถานีวิทยุทุกแหํงที่มเี ครื่องควบคุมระยะไกล (REMOTE CONTROL)
ข. เฉพาะเจ๎าหน๎าที่ที่ได๎รับอนุญาตแล๎วเทํานั้นที่ให๎เข๎าไปในยานพาหนะทีม่ ีเครือ่ งรักษาความ
ปลอดภัยตั้งอยูํ
ค. จะต๎องรับประวัติสถานีให๎ถกู ต๎องและทันสมัยอยูเํ สมอ และต๎องรักษาบัญชีขําวไว๎ 2 เลํม
ตลอดเวลา เลํมหนึ่งขําวที่ไมํกาหนดชั้นความลับอีกเลํมหนึ่งเป็นขําวที่กาหนดชั้นความลับ
ง. ประวัตสิ ถานีและบันทึกอื่น ๆ จะต๎องเก็บไว๎ 30 วันจึงทาลาย ขําวสํงขําวรับฉบับตัวจริงจะ
ต๎องเก็บไว๎ 30 วันจึงทาลาย (หรือปฏิบัติตามคาแนะนาใน รปจ.ของหนํวย เชํน เมื่อถึงเวลาทีก่ าหนดไว๎ให๎สํงขําว
ต๎นฉบับทั้งรับและสํงไปเก็บหลักฐานที่ศูนย์ขําว)
หลักฐานตําง ๆ ที่พนักงานวิทยุจะต๎องบันทึกโดยตํอเนื่องประจาสถานีวิทยุทกุ สถานี เพื่อแสดง
หน้าที่และความรับผิดชอบในการปฏิบัติการสื่อสารประเภทวิทยุ
ข้อ 1 นายทหารวิทยุ
นายทหารวิทยุต๎องรับผิดชอบตํอ ผบ.ส.พล ในเรื่องของการปฏิบัติการของหมวดวิทยุ จะต๎องรับผิด
ชอบตํอ ผบ.ร๎อยในเรื่องสวัสดิการของเจ๎าหน๎าที่ในหมวดตลอดจนหน๎าที่ทางธุรการด๎วย รวมทัง้ มีหน๎าที่
ดังตํอไปนี้
ก. อานวยการปฏิบัตงิ านวิทยุในขํายกองพล
11.10 การทาลายอุปกรณ์วิทยุ
11.10.1 กลําวทั่วไป
ในบางสถานการณ์ทางยุทธวิธี อาจจะไมํสามารถเคลื่อนย๎ายวิทยุได๎ทั้งหมด ฉะนั้นจึงอาจมีความจาเป็น
อยํางหลีกเลี่ยงไมํได๎ที่จะต๎องทาลายอุปกรณ์ทงั้ หมดที่ไมํสามารถเคลื่อนย๎ายไปได๎ ทั้งนี้เพื่อให๎มั่นใจวําอุปกรณ์
เหลํานั้นจะไมํตกไปอยูํในเงื้อมมือของข๎าศึก อุปกรณ์ที่ข๎าศึกยึดได๎นั้นข๎าศึกอาจจะนาไปใช๎หรืออาจจะนาไปค๎นหา
ความรู๎ที่ข๎าศึกไมํเคยรูม๎ ากํอนก็ได๎
11.10.2 ลาดับความเรํงดํวนในการทาลาย
ก.คาแนะนาในการทาลายอุปกรณ์ในยุทธบริเวณนั้นต๎องเพียงพอตามแบบฉบับและปฏิบัติได๎งําย
ข.การทาลายอุปกรณ์จะสมบูรณ์ได๎นั้นขึ้นอยูํกับ เวลา เครื่องมือที่ใช๎ในการทาลายและเจ๎าหน๎าที่ที่
จะอานวยให๎ แตํเนื่องจากการทาลายอุปกรณ์อยํางสมบูรณ์นั้นมักจะทาไมํคํอยได๎เพราะมีเวลาไมํพอ ฉะนั้นจึง
จาเป็นต๎องกาหนดความเรํงดํวนในการทาลายขึ้นเพือ่ ให๎มั่นใจวําสิ่งซึ่งมีประเภทความลับสูงควรจะได๎ทาลายกํอน
แล๎วจึงคํอยทาลายสิ่งซึง่ มีประเภทความลับรองๆ ลงมา สิง่ ซึง่ ไมํมีประเภทความลับเลยควรทาลายภายหลังสุด ตาม
ความสาคัญที่จะมีตํอข๎าศึก สํวนประกอบทีส่ าคัญๆ ทัง้ หมดของเครื่องวิทยุทมี่ ีลักษณะคล๎ายคลึ งกันทั้งหมดนี้ ควร
จะทาลายพร๎อมกัน ทั้งนีเ้ พื่อปูองกันมิให๎ข๎าศึกรวบรวมสํวนประกอบจากเครื่องเสียหลายๆ เครือ่ งไปประกอบเป็น
เครื่องดีได๎
11.10.3 แผนการทาลาย
*********************************