Professional Documents
Culture Documents
สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา
หลักสูตรใหม่ พุทธศักราช ๒๕๕๖
ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา (TQF)
ภาควิชาพระพุทธศาสนา คณะพุทธศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
รายละเอียดของหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา
มคอ.๒
ภาควิชาพระพุทธศาสนา คณะพุทธศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ได้รับอนุมัติ/เห็นชอบหลักสูตรจากสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันพุธที่ ๓๐ เดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
สารบัญ
หมวดที่ ๑ ข้อมูลทั่วไป ๑
หมวดที่ ๒ ข้อมูลเฉพาะของหลักสูตร ๖
หมวดที่ ๓ ระบบการจัดการศึกษา การดาเนินการ และโครงสร้างของหลักสูตร ๘
หมวดที่ ๔ ผลการเรียนรู้ กลยุทธ์การสอนและประเมินผล ๒๒
หมวดที่ ๕ หลักเกณฑ์ในการประเมินผลนิสิต ๓๑
หมวดที่ ๖ การพัฒนาคณาจารย์และบุคลากร ๓๓
หมวดที่ ๗ การประกันคุณภาพหลักสูตร ๓๔
หมวดที่ ๘ การประเมินและปรับปรุงการดาเนินการของหลักสูตร ๓๙
รายละเอียดของหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา
หลักสูตรใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๖
ชื่อสถาบันอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขต/คณะ/ภาควิชา ภาควิชาพระพุทธศาสนา คณะพุทธศาสตร์
หมวดที่ ๑ ข้อมูลทั่วไป
๑. ชื่อหลักสูตร
ชื่อหลักสูตรภาษาไทย : พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา
ชื่อหลักสูตรภาษาอังกฤษ : Master of Arts Program in Tipitaka Studies
๒. ชื่อปริญญาและสาขาวิชา
ชื่อเต็มภาษาไทย : พุทธศาสตรมหาบัณฑิต (พระไตรปิฎกศึกษา)
ชื่อเต็มภาษาอังกฤษ : Master of Arts (Tipitaka Studies)
ชื่อย่อภาษาไทย : พธ.ม. (พระไตรปิฎกศึกษา)
ชื่อย่อภาษาอังกฤษ : M.A. (Tipitaka Studies)
๓. วิชาเอก
สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา (Buddhist Studies)
๔. จานวนหน่วยวิชาที่เรียนตลอดหลักสูตร
จานวน ๓๙ หน่วยกิต
๕. รูปแบบของหลักสูตร
๕.๑ รูปแบบ
เป็นหลักสูตรระดับปริญญาโท หลักสูตร ๒ ปี
๕.๒ ภาษาที่ใช้
การจัดการเรียนการสอนเป็นภาษาไทย
๕.๓ การรับเข้าศึกษา
รับผู้เข้าศึกษาเป็นชาวไทย และชาวต่างประเทศที่สามารถใช้ภาษาไทยได้เป็นอย่างดี
๕.๔ ความร่วมมือกับสถาบันอื่น
เป็นหลักสูตรเฉพาะคณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
๕.๕ การให้ปริญญาแก่ผู้สาเร็จการศึกษา
ให้ปริญญาเพียงสาขาวิชาเดียว คือ พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาพระไตรปิฎกศึกษา
๖. สถานภาพของหลักสูตร
๖.๑ หลักสูตรใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๖
เปิดสอน ภาคการศึกษาที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๖
๖.๒ มติคณะกรรมการประจาคณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย การประชุม
ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๔ เดือน กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕
๖.๓ สภาวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลั ย เห็นชอบในการประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕
เมื่อวันที่ ๗ เดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๒
๑๐. สถานที่จัดการเรียนการสอน
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตาบลลาไทร อาเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
๑๑.สถานการณ์ภายนอกหรือการพัฒนาที่จาเป็นต้องนามาพิจารณาในการวางแผนหลักสูตร
๑๑.๑ สถานการณ์หรือการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
ปัจจุบันความสัมพันธ์ทั้งในระดับท้องถิ่น ประเทศ และระหว่างประเทศเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจเป็น
แนวทางเศรษฐกิจแบบไร้พรมแดนที่เน้นการใช้เทคโนโลยีระดับสูงเข้ามาเป็นเครื่องมือในการแข่งขัน ทาให้เกิด
เขตการค้าเสรีหรือเขตเศรษฐกิจเสรีขึ้ นอย่างมากมายหลายแห่งในโลก และมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นและขยายตัว
ในทุกประเทศ การดาเนินการด้านการค้าในยุคการค้าเสรีเช่นนี้ องค์กรธุรกิจไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กลาง
หรื อ ขนาดใหญ่ ทั้ ง ในระดั บ ท้ อ งถิ่ น จนถึ ง ระดั บ สากล ต่ า งต้ อ งการองค์ ค วามรู้ ท างด้ า นภาษาอั ง กฤษและ
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๓
เทคโนโลยีระดับสูงเป็นเครื่องนาไปสู่เป้าหมายทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ
ในยุคโลกาภิวัตน์ ศาสนาถือว่าเป็นแกนหลักที่จะต้องให้คาตอบกับมนุษย์ในสังคมในทุกความสงสัยที่
เกี่ยวข้องกับเรื่องจิตวิญญาณและศีลธรรมที่มนุษย์ในสังคมจะพึงมีต่อกัน การดาเนิน การทางด้านเศรษฐกิจของ
มนุษย์ก็เป็นหนึ่งในปัญหาที่มนุษย์จะต้องมีจิตสานึกที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับศาสนาเพราะการทาธุรกิจการค้าขายนั้น
จะต้องมีหลักเกณฑ์ในเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง และคุณธรรมจริยธรรมดังกล่าวก็ล้วนมีที่มา
จากแหล่งสาคัญก็คือคาสอนที่มีปรากฏในคัมภภีร์ของแต่ละศาสนา ดังนั้น หากมนุษย์ในสังคมที่เป็นผู้มีความเชื่อ
ในทางศาสนาอยู่แล้วหากมีการศึกษาหลักคาสอนจากคัมภีร์ทางศาสนาของตนให้ถ่องแท้ถูกต้องแล้วย่อมสามารถ
ที่จะนาหลักการ คาสอนทางศาสนาของตนที่มีปรากฏในคัมภีร์นั้นไปปรับประยุกต์ใช้ในทางเศรษฐกิจของตน ได้
ด้วยการไม่เอารัดเอาเปรียบทางการค้า มีความยุติธรรม ไม่เห็นแก่ตัวและการเสียสละ สาหรับสังคมไทยถือว่าเป็น
สั ง คมชาวพุ ท ธที่ มี พ ระไตรปิ ฎ กเป็ น คั ม ภี ร์ ห ลั ก ส าคั ญ ที่ ถื อ ว่ า เป็ น แหล่ ง รวบรวมความรู้ หลั ก ค าสอนทาง
พระพุทธศาสนาไว้อย่างครบถ้วน หากได้รับการศึกษาพระไตรปิฎกอย่างดีแล้วก็จะสามารถเข้าถึงหลักคาสอนและ
สามาถนาเอาหลักคาสอนนั้นไปปรับประยุกต์กับการดาเนินการทางธุรกิจการค้าหรือกระบวนการทางเศรษฐกิจ
อื่น ๆ ได้ ซึ่งการกระทาดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดผลดีกับทางเศรษฐกิจก็คือมีการคานึงถึงประโยชน์ให้รอบด้านทั้ง
ประโยชน์ตน ประโยชน์สังคมและประโยชน์สูงสุดคือประเทศชาติได้ ซึ่งบุคคลผู้ที่ได้รับการศึกษาหลักคาสอนทาง
พระพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎกที่ถูกต้องนั้นย่อมเป็นผู้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจเพราะเป็นผู้ที่รู้คุณค่าของปัจจัย
ทางธุรกิจที่จะต้องดาเนินควบคู่ไปกับความอยู่รอดของสังคมนอกจากนั้น ผู้ที่มีความรู้ ทางด้านคุณธรรมจริยธรรม
จากการศึกษาพระไตรปิฎกย่อมเป็นผู้ที่รู้จักการใช้จ่ายและเป็นอยู่อย่างพอเพียงตามหลักการใช้จ่ายแบบมัชฌิมา
ปฎิปทาไม่ฟุ้งเฟ้อรู้จักกิน รู้จักใช้พอประมาณ ซึ่งเป็นรูปแบบของการดาเนินชีวิตที่เหมาะสมกับสถานการณ์ใน
สังคมวัตถุนิยมโลกาภิวัฒน์เช่นปัจจุบัน
ดังนั้น เพื่อก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันในทางเศรษฐกิจในทุกระดับทั้งในระดับจุลภาคคือการรู้จักใช้ทรัพยากร
ทางเศรษฐกิจอย่างประหยัดและมีประโยชน์ตามหลักมัชฌิมาปฎิปทา คือหลักแห่งความพอเพียง รู้จักเห็นอกเห็น
ใจผู้อื่น หรือระดับมหภาค คือการค้าขายในระดับประเทศต่อประเทศที่เน้นความเป็นธรรมไม่มุ่งเฉพาะการค้าเพื่อ
เอากาไรแต่มุ่งเพื่อความอยู่รอดของสังคมเพื่อการกระจายทรัพยากรให้เกิดประโยชน์กับสังคมของมนุษย์ให้มาก
ที่สุด จึงจาเป็นที่จะต้องมีการให้ความรู้ด้านเศรษฐกิจบนพื้นฐานของหลักคาสอนทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฎใน
พระไตรปิฎกให้กับคนในสังคมทุกระดับให้สอดคล้องกับสภาพการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน
๑๑.๒ สถานการณ์หรือการพัฒนาทางสังคมและวัฒนธรรม
ในสถานการณ์โลกปัจจุบันนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลาอันนืบเนื่องมาจากกระแสของการ
พัฒนาของโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ตลอดเวลาทั้งนี้ก็เพื่อที่จะ
สามารถดารงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งสภาพการณ์ดังกล่าวแม้เราจะทราบกันทั่วไปว่าเป็นไปตามหลักคาสอนพระพุทธศาสนา
ในเรื่องความไม่เที่ยงก็ตาม แต่เนื่องจากความเจริญของเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคปัจจุบัน การไหลบ่าของข้ อมูล
ข่าวสารผ่านระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทาให้มีผลกระทบอย่างมากต่อโครงสร้างทางสังคมของประเทศไทย ทั้ง
โครงสร้างครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศ ที่ทาให้สภาพชีวิตและการดาเนินชีวิตของคนไทยที่ต้องปรับตัวให้
ทันต่อการศึกษาและการวางท่าทีต่อความเปลี่ยนแปลงนั้น โดยเฉพาะในเรื่องของการศึกษาพระไตรปิฎกที่เป็น
แหล่งรวบรวมคาสอนทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าพระไตรปิฎกนั้นได้มีพัฒนาการเรื่องการจัดเก็บ
รวบรวมและศึกษามาตามลาดับตั้งแต่หลังสมัยพุทธกาลที่มีการทาการสังคายนาครั้งที่ ๑ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ก็เพื่อทาให้หลักคาสอนที่มีในพระไตรปิฎกนั้นยังคงอยู่ และสามารถที่จะเผยแผ่ไปสู่คนรุ่นใหม่ได้ง่ายขึ้น แต่
ถึงอย่างนั้นก็จะพบว่าการศึกษาพระไตรปิฎกของคนในสังคมไทยยังไม่ได้รับความสนใจกันมากนัก เนื่องจากคนใน
สังคมไทยยังมีคตินิยมในเรื่องของการนับถือพระไตรปิฏกว่าเป็นของสูง ห้ามแตะต้องหรือมองว่าพระไตรปิฎกเป็น
เรื่องของพระสงฆ์ไม่ใช่เรื่องของชาวบ้าน ซึ่งจริง ๆ แล้วการศึกษาพระไตรปิฎกนั้นเป็นหน้าที่ของชาวพุทธทุกคน
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๔
๑๓. ความสัมพันธ์กับหลักสูตรอื่นที่เปิดสอนในคณะ/ภาควิชาอื่นของสถาบัน
๑๓.๑ กลุ่มวิชา/รายวิชาในหลักสูตรนี้ที่เปิดสอนโดยคณะ/ภาควิชา/หลักสูตรอื่น
-หลักสูตรประกาศนียบัตรพระไตรปิฎกศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย
- หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
๑๓.๒ กลุ่มวิชา/รายวิชาในหลักสูตรที่เปิดสอนให้ภาควิชา/หลักสูตรอื่นต้องมาเรียน
ไม่มี
๑๓.๓ การบริหารจัดการหลักสูตร
๑๓.๓.๑ โครงการหลั กสู ตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต (พธ.ม.) สาขาวิช าพระไตรปิฎ กศึกษา มี
รูปแบบการบริหารหลักสูตร โดยการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการหลักสูตร ผู้อานวยการหลักสูตร และ
อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตร
๑๓.๓.๒ มอบหมายให้คณะกรรมการหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระไตรปิฎก
ศึกษา ควบคุมการดาเนินการเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้เป็นไปตามข้อกาหนดรายวิชา
๑๓.๓.๓ แต่งตั้งผู้ ป ระสานงานหลั กสู ตร ทาหน้าที่ประสานงานกับอาจารย์จากคณะอื่น และ
สาขาวิชาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดทั้งอาจารย์ผู้สอนเพื่อพิจารณาแนวสังเขปประจาวิชาและรายละเอียดประจาวิชา
การจัดการเรียนการสอน การวัดผลและการประเมินผลการเรียน
หมวดที่ ๒
ข้อมูลเฉพาะของหลักสูตร
๑. ปรัชญา ความสาคัญ และวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
๑.๑ ปรัชญาของหลักสูตร
ผลิตมหาบัณฑิตให้มีความรู้และเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก สามารถวิจัย ค้นคว้าและพัฒนาองค์
ความรู้เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในพระไตรปิฎกและบริการสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ มีศักยภาพที่จะพัฒนา
ตนเองให้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและจริยธรรม เป็นผู้นาทางปัญญา พัฒนาจิตใจและสังคม
๑.๒ วัตถุประสงค์ของหลักสูตร
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการผลิตพุทธศาสตรมหาบัณฑิตตามปรัชญาที่ตั้งไว้ จึงมีวัตถุประสงค์
ดังนี้
๑.๒.๑ เพื่อผลิตบัณฑิตสาขาวิชาพระไตรปิฏกศึกษา ให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก
และมีศีลาจารวัตรดีงามเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม
๑.๒.๒ เพื่อผลิตบัณฑิตสามารถวิเคราะห์ ตีความ และประยุกต์พุทธธรรมที่ปรากฏในพระไตรปิฏก
และคัมภีร์ ทางพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์ในการสอนและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างมี
ประสิทธิภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ
๑.๒.๓ เพื่อผลิตบัณฑิตด้านพระไตรปิฏกศึกษา ตอบสนองความต้องการของ คณะสงฆ์ สังคม
และการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๖
๒. แผนพัฒนาปรับปรุง
แผนการพัฒนา/เปลี่ยนแปลง กลยุทธ์ หลักฐาน/ตัวบ่งชี้
๑. จัดทาและปรับปรุงหลักสูตรให้ - พั ฒ นาหลั ก สู ต รโดยมี พื้ น ฐานจาก - เอกสารปรับปรุงหลักสูตร
มีมาตรฐานไม่ต่ากว่าที่ สกอ. หลั ก สู ต รในระดั บสากล หลั ก สู ต ร - รายงานผลการประเมิน
กาหนด และสอดคล้ องกั บ มาตรฐานคุ ณ วุ ฒิ ร ะดั บ อุ ด มศึ ก ษา หลักสูตร
กรอบแผนอุดมศึกษาระยะยาว แห่งชาติ
๑๕ ปี ฉบั บ ที่ ๒ (๒๕๕๑- - ติดตามประเมินหลักสูตรอย่างสม่าเสมอ
๒๕๖๕)
๒. ปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้อง - ติ ด ตามความเปลี่ ย นแปลงในความ - รายงานผลประเมินความพึง
กั บ ความต้ อ งการขององค์ ก ร ต้องการขององค์กรภาครัฐ และเอกชน พอใจของผู้ เ รี ย นต่ อ ความรู้
ภาครัฐและเอกชน รวมทั้งคณะ รวมถึงคณะสงฆ์ แ ล ะ ค ว า ม ทั น ส มั ย ข อ ง
สงฆ์ - นาแนวคิด รวมทั้งเทคโนโลยีใ หม่ๆ มา หลักสูตร
ใ ช้ ใ น ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น เ พื่ อ เ พิ่ ม - รายงานผลการประเมินความ
ศักยภาพของหลักสูตร พึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิต
- ติดตามความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิต
๓. พัฒนาบุคลากรด้านการเรียน - อาจารย์ทุกคนโดยเฉพาะอาจารย์ใหม่ - รายชื่อบุคลากรและอาจารย์
ก า ร ส อ น แ ล ะ ก า ร บ ริ ก า ร ต้องเข้าอบรมเกี่ยวกับหลักสูตรการสอน ที่เข้ารับการอบรม
วิชาการ รูปแบบต่างๆ และการวัดผลประเมินผล - ปริ ม าณงานบริ การวิ ช าการ
ทั้ ง นี้ เ พื่ อ ให้ มี ค วามรู้ ค วามสามารถใน ต่ออาจารย์ในหลักสูตร
การประเมิ น ผลตามกรอบมาตรฐาน - รายงานผลประเมินความพึง
คุณวุฒิ ที่ผู้ ส อนจะต้องสามารถวัดและ พอใจของผู้ใช้บริการวิชาการ
ประเมินผลได้เป็นอย่างดี - จานวนโครงการ/กิจกรรมที่
- สนั บ สนุ น บุ ค ลากรด้ า นการเรี ย นการ เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและ
สอนให้ทางานบริการวิชาการแก่องค์กร ความบรรลุผลสาเร็จ
ภายนอก - ใบรับรองวิชาชีพ (กรณีมีการ
- ส่ ง เสริ ม ให้ มี ก ารน าความรู้ ทั้ ง จาก ส่งเข้าอบรม)
ภาคทฤษฎี และงานวิจัยไปใช้จริงเพื่อ
ท าประโยชน์ ใ ห้ แ ก่ ชุ ม ชน สั ง คมหรื อ
คณะสงฆ์
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๗
หมวดที่ ๓
ระบบการจัดการศึกษา การดาเนินการ และโครงสร้างหลักสูตร
๑. ระบบการจัดการศึกษา
๑.๑ ระบบ
คณะพุทธศาสตร์และบัณฑิตวิทยาลัย จัดการศึกษาระบบทวิภาค โดยแบ่งเวลาการศึกษาในแต่ละปี
การศึกษาออกเป็น ๒ ภาคการศึกษาปกติ แต่ละภาคการศึกษามีเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า ๑๕ สัปดาห์
คณะพุทธศาสตร์และบัณฑิตวิทยาลัยอาจจัดการศึกษาระบบไตรภาค โดยเพิ่มการศึกษาภาคฤดู
ร้อนได้อีก ๑ ภาค มีเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า ๖ สัปดาห์
๑.๒ การจัดการศึกษาภาคฤดูร้อน
อาจจัดการศึกษาภาคฤดูร้อนได้อีก ๑ ภาคการศึกษา มีระยะเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า ๖ สัปดาห์ และ
จะกาหนดระเบียบว่าด้วยการศึกษาภาคฤดูร้อนที่ไม่ขัดกับข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ว่า
ด้วยการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
๑.๓ การเทียบเคียงหน่วยกิตในระบบทวิภาค
๑.๓.๑ รายวิชาที่กาหนดให้นิสิตฟังการบรรยายสัปดาห์ละ ๑ ชั่วโมง และศึกษานอกเวลาอีกไม่น้อย
กว่าสัปดาห์ละ ๓ ชั่วโมงตลอดภาคการศึกษา ให้มีค่าเท่ากับ ๑ หน่วยกิต
๑.๓.๒ รายวิชาที่นิสิตใช้เวลาปฏิบัติการ อภิปราย หรือสัมมนาสัปดาห์ละ ๒ ถึง ๓ ชั่วโมง และเมื่อ
รวมเวลาศึกษานอกเวลาแล้ว นิสิตใช้เวลาไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ ๓ ชั่วโมง ตลอดภาคการศึกษา ให้มีค่าเท่ากับ ๑
หน่วยกิต
๑.๓.๓ รายละเอียดอื่นๆ ใดที่เกี่ยวกับระยะเวลาการศึกษา ให้นาข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลัย ว่าด้วยการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
๒. การดาเนินการหลักสูตร
๒.๑ วัน-เวลาในการดาเนินการเรียนการสอน
ให้มีระยะเวลาการศึกษาตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า ๔ ภาคการศึกษาปกติ และไม่เกิน ๑๐ ภาค
การศึกษาปกติ โดยแบ่งเป็นภาคการศึกษา ดังนี้
ภาคการศึกษาที่ ๑ มิถุนายน - กันยายน
ภาคการศึกษาที่ ๒ พฤศจิกายน- มีนาคม
เรียนวันเวลาปกติ วันพุธ-พฤหัสบดี ที่อาคารเรียนรวม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วังน้อย อยุธยา และภาคพิเศษวันเสาร์-วันอาทิตย์ ที่อาคารเรียนวัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ เขตพระ
นคร กรุงเทพมหานคร
๒.๒ การเปิดโอกาสให้ผู้เข้าศึกษา
-เฉพาะแบบศึกษาเต็มเวลา
๒.๓ คุณสมบัติของผู้เข้าศึกษา
๒.๓.๑ เป็นผูส้ าเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัยหรือ
สถาบันการศึกษาที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง
๒.๓.๒ ได้รับค่าระดับเฉลี่ยสะสมในระดับปริญญาตรี ไม่ต่ากว่า ๒.๕๐ จาก ระบบ ๔ แต้ม ยกเว้นผู้
มีประสบการณ์ทางานติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒ ปี นับแต่สาเร็จการศึกษา และผู้จบเปรียญธรรม ๙
ประโยค และ
๒.๓.๓ ไม่เคยถูกลงโทษให้พ้นสภาพการเป็นนิสิตบัณฑิตวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๘
วิธีคัดเลือกผู้เข้าศึกษา
(๑) บัณฑิตวิทยาลัยจะดาเนินการคัดเลือกผู้สมัครเข้าศึกษา โดยแต่งตั้งคณะกรรมการสอบคัดเลือก
ผู้สมัครเข้าศึกษาในแต่ละปีการศึกษา ผู้สมัครต้องผ่านกระบวนการสอบคัดเลือกตามที่บัณฑิตกาหนด
(๒) วิธีคัดเลือกอื่นๆ ให้นาข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยว่าด้วยการศึกษา
ระดับบัณฑิตศึกษามาใช้โดยอนุโลม
๒.๔ ปัญหาของนิสิตแรกเข้า และ ๒.๕ กลยุทธ์ในการดาเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา/ข้อจากัดของนิสิต
ปัญหาของนิสิตแรกเข้า กลยุทธ์ในการดาเนินการแก้ไขปัญหา
- ข า ด ค ว า ม รู้ พื้ น ฐ า น ใ น ส า ข า วิ ช า - ส่ ง เสริ ม ให้ ค ณาจารย์ แ ต่ ล ะวิ ช า บู ร ณาการความรู้ ด้ า น
พระไตรปิฎก พระไตรปิฎก พระพุทธศาสนา ภาษาอังกฤษ ภาษาบาลีและการ
- ขาดทัก ษะการวิ จั ย ทั้ง เชิ งคุ ณภาพและ วิจัย เข้าในรายวิชาที่รับผิดชอบ
เชิงปริมาณ
- ขาดทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ - จัดโครงการคลินิกวิทยานิพนธ์ โดยการจัดอบรมพิเศษเกี่ยวกับ
- ขาดทักษะการใช้ภาษาบาลี การเขียนโครงร่างการวิจัยและการจัดทาเอกสารคู่มือเกี่ยวกับการ
- ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับ หลั กธรรมทาง เขียนงานวิจัยทางด้านพระไตรปิฎกศึกษา
พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า แ ล ะ ก า ร ค้ น ค ว้ า
พระไตรปิฎก - จั ด ให้ มี ก ารเรี ย นการสอนรายวิ ช าศึ ก ษาเพิ่ ม เติ ม เพื่ อ ปรั บ พื้ น
- ขาดความเข้ า ใจเกี่ ย วกั บ การเขี ย น ฐานความรู้
โครงการวิจัย โครงร่างวิทยานิพนธ์ และ
โครงร่างสารนิพนธ์
๒.๖ แผนการรับนิสิตและจานวนผู้สาเร็จการศึกษาในระยะเวลา ๕ ปี
จานวนนิสิต(รูป/คน)
ชั้นปี
ปี การศึกษา ๒๕๕๖ ๒๕๕๗ ๒๕๕๘ ๒๕๕๙ ๒๕๖๐
ชั้นปีที่ ๑ ๒๕ ๒๕ ๒๕ ๒๕ ๒๕
ชั้นปีที่ ๒ - ๒๕ ๒๕ ๒๕ ๒๕
รวม ๒๕ ๕๐ ๕๐ ๕๐ ๕๐
จานวนมหาบัณฑิต - - ๒๕ ๒๕ ๒๕
๒.๗ งบประมาณตามแผน
๒.๗.๑ งบประมาณรายรับ (สาหรับพระภิกษุ)
ประมาณรายรับในปีงบประมาณ (พ.ศ.)
รายละเอียดรายรับ
๒๕๕๖ ๒๕๕๗ ๒๕๕๘ ๒๕๕๙ ๒๕๖๐
ค่าลงทะเบียนนิสิตใหม่ ๒๕,๐๐๐ ๒๕,๐๐๐ ๒๕,๐๐๐ ๒๕,๐๐๐ ๒๕,๐๐๐
ค่าลงทะเบียน ๑๘๐,๐๐๐ ๖๐๐,๐๐๐ ๖๐๐,๐๐๐ ๖๐๐,๐๐๐ ๖๐๐,๐๐๐
ค่าบารุงการศึกษา ๖๗,๕๐๐ ๑๖๒,๕๐๐ ๑๖๒,๕๐๐ ๑๖๒,๕๐๐ ๑๖๒,๕๐๐
เงินอุดหนุนจากรัฐบาล (ต่อคน) - - - - -
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๙
๒.๘ ระบบการศึกษา
ระบบการศึกษาเป็นแบบชั้นเรียน ๒๗ หน่วยกิต และทาวิทยานิพนธ์ ๑๒ หน่วยกิต
๒.๙ การเทียบโอนหน่วยกิตรายวิชา และการลงทะเบียนข้ามสถาบัน
ไม่มี
๓. หลักสูตรและอาจารย์ผู้สอน
๓.๑ หลักสูตร
๓.๑.๑ จานวนหน่วยกิตและระยะเวลาศึกษา
จานวนหน่วยกิตตลอดหลักสูตร ๓๙ หน่วยกิต ใช้ระยะเวลาในการศึกษาตลอดหลักสูตร อย่าง
น้อย ๔ ภาคการศึกษาปกติ และอย่างมากไม่เกิน ๑๐ ภาคการศึกษาปกติ
๓.๑.๒ โครงสร้างหลักสูตร
โครงสร้างหลักสูตร เป็นแบบ แผน ก แบบ ก (๒) โดยแบ่งหมวดวิชาตามที่กาหนดไว้ในประกาศ
กระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ.๒๕๔๘ ดังนี้
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๑๐
๓.๑.๓ รายวิชาในหลักสูตร
รหัสวิชา
ความหมายของเลขรหัสประจาวิชาในหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระไตรปิฎก
ศึกษา ประกอบด้วยเลข ๖ หลัก มีความหมายดังนี้
๑. เลข ๓ ตัวแรก = ตัวที่ ๑ แสดงคณะ ตัวที่ ๒-๓ แสดงสาขาวิชา/ภาควิชา
๒. เลข ๓ ตัวหลัง = ตัวที่ ๑ แสดงภาคการศึกษา ตัวที่ ๒-๓ แสดงชื่อวิชา
๓.๑.๔ แผนการศึกษา
ภาคเรียน รหัสวิชา / รายวิชา จานวนหน่วยกิต
๑ วิชาบังคับ
๖๐๐ ๑๐๑ พระไตรปิฎกวิเคราะห์ ๓(๓-๐-๖)
๖๒๐ ๑๐๒ พุทธปรัชญาในพระไตรปิฎก ๓(๓-๐-๖)
๖๐๐ ๑๐๔ ภาษาอังกฤษ * (๓)(๓-๐-๖)
วิชาเอก
๖๒๐ ๑๐๖ พระวินัยปิฎกวิเคราะห์ ๓(๓-๐-๖)
รวม ๙
* รายวิชาไม่นับหน่วยกิต
๒ วิชาบังคับ
๖๒๐ ๒๐๓ ระเบียบวิธีวิจัยทางพระไตรปิฎก ๓(๓-๐-๖)
๖๐๐ ๒๐๕ กรรมฐาน * (๓)(๓-๐-๖)
วิชาเอก
๖๒๐ ๒๐๗ พระสุตตันตปิฎกวิเคราะห์ ๓(๓-๐-๖)
วิชาเลือก
๖๒๐ ๓๑๘ ปฎิจจสมุปบาทวิเคราะห์ ๓(๓-๐-๖)
รวม ๙
* รายวิชาไม่นับหน่วยกิต
ภาคเรียน รหัสวิชา / รายวิชา จานวนหน่วยกิต
๓ วิชาเอก
๖๒๐ ๓๐๘ พระอภิธรรมปิฎกวิเคราะห์ ๓(๓-๐-๖)
๖๒๐ ๓๐๙ ประวัติศาสตร์อารยธรรมอินเดียโบราณ ๓(๓-๐-๖)
๑๐๒ ๓๐๒ การใช้ภาษาบาลี ๑* (๓)(๓-๐-๖)
วิชาเลือก
๖๒๐ ๓๑๐ พระไตรปิฎกกับศาสตร์สมัยใหม่ ๓(๓-๐-๖)
รวม ๙
* รายวิชาไม่นับหน่วยกิต
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๑๓
หน่วยกิต
ภาคเรียน รหัสวิชา/รายวิชา (ทฤษฎี-ปฏิบัต-ิ ศึกษาด้วยตนเอง)
๔ วิชาบังคับไม่นับหน่วยกิต
๑๐๒ ๓๐๒ การใช้ภาษาบาลี ๒* (๓)(๓-๐-๖)
๖๐๐ ๒๐๖ สัมมนาวิทยานิพนธ์* (๓)(๓-๐-๖)
วิชาบังคับ
๖๐๐ ๔๐๐ วิทยานิพนธ์ ๑๒
รวม ๑๒
รวมทั้งหมด ๓๙
* รายวิชาไม่นับหน่วยกิต
๓.๑.๕ คาอธิบายรายวิชา
(ดูรายละเอียด ภาคผนวก ก)
๙. ชื่อ นามสกุล เลขประจาตัวประชาชน ตาแหน่งและคุณวุฒิการศึกษา
๙.๑ อาจารย์ประจาหลักสูตร
สถาบัน
ตาแหน่ง ชื่อ-นามสกุล คุณวุฒิการศึกษา ที่สาเร็จ ปีจบ
อาจารย์พร ะ ม ห า สุ ทิ ต ย์ อา ภ า กโ ร
(อบอุ่น) ดร.
เลขประจาตัวประชาชน ร.บ. (รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ๒๕๓๕
************* พม.ช.(พัฒนาชุมชน) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ๒๕๔๑
พธ.ด.(พระพุทธศาสนา) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ๒๕๔๙
อาจารย์ พระมหาสุร ศั ก ดิ์ ปจฺจ นฺ ตเสโน
ดร.
เลขประจาตัวประชาชน พธ.บ.(บาลี-สันสกฤต) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ๒๕๔๐
************* ศศ.บ. (ไทยคดีศึกษา) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ๒๕๔๐
ศศ.ม.(พุทธศาสน์ศึกษา) หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ๒๕๔๔
M.Phil.(Buddhist Studies) University of Delhi, INDIA, ๒๕๕๐
Ph.D. (Buddhist Studies) University of Jammu, INDIA, ๒๕๕๔
อาจารย์ ดร. อธิเทพ ผาทา พธ.บ (การสอนสังคมฯ) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ๒๕๔๐
เลขประจาตัวประชาชน
************* พธ.ม.(ปรัชญา) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ๒๕๔๓
พธ.ด. (พระพุทธศาสนา) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ๒๕๕๐
อาจารย์ ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ วท.บ (สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ๒๕๓๕
เลขประจาตัวประชาชน วท.ม.(สาขาเทคโนโลยี
************* สารสนเทศทางธุรกิจ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๒๕๔๒
พธ.ด.(พระพุทธศาสนา) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ๒๕๕๐
อาจารย์ ดร. จรูญ วรรณกสิณานนท์ พธ.บ. (พระพุทธศาสนา) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ๒๕๓๓
เลขประจาตัวประชาชน อ.ม.(ศาสนาเปรียบเทียบ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ๒๕๔๓
************* พธ.ด. (พระพุทธศาสนา) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ๒๕๔๘
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๑๔
๓.๒.๒ อาจารย์ร่วมสอน
ที่ ชื่อ-ฉายา/นามสกุล คุณวุฒิ/สาขาวิชา ตาแหน่งทางวิชาการ
๑ พระศรีคัมภีรญาณ รศ.ดร. ป.ธ.๙ รองศาสตราจารย์
พ ธ . ม . ( พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า )
Ph.D.(Buddhist Studies)
พระสุธีธรรมานุวัตร, ผศ.ดร. ป.ธ.๙, ผู้ช่วยศาสตราจารย์
(เทียบ สิริ าโณ) Ph.D.(Pali)
M.A.(Pali & Sanskrit)
พระราชวรมุนี ดร. ป.ธ.๙, อาจารย์
(พล อาภากโร) Ph.D.(Linguistics)
M.Phil., M.A. (Linguistics)
พธ.บ.(ปรัชญา)
๒ พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร ดร. พธ.บ. อาจารย์
ศศ.ม.(พุทธศาสน์ศึกษา)
พธ.ด.(พระพุทธศาสนา)
พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส รศ.ดร. พธ.ด.(พระพุทธศาสนา) รองศาสตราจารย์
ศศ.ม.(พุทธศาสนศึกษา)
พธ.บ.(ปรัชญา)
๓ พระมหาสุทิตย์ อาภากโร ดร. พธ.ด.(พระพุทธศาสนา) อาจารย์
พช.ม.(พัฒนาชุมชน)
ร.บ.(รัฐศาสตร์)
๔ พระมหาสุรศักดิ์ ปจฺจนฺตเสโน Ph.D. (Buddhist Studies) อาจารย์
M.Phil. (Buddhist Studies)
ศศ.ม. (พุทธศาสนศึกษา)
ศศ.บ. (ไทยคดีศึกษา)
พธ.บ. (บาลี-สันสกฤต)
พระมหาทวี มหาปญฺโญ ผศ.ดร., ป.ธ.๙ พธ.บ. ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ศน.ม. (พุทธศาสนาและปรัชญา)
Ph.D.(Buddhist Studie)
๕ พระราชสิทธิมุนี, ดร.วิ. ป.ธ.๙ อาจารย์
(บุญชิต าณสวโร) Ph.D. (Pali&Buddhist Studies)
อ.ม. (ศาสนาเปรียบเทียบ)
พธ.บ. (พุทธศาสนา)
๖ พระเมธีรัตนดิลก, ดร. ป.ธ.๙ อาจารย์
(จรรยา ชินวโส) Ph.D.(Buddhist Studies)
M.A. (Linguistics)
พธ.บ.(ครุศาสตร์)
พระมหาดนัยพัชน์ ป.ธ.๖ พธ.บ. อาจารย์
พธ.ม.(ปรัชญา)
Ph.D.(Philosophy)
ผศ.รังษี สุทนต์ ป.ธ.๙ ผู้ช่วยศาสตราจารย์
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๑๕
๓.๒.๓ อาจารย์พิเศษ
ที่ ชื่อ-ฉายา/นามสกุล คุณวุฒิ/สาขาวิชา ตาแหน่งทางวิชาการ
๑ ศ.ปรีชา ช้างขวัญยืน อ.ด. (ปรัชญา) ศาสตราจารย์กิตติคุณ
อ.ม. (ภาษาไทย)
อ.บ. (เกียรตินิยม)
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๑๖
๔. องค์ประกอบเกี่ยวกับประสบการณ์ภาคสนาม (ถ้ามี)
ไม่มี
๕. ข้อกาหนดเกี่ยวกับการทาวิทยานิพนธ์
๕.๑ คาอธิบายโดยย่อ
๕.๑.๑ นิสิตจะเสนอหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์ เพื่อขออนุมัติลงทะเบียนทาวิทยานิพนธ์ได้ เมื่อ
ศึกษารายวิชามาแล้วไม่น้อยกว่า ๑ ภาคการศึกษาปกติ และมีหน่วยกิตสะสมในรายวิชาไม่น้อยกว่า ๙ หน่วยกิต
๕.๑.๒ คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ ให้เป็นไปตามระเบียบบัณฑิตวิทยาลัย ว่าด้วยวิ ธีปฏิบัติ
เกี่ยวกับวิทยานิพนธ์
๕.๑.๓ นิสิตมีสิทธิ์ขอสอบวิทยานิพนธ์ได้ เมื่อศึกษารายวิชาครบตามที่กาหนดได้ค่าระดับเฉลี่ยสะสมใน
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๑๘
หมวดที่ ๔
ผลการเรียนรู้ กลยุทธ์การสอนและการประเมินผล
๑. การพัฒนาคุณลักษณะพิเศษของนิสิต
คุณลักษณะพิเศษ กลยุทธ์หรือกิจกรรมของนิสิต
๑ M – Morality มีมารยาททางกายและ มีการฝึกฝนด้านระเบียบวินัยกิริยามารยาททั้งทางกายและวาจาที่
วาจาที่เหมาะสมตามกาลเทศะ เหมาะสม เช่น การแต่งกาย การพูด
๒. การพัฒนาผลการเรียนรู้ในแต่ละด้าน
ผลการเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ
๑. ด้านคุณธรรมจริยธรรม
๑.๑ ผลิตบัณฑิตทางพระไตรปิฎกศึกษาที่มีคุณธรรมและจริยธรรม สามารถให้บริการงานวิชาการแก่สังคม
๑.๒ มีศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองให้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม จริยธรรมด้วยหลักการทางพรุทธศาสนาทีปรากฏ
ในพระไตรปิฎก
๑.๓ สามารถวินิจฉัยและแก้ไขปัญหาบนฐานของหลักการและเหตุผลและค่านิยมดันดีงาม
๑.๔ แสดงภาวะความเป็นผู้นาด้านความประพฤติปฏิบตั ิตามหลักคุณธรรมและจริยธรรมในพระไตรปิฎก
๒. ด้านความรู้
๒.๑ มีความรู้และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ในเนื้อหาสาระหลักของสาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ตลอดจน
หลักการและทฤษฎีที่สาคัญ และนามาประยุกต์ใช้ในการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการหรือการปฏิบัติงาน
๒.๒ มีความรู้ความเข้าใจในวิธีการพัฒนาวิชาการสมัยใหม่ สามารถประยุกต์ใช้ร่วมกับวิชาพระไตรปิฎกศึกษาได้
๒.๓ มีความเข้าใจทฤษฎี การวิจัย และการปฏิบัติในสาขาวิชาพระพุทธ ศาสนา สามารถประยุกต์หลักธรรมมาใช้
กับแนวคิดในทางทฤษฎี ปฏิบัติ และการวิจัย
๒.๔ สามารถพัฒนานวัตกรรมหรือสร้างองค์ความรู้ใหม่ สร้างองค์ความรู้จากงานวิจัยเพื่อเชื่อมโยงกับการพัฒนา
องค์กร เพื่อตอบสนองความต้องการทางสังคมในด้านวิชาการด้านพระไตรปิฎกศึกษา
๓. ด้านทักษะทางปัญญา
๓.๑ สามารถใช้ความรู้ทางทฤษฎีและปฏิบัติในการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ เพื่อการพัฒนาและสร้างสรรค์
องค์ความรู้ใหม่ทางพระไตรปิฎกอย่างเหมาะสม
๓.๒ สามารถสืบค้นข้อมูลผลงานวิจัย สิ่งตีพิมพ์ทางวิชาการ จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย สังเคราะห์ และ
นาไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาความคิดใหม่ๆ
๓.๓ สามารถประยุกต์ใช้ผลงานวิจัยและองค์ความรู้ทางด้านพุทธศาสนาในการแก้ปัญหาหรือพัฒนางานได้อย่าง
เหมาะสมและสร้างสรรค์
๓.๔ สามารถตัดสินใจในเรื่องที่ซับซ้อนที่เกี่ยวกับการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ และสามารถผลิตผลงานทางวิชาการ
และงานวิจัย ในระดับชาติ และนานาชาติ
๔ ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ
๔.๑ สามารถสื่ อสารกับกลุ่ มคนหลากหลายและสามารถสนทนาทั้ง ภาษาไทยและภาษาต่ างประเทศอย่า งมี
ประสิทธิภาพ
๔.๒ สามารถให้ความช่วยเหลือและอานวยความสะดวกแก่การแก้ปัญหาสถานการณต่าง ๆ ในกลุ่มทั้งในบทบาท
ของผู้นา หรือในบทบาทของผู้นา หรือในบทบาทของผู้ร่วมทีมทางาน
๔.๓ สามารถให้ความรู้ในศาสตร์มาชี้นาสังคมในประเด็นที่เหมาะสม
๔.๔ มีความรับผิดชอบในการกระทาของตนเองและรับผิดชอบงานในกลุ่ม
๔.๕ สามารถเป็นผู้ริเริ่มแสดงประเด็นในการแก้ไขสถานการณ์ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม พร้อมทั้งแสดงจุดยืนอย่าง
พอเหมาะทั้งของตนเองและของกลุ่ม
๕ ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
๕.๑ สามารถคัดกรองข้อมูลและใช้หลักตรรกะทางคณิตศาสตร์และสถิติ ในการศึกษาค้นคว้าปัญหา เชื่อมโยง
ประเด็ น ปั ญ หาที่ ส าคั ญ และซั บ ซ้ อ น และเสนอแนะแนวทางการแก้ ไ ขปั ญ หาในด้ า นต่ า งๆ โดยเฉพาะทางด้ า น
พระไตรปิฎกศึกษาในเชิงลึกได้เป็นอย่างดี
๕.๒ สามารถสื่อสารด้านการพูด การอ่าน การฟัง การเขียน และการนาเสนอ และสื่อสารกับกลุ่มบุคคลต่างๆ
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๒๑
ทั้งในวงการวิชาการและวิชาชีพ รวมถึงชุมชนทั่วไปได้อย่างเหมาะสม
๕.๓ สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการค้นคว้ าข้อมูล เพื่อประกอบการศึกษาและการทาวิทยานิพนธ์
รวมทั้งการติดต่อสื่อสาร
กลยุทธ์การสอนที่ใช้ในการพัฒนา
๑. ด้านคุณธรรม จริยธรรม
๑.๑ จั ดกิจ กรรมเชิง วิชาการและภาคปฏิบั ติที่ส่ งเสริมการเรียนรู้ด้ านคุณธรรม จริยธรรม ให้เป็นผู้ มีน้ าใจ
เสียสละ อุทิศตนเพื่อพระไตรปิฎกศึกษาและสังคม
๑.๒ ฝึกฝนให้มีความใฝ่รู้ ใฝ่คิด เป็นผู้นาด้านจิตใจและปัญญา เพื่อพัฒนาตนเองและสังคม
๑.๓ การจัดกิจกรรมในรายวิชาที่เน้นการปลูกฝังให้นิสิตมีระเบียบวินัยในตนเอง และแก้ไขปัญหาของตนเอง
และสังคมได้
๑.๔ ฝึกฝนภาวะความเป็นผู้นา ผู้ตาม ด้านคุณธรรมจริยธรรม
๒. ด้านความรู้
๒.๑ จัดการเรียนรู้โดยผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และมุ่งเน้นให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจสาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา
โดยใช้วิธีการเรียนการสอนที่เน้นหลักการทางทฤษฎี และการประยุกต์ทางปฏิบัติในสภาพแวดล้อมจริง กระตุ้นให้เกิด
การคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจด้วยตนเอง
๒.๒ จัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาการศาสตร์สมัยใหม่ควบคู่กับวิชาการด้านพระไตรปิฎกศึกษา
๒.๓ จัดให้มีการศึกษาค้นคว้า วิจัยด้วยตนเอง ในการพัฒนานวัตกรรมและองค์ความรู้ใหม่
๒.๔ ส่งเสริมให้มีการวิจัยและค้นคว้าองค์ความรู้ในพระไตรปิฎกและนาองค์ความรู้ที่ค้นพบมาประยุกต์ใช้ได้
อย่างเหมาะสม
๓. ด้านทักษะทางปัญญา
๓.๑ ฝึกทักษะการคิดและการแก้ไขปัญหา
๓.๒ เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง และการปฏิบตั ิงานจริง
๓.๓ เน้นการเรียนรู้ที่สามารถประยุกต์ใช้กับสถานการณ์จริง โดยใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้
๓.๔ การอภิปรายกลุ่ม
๔. ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ
๔.๑ การจัดกิจกรรมในรายวิชาที่เน้นการเรียนการสอนที่มีการปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้เรียนและผู้สอน
๔.๒ ฝึกฝนภาวะความเป็นผู้นา ผู้ตาม การแสดงออกถึงภาวะความเป็นผู้นาและผู้ตามที่ดี การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
กับผู้ร่วมงาน และการรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นในการปฏิบัติงานเป็นทีมและการทางานวิจัย
๔.๓ ฝึกฝนการทากิจกรรมเพื่อสังคม และการวางตัวที่เหมาะสมตามกาลเทศะ
๔.๔ ฝึกฝนการประสานงานกับผู้อื่นทั้งภายในและภายนอกสถาบันการศึกษา
๕. ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
๕.๑ จัดการเรียนการสอนรายวิชาต่างๆ เพื่อให้นิสิตได้ฝึกทักษะทั้งด้านการวิเคราะห์ การวิจารณ์
๕.๒ จั ด กิ จ กรรมการเรี ย นการสอนที่ มุ่ ง เน้ น ให้ผู้ เรีย นได้ ฝึ กฝนทั กษะการสื่ อสาร และการน าเสนอโดยใช้
เทคโนโลยีทั้งด้วยตนเองและร่วมกับผู้อื่น
๕.๓ จัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้นิสิตได้ฝึกทักษะด้านการใช้เทคโนโลยีประกอบการค้นคว้าและการทา
วิทยานิพนธ์
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๒๒
กลยุทธ์ในการประเมินผลการเรียนรู้
๑ ด้านคุณธรรม จริยธรรม
๑.๑ ประเมินด้วยผลงานวิชาการ และการบาเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม
๑.๒ ประเมินด้วยแบบทดสอบด้วยการสังเกต สัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม และแบบวัดผล
๑.๓ ประเมินจากความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานเป็นทีม การทางานวิจัย และการเข้าร่วมกิจกรรมในการใช้องค์
ความรู้ทางการศึกษาทาประโยชน์ต่อสังคม
๑.๔ ผู้เรียนประเมินตนเอง และประเมินโดยเพื่อนและอาจารย์ โดยใช้แบบประเมินและแบบวัดผล
๒. ด้านความรู้
๒.๑ ประเมินด้วยการสอบข้อเขียน
๒.๒ ประเมินด้วยการสอบป้องกันวิทยานิพนธ์
๒.๓ ประเมินด้วยการนาเสนอรายงานและการทางานเป็นทีม
๒.๔ ประเมินด้วยการนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์
๓. ด้านทักษะทางปัญญา
๓.๑ วัดการแสดงออกทางการกระบวนการคิดและการแก้ไขปัญหา
๓.๒ วัดผลการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย
๓.๓ การนาเสนอผลงาน การอธิบาย การถามและตอบคาถาม
๓.๔ การโต้ตอบสื่อสารกับผู้อื่น
๓.๕ การอภิปรายกลุ่ม
๔. ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ
๔.๑ สั งเกตพฤติ กรรมและการแสดงออกของนิสิ ตในหลายๆ ด้า น ระหว่ างกิจกรรมการเรียนการสอน เช่ น
พฤติกรรมความสนใจ ตั้งใจเรียนรู้ และพัฒนาตนเอง
๔.๒ สังเกตพฤติกรรมการแสดงบทบาทภาวะผู้นาและผู้ตามที่ดี ความสามารถในการทางานร่วมกับผู้อื่น
๔.๓ สังเกตพฤติกรรมความรับผิดชอบในการเรียนและงานที่ได้รับมอบหมาย การนาเสนอผลงาน การทางานวิจัย
และการร่วมทากิจกรรมเพื่อสังคม
๕. ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
๕.๑ การทดสอบความรู้และเทคนิคการวิเคราะห์และวิจารณ์ทฤษฎีหรือแนวคิดใหม่ ๆ
๕.๒ การทางานวิจัย ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขั้นตอนการเขียนรายงาน และการนาเสนอผลงาน
๔. ด้านทักษะความสัมพันธ์ ๕. ด้านทักษะการ
๑.ด้านคุณธรรม ๓. ด้านทักษะทาง
รายวิชา จริยธรรม
๒.ด้านความรู้
ปัญญา
ระหว่างบุคคลและความ วิเคราะห์ การสื่อสาร
รับผิดชอบ เทคโนโลยีสารสนเทศ
๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๑ ๒ ๓
๖๒๐ ๓๐๙ ประวัติศาสตร์อารยธรรมอินเดียโบราณ
๓(๓-๐-๖)
๖๒๐ ๓๑๐ พระไตรปิฎกกับศาสตร์สมัยใหม่
๓(๓-๐-๖)
๖๒๐ ๓๑๑ กรรมวิเคราะห์ ๓(๓-๐-๖)
หมวดที่ ๕
หลักเกณฑ์ในการประเมินผลนิสิต
๑. กฎระเบียบหรือหลักเกณฑ์ในการให้ระดับคะแนน (เกรด)
เป็นไปตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ว่ าด้วยการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ.
๒๕๔๑
๒. กระบวนการทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของนิสิต
การกาหนดระบบและกลไกการทวนสอบมาตรฐานผลการเรียนรู้ เกิดขึ้นเพื่อแสดงหลักฐานยืนยันหรือ
สนับสนุนว่านิสิตและมหาบัณฑิตทุกคนมีมาตรฐานผลการเรียนรู้ทุกด้านเป็นไปตามที่กาหนดไว้ในมาตรฐานคุณวุฒิ
เป็นอย่างน้อย
๒.๑ การทวนสอบมาตรฐานผลการเรียนรู้ขณะนิสิตยังไม่สาเร็จการศึกษา
การทวนสอบในทุ ก รายวิ ช า ทั้ ง ภาคทฤษฎี ภาคปฏิ บั ติ การท าวิ ท ยานิ พ นธ์ จะต้ อ งสอดคล้ อ งกั บ
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร ผลการเรียนรู้แต่ละด้าน และกลยุทธ์การประเมินผลการเรียนรู้ โดยให้เป็นความ
รับผิดชอบของคณะกรรมการหลักสูตร อาจารย์ผู้สอนและคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากภายในและภายนอก
มหาวิทยาลัย
๒.๒ การทวนสอบมาตรฐานผลการเรียนรู้หลังจากนิสิตสาเร็จการศึกษา
การทวนสอบมาตรฐานผลการเรียนรู้หลังจากนิสิตสาเร็จการศึกษา เน้นการทาวิจัยสัมฤทธิผลของการ
ประกอบอาชีพหรือการศึกษาต่อของมหาบัณฑิต โดยทาการวิจัยอย่างต่อเนื่อง แล้วนาผลที่ได้มาเป็นข้อมูลในการ
ประเมินคุณภาพของหลักสูตร การพัฒนาหรือปรับปรุงหลักสูตร และกระบวนการเรียนการสอน โดยมีหัวข้อการ
ทวนสอบมาตรฐานผลการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้
๒.๒.๑ สภาวะการได้งานทาหรือศึกษาต่อของมหาบัณฑิต ประเมินจากการได้งานทาหรือศึกษาต่อตรง
ตามสาขาหรือในสาขาที่เกี่ยวข้อง และระยะเวลาในการหางาน โดยทาการประเมินจากมหาบัณฑิตแต่ละรุ่นที่สาเร็จ
การศึกษา
๒.๒.๒ ตาแหน่งงานและความก้าวหน้าในสายงานของมหาบัณฑิต
๒.๒.๓ ความพึงพอใจของมหาบัณฑิต ต่ อความรู้ความสามารถที่ได้เรียนรู้จากหลั กสูตร ที่ใช้ในการ
ประกอบอาชีพ หรื อศึ ก ษาต่ อ พร้ อ มกั บเปิ ด โอกาสให้ มี การเสนอข้ อคิ ด เห็ น ในการปรับ ปรุ งหลั ก สู ต รให้ มี
ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
๒๒
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๒๓
หมวดที่ ๖
การพัฒนาคณาจารย์
๑. การเตรียมการสาหรับอาจารย์ใหม่
จัดให้มีการปฐมนิเทศแนะแนวอาจารย์ใหม่ ให้มีความรู้และเข้าใจนโยบายของสถาบันอุดมศึกษา คณะ
และหลักสูตรที่สอน โดยสาระประกอบด้วย
๑.๑ บทบาทหน้าที่ของอาจารย์ในพันธกิจของสถาบัน
๑.๒ สิทธิผลประโยชน์ของอาจารย์ และกฎระเบียบต่างๆ
๑.๓ หลักสูตร การจัดการเรียนการสอน และกิจกรรมต่างๆ ของสาขาวิชาฯ
และมีอาจารย์อาวุโสเป็นอาจารย์พี่เลี้ยง โดยมีหน้าที่ให้คาแนะนาและการปรึกษาเพื่อเรียนรู้และปรับตัว
เองเข้าสู่การเป็นอาจารย์ในสาขาวิชาฯ มีการนิเทศการสอนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่ต้องสอน และมีการ
ประเมินและติดตามความก้าวหน้าในการปฏิบัติงานของอาจารย์ใหม่
๒. การพัฒนาความรู้และทักษะให้แก่คณาจารย์
๒.๑ การพัฒนาทักษะการจัดการเรียนการสอนและการวัดและการประเมินผล
(๑) ส่งเสริมอาจารย์ให้มีการเพิ่มพูนความรู้ สร้างสมประสบการณ์ในงานที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่
รับผิ ดชอบ เพื่อส่งเสริมการสอนและการวิจัยอย่า งต่อเนื่องทั้งอาจารย์เก่าและอาจารย์ใหม่ โดยการสนับด้าน
การศึกษาต่อ ฝึกอบรม ดูงานทางวิชาการและวิชาชีพในองค์กรต่างๆ การประชุมทางวิชาการทั้งในประเทศและ/
หรือต่างประเทศ การลาเพื่อเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์
(๒) การเพิ่มพูนทักษะการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลให้ทันสมัย
๒.๒ การพัฒนาวิชาการและวิชาชีพด้านอื่น ๆ
(๑) การมีส่วนร่วมในกิจกรรมบริการวิชาการแก่ชุมชนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความรู้และคุณธรรม
(๒) มีการกระตุ้นอาจารย์พัฒนาผลงานทางวิชาการสายตรงในสาขาวิชา
(๓) ส่งเสริมการทาวิจัยสร้างองค์ความรู้ใหม่เป็นหลักและเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนและมีความ
เชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพ
(๔) จัดสรรงบประมาณสาหรับการทาวิจัย
(๕) จัดให้อาจารย์ทุกคนเข้าร่วมกลุ่มวิจัยต่าง ๆ ของคณะ
(๖) จัดให้อาจารย์เข้าร่วมกิจกรรมบริการวิชาการต่าง ๆ ของคณะ
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๒๕
หมวดที่ ๗
การประกันคุณภาพหลักสูตร
๑. การบริหารหลักสูตร
จัดให้มีคณะกรรมการผู้รับผิดชอบหลักสูตร (คณะกรรมการจัดทารายวิชา) แต่ละรายวิชาที่เปิดสอนใน
หลักสูตร พร้อมทั้งมีกระบวนการจัดการเรียนการสอนโดยดาเนินการตามรายละเอียดต่อไปนี้
๑.๑ มีการจัดทารายละเอียดของรายวิชา (มคอ.๓)
๑.๒ รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่หลากหลาย
๑.๓ มีอาจารย์ประจาหลักสูตรทั้งอาจารย์ประจา อาจารย์พิเศษ (ผู้ทรงคุณวุฒิ) อาจารย์ที่ปรึกษา
วิทยานิพนธ์ มีคุณสมบัติตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษา พ.ศ.๒๕๔๘ (ของสานักงานคณะกรรมการ
การอุดมศึกษา) และข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ว่าด้วยการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ.
๒๕๔๑
๑.๔ มีการพัฒนาทักษะการสอนและการให้คาปรึกษาวิทยานิพนธ์ของอาจารย์
๑.๕ มีการประเมินและวิเคราะห์ข้อสอบให้ได้มาตรฐาน
๑.๖ มีระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับรายวิชาในหลักสูตร
๑.๗ มีการประกันคุณภาพวิทยานิพนธ์
โดยให้ดาเนินการตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ว่าด้วยการศึกษาระดับ
บัณฑิตศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๑ (ภาคผนวก ก) ในหัวข้อหลัก ดังนี้
๑.๗.๑. การทาวิทยานิพนธ์
๑.๗.๒. การสอบประมวลความรู้
๑.๗.๓. การสอบวัดคุณสมบัติ
๑.๗.๔. การสอบวิทยานิพนธ์
๒. การบริหารทรัพยากรการเรียนการสอน
๒.๑. การบริหารงบประมาณ
คณะจัดสรรงบประมาณประจาปี ทั้งงบประมาณแผ่นดินและเงินรายได้เพื่อจัดซื้อตารา สื่อการเรียนการ
สอน โสตทัศนูปกรณ์ และวัสดุครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์อย่างเพียงพอเพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนในชั้นเรียนและ
สร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ด้วยตนเองของนิสิต
๒.๒. ทรัพยากรการเรียนการสอนที่มีอยู่เดิม
คณะพุทธศาสตร์มีความพร้อมด้านหนังสือ ตาราเฉพาะทาง และมีอุปกรณ์ที่ใช้สนับสนุนการจัดการเรียน
การสอนอย่างพอเพียง ซึ่งมีเอกสารสิ่งพิมพ์และสื่อการศึกษาที่สัมพันธ์กับสาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษาดังนี้
ในปีการศึกษา ๒๕๕๖ มีตาราภาษาไทย ๙๔,๓๐๑ เล่ม
ตาราภาษาอังกฤษ ๒,๗๙๐ เล่ม
วารสารภาษาไทยและอังกฤษ ๙๑ ชื่อเรื่อง
ฐานข้อมูลออนไลน์ ๒,๐๐๐,๐๐๐ ชื่อเรื่อง
นอกจากนี้ ยังมีสื่อการศึกษาในรูปแบบอื่นๆ เช่น VCD, DVD, CD-ROM, แผนที่, หนังสืออิเล็กทรอนิกส์
และบริการห้องสมุดผ่านระบบอินเทอร์เน็ตทั่วประเทศ (Journal-Link) และฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
๒.๓. การจัดหาทรัพยากรการเรียนการสอนเพิ่มเติม
คณะพุทธศาสตร์ มีห้องสมุดเป็นของตัวเองและมีการประสานงานกับห้องสมุดของมหาวิทยาลัยในการ
จัดซื้อหนังสือ และตาราที่เกี่ยวข้อง เพื่อบริการให้อาจารย์และนิสิตได้ค้นคว้า และใช้ประกอบการเรียนการสอน ใน
การประสานการจัดซื้อหนังสือนั้น อาจารย์ผู้สอนแต่ละรายวิชา จะมีส่วนร่วมในการเสนอแนะรายชื่อหนังสือ
ตลอดจนสื่ออื่นๆ ที่จาเป็น นอกจากนี้อาจารย์พิเศษที่เชิญมาสอนบางรายวิชาและบางหัวข้อ ก็มีส่วนในการ
เสนอแนะรายชื่อหนังสือ สาหรับให้หอสมุดกลางจัดซื้อหนังสือด้วย และในส่วนของบัณฑิตวิทยาลัยจะมีการสั่งซื้อ
หนังสือ ตารา หรือวารสารเฉพาะทาง เพื่อเข้าห้องสมุดของบัณฑิตวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๒๗
๒.๔. การประเมินความเพียงพอของทรัพยากร
มีเจ้าหน้าที่ประจาห้องสมุดของคณะพุทธศาสตร์ ซึ่งจะประสานงานการจัดซื้อจัดหาหนังสือเพื่อเข้า
ห้องสมุดคณะพุทธศาสตร์ และทาหน้าที่ประเมินความพอเพียงของหนังสือ ตารา นอกจากนี้มีเจ้าหน้าที่ ด้านโสต
ทัศน์อุปกรณ์ ซึ่งจะอานวยความสะดวกในการใช้สื่อของอาจารย์
๓. การบริหารคณาจารย์
๓.๑ การรับอาจารย์ใหม่
มีการคัดเลือกอาจารย์ใหม่ตามระเบียบและหลักเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยโดยอาจารย์ใหม่ จะต้องมีวุฒิ
การศึกษาระดับปริญญาเอกในสาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา
๓.๒ การมีส่วนร่วมของคณาจารย์ในการวางแผน การติดตามและทบทวนหลักสูตร
คณาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตร และผู้สอน ประชุมร่วมกันในการวางแผนจัดการเรียนการสอน
ประเมินผล และให้ความเห็นชอบการประเมินผลทุกรายวิชา เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อเตรียมไว้สาหรับการปรับปรุง
หลักสูตร ตลอดจนปรึกษาหารือแนวทางที่จะทาให้บรรลุเป้าหมายตามหลักสูตร และได้มหาบัณฑิตเป็นไปตาม
คุณลักษณะมหาบัณฑิตที่พึงประสงค์
๓.๓ การแต่งตั้งคณาจารย์พิเศษ
สาหรับอาจารย์พิเศษถือว่ามีความสาคัญมาก เพราะจะเป็นผู้ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติมา
ให้กับนิสิต ดังนั้น บัณฑิตวิทยาลัย จึงกาหนดนโยบายให้มีการเชิญอาจารย์พิเศษหรือวิทยากรมาบรรยาย โดยที่
อาจารย์พิเศษหรือวิทยากรจะต้องเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชานั้นๆ
๔. การบริหารบุคลากรสนับสนุนการเรียนการสอน
๔.๑ การกาหนดคุณสมบัติเฉพาะสาหรับตาแหน่ง
บุคลากรสายสนับสนุนควรมีวุฒิปริญญาโทที่เกี่ยวข้องกับภาระงานที่รับผิดชอบ และมีความรู้ทางด้าน
พระไตรปิฎกและพระพุทธศาสนา
๔.๒ การเพิ่มทักษะความรู้เพื่อการปฏิบัติงาน
บุคลากรต้องเข้าใจโครงสร้างและธรรมชาติของหลักสูตร และจะต้องสามารถบริการให้อาจารย์สามารถใช้
สื่อการสอนได้อย่างสะดวก
๕. การสนับสนุนและให้คาแนะนาแก่นิสิต
๕.๑. การให้คาปรึกษาด้านวิชาการและอื่น ๆ แก่นิสิต
บัณฑิตวิทยาลัยมีการแต่งตั้งอาจารย์ที่ปรึกษาทางวิชาการให้แก่นิสิตทุกคน โดยนิสิตที่มีปัญหาในการเรียน
สามารถปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษาทางวิชาการได้ โดยอาจารย์ของบัณฑิตวิทยาลัยทุกคนจะต้องทาหน้าที่อาจารย์
ที่ปรึกษาทางวิชาการให้แก่นิสิต และทุกคนต้องกาหนดชั่วโมงให้คาปรึกษา เพื่อให้นิสิตเข้าปรึกษาได้ นอกจากนี้
ยังมีระบบอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ซึ่งจะคอยชี้แนะกระบวนการในการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้และการวิจัย
และมีระบบให้ข้อมูลย้อนกลับจากผลการศึกษาและการประเมินด้านต่างๆ เพื่อให้นิสิตได้มีการพัฒนาตนเอง
๕.๒. การอุทธรณ์ของนิสิต
กรณีที่นิสิตมีความสงสัยเกี่ยวกับผลการประเมินในรายวิชาใดสามารถที่จะยื่นคาร้องขอดูกระดาษคาตอบ
ในการสอบ ตลอดจนดูคะแนน และวิธีการประเมินของอาจารย์ในแต่ละรายวิชาได้
๖. ความต้องการของตลาดแรงงาน สังคม และ/หรือ ความพึงพอใจของผู้ใช้มหาบัณฑิต
๖.๑ มีการศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของตลาดแรงงาน สังคม เพื่ อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการเปิด
และการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่องทุกๆ ๕ ปี
๖.๒ มีการศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้มหาบัณฑิตและนายจ้าง (ทุกๆ ปีการศึกษา)
๖.๓ มีการติดตามการพัฒนาอาชีพและความก้าวหน้าในการทางานของมหาบัณฑิต เพื่อให้ได้ข้อมูล
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๒๘
ย้อนกลับมาพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตร
๗. ตัวบ่งชี้ผลการดาเนินงาน
ผลการดาเนินการบรรลุตามเป้าหมายตัวบ่งชี้ทั้งหมดอยู่ในเกณฑ์ต่อเนื่อง ๒ ปีการศึกษา เพื่อติดตามการ
ดาเนินการตาม TQF ต่อไป ทั้งนี้เกณฑ์การประเมินผ่าน คือ มีการดาเนินงานตามข้อ ๑- ๕ และอย่างน้อย ร้อย
ละ ๘๐ ของตัวบ่งชี้ผลการดาเนินงานที่ระบุไว้ในแต่ละปี
หมวดที่ ๘
การประเมินและปรับปรุงการดาเนินการของหลักสูตร
๑. ๑. การประเมินประสิทธิผลของการสอน
๑.๑. การประเมินกลยุทธ์การสอน
กระบวนการที่จะใช้ในการประเมินและปรับปรุงยุทธศาสตร์ที่วางแผนไว้เพื่อพัฒนาการเรียน การ
สอนนั้น พิจารณาจากตัวผู้เรียน โดยอาจารย์ผู้สอนจะต้องประเมินผู้เรียนในทุกๆ หัวข้อ ว่ามีความเข้าใจหรือไม่
โดยอาจประเมินจากการทดสอบย่อย การสังเกตพฤติกรรมของนิสิต การอภิปรายโต้ตอบจากนิสิต การตอบ
คาถามของนิสิตในชั้นเรียน ซึ่งเมื่อรวบรวมข้อมูลจากที่กล่าวข้างต้นแล้ว ก็ควรจะสามารถประเมินเบื้องต้นได้ว่า
ผู้เรียนมีความเข้าใจหรือไม่ หากวิธีการที่ใช้ไม่สามารถทาให้ผู้เรียนเข้าใจได้ ก็จะต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีสอน การ
ทดสอบกลางภาคเรียนและปลายภาคเรียน จะสามารถชี้ได้ว่าผู้เรียนมีความเข้าใจหรือไม่ในเนื้อหาที่ได้สอนไป
หากพบว่า มีปัญหาก็จะต้องมีการดาเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนในโอกาสต่อไป
๑.๒. การประเมินทักษะของอาจารย์ในการใช้แผนกลยุทธ์การสอน
ให้นิสิตได้มีการประเมินผลการสอนของอาจารย์ในทุกด้าน ทั้งด้านทักษะกลยุทธ์การสอน การตรง
ต่อเวลา การชี้แจงเป้าหมาย วัตถุประสงค์รายวิชา ชี้แจงเกณฑ์การประเมินผล
รายวิชา และการใช้สื่อการสอนในทุกรายวิชา
๒. การประเมินหลักสูตรในภาพรวม
๒.๑ ประเมินจากนิสิตและศิษย์เก่า
ดาเนินการประเมินจากนิสิต โดยติดตามจากผลการทาวิทยานิพนธ์ ซึ่งอาจารย์สามารถ ประเมินผล
การทางานได้ ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการจนถึงขั้นตอนการนาเสนอเป็นรายบุคคล และสาหรับศิษย์เก่า นั้นจะ
ประเมินโดยใช้แบบสอบถามหรืออาจจะจัดประชุมศิษย์เก่าตามโอกาสที่เหมาะสม
๒.๒ ประเมินจากนายจ้างหรือสถานประกอบการ
ดาเนินการโดยการสัมภาษณ์จากสถานประกอบการ หรือใช้วิธีการส่งแบบสอบถามไปยังผู้ใช้บัณฑิต
๒.๓ ประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิหรือที่ปรึกษา
ดาเนินการโดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาให้ความเห็นหรือจากข้อมูลในรายงานผลการดาเนินงาน
หลักสูตร หรือจากรายงานของการประเมินผลการประกันคุณภาพภายใน
๓. การประเมินผลการดาเนินงานตามที่กาหนดในรายละเอียดหลักสูตร
ให้ประเมินตามตัวบ่งชี้ผลการดาเนินงานที่ระบุไว้ในหมวด ๗ ข้อ ๗ โดยคณะกรรมการประเมินอย่างน้อย
๓ คน ซึ่งต้องประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาเดียวกันอย่างน้อย ๑ คน (ควรเป็นคณะกรรมการประเมินชุด
เดียวกับการประกันคุณภาพภายใน)
๔. การทบทวนผลการประเมินและวางแผนปรับปรุง
จากการรวบรวมข้อมูลการประเมินทั้งหมด จะทาให้ทราบปัญหาของการบริหารหลักสู ตรทั้งในภาพรวม
และในแต่ละรายวิชา กรณีที่พบปัญหาของรายวิชาก็สามารถที่จะดาเนินการปรับปรุงรายวิชานั้น ๆ ได้ทันที ซึ่งก็
จะเป็นการปรับปรุงย่อย ในการปรับปรุงย่อยนั้นควรทาให้ตลอดเวลาที่พบปัญหา สาหรับการปรับปรุงหลักสูตรทั้ง
ฉบับนั้น จะกระทาทุก ๕ ปี ทั้งนี้เพื่อให้หลักสูตรมีความทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บัณฑิตอยู่
เสมอ
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๓๐
ภาคผนวก ก
คาอธิบายรายวิชาหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๓๑
คาอธิบายรายวิชาหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา
คาอธิบายรายวิชา
วิชาบังคับ ๙ หน่วยกิต นิสิตต้องศึกษาวิชาบังคับ ๙ หน่วยกิต
ก. วิชาบังคับแบบนับหน่วยกิต
๖๐๐ ๑๐๑ พระไตรปิฎกวิเคราะห์ ๓ (๓-๐-๖)
Tipitaka Analysis
ศึกษากาเนิดและพัฒนาการของการรวบรวมพระธรรมวินัยเป็นพระไตรปิฎก โครงสร้าง และ
สาระสังเขปของพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกนานาชาติ วิเคราะห์หลักธรรมสาคัญที่เป็นจุดหมายสูงสุด หลักธรรมที่
ประยุกต์ใช้ในการดาเนิน ชีวิตเพื่อการอยู่ร่ วมกันอย่างสั นติในสังคม โดยใช้ห ลักฐานอ้างอิงจากอรรถกถา ฎีกา
ปกรณ์วิเสส และคัมภีร์อื่นๆที่เกี่ยวข้องประกอบในการศึกษาเปรียบเทียบโครงสร้าง เนื้อหาพระไตรปิฎกนานาชาติ
ฉบับต่างๆ
๖๒๐ ๑๐๒ พุทธปรัชญาในพระไตรปิฎก ๓ (๓-๐-๖)
Buddhist Philosophy in Tipitaka
ศึกษาพุทธปรัชญาเถรวาทที่ปรากฎในพระไตรปิฎกและคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง ให้ครอบคลุมถึงทฤษฎีความจริง
(Metaphysics) ทฤษฎีความรู้ (Epistemology) ทฤษฎีทางจริยศาสตร์ (Ethics) รวมถึงสุนทรียศาสตร์ และการใช้
เหตุผล โดยการวิเคราะห์หลักธรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น ปฏิจจสมุปบาท ไตรลักษณ์ ขันธ์ ๕ นิยาม ๕ กรรม อริยสัจ ๔
เป็นต้น
๖๒๐ ๒๐๓ ระเบียบวิธีวิจัยทางพระไตรปิฏก ๓ (๓-๐-๖)
Research Methodology in Tipitaka
ศึกษาแนวคิดทฤษฎีในการแสวงหาความรู้แบบวิจัย ทั้งการวิจัยเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ โดยเฉพาะ
รูปแบบของการวิจัยเชิงคุณภาพโดยเน้นการวิจัยเชิงคุณภาพเน้นวิจัยคัมภีร์( Documentary Research) ที่มุ่ง
แสวงหาความจริงที่ปรากฎในคัมภีร์โดยวิธีการหาเหตุผลเชิงพรรณา รวมถึงการสร้างกระบวนการและขั้นตอนของ
การวิจัยตามหลักวิชาการ เช่น การเลือกปัญหา การตั้ง วัตถุประสงค์ การกาหนดวิธีการวิจัย และกรอบในการ
ดาเนินการเขียนงานวิจัยให้มีคุณภาพ โดยเน้นการประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับการวิจัยทางพระไตรปิฏก
ข. วิชาบังคับแบบไม่นับหน่วยกิต
๖๐๐ ๑๐๔ ภาษาอังกฤษ ๓ (๓-๐-๖)
English
ศึกษาภาษาอังกฤษโดยการฝึกจริงให้เกิดความชานาญทั้ง ๔ ด้าน คือด้านการเขียน การพูด การอ่าน การ
ฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเน้นการอภิปรายในหัวข้อคาสอนของพระพุทธศาสนา เช่น ศีล ๕ พระรัตนตรัย ไตรลักษณ์
อริยสัจ ๔ มรรคมีองค์ ๘ ปฏิจจสมุปบาท กรรมและการเกิดใหม่
๖๐๐ ๒๐๕ กรรมฐาน ๓ (๓-๐-๖)
Buddhist Meditation
ศึกษาหลักสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา
และปกรณ์วิเสส รวมทั้งรูปแบบการปฏิบัติกรรมฐานของสานักต่าง ๆ ในสังคมไทย โดยเน้นศึกษาอารมณ์ของสม
ถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานลาดับขั้นตอนของการเจริญกรรมฐานและผลที่เกิดจากการเจริญกรรมฐาน ได้แก่
สมาบัติ ๘ และวิปัสสนาญาณ ๑๖ เป็นต้น
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๓๒
ภาคผนวก ข
ระเบียบ ข้อบังคับ และประกาศที่เกี่ยวข้อง
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๓๖
ข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ว่าด้วยการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๑
เพื่อให้การบริหารงานในบัณฑิตวิทยาลัยบรรลุวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัยจึงเห็นสมควรออกข้อบังคับ
มหาวิทยาลัยว่าด้วยการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๙ (๒) แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พ.ศ. ๒๕๔๐ สภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในคราวประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๔๑ เมื่อวันที่ ๒๔
กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑ จึงมีมติให้ออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้
หมวดที่ ๑
บททั่วไป
๗.๓ ไม่เคยถูกลงโทษให้พ้นจากการเป็นนิสิตบัณฑิตวิทยาลัย
ข้อ ๘ บัณฑิตวิทยาลัยจะดาเนินการเกี่ยวกับการรับสมัครนิสิตใหม่ โดยพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการสอบ
คัดเลือกผู้สมัครเข้าศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาในแต่ละปีการศึกษา
หมวดที่ ๒
การจัดและวิธีการศึกษา
ข้อ ๙ ระบบการศึกษา
บัณฑิตวิทยาลัย จัดการศึกษาเป็นระบบหน่วยกิตทวิภาค โดยแบ่งเวลาการศึกษาในแต่ละปีการศึกษา
ออกเป็น ๒ ภาคการศึกษาปกติ แต่ละภาคการศึกษามีเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า ๑๖ สัปดาห์
บัณฑิตวิทยาลัยอาจจัดการศึกษาภาคฤดูร้อนได้อีก ๑ ภาคมีเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า ๖ สัปดาห์ และจะ
กาหนดระเบียบว่าด้วยการศึกษาภาคฤดูร้อนที่ไม่ขัดกับข้อบังคับนี้โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการประจา
บัณฑิตวิทยาลัย
ข้อ ๑๐ หลักสูตร
๑๐.๑ หลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต ให้ศึกษางานรายวิชาไม่น้อยกว่า ๓๖ หน่วยกิต
และวิทยานิพนธ์ ๑๒ หน่วยกิต จาแนกประเภทดังนี้
วิชาบังคับ ๑๒ หน่วยกิต
วิชาเอก ๑๘ หน่วยกิต
วิชาเลือก ไม่น้อยกว่า ๖ หน่วยกิต
วิทยานิพนธ์ ๑๒ หน่วยกิต
รวมทั้งสิ้น ๔๘ หน่วยกิต
๑๐.๒ หลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต ให้ศึกษางานรายวิชาไม่น้อยกว่า ๒๔ หน่วยกิต
และวิทยานิพนธ์ ๓๖ หน่วยกิต จาแนกประเภทดังนี้
วิชาบังคับ ๙ หน่วยกิต
วิชาเอก ๙ หน่วยกิต
วิชาเลือก ไม่น้อยกว่า ๖ หน่วยกิต
วิทยานิพนธ์ ๓๖ หน่วยกิต
รวมทั้งสิ้น ๖๐ หน่วยกิต
ข้อ ๑๑ ระยะเวลาการศึกษาตามหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษามีดังนี้
๑๑.๑ หลั ก สู ต รปริ ญ ญาพุ ท ธศาสตรมหาบั ณ ฑิ ต ให้ มี ร ะยะเวลาศึ ก ษาไม่ น้ อ ยกว่ า ๔ ภาค
การศึกษาปกติ และไม่เกิน ๑๐ ภาคการศึกษาปกติ
๑๑.๒ หลั ก สู ต รปริ ญ ญาพุ ท ธศาสตรดุ ษ ฎี บั ณ ฑิ ต ให้ มี ร ะยะเวลาศึ ก ษาไม่ น้ อ ยกว่ า ๖ ภาค
การศึกษาปกติ และไม่เกิน ๑๐ ภาคการศึกษาปกติ
ในกรณีที่นิสิตไม่สามารถจบการศึกษาได้ในระยะเวลา ๑๐ ภาคการศึกษาปกติ ตามข้อ ๑๑.๑
และข้อ ๑๑.๒ คณะกรรมการประจาบัณฑิตวิทยาลัยอาจอนุมัติให้ต่ออายุ สภาพนิสิตได้อีก แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน ๒
ภาคการศึกษาปกติ
๑๑.๓ การนับเวลาในข้อ ๑๑.๑ ให้นับรวมเวลาที่นิสิตได้รับอนุมัติให้ลาพักการศึกษาด้วย ยกเว้น
นิสิตที่ได้รับอนุมัติให้ลาพักการศึกษาตามข้อ ๑๓.๑.๑
๑๑.๔ รายวิชาที่กาหนดให้นิสิตฟังการบรรยายสัปดาห์ละ ๑ ชั่วโมงและศึกษานอกเวลาอีกไม่น้อย
กว่าสัปดาห์ละ ๓ ชั่วโมงตลอดภาคการศึกษา ให้มีค่าเท่ากับ ๑ หน่วยกิต
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๓๘
หมวดที่ ๓
การขึ้นทะเบียนเป็นนิสิตและการลงทะเบียนรายวิชา
ข้อ ๑๖ การขึ้นทะเบียนเป็นนิสิต
๑๖.๑ ผู้ขึ้นทะเบียนเป็นนิสิตต้องนาหลักฐานที่บัณฑิตวิทยาลัยกาหนดมายื่นต่อกองทะเบียนและ
วัดผลด้วยตนเองตามวันเวลา และสถานที่ที่กาหนด พร้อมทั้งชาระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ตามที่มหาวิทยาลัย
กาหนด สาหรับภาคการศึกษาแรกที่เข้าศึกษาในบัณฑิตวิทยาลัย นิสิตต้องลงทะเบียนรายวิชาที่ต้องศึกษาในภาค
นั้นทั้งหมดพร้อมกับการขึ้นทะเบียนเป็นนิสิตด้วย
๑๖.๒ ผู้ไม่สามารถมายื่นคาร้องขอขึ้นทะเบียนเป็นนิสิตตามวันที่กาหนดต้องแจ้งเหตุขัดข้องให้
กองทะเบียนและวัดผลทราบ เป็นลายลักษณ์อักษรภายใน ๗ วันหลังจากวันที่กาหนดไว้ มิฉะนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์
ในกรณีที่ได้แจ้ งให้ กองทะเบียนและวัดผลทราบตามความความในวรรคแรกแล้ ว ต้องมาขึ้น
ทะเบี ย นเป็น นิ สิ ตด้ว ยตนเอง ยกเว้น กรณีที่มหาวิทยาลัยพิจารณาเห็ นว่ามีเหตุจาเป็นอย่างยิ่ง จึงอนุญาตให้
มอบหมายผู้แทนมาขึ้นทะเบียนแทนได้ ทั้งนี้ต้องทาให้เรียบร้อยภายใน ๗ วัน นับจากวันเปิดภาคการศึกษา
๑๖.๓ ผู้ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าศึกษาในสาขาวิชาใด ต้องขึ้นทะเบียนเป็นนิสิตของบัณฑิตวิทยาลัย
ในสาขาวิชานั้น และจะศึกษาเกินกว่า ๑ สาขาวิชาในขณะเดียวกันไม่ได้
ข้อ ๑๗ การลงทะเบียนรายวิชา
๑๗.๑ นิสิตต้องลงทะเบียนรายวิชาทุกภาคการศึกษาตามกาหนดเวลาในปฏิทินการศึกษา โดย
ความเห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาทั่วไป
๑๗.๒ นิสิตที่ไม่มาลงทะเบียนรายวิชาภายใน ๑๔ วันแรกของภาคการศึกษาปกตินับจากวั นเปิด
ภาคการศึกษา ไม่มีสิทธิลงทะเบียนในภาคการศึกษานั้น เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย
๑๗.๓ จานวนหน่วยกิตที่กาหนดให้นิสิตลงทะเบียนแต่ละภาคการศึกษาต้องไม่น้อยกว่า ๖ หน่วย
กิต และไม่เกิน ๑๕ หน่วยกิต
๑๗.๔ นิ สิ ต ที่ ล งทะเบี ย นล่ า ช้ า กว่ า ที่ ก าหนด ต้ อ งช าระค่ า ธรรมเนี ย มการศึ ก ษาตามที่
มหาวิทยาลัยกาหนด
๑๗.๕ นิสิตที่ไม่ลงทะเบียนรายวิชาในภาคการศึกษาใดต้องลาพักการศึกษา ตามเงื่อนไขที่ระบุ
ไว้ในข้อ ๑๓ หากไม่ปฏิบัติตามต้องพ้นสภาพการเป็นนิสิต
๑๗.๖ นิสิตที่ได้ศึกษารายวิชาครบตามหลักสูตรแล้ว แต่ยังไม่สาเร็จการศึกษาต้องลงทะเบียน
รักษาสภาพการเป็นนิสิตทุกภาคการศึกษา
ข้อ ๑๘ อาจารย์ที่ปรึกษาทั่วไป
นิสิตต้องมีอาจารย์ที่ปรึกษาทั่วไปหนึ่งท่านเป็นผู้แนะนาและช่วยวางแผนการศึกษาโดยคณบดีบัณฑิต
วิทยาลัยเป็นผู้แต่งตั้งจากอาจารย์ที่มีชื่อในทาเนียบอาจารย์บัณฑิตวิทยาลัย
ข้อ ๑๙ การถอน เพิ่ม และเปลี่ยนรายวิชา
๑๙.๑ การถอนรายวิชาจะกระทาได้ภายใต้เงื่อนไข และมีผลสืบเนื่องดังต่อไปนี้
๑๙.๑.๑ ในกรณีที่ขอถอนภายใน ๑๔ วันแรกของภาคการศึกษาปกติโดยได้รับความ
เห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาทั่วไป รายวิชาที่ถอนนั้นจะไม่ปรากฎในระเบียน
๑๙.๑.๒ ในกรณีที่ขอถอนหลักจาก ๑๔ วันของภาคการศึกษาปกติแต่ไม่เกิน ๓๐ วัน
แรกของภาคการศึกษาปกติ โดยได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาทั่วไป นิสิตจะได้รับ w ในรายวิชาที่
ถอน
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๔๐
ข้อ ๒๐ การวัดผลการศึกษา
๒๐.๑ ให้มีการวัดผลการศึกษาทุกรายวิชาที่นิสิตลงทะเบียนในแต่ละภาคการศึกษา โดยอาจทา
การวัดผลระหว่างภาคด้วยวิธีการทดสอบ การเขียนรายงานการมอบหมายงานให้ทาหรือวิธีอื่นใดที่เหมาะสมกับ
รายวิชานั้น
เมื่อสิ้นภาคการศึกษา ให้มีการสอบไล่สาหรับแต่ละรายวิชาที่ศึกษาในภาคการศึกษานั้นหรือจะใช้
วิธีการวัดผลอย่างอื่นที่เหมาะสมกับลักษณะของวิชานั้น ๆ ก็ได้
บัณฑิตวิทยาลัยอาจกาหนดระเบียบที่ไม่ขัดกับข้อบังคับนี้ เพื่อใช้ในการวัดผลตามความเหมาะสม
ของแต่ละสาขาวิชาหรือรายวิชาก็ได้
๒๐.๒ เมื่อสิ้นภาคการศึกษาแต่ละภาค นิสิตจะมีสิทธิเข้าสอบไล่หรือได้รับการวัดผลในรายวิชาใด
ก็ต่อเมื่อมีเวลาศึกษาในรายวิชานั้นมาแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ของเวลาการศึกษาทั้งหมด ในภาคการศึกษานั้น
และ/หรือมีผลการทดสอบระหว่างภาคการศึกษาหรืองานที่ได้รับมอบหมายเป็นที่พอใจของอาจารย์ประจาวิชา
ข้อ ๒๑ การประเมินผลการศึกษา
๒๑.๑ ระบบการประเมิ นผลการศึกษารายวิช าของบัณฑิตวิทยาลั ยใช้เพียง ๖ ระดับ มีผ ล
การศึกษาระดับและค่าระดับดังนี้
ผลการศึกษา ระดับ ค่าระดับ
ดีเยี่ยม (Excellent) A ๔.๐
ดีมาก (Very good) B+ ๓.๕
ดี (Good) B ๓.๐
ค่อนข้างดี (Very Fair) C+ ๒.๕
พอใช้ (Fair) C ๒.๐
ตก (Failed) F ๐
๒๑.๒ ในรายวิชาใดที่หลักสูตรกาหนดให้เป็นรายวิชาที่ไม่นับหน่วยกิตให้แสดงผลการศึกษาใน
รายวิชานั้นด้วยสัญลักษณ์ดังนี้
สัญลักษณ์ ผลการศึกษา
S (Satisfactory) เป็นที่พอใจ
U (Unsatisfactory) ไม่เป็นที่พอใจ
๒๑.๓ ในรายวิชาใดยังไม่ได้ ทาการวัดผลหรือไม่มีการวัดผล ให้รายงานการศึกษารายวิชานั้น
ด้วยสัญลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๔๑
สัญลักษณ์ สภาพการศึกษา
I (Incomplete) ไม่สมบูรณ์
SP (Satisfactory Progress) ก้าวหน้าเป็นที่น่าพอใจ
UP (Unsatisfactory Progress) ไม่ก้าวหน้าเป็นที่น่าพอใจ
W (Withdrawn) ถอนรายชื่อวิชาที่ศึกษา
Au (Audit) ศึกษาโดยไม่นับหน่วยกิต
๒๑.๔ การประเมินผลวิทยานิพนธ์
๒๑.๔.๑ ให้ใช้ IP (In Progress) สาหรับวิทยานิพนธ์ที่อยู่ระหว่างการเรียบเรียง
๒๑.๔.๒ การประเมินผลวิทยานิพนธ์ที่เรียบเรียงเสร็จเรียบร้อยแล้วให้กาหนดเป็น ๔
ระดับดังนี้
ผลการศึกษา ระดับ
ดีเยี่ยม (Excellent) A
ดี (Good) B+
ผ่าน (Passed) B
ตก (Failed) F
๒๑.๕ การให้ F ให้กระทาในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้
๒๑.๕.๑ นิสิตขอถอนรายวิชา เมื่อพ้นกาหนดตามข้อ ๑๙.๑.๓
๒๑.๕.๒ นิสิตเข้าสอบและสอบตกตามข้อ ๒๐.๑
๒๑.๕.๓ นิสิตไม่มีสิทธิเข้าสอบตามข้อ ๒๐.๒
๒๑.๕.๔ นิสิตไม่แก้ค่า I ตามข้อ ๒๑.๖.๒ วรรคสุดท้าย
๒๑.๕.๕ นิสิตทาผิดระเบียบการสอบไล่และได้รับการตัดสินให้สอบตก
๒๑.๖ การให้ I จะกระทาได้ในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้
๒๑.๖.๑ นิสิตมีเวลาเรียนในรายวิชาไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ แต่มิได้สอบเพราะป่วย
หรือเหตุสุดวิสัย และได้รับอนุมัติจากคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย
๒๑.๖.๒ อาจารย์ประจาวิชาและคณบดีบัณฑิตวิทยาลัยเห็นสมควรให้รอผลการศึกษา
เพราะนิสิตยังปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นส่วนประกอบการศึกษารายวิชานั้นยังไม่สมบูรณ์
การแก้ค่า I นิสิตจะต้องสอบและ/หรือปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์ประจา
วิชาให้ครบถ้วน เพื่อให้อาจารย์ประจาวิชาวัดผล และส่งผลการศึกษาของนิสิตผู้นั้นแก่บัณฑิตวิทยาลัยภายในภาค
การศึกษาถัดไป
๒๑.๗ การให้ S จะกระทาได้ในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้
๒๑.๗.๑ รายวิชาซึ่งมีผลการศึกษาเป็นที่พอใจ และหลักสูตรกาหนดให้วัดผลการศึกษา
โดยไม่มีค่าระดับ
๒๑.๗.๒ รายวิชาซึ่งนิสิตได้ลงทะเบียนศึกษาในระดับบัณฑิตวิทยาลัยและได้รับอนุมัติให้
โอนหน่วยกิตตามข้อ ๑๒
๒๑.๘ การให้ U จะกระทาได้เฉพาะในรายวิชาที่หลักสูตรกาหนดว่าให้วัดผลโดยไม่มีค่าระดับ
และมีผลการศึกษาไม่เป็นที่พอใจ
๒๑.๙ การให้ IP จะกระทาเพื่อแสดงฐานะของวิทยานิพนธ์ที่อยู่ในระหว่างการเรียบเรียงเมื่อสิ้น
ภาคการศึกษาปกติทุกภาค นับแต่ภาคที่นิสิตลงทะเบียนเพื่อทาวิทยานิพนธ์
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๔๒
หมวดที่ ๕
การทาวิทยานิพนธ์
ข้อ ๒๖ ให้บัณฑิตวิทยาลัยวางระเบียบว่าด้วยการทาวิทยานิพนธ์และการสอบวิทยานิพนธ์
ข้อ ๒๗ การเสนอโครงร่างวิทยานิพนธ์และลงทะเบียนทาวิทยานิพนธ์ มีหลักปฏิบัติดังนี้
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๔๓
ข้อ ๓๐ คุณสมบัติของผู้สาเร็จการศึกษา
๓๐.๑ มีเวลาศึกษาไม่น้อยกว่าหรือไม่เกินกว่าที่กาหนดไว้ใน ข้อ ๑๑.๑ และข้อ ๑๑.๒
๓๐.๒ ได้ศึกษารายวิชาต่าง ๆ ครบถ้วนและถูกต้องตามเงื่อนไขที่กาหนดไว้ในหลักสูตร
๓๐.๓ ได้หน่วยกิตสะสมไม่น้อยกว่าที่กาหนดไว้ในหลักสูตร
๓๐.๔ ได้ค่าระดับเฉลี่ยสะสมไม่ต่ากว่า ๓.๐๐ จากระบบ ๔ แต้ม
๓๐.๕ ได้ระดับไม่ต่ากว่า B ในรายวิชาบังคับและรายวิชาเอกทุกวิชาและได้ระดับ S ในกรณีที่
หลักสูตรกาหนดให้วัดผลเป็น S เป็น U
๓๐.๖ สอบผ่านการประเมินผลวิทยานิพนธ์ และส่งวิทยานิพนธ์ฉบับสมบูรณ์ตามที่มหาวิทยาลัย
กาหนด
ข้อ ๓๑ คุณสมบัติของผู้มีสิทธิรับปริญญา
๓๑.๑ มีคุณสมบัติตามข้อ ๓๐
๓๑.๒ ไม่ติดค้างค่าธรรมเนียมใด ๆ
๓๑.๓ ไม่อยู่ระหว่างการถูกลงโทษใด ๆ
หมวดที่ ๗
ความประพฤติและวินัยนิสิต
(พระสุเมธาธิบดี)
นายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๔๕
ข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ว่าด้วยการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๑
แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๔๘
(พระราชรัตนโมลี)
อุปนายกสภามหาวิทยาลัย ทาหน้าที่แทน
นายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๔๖
ข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ว่าด้วยการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา พุทธศักราช ๒๕๔๑ (ฉบับที่ ๓)
แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๕๔๙
(พระธรรมสุธี)
นายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๔๙
ระเบียบบัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ พ.ศ.๒๕๕๐
หมวดที่ ๒
การอนุมัติหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์และการลงทะเบียน
ข้อ ๖ การอนุมัติหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์
๖.๑ ให้นิสิตจัดทาหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์โดยความเห็นชอบของผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็น
ประธานหรือกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ และเสนอต่อบัณฑิตวิทยาลัย เพื่อตรวจรูปแบบก่อน เมื่อผ่านการตรวจ
รูปแบบและแก้ไขแล้ว จึงเสนอขอสอบอนุมัติหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์ ตามขั้นตอน
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๕๐
ข้อ ๙ คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์
๙.๑ คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ต้องมีทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์จานวนไม่น้อยกว่า ๒ รูป
คน แต่ไม่เกิน ๓ รูป/คน ทั้งนี้จะต้องมีอาจารย์ประจามหาวิทยาลัยอย่างน้อย ๑ รูป/คน
๙.๒ คณะกรรมการผู้ ค วบคุ ม วิ ทยานิ พนธ์ ข องนิ สิ ต ระดับ ปริ ญญาโท ต้ องมี คุ ณสมบั ติ ไ ด้ รั บ
ปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่งในสาขาวิชาที่นิสิตทาวิทยานิพนธ์หรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง
คณะกรรมการผู้มีคุณสมบัติได้รับปริญญาต่ากว่าระดับปริญญาเอก ต้องมีตาแหน่งทางวิชาการไม่
ต่ากว่าผู้ช่วยศาสตราจารย์หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญ
๙.๓ คณะกรรมการผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์ของนิ สิตระดับปริญญาเอก ต้องมีคุณสมบัติได้รับ
ปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่งในสาขาวิชาที่นิสิตทาวิทยานิพนธ์หรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง
คณะกรรมการผู้มีคุณสมบัติได้รับปริญญาต่ากว่าระดับปริญญาเอก ต้องมีตาแหน่งทางวิชาการไม่
ต่ากว่ารองศาสตราจารย์หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญ
๙.๔ คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์มีหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) ให้คาปรึกษาแนะนาเกี่ยวกับวิธีทาวิทยานิพนธ์ รวมทั้งตัดสินแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ขณะทาวิทยานิพนธ์
(๒) ให้คาปรึกษาแนะนาเกี่ยวกับการเขียนวิทยานิพนธ์
(๓) พิจารณาให้ความเห็นชอบในการขอสอบวิทยานิพนธ์ของนิสิต
ข้อ ๑๐ การเขียนวิทยานิพนธ์
ให้นิสิตเรียบเรียงวิทยานิพนธ์โดยให้มีรูปแบบและขนาดวิทยานิพนธ์ ตามคู่มือการทาวิทยานิพนธ์
ของบัณฑิตวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๕๒
หมวดที่ ๔
การรายงานความก้าวหน้าวิทยานิพนธ์
ข้อ ๑๑ การรายงานความก้าวหน้าวิทยานิพนธ์
๑๑.๑ นิสิตระดับปริญญาโททุกสาขา ผู้ได้รับผลการศึกษา ตั้งแต่ ๙ หน่วยกิต ขึ้นไป และยังไม่ได้
ยื่นเสนอหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์ ต้องมารายงานความก้าวหน้าในการจัดทาหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์
ต่อบัณฑิตวิทยาลัยและอาจารย์ผู้ติดตามความก้าวหน้าวิทยานิพนธ์ ทุก ๑ เดือน
๑๑.๒ นิสิตระดับปริญญาเอก แบบ ๒.๑ (หลักสูตรภาษาไทย) ผู้ได้รับผลการศึกษาตั้งแต่ ๖
หน่วยกิตขึ้นไป และยังไม่ได้ยื่นเสนอขอสอบหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์ต้องมารายงานความก้าวหน้าในการ
จัดทาหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์ ต่อบัณฑิตวิทยาลัยและอาจารย์ผู้ติดตามความก้าวหน้าวิทยานิพนธ์ ทุก ๑
เดือน
๑๑.๓ นิสิตระดับปริญญาเอก แบบ ๑.๑ (หลักสูตรภาษาอังกฤษ) ผู้ผ่านรายวิชาที่กาหนดให้
ศึกษาเพิ่มเติมครบ ๓ รายวิชาแล้ว และยังไม่ได้ยื่นเสนอขอสอบหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์ต้องมารายงาน
ความก้าวหน้าในการจัดทาหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์ ต่อบัณฑิตวิทยาลัยและอาจารย์ผู้ติดตามความก้าวหน้า
วิทยานิพนธ์ ทุก ๑ เดือน
๑๑.๔ นิสิตผู้ลงทะเบียนทาวิทยานิพนธ์แล้ว ต้องมารายงานความก้าวหน้าในการทาวิทยานิพนธ์
ต่อบัณฑิตวิทยาลัยและอาจารย์ผู้ติดตามความก้าวหน้าวิทยานิพนธ์ ทุก ๓ เดือน
หมวดที่ ๕
การสอบวิทยานิพนธ์
ข้อ ๑๒ การขอสอบวิทยานิพนธ์
๑๒.๑ นิสิตระดับปริญญาโท มีสิทธิขอสอบวิทยานิพนธ์ได้เมื่อ
(๑) ใช้เวลาทาวิทยานิพนธ์ไม่น้อยกว่า ๓ เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติหัวข้อและ
โครงร่างวิทยานิพนธ์ และลงทะเบียนวิทยานิพนธ์
(๒) สอบผ่านรายวิชาต่าง ๆ ครบถ้วนตามเงื่อนไขที่ กาหนดไว้ในหลักสูตร และได้ค่า
ระดับเฉลี่ยสะสมในรายวิชาตลอดหลักสูตรไม่ต่ากว่า ๓.๐๐
(๓) เขี ย นวิ ท ยานิ พ นธ์ เ สร็ จ สมบู ร ณ์ ต ามค าแนะน าของคณะกรรมการควบคุ ม
วิทยานิพนธ์ และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการดังกล่าวให้ทาการขอสอบได้
๑๒.๒ นิสิตระดับปริญญาเอก มีสิทธิขอสอบวิทยานิพนธ์ได้เมื่อ
(๑) ใช้เวลาทาวิทยานิพนธ์ไม่น้อยกว่า ๘ เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้รับ
อนุมัติหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์ และลงทะเบียนวิทยานิพนธ์
(๒) สอบผ่านรายวิชาต่าง ๆ ครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กาหนดไว้ใน
หลักสูตรและได้รับค่าระดับเฉลี่ยสะสมในรายวิชาตลอดหลักสูตรไม่ต่ากว่า ๓.๐๐
(๓) สอบผ่านการสอบวัดคุณสมบัติในรายวิชาตามที่บัณฑิตวิทยาลัย
กาหนด
(๔) เขียนวิทยานิพนธ์สาเร็จสมบูรณ์ตามคาแนะนาของคณะกรรมกา
ควบคุมวิทยานิพนธ์ และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการดังกล่าวให้ทาการขอสอบได้
๑๒.๓ ให้นิสิตยื่นคาร้องขอตรวจรูปแบบวิทยานิพนธ์ พร้อมทั้งแนบวิทยานิพนธ์ ๑ ฉบับ ต่อ
บัณฑิตวิทยาลัยก่อนวันสอบวิทยานิพนธ์ไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๕๓
๑๒.๔ ให้นิสิตรับผลการตรวจรูปแบบวิทยานิพนธ์จากบัณฑิตวิทยาลัยหลังจากยื่นคาร้องแล้ว ๑๐
วันทาการ
๑๒.๕ ให้ นิ สิ ต ยื่ น แบบค าร้ อ งขอสอบวิ ท ยานิพ นธ์ บท ๘ ต่ อ บั ณ ฑิ ต วิ ท ยาลั ย ผ่ า นประธาน
คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ พร้อมกับเสนอวิทยานิพนธ์ที่เรียบเรียงเสร็จแล้ว รวมทั้งบทคัดย่อภาษาไทย
และภาษาอังกฤษ อย่างละ ๖ ชุด
๑๒.๖ ให้บัณฑิตวิทยาลัยส่งวิทยานิพนธ์และบทคัดย่อถึงคณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์
ก่อนวันสอบไม่น้อยกว่า ๒ สัปดาห์
ข้อ ๑๓ คณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์
๑๓.๑ คณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ มีจานวนไม่น้อยกว่า ๓ ท่าน แต่ไม่เกิน ๕ ท่าน
ประกอบด้วย
(๑) ประธาน ได้แก่ คณบดีหรือผู้ที่คณบดีมอบหมาย
(๒) คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์
(๓) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอกมหาวิทยาลัย จานวนไม่เกิน ๓ ท่าน
๑๓.๒ เมื่อบัณฑิตวิทยาลัยติดต่อเชิญผู้ที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์
ได้แล้ว ให้เสนอรายนามกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ต่อคณะกรรมการประจาบัณฑิตวิทยาลัย เพื่อพิจารณา
แต่งตั้ง
๑๓.๓ เมื่ อ ประธานคณะกรรมการประจ าบั ณ ฑิ ต วิ ท ยาลั ย ลงนามแต่ ง ตั้ ง คณะกรรมการ
ตรวจสอบวิทยานิพนธ์แล้ว ให้บัณฑิตวิทยาลัยประกาศกาหนดวัน เวลาและสถานที่สอบให้ทราบโดยทั่วกัน และ
มีห นั งสื อ เชิญถึง กรรมการตรวจสอบวิท ยานิพนธ์ก่อนวั นสอบ ไม่น้อยกว่า ๑๐ วัน รายนามคณะกรรมการ
ตรวจสอบวิทยานิพนธ์ให้ถือเป็นความลับสาหรับผู้สอบ
๑๓.๔ ในกรณีที่กรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ไม่สามารถมาตรวจสอบวิทยานิพนธ์ได้ ให้แจ้ง
ต่อบัณฑิตวิทยาลัยโดยผ่านประธานคณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์พร้อมทั้งแจ้งผลการตรวจสอบวิทยานิพนธ์
ด้วย
หมวดที่ ๖
การประเมินผลวิทยานิพนธ์
ข้อ ๑๔ การประเมินผลวิทยานิพนธ์
๑๔.๑ ในการสอบวิทยานิพนธ์ นิสิตต้องตอบข้อซักถามต่าง ๆ เกี่ยวกับวิทยานิพนธ์หรือเรื่องที่
เกี่ ย วข้ อ ง หลั งจากสอบแล้ ว ให้ คณะกรรมการตรวจสอบวิ ท ยานิ พ นธ์ ป ระชุ ม พิจ ารณาประเมิ น ผล ในขณะ
ประเมินผลให้นิสิตออกจากห้องสอบ
๑๔.๒ ให้มีการจดบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับการประเมินผลวิทยานิพนธ์ทุกครั้ง
๑๔.๓ หากคณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์มีมติให้แก้ไขวิทยานิพนธ์ ไม่ว่ากรณีใด ๆ นิสิต
ต้องแก้ไขวิทยานิพนธ์ให้ถูกต้องตามมติและคาแนะนานั้น ก่อนที่จะนาวิทยานิพนธ์ฉบับที่แก้ไขแล้ วส่งบัณฑิต
วิทยาลัย กรณีที่นิสิตไม่สามารถส่งวิทยานิพนธ์ได้ทันเวลา ตามที่คณะกรรมการกาหนด จะต้องดาเนินการยื่นขอ
ขยายเวลาการส่งวิทยานิพนธ์ต่อบัณฑิตวิทยาลัย โดยผ่านความเห็นชอบของประธานคณะกรรมการตรวจสอบ
วิทยานิพนธ์ ทั้งนี้ การขยายเวลาต้องอยู่ภายใต้ในระยะเวลา ๖ เดือน นับแต่วันสอบ หากเกินจากกาหนดนี้ ให้ถื อ
ว่าสอบไม่ผ่าน และจะต้องดาเนินการขอสอบใหม่ กรณีที่ยังคงสถานภาพนิสิตอยู่เท่านั้น
๑๔.๔ ให้คณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ทาการประเมินผลวิทยานิพนธ์โดยกาหนดเป็น ๔
ระดับ ดังนี้
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๕๔
ผลการศึกษา ระดับ
ดีเยี่ยม (Excellence) A
ดี (Good) B+
ผ่าน (Passed) B
ตก (Failed) F
ส่วนวิทยานิพนธ์ที่อยู่ในระหว่างการเรียบเรียงให้แสดงสถานะด้วยสัญลักษณ์ IP (In progress)
๑๔.๕ การลงนามของกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ในหน้าอนุมัติวิทยานิพนธ์ อาจกระทาได้
เมื่อเห็นสมควร แต่ประธานคณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์จะลงนามได้ต่อเมื่อวิทยานิพนธ์นั้นได้รับการแก้ไข
ทั้งรูปแบบ และเนื้อหาเรียบร้อยแล้วเท่านั้น จากนั้นคณะบดีบัณฑิตวิทยาลัยจึงลงนามอนุมัติ
๑๔.๖ ให้ประธานคณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์เสนอผลการประเมินต่อคณบดีบัณฑิต
วิทยาลัย หากมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้รวบรวมใบประเมินผลของกรรมการทุกท่าน เพื่อส่งให้คณะกรรมการประจา
บัณฑิตวิทยาลัยพิจารณาชี้ขาดเมื่อทราบผลการประเมิน และนิสิตส่งวิทยานิพนธ์ฉบับที่แก้ไขเรียบร้อยแล้วบัณฑิต
วิทยาลัยจะประกาศผลให้ทราบโดยทั่วกัน
ข้อ ๑๕ การส่งวิทยานิพนธ์ฉบับสมบูรณ์
๑๕.๑ เมื่อนิสิตแก้ไขเนื้อหาและรูปแบบ ตามมติคณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์แล้ว ให้
นิสิตส่งวิทยานิพนธ์ฉบับที่แก้ไขที่มีลายมือชื่อคณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ครบถ้วนทุกคน จานวน ๗ เล่ม
โดยเย็บเล่มและเข้าปกแข็งเรียบร้อย ตามรูปแบบที่บัณฑิตวิทยาลัยกาหนดพร้อมด้วย บทคัดย่อภาษาไทยและ
ภาษาอั ง กฤษอี ก อย่ า งละ ๒ ชุ ด และแผ่ น ซี ดี บั น ทึ ก ไฟล์ หั ว ข้ อ วิ ท ยานิ พ นธ์ ฉ บั บ สมบู ร ณ์ ทั้ ง ที่ เ ป็ น แบบไฟล์
Microsoft Word และไฟล์ Adobe PDF จานวนไฟล์ละ ๑ แผ่น ต่อบัณฑิตวิทยาลัย วันที่นิสิตส่งวิทยานิพนธ์
ฉบับสมบูรณ์ถือว่าเป็นวันที่นิสิตสาเร็จการศึกษา
๑๕.๒ ในกรณีที่นิสิตประสงค์จะเผยแพร่วิทยานิพนธ์หรือมอบให้แก่หน่วยงานใดตามข้อผูกพัน
หรืออื่น ๆ หลังจากที่ได้รับอนุมัติวิทยานิพนธ์ ให้นิสิตยื่นคาร้องพร้อมด้วยวิทยานิพนธ์ตามจานวนที่ต้องการเสนอ
ต่อคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย เพื่อพิจ ารณาลงนามในหน้าอนุมัติ ทั้งนี้ให้แนบวิทยานิพนธ์ ฉบับซึ่งคณบดีบัณฑิต
วิทยาลัยลงนามไว้แล้ว ๑ เล่ม พร้อมทั้งแผ่นบันทึกข้อมูลวิทยานิพนธ์ฉบับสมบูรณ์จานวน ๑ ชุด
๑๕.๓ วิทยานิพนธ์และบทคัดย่อทั้งฉบับภาษาไทย และภาษาอังกฤษของนิสิตที่สาเร็จการศึกษา
ให้เป็นลิขสิทธิ์ของบัณฑิตวิทยาลัย ก่อนนาไปพิมพ์เผยแร่ต้องได้รับอนุมัติจากคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๕๕
บทเฉพาะกาล
ข้อ ๑๖ นิสิตที่ได้รับอนุมัติหัวข้อและโครงการวิทยานิพนธ์และลงทะเบียนไว้แล้วก่อนที่จะประกาศใช้
ระเบียบนี้ ให้ปฏิบัติตามระเบียบบัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ว่าด้วยวิธี
ปฏิบัติเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๒ และระเบียบบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติวิทยานิพนธ์ แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๕๔๖
ข้อ ๑๗ นิสิตที่ได้รับอนุมัติหัวข้อและโครงร่างวิทยานิพนธ์ และลงทะเบียนภายหลังที่ประกาศใช้ระเบียบ
นี้แล้ว ให้ปฏิบัติตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
(พระศรีสิทธิมุนี)
คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย
ประธานคณะกรรมการประจาบัณฑิตวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๕๖
ข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ว่าด้วยคณะกรรมการประจาบัณฑิตวิทยาลัยและคณะกรรมการประจาคณะ
พ.ศ. ๒๕๔๑
แต่งตั้งผู้ดารงตาแหน่งแทนแล้ว ให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตาแหน่งเพียงเท่าวาระที่เหลือของผู้ซึ่งตนแทน
ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตาแหน่งตามวาระแต่ยังมิได้แต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ให้
กรรมการซึ่งพ้นจากตาแหน่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้แต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ ทั้งนี้ต้องไม่เกินหกสิบวัน
ข้อ ๗ คณะกรรมการประจาบัณฑิตวิทยาลัยและคณะกรรมการประจาคณะมีอานาจและ
หน้าที่ ดังนี้
(๑) วางนโยบายและแผนงานให้สอดคล้องกับนโยบายของมหาวิทยาลัย
(๒) พิจารณาหลักสูตรเพื่อนาเสนอต่อสภาวิชาการ
(๓) พิจารณาวางระเบียบ ข้อบังคับ ที่เกี่ยวกับการบริหารและการดาเนินงาน
เพื่อเสนอต่อสภาวิชาการ
(๔) ให้คาปรึกษาและเสนอความเห็นแก่คณบดี
(๕) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่สภาวิชาการหรืออธิการบดีมอบหมาย
ข้อ ๘ ให้มีการประชุมคณะกรรมการประจาบัณฑิตวิทยาลัยและคณะกรรมการประจาคณะ
อย่างน้อยปีละสี่ครั้ง วิธีการประชุมให้นาข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ว่าด้วยการประชุม
สภามหาวิทยาลัยมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๙ ให้อธิการดีรักษาการให้เป็นไปตามข้อบังคับนี้
(พระสุเมธาธิบดี)
นายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๕๘
ระเบียบบัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ว่าด้วยการศึกษาภาคฤดูร้อน พ.ศ.๒๕๕๒
(พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ)
คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย
ประธานคณะกรรมการประจาบัณฑิตวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๕๙
ระเบียบบัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ว่าด้วยการฝึกภาคปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน พ.ศ. ๒๕๔๗
ข้อ ๕ ให้คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยรักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
(พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ)
คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย
ประธานคณะกรรมการประจาบัณฑิตวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๖๑
ประกาศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เรื่อง เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ.๒๕๔๘
-----------------------------------
โดยที่เห็นเป็นการสมควรปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิตและพุทธศาสตรดุษฎี
บัณฑิต ให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ.๒๕๔๘ ของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อ
ประโยชน์ในการกาหนดมาตรฐานการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ให้ดาเนินไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ
และบรรลุวัตถุประสงค์ตามนโยบายของมหาวิทยาลัย
อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๙ (๒) แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พ.ศ. ๒๕๔๐ และมติสภามหาวิทยาลัย ในคราวประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๔๘ เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ จึง
ออกประกาศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เรื่อง เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ.
๒๕๔๘ ไว้ดังต่อไปนี้
๑. ระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต มีจานวนหน่วยกิตรวมตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า ๒๔ หน่วยกิต
๒. ระดับปริญญาโท มีจานวนหน่วยกิตรวมตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า ๓๘ หน่วยกิต
โดยแบ่งการศึกษา เป็น ๒ แผน ดังนี้
๑) แผน ก เป็นการศึกษาที่เน้นการวิจัย โดยมีการทาวิทยานิพนธ์ ดังนี้
แบบ ก (๑) ทาเฉพาะวิทยานิพนธ์ซึ่งมีค่าเทียบได้ ๓๘ หน่วยกิต และบัณฑิตวิทยาลัยอาจจัด
ให้ศึกษารายวิชาเพิ่มเติม โดยไม่ต้องนับหน่วยกิต เพื่อคุณภาพการศึกษาของผู้ศึกษา
แบบ ก (๒) ศึกษารายวิชาไม่น้อยกว่า ๒๖ หน่วยกิต และทาวิทยานิพนธ์ซึ่งมีค่าเทียบได้ ๑๒
หน่วยกิต จาแนกประเภทดังนี้
วิชาบังคับ ไม่น้อยกว่า ๘ หน่วยกิต
วิชาเอก ไม่น้อยกว่า ๑๒ หน่วยกิต
วิชาเลือก ไม่น้อยกว่า ๖ หน่วยกิต
วิทยานิพนธ์ ๑๒ หน่วยกิต
รวมทั้งสิ้น ไม่น้อยกว่า ๓๘ หน่วยกิต
๒) แผน ข ศึกษารายวิชาไม่น้อยกว่า ๓๒ หน่วยกิต และทาการศึกษาอิสระซึ่งมีค่าเทียบได้ ๖ หน่วยกิต
จาแนกประเภท ดังนี้
วิชาบังคับ ไม่น้อยกว่า ๘ หน่วยกิต
วิชาเอก ไม่น้อยกว่า ๑๒ หน่วยกิต
วิชาเลือก ไม่น้อยกว่า ๑๒ หน่วยกิต
การศึกษาอิสระ ๖ หน่วยกิต
รวมทั้งสิ้น ไม่น้อยกว่า ๓๘ หน่วยกิต
๓. ระดับปริญญาเอก แบ่งการศึกษาเป็น ๒ แบบ ดังนี้
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๖๒
(พระราชรัตนโมลี)
อุปนายกสภามหาวิทยาลัย ทาหน้าที่แทน
นายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๖๓
ประกาศบัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เรื่อง กาหนดส่วนประกอบเพิ่มเติมของโครงร่างวิทยานิพนธ์
(พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ)
คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๖๔
ประกาศบัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เรื่อง กาหนดการพิจารณาหัวข้อและอนุมัติโครงร่างวิทยานิพนธ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
(พระศรีสิทธิมุนี)
รักษาการคณบดี
ประธานคณะกรรมการประจาบัณฑิตวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๖๕
ประกาศบัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เรื่อง กาหนดรายวิชาให้นิสิตคฤหัสถ์ศึกษาเพิ่มเติม
(พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ)
คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๖๖
ข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ว่าด้วยการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา พุทธศักราช ๒๕๔๑ (ฉบับที่ ๔)
แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๕๕๓
---------------------
เพื่อให้การบริหารจัดการเกี่ยวกับการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย ดาเนินไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และบรรลุวัตถุประสงค์ตามนโยบายของ
มหาวิทยาลัย
อาศยอานาจตามความในมาตรา ๑๙ (๒) แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๔๐ และมติสภามหาวิทยาลัย ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๓ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๘
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ว่าด้วย
การศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๑ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้ เรียกว่า “ข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ว่าด้วยการศึกษา
ระดับบัณฑิตศึกษา พุทธศักราช ๒๕๔๑ (ฉบับที่ ๔) แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๕๕๓”
ข้อ ๒ ให้ใช้ข้อบังคับนี้กับนิสิตที่รับเข้าศึกษา ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๕๓ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกข้อความในข้อ ๓๐ แห่งข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ว่า
ด้วยการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา พุทธศักราช ๒๕๔๑ และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน
“ข้อ ๓๐ คุณสมบัติของผู้สาเร็จการศึกษา
๓๐.๑ มีเวลาศึกษาไม่น้อยกว่าและไม่เกินกว่าที่กาหนดไว้ในข้อ ๑๑
๓๐.๒ ได้ศึกษารายวิชาต่างๆ ครบถ้วนและถูกต้องตามเงื่อนไขที่กาหนด
ไว้ในหลักสูตร
๓๐.๓ ได้หน่วยกิตสะสมไม่น้อยกว่าที่กาหนดไว้ในหลักสูตร
๓๐.๔ ได้ค่าระดับเฉลี่ยสะสมไม่ต่ากว่า ๓.๐๐ จากระบบ ๔ แต้ม
๓๐.๕ ได้ระดับไม่ต่ากว่า B ในรายวิชาบังคับและรายวิชาเอกทุกรายวิชา
และได้ระดับ S ในกรณีทหี่ ลักสูตรกาหนดให้วัดผลเป็น S หรือ U
๓๐.๖ สอบผ่านการประเมินผลวิทยานิพนธ์ และส่งวิทยานิพนธ์ฉบับสมบูรณ์
ตามทีม่ หาวิทยาลัยกาหนด
๓๐.๗ วิทยานิพนธ์ในหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต จะต้องได้รับการ
ตีพิมพ์ หรืออย่างน้อยดาเนินการให้ทั้งหมดหรือส่วนหนึง่ ของ
วิทยานิพนธ์ได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์ทาง
วิชาการ หรือเสนอต่อที่ประชุมวิชาการทีม่ ีรายงานการประชุม
(proceeding)
๓๐.๘ วิทยานิพนธ์ในหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต จะต้องได้รบั การ
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๖๗
(พระธรรมสุธี)
นายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๖๘
ข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ว่าด้วยการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา (ฉบับที่ ๕)
พุทธศักราช ๒๕๕๓
-----------------------
โดยที่ เ ป็ น การสมควรปรั บ ปรุ ง บางส่ ว นของข้ อ บั ง คั บ มหาวิ ท ยาลั ย มหาจุ ฬ าลงกรณราช
วิทยาลัย ว่าด้วยการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา พุทธศักราช ๒๕๔๑ (ฉบับที่ ๔) แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช
๒๕๕๓ ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๙ (๒) แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราช
วิทยาลั ย พ.ศ. ๒๕๔๐ และมติส ภามหาวิท ยาลั ย ในคราวประชุมครั้ง ที่ ๔/๒๕๕๓ เมื่ อวั นพฤหั ส บดี ที่ ๑๗
มิถุนายน จึงออกข้อบังคับไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ ข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยว่าด้วยการศึกษาระดับ
บัณฑิตศึกษา (ฉบับที่ ๕ แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๕๕๓”
ข้อ ๒ ให้ใช้ข้อบังคับนี้กับนิสิตเข้าศึกษา ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๕๓ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกข้อความในข้อ ๒ แห่งข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ว่าด้วยการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา พุทธศักราช ๒๕๔๑ (ฉบับที่ ๔) แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๕๕๓
และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน
“ข้อ ๒ ให้ใช้ข้อบังคับบี้กับนิสิตที่รับเข้าศึกษา ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๔๙ เป็นต้นไป”
(พระธรรมสุธี)
นายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๖๙
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๗๐
ประกาศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เรื่อง อนุมัติเปิดสอนหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาพระพุทธศาสนา (หลักสูตรใหม่ พ.ศ.๒๕๕๖)
---------------
เพื่อให้การบริหารงานและการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ดาเนินไป
ด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ บรรลุวัตถุประสงค์และนโยบายของมหาวิทยาลัย
อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๙ (๒) และ (๖) แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๔๐ และมติสภามหาวิทยาลัย ในคราวประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันพุธที่ ๒๔ เมษายน
พ.ศ. ๒๕๕๖ นายกสภามหาวิทยาลัยจึงออกประกาศไว้ดังต่อไปนี้
“มหาวิทยาลั ยมหาจุ ฬาลงกรณราชวิทยาลั ย อนุมัติให้เปิดสอนหลั กสู ตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา (หลักสูตรใหม่ พ.ศ.๒๕๕๖) ณ ภาควิชาพระพุทธศาสนา คณะพุทธศาสตร์ ตั้งแต่ปี
การศึกษา ๒๕๕๖ เป็นต้นไป”
(พระธรรมสุธี)
นายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๗๑
ภาคผนวก ค
ประวัติอาจารย์ประจาระดับบัณฑิตศึกษา
สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๗๒
๕. ประสบการณ์สอนในมหาวิทยาลัย
๑) ประสบการณ์ในการสอนระดับปริญญาตรี (ภายใน ๓ ปี ย้อนหลัง)
ที่ วิชา มหาวิทยาลัย
๑ ศาสนากับการพัฒนา คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ
๒ ธรรมประยุกต์, คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ
๓ พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ
๔ พุทธศิลปะ คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ
๕ สถิติเบื้องต้นและการวิจัย คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ
๖ งานวิจัยทางพระพุทธศาสนา คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ
๗ ปรัชญาตะวันตกสมัยกลาง คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ
๘ พระพุทธศาสนามหายาน คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ
๙ พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ
๑๐ ศาสนากับภาวะผู้นา คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ
๑๑ พระพุทธศาสนากับสิทธิมนุษยชน คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ
๑๒ การจัดการข้อมูลเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาควิชาสังคมวิทยา
(การพัฒนาชุมชน)
๑๓ ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาควิชาสังคมวิทยา
(การพัฒนาชุมชน)
๑๔ สถิติเบื้องต้นสาหรับนักสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาควิชาสังคมวิทยา
(การพัฒนาชุมชน)
๑๕ วิชาศาสนาและประเพณีไทย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาควิชาสังคมวิทยา
(การพัฒนาชุมชน)
๑๖ วิชาบ้านและชุมชน คณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
๑๗ วิชาสังคมวิทยาชนบท จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๗๓
๖. ประสบการณ์ในงานวิจัยและการประเมินผล
๖.๑ งานวิจัย
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. งานวิจัยโครงการศึกษาการพัฒนานโยบายและกลไก การรักษา
ส่งเสริม สืบสานและปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม เสนอ สนง.คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, ๒๕๕๐.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. วิจัยโครงการจัดทามาตรฐานและตัวชี้วัดความโปร่งใสของ
หน่วยงานภาครัฐ เสนอ สานักงานข้อมูลข่าวสารของราชการ สานักงานปลัดนายกรัฐมนตรี, ๒๕๕๐.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. วิจัยโครงการจัดทามาตรฐานและตัวชี้วัดความโปร่งใสของ
หน่วยงานภาครัฐ เสนอ สานักงานข้อมูลข่าวสารของราชการ สานักปลัดนายกรัฐมนตรี, ๒๕๕๑.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. วิจัยเรื่องรู ปแบบการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวประเภทวัดใน
กรุงเทพมหานคร เสนอ สกว. สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาท่องเที่ยวไทย, ๒๕๕๑.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. วิจัยโครงการเผยแพร่เกณฑ์มาตรฐานและตัวชี้วัดที่กาหนด
ภายใต้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.๒๕๔๐ เสนอ สานักงานข้อมูลข่าวสารของราชการ สานัก
ปลัดนายกรัฐมนตรี, ๒๕๕๒.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. วิจัยโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนากองทุนหมู่บ้าน
และชุมชนเมืองเป็นสถาบันการเงินชุมชน เสนอ สานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ, ๒๕๕๓.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. วิจัยเรื่องรูปแบบและเครือข่ายการเรียนรู้ ของแหล่งท่องเที่ยว
ประเภทวัดในประเทศไทย เสนอสานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ๒๕๕๓
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. วิจัยโครงการพัฒนาเครือข่ายตรวจแนะนาศูนย์ข้อมูลข่าวสาร
ของหน่วยงานภาครัฐเพื่อขยายผลเป็นคณะผู้ตรวจประเมินหน่วยงานภาครัฐและ คณะผู้ตรวจประจาจังหวัด
เสนอสานักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ, ๒๕๕๔.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. วิจัยโครงการพัฒนาระบบและการเสริมสร้างความเชื่อมั่นด้าน
ความโปร่งใสหน่วยงานภาครัฐ เสนอสานักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ, ๒๕๕๔.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. วิจัยโครงการ การจัดระบบข้อมูลข่าวสารของราชการ ภายใต้
โครงการพัฒนาระบบและการเสริมสร้า งความเชื่อมั่นด้า นความโปร่งใสหน่วยงานภาครั ฐ เสนอสานักงาน
คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ, ๒๕๕๕.
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๗๔
๖.๒ บทความ
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. บทความทางวิชาการเรื่อง “การขับเคลื่อนจริยธรรม
ทางการเมืองวิกฤติการณ์ เป้าหมาย และการขับเคลื่อนด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” นาเสนอ ในการประชุม
วิชาการประจาปี ๒๕๕๐ สถาบันพระปกเกล้าฯ, ๒๕๕๐.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. บทความทางวิชาการเรื่อง “จริต สู่ จารีต ความงดงาม
จริยธรรมทางการเมือง”นาเสนอในการประชุมวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์แห่งชาติครั้งที่ ๘ จัดโดย
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๕๐.
พระมหาสุ ทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. บทความทางวิชาการเรื่อง “CSR : บทบาทและ
ความสัมพันธ์กับการพัฒนาชุมชน” น าเสนอในการประชุ ม สั ม มนาทางวิ ช าการพั ฒ นาชุ ม ชน ครั้ ง ที่ ๑
๒๕๕๐ จัดโดยคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๕๐.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. บทความทางวิชาการเรื่อง “การมีส่วนร่วมในการจัดการ
ความขัดแย้งในมิติพระพุทธศาสนา” หนังสือของสานักระงับข้อพิพาท กระทรวงยุติธรรม, ๒๕๕๑.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. บทความเรื่อง “CSR : บทบาทและความสัมพันธ์กับองค์กร
พระพุทธศาสนา” เสนอในงานประชุมอธิการบดีพระพุทธศาสนาโลก IABU ประเทศไทย, ๒๕๕๑.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. บทความเรื่อง “แนวคิดทันสมัย (Modernization) กับการ
พัฒนาชนบทไทย” เสนอในงานของ สานักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๕๑.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. บทความเรื่อง “(ภัยจาก) เกมคอมพิวเตอร์ออนไลน์ : แนว
ทางแก้ไขและมาตรการทางกฎหมาย” เสนอ สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, ๒๕๕๑.
พระมหาสุ ทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. บทความวิจัยเรื่ อง “Cultural and Tradition
Knowledge Management of Takdham Tradition at Sungmen Temple, Phrae Province” เสนอ
งานสัมมนาเครือข่ายวิจัยสายมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะมุนษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๕๒.
พระมหาสุ ทิตย์ อาภากโร (อบอุ่ น) ดร. บทความวิจัยเรื่ องรู ปแบบการพัฒนาแหล่งท่องเที่ย ว
ประเภทวัดในกรุงเทพมหานคร เสนอการประชุมการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการวิจัย (ทอมก.), ๒๕๕๓
พระมหาสุ ทิตย์ อาภากโร (อบอุ่ น) ดร. บทความวิจัยเรื่ องรู ปแบบการพัฒนาแหล่งท่องเที่ย ว
ประเภทวัดในกรุงเทพมหานคร เสนอในการประชุมวิสาขบูชาโลก, ๒๕๕๓ ๒๕๕๓.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. บทความวิจัยเรื่อง “ความเป็นไปในการพัฒนากองทุน
หมู่บ้านและชุมชนเมืองเป็นสถาบันการเงินชุมชน เสนอ ที่ประชุมระดับชาติของเครือ ข่ายวิชาการ พัฒนาชุมชน
และพัฒนาสังคม, ๒๕๕๔.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. บทความวิจัยเรื่อง การพัฒนาระบบการบริหารจัดการและ
การสร้างเครือข่ายองค์กรพระพุทธศาสนาในประเทศไทย เสนองานสัมมนาวิจัยและวิทยานิพนธ์ดีเด่น ประจาปี
๒๕๕๕ ร่วมกับบัณฑิตวิทยาลัย, ๒๕๕๕.
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๗๕
๖.๓ หนังสือ
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. “ตัวชี้วัดความสุข : การสร้างและการใช้เพื่อชุมชนเป็น
สุข”โครงการเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข จัดพิมพ์ (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์แม็ค,
๒๕๕๓.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. หนังสือเรียนสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ม.๑-ม.๓.
กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์แม็ค, ๒๕๕๐.
๖.๔ เอกสารประกอบการสอน
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) ดร. เอกสารการสอนชุดวิชา “ปัญหาอุปสรรคและการพัฒนา
ท้องที”่ โดยเขียนหน่วยที่ ๑๒ “เครือข่ายชุมชนกับการพัฒนาท้องที”่ ๒๕๕๑.
พระมหาสุ ทิ ต ย์ อาภากโร (อบอุ่ น ) ดร. เอกสารการสอนสาขาวิ ช าวิ ท ยาการจั ด การ
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (ระดับปริญญาตรี), ๒๕๕๒.
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๗๖
๖. ผลงานทางวิชาการ (งานวิจัย/บทความทางวิชาการ/หนังสือ/ตารา)
๖.๑ ตารา/หนังสือ
พระมหาสุรศักดิ์ ปจฺจนฺตเสโน.(แต่งร่วม) ประวัติพุทธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย, ๒๕๕๐.
๖.๒ บทความทางวิชาการ
พระมหาสุรศักดิ์ ปจฺจนฺตเสโน. “การศึกษาเชิงวิเคราะห์พุทธปรัชญาในวรรณคดีโคลงโลกนิติ” ใน สาร
นิพนธ์พุทธศาสตรบัณฑิต, กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙
พระมหาสุรศักดิ์ ปจฺจนฺตเสโน. “อัคคัญญสูตร” ในวารสาร พุทธศาสตรปริทรรศน์, กรุงเทพมหานคร :
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙
พระมหาสุรศักดิ์ ปจฺจนฺตเสโน. "พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์" ใน เดลีวิชาการ Delhi : Om Laser
Printers, ๒๐๐๗.
พระมหาสุรศักดิ์ ปจฺจนฺตเสโน. "สวนโมกขพลาราม:ศึกษาแนวคิดและผลกระทบต่อสังคม" ใน วารสาร
TSG.MAILS.ปีที่ ๑๒ ฉบับที่ ๑๒, เดลี: กลุ่มพระนักศึกษาไทยมหาวิทยาลัยเดลี, ๒๕๕๑.
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๗๗
๓. ดร.อธิเทพ ผาทา
๑) ประสบการณ์ในการสอนระดับปริญญาโท
๑ ศึกษางานสาคัญทางพระพุทธศาสนา บัณฑิตวิทยาลัย(ส่วนกลาง)
๒ พุทธปรัชญา บัณฑิตวิทยาลัย(ส่วนกลาง)
๓ พุทธศาสนาเถรวาท วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์
๔ พุทธศาสนามหายาน วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์
๕ พุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่ วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์
๖ ปรัชญาการเมือง บัณฑิตวิทยาลัย(ส่วนกลาง)
๖. ผลงานทางวิชาการ (งานวิจัย/บทความทางวิชาการ/หนังสือ/ตารา)
๖.๑ งานวิจัย
ดร.อธิเทพ ผาทา. ศึกษาวิเคราะห์แนวคิดเรื่องประโยชน์นิยมในพุทธปรัชญาเถรวาท. สถาบันวิจัยพุทธ
ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑.
ดร.อธิ เ ทพ ผาทา. กุ ศ โลบาย : ศึ ก ษาการใช้ ปั ญ ญาเพื่ อ การแก้ ไ ขปั ญ หาที่ ป รากฏในคั ม ภี ร์
พระพุทธศาสนาเถรวาท. สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย, ๒๕๕๐.
ดร.อธิเทพ ผาทา. การศึกษาวิเคราะห์การแสวงหาและการใช้อานาจตามกระบวนการทางการเมืองใน
พระพุทธศาสนา ศึกษาเฉพาะกรณีพระเทวทัต . สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑.
ดร.อธิเทพ ผาทา .การศึกษาเปรี ยบเทียบแนวคิดเรื่ องอาลยวิชญานในพุทธปรั ชญาโยคาจารกับ
ภวังคจิตในพุทธปรัชญาเถรวาท. สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓.
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๗๙
๖.๒ เอกสารประกอบการสอน
ดร.อธิเทพ ผาทา. เอกสารประกอบการสอนรายวิชาศึกษางานสาคัญทางพระพุทธศาสนา.บัณฑิต
วิทยาลัย คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑.
ดร.อธิเทพ ผาทา .เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพุทธปรัชญา. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหา
จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔.
ดร.อธิเทพ ผาทา .เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพุทธศาสนาเถรวาท. วิทยาลั ยสงฆ์นครสวรรค์ ,
๒๕๕๕.
ดร.อธิเทพ ผาทา .เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพุทธศาสนามหายาน. วิ ท ยาลั ย สงฆ์ น ครสวรรค์
,๒๕๕๕.
ดร.อธิเทพ ผาทา .เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่. วิทยาลั ย
สงฆ์นครสวรรค์, ๒๕๕๕.
ดร.อธิเทพ ผาทา . เอกสารประกอบการสอนรายวิชาปรัชญาการเมือง. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕.
๗. กรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์
เป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก สาขาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัย
Yale สหรัฐอเมริกา
เป็นกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
และมหาวิทยาลัยอื่นๆ
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๘๐
๔. ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ
๖. ผลงานทางวิชาการ (งานวิจัย/บทความทางวิชาการ/หนังสือ/ตารา)
๖.๑ งานวิจัย
ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการณ์ .วิจัยเรื่องความรับผิดชอบทางสังคมของภาคธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (AICHR), ๒๕๕๑.
ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการณ์ . วิจัยขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ภาคธุรกิจและเอกชนมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาประเทศตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
,๒๕๕๒.
๖.๒ บทความทางวิชาการ
ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการณ์ .บทความเรื่อง "The Time Horizons of Sufficiency Strategy in
Dealing with Economic Recovery" ในการประชุม "Global Ethics Forum ๒๐๑๒"
(พ.ศ. ๒๕๕๕) ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์.
ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการณ์ . บทความในหัวข้อ "Ethical Investments for a Sufficiency
Economy" ในการประชุมนานาชาติ ว่าด้วยเรื่อง “Globalization for the Common
Good” (พ.ศ.๒๕๕๓) ณ California Lutheran University, Center for Leadership &
Values รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา.
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๘๑
๖.๔ เอกสารประกอบการบรรยาย
ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการณ์ .เอกสารวิจัยสนับสนุน (Background Paper) เรื่อง “ปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียงในฐานะเครื่องมือสาหรับการวางแผนในภาคธุรกิจเอกชน” ประกอบการ
จัดทารายงานการพัฒนาคนในประเทศไทย ประจาปี ๒๕๕๐ ของสานักงานโครงการพัฒนา
แห่งสหประชาชาติ (UNDP)
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๘๒
๕. ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์
๖. ผลงานทางวิชาการ (งานวิจัย/บทความทางวิชาการ/หนังสือ/ตารา)
๖.๑ ผลงานวิจัย
ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์ . งานวิจัยเรื่อง คาสอนเรื่อง “วิปลาส”ในพระพุทธศาสนา : ศึกษา
เฉพาะกรณี คาสอนของสานักธรรมกาย (A Teaching of Perversion (vipalasa) in Buddhism :
A Case Study of A Teaching of Dhammakaya Monastery), ๒๕๕๐ .
ดร.จรู ญ วรรณกสิ ณ านนท์ งานวิ จั ย เรื่ อ ง ศึ ก ษาวิ เ คราะห์ “การปฏิ เ สธอั ต ตา” ใน
พระพุทธศาสนาเถรวาท (An Analytical Study of Rejection in Theravada Buddhism.),
๒๕๕๐.
๖.๓ ตารา
ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์.ความรู้รอบตัวพระพุทธศาสนา.กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์พุทธลีลา, ๒๕๕๐.
ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์ .พุทธธรรมนูญ แห่งพุทธอาณาจักรไทย.กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์พุทธลีลา
,๒๕๕๑.
ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์. การเพ่งกสิณ วิธีทากรรมฐานที่จิตเป็นสมาธิเร็ว.กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์
พุทธลีลา, ๒๕๕๑.
ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์ .พลังกสิณ (พลังอานาจแห่งความสาเร็จ).กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์พุทธ
ลีลา, ๒๕๕๒.
ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์. กสิณกรรมฐาน.กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์พุทธลีลา, ๒๕๕๓.
ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์.คู่มือการเพ่งกสิณ.กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์พุทธลีลา, ๒๕๕๔.
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๘๓
๖.๔ บทความ
ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์ . เสนอบทความทางวิชาการ เรื่อง “คาสอนเรื่องวิปลาสใน
พระพุทธศาสนา” ณ โรงแรม เอส ดี อะเวนิว จัดโดยคณะ สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๕๕.
ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์. เสนอบทความทางวิชาการในบทความเรื่อง “ ทฤษฎีการพิสูจน์
อัตตาในพระพุทธศาสนา” ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานคร จัดโดยคณะสังคมศาสตร์และ
มนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๕๓.
๗. กรรมการวิทยานิพนธ์
เป็นกรรมการสอบสารนิพนธ์เรื่อง “การศึกษาวิเคราะห์ เรื่องความวิปลาส” ของนิสิตปริญญาโท
มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๐.
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๘๔
ภาคผนวก ง
คาสั่งแต่งตัง้ คณะกรรมการปรับปรุงหลักสูตร
พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๘๕
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๘๖
มคอ. ๒ สาขาวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๘๗
ภาคผนวก ค