Professional Documents
Culture Documents
เขียนโดย
นายตะวัน เพ่งพิศ
สารบัญ
เรื่อง หน้ า
บทนา 1
ฤทธิ์ 10 5
อภิญญา 6 16
วิชชา 3 18
วสี สมาธิ 19
วิชาธรรมจักร 26
วิชาเข้าฌานแบบพิสดาร (สมาธิ เบื้องต้นพื้นฐานอภิญญา) 33
วิชาการเข้าญาณที่ถูกวิธี (โดยไม่ให้พลังฌานลดลง) 38
วิชารักษาอิทธิ ฤทธิ์ (อานาจฌาน) 39
พลังฌานรวมพลังญาณ 42
วิชาปัญญาญาณ 45
วิชาตาปัญญา 49
วิชาหูปัญญา 51
วิชาปลุกธาตุตาทิพย์ 53
วิชาใช้ดวงตาสะกด (สัตว์ร้าย อสรพิษต่างๆ) 56
วิชาเปลี่ยนเสี ยงตัวเองให้หวานไพเราะละมุนละไม (ไพเราะจับจิตจับใจ) 58
พลังช้างสาร 60
พลังชีวติ 62
พลังลมปราณ 65
วิชาเคลื่อนไหวชัว่ พริ บตา 67
วิชาเรี ยกพายุ 69
วิชาสลายพายุในอากาศ 71
วิชาล่องหนหายตัวในอากาศ 72
วิชาอัญเชิญพระธาตุกายสิ ทธิ์ (มหาธาตุแห่งโชคลาภ พระสี วลี) 74
วิชาเสกเงิน (ด้วยอานาจแห่ งบุญฤทธิ์ ) 80
วิชาเปลี่ยนร่ างกายตัวเองให้กลายเป็ นธาตุกายสิ ทธิ์
(ต่างกับพลังทางพุทธคุณ คือพลังธาตุกายสิ ทธิ์ น้ นั เอง) 82
วิชาอัญเชิญธาตุกายสิ ทธิ์ ออกจากร่ างกาย 85
วิชาอัญเชิญพระพุทธคุณจากอากาศเข้าสู่ ร่างกาย 87
วิชาอัญเชิญพระพุทธคุณจากร่ างกายออกสู่ อากาศธาตุ 89
เรื่อง หน้ า
โคตรภูญาณ 90
พลังโพธิพนั ญาณ 102
วิชาดึงบารมีในอนาคตตอนบรรลุธรรมออกมาใช้ 104
วิชาหยุดเวลา ใช้ฤทธิ์ บงั คับไม่ให้พระอาทิตย์ข้ ึน (หรื อจะให้พระอาทิตย์เดินเวลาใด
สุ ดแต่ใจปรารถนาบังคับเวลาและพระอาทิตย์) 105
วิชาควบคุมหัวใจหรื อเปลี่ยนหัวใจตัวเองให้กลายเป็ นก้อนดินหรื อน้ าแข็ง
(พระอิฐพระปูน บางครั้งบางเวลา) 107
วิชาเปลี่ยนอากาศ (จะร้อน หนาว หรื อฝน สุ ดแต่ใจปรารถนา
หรื อใช้ฤทธิ์ บงั คับเปลี่ยนอากาศ) 109
วิชาเปลี่ยนดินที่แห้งแล้งให้กลับชุ่มชื้น (เสกต้นข้าวต้นไม้ที่ตายให้กลับฟื้ น) 111
วิชาโปรดสัตว์ท้ งั สามโลกด้วยกายทิพย์ (มโนมัยฤทธิ์ ) 113
วิชาแยกร่ าง (กายทิพย์) 116
อภินิหารเดินลุยไฟ 118
วิชาแปลงกาย 119
วิชาประสานบาดแผล 121
วิชาชุบชีวติ ให้ผอู้ ื่น (เรี ยกดวงจิตเขากลับเข้าร่ าง) 122
พลังสมาธิ หยัง่ รู ้ใจเทวดาและภาษาสัตว์ต่างๆ หรื ออ่านใจหรื อรู ้ใจสัตว์ก็เรี ยก 124
วิชาทาให้แผ่นดินไหว 126
อาสวักขยญาณ 128
บทส่ งท้ายผูเ้ ขียน 134
รายนามผูบ้ ริ จาคร่ วมบุญพิมพ์หนังสื อธรรมะ 136
1
บทนา
วิชาสมาธิภาคพิสดารหรืออภิญญาสู งสุ ดทางพระพุทธศาสนา
จุดประสงค์ข องผูเ้ ขีย น คื อ รวบรวมค าสั่ งสอนของพระพุ ท ธเจ้า และอภิ ญ ญาที่ ห าย
สาบสู ญ ไปทั้ง หมด กลับ คื น มาสู่ พ ระพุ ท ธศาสนาอี ก ครั้ ง หมายเหตุ ถ้าเรื่ อ งใดมี อ ยู่แ ล้วจะ
ไม่จาเป็ นต้องนามาเผยแผ่ เพราะมี ผนู ้ ามาเผยแผ่อยูแ่ ล้ว แต่จะเขียนเป็ นแนวทางแห่ งการศึกษา
และปฏิบตั ิธรรมเท่านั้นว่าสมาธิ เหล่านั้นเริ่ มต้นจากจุดใด จะเขียนและนามาเผยแผ่เฉพาะวิชาที่หาย
สาบสู ญไป
วิชาอภิ ญญาสู งสุ ดทางพระพุทธศาสนาทั้งหมดที่หายสาบสู ญไปกว่าครึ่ ง เราเองจะเป็ น
ผูน้ ากลับมา มอบคืนให้พระพุทธศาสนาทั้งหมด
เพื่อดารงไว้ซ่ ึ งคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สื บอายุของพระพุทธศาสนาต่อไป
พลังสมาธิ เริ่ มต้นที่สติปัฏฐาน 4 แล้วแบ่งแยกออกเป็ นหลายแบบ ดังต่อไปนี้ คือ
1. วิชาแสงทิพย์
2. พลังจักรวาล (คือการรวมธาตุ)
3. วิชาธรรมกาย
4. วิชาธรรมจักร
5. วิชารังสี ธรรม
6. พลังจิตตญาณ (วิชาการฝึ กสมาธิแบบทางพระธิเบต)
7. พลังโซล่าเซลล์ (อานาจจิตไวเหนือแสง)
8. พลังปลุกธาตุ
9. พลังเคลื่อนย้ายจักรวาล
10. พลังจักรธาตุ (คือการแยกธาตุ)
11. พลังอรหันต์นิทรา (เข้าสมาธิ อิริยาบถนอน)
12. พลังพระธาตุ
13. วิชาสลายธาตุ หรื อวิชาพลิกธาตุ
14. วิชาสกัดธาตุ (คือการสกัดจิตตัวเองให้บริ สุทธิ์ ปราศจากกิเลส)
15. วิชาประสานกาย (พลังสมาธิใช้ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ตวั เองและผูอ้ ื่น)
16. พลังออร่ า
17. พลังสมดุลแห่งจักรวาล (หยิน – หยาง)
18. วิชาเล่นแร่ แปรธาตุ
19. พลังกายกับจิตทวีคูณสองเท่า
20. วิชาอิ่มทิพย์ (ใช้เฉพาะอดข้าวปฏิบตั ิธรรมหรื ออยูป่ ่ า)
21. วิชาห้ามลมห้ามฝน
22. วิชาเรี ยกลมเรี ยกฝน
2
23. พลังอนัน ตจัก รวาล (วิช าเพิ่ ม พลัง หรื ออานาจฌานแบบไร้ ขี ดจากัด หรื อพลังไร้
ขอบเขตก็เรี ยก)
24. วิชาเพลิงกาย (ดวงจิตสุ ริยะ)
25. วิชาส่ งกระแสจิตหาผูอ้ ื่น
26. วิชาดึงธาตุหรื อดูดธาตุ (วิชาอรหันต์ปราบมาร)
27. วิชาอ่านคลื่นจิตผูอ้ ื่นได้ในระยะใกล้หรื อไกล
28. พลังข่ายญาณวิเศษ
29. พลังอนัตตาญาณ
30. วิชาสลายดวงจิต (เป็ นการเข้าสมาธิแบบดับกาย ดับจิต และดับธรรม)
31. วิชาเรี ยกดวงจิตกลับคืน (เป็ นการออกสมาธิแบบพิสดาร)
32. พลังบุญฤทธิ์ (พลังสมาธิ สาหรับฆราวาสผูค้ รองเรื อน)
33. ฤทธิ์ ทางใจแบบพิสดาร
34. วิชาเรี ยกพลังธาตุ
35. จุตูปปาตญาณ (รู ้สัตว์เกิดตายด้วยอานาจกรรมของตัวเอง)
36. อนุสาสนีปาฏิหาริ ย ์ (แสดงธรรมได้เป็ นอัศจรรย์)
37. วิชาเข้าฌานแบบพิสดาร (สมาธิ เบื้องต้นพื้นฐานอภิญญา)
38. วิชาถอนคุณไสย์เสน่ห์เล่ห์กลอวิชชาและมนต์ดา
39. วิชาเพ่งญาณตรวจดูธาตุกายสิ ทธิ์ ในร่ างกายคน
สมถะนั้นถ้าไม่ต่อยอดเป็ นวิปัสสนาก็สุดแค่โลกียฌาน
(ไม่สามารถเข้าถึงโลกุตตระได้)
การเจริ ญ ฌานสมถะสู ง สุ ด แค่ ช้ ัน พรหมเท่ า นั้ น ถ้า ไม่ เจริ ญ วิ ปั ส สนาต่ อ การเจริ ญ
วิปัสสนาต่อจากการเจริ ญฌานสมถะ เป็ นการหลุดพ้นด้วยเจโตวิมุตติ
สมัยหนึ่ งนั้นอุป ติส สะ (พระสารี บุ ตร) สาเร็ จฌานสมาบัติมาจากสานักอาจารย์สัญชัย
ปริ พาชก ท่านพิจารณาด้วยปั ญญาว่าทางนี้ ไม่ใช่ ทางที่ เราจะบรรลุ ธรรมได้ จึงได้หาอาจารย์ต่อ
เพื่อแสวงหาโมกขธรรม ได้พบกับอาจารย์ (พระอัสสชิ ) ท่านแสดงธรรมให้ฟัง มีใจความว่า
ธรรมใดเกิด แต่ เหตุ ธรรมนั้ นย่ อมดับ ได้ ด้ว ยเหตุ เมื่ ออุ ป ติ ส สะ (พระสารี บุตร) ฟั งแล้วเกิ ด
ดวงตาเห็นธรรม
พระสารี บุตรนั้นท่านมีอภินิหารพอๆ กับพระโมคคัลลานะ เพราะเป็ นศิษย์อาจารย์สานัก
เดียวกันและท่านสาเร็ จฌานอภิญญา สมัยตั้งแต่เรี ยนอยูใ่ นสานักอาจารย์สัญชัยปริ พาชก แต่ท่าน
สร้างบารมีมาในด้านของปั ญญาบารมี จึงไม่ได้หลุดพ้นด้วยเจโตวิมุตติ เหมือนพระโมคคัลลานะ
แต่พระสารี บุตร สาเร็ จเป็ นพระอรหันต์ดว้ ยปั ญญาวิมุตติ ถึงพร้อมแล้วด้วยปฏิสัมภิทา 4 ส่ วน
พระโมคคัลลานะ หลุดพ้นด้วยเจโตวิมุตติ ถึงพร้อมแล้วด้วยอภิญญา 6
ด้วยเหตุน้ ี การเจริ ญสมถะแล้วมาต่อวิปัสสนาทีหลัง เหมือนกับพระโมคคัลลานะ เป็ น
การหลุดพ้นด้วยเจโตวิมุตติ อันข้าพเจ้าจะได้กล่าวไว้ในหนังสื อเล่มนี้
ส่ วนปั ญญาวิมุตติ จะได้กล่าวไว้ในหนังสื อเล่มวิชาปั ญญาญาณ
ทั้งเจโตวิมุตติและปั ญญาวิมุตติ รวมทั้งวิชาของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สายต่างๆ
เพื่ อบรรลุ ธ รรม ของพระอรหันต์ทุ ก สายการปฏิ บ ัติจะได้ก ล่ าวไว้ใ น หนัง สื อเล่ ม วิชาท าลาย
อาสวะกิ เลส (กรุ ณาติดตามอ่านงานเขียนของผูเ้ ขียน) จะได้เขียนไว้ครบทุกสายของการปฏิบตั ิ
เพื่อประโยชน์ผอู ้ ่านจะได้เลือกปฏิบตั ิให้เหมาะสมกับจริ ต และวาสนาบารมีธรรมของตน
8
วิชาอภิญญาฤทธิ์ ผเู ้ ขียนต่อจากพื้นฐานวิชาสมาธิภาคพิสดาร
สาหรับวิชาอภิ ญญาฤทธิ์ นี้ ผูเ้ ขียนจะเขียนต่อจากหนังสื อเล่ มแรกวิชาสมาธิ ภาคพิสดาร
เป็ นการเจริ ญสมถะแล้วมาต่อยอดเป็ นวิปัสสนาทีหลัง
ผูเ้ ขี ย นจึ งเลื อ กเอาเฉพาะวิช าอภิ ญ ญาที่ เป็ นประโยชน์ และเน้น การปฏิ บ ัติฌ านสมถะ
เพื่อมาเจริ ญวิปัสสนาต่อ
หนังสื อวิช าอภิ ญ ญาฤทธิ์ จึ งเขี ยนวิช าธรรมดาพื้ น ฐานสลับ กัน ไปกับ วิช าสายพิ ส ดาร
ตามความเหมาะสม ซึ่ งต่างจากงานเขียนเล่มแรก ที่เขียนเฉพาะสายพิสดารอย่างเดียว
ตัวอย่างเช่น การฝึ กพลังธาตุ
การฝึ กพลังธาตุน้ นั จะฝึ กธรรมดาหรื อพิสดารก็ได้ สุ ดแล้วแต่จริ ตและวาสนาบารมีธรรม
ของผูน้ ้ นั สร้างมาอย่างไร ก็ฝึกแบบนั้น จะได้ตรงกับของเก่าที่ตนเองได้สร้างสมบารมีธรรมมา
ข้อแตกต่าง ระหว่างพลังธาตุสายธรรมดากับสายพิสดาร
พลังธาตุสายธรรมดา เป็ นการฝึ กเจริ ญ กสิ ณ จนช านาญเป็ นวสี ส มาธิ สามารถย่อ
ขยายดวงกสิ ณ และใช้อานุภาพของนิมิตจากการเจริ ญกสิ ณได้ เป็ นต้น
พลังธาตุสายพิสดาร เป็ นการฝึ กพลังธาตุ ม าจากการเจริ ญ กสิ ณ และฝึ กให้พิ ส ดาร
ออกไป เช่ น เรี ยกพลังธาตุ การปรับธาตุในร่ างกาย การสมดุ ลพลังธาตุ การคลื่ นย้ายถ่ ายเท
พลังงาน (เรี ยกว่า พลังเคลื่ อนย้ายจักรวาล) และการสกัดธาตุให้จิตของตัวเองบริ สุทธิ์ ยิ่งขึ้นไป
ในการเจริ ญพลังธาตุและได้นิมิตมาแล้ว ก็สกัดพลังให้นิมิตนั้นละเอียด มีความบริ สุทธิ์ เป็ นต้น
ด้วยเหตุ น้ ี จะฝึ กแบบธรรมดาหรื อพิ สดารก็ได้ท้ งั นั้น ขึ้ นอยู่กบั จริ ตและวาสนาบารมี
ธรรมของแต่ละคน
ข้ อควรทราบ วิชาสายพิ สดารจะเลื อกถ่ ายทอดให้ผูไ้ ม่ มีทิ ฏ ฐิ เท่านั้น ผูเ้ ป็ นอาจารย์ก็ ดี
ผูเ้ ป็ นกัลยาณมิตรก็ดี จึงพิจารณาบุคคลผูท้ ี่เหมาะสมมอบวิชาสายพิสดารให้ ไม่มีประโยชน์อนั ใด
ที่จะให้กบั ผูท้ ี่มีทิฏฐิ เพราะเขาไม่เข้าใจเลยว่า การฝึ กสมาธิ สายพิสดารนั้นฝึ กอย่างไร เป็ นเหตุ
ให้เขาติเตียนการฝึ กสมาธิ สายพิสดารได้ และไม่เกิดประโยชน์อนั ใดเลยกับบุคคลผูน้ ้ นั
ในความเป็ นจริ ง การฝึ กพลังธาตุตอ้ งผ่านมาหมด ไม่ตอ้ งจาต้องฝึ กกสิ ณแบบธรรมดา
จะฝึ กแบบธรรมดาหรื อแบบพิสดาร ก็ตอ้ งรู ้จกั วิธีควบคุ มพลังธาตุ การเรี ยกพลังธาตุ การปรับ
สมดุลพลังธาตุในร่ างกายของเรา การสลายพลังธาตุถา้ มีอยูม่ ากเกินไป จนร่ างกายรับไม่ได้ การ
เคลื่อนย้ายถ่ายเทพลังงานต่างๆ การพัฒนานิ มิตของตนให้ดียิ่งขึ้นด้วยพลังสกัดธาตุ และการนา
พลังธาตุมารักษาโรคให้กบั ตนเองและผูอ้ ื่น เป็ นต้น
เล่ ม แรกวิช าสมาธิ ภาคพิ ส ดาร จึ งไม่ ไ ด้เขี ยนพลังธาตุ ไว้ม ากเกิ นไป แต่ เขี ยนไว้พ อดี
เพราะผูป้ ฏิ บตั ิตอ้ งผ่านจุดนี้ มาทั้งนั้น จากประสบการณ์ ปฏิบตั ิธรรมของผูเ้ ขียน รวมทั้งถ่ายทอด
วิชาความรู ้ให้ผอู ้ ื่น เพราะวิชาพวกนี้หาครู บาอาจารย์ที่ถ่ายทอดให้ผอู ้ ื่นยากมาก
ผูเ้ ขียนจึงเขียนไว้เพื่อเป็ นประโยชน์สาหรั บผูอ้ ่าน วันไหนไม่ค่อยมีพลังจะเรี ยกพลังธาตุ
อย่างไร วันไหนพลังมากเกินไป จะสลายธาตุอย่างไร พลังน้ าและไฟตีกนั จะปรับสมดุลธาตุ
อย่างไร และจะพัฒนานิ มิตของตนเองให้ดียิ่งขึ้นและบริ สุทธิ์ ได้อย่างไร ผูป้ ฏิบตั ิตอ้ งผ่านจุดนี้ มา
9
ทั้งนั้น ไม่วา่ ปฏิบตั ิวชิ าอะไร ก็จาเป็ นต้องรู ้วธิ ี ควบคุมพลังของตนเอง และการพัฒนานิมิต การ
ปรับสมดุ ลพลังต่างๆ ของตนเองได้ เป็ นต้น จึงเป็ นสิ่ งที่ผปู ้ ฏิ บตั ิธรรมทั้งหลายควรจะรู ้ ในการ
ปฏิบตั ิสมาธิ เจริ ญภาวนา อันข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในหนังสื อเล่มแรกวิชาสมาธิ ภาคพิสดาร ดังนี้
เรี ยนวิชาเพื่อรู ้หาใช่ยดึ ติดในวิชานั้นไม่
วิชาต่างๆ ในพระพุทธศาสนา ไม่วา่ จะเป็ นวิชชา 3 อภิญญา 6 ปฏิสัมภิทา 4 เรียน
เพื่อรู้ หาใช่ ยึดติดในวิชานั้นไม่ ถ้ายึดติดแล้วก็จะติดในอภิญญาสมาธิ ไม่สามารถเจริ ญวิปัสสนา
ต่อได้ ผูเ้ ขียนเขียนให้รู้เท่านั้น ไม่ได้ให้ยึดติด เพราะว่าถ้าไม่เขียนก็จะไม่มีคนสื บทอดวิชาทาง
พระพุ ท ธศาสนา และวิ ช าพวกนี้ นานไป ถ้ า ไม่ มี ค นสื บทอดก็ จ ะหายสาบสู ญไปจาก
พระพุทธศาสนา คงเหลือแต่วปิ ั สสนาล้วน
เพื่อป้ องกันไม่ให้วิชาทางพระพุทธศาสนาหายสาบสู ญไป ผูเ้ ขียนจึงได้เขียนให้ครบหมด
ทุ ก อย่า ง ไม่ ว่า จะเป็ นวิ ช ชา 3 อภิ ญ ญา 6 ปฏิ สั ม ภิ ท า 4 เพื่ อ ให้ มี ค นสื บ ทอดวิช าทาง
พระพุทธศาสนา และพระพุทธศาสนาจะได้มี คนมีความรู้ความสามารถวิชาที่หลากหลายแบบ
แม้แ ต่ วิปั ส สนาล้วน ที่ เป็ นธรรมะปฏิ บ ัติ ก็ ไ ม่ ค วรยึ ด ติ ด ในวิ ช าของตน เพราะว่า
ธรรมะทั้งหลายของพระพุทธเจ้า ถ้ายึดติดในความรู ้ของตนแล้ว ก็เกิดเป็ นอัตตายึดมัน่ ถือมัน่ ขึ้น
ในความรู ้ของตนเป็ นทิฏฐิไม่สามารถล่วงพ้นจากกองทุกข์ได้
การที่ ค นเราไม่ มี ทิ ฏ ฐิ ในความรู ้ ก็จะสามารถยอมรั บ วิช าต่างๆได้ และพัฒ นาความรู ้
ของตนให้ม ากขึ้ นกว่าเก่ า ถ้าบุ คคลใดมี ทิ ฏ ฐิ ในความรู้ ของตน เขาก็ จะมี วิช าความรู ้ อยู่แค่ น้ ัน
ไม่สามารถพัฒนาวิชาความรู ้ของตนขึ้นมาได้
ด้วยเหตุน้ ี ไม่วา่ จะเป็ นวิปัสสนาล้วน วิชชา 3 อภิญญา 6 ปฏิสัมภิทา 4 คุณธรรม
ต่างๆ ในพระพุทธศาสนา จึงเรี ยนเพื่อรู ้ในวิชาต่างๆ ไม่ใช่เพื่อยึดติดในวิชานั้นไม่
แม้คนเราจะก้าวไปเพื่อนิ พพาน วิชาความรู ้ สู่ ทางแห่ งมรรค ผล นิ พพาน คื อเรี ยน
เพื่ อ รู ้ แ ละน ามาปฏิ บ ัติ เท่ า นั้น จะพ้น ไปจากทุ ก ข์จ ริ ง ๆ วิ ช าต่ า งๆ ก็ ไ ม่ เอาอะไรเลยทั้ง สิ้ น
หมายถึง สามารถปล่อยวางได้หมด ไม่ยดึ ติดทุกอย่าง อันเป็ นเหตุแห่งการยึดมัน่ ถือมัน่ ทั้งปวง
ด้ ว ยเหตุ น้ ี วิ ช าจึ ง เปรี ยบเสมื อ นเข็ ม ทิ ศ น าทางเท่ า นั้ น พอไปถึ ง ฝั่ ง แล้ ว เข็ ม ทิ ศ
ก็ไม่จาเป็ นต้องใช้ เรื อแพใดๆ ก็ไม่จาเป็ นต้องใช้ อีกต่อไป
วิชาจึงเปรี ยบเสมือนเข็มทิศนาทางให้พน้ จากกองทุกข์
เรื อแพจึงเปรี ยบเสมือนอริ ยมรรคมีองค์ 8 ประการ ปฏิบตั ินาไปสู่ มรรค ผล นิพพาน
พายจึงเปรี ยบเสมือนความเพียรพยายามนาบุคคลให้ถึงฝั่ง
แม้บุคคลถึงฝั่งแล้ว วิชาก็ไม่จาเป็ นต้องใช้ เรื อแพและพาย ก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป
แต่ เมื่ อ ใดที่ บุ ค คลยัง ไม่ ถึ ง ฝั่ ง ทั้ง วิ ช า ทั้ง เรื อ แพและพาย ยัง คงมี ค วามหมายและ
ความสาคัญอยู่ จนกว่าจะทาความเพียรออกจากทุกข์ท้ งั ปวง
เพราะฉะนั้ น วิชาต่ างๆ ซึ่ งเปรี ยบเสมือนเข็มทิศนาทาง จึงเรี ยนเพื่อรู้ หาใช่ เพื่อยึดติด
ดังนี้
10
ปัญญาว่าด้ วยความเชื่อ
กาลามสู ตร คือ พระสู ตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมูบ่ า้ นเกสปุตติยนิคม
แคว้นโกศล (เรี ยกอีกอย่างว่า เกสปุตติยสู ตร หรือเกสปุตตสู ตร ก็มี)
กาลามสู ต รเป็ นหลัก แห่ ง ความเชื่ อ ที่ พระพุ ท ธองค์ท รงวางไว้ใ ห้ แ ก่ พุ ท ธศาสนิ ก ชน
ไม่ให้เชื่อสิ่ งใดๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญา
พิจารณาให้เห็นจริ งถึงคุณโทษหรื อดี ไม่ดี ก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่
1. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
2. อย่าเพิง่ เชื่อตามที่ทาต่อๆ กันมา
3. อย่าเพิ่งเชื่อตามคาเล่าลือ
4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตารา
5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
7. อย่าเพิง่ เชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
8. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
9. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผูพ้ ดู เป็ นครู บาอาจารย์ของตน
เมื่อใด พึงรู ้ดว้ ยตนเองว่าธรรมเหล่านั้นเป็ นอกุศล มีโทษ เป็ นต้นแล้ว จึงควรละธรรม
นั้นเสี ย
เมื่ อใด พึงรู ้ ดว้ ยตนเองว่าธรรมเหล่านั้นเป็ นกุศล ไม่มีโทษ เป็ นต้นแล้ว จึงควรเจริ ญ
เข้าถึงธรรมตามนั้น
กาลามสู ตรนี้ เป็ นสู ตรที่พระพุทธองค์ ทรงแสดงไว้ อยู่ในเกสปุตติยสู ตร (พระไตรปิ ฎก
เล่ม 20 ข้ อ 505)
การเจริ ญสมถะและวิปัสสนาก็ยงั มีการยึดติด (ถ้าปฏิบตั ิผิดทาง)
การปฏิบตั ิสมาธิ ท้ งั 2 อย่าง สมถะและวิปัสสนา ถ้าปฏิ บตั ิไม่ถูกทาง ก็เป็ นเหตุแห่ ง
การยึดมัน่ ถือมัน่ ได้
สมถะปฏิ บตั ิผิดทาง ก็เป็ นเหตุแห่ งการยึดมัน่ ถื อมัน่ ในอานาจอภิญญาสมาธิ ของตนได้
ไม่ได้เจริ ญวิปัสสนาต่อ อันเป็ นเหตุแห่งความพ้นทุกข์
วิปัสสนาถ้าปฏิบตั ิผิดทาง ก็เป็ นเหตุแห่ งการมีทิฏฐิ ยึดมัน่ ถือมัน่ ในอัตตาความรู ้ของตน
ไม่ยอมปล่ อยวาง และยึดมัน่ ในญาณต่างๆของวิปั ส สนาขึ้ น เรี ยกว่า วิปั ส สนาเพื่ อเพิ่ ม กิ เลส
ไม่ใช่วปิ ั สสนาเพื่อละกิเลส เป็ นวิปัสสนูปกิเลสนั้นเอง
การเจริ ญสมถะก็ดี และวิปัสสนาก็ดี ไม่ควรยึดติด และยึดมัน่ ถือมัน่ ทั้งหลายทั้งปวง
11
การปฏิบตั ิอย่างไรไม่ให้ยดึ ติด
การปฏิบตั ิกรรมฐานสมาธิ ท้ งั 2 อย่าง คือ สมถะและวิปัสสนาเป็ นเหตุไม่ให้ยึดติดนั้น
พึงเจริ ญกรรมฐานสมาธิ ดังนี้
การเจริ ญสมถะ เพื่อให้จิตของตนเองสงบ และเป็ นพื้นฐานเพื่อเจริ ญวิปัสสนา ไม่ให้
ฟุ้ งซ่ าน ใช้สติกาหนดสมาธิ อภิญญา แล้วก็ปล่อยวาง อภิญญาก็สักว่าอภิญญา รู ้แล้วปล่อยวาง
ได้ดว้ ยสติ ไม่ยดึ ติด ดังนี้
การเจริ ญวิ ปั สสนา เพื่ อ พิ จ ารณากิ เลส ไม่ ค วรยึ ด มั่ น ในญาณหยั่ง รู ้ ต่ า งๆ และ
ไม่ ฟุ้ งซ่ า นไปยึ ด มั่ น ในธรรมะและสิ่ งต่ า งๆ ที่ ไ ด้ เจริ ญวิ ปั สสนาจนเป็ นทิ ฏ ฐิ แ ละอัต ตา
เมื่อพิจารณาด้วยสติแล้วปล่อยวาง จึงเป็ นวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อขจัดกิเลส ดังนี้
อธิบายขยายความ
คาว่าใจบริ สุ ท ธิ์ นั้น หมายความว่า ท าใจให้ บ ริ สุ ท ธิ์ ในขณะท าสมาธิ ไม่ คิ ดฟุ้ งซ่ าน
แล้วจิตก็จะเป็ นหนึ่งเดียว
บริ สุทธิ์ ใจนี้ ไม่ได้บริ สุทธิ์ ทางร่ างกาย อันเนื่องไปด้วยการครองคู่อย่างฆราวาส บางคน
คิดมากและฟุ้ งซ่านมากเกินไป ในขณะทาสมาธิ คิดมากและฟุ้ งซ่านว่า การที่ตนเป็ นฆราวาสนั้น
มีคู่ครองแล้ว กายไม่บริ สุทธิ์ ไม่สามารถทาสมาธิ ได้อย่างเพศนักบวช และยังฟุ้ งซ่ านไปอีกว่า
ตัวเองมี คู่แล้ว ทาสมาธิ ได้ฌานก็กลัวจะเสื่ อม ในความเป็ นจริ งแล้ว การมี คู่อย่างฆราวาสนั้น
ไม่ได้ทาให้ฌานเสื่ อม อย่างหลายคนเข้าใจ บางครั้งครู อาจารย์หรื อคนพูดถ่ายทอดกันมาแบบผิดๆ
เราไม่ เอาแบบอย่ างที่ผิด แต่ เราเอาแบบอย่ างที่ถูกต้ อง พระโสดาบันยังมีความรักและยัง มีครองคู่
เป็ นฆราวาสได้ ฌานไม่ เสื่ อ ม พระอนุ รุ ท ธ ท่ า นสร้ า งบารมี ม ามากมาย ก่ อ นจะมาเป็ น
พระอรหันต์น้ นั ก็ยงั มีคู่ครอง และมีตาทิพย์ทุกภพทุกชาติ ฌานก็ไม่เสื่ อม
เพราะฉะนั้น การทาสมาธิ คือ การทาใจให้บริ สุทธิ์ ไม่คิดฟุ้ งซ่ านไปที่อื่นในขณะทา
สมาธิ (ไม่ได้หมายถึ ง ความบริ สุทธิ์ ทางกาย การครองเพศพรหมจรรย์ อย่างหลายคนเข้าใจ)
การเป็ นฆราวาสก็สามารถทาสมาธิ ได้ เพียงพยายามทาใจให้บริ สุทธิ์ ในขณะทาสมาธิ และเมื่อใจ
บริ สุทธิ์ ไม่คิดฟุ้ งซ่านไปที่อื่นในขณะทาสมาธิ จิตก็จะเป็ นหนึ่งเดียว
เมื่ อปล่อยวางจนจิตเป็ นหนึ่ งเดี ยวกันได้แล้วนั้น อานาจทั้งฌานและญาณก็จะเกิ ดขึ้นเอง
โดยเฉพาะอานาจของญาณที่จะบังเกิ ดขึ้น เตรี ยมพร้ อมยกระดับของสมาธิ จิต จากอานาจฌานที่
เป็ นสมถะภาวนา ขึ้นสู่ อานาจของญาณที่เป็ นวิปัสสนา ด้วยประการฉะนี้
ควรสั ท ธาในพระพุ ท ธเจ้ า พระธรรม พระสงฆ์ และธรรมะข้ อ ปฏิ บั ติ ท้ ั งหลาย ที่
พระพุทธองค์ ทรงกล่าวไว้ดีแล้ว
แม้ตวั ข้าพเจ้ายัง ไม่ ต้องการให้ ใครมาสั ท ธา ค าสรรเสริ ญ เป็ นโลกธรรม หาเที่ ย งไม่
เหตุใด จึงยึดติดในโลกธรรมนั้น
12
การปล่อยวาง
การปล่อยวางใจให้สงบไม่คิดฟุ้ งซ่ าน ต้องรู ้ จกั ปล่อยวางจิตไม่ให้ไปยึดติดในโลกธรรม
ในขณะที่จิตได้ทาสมาธิ เพราะจะฟุ้ งซ่ านและจิตหวัน่ ไหวไปตามโลกธรรม จิตไม่สามารถสงบ
เป็ นสมาธิ ได้ มนุ ษย์น้ นั มีงานที่จะต้องทา เป็ นต้น จิตจึงต้องไปเกี่ยวข้องในโลกธรรม เป็ นการ
ยากที่ จะปล่อยวางให้สงบเป็ นสมาธิ ได้ แต่ถา้ ปล่ อยวางใจให้สงบ หยุดคิ ดและฟุ้ งซ่ าน สักพัก
ในขณะทาสมาธิ จิตจะนิ่งและสงบได้ ดังนี้
ในโลกธรรมนั้นมี 8 ประการ คือ
1. มีลาภ เพราะขยันหมัน่ เพียรประกอบการงานและรักษาทรัพย์ เป็ นต้น
2. ไม่มีลาภ เพราะไม่รู้จกั สันโดษ ใช้จ่ายฟุ่ มเฟื อย เป็ นต้น
3. มียศ เพราะมีการงานหน้าที่อนั ดี เป็ นต้น
4. ไม่มียศ เพราะปลดเกษียณหรื อลาออกจากงาน เป็ นต้น
5. สุ ข เพราะสบายกายสบายใจ
6. ทุกข์ เพราะไม่สบายกายไม่สบายใจ
7. สรรเสริ ญ เพราะคนชอบเราจึงกล่าวสรรเสริ ญชม เป็ นต้น
8. นินทา เพราะคนไม่ชอบเราจึงนินทาด่าและกล่าวร้าย เป็ นต้น
ในโลกธรรมนั้น ไม่เที่ยง เป็ นทุกข์ ไม่ใช่ตน เหตุใดจึงต้องยึดติด
ในโลกธรรมนั้น ถ้ ายินดีกฟ็ ุ้ งซ่ านไม่ สงบเป็ นสมาธิ
ถ้ ายินร้ ายก็เกิดความท้อแท้ไม่ เป็ นสมาธิ
การหยุดใจที่ฟุ้งซ่านและท้อแท้ ต้องรู ้จกั ปล่อยวางใจในโลกธรรมทั้งปวง ให้เป็ นอุเบกขา
ไม่ให้เกิดความยินดีและความยินร้าย จิตจึงสงบเป็ นสมาธิ ดังนี้
จะทุกข์ หรือสุ ข อยู่ทใี่ จยึดมั่นในทุกข์ และสุ ขเอาไว้
เหตุ ผลที่ คนเราใจฟุ้ งซ่ านไม่เป็ นสมาธิ เพราะจิ ตไปยึดติ ดกับอารมณ์ ที่ มากระทบต่างๆ
อารมณ์ที่มากระทบจิตแล้วทาให้จิตฟุ้ งซ่านไม่เป็ นสมาธิ คือ อารมณ์ 6 อย่าง ได้แก่ ตาเห็นรู ป
หูได้ยนิ เสี ยง จมูกดมกลิ่น ลิ้นได้รู้รสต่างๆ กายนั้นสัมผัสกับสิ่ งต่างๆ ความรู ้สึกต่างๆเกิดขึ้นที่
ใจ ความยินดีและความยินร้าย ทาให้จิตฟุ้ งซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆ จึงไม่เป็ นสมาธิ
หยุดใจทีฟ่ ุ้ งซ่ าน ด้ วยจิตทีป่ ล่ อยวาง
เมื่อทุกสิ่ งทุกอย่ างเกิดทีเ่ หตุ ก็ต้องแก้ ทเี่ หตุ
ใจสงบ จิตก็นิ่งเป็ นสมาธิ
เหตุที่จิตใจโดยกระทบอารมณ์ แล้วใจไปยึดติดฟุ้ งซ่ านไปตามอารมณ์ น้ นั ก็ตอ้ งแก้ดว้ ย
การพิ จ ารณาว่ า ทุ ก อย่ า งเมื่ อ มากระทบจิ ต แล้ ว ความยิน ดี เป็ นสุ ข ความยิ น ร้ า ยเป็ นทุ ก ข์
ในอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมากระทบจิต ก็แต่วา่ มันไม่เที่ยง เป็ นทุกข์ ไม่ใช่ตวั ตน รู ้แล้วปล่อยวาง
ถ้าไม่ปล่อยวางปล่อยให้มนั ครอบงาจิต คือ ใจได้หวัน่ ไหวไปตามอารมณ์ น้ นั มีความยินดีและ
ความยินร้าย เป็ นต้น จิตจะไม่เป็ นสมาธิ และฟุ้ งซ่านได้
13
การปล่ อยวางนั้นไม่ ยาก สาคัญอยู่ทใี่ จอยากปล่ อยวางหรื อเปล่า
การทาให้จิตนิ่ งเป็ นสมาธิ น้ นั นอกจากมีสติแล้ว ใจต้องไม่ไปยึดมัน่ ถื อมัน่ ในอารมณ์
แห่ งฌานทั้งปวง ว่าอยากจะได้ เมื่ออยากได้ จิตก็เกิ ดกิ เลส แล้วไม่สามารถปล่อยวางใจให้นิ่ง
เป็ นสมาธิได้
การฟุ้ งซ่ าน เพราะจิ ตไปยึดติ ดกับผลของสมาธิ ที่จะเกิ ดขึ้ นในอนาคต ในอารมณ์ ของ
ฌานต่างๆ เป็ นต้น จนจิตไม่สามารถสงบและเป็ นสมาธิ ได้
การท้อแท้ เพราะจิตไปติดยึดกับเหตุ ที่ใจฟุ้ งซ่ านไม่ได้สมาธิ ในอดี ต เมื่ ออดี ตยังไม่ได้
ปั จจุบนั ก็จึงเกิดความท้อแท้วา่ ไม่ได้ เพราะจิตไปยึดติดกับผลของความล้มเหลวในอดีต
การหยุดฟุ้ งซ่ าน ต้ องไม่ คิดเรื่องอดีตและอนาคต
(ดารงสติอยู่กบั ปัจจุบันด้ วยการปล่ อยวาง)
การทาใจให้ปล่อยวางได้น้ นั คือ ทาให้จิตนิ่ งอยูก่ บั ปั จจุบนั ไม่คิดเรื่ องอดีตและอนาคต
คือ หยุดฟุ้ งซ่านและไม่คิดที่จะท้อแท้
เพียงท่านปล่อยวาง จิตก็จะสงบนิ่งเป็ นสมาธิ
การปล่อยวางใจในอารมณ์ แห่ งฌาน ในการปล่อยวางใจให้เข้าถึ งอารมณ์ ของสมาธิ ฌาน
นั้น อันดับแรก คือ การทาใจให้สงบเพื่อละนิวรณ์ธรรมทั้งหมด การละนิวรณ์ธรรมเพื่อเข้าสมาธิ
นั้น คือ การปล่อยวางใจจากโลกธรรมทั้งหมด เป็ นการหยุดคิดฟุ้ งซ่านและไม่คิดที่จะท้อแท้
การไม่คิดถึงเรื่ องอดีตและอนาคต ดารงสติเพ่งดูจิตเฉพาะปั จจุบนั เป็ นการละความลังเล
สงสัยทั้งหมด
การเจริ ญเมตตา หรื ออุเบกขาคือการปล่อยวางใจจากพยาบาท
การปล่อยวางใจจากความตึงเครี ยด เป็ นการละความซึ มเศร้าและง่วงนอน เพื่อเข้าสมาธิ
การปล่อยวางใจจากอารมณ์ที่ชอบใจ ในรู ปสมบัติของเพศตรงข้าม เป็ นต้น เป็ นการละ
นิวรณ์กามฉันท์ ในการเข้าฌานสมาธิ
ฤทธิ์ไม่ ได้ อยู่ทคี่ วามรักความต้ องการทีจ่ ะมีฌาน
(เพราะจะเกิดกิเลสเป็ นเหตุ อยากได้ อยากสาเร็จ แต่ เป็ นกิเลสฝ่ ายดี)
ฤทธิ์เกิดจากอุเบกขาฌานสมาธิ
การปล่ อยวางในสมาธิ จนเป็ นอุเบกขาฌานหรือเอกัคคตา จิตอารมณ์เป็ นหนึ่งเดียว
การท าสมาธิ น้ ัน คื อ การท าใจให้ ส งบ (ส่ วนฤทธิ์ นั้น เป็ นของแถมจากฌานสมถะ)
การท าสมาธิ ต้อ งเน้ น ท าใจให้ ส งบ ถ้ า เน้ น ว่ า ต้อ งการฤทธิ์ ใจก็ จ ะเกิ ด กิ เลส ความพอใจ
ที่ตอ้ งการฤทธิ์ นั้น คือ กิเลสเป็ นเหตุอยากได้ อยากมี อยากเป็ น ก็ความอยากนั้น คือ กิ เลส
อกุศลมูลหรื ออกุศลเจตสิ ก
พื้นฐานการเข้าฌานที่ถูกต้องนั้น คือ การละวางใจจากอกุศลมูล มีรัก โลภ โกรธ หลง
เป็ นต้น มนุษย์น้ นั มีกิเลสรัก โลภ โกรธ หลง เป็ นธรรมดา การออกจากฌานจะมีกิเลสอย่างไร
ก็ได้ แต่การเข้าฌานสมาธิ น้ นั คือ การปล่อยวางใจจากกิ เลสชัว่ คราว หรื อหยุดคิดสักพักหนึ่ ง
นี้คือ การเข้าฌานที่หนึ่ง
14
ส่ ว นการประพฤติ ป ฏิ บ ัติ ศี ล ธรรม และกุ ศ ลทั้ง มวล เป็ นการละจิ ต ใจจากความชั่ว
ประพฤติ ดี (เป็ นการหยุ ด ใจจากอกุ ศ ลธรรม มี พ ยาบาท เป็ นต้ น ) เพื่ อ เข้ า ฌานสมาธิ
การประพฤติกุศลธรรมนั้น จะเข้าฌานได้ต้ งั แต่ฌานที่หนึ่งถึงฌานที่สามเท่านั้น
ส่ วนฌานที่ สี่ น้ ัน เป็ นฌานชั้น สู ง จิ ตต้องปล่ อยวางใจจากอกุ ศลธรรมและกุ ศ ลธรรม
ทั้งหมด เพราะว่าจิ ตติ ดสุ ขนั้น ใจจะติดอยู่ในอารมณ์ ของฌานที่ สามเท่านั้น เรี ยกว่า จิตติ ดดี
แต่ก ารเข้าฌานที่ สี่น้ ัน คื อ การปล่ อยวางทั้งหมด ละทั้งบุ ญและบาปในอารมณ์ แห่ งฌานที่ สี่
เพื่อพัฒนาจิตขึ้นสู่ ฌานที่สี่ ไม่ให้จิตติดสุ ขนั้นเอง การปล่อยวางแล้ว เป็ นอุเบกขาสมาธิ
ฤทธิ์เกิดจากอุเบกขาฌานมิใช่ หรือ (เหตุใดท่ านจึงไม่ ปล่ อยวาง)
คนเราถ้ าไม่ ร้ ู จักปล่ อยวางในสมาธิ ก็ไม่ สามารถเข้ าถึงอุเบกขาฌานและญาณได้
ปล่ อยวางได้ เมื่อไร เข้ าถึงอุเบกขาฌานและญาณได้ เมื่อนั้น
การปล่อยวางใจในอารมณ์แห่ งญาณ ก็ทุกสิ่ งทุกอย่างในโลกนั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับ
ไปเป็ นธรรมดา ทุกสิ่ งทุกอย่างหาเที่ยงแท้ไม่ เป็ นทุกข์ ไม่ใช่ตน ไม่มีสิ่งใดน่ายึดติด
การปล่ อยวางในอารมณ์ แห่ งญาณ ก็ญ าณนั้น คื อ วิปั สสนาเป็ นการพิจารณาธรรมะ
ทั้งหมด ซึ่ งต่างจากสมถะ คือปล่อยวางใจให้สงบเท่านั้น
การพิจารณาธรรมะในอารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐาน คือ สติทาใจให้สงบนิ่ งไม่ฟุ้งซ่ าน
ไปตามธรรมะ หรื อพิจารณาธรรมะจิตไม่ฟุ้งซ่านไปเรื่ องอื่น
เมื่อพิจารณาธรรมะ รู้ธรรมะเข้าใจธรรมะแล้ว ในวิปัสสนากรรมฐาน ก็ปล่อยวางสิ่ งที่รู้
นั้น คือ เมื่อพิจารณาธรรมะให้เข้าใจและถ่องแท้ หรื อลึ กซึ้ งในสัจธรรมแล้ว ก็ปล่อยวางเป็ น
อุเบกขาญาณ
ถ้ารู ้แล้วยังยึดมัน่ ในหัวข้อธรรมะนั้นๆ ที่ตนรู ้ เรี ยกว่า พิจารณาธรรมะแล้วเกิ ดความรู ้
ขึ้น แต่ยงั ยึดมัน่ ในความรู ้ของตนอยู่ เป็ นอัตตาและทิฏฐิ ไม่สามารถเข้าถึงญาณของวิปัสสนาได้
แค่รู้ธรรมะเท่านั้น
การเข้าถึงแก่นแท้ในสัจธรรม คือ การพิจารณาธรรมะบทไหนก็ได้ให้ตรงกับจริ ตของตน
เมื่อรู ้แล้วเกิดความรู ้ข้ ึน คลายความยึดมัน่ ถือมัน่ ในตัวตนเราเขา มีความเห็นว่าทุกสิ่ งนั้นไม่เที่ยง
เป็ นทุกข์ ไม่ใช่ ตวั ตน แล้วทาใจปล่อยวาง ด้วยสติปัญญาที่พิจารณาธรรมะนั้น เกิ ดความรู ้แจ้ง
ในสัจธรรม เป็ นอุเบกขาญาณแห่งวิปัสสนา
วิปัสสนาญาณ คื อ สติ กาหนดพิจารณาธรรมะ ด้วยจิตที่ ไม่ฟุ้งซ่ านไปตามธรรมะนั้น
เมื่อเข้าใจในสัจธรรม รู ้แล้วปล่อยวาง เรี ยกว่า ญาณ
เพียงท่านปล่อยวาง ญาณก็จะบังเกิด
การปล่อยวางใจในธรรมะ คือ การเข้าถึงสัจธรรมทั้งหลาย สามารถปฏิบตั ิสิ่งไหนก็ได้
ไม่ใช่สิ่งที่สาคัญ วิชาไหนก็ได้ สามารถปฏิบตั ิถูกต้องและปฏิบตั ิถูกทางได้ท้ งั หมด
ผูม้ ี ใจแคบ คิดว่าวิชาของตนต้องดี และถู กต้องทั้งหมด เขาก็จะมี ความรู ้ อยู่เพียงแค่น้ ัน
และไม่สามารถพัฒนาตนเองไปได้ เพราะความคิดที่มีทิฏฐิ
15
ผูเ้ ปิ ดใจกว้างยอมรับ ฟั งความรู้ และความคิ ดเห็ นวิชาของผูอ้ ื่ น เขาจะสามารถพัฒนา
ความรู ้และวิชาของตนขึ้นไปได้
คอมพิ ว เตอร์ ย ัง มี ห ลายโปรแกรมให้ เลื อ ก ในการใช้ ง านให้ เหมาะสมกั บ งาน
จะใช้โปรแกรมไหนไม่สาคัญ สาคัญอยูท่ ี่วา่ โปรแกรมไหนใช้ให้ตรงจุดประสงค์ของงานต่างหาก
การปฏิ บ ัติ ธ รรมก็ เช่ น กัน ปฏิ บ ัติ อ ย่ า งไหนก่ อ นก็ ไ ด้ และสามารถปฏิ บ ัติ ถู ก ทาง
เหมือนกันหมด ปฏิบตั ิแบบไหนก่อนไม่สาคัญ สาคัญอยูท่ ี่วา่ ปฏิบตั ิให้ตรงกับจริ ตของตัวเอง
อุปมา ธรรมะทุกอย่างเหมือนการเดิ นทาง จะเดินทางแบบไหนไม่สาคัญ สาคัญอยูท่ ี่วา่
ออกเดินทางเพื่อไปถึ งจุดหมายแล้วหรื อยัง ถ้าเดิ นทางโดยใช้เท้าก้าวเดิ น ย่อมต้องถึงที่หมายช้า
ถ้าใช้รถยนต์หรื อรถไฟหรื อเครื่ องบินเป็ นยานพาหนะ ย่อมต้องถึงจุดหมายเร็ ว
ในพระพุทธประวัติน้ นั สมัยพระพุทธกาล พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท้ งั หลาย เวลา
ท่านจะแสดงธรรม จึงต้องเลื อกให้ตรงจริ ตของผูฟ้ ั ง ธรรมะที่ แสดงออกไป ต่างคนฟั ง ย่อม
แสดงธรรมไม่เหมือนกันอยูท่ ี่จริ ตของผูฟ้ ังเป็ นหลัก
พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท้ งั หลาย จึงไม่บงั คับใครให้ฝึกวิชาของท่านเพียงอย่างเดี ยว
แต่จะเลือกธรรมะไหนมาแสดง และวิชาไหนมาสอนให้ผฟู ้ ังได้เข้าถึงสัจธรรมต่างหาก
ด้วยเหตุน้ ี ปฏิบตั ิอย่างไรและเริ่ มต้นอย่างไรไม่สาคัญ สาคัญว่าปฏิบตั ิอย่างไรให้ตรงกับ
จริ ตของตัวเองต่างหาก จึงสามารถเข้าถึงสัจธรรมได้
ก็วชิ าทั้งหมดเป็ นของพระพุทธเจ้ า ไม่ มีสานักใดยิง่ หรือหย่ อนไปกว่ ากัน
วิชาทั้งหมดสามารถบรรลุธรรมได้ หมด เหตุใดจึงยึดติดแต่ ในวิชาของตน
ธรรมะนั้นดุจดัง่ สายธารที่กว้างไกล ธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเสมอเหมือนกันหมด ไม่มี
วิชาใดสานักใดยิง่ หรื อหย่อนไปกว่ากัน เพราะวิชาทั้งหมดเป็ นของพระพุทธเจ้า คนเรานั้นจึงมัก
ยึดติดกับวิชาของตนและสานักตนว่าดีกว่าของผูอ้ ื่น (ความคิดเช่นนั้น คือ ทิฏฐิ)
ธรรมะทั้งหลายของพระพุทธองค์ เปรี ยบได้กบั น้ าในแม่น้ า คนเรานั้นกินดื่ มหรื อใช้น้ า
ในแม่ น้ า แม่ น้ าก็ เสมอเหมื อ นกัน หมด โดยไม่ เลื อกใคร คื อ ยุติธ รรมให้ ค นได้เหมื อนกัน
ได้กินดื่มใช้น้ า ดังนี้
ธรรมะของพระพุ ท ธองค์ก็ เช่ น กัน จะฝึ กวิช าไหนก็ ส ามารถเข้าถึ งสั จธรรมได้เสมื อน
กันหมด เพราะวิชาทั้งหมดเป็ นของพระพุทธเจ้า การปฏิบตั ิธรรมให้ถูกต้องตรงกับจริ ตของตัวเอง
ฝึ กวิชาไหนไม่สาคัญ สาคัญอยูท่ ี่วา่ ฝึ กอย่างไรให้ตรงกับจริ ตและบารมีธรรมของตัวเอง
การพิจารณาธรรมะมาก ยังไม่ เท่ ากับปล่อยวางใจให้ เข้ าถึงสั จธรรม
ภาควิปัสสนา
การเจริ ญ สติ พิ จ ารณาอริ ย สั จ 4 หรื อ การเจริ ญ สติ ปั ฏ ฐาน 4 พิ จ ารณาอริ ย สั จ 4
ในอารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐาน
สติปัฏฐาน 4 คือ กาย เวทนา จิต ธรรม จะอนุโลมและสังเคราะห์เข้าในอริ ยสัจ 4
คือ ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค
สงเคราะห์ ธรรมปฏิบัติได้ ดังนี้
เพราะร่ างกายนี้ จึงเป็ นทุกข์
เวทนา เป็ นเหตุให้เกิดทุกข์
ทุกข์เกิดขึ้นที่จิตใจ ย่อมดับได้ที่จิตใจ
ธรรมทั้งหลายเป็ นข้อปฏิบตั ิให้ถึงซึ่ งความดับทุกข์
ภาคสมถะ
กาหนดสติ เพ่งดู กาย เวทนา จิต ธรรม โดยส่ วนใหญ่ นักปฏิ บ ตั ิ จะใช้ส ติ เพ่งดู จิต
ตัวเอง เพราะสติ จะได้ค วบคุ ม ดู จิ ต ไว้ต ลอดเวลา เวลาเข้าสมถะจิ ต จะได้ไ ม่ ฟุ้ งซ่ า นไปที่ อื่ น
เพราะมีสติคอยควบคุมจิตเอาไว้
การฝึ กวิชาธรรมจักร โดยเข้ าสมถะภาวนาทาดังนี้
ทากายให้วา่ งเปล่า ทาใจให้สงบนิ่ง
ใช้สติดูจิตเอาไว้ แล้วแผ่รังสี สี ขาวเป็ นแสงบริ สุท ธิ์ ออกมาจากจิตตัวเอง แล้วจากจิต
แผ่ออกมาจนทัว่ ร่ างกาย เป็ นการชาระจิตและร่ างกายให้สะอาดบริ สุทธิ์ ดุจแก้วมณี โชติ เพราะได้
แผ่รังสี ออกมาจากจิตเป็ นแสงที่บริ สุทธิ์ และเป็ นแสงสี ขาว
โดยส่ วนใหญ่ นักปฏิ บตั ิธรรมสมัยก่อน มักจะใช้แสงสี ขาว มากกว่าแสงสี อื่น เพราะ
เป็ นแสงที่บริ สุทธิ์ ที่สุด จิตจะได้เหมาะสม สาหรับการฝึ กปฏิบตั ิธรรมทั้งหลายทั้งปวง
ข้ อควรทราบ
ถ้าผูอ้ ่านชานาญเรื่ องญาณ ก็ จะเป็ นเหมื อนพระสารี บุ ตร ปั ญญาไว ถ้าผูอ้ ่ านช านาญ
เรื่ องฌาน ก็จะเป็ นเหมือนพระโมคคัลลานะ คือ สงบนิ่ง
จะเก่งฌานหรื อญาณ อยูท่ ี่บารมีของผูอ้ ่านและผูอ้ ่านเลือกฝึ กเอาเอง สาธุ
ข้ อสาคัญของการใช้ ปัญญาญาณ
คือ สติ ปั ญญา จิต รวมเป็ นหนึ่ งเดียว ข้อควรระวังของการใช้ปัญญาญาณ คือ ถ้า
ปัญญาขาดสติควบคุมเสี ยแล้ว เรี ยกว่า สติหลุดหรื อสติเผอเรอ (ปั ญญาก็จะมาไม่เต็มร้อย)
สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดปัญญาหนีหาย
แต่ ปัญญาญาณลึกซึ้งยิง่ กว่านั้น คือ
เพราะฉะนั้น สติจึงเป็ นประธานของปั ญญาญาณ เวลาใช้ปัญญาญาณ
ด้วยเหตุน้ ี ข้อสาคัญหรื อหลักของการใช้ปัญญาญาณ จึงมีท้ งั สติ ปั ญญา และจิตที่เป็ น
สมาธิ อยูใ่ นวิปัสสนากรรมฐาน
46
หมายเหตุ นี้ เป็ นการฝึ กปั ญญาญาณแบบพิสดาร คือ เน้นเจริ ญสมถะก่อนแล้ว มาต่อ
เป็ นวิปัสสนาทีหลัง ส่ วนการฝึ กปั ญญาญาณที่เจริ ญวิปัสสนาล้วน จะกล่าวไว้แล้ว ในบทแก่นแท้
ของวิปัสสนา ผูอ้ ่านจะปฏิบตั ิแบบไหนก็ได้ ให้เลือกฝึ กเอาเองตามแต่จริ ตของตนเป็ นหลัก
เหตุผลทีต่ ้ องฝึ กให้ ดวงปัญญาสว่ าง
การฝึ กเพ่งดวงปั ญญาให้สว่างนั้น หมายถึง การใช้ปัญญาญาณสามารถใช้ได้อย่างเต็มที่
ไม่มีอะไรมาบังดวงปั ญญาให้อบั แสง หรื อมีอะไรมาบดบังดวงปั ญญาของเราไว้
เมื่ อจะใช้ปัญญาญาณ สามารถพิจารณาสิ่ งต่างๆให้ละเอี ยด สิ่ งใดซ่ อนอยู่ ก็ส ามารถ
พิจารณาทุ กเรื่ องให้เกิ ดความแตกฉานลึ กซึ้ ง ด้วยปั ญญาญาณของตน เปรี ยบเสมื อนพระจันทร์
ในคื นวันเพ็ญ ไม่ มีอะไรมาบังแสงให้พ ระจันทร์ ตอ้ งอับแสง เป็ นที่ แสงสว่างแก่ ผูอ้ ื่ น ฉันใด
ปั ญญาญาณ ที่ไม่มีสิ่งใดมาบัง ให้สติปัญญาแตกฉาน และใช้ความสามารถของตนได้อย่างเต็มที่
ฉันนั้น
ตัวอย่าง พระอานนท์ถูกมารบังสติปัญญา
สมัยหนึ่ งก่อนพระพุทธเจ้า จะเสด็จดับขันธปริ นิพพาน ทรงแสดงปาฏิ หาริ ยห์ ลายครั้ง
ให้ พ ระอานนท์ ทู ล อาราธนาให้ พ ระองค์ ท รงอยู่ แม้ ค รั้ งสุ ดท้ า ย พระพุ ท ธองค์ ต รั ส ว่ า
ดูก่อนอานนท์บุคคลผูบ้ าเพ็ญอิทธิ บาททั้ง 4 ประการ ถ้าปรารถนาจะมี ชีวิตอยู่ กัปหนึ่ งหรื อ
มากกว่ากัป ก็สามารถที่จะทาได้ แต่พระอานนท์ เป็ นเพียงแค่โสดาบันเท่านั้น ไม่เข้าใจในสิ่ งที่
พระพุทธองค์ตรัสออกมา เพราะถูกมารบังสติปัญญา ผลสุ ดท้าย พระพุทธองค์ทรงรับอาราธนา
ของมารว่า พระองค์ จะทรงอยู่ต่อทาไม พระธรรมที่พระองค์ น้ ั นได้ ประกาศแล้ ว ขอพระองค์
ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ก็ทรงได้รับนิมนต์อาราธนาของมาร
พระพุทธองค์ได้ทรงบอกกับพระอานนท์วา่ อานนท์เธอไม่ได้เข้าใจในสิ่ งที่เราตถาคตได้
ตรั สออกมา บัดนี้ ไม่มีป ระโยชน์อนั ใดแล้ว เราตถาคตได้รับนิ มนต์มารแล้ว เราจะเสด็จดับ
ขันธปริ นิพพาน พระอานนท์ได้เสี ยใจ ที่ตนเองไม่รู้ในสิ่ งพระพุทธองค์ตรัส
พระภิกษุสงฆ์ได้ติเตียนพระอานนท์วา่ ท่านฟั งแล้วไม่ได้พิจารณาให้เข้าใจแตกฉาน มี
ข้อสิ่ งใดที่ไม่เข้าใจและสงสัยในสิ่ งนั้น ก็ไม่ถามพระพุทธองค์ให้เข้าใจ พระอานนท์ได้แต่เก็บมา
คิดคนเดียว จนถูกมารบังดวงสติปัญญา
พระภิ กษุ สงฆ์ท้ งั หลาย รู ้ สึ กเสี ยดายพระสารี บุ ตรที่ นิพ พานไปก่ อนพระพุ ท ธองค์ ถ้า
พระสารี บุตรยังอยู่ พระสารี บุตรฟังแล้วพิจารณาจะเข้าใจทันที หรื อไม่ก็มีพระอรหันต์อยูข่ า้ งกาย
พระพุ ท ธองค์ เพราะสติ ปั ญ ญาของพระอรหั น ต์ น้ ั น จะไม่ ถู ก มารบัง ด้ ว ยเหตุ อ ัน ใดก็ ต าม
พระอานนท์เป็ นแค่ พ ระโสดาบัน จะโทษท่ านทั้ง หมดก็ ไม่ ไ ด้ ถ้าไม่ มี พ ระอานนท์ เราก็ ไ ม่
สามารถมีพระไตรปิ ฎกได้อย่างสมบูรณ์ พระพุทธองค์เสด็จไปแสดงธรรมที่ไหน พระอานนท์
จาได้ท้ งั หมด เพราะท่านมีความจาเป็ นเลิศ โดยประชุมสังคายนาครั้งที่หนึ่ ง จะขาดพระอานนท์
ไปไม่ได้ แต่มีขอ้ แม้เงื่อนไขว่า ผูท้ ี่ ประชุ มต้องสาเร็ จเป็ นพระอรหันต์ โดยที่พระมหากัสสปะ
ผูเ้ ป็ นประธานในการประชุ ม มาบอกพระอานนท์ให้รีบทาความเพียร ผลสุ ดท้าย พระอานนท์
ก็ได้บรรลุธรรมสาเร็ จเป็ นพระอรหันต์ ด้วยประการฉะนี้
47
วิธีการฝึ กเพ่งดวงปั ญญา ของตนให้เกิดแสงสว่าง เวลาเข้าวิปัสสนากรรมฐานสามารถใช้
สติปัญญาของตนเองได้อย่างเต็มที่ มีหลักการดังต่อไปนี้ คือ
การเพ่งดวงปั ญ ญา เพื่ อให้ ปั ญ ญานั้น สว่าง คิ ดพิ จารณาธรรมะและสิ่ งต่ างๆ ในการ
เจริ ญวิปัสสนากรรมฐาน การฝึ กเพ่งดวงปั ญญา เพื่อให้ใจสงบ สว่างแล้วเกิ ดปั ญญา เป็ นการ
เจริ ญสมถะก่อน แล้วมาต่อเป็ นวิปัสสนาทีหลัง
ดวงปั ญญานั้นจะประจาที่อยู่ตรงข้ามกับหัวใจด้านซ้าย (คืออยู่ตรงด้านขวานั้นเอง) แต่
ผูอ้ ่านไม่จาเป็ นต้องสนใจ ในการฝึ กดวงปั ญญาว่าประจาที่อยูท่ ี่ไหน ผูเ้ ขียน เขียนให้รู้ไว้เท่านั้น
ในการฝึ กดวงปั ญญาจริ งๆ จะฝึ กเพ่งไว้ที่ดา้ นใด ด้านไหน ของร่ างกายก็ได้ ตามแต่
จริ ต ของเราเป็ นหลัก จะภาวนาแบบใดก็ ไ ด้ที่ ตนถนัด เป็ นยุบ หนอ พองหนอ หรื อพุ ท โธ
อย่างใดอย่างหนึ่งที่ตนถนัดและตรงกับจริ ต จึงสงบเป็ นสมาธิ
การฝึ กเพ่งดวงปั ญญา นอกจากจะทาให้ใจสงบแล้ว ยังทาให้ท้ งั ดวงจิตและดวงปั ญญา
สว่างตามด้วย
ในการฝึ กเพ่งดวงปั ญญาที่ เป็ นสมถะนั้น เมื่ อดวงปั ญญาสว่างแล้ว ก็มาเจริ ญวิปัสสนา
กรรมฐานต่อ ดังนี้
การเข้าวิปัสสนากรรมฐาน จะไม่เห็ นดวงปั ญญาของตนเอง จะเห็ นธรรมะ สิ่ งต่างๆที่
กาลังพิจารณา หรื อปั ญหาต่างๆ ที่กาลังจะแก้ไข แต่จะรู ้ ว่าปั ญญานั้นสว่าง สามารถรู ้ ธรรมะ
และสิ่ งต่างๆ หรื อแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดว้ ยปัญญาและความสามารถของตน
การเจริ ญ วิปั ส สนากรรมฐาน (จึ งมี ท้ งั สติ ปั ญ ญา จิ ต) รู ้ ธ รรมะ พิ จารณาสิ่ งต่ างๆ
หรื อปั ญหาต่างๆ ไม่ฟุ้งซ่ านในธรรมะและสิ่ งต่างๆ หรื อปั ญหานั้นๆ เกิดเป็ นปั ญญา ไม่ยึดมัน่
ในความรู ้ใดๆ ธรรมะใดๆ รู ้แล้วปล่อยวาง ไม่เกิดเป็ นความยึดมัน่ ถือมัน่ จึงเป็ นวิปัสสนาญาณ
และเรี ยกว่า ปั ญญาญาณ
ปัญหามา ปัญญาเกิด
ปัญญาเตลิด ปัญญาหนีหาย
ปัญหาทุกอย่ าง จึงแก้ ไขด้ วยปัญญา
49
วิชาตาปัญญา
วิชาตาปัญญา คืออะไร หรื อหลายคนอาจไม่เคยได้ยิน ส่ วนมากคนมักจะรู ้จกั วิชาตาทิพย์
ตาปัญญา คือ การเจริ ญวิปัสสนากรรมฐาน แล้วได้ญาณ เกิดเป็ นตาปั ญญา ส่ วนวิชาตาทิพย์น้ นั
คือ การเจริ ญสมถกรรมฐาน แล้วได้ฌานเกิดเป็ นตาทิพย์ นั้นเอง
การฝึ กวิชาตาปั ญญานั้น ก่อนอื่นต้องเจริ ญวิปัสสนากรรมฐาน จนได้ญาณเสี ยก่อนเป็ น
อันดับแรก
ญาณปัญญา 3 ระดับ
1. ปั ญญาเกิดจาก การฝึ กอบรมวิปัสสนากรรมฐานจนสาเร็ จญาณ
2. ปั ญญาเกิดจาก การเจริ ญวิปัสสนากรรมฐานจนได้ ตาปั ญญาให้รู้ยงิ่
เห็นจริ งในสภาวะทั้งหลายทั้งปวง
3. ปั ญญาเกิดจาก การเจริ ญวิปัสสนากรรมฐานจนได้ หูปัญญา เกิดความรู ้
แยกแยะการฟังให้เกิดโยนิโสมนสิ การ (คือตริ ตรองให้รู้
สิ่ งที่ดีหรื อชัว่ โดยอุบายที่ชอบด้วยการฟังแล้วพิจารณาตาม)
หมายเหตุ ญาณปั ญ ญา 3 ระดับ นี้ จะเกิ ด มี แ ละรู ้ ยิ่ ง เห็ น จริ ง ได้ต้อ งรู ้ จกั ฝึ กอบรม
วิปัสสนากรรมฐานอยูเ่ สมอ ให้สาเร็ จเป็ นญาณความรู ้แจ้งขึ้นนั้นเอง
ญาณรู้แจ้ง 3 อย่าง
1. อตีตงั สญาณ ญาณหยัง่ รู ้อดีต
2. ปัจจุปันนังสญาณ ญาณหยัง่ รู ้ปัจจุบนั สามารถแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้
3. อนาคตังสญาณ ญาณหยัง่ รู้อนาคต
หมายเหตุ ญาณรู ้แจ้งทั้ง 3 อย่างนี้ เกิดขึ้นได้จากการเจริ ญทั้งสมถะและวิปัสสนาจนได้
ทั้งฌานและญาณสามารถย้อนอดีตรู ้อนาคตแก้ไขเหตุการณ์ปัจจุบนั
วิธีการฝึ กตาปัญญา
ก่อนอื่นต้องรู ้ จกั เจริ ญวิปัสสนากรรมฐานเป็ นอันดับแรก จะเริ่ มจากบทไหนก่ อนก็ได้ที่
เป็ นหัวใจของวิปัสสนา ตัวอย่างเช่น สติปัฏฐาน 4 ธาตุกมั มัฏฐาน 4 เบญจขันธ์ 5 รวมทั้ง
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็ นต้น
การฝึ กวิปัสสนา คือ การให้จิตใจสงบนิ่ งไม่คิดฟุ้ งซ่ าน มี สติพิจารณาธรรมะเกิ ดเป็ น
ปัญญา ความรู้แจ้งในสภาวธรรมทั้งหลายทั้งปวง จึงสาเร็ จญาณ
50
การใช้ตาปัญญา
1. กาหนดใจให้สงบเป็ นสมาธิ โดยมีสติควบคุมใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน
2. เอาสติไปรวมกับจิตให้เป็ นหนึ่งเดียว
3. เพ่งมองดูสิ่งต่างๆ ด้วยตาปั ญญา คือ เข้าวิปัสสนามีสติดู และไม่คิดฟุ้ งซ่าน เมื่อจิตนิ่ ง
ก็สามารถมองดูสิ่งต่างๆ เกิดเป็ นความรู ้แจ้ง เรี ยกว่า ตาปัญญา
การแยกสิ่ งที่จริ งออกจากเท็จด้วยตาปั ญญา
คาโบราณที่วา่ อย่าเชื่ อสิ่ งที่ตาเห็น และอย่าเชื่ อในสิ่ งที่หูได้ยนิ เพราะนั้นไม่ใช่สิ่งที่จริ ง
เสมอไป การรู ้ จกั แยกแยะสิ่ งที่ จริ งออกจากเท็ จด้วยตาปั ญ ญา ย่อมสามารถก าหนดรู้ ได้ญ าณ
ดังนี้ คือ
1. เมื่อตาเห็นรู ปคน สัตว์ สถานที่ หรื อสิ่ งของต่างๆ
2. พึงเข้าญาณย้อนดูอดีต ทั้งคน สัตว์ สถานที่ หรื อสิ่ งของต่างๆ (เพื่อแยกความจริ งออก
จากความเท็จ) เรี ยกว่า รู ้ แจ้งด้วยญาณของตัวเอง ไม่ใช่เห็ นด้วยตาเปล่าก็สักแต่วา่ เห็ น
เป็ นสิ่ งที่เขาสร้างหลักฐานขึ้น เป็ นการไม่แยกความจริ งออกจากความเท็จ
3. ใช้ญ าณแก้ไ ขเหตุ ก ารณ์ ปั จ จุ บ ัน ดู ว่า เรื่ อ งนี้ เราเห็ น ด้ว ยตาปั ญ ญาคื อ ความรู ้ แ จ้ง แล้ว
ควรแก้ไข หรื อควรนิ่ งเสี ย เป็ นการปล่อยวาง เรี ยกว่า รู ้ แล้วแกล้งโง่ ไม่พูด ไม่ได้
หมายความว่า ไม่รู้จริ ง ดังนี้
อากาศก็สักแต่ ว่าอากาศ
ความว่ างก็สักแต่ ว่าความว่ าง
ไม่ ควรยึดติด จึงสามารถปล่ อยวางได้ อย่ างมีสติ
69
วิชาเรียกพายุ
วิชาเรี ยกพายุ คือ ทาให้เกิดลมด้วยอานาจของสมาธิ เป็ นการใช้อภิญญาเรี ยกลม นั้นเอง
การฝึ กวิชาเรี ยกพายุน้ นั สาเร็ จได้ดว้ ยอานาจสมาธิ แห่ งกสิ ณลม , พายุ คือ ธาตุลม ผูท้ ี่
จะเรี ยกพายุได้ ต้องสาเร็ จกสิ ณลม จึงจะสามารถทาได้
ประโยชน์ของการเรี ยกพายุ อยู่ในที่ อากาศร้ อน ฟ้ าฝนไม่ตกตามฤดู กาล สั่งเรี ยกพายุ
และให้ลมจับก้อนเมฆไว้เยอะๆ เป็ นการเรี ยกทั้งลมทั้งฝน การเข้าใจประโยชน์และวิธีใช้ คื อ
สามารถควบคุมลมพายุได้ ไม่ให้มากและน้อยจนเกินไป
โทษของการเรี ยกพายุ คือการที่ ไม่สามารถควบคุ มลมพายุได้ เรี ยกลมออกมามากเกิ น
ความจาเป็ น ท าให้เกิ ดวาตภัย ผูท้ ี่ ไม่ส ามารถเข้าใจโทษของการเรี ยกพายุ ที่ ขาดการควบคุ ม
ได้อย่างเข้าใจให้ถ่องแท้ ย่อมไม่สามารถเข้าใจลึกซึ้ งในประโยชน์และโทษของการเรี ยกพายุ
เริ่ มต้นฝึ กวิชาเรี ยกพายุ
การที่เราจะเรี ยกพายุได้น้ นั อย่างที่กล่าวไว้ขา้ งต้น ต้องฝึ กสมาธิ ดว้ ยกสิ ณลม เพราะพายุ
คือ ธาตุลม ผูท้ ี่จะเรี ยกพายุได้ ต้องสาเร็ จสมาธิดว้ ยกสิ ณลม
หลักการฝึ กสมาธิ ดว้ ยกสิ ณลม คือ กาหนดพิจารณาเพ่งลม ลมจากธรรมชาติ ลมพัดไป
ตามตัว ลมจากพัดลม เป็ นต้น ฯลฯ กาหนดให้จิตเป็ นสมาธิ ดว้ ยกสิ ณลม สามารถจะนึกหรื อ
หลับตาเข้าออกเป็ นสมาธิดว้ ยกสิ ณลมได้ จนสาเร็ จเป็ นสมาธิและได้นิมิตของกสิ ณลม
เมื่อได้นิมิตของกสิ ณลมแล้ว ก่อนอื่นเป็ นอันดับแรกที่จะเรี ยกพายุน้ นั เราต้องฝึ กควบคุม
ลมให้ได้เสี ยก่อน ไม่ใช่ ยงั ควบคุ มลมไม่ได้ เรี ยกลมมากเกิ นความจาเป็ น ทาให้เกิ ดวาตภัยได้
การฝึ กควบคุมพลังลมนั้น กาหนดสมาธิ ข้ ึนด้วยกสิ ณลม ทาร่ างกายตัวเองกายเป็ นธาตุลม หรื อมี
พลังลมเกิดขึ้นที่ร่างกาย พัดไปมาที่ร่างกายหรื อพัดไปมาอยูท่ วั่ ตัว แล้วลองควบคุมลมที่ร่างกายดู
จะทาให้ม ากหรื อน้อยก็ได้แล้วแต่ใจตัวเองจะต้องการ การควบคุ มธาตุ ลมที่ เกิ ดจากอานาจของ
สมาธิ น้ นั อธิ บายให้เข้าใจง่ายขึ้น คือ การฝึ กย่อขยายดวงกสิ ณนั้นเอง ถ้าต้องการให้พลังลมมาก
ก็ขยายดวงกสิ ณนิ มิตของสมาธิ ให้ธาตุลมมาก ถ้าต้องการให้ธาตุ ลมน้อย ก็ลดย่อดวงกสิ ณของ
ธาตุลมลงมา
เมื่อสามารถกาหนดและบังคับธาตุลมได้แล้ว จะเรี ยกลมให้มากหรื อน้อยนั้นเอง ก็ลอง
ฝึ กเรี ยกลม ที่ อยู่ภายนอกขึ้ นว่าจะเรี ยกให้ม ากหรื อน้อยดู อันดับแรก ควรเริ่ ม จากน้อย เพื่ อ
ควบคุมลมที่เราเรี ยกขึ้นจากภายนอกร่ างกาย สาเร็ จเป็ นสมาธิของกสิ ณลมดู เรี ยกลมจากน้อยแล้ว
ควบคุมลมพัดไปมาจะให้พดั ไปทางซ้ายหรื อขวา เมื่อเราฝึ กการควบคุ มลมจนชานาญ ก็สามารถ
เรี ยกลม จากภายนอกเป็ นลมที่สาเร็ จด้วยอานาจสมาธิ ขึ้นทีละมากๆได้ เป็ นการเรี ยกพายุน้ นั เอง
70
สรุ ปวิธีการฝึ กและเรี ยกพายุ
1. ฝึ กสมาธิดว้ ยกสิ ณลมจนได้นิมิต
2. เข้าสมาธิดว้ ยกสิ ณลม แล้วฝึ กควบคุมลมจะให้มากหรื อน้อย
3. ก่อนอื่ นเมื่ อเริ่ มต้นควรเรี ยกลม และควบคุ มลมที ละน้อยดู เมื่อสามารถควบคุ มได้แล้ว
จึงค่อยเรี ยกลมทีละมาก (เป็ นการฝึ กย่อขยายกสิ ณลมนั้นเอง)
4. เมื่อฝึ กเรี ยกลมและบังคับควบคุมลมได้ เป็ นวสี สมาธิ จึงเรี ยกลมที ละมากๆ ก็จะสาเร็ จ
วิชาเรี ยกพายุ ดังนี้
การพิจารณาลมหายใจเข้ าออกทุกขณะจิต
จึงเป็ นผู้มีสติ ไม่ ประมาททุกเมื่อ
72
วิชาล่ องหนหายตัวในอากาศ
วิชาล่องหนหายตัวในอากาศ เป็ นวิชาแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง วิชานี้จะสาเร็ จได้
ด้วยจิตที่เป็ นสมาธิ การล่องหนหายตัวในอากาศ จะทาได้ดว้ ยกสิ ณ 2 อย่าง คือ
1. กสิ ณอากาศ ใช้อากาศปกคลุมตัวเราทาให้คนอื่นมองไม่เห็น
2. กสิ ณสี เขียว อยูต่ ามป่ าใช้สีเขียวปกคลุมธรรมชาติทาให้อากาศมืดลง สัตว์ร้ายและ
คนอื่นจะมองไม่เห็น เรี ยกว่า ใช้กสิ ณสี เขียว รวมเข้ากับธรรมชาติ
พรางตานั้นเอง
การล่องหนหายตัวด้วยอานุภาพกสิ ณอากาศ
ในการจะล่องหนหายตัวได้น้ นั ต้องใช้พลังสมาธิอภิญญามาก ผูฝ้ ึ กจะใช้วชิ าแคล้วคลาด
ป้ องกันตัวเองจากภยันตราย อันดับแรกต้องเริ่ มต้นฝึ กกสิ ณอากาศ คือ เพ่งอากาศ เป็ นช่ องว่าง
วงกลมๆของอากาศ จะหลับ ตาและลื ม ตาให้ เกิ ด เป็ นนิ มิ ต ของอากาศกสิ ณ ก่ อนจะใช้วิช า
ล่องหนหายตัวในอากาศด้วยกสิ ณอากาศ ต้องรู ้จกั ฝึ กพลังของกสิ ณอากาศที่ตวั เองสาเร็ จเป็ นนิมิต
ของสมาธิ คือ ใช้พลังของกสิ ณอากาศปกคลุมธรรมชาติและตัวเองจากที ละน้อยไปหามาก และ
ปกคลุมธรรมชาติและฝึ กปกคลุ มตัวเองทั้งหมด ด้วยพลังอานุ ภาพของกสิ ณอากาศ แล้วต้องฝึ ก
คลายพลังของกสิ ณอากาศด้วยเป็ นการตรงกันข้ามกับวิชาพรางตา คือ เมื่อล่องหนหายตัวแล้ว ก็
เลิ กล่องหนให้คนอื่นเขาเห็นตัวเองเหมือนเดิม ถ้าฝึ กคลายอานุ ภาพกสิ ณอากาศไม่เป็ นต้องอยู่ตวั
คนเดียวกล่าวคือ จะไปคุยหรื อทักใครเขาก็มองไม่เห็นตัวเรา เพราะตัวเราได้กลายเป็ นอากาศธาตุ
เพราะฉะนั้ น ก่ อ นจะล่ อ งหนด้ ว ยอานุ ภ าพของกสิ ณอากาศ ต้ อ งรู้ จ ัก ฝึ กคลายกสิ ณด้ว ย
หมายความว่า ฝึ กปกคลุมทุกอย่างให้กลายเป็ นอากาศเป็ นการเข้าฌาน และฝึ กคลายทุกอย่างที่เรา
ปกคลุ มไว้ดว้ ยอานุ ภาพของกสิ ณอากาศ ก็คลายออกจากฌาน เป็ นการทาทุกอย่างให้ปรากฏได้
เหมื อนเดิ ม เป็ นการถอนออกจากอานุ ภาพของฌานนั้นเอง คือ อธิ ษ ฐานเข้าฌานได้ ก็ ต้อง
อธิ ษฐานออกจากฌานได้ เรี ยกว่า วสี สมาธิ
การล่องหนหายตัวด้วยอานุภาพกสิ ณอากาศ มีหลักการดังต่อไปนี้ คือ
1. ฝึ กกสิ ณอากาศจนได้นิมิต
2. ฝึ กพลังของกสิ ณอากาศปกคลุมธรรมชาติ ย่อขยายพลังของกสิ ณจนชานาญ
3. ใช้พลังของกสิ ณอากาศปกคลุมตัวเอง ให้ล่องหนหายตัวได้ในอากาศ
การคลายวิชาล่องหนหายตัวในอากาศ ทาตรงกันข้ามและคู่กบั การล่ องหนหายตัวเสมอ
มีหลักการดังต่อไปนี้ คือ
1. ย่อพลังของกสิ ณที่ขยายปกคลุมร่ างกาย ให้หายไป เรี ยกว่า ทาให้ปรากฏเหมือนเดิม
2. คลายออกจากฌานสมาธิดว้ ยอานุภาพของกสิ ณอากาศ
73
การล่องหนหายตัวด้วยอานุภาพกสิ ณสี เขียว
ในการออกธุ ดงค์ตามป่ าเขา ย่อมพบเจอกับ ภยัน ตรายจากสั ตว์ร้ายต่ างๆนาๆประการ
การล่ องหนหายตัวตามป่ าเขา เป็ นการใช้กสิ ณสี เขียวปกคลุ มต้นไม้ให้เขี ยวหมดและบังคับให้
อากาศมืดลง เป็ นการพรางตัวเองจากสัตว์ร้ายนั้นเอง
การฝึ กกสิ ณสี เขียวนั้น คือ การเพ่งสี เขียวเป็ นวงกลม เป็ นดวงกสิ ณสี เขียว จะหลับตา
หรื อลืมตาให้เป็ นนิมิตติดตา สามารถเข้าออกจากฌานได้ชานาญจนเป็ นวสี เมื่อได้นิมิตของกสิ ณ
สี เขียวแล้ว ฝึ กปกคลุมธรรมชาติตน้ ไม้ให้เขียวและให้อากาศมืดลง หรื อทาทุกอย่างให้สีเขียวหมด
เป็ นการใช้พลังของกสิ ณสี เขียวร่ วมกับธรรมชาติ มีตน้ ไม้ เป็ นต้น เป็ นการพรางตาจากสัตว์ร้าย
ต่างๆ เมื่อออกธุ ดงค์ตามป่ าเขานั้นเอง
การล่องหนหายตัวด้วยอานุภาพกสิ ณเขียว มีหลักการดังต่อไปนี้ คือ
1. เข้าฌานสมาธิดว้ ยกสิ ณสี เขียว
2. อธิษฐานจิตด้วยอานุภาพของกสิ ณสี เขียว
3. บังคับให้ทุกอย่างที่อยูต่ ามธรรมชาติ มีตน้ ไม้ เป็ นต้น สี เขียวมากขึ้น เป็ นการพรางตา
จากสัตว์ร้าย หรื อบังคับให้สีเขียวปกคลุมต้นไม้จนอากาศมืด เป็ นการพรางตัว เช่นกัน
การคลายวิชาล่องหนหายตัวด้วยอานุ ภาพกสิ ณสี เขียว เป็ นการทาตรงกันข้ามและควบคู่
กันไปเสมอ กับการล่องหนพรางตา มีหลักการดังต่อไปนี้ คือ
1. คลายสมาธิจากกสิ ณสี เขียว
2. อธิษฐานจิตให้ทุกอย่างปรากฏเหมือนเดิม จากสี เขียวที่ปกคลุมไว้ ก็ให้หายไป
3. เมื่อทาทุกอย่างให้ปรากฏเหมือนเดิมแล้ว ออกจากฌานสมาธิ
อภิญญาก็สักแต่ ว่าอภิญญา
นิมิตแม้ จะจริงหรือเท็จ
ก็ควรรู้ ด้วยสติ ปล่ อยวางด้ วยปัญญา
74
วิชาอัญเชิญพระธาตุกายสิ ทธิ์ (มหาธาตุแห่ งโชคลาภ พระสี วลี)
ข้าพเจ้าขอน้อมอัญเชิ ญมหาธาตุพระสี วลี จงมาเป็ นธรรมบาลช่ วยเหลื อผูต้ กทุกข์ได้ยาก
คนที่เขาเดือดร้อน ข้าพเจ้าขอน้อมอัญเชิ ญด้วยใจสัทธาและเคารพยิ่งพร้ อมขึ้นบูชา ในพระธาตุ
ทั้งหลายและสงฆ์สาวกของพระผูม้ ีพระภาคเจ้า
ข้าพเจ้าขอกราบอภิวาท อัญเชิ ญด้วยเคารพยิ่งพร้ อมขึ้นบูชา (ในพระสี วลี สังฆรัตนะ
แห่งโชคลาภ)
ธาตุกายสิ ทธิ์ มหาธาตุ คืออะไร ธาตุกายสิ ทธิ์ ของพระธาตุแต่ละองค์น้ นั เอง ธาตุสังฆ
รัตนะแต่ละองค์ยอ่ มมีความโดดเด่นไม่เหมือนกัน พระธาตุ พระโมคคัลลานะ คือ อิทธิ ฤทธิ์
พระอนุรุทธ คือ ตาทิพย์ เป็ นต้น ส่ วนพระธาตุพระสี วลี คือ มหาธาตุแห่งโชคลาภ นั้นเอง
การปลุ ก มหาธาตุ แห่ งโชคลาภ พระสี วลี ให้ เป็ นธาตุ ก ายสิ ท ธิ์ ในตัวเองได้น้ ัน ไม่ ใ ช่
ทุ ก คน จะท าได้ห มด หากอยู่ที่ ผูฝ้ ึ กต้องมี บ ารมี ท้ งั 10 ทัศ ถึ งสามารถใช้พ ลังพระธาตุ ไ ด้
และต้องทาสมาธิ จิตสู งพลังพระธาตุนอ้ มอัญเชิญพระธาตุสีวลี มหาธาตุแห่ งโชคลาภเข้าสู่ ร่างกาย
ให้พลังธาตุกายสิ ทธิ์ เปลี่ยนร่ างกายตัวเองให้เป็ นมหาธาตุแห่งโชคลาภ
อย่าคิ ดว่าการสร้ างความดี น้ นั ไม่สาคัญ การทาดี บ่อยๆก็มากหลาย ถ้าไม่เคยสร้ างทาน
บารมี จะเอาบุญบารมีมาจากไหน แล้วจะให้พระช่วยย่อมเป็ นไปไม่ได้โดยแท้
การอัญเชิญพระธาตุพระสี วลี นอกจากจะใช้สมาธิแล้ว จะต้องใช้ทานบารมี ของตัวเอง
ด้วยเป็ นสาคัญ ทานบารมีจึงเป็ นหัวใจหลัก ของพลังพระธาตุพระสี วลี มหาธาตุแห่งโชคลาภ
หลักการทาสมาธิ อญั เชิญพระธาตุพระสี วลี มหาธาตุแห่งโชคลาภ
การฝึ กพลังพระธาตุ
1. กราบไหว้บูชาพระธาตุ
2. นาพระธาตุมาวางไว้หน้าเรา
3. นัง่ สมาธิ เพ่งดูพระธาตุกาหนดหลับตาและลื มตาสลับกันไป แล้วกาหนดพระธาตุมาอยู่ที่
ตัวเราและจิตเรา จนเป็ นนิมิตติดตา
4. เมื่อได้นิมิตติดตาแล้ว พึงกาหนดจิตให้เย็นและสงบ กาหนดจิตตัวเอง หมายถึง ดวงจิต
ตัวเอง กลายเป็ นพระธาตุอยูภ่ ายใน ให้ใจใสสว่างด้วยพระธาตุ เย็นและสงบนิ่ง
5. แผ่พลังพระธาตุออกมาจากจิตตัวเอง ด้วยพลังพระธาตุที่เย็นและสว่าง ตัวเองจะได้รู้สึก
เย็นเหมือนพระธาตุตลอดเวลา
75
การใช้พลังสมาธิอญั เชิญพระธาตุพระสี วลี ให้เสด็จจากอากาศ (เข้าสู่ ร่างกาย)
ท าจิ ต ให้ บ ริ สุ ท ธิ์ ดุ จ แก้ว มณี โชติ แล้วแผ่พ ลัง จิ ตออกมาให้ เหมื อ นพระจัน ทร์ แ ผ่รัศ มี
ออกมาในคืน วัน เพ็ญ (ข้อควรระวัง ในการใช้พ ลังจิตอัญ เชิ ญ พระธาตุ พระธาตุ เป็ นของเย็น
ควรใช้พลังจิตทางเย็น ให้เหมื อนพระจันทร์ แผ่รัศมี ออกมาในคื นวันเพ็ญเป็ นพลังเย็นที่ สงบนิ่ ง
ไม่ค วรใช้พ ลังจิ ตแผ่รังสี ออกมาเหมื อนพระอาทิ ตย์ เพราะพระธาตุ เป็ นของเย็นไม่ใช่ ของร้ อน
พระธาตุอาจหายได้ พระธาตุมีได้หายได้ การใช้พลังจิตแผ่รังสี ออกมาแบบพระอาทิตย์ เป็ นการ
ใช้พ ลังจิ ตแบบร้ อนเหมื อนอานาจเตโชกสิ ณ จิ ตอาจเกิ ดสั ป ระยุท ธ์ ด้วยโทสจริ ต พระธาตุ จึง
เสด็จหนี พลังพระธาตุใช้คู่กบั บารมี 10 ทัศ โดยยึดหลักเมตตาบารมี เป็ นหัวใจและประธาน
หลักของพลังพระธาตุ)
แผ่พลังให้ออกมาจากจิตให้เหมือนพระจันทร์ แผ่รัศมี ให้จิตตัวเองบริ สุทธิ์ ดุจแก้วมณี โชติ
น้อมอัญ เชิ ญ พระธาตุ เมื่ อ จิ ต บริ สุ ท ธิ์ ดุ จแก้วมณี โชติ ดวงจิ ต ของเราจะนิ พ พานชั่วขณะหนึ่ ง
เป็ นจิตที่บริ สุทธิ์ ใกล้เคียงกับดวงจิตของพระอรหันต์ แต่จิตของเรายังไม่ใช่ จิตพระอรหันต์ ยังมี
กิเลสอยู่ แต่พระธาตุสามารถเสด็จมาได้ เพราะว่าจิตนิ พพานชัว่ ขณะหนึ่ ง เหมือนการเข้าสมาธิ
แบบขณิ กสมาธิ
ดวงจิตนิพพาน 3 ระดับ ของจิต
1. จิตนิพพานชัว่ ขณะหนึ่ ง หมายถึง การทาสมาธิ จิตใกล้เคียงกับดวงจิตของพระอรหันต์
แต่ยงั ไม่ใช่ดวงจิตของพระอรหันต์ จิตยังมีกิเลสอยู่ เพียงแต่ออกจากสมาธิ อภิจิตก็จะกลับมีกิเลส
เหมือนเดิม
2. จิตนิ พพานชัว่ คราว หมายถึ ง การทาสมาธิ อภิ จิต เจริ ญวิปัสสนาแยกรู ปแยกนาม
แยกจิตออกจากสังขาร เป็ นการดิ่งสมาธิ สู่ข้ นั อนัตตาญาณ แต่ยงั ถอนกิ เลสออกไม่หมด เพราะ
ยังไม่ได้สาเร็ จอนัตตาญาณถึงขั้นบรรลุธรรม พอออกจากสมาธิ อภิจิตก็จะกลับมีกิเลสเหมือนเดิม
3. จิตนิ พพานถาวร หมายถึง เป็ นการดับจิต ดับกาย ดับธรรม ตัดกิเลสออกจากรู ป
นามและสังขาร ไม่เหลื อความยึดมัน่ ถื อมัน่ ในสังขารทั้งหลายทั้งปวง จึงสาเร็ จเป็ นพระอรหันต์
ด้วยประการฉะนี้ (สาธุ)
วิธีเช็คตรวจสอบว่าตัวเองฝึ กพลังพระธาตุสาเร็ จหรื อไม่
หรื อเช็คว่าพระธาตุได้เข้ามาอยูท่ ี่ร่างของเราแล้ว
1. พระธาตุ เป็ นของสู ง ต้อ งกราบไหว้เคารพบู ช า ห้ ามน าออกมาใช้เล่ น โดยไม่ จ าเป็ น
เด็ดขาด ถึงจาเป็ นก็จะออกมาใช้เล่นไม่ได้เด็ดขาด ถือว่าไม่เคารพในพระธาตุและของสู ง
2. กราบไหว้พระธาตุเป็ นการขอขมาก่อนนามาใช้
3. เอานิ้ วมื อตัวเองแตะที่ พ ระธาตุ ถ้ามื อตัวเองดูดพระธาตุ ได้ แสดงว่าฝึ กส าเร็ จ เพราะ
ดวงจิตตัวเองใกล้เคียงกับพระอรหันต์ (พระธาตุ) จึงสามารถดูดพระธาตุได้ (ถึงแม้ยงั
ไม่บรรลุ ธรรมก็ตาม) เรี ยกว่ าธาตุดูดธาตุ น้ ั นเอง แต่อย่าลาพองว่าตัวเองดู ดพระธาตุได้
ถ้าประมาทเมื่อไรก็ดูดไม่ได้ เพราะพระธาตุเป็ นของสู ง
76
4. สาหรับผูท้ ี่ดูดพระธาตุไม่ได้ ให้พยายามฝึ กต่อไป ให้ใจสงบและเย็นสุ ดๆ ใกล้เคียงกับ
พระธาตุ สักวันหนึ่ง ถ้าฝึ กพลังพระธาตุสาเร็ จ ก็สามารถดูดพระธาตุได้เอง
หมายเหตุ การอัญเชิ ญพระธาตุเข้าร่ างนั้น เป็ นการอัญเชิ ญพุทธคุณด้วยของทิพย์ ไม่ใช่
ของหยาบ คนธรรมดาอาจจะมองไม่ เห็ น ถ้าอยากรู ้ ว่าพระธาตุ ม าหรื อ ไม่ ในตัวเองให้ถ อด
พระเครื่ อ งออกจากตัวให้ห มด ในตัวจะต้อ งไม่ มี อ งค์พ ระอยู่เลยแม้แต่ อ งค์เดี ย ว แล้วลองใช้
พลังพระธาตุดูดพระธาตุของจริ งที่คนธรรมดาทัว่ ไปมองเห็นดู ถ้าดูดได้แสดงว่าพุทธคุณได้เข้ามา
อยูใ่ นตัว ถ้าดูดไม่ได้แสดงว่าในตัวเองไม่มีพุทธคุณ
สาหรับคนที่ดูดพระธาตุไม่ได้ ไม่สามารถอัญเชิญพระธาตุกายสิ ทธิ์ มหาธาตุแห่งโชคลาภ
(พระสี วลี) ต้องย้อนกลับไปสร้างทานบารมีใหม่ แล้วฝึ กใหม่ท้ งั หมดตั้งแต่ตอนต้น
วิธีอญั เชิ ญพระธาตุออกจากร่ างกาย
พระธาตุ เป็ นของสู ง การอัญ เชิ ญ พลัง พระธาตุ ม าอยู่ก ับ ตัว ตลอดเวลา จะท าให้ ใ ช้
บุญเปลื องเกิ นความจาเป็ น บุ ญฤทธิ์ จะใช้มากเกิ นไป หากผูฝ้ ึ กเป็ นพระภิ กษุ หรื อเพศนักบวช
การที่ จะให้ พ ระธาตุ อยู่ก ับ ตัวตลอดเวลาย่อมสามารถท าได้ เพราะพระธาตุ เป็ นของสู งอยู่แล้ว
จะอยูก่ บั เพศนักบวชตลอดเวลาย่อมไม่เป็ นไร
แต่สาหรับฆราวาสผูค้ รองเรื อน จะใช้พลังพระธาตุ ในยามจาเป็ นเท่านั้น มิสมควรที่จะ
เอาพระธาตุมาอยูก่ บั ตัวตลอดเวลา เพราะฆราวาสย่อมกินอยูห่ ลับนอนกับคู่ครอง จะไม่สามารถ
อัญเชิญได้อยูก่ บั ตัวตลอดเวลาเหมือนเพศนักบวช
การอัญเชิ ญพระธาตุออกจากร่ าง พระธาตุคือพลังพุทธคุณแบบของทิพย์ คนธรรมดาจะ
มองไม่ เห็ น แต่ รู้ สึ ก และสั ม ผัส ได้ ในเมื่ อ อัญ เชิ ญ มาเข้า ร่ า งได้ ก็ ต้อ งรู ้ จ ัก อัญ เชิ ญ ออกได้
การอัญเชิญพระธาตุออกจากร่ างทาได้ ดังนี้
กาหนดจิ ตเป็ นสมาธิ นึ กถึ งองค์พระธาตุ ค่อยๆท าสมาธิ จากองค์พ ระธาตุ กลายเป็ น
อากาศธาตุ เมื่อกลายเป็ นอากาศธาตุ ปล่อยวางพระธาตุที่เป็ นอากาศธาตุ ค่อยๆเคลื่อนออกจาก
ร่ างกายให้สลายกลายเป็ นอากาศธาตุ เรี ยกว่า อัญเชิญพุทธคุณออกจากร่ างของเรา
การปลุกพลังพระธาตุพระสี วลี มหาธาตุแห่งโชคลาภ
ปลุกเสกที่องค์พระเครื่ อง
การปลุ ก พลังพระธาตุ พ ระสี วลี นิ ย มปลุ ก เสกกัน ที่ อ งค์พ ระสี วลี พระเครื่ ององค์อื่ น
ได้ไหม ถ้าจะอัญเชิ ญพลังพระสี วลีบรรจุไว้ที่องค์พระ เพื่อเสริ มโชคลาภ ตอบว่าได้เหมือนกัน
แต่ไม่นิยมทากัน ส่ วนมากมักจะบรรจุพุทธคุณลงที่พระเครื่ องสี วลี
การปลุกพลังพระธาตุสีวลีลงไปที่องค์พระเครื่ องทาได้ ดังนี้
กาหนดสมาธิ แล้วใช้พลังพระธาตุบรรจุพุทธคุณลงไปที่องค์พระเครื่ อง แล้วบริ กรรมคาถา
หัวใจพระสี วลี นะชาลีติ ลงไปด้วยก็ได้ เพิ่มพลังทางพุทธคุ ณ เมื่อบริ กรรมปลุกเสกเสร็ จแล้ว
พระเครื่ องจะมีพลังพุทธคุณทางด้านโชคลาภ
77
การใช้บารมีของพลังพระธาตุพระสี วลี ให้ประสบความสาเร็ จการงาน
การค้าขายเจริ ญรุ่ งเรื องทาได้ดงั นี้
ในการประกอบหน้าที่การงาน หรื อจะทาให้การขายประสบความสาเร็ จกิ จการรุ่ งเรื อง
ด้วยอาศัยบารมีทางพุทธคุณ (มหาธาตุแห่งโชคลาภ) ได้น้ นั การประกอบการงานให้เจริ ญก้าวหน้า
หรื อจะประกอบการขายกิ จการเจริ ญรุ่ งเรื อง ก่อนอื่นที่จะใช้พลังพระธาตุหรื อขอบารมีพระธาตุ
ได้น้ นั ต้องสร้างทานบารมี อันเป็ นเหตุให้เกิ ดโชคลาภการเงิ นทอง แล้วเปลี่ยนบุญกุศลตัวเอง
เป็ นพลังแห่งบุญฤทธิ์ น้อมอัญเชิญพลังพระธาตุ อธิษฐานให้ประสบความสาเร็ จในหน้าที่การงาน
การขายเจริ ญรุ่ งเรื อง การเงิ นทองไม่ติดขัด ทามาค้าขึ้น สุ ดแล้วแต่บารมีเราเป็ นสาคัญถึ งจะใช้
พลังพระธาตุได้ตามปรารถนาเป็ นผลสัมฤทธิ์ แห่งการงานและเงินทองทั้งปวง
การใช้บารมีของพลังพระธาตุ ในเพศของนักบวชบรรพชิตหรื อพระภิกษุ
ตัวอย่าง ใช้พ ลังพระธาตุ แห่ งโชคลาภ เรี ยกญาติ โยมหรื อเทวดามาใส่ บ าตร ไม่ มีวนั
อดตาย หากพระรู ปใดมีพลังสมาธิ อญั เชิญพระธาตุ หรื อใช้บุญบารมีของตัวเอง
อยูใ่ นที่ทุรกันดารตามป่ าเขาหรื อชนบท ยากที่ญาติโยมมาใส่ บาตร
การอธิ ษฐาน เรี ยก เทวดามาใส่ บาตรตามป่ าเขา ทาสมาธิ จิตอัญเชิ ญพลังพระธาตุแห่ ง
โชคลาภเข้าตัวหรื อจะใช้บุญของตัวเองก็ได้ อธิ ษฐานให้เทวดาหรื อญาติโยมมาใส่ บาตรตามป่ าเขา
อันเป็ นเป็ นที่ ยากต่อการบิ ณฑบาตด้วยข้าวและอาหาร เดิ นบิณฑบาตไปเรื่ อยๆหรื อนั่งอยู่เฉยๆ
เดี๋ ย วมี เทวดาและญาติ โยมมาใส่ บ าตรให้ เอง ถ้าบารมี ไม่ ม ากพอต้องเดิ นหน่ อย ถ้าบารมี แรง
มาใส่ ถึงที่
ตัวอย่าง จะสร้างวัดศาลากุฏิ แต่ขาดปั จจัย
ใช้พลังพระธาตุ เรี ยกญาติโยมมาทาบุญตามกาลังศรัทธา พลังธาตุดูดธาตุ อยูก่ บั ที่เดี๋ยว
ก็มีโยมศรัทธาสร้างถวาย นี้ คือ พลังมหาธาตุแห่ งโชคลาภ พลังธาตุดูดธาตุ เมื่อมีพระธาตุหนึ่ง
อัน ใดอยู่ จะอัญ เชิ ญ พระธาตุ ที่ เหลื อ ย่อ มเป็ นไปได้ง่ า ย เช่ น จะน้อ มอัญ เชิ ญ พระธาตุ แ ห่ ง
การแสดงธรรม มาแสดงธรรมตามงานบุญที่วดั ก็จะมีพระภิกษุผเู ้ ลิศทางแสดงธรรม มาที่วดั เอง
เรี ยกว่า ธาตุดูดธาตุ นั้นเอง
การใช้พลังพระธาตุได้น้ นั ขึ้นอยูก่ บั บารมีตวั เองเป็ นหลัก พระธาตุเป็ นของสู ง จะไม่นา
ออกมาใช้เล่นเป็ นการไม่เคารพพระธาตุ หากจาเป็ นจึงใช้พลังพระธาตุสุดแล้วแต่บารมีของผูใ้ ช้
เป็ นหลัก
การใช้พลังพระธาตุให้สาแดงอภินิหาร
ยึดบารมี 10 ทัศ เป็ นหลัก และจิ ตนิ่ ง เป็ นสมาธิ ฝ่ ายเย็น เพราะพระธาตุ เป็ นของเย็น
ไม่ใช่ของร้อนเหมือนกับการฝึ กวิชาเพลิงกายดวงจิตสุ ริยะ
การใช้บารมีพระธาตุไม่จาเป็ นต้องพูดมากและโอ้อวดว่ามีสิ่งวิเศษอยู่กบั ตัว การใช้พลัง
พระธาตุคือการแสดงพลังและบารมีของผูใ้ ช้เป็ นหลัก คู่กบั บารมีของพระธาตุแต่ละองค์
78
ดูก่อนท่ านผู้เจริญ ผู้สาเร็จไม่ พูดมาก ผู้พูดมากมักจะไม่ สาเร็จ ท่ านจะสาเร็ จ
หรือไม่ สาเร็จ อยู่ทคี่ าพูดของท่ านเอง
ข้อควรรู้ ในการใช้พลังพระธาตุหรื ออัญเชิญพระธาตุ
การใช้พลังพระธาตุได้น้ นั ต้องดูที่ตวั เองเป็ นหลักว่าตัวเองอยู่ในชั้นไหน ดูตวั เองและ
ดูบารมีของตัวเองว่ามีบารมีพอหรื อไม่ ในการอัญเชิ ญพลังพระธาตุ ชั้นโลกี ยม์ นุ ษย์ธรรมดาจะ
อัญเชิ ญได้ข้ ึ นอยู่กบั บารมี ของตัวเองเป็ นหลักว่า สร้ างทานมาพอหรื อเปล่ าและฝึ กสมาธิ ดึงบุ ญ
ออกมาใช้ได้ดีแค่ไหนในการอัญเชิญพระธาตุ ส่ วนชั้นเทพและพรหม จะอัญเชิ ญพระธาตุได้ตอ้ ง
ขึ้ น อยู่ ก ับ บุ ญ บารมี ข องเทพพรหมองค์ น้ ั น เป็ นหลัก ระดับ ชั้ น พระโพธิ สั ต ว์ข้ ึ น ไป จนถึ ง
พระโสดาบันและพระอรหันต์ จะอัญเชิญพระธาตุเท่าไรกี่องค์ก็ได้ตามแต่จิตของท่านปรารถนา
ระดับชั้นการบรรลุคุณวิเศษ (ชั้นโลกีย)์
1. ชั้นมนุษย์
2. ชั้นเทพ
3. ชั้นพรหม
ระดับชั้นการบรรลุคุณวิเศษ (กึ่งโลกียแ์ ละกึ่งโลกุตตระ)
คือชั้นบารมีธรรมของพระโพธิ สัตว์น้ นั เอง การแบ่งบารมีธรรมระดับ ชั้นพระโพธิ สัตว์
แบ่งตามระดับแห่งบารมีธรรม ได้ดงั นี้
1. พระโพธิสัตว์ ที่ปรารถนาจะบรรลุเป็ นพระอรหันต์
2. พระโพธิสัตว์ ที่ปรารถนาจะบรรลุเป็ นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
3. พระโพธิสัตว์ ที่ปรารถนาจะบรรลุเป็ นพระพุทธเจ้า
โดยส่ วนมากแล้ว จะยกย่องพระโพธิ สัตว์ที่สร้ างบารมีเพื่อจะมาเป็ นพระพุทธเจ้า ส่ วน
พระโพธิ สัตว์ที่สร้างบารมีเพื่อที่จะมาเป็ นพระอรหันต์หรื อพระปั จเจกพระพุทธเจ้า มักจะค่อยได้
กล่าวถึงเท่าใดนัก
ระดับชั้นการบรรลุคุณวิเศษ (ชั้นโลกุตตระ)
1. พระโสดาบัน ละสังโยชน์ได้ต้ งั แต่ขอ้ 1 – 3
2. พระสกทาคามี ละสังโยชน์ได้ต้ งั แต่ขอ้ 1 – 3 (พร้อมทั้งทาราคะ โทสะ โมหะ
ให้เบาบางลง)
3. พระอนาคามี ละสังโยชน์ได้ต้ งั แต่ขอ้ 1 – 5
4. พระอรหันต์ ละสังโยชน์ได้ท้ งั หมด 10 ข้อ
79
ข้อควรรู้ ในการใช้บารมีและอัญเชิ ญพระธาตุมาแต่ละองค์
มหาธาตุแห่งโชคลาภ คือ พระสี วลี
มหาธาตุแห่งปั ญญา คือ พระสารี บุตร
มหาธาตุแห่งอิทธิ ฤทธิ์ คือ พระโมคคัลลานะ
มหาธาตุแห่งการแสดงธรรม คือ พระมหากัจจายนะ
มหาธาตุแห่งการปราบมาร คือ พระอุปคุตหรื อพระโมคคัลลานะ
มหาธาตุแห่งตาทิพย์ คือ พระอนุรุทธ
มหาธาตุแห่งมโนมัยฤทธิ์ คือ พระจูฬปันถกะ
มหาธาตุแห่งวาจาไพเราะอ่อนหวาน คือ พระโสณกุฎิกณ ั ณะ
มหาธาตุแห่งการเป็ นที่รักของเทวดา คือ พระปิ ลินทวัจฉะ
มหาธาตุแห่งทรงพระวินยั คือ พระอุบาลี
มหาธาตุแห่งการไร้โรคภัยไข้เจ็บ คือ พระพากุละ
มหาธาตุแห่งครองจีวรเศร้าหมอง คือ พระโมฆราช
มหาธาตุแห่งการธุ ดงค์ คือ พระมหากัสสปะ
มหาธาตุแห่งการอยูป่ ่ า คือ พระเรวตะ
ศึกษาประวัติพระอรหันต์เพิ่มเติมได้ที่ หนังสื อ อนุพุทธะประวัติ หลักสู ตรนักธรรมโท
แล้วอัญเชิญพระธาตุขอบารมี จะได้อญั เชิญไม่ผดิ องค์
พระธาตุมีได้ หายได้
จะอยู่กบั ผู้ที่มีบุญบารมี และปฏิบัติดปี ฏิบัตชิ อบเท่ านั้น
85
วิชาอัญเชิญธาตุกายสิ ทธิ์ออกจากร่ างกาย
ธาตุ กายสิ ท ธิ์ พระธาตุ เป็ นของสู ง จะให้ท่ านอยู่กบั ตัวตลอดเวลานั้นย่อมเป็ นไปไม่ ได้
เพราะฆราวาสนั้น ย่อมมีการกินอยูห่ ลับนอน
ส่ วนธาตุกายสิ ทธิ์ ที่เป็ นของเทพคุม้ ครองรักษา ถ้าเป็ นฆราวาสยังกินอยูห่ ลับนอน ก็ตอ้ ง
รู้จกั ให้เกียรติสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อัญเชิญออก
วิธีอญั เชิ ญพระธาตุออกจากร่ างกาย
พระธาตุ เป็ นของสู ง การอัญ เชิ ญ พลัง พระธาตุ ม าอยู่ก ับ ตัว ตลอดเวลา จะท าให้ ใ ช้
บุ ญเปลื องเกิ นความจาเป็ น บุ ญ ฤทธิ์ จะใช้ม ากเกิ นไป หากผูฝ้ ึ กเป็ นพระภิ ก ษุ หรื อเพศนักบวช
การที่ จะให้ พ ระธาตุ อยู่ก ับ ตัวตลอดเวลาย่อมสามารถท าได้ เพราะพระธาตุ เป็ นของสู งอยู่แล้ว
จะอยูก่ บั เพศนักบวชตลอดเวลาย่อมไม่เป็ นไร
แต่สาหรับฆราวาสผูค้ รองเรื อน จะใช้พลังพระธาตุ ในยามจาเป็ นเท่านั้น มิสมควรที่จะ
เอาพระธาตุมาอยูก่ บั ตัวตลอดเวลา เพราะฆราวาสย่อมกินอยูห่ ลับนอนกับคู่ครอง จะไม่สามารถ
อัญเชิญให้อยูก่ บั ตัวได้ตลอดเวลาเหมือนเพศนักบวช
การอัญเชิ ญพระธาตุออกจากร่ าง พระธาตุคือพลังพุทธคุณแบบของทิพย์ คนธรรมดาจะ
มองไม่ เห็ น แต่ รู้ สึ ก และสั ม ผัส ได้ ในเมื่ อ อัญ เชิ ญ มาเข้า ร่ า งได้ ก็ ต้อ งรู ้ จ ัก อัญ เชิ ญ ออกได้
การอัญเชิญพระธาตุออกจากร่ างทาได้ ดังนี้
กาหนดจิ ตเป็ นสมาธิ นึ กถึ งองค์พระธาตุ ค่อยๆท าสมาธิ จากองค์พ ระธาตุ กลายเป็ น
อากาศธาตุ เมื่อกลายเป็ นอากาศธาตุ ปล่อยวางพระธาตุที่เป็ นอากาศธาตุ ค่อยๆเคลื่อนออกจาก
ร่ างกายให้สลายกลายเป็ นอากาศธาตุ เรี ยกว่า อัญเชิญพุทธคุณออกจากร่ างของเรา
วิธีอญั เชิ ญธาตุกายสิ ทธิ์ ที่เป็ นของเทพดูแลรักษาออกจากร่ างกาย
ในการเป็ นฆราวาสนั้ น ย่อ มต้อ งกิ น อยู่ห ลับ นอน จะให้ ธ าตุ ก ายสิ ท ธิ์ ที่ เป็ นของเทพ
คุม้ ครองดูแลรักษา จะอัญเชิ ญให้ท่ านมาอยู่เราตัวเราตลอดเวลานั้นย่อมเป็ นไปไม่ได้ เป็ นการ
ไม่ให้เกียรติสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่ออัญเชิญเข้าได้ ต้องรู้จกั อัญเชิญออกได้ เป็ นต้น
มีหลักการอัญเชิญออกจากร่ าง ดังต่อไปนี้ คือ
1. กาหนดจิตให้นึกถึงธาตุกายสิ ทธิ์ (ที่เป็ นของเทพที่คุม้ ครองรักษา)
2. กาหนดจิตบอกสิ่ งศักดิ์สิทธิ์ ให้รับรู ้วา่ เราจะอัญเชิ ญท่านออก
3. กาหนดจิตทาสมาธิ อญั เชิญออกจากร่ าง
86
ในการอัญเชิ ญธาตุกายสิ ท ธิ์ ออกจากร่ างนั้น ไม่ว่าจะเป็ นพระธาตุ ของพระอรหันต์หรื อ
เป็ นของเทพที่คอยดูแลคุม้ ครองรักษา ไม่ตอ้ งกลัวว่าอัญเชิ ญออกจากร่ างแล้ว ท่านจะไม่กลับมา
เมื่ออัญเชิญออกได้ สามารถจะอัญเชิญกลับมาเมื่อไรก็ได้ ขอให้ตวั ท่านไม่ประพฤติออกจากศีล 5
และต้องมีบารมี 10 ทัศ แล้วจิตถึงจะอัญเชิญกลับมาเมื่อไรก็ได้
ศีล 5
1. เว้นจากการฆ่าสัตว์และเบียดเบียนผูอ้ ื่น
2. เว้นจากการลักทรัพย์
3. เว้นจากการประพฤติผดิ ในกาม
4. เว้นจากการพูดปด พูดส่ อเสี ยด พูดคาหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ
5. เว้นจากการดื่มสุ ราอันเป็ นตั้งแห่งความประมาท
บารมี 10 ทัศ
หัวใจพระเจ้า 10 ชาติ คือ เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว
บารมี 10 ทัศ ดังนี้ คือ
1. เต พระเตมีย ์ บาเพ็ญเนกขัมมะบารมี
2. ชะ พระมหาชนก บาเพ็ญวิริยะบารมี
3. สุ พระสุ วรรณสาม บาเพ็ญเมตตาบารมี
4. เน พระเนมิราช บาเพ็ญอธิษฐานบารมี
5. มะ พระมโหสถ บาเพ็ญปัญญาบารมี
6. ภู พระภูริทตั บาเพ็ญศีลบารมี
7. จะ พระจันทรกุมาร บาเพ็ญขันติบารมี
8. นา พระนารท บาเพ็ญอุเบกขา
9. วิ พระวิธูร บาเพ็ญสัจจะบารมี
10. เว พระเวสสันดร บาเพ็ญทานบารมี
พระพุทธคุณเป็ นของสู ง
จะเข้ ามาอยู่ในตัวคนที่มีบุญบารมีเท่ านั้น
89
วิชาอัญเชิญพระพุทธคุณจากร่ างกายออกสู่ อากาศธาตุ
การอัญเชิ ญพระพุทธคุณออกจากร่ าง คือ เมื่ออัญเชิ ญเข้าร่ างได้ ต้องรู้จกั อัญเชิญออกได้
สาหรับฆราวาสผูค้ รองเรื อน
สาหรับฆราวาสผูค้ รองเรื อน จะใช้พลังพระพุทธคุณในยามจาเป็ นเท่านั้น มิสมควรที่จะ
เอาพระพุ ท ธคุ ณ มาอยู่ก ับ ตัว ตลอดเวลา เพราะฆราวาสย่อ มกิ น อยู่ห ลับ นอนกับ คู่ ค รอง จะ
ไม่สามารถอัญเชิญพระพุทธคุณ ให้อยูก่ บั ตัวตลอดเวลาเหมือนเพศนักบวช
การอัญเชิญพระพุทธคุณออกจากร่ าง พลังพระพุทธคุณแบบของทิพย์ คนธรรมดาจะมอง
ไม่เห็น แต่รู้สึกและสัมผัสได้ ในเมื่ออัญเชิ ญมาเข้าร่ างได้ ต้องรู้จกั อัญเชิญออกได้ การอัญเชิ ญ
พระพุทธคุณออกจากร่ างทาได้ ดังนี้
กาหนดจิตเป็ นสมาธิ นึกถึงพระพุทธคุณ ค่อยๆทาสมาธิ ออกจากพระพุทธคุณ กลายเป็ น
อากาศธาตุ เมื่อกลายเป็ นอากาศธาตุ ปล่อยวางพระพุทธคุณที่เป็ นอากาศธาตุ ค่อยๆเคลื่อนออก
จากร่ างกายให้สลายกลายเป็ นอากาศธาตุ เรี ยกว่า อัญเชิญพระพุทธคุณออกจากร่ างของเรา
หลักการอัญเชิญพระพุทธคุณออกจากร่ างกาย
ในการเป็ นฆราวาสนั้นย่อมต้องกิ นอยู่หลับนอน จะให้พระพุทธคุณ คุ ม้ ครองดูแลรักษา
จะอัญเชิญให้ท่านมาอยูเ่ ราตัวเราตลอดเวลานั้นย่อมเป็ นไปไม่ได้ เป็ นการไม่ให้เกียรติสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เมื่ออัญเชิญเข้าได้ ต้องรู้จกั อัญเชิญออกได้ เป็ นต้น
มีหลักการอัญเชิญออกจากร่ าง ดังต่อไปนี้ คือ
1. กาหนดจิตให้นึกถึงพระพุทธคุณ
2. กาหนดจิตบอกสิ่ งศักดิ์สิทธิ์ ให้รับรู ้วา่ เราจะอัญเชิ ญท่านออก
3. กาหนดจิตทาสมาธิ อญั เชิญพระพุทธคุณออกจากร่ าง
ใดๆในโลก ล้ วนอนิจจัง
ยึดติดทาไม ให้ ใจเราเป็ นทุกข์
90
โคตรภูญาณ
โคตรภู ญ าณ คื อ อะไร เป็ นญาณอยู่ ร ะหว่ า งกึ่ งกลางที่ ก าลัง จะเปลี่ ย นจากปุ ถุ ช น
กลายเป็ นพระอริ ยบุคคล ก่อนที่จะเป็ นพระโสดาบัน ต้องผ่านโคตรภูญาณมาก่อน ด้วยกันทั้งนั้น
เรี ยกอีกอย่างหนึ่งว่า ชั้นของพระโพธิ สัตว์น้ นั เอง
ชั้นพระโพธิ สั ตว์ จึงเป็ นชั้นท าความเพียรสร้ างบุ ญ บารมี ธรรม เพื่ อพ้นจากความทุ ก ข์
หาทางออกจากวัฏฏะสงสาร
ชั้นพระโพธิ สัตว์น้ ี ท่านสามารถปล่อยวาง รัก โลภ โกรธ หลง ได้ดีกว่าปุถุชนคน
ธรรมดา เพราะท่านเห็ นภัยในวัฏฏะสงสาร ไม่ป ระมาทในการสร้ างบารมี ธรรม จึ งสามารถ
ปล่อยวางกิเลสได้ดีกว่าปุถุชน เพราะท่านใส่ ใจเพียรในการสร้างบุญบารมีมากกว่า ที่จะติดอยูใ่ น
วัฏฏะสงสารแห่งกองทุกข์
ชั้นพระโพธิ สัตว์น้ ี ท่านทาความเพียรสั่งสมบารมี ตั้งแต่ 10 – 30 ทัศ เพื่อเพียรขจัด
กิเลสให้หมดไปจากจิตของท่าน เพื่อให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด แห่งวัฏฏะสงสาร
การสาเร็ จชั้นโคตรภูญาณ สามารถบรรลุได้ 2 อย่าง คือ
1. บาเพ็ญสมถะต่อวิปัสสนา มีอภินิหารต่างๆ มากมาย
2. บาเพ็ญวิปัสสนาล้วน แตกฉานในธรรมทั้งหลาย
ญาณกึ่งโลกียก์ บั โลกุตตระ
โคตรภู ญาณนั้น คื อ ญาณอยู่ระหว่างกึ่ งกลางที่ ก าลังจะเปลี่ ยนจากปุ ถุช น กลายเป็ น
พระอริ ยบุคคล โคตรภูญาณ เรี ยกอีกอย่างหนึ่งว่า ชั้นของพระโพธิ สัตว์น้ นั เอง
ก่ อ นที่ บุ ค คลจะท าความเพี ย รเพื่ อ บรรลุ ธ รรมเป็ นพระโสดาบัน เป็ นต้น ต้อ งผ่ า น
โคตรภู ญาณมาก่ อนด้วยกันทั้งนั้น จึ งเรี ยกอี กอย่างหนึ่ งว่า ชั้นของพระโพธิ สั ตว์ ผูส้ ร้ างบุ ญ
บารมีธรรม เพื่อออกจากความทุกข์ แห่งวัฏฏะสงสาร
พระโพธิ สัตว์ที่ มนุ ษ ย์รู้จกั อาทิ เช่ น พระมหาโพธิ สัตว์ หลวงปู่ ทวด พระแม่กวนอิม
จตุคาม เป็ นต้น ประวัติการสร้ างบารมีของท่าน คงจะไม่จาเป็ นต้องเขี ยนหรื อต้องเล่า เพราะ
เป็ นที่รู้จกั กันดี ของมนุษย์ท้ งั หลาย
พระโพธิ สัตว์ที่มนุษย์ไม่รู้จกั ยังมีอีกมากมาย
พระโพธิสัตว์ 3 ระดับ
การจาแนกบารมีธรรมของพระโพธิ สัตว์ แบ่งตามระดับแห่งบารมีธรรม ได้ดงั นี้
1. พระโพธิสัตว์ ที่ปรารถนาจะบรรลุเป็ นพระอรหันต์
2. พระโพธิสัตว์ ที่ปรารถนาจะบรรลุเป็ นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
3. พระโพธิสัตว์ ที่ปรารถนาจะบรรลุเป็ นพระพุทธเจ้า
โดยส่ วนมากแล้ว จะยกย่องพระโพธิ สัตว์ที่สร้ างบารมีเพื่อจะมาเป็ นพระพุทธเจ้า ส่ วน
พระโพธิ สัตว์ที่สร้างบารมีเพื่อที่จะมาเป็ นพระอรหันต์หรื อพระปั จเจกพระพุทธเจ้า มักจะค่อยได้
กล่าวถึงเท่าใดนัก
91
ในความเป็ นจริ งนั้น ก่อนที่จะสาเร็ จเป็ นพระโสดาบันทุกองค์ ท่านทั้งหลายต้องผ่านชั้น
ของโคตรภู ญ าณก่ อ น ชั้น นี้ จึ ง เป็ น ชั้น ของผู้มี ค วามเพี ย รสร้ างบารมี เพื่ อ บรรลุ ธ รรม เรี ย ก
อีกอย่างหนึ่งว่า ชั้นของพระโพธิ สัตว์น้ นั เอง
เมื่อเป็ นเช่ นนี้ พระโพธิ สัตว์จึงมีท้ งั 3 แบบ แต่คนเราส่ วนมากไม่ได้ศึกษาให้ละเอียด
จึงมักคิดว่า พระโพธิ สัตว์ตอ้ งเป็ นผูท้ ี่สร้างบารมี มาเป็ นพระพุทธเจ้าเท่านั้น ส่ วนพระโพธิ สัตว์
ผูท้ ี่สร้างบารมีมาเป็ นพระปั จเจกพระพุทธเจ้า หรื อพระอรหันต์ คนจึงมักไม่เข้าใจว่าท่านก็เป็ น
พระโพธิ สัตว์เหมื อนกัน แต่บารมีไม่ถึงพระพุทธภูมิ บางคนไม่ศึกษาให้ละเอียดเอาไปรวมกับ
พระพุทธภูมิก็มี
ในที่ น้ ี ผูเ้ ขียนจะยกย่องพระโพธิ สัตว์ ผูป้ รารถนาจะมาเป็ นพระพุทธเจ้าว่า พระบรม
มหาโพธิสัตว์ หรื อพระมหาโพธิสัตว์
ส่ ว นผู ้ที่ ป รารถนาจะมาเป็ นพระปั จ เจกพระพุ ท ธเจ้า หรื อ พระอรหั น ต์ จะเรี ย กว่ า
พระโพธิ สัตว์ ธรรมดาเพื่อไม่ให้ผอู ้ ่านเกิดความสับสน
พระบรมมหาโพธิ สัตว์ หรื อพระมหาโพธิ สัตว์ ผูส้ ร้างบารมีมาเป็ นพระพุทธเจ้านั้น คือ
ผูท้ ี่ปรารถนา พระพุทธภูมิ จะไม่เกิดความท้อแท้ ในการเกิดเพื่อสร้างบารมีธรรม แม้กาลเวลา
จะยาวนาน ก็จะเกิ ดมาบารมี ธรรมจนเต็ม และรอกาลเวลาตรั สรู ้ เป็ นลาดับไป หมายถึ ง ใคร
สร้างบารมีธรรมก่อน คนนั้นย่อมเป็ นพระพุทธเจ้าได้ก่อน ถ้าสร้างบารมีธรรมมาทีหลัง ก็จะรอ
ตรัสรู ้ เป็ นลาดับไป จะมีความแน่ วแน่ ในการปรารถนาพระพุทธภูมิ ไม่เลิ กบาเพ็ญเพียรสร้ าง
บารมี หรื อท้อแท้ในการเกิ ดแห่ งวัฏ ฏะสงสาร หรื อเบื่ อหน่ ายสิ้ นหวังที่ ตอ้ งรอเป็ นเวลานานๆ
เพื่อตรัสรู ้เป็ นลาดับไป และไม่ลาจากพระพุทธภูมิบรรลุธรรมก่อน เรี ยกว่า ผูม้ ีความปรารถนา
พุทธภูมิอย่างแท้จริ ง
ดวงจิตพุทธะนั้น ท่ านต้ องเข้ าถึงเอง เพราะเมื่ อท่านปรารถนาพระพุทธภูมิ จะเข้าถึ ง
ดวงจิ ต พุ ท ธะเอง และมี ค วามเพี ย รแน่ ว แน่ ใ นการสร้ า งบารมี ธ รรม ไม่ บ อกลาพระพุ ท ธภู มิ
เพราะเบื่อหน่ายต่อการเกิด หรื อเหตุผลอื่นใดก็ตาม เพราะท่านเข้าถึงดวงจิตพุทธะแล้ว
พระโพธิ สัตว์ ผูส้ ร้ างบารมี ธรรมมาเป็ นพระปั จเจกพระพุ ทธเจ้านั้น ก็ จะอดทนรอจน
บารมี ธ รรมของตนเองเต็ ม และอดทนรอจนกว่า โลกนี้ ว่า งจากพระพุ ท ธศาสนา เรี ย กว่ า
พุทธันดร และเลื อกกาลเวลาที่ เหมาะสม จุ ติลงมาเพื่ อบรรลุ ธรรม พระปั จเจกพระพุท ธเจ้านั้น
ท่านตรัสรู ้ชอบได้ดว้ ยตนเอง แต่ท่านมิได้สอนใครให้รู้ตามท่าน เหมือนกับพระพุทธเจ้า
พระโพธิ สั ต ว์ ผูส้ ร้ า งบารมี ธ รรมมาเป็ นพระอรหัน ต์ร ะดับ พระอสี ติ ม หาสาว ก คื อ
พระมหาสาวกของพระพุทธเจ้า ผูม้ ีความเป็ นเลิศในแต่ละด้าน ก็ตอ้ งอดทนรอพระพุทธเจ้าตรัสรู ้
และท่านจะบรรลุ ธรรมตามพระพุทธเจ้าพระองค์น้ นั เพื่อเป็ นพระมหาสาวก ของพระพุทธองค์
และมีความเป็ นเลิ ศในแต่ละด้าน ไม่บรรลุ ธรรมไปก่อน เมื่อตัวเองสร้ างบารมีธรรมเต็ม แต่จะ
อดทนรอกาลเวลาในสมัยของพระพุ ทธเจ้าองค์น้ นั ๆ เพื่ อที่ จะมาเป็ นพระอสี ติม หาสาวก ของ
พระพุทธองค์
92
พระโพธิ สัตว์ ผูส้ ร้างบารมีธรรมมาเป็ นพระอรหันต์ธรรมดา จะบรรลุ ธรรมตอนไหน
ก็ได้ เมื่อบารมีธรรมของท่านเต็ม เพราะท่านเบื่อหน่ายการเกิด แห่ งวัฏฏะสงสาร ที่เต็มไปด้วย
ความทุกข์ ท่านไม่ปรารถนาการเกิดบ่อย เพราะการเกิดแต่ละครั้งเต็มไปด้วยความทุกข์
ญาณของพระโพธิ สัตว์ในแบบต่างๆ ในการสร้างบารมี 10 – 30 ทัศ
ปุจฉา จะรู ้ได้อย่างไรว่า พระโพธิ สัตว์องค์น้ ี มีญาณอะไรอยู่
วิสัชนา ดูที่การสร้างบารมี 10 ทัศ ปัจจุบนั (ถ้าสร้างบารมีอะไรอยู่ ก็จะใช้ญาณอันนั้น)
ตัวอย่าง ญาณของพระโพธิสัตว์
1. ญาณบาเพ็ญตบะ สร้างเนกขัมมะบารมีหรื ออุเบกขาบารมี
2. ญาณบาเพ็ญเพียร สร้างวิริยะบารมี
3. ญาณโปรดสัตว์ สร้างทานบารมี
ความอยากนิ พพานนั้นใครๆก็มีและปรารถนา แต่ถามว่าจะมีสักกี่ คน ที่ปรารถนาแล้ว
บาเพ็ญเพียรสร้างบารมีเพื่อจะนิพพาน
ถ้ าคนเขาปรารถนาสร้ างบารมีเพือ่ จะนิพพาน เขาจะสร้ างบารมีเอง
ข้ อควรระวัง พระโพธิ สัตว์ท้ งั หลาย ไม่ควรใช้ญาณปราบมาร ต่อการใช้ชีวิตอยูบ่ นโลก
มนุษย์ เพราะถ้ามนุ ษย์ปุถุชนคนธรรมดานั้น เขาไม่เข้าใจต่อการใช้ญาณปราบมารของท่าน เขา
จะใส่ ร้าย และหาว่าท่านต่างๆนาๆได้วา่ ท่านไร้เมตตาธรรม
ท่ านผู้ เจริ ญ ถ้ าท่ านยังใช้ ญ าณปราบมารอยู่ แล้ ว บารมี ธรรมของท่ านจะสู งขึ้นไปได้
อย่างไรกัน การแผ่เมตตาให้ มาร เป็ นสิ่ งทีพ่ ระโพธิสัตว์ ท้งั หลาย ควรกระทา ดังนี้
การปราบมารหาใช่หน้าที่ไม่
ในการปราบมารหาใช่หน้าที่ (ของพระโพธิ สัตว์ท้ งั หลายไม่) ถ้าไม่ได้รับอาญาสิ ทธิ์ จาก
สวรรค์และนรกให้จุติลงมาเพื่อปราบมาร
ถ้า ท่ า นแย่ง หน้ า ที่ ค นอื่ น เขาท าหมด แล้ว จะมี น รกสวรรค์ท าไมกัน เพราะเป็ นสิ่ ง ที่
เบื้องบนและเบื้องล่างทาหน้าที่ปราบมารให้ท่านอยูแ่ ล้ว
วิชาทางพระพุทธศาสนา
วิชาอภินิหารต่างๆ ในพระพุทธศาสนามีอยูม่ ากมาย ด้วยเหตุน้ ี
ถ้า ปุ ถุ ช นฝึ กเป็ นขั้น โลกี ย ์ เพราะสู ง สุ ด ของฌานสมถะ เต็ ม ที่ ไ ด้แ ค่ ช้ ั น พรหม ไม่
สามารถทาความเพียรเจริ ญวิปัสสนาเพื่อบรรลุธรรมขั้นสู งขึ้นไป เพราะติดอยูใ่ นอภิญญาตัวเอง
ถ้าพระอริ ยบุคคลฝึ กเป็ นขั้นโลกุตตระ เพราะท่านเจริ ญฌานก่อนแล้วมา เจริ ญวิปัสสนา
ญาณทีหลัง เป็ นการหลุดพ้นด้วยเจโตวิมุตติ
ตัวอย่าง พระสารี บุตร ในอดีตชาติ ก่อนจะมาเป็ นพระอรหันต์ ท่านจุติปราบมาร
ในอดี ตชาติ ก่อนที่ พระสารี บุตรจะบรรลุ ธรรมเป็ นพระอรหันต์ ท่านได้รับมอบหมาย
อาญาสิ ทธิ์ ลงมาจากสวรรค์ เพื่อจุติลงมาปราบมาร เป็ นการทาหน้าที่แทนเบื้องซ้าย
ชาติ น้ ันท่านจึ งมากไปด้วยอภิ นิหาร แต่ ก็เป็ นการยากที่ ท่าน จะใช้ชีวิตอยู่แบบมนุ ษ ย์
ธรรมดาได้
93
ในเมื่อท่านจุติลงมาเพื่อปราบมาร จึงเป็ นที่รังเกียจของมาร และมนุ ษย์ธรรมดาไม่เข้าใจ
ท่าน เขาก็กลัวท่าน และว่าท่านไร้เมตตาธรรม เป็ นต้น
เมื่อท่านปราบมารเสร็ จ เป็ นการหมดภาระหน้าที่จากเบื้องบน และกลับสวรรค์
นอกจากพระสารี บุตรแล้ว พระอุบาลี ก่อนการบรรลุเป็ นพระอรหันต์ ท่านก็ได้จุติลงมา
เพื่อปราบมาร และความอยุติธรรมทั้งหลาย
ด้วยการเป็ นผูพ้ ิพากษามาหลายภพหลายชาติ ตัดสิ นให้ความเป็ นธรรม เพราะท่านสร้าง
บารมีมาเพื่อทรงคุณธรรม ความยุติธรรมต่างๆ และเป็ นผูเ้ ลิศทางทรงคุณพระวินยั
จะรู ้ได้อย่างไรว่า ใช่หรื อไม่ใช่มาร
บารมีธรรมของพระโพธิ สัตว์ อันมนุ ษย์ธรรมดามิอาจเปรี ยบเทียบได้ การรับรู้ดว้ ยญาณ
ของท่านนั้น รับรู ้ดว้ ยญาณ ดังต่อไปนี้ กล่าวคือ
1. รับรู้ดว้ ยญาณ คือ ตาทิพย์ (สามารถมองทะลุภาพลวงตาต่างๆ ที่มารหลอกได้)
2. รับรู้ดว้ ยญาณ คือ ย้อนอดีต (สามารถย้อนอดีตดูได้วา่ มารแปลงมาจริ งหรื อไม่)
3. รับรู้ดว้ ยญาณ คือ อ่านวาระจิต (สามารถตรวจดูวาระจิตก็รู้วา่ เป็ นจิตแห่งมาร)
ด้วยเหตุน้ ี พระโพธิ สัตว์ท้ งั หลาย จึงมีญาณพิเศษสามารถกาหนดรู ้ได้วา่ นี้ คือ มาร เมื่อ
จุติลงมาเพื่อปราบมาร ก็กาหนดรู ้อย่างชัดเจน
พระโพธิ สัตว์ผไู ้ ด้รับอาญาสิ ทธิ์ ลงมาจากสวรรค์ให้เป็ นผูป้ ราบมาร จึงไม่จาเป็ นต้องสนใจ
ต้องคนพูดของมนุษย์คนธรรมดา เพราะปุถุชนคนธรรมดา ไม่ได้มีญาณพิเศษอย่างเรา
เหตุผลที่วา่ ปราบมาร ไม่จาเป็ นต้องสนใจต่อคาพูดของปุถุชนนั้น เพราะปุถุชนนั้นไม่มี
ญาณพิ เศษเหมื อ นเรา ก็ พู ด กัน ไปต่ า งๆนาๆว่า ท าแล้ว จะตกนรก แต่ ห ารู ้ ไ ม่ ว่า เราก าลัง
ปราบมาร ด้ ว ยเหตุ น้ ี คนธรรมดาไม่ มี ญ าณพิ เศษ เขาจะไม่ มี ว นั เข้า ใจท่ า น และว่ า ท่ า น
ไร้เมตตาธรรม
นรกย่อมไม่ มี ก ับ พระโพธิ สั ต ว์ ผูไ้ ด้รับ อาญาสิ ท ธิ์ ลงมาจากสวรรค์เพื่ อ ปราบมาร จึ ง
ไม่จาเป็ นต้องสนใจต่อคาพูดของปุ ถุชนคนธรรมดา เหตุผล เพราะคนธรรมดาเขาไม่รู้อดี ตของ
พระโพธิ สัตว์ ไม่รู้ปัจจุบนั ว่าท่านกาลังสร้างบารมีหรื อกาลังทาอะไรอยู่ และไม่รู้อนาคตของท่าน
จึงพูดออกไปด้วยสติปัญญาของตน และบางครั้งคนธรรมดาก็พูดออกไปด้วยความลาเอียงมีอคติ
เป็ นต้น จึ งไม่ จาเป็ นต้องสนใจต่อค าพูดของปุ ถุ ชน แค่ท่ านทาหน้าที่ ที่ ได้รับ มอบหมายจาก
เบื้องบนลงมาเป็ นพอ
พระโพธิ สัตว์ท้ งั หลาย ย้อนอดี ตของตัวเองดูได้ รู ้ ท้ งั ปั จจุบนั ว่า กาลังทาอะไรอยู่ จึง
ไม่เกิ ดความประมาทต่อการสร้ างบารมีธรรม แล้วท่านรู ้ อนาคตของตัวเองเป็ นที่ ไปในเบื้องหน้า
เพราะท่านมีบารมีธรรมสู ง สามารถเลือกเกิดเองได้ ตามบุญวาสนาบารมีธรรมว่า ท่านจะสร้าง
บารมีธรรมอย่างไร ก็ไปเกิ ดในตระกูลนั้น หรื อจะหยุดพักการสร้างบารมีธรรม ก็จะไปบังเกิ ด
ในสวรรค์ จึงไม่จาเป็ นต้องสนใจต่อคาพูดของปุ ถุชน ในเมื่ อท่ านลงมาเพื่อปราบมาร เพราะ
คนธรรมดา เขาไม่มีญาณพิเศษ ไม่รู้อนาคตของตัวเองและผูอ้ ื่น ไม่มีบารมีธรรมไม่สามารถเลือก
เกิดเองได้เหมือนพระโพธิ สัตว์ จะสนใจต่อคาพูดของธรรมดา ด้วยเหตุแห่งอันใด
94
ส่ วนพระโพธิ สัตว์ท้ งั หลาย ที่ ไม่มีหน้าที่ ต่อการปราบมาร จึงใคร่ ครวญดูก่อนว่าจะใช้
ญาณปราบมารดีหรื อไม่ ต่อการใช้ชีวติ อยูบ่ นโลกมนุษย์
เพราะถ้าท่านไม่มีหน้าที่ปราบมาร ก็ตอ้ งปล่อยให้เป็ นหน้าที่ของสวรรค์เบื้องบนและนรก
เบื้ องล่างบ้าง (ท่านไม่ควรแย่งหน้าที่คนอื่นปราบมารหมด) เพราะอย่างไรเสี ยนรกกับสวรรค์ก็
ต้องทาหน้าที่ปราบมารให้ท่านอยูแ่ ล้ว ถ้าท่านสร้างบารมีธรรม
การใช้ปัญญาแยกแยะว่าสิ่ งใดเป็ นมารหรื อมิใช่มาร
หน้าที่ของมารนั้น คือ ผูม้ ีมาขัดขวางการสร้างบารมีธรรม ไม่ให้ผทู ้ ี่สร้างความดีประสบ
ความสาเร็ จง่ายๆ ผูท้ ี่ขดั ขวางผูอ้ ื่นสร้างบารมีธรรม หรื อคุณงามความดี จึงเรี ยกว่า มาร
ใช้ปัญญาพิจารณาดูแค่น้ ีก็จะรู ้ได้ เพราะคนดีๆที่ไหน เขาจะมาขัดขวางต่อการสร้างบารมี
ของผูอ้ ื่น การขัดขวางต่อการสร้างบารมีธรรมของผูอ้ ื่น จึงเป็ นหน้าที่ของมาร
บ ารมี ธรรม พ ระ โพ ธิ สั ต ว์ เป็ น สิ่ งที่ ม ารขั ด ข วางไม่ ได้ ท่ าน ล อ งดู ป ระ วั ติ
พระมหาโพธิ สัตว์ ในการสร้างบารมีธรรม แต่ละชาติวา่ ถูกมารขัดขวางนับไม่ถว้ น แต่ท่านก็
ผ่านอุปสรรคมาได้ทุกครั้ง
ท่ านผู้ เจริ ญ ถ้ าท่ านยังใช้ ญ าณปราบมารอยู่ แล้ ว บารมี ธรรมของท่ านจะสู งขึ้นไปได้
อย่างไรกัน การแผ่เมตตาให้ มาร เป็ นสิ่ งทีพ่ ระโพธิสัตว์ท้งั หลาย ควรกระทา ดังนี้
ตัวอย่าง พระสารี บุตร ในอดี ตชาติ ก่อนจะมาเป็ นพระอรหันต์ ท่านจุติปราบยุคเข็ญ
บาเพ็ญมหาทาน สร้างบุญบารมีธรรม
ในการใคร่ ครวญว่าตัวท่านเองจะสร้างบุญบารมีธรรมอะไร ด้านไหน ทางด้านมหาทาน
บารมี น้ นั พระโพธิ สั ตว์ท้ งั หลายจะใคร่ ครวญบารมี ข องตน และเลื อกเกิ ดในสองตระกูล ใน
การบาเพ็ญทานเท่านั้น คือ ตระกูลกษัตริ ย ์ กับตระกูลเศรษฐี
พระสารี บุตร ก่อนจะมาเป็ นพระอรหันต์ ท่านเกิ ดนับภพชาติไม่ถว้ น บางชาติเกิดเป็ น
เทวดา บางชาติเกิดเป็ นครู บาอาจารย์ บางชาติเกิดเป็ นเศรษฐี และบางชาติเกิดเป็ นกษัตริ ย ์ ฯลฯ
ในการจุ ติส ร้ างมหาทานบารมี ในชาติ น้ ัน ท่ านได้เกิ ดเป็ นกษัตริ ยท์ ี่ อินเดี ย เหตุ ผ ลว่า
ทาไมต้องเป็ นที่อินเดีย เพราะในอินเดีย คนรวยที่สุดก็อยูท่ ี่น้ นั คนจนที่สุดก็อยูท่ ี่น้ นั
ถ้าจุติมาเพื่อสร้างทานบารมีแล้ว การจุติลงมาเกิดที่ประเทศอินเดีย จะเป็ นประโยชน์แก่
คนหมู่มาก
ด้วยเหตุ น้ ี พระโพธิ สั ต ว์ท้ งั หลาย ในการเลื อ กเกิ ด ให้ ตนเองนั้น จะต้อ งใคร่ ค รวญ
ดูก่อนว่า เราจะสร้างบารมี 10 ทัศ ในด้านไหน ก็จุติลงมาเลือกประเทศ เลือกตระกูล เลือก
กาลเวลาในการจุติลงมา หมายถึ ง กาลสมัยนั้น เป็ นกาลสมควรลงมาเพื่อเราจะสร้ างบุญบารมี
ธรรม เป็ นต้น
ถ้าจะสร้างทานบารมี ก็เกิดในตระกูลคนรวย คือ ตระกูลกษัตริ ย ์ กับตระกูลเศรษฐี
ถ้าจะบ าเพ็ญ เนกขัม มะบารมี ก็ เกิ ด ในตระกู ล ธรรมดาหรื อ สู ง ก็ ไ ด้ เพื่ อ ตนเองจะได้
ติดดิน ง่ายต่อการบาเพ็ญสมณธรรม
95
ถ้าจะบาเพ็ญอุเบกขาบารมี ก็จะไปจุติเกิ ดเป็ นพรหม เพราะชั้นพรหมง่ายต่อการบาเพ็ญ
เพียรภาวนา แต่ถา้ ท่านบาเพ็ญอุเบกขาบารมี ในการจุติลงมาเป็ นมนุ ษย์ จะเลื อกเกิดในตระกูล
ธรรมดา เพื่อติดดินไม่ยงุ่ เกี่ยวกับใคร ถือสันโดษบาเพ็ญเพียรภาวนา
จะเกิ ดในตระกูลสู งหรื อตระกูลธรรมดา อยู่ที่ชาติน้ นั ๆ เป็ นหลักว่าท่านจะสร้ างบารมี
ธรรมด้านใด ท่านก็เลือกเกิดในตระกูลนั้นๆ เป็ นต้น
ส่ วนมากแล้วพระโพธิ สั ตว์ท้ งั หลาย จะยึดถื อหลักการสร้างบุญบารมี ของพระพุ ทธเจ้า
ทั้งหลายและพระอรหันต์ท้ งั หลาย ที่ท่านเคยสร้างบุญบารมีธรรมไว้แล้ว เป็ นแบบอย่างที่ดี ใน
การสร้างบุญบารมีธรรมของตนเอง
อย่ า เรี ย กบุ ญ บารมี ข องท่ า นให้ ค นอื่ น มากเกิ น ไป อัน เป็ นเหตุ ใ ห้ บุ ญ ของท่ า นหมด
โดยไม่จาเป็ น ทาให้เข้าถึงนิพพานช้าลง ต้องสร้างบุญบารมีใหม่
บารมี 30 ทัศ
บารมี ท้ งั 10 ประการ อัน เป็ นองค์บารมี ข องพุ ท ธการกธรรม สามารถแยกเป็ น 3
ระดับ ดังต่อไปนี้ คือ
1. (สามัญ)บารมี บารมีตน้
2. อุปบารมี บารมีกลาง
3. ปรมัตถบารมี บารมีปลาย
การสร้างบุญบารมีในเพศของฆราวาส
การสร้างบุญบารมีธรรม สู่ มรรค ผล นิ พพาน ในเพศของฆราวาสนั้น ท่านสามารถ
แยกแยะเรื่ องส่ วนตัว ครอบครัว แบ่งแยกหน้าที่การงาน ออกจากการบาเพ็ญเพียรในการสร้าง
บุ ญ บารมี ธ รรม ไม่ ใ ห้ ม าปะปนกัน และสามารถใช้ ชี วิ ต อยู่ ใ นเพศของฆราวาส จนกว่ า
บารมีธรรมของท่านเต็ม
การอยูใ่ นเพศของฆราวาส ไม่ควรบอกใครว่าท่านสร้างบารมีธรรม เพื่อบรรลุมรรค ผล
นิพพาน จะมีอุปสรรคและสิ่ งต่างๆ มาผจญในการสร้างบารมีธรรมของท่านอย่างมากมาย
99
พูดน้ อยเสี ยน้ อย พูดมากเสี ยมาก
ไม่ พูดไม่ เสี ย นิ่งเสี ยโพธิสัตว์
การสร้างบุญบารมีในเพศของนักบวช
การอยู่ในเพศของนักบวชนั้น ก็ไม่สมควรพูดว่าสร้ างบารมีธรรม เพื่อบรรลุ มรรค ผล
นิพพาน เพราะเจอกัลยาณมิตรก็ดีไป ถ้าเจอมิตรไม่ดี จะมีอุปสรรคมากมาย รบกวนการบาเพ็ญ
สมณธรรม
ความเย็นเกิดจากใจที่สงบอยู่ข้างใน
หาใช่ จากภายนอกไม่
111
วิชาเปลีย่ นดินทีแ่ ห้ งแล้ งให้ กลับชุ่ มชื้น
(เสกต้ นข้ าวต้ นไม้ ทตี่ ายให้ กลับฟื้ น)
ความเป็ นมาของวิชานี้ สมัยหนึ่ งเมื่อพระพุทธองค์ได้เสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์อรหันต์
สาวก อยูท่ ี่เมืองแห้งแล้งเป็ นชนบท ต้นข้าวในนาเสี ยหาย ฝนฟ้ าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ขาดน้ า
กินดื่มและน้ าไว้ใช้
พระโมคคัลลานะ ทูลขอพระพุทธองค์ถึง 3 ครั้ง ในการทาอิทธิปาฏิหาริ ยพ์ ลิกแผ่นดิน
เพื่อให้แผ่นดินที่อยูข่ า้ งล่างนั้น อุดมสมบูรณ์เป็ นเหตุแห่งการทานาทาสวนได้ เป็ นต้น
พระพุ ท ธองค์ท รงห้ า มถึ ง 3 ครั้ ง เพราะสั ต ว์ที่ อ ยู่ใ นดิ น เป็ นอัน มากจะตายลงด้ว ย
ปาฏิหาริ ยพ์ ลิกแผ่นดิน และเป็ นเหตุไม่บงั ควรแห่งการใช้ปาฏิหาริ ยน์ ้ ี
พระสารี บุ ต รจึ ง ใช้ปั ญ ญา ถ้าทู ล ขอพลิ ก แผ่น ดิ น ไม่ ไ ด้ ก็ อ ธิ ษ ฐานให้ ดิ น ที่ แ ห้ ง แล้ง
ต้น ไม้ที่ ก ลับ ตายให้ ก ลับ มาชุ่ ม ชื้ น และมี ชี วิต อี ก ครั้ ง (ด้ว ยการเรี ย กฝน) และใช้พ ลัง ของน้ า
อธิ ษฐานให้ดินที่แห้งแล้งนั้นกลับชุ่มชื้น ต้นข้าวและต้นไม้ที่ตายให้กลับมีชีวติ ขึ้นมาอีกครั้ง
พระอรหันต์ที่ สามารถเปลี่ ยนดิ นที่ แห้งแล้งให้ชุ่มชื้ น นอกจากพระสารี บุตร แล้วยังมี
พระสี วลีและพระมหากัจจายนะ เป็ นต้น ฯลฯ เพราะธรรมดาของพระอรหันต์เมื่อไปสถานที่ใด
ย่อมนาความชุ่มชื้ นสู่ สถานที่น้ นั โดยเฉพาะพระสี วลีกบั พระมหากัจจายนะ ไปสถานที่ใดที่น้ นั
ย่อมจะไม่มีคาว่า อดอยาก เวลาพระพุทธองค์เสด็จไปไหน มักจะรับสั่งให้พระสี วลี ติดตามหมู่
ภิกษุสงฆ์ดว้ ยเสมอ เพื่อป้ องกันความลาบากของภิกษุสงฆ์น้ นั เอง
วิชาเปลี่ยนดินที่แห้งแล้งให้กลับชุ่มชื้น
การเปลี่ ยนดิ นที่ แห้งแล้งให้กลับชุ่ มชื้ น จะสาเร็ จได้ดว้ ยอานุ ภาพของกสิ ณน้ า เรี ยกฝน
ให้ตกลงมาเป็ นการแก้ภยั แล้ง ด้วยอภิญญาสมาธิ มีหลักการใช้ดงั นี้ คือ
1. ฝึ กสมาธิ ให้สาเร็ จด้วยกสิ ณน้ า จนได้นิมิต
2. แผ่พลังของกสิ ณน้ า ให้ปกคลุมชั้นบรรยากาศว่าจะให้ตกปริ มาณเท่าใด
3. กาหนดสมาธิ เป็ นรัศมีของกสิ ณน้ า จะให้ปริ มาณน้ าฝนตกอยูใ่ นรัศมีของสมาธิ นอกรัศมี
ของสมาธิ ฝนไม่ตก ดังนี้
อีกวิธีหนึ่ง คือ ถ้าไม่เรี ยกฝนให้ตก
ก็ใช้พลังของกสิ ณน้ าเพ่งตามพื้ นดิ นให้กลับ ชุ่ มชื้ น ดิ นที่ แห้งแล้งให้กลับอุดมสมบูรณ์
ขึ้นมา แต่การทาเช่ นนี้ ใช้พลังสมาธิ มากเกิ นความจาเป็ น การเรี ยกฝนให้ตกลงมา จะเป็ นการดี
ที่สุด ไม่ตอ้ งใช้พลังสมาธิ มาก
สั งขารทั้งหลายไม่ เที่ยง
มีสติอยู่กบั ปัจจุบัน
ทุกข์ ใจก็ปล่ อยวาง
116
วิชาแยกร่ าง (กายทิพย์ )
ข้าพเจ้าขอบูชาแล้วซึ่ งพระอรหันต์พระจูฬปั นถกะ (ผูเ้ ชี่ ยวชาญฤทธิ์ ทางใจ) แยกร่ างได้
เป็ นมหัศจรรย์ น้อมขึ้นบูชาด้วยเศียรเกล้าในคุณวิเศษของพระอรหันต์
ข้าพเจ้าขออนุญาตนาวิชาของท่านมาเผยแผ่เป็ นธรรมทาน
วิชาแยกร่ าง (กายทิพย์) ฤทธิ์ทางใจแบบพิสดาร
การถอดจิตทีถ่ ูกวิธี ทีไ่ ม่ มีใครสอนวิชาที่หายสาบสู ญไป
อภิญญาฤทธิ์ ทางใจ การถอดจิตแบบไม่หมดทั้งดวงจิต เพียงแต่แยกดวงจิตออกจากร่ าง
โดยที่ดวงจิตเดิม ยังควบคุมร่ างกายเดิม และดวงจิตใหม่ไปปรากฏกายอยูท่ ี่อื่น “นี้ คือ อภิญญา
สู งสุ ดที่หายสาบสู ญไป” ถอดแบบนี้ ไม่ตอ้ งกลัวเข้าร่ างไม่ได้ เราถอดแบบแยกดวงจิต ถอดแบบ
นิ่ ม ๆ ไม่ มี ใ ครรู ้ ว่ า เราถอดจิ ต ออกจากร่ า ง เพราะจิ ต ดวงเดิ ม ยัง อยู่ ก ับ ร่ า ง จิ ต ดวงใหม่ ไ ป
ปรากฏกาย ณ ที่อื่น เรี ยกว่า ถอดแบบแยกดวงจิต
การถอดจิตที่ถูกวิธี (อภิญญาสู งสุ ดที่หายสาบสู ญไป)
1. แยกดวงจิ ต ออกจากร่ า ง โดยที่ จิ ต ดวงเดิ ม ยัง อยู่ก ับ ร่ า ง ดวงจิ ต ใหม่ ไ ปปรากฏกาย
ณ ที่อื่น
2. ดวงจิตเดิมควบคุมร่ างกายเราอยู่ และดวงจิตใหม่ไปปรากฏกาย ณ ที่อื่น แต่ดวงจิตเดิม
และใหม่เชื่อมโยงถึงกันตลอดเวลา หากมีสิ่งใดสิ่ งหนึ่ งเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ดวงจิตใหม่
จะกลับมาเข้าร่ างแบบอัตโนมัติ ถ้าหากใครสงสัยเรื่ องนี้ ศึกษาหาความรู ้ เพิ่มเติ มได้จาก
ประวัติพระจูฬปั นถกะ ผูเ้ ลิ ศด้วยฤทธิ์ ทางใจ สามารถแยกร่ างและดวงจิตตัวเองได้เป็ น
พันองค์ แต่มนุ ษย์ธรรมดายังไม่ใช่พระอรหันต์ ผูเ้ ขียนให้แยกแค่ดวงเดียวพอครับ เป็ น
พันมากเกินความจาเป็ นไป
3. ดวงจิตเดิมบังคับ ดวงจิตใหม่ที่ถอดแยกออกไปให้ทาอะไรก็ได้ ตามใจตัวเอง
4. มีตาทิพย์ รู ้วา่ ดวงจิตใหม่กาลังทาอะไรอยู่ ถึงไม่ใช้ตาทิพย์ แต่ดวงจิตหรื อกระแสจิตก็
สามารถสัมผัสได้ เพราะดวงจิตเดิมและใหม่มีความเชื่อมโยงถึงกันตลอดเวลา
5. เมื่ อจะเข้าร่ าง พึงรวมดวงจิตเดิ มและใหม่ ให้กลายเป็ นหนึ่ งเดี ยวกัน เรี ยกว่า วิธีรวม
ดวงจิต หรื อรวมกายทิพย์ของจิตที่แยกกายทิพย์ออกจากร่ าง ให้กลับมารวมกันเป็ นร่ าง
เดี ยวกัน หรื อเป็ นจิตดวงเดี ยวกัน เมื่ อแยกกายทิ พย์หรื อแยกดวงจิตออกจากร่ างได้ ก็
ต้องมีความรู้ความสามารถที่จะรวมกายทิพย์หรื อดวงจิตให้กลับมาดังเดิม
117
วิธีการฝึ กจิตให้ตวั เองแยกดวงจิตออกจากร่ างและรวมดวงจิตเข้าร่ าง
การแยกดวงจิตออกจากร่ างไม่ใช่ ใครก็สามารถจะทาได้ทุกคน หากอยูท่ ี่การฝึ กฝนอบรม
จิตให้มีความเชี่ ยวชาญทางจิ ต พื้ นฐานของการแยกดวงจิ ตออกจากร่ าง คื อ การฝึ กสติเพ่งดูจิต
เรี ยกว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เมื่อสติได้ฝึกฝนอบรมเพ่งดูจิตมากๆ ก็จะเกิดเป็ นจิตตานุภาพ
หรื ออีกวิธีหนึ่ ง คือ การฝึ กกสิ ณแสงสว่าง เมื่อฝึ กกสิ ณแสงสว่างมากๆ จิตก็จะเกิดเป็ น
ความสว่างและมี พลานุ ภาพ สติกบั จิตและแสงสว่างก็จะรวมเป็ นหนึ่ งเดี ยวกัน เพราะฝึ กกสิ ณ
ย่อมมีสติไม่ฟุ้งซ่ าน เมื่อมีสติ จิตก็กาหนดได้เป็ นแสงสว่าง เมื่อจิตกาหนดได้ถึงแสงสว่างก็จะ
กาหนดรู ้ได้วา่ อันใดดวงสติ ดวงจิต และนิ มิตที่เป็ นแสงสว่าง เมื่อจิตมีพลานุ ภาพ เช่นนี้ แล้ว
ก็จะเป็ นเรื่ องง่ายที่จะแยกดวงจิตออกจากร่ าง และรวมดวงจิตกลับมาเข้าร่ าง
การรวมดวงจิ ต ก็ เช่ น กัน เมื่ อ ฝึ กสติ ที่ เรี ย กว่ า จิ ต ตานุ ปั ส สนาสติ ปั ฏ ฐาน หรื อ กสิ ณ
แสงสว่าง จิตจะมีพลานุ ภาพเกิดความรู ้ความสามารถในการรวมดวงจิต เรี ยกว่า การอธิษฐานให้
ดวงจิตกลับมาเป็ นดวงเดิม เพราะฝึ กสติเพ่งดูจิตตลอดเวลาย่อมสามารถรู ้ได้วา่ จิตอันไหนเป็ นจิต
ดวงเดิมและดวงใหม่ จะรวมหรื อจะแยก ย่อมสามารถทาได้อย่างง่าย ด้วยอานุภาพแห่งจิต
ผู้ใดตามดูจิตของตน
ผู้น้ันจะพ้นจากบ่ วงแห่ งมาร
118
อภินิหารเดินลุยไฟ
อภิ นิ ห ารเดิ น ลุ ย ไฟ หรื อวิช าเดิ น ลุ ย ไฟ จะท าได้ต่อเมื่ อผูใ้ ช้อภิ ญ ญาส าเร็ จสมาธิ ด้วย
กสิ ณ น้ า เวลาเดิ น ลุ ย ไฟแล้วจะไม่ ร้อน ตราบที่ ย งั เข้า ฌานอยู่ เมื่ อออกจากฌานสมาธิ ก็ จะมี
ความรู ้สึกรู ้ร้อนรู ้หนาวเหมือนคนธรรมดาทัว่ ไป
การฝึ กพลังสมาธิ ของกสิ ณน้ าเดินลุยไฟ
เมื่ อผูป้ ฏิ บ ตั ิ ส มาธิ จะใช้อภิ ญญาของตัวเองเดิ นลุ ย ไฟ ต้องฝึ กพลังของกสิ ณ น้ าก่ อนให้
สาเร็ จเป็ นสมาธิ เวลาเดินลุยไฟตัวเองจะได้ไม่รู้สึกร้อน ดังนี้
การฝึ กพลัง ของกสิ ณ น้ า ให้ ส าเร็ จ เป็ นสมาธิ จ นได้นิ มิ ต ของกสิ ณ น้ า เมื่ อ ได้นิ มิ ต ของ
กสิ ณน้ าแล้วเวลาจะเดินลุยไฟ ให้ใช้พลังของกสิ ณน้ าปกคลุมจนทัว่ ตัว จนร่ างกายมีความเย็นของ
กสิ ณ น้ าไหลเวียนอยู่ทวั่ ร่ างกาย ใช้พลังของสติ รวมเข้ากับ กสิ ณน้ า อธิ ษฐานให้เดิ นลุ ยไฟผ่าน
ความร้อนได้เหมือนเดินปกติ
หลักการใช้อภิญญาเดินลุยไฟ
1. ฝึ กพลังของกสิ ณน้ าจนสาเร็ จเป็ นนิมิต
2. เมื่อได้นิมิตของกสิ ณน้ าแล้ว เวลาเดินลุยไฟให้ใช้พลังของสติรวมเข้ากับพลังของกสิ ณน้ า
3. อธิษฐานจิตเดินลุยไฟผ่านความร้อนไปได้ เหมือนเดินอยูใ่ นที่ปกติ ฉะนั้น
ข้อควรรู้ ในการเดินลุยไฟ
ในการเดินลุยไฟนั้นไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่วา่ ทุกคนจะทาได้หมด อยูท่ ี่การฝึ กสมาธิ จิตมาดี
และมีความชานาญในการใช้อภิญญา เวลาเดินลุยไฟอย่าเผลอสติหรื ออย่าประมาท สติกาหนดใช้
พลังของกสิ ณน้ าปกคลุมร่ างกายไว้ให้ดี จิตต้องเป็ นหนึ่ งและนิ่ ง ใจเย็นๆเวลาเดินลุยไฟ เหมือน
น้ า ถ้าใจร้อนเหมือนไฟ คือ รี บเดิ นเพราะกลัวไฟร้ อน แสดงให้เห็ นว่าจิตยังไม่นิ่ง ถ้าใจร้อน
เหมือนไฟเวลาเดินลุยไฟ ก็จะยิง่ ร้อน จะเดินลุยไฟไม่ได้
จงเชื่ อมัน่ ในพลังสมาธิ ของตัวเอง สติไม่หวัน่ ไหว จิตนิ่ งเป็ นหนึ่ งเดียว ใจเย็นๆเหมือน
น้ า ก็จะสามารถเดินลุยไฟได้ ฉะนี้
สั งขารทั้งหลายไม่ เที่ยง
ไม่ ยดึ ติด ใจเราก็พ้นทุกข์
121
วิชาประสานบาดแผล
วิชาประสานบาดแผล คือ การใช้อภิญญาสมาธิ รักษาบาดแผลให้ตวั เอง อุบตั ิเหตุน้ นั มัก
เกิดขึ้นได้ ถ้าคนเรานั้นประมาท เป็ นการยากที่คนเราจะมีสติตลอดเวลา อาจเผลอสติพลาดพลั้ง
เกิดอุบตั ิข้ ึนได้เสมอ ถ้ายังทรงฌานสมาธิ อยูอ่ าจจะไปโดนอะไรโดยที่ไม่ทนั ระวัง ฌานสมาธิ ก็จะ
รักษาตัวเองโดยไม่ให้เจ็บ ปวด เช่ น เกิ ดอุ บตั ิ เหตุ ไม่ท นั ระวัง เป็ นต้น ถ้าเข้าฌานอยู่อานุ ภาพ
ของสมาธิ รักษาก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวด ถ้าออกจากฌานแล้วก็จะมีความรู ้สึกเจ็บปวดเหมือนคนทัว่ ไป
จึงต้องรู ้จกั ใช้วชิ าสมาธิ ให้เกิดเป็ นอภิญญา รักษาบาดแผลที่เกิดจากอุบตั ิเหตุที่ไม่ทนั ระวัง
วิชาประสานบาดแผลด้วยฌานสมาธิ
เมื่ อ ตัว เองได้ป ระสบอุ บ ัติ เหตุ ข้ ึ น โดยที่ ไ ม่ ท ัน ระวัง เกิ ด เป็ นบาดแผลขึ้ น จนกระทั่ง
เลื อ ดออก ให้ รี บ เข้า ฌานสมาธิ ท ัน ที แล้ว ใช้ส มาธิ บ ังคับ เลื อ ดให้ ห ยุด ไหล ต่ อ มาประสาน
บาดแผลด้วยอานาจอานุ ภาพของกสิ ณดิ น เพราะเนื้ อหนังมังสา คือธาตุดิน ก็ตอ้ งใช้พลังของ
กสิ ณ ดิ น ประสานบาดแผลให้ เป็ นเนื้ อ เดี ย วกัน เลื อ ดก็ จ ะหยุ ด ไหลและจะหายเป็ นปกติ ด้ว ย
อานุภาพของกสิ ณดิน
การประสานบาดแผลด้วยกสิ ณดินนั้น คือ ต้องเจริ ญกสิ ณดิน เพ่งดินให้สาเร็ จเป็ นนิ มิต
แล้วฝึ กประสานสิ่ งต่างๆ ที่เป็ นธาตุดินให้กลายเป็ นเนื้ อเดียวกัน เมื่อร่ างกายเกิดบาดแผลขึ้นด้วย
อุบตั ิเหตุ ก็จะประสานบาดแผลกลายเป็ นเนื้อเดียวกัน ดังนี้
วิชาประสานบาดแผลด้วยฌานสมาธิ มีหลักการดังต่อไปนี้ คือ
1. เมื่อเกิดบาดแผลขึ้นมาจากอุบตั ิเหตุ ให้รีบเข้าฌานสมาธิทนั ที
2. ใช้พลังสมาธิของตัวเองบังคับให้เลือดหยุดไหล
3. แล้วใช้อานุภาพของกสิ ณดิน ประสานบาดแผลให้กลายเป็ นเนื้อเดียวกัน
4. บาดแผลก็จะประสานกลายเป็ นเนื้อเดียวกัน และหายเป็ นปกติ ดังนี้
สั งขารทั้งหลายไม่ เที่ยง
ควรมีสติอยู่ทุกขณะจิต
จึงเป็ นผู้ไม่ ประมาททุกเมื่อ
122
วิชาชุ บชีวติ ให้ ผู้อนื่ (เรียกดวงจิตเขากลับเข้ าร่ าง)
การชุ บ ชี วิตให้ผูอ้ ื่ น ต้อ งมี ค วามรู ้ เรื่ องอภิ ญ ญาสมาธิ อย่างน้ อยก็ ต้อ งมี ต าทิ พ ย์ คื อ
สามารถกาหนดสมาธิ เพ่งตาทิพย์ของตนดู วา่ ดวงจิตของผูน้ ้ นั อยูท่ ี่ ไหน จะได้เรี ยกกลับเข้าร่ าง
ให้ถูก ในการเรี ยกดวงจิตผูน้ ้ นั กลับเข้าร่ าง ร่ างกายของผูน้ ้ นั จะต้องไม่เน่าเปื่ อยไปตามธรรมชาติ
ดวงจิ ต พึ งออกจากร่ างไปได้ไ ม่ น าน และผูน้ ้ ัน ยัง ต้อ งไม่ สิ้ น อายุข ยั ตามบัญ ชี ข องนรกสวรรค์
ไม่อย่างนั้น จะถือว่าฝื นกฎและผิดกฎนรกสวรรค์
ในการชุ บชี วิตหรื อต่อชะตา เรี ยกดวงจิตกลับเข้าร่ างให้ผอู ้ ื่นนั้น ผูท้ ี่จะต่อให้ตอ้ งมีบารมี
และอานาจสมาธิ พร้ อมทั้งขออนุ ญาตต่อเบื้ องล่าง คือ นรก (พระยายมราช) เบื้ องบน คือ
สวรรค์ (พระพรหม) ถ้าเบื้ องล่างและเบื้องบนไม่ได้อนุ ญาตแล้ว ผูท้ ี่ต่อชะตาชี วิตให้ผอู ้ ื่นจะมี
อายุที่ส้ นั ลง เรี ยกว่า ทาผิดกฎนรกและสวรรค์
ในกรณี ที่ชะตาของผูน้ ้ นั ขาด แต่ไม่ได้รับการอนุ ญาตทั้งเบื้องล่างและเบื้องบน เวลานอน
หลับหรื อเวลาอื่น เจ้าของดวงชะตา ดวงจิต เจ้าของร่ างที่ต่อให้ จะถู กเบื้องล่างนรก ดึงดวง
วิญญาณออกจากร่ างอยู่ดี เพราะว่าดวงชะตาของผูน้ ้ นั ได้ขาดลง การต่อดวงชะตา เรี ยกดวงจิต
ผูอ้ ื่ น กลับ เข้าร่ า ง ชุ บ ชี วิ ต ให้ ผูอ้ ื่ น นั้น ต้อ งได้รับ การอนุ ญ าตความยิน ยอมและเห็ น ชอบจาก
ทั้งเบื้องล่างและเบื้องบน คือ นรกและสวรรค์ ดังนี้
หลักการชุบชีวติ ให้ผอู้ ื่น เมื่อดวงจิตของผูน้ ้ นั ออกจากร่ าง
1. ร่ างกายต้องไม่เน่าเปื่ อย (หรื อดวงจิตออกจากร่ างห้ามเกิน 3 วัน)
2. การเรี ยกดวงวิญญาณคนอื่นกลับเข้าร่ าง ห้ามถอดจิตตัวเองไปตามดวงวิญญาณของผูอ้ ื่น
เพราะจะทาให้หลงมิติไปทั้งคู่ ห้ามถอดจิตเล่นหรื อเลียนแบบหนัง เพราะไม่รู้จริ ง จะทา
ให้ไม่ได้กลับเข้าร่ างทั้งคู่ อุปมา เหมือนคนตกน้ า การที่จะช่วยคนตกน้ าได้น้ นั ผูท้ ี่จะ
ช่วยต้องอยู่บนฝั่งแล้วเอาเชื อกหรื อห่ วงยางให้เกาะขึ้นมาจากน้ า ไม่ใช่ ผทู ้ ี่ช่วยโดดลงน้ า
ไปทั้งคู่ เรี ยกว่า จมน้ ากันทั้งคู่ ฉันใดก็ฉนั นั้น
3. ชะตาชีวติ ของผูน้ ้ นั ต้องไม่หมดอายุขยั
4. เมื่อผูน้ ้ นั ชะตาขาดแล้ว ผูท้ ี่ต่ออายุให้หรื อเรี ยกดวงจิตของผูน้ ้ นั กลับเข้าร่ าง ต้องมีบารมี
พอสมควร ไม่เช่นนั้น ถือว่าทาผิดกฎนรกสวรรค์ อายุขยั ของคนต่อให้ตอ้ งสั้นลง
5. ต้องได้รับความเห็นชอบจากพระยายมราช (เมืองนรก) และต้องได้รับความเห็นชอบจาก
พระพรหมด้ ว ย (เมื อ งสวรรค์ ) สองบั ญ ชี อายุ ข ั ย มนุ ษย์ ถึ ง จะได้ ถ้ า ไม่ ไ ด้ รั บ
ความเห็ นชอบจาก สองบัญชี ท้ งั นรกและสวรรค์ เวลานอนหลับหรื อเวลาอื่น จะถู ก
เบื้องล่างนรก ดึงดวงวิญญาณออกจากร่ าง
123
การชุบชีวติ ให้ผอู้ ื่นที่ถูกต้อง
1. ทาการขออนุญาตต่อชะตาชีวติ ทั้งนรกและสวรรค์
2. ใช้ตาทิพย์ตรวจดูและมองว่าดวงจิตผูน้ ้ นั อยูท่ ี่ไหน
3. ใช้ฤทธิ์ ยน่ ระยะทางหรื ออธิ ษฐานให้ดวงจิตผูน้ ้ นั กลับเข้าร่ าง
4. ถ้าดวงจิตของผูน้ ้ นั ไม่ยอมกลับมาเข้าร่ าง ใช้ธูปเชิ ญดวงวิญญาณให้ทา้ วเวสสุ วรรณหรื อ
เบื้องล่างองค์ใดก็ได้ ที่มีหน้าที่นาดวงวิญญาณมาคืนให้
อจินไตยจะเกิดมีได้
สาหรับผู้สร้ างบุญบารมีมาได้ นีเ้ ท่ านั้น
128
อาสวักขยญาณ
อาสวักขยญาณ หมายถึง ญาณหยัง่ รู ้ขจัดกิเลสให้หมดไปจากสันดาน
การเข้าถึงอาสวักขยญาณ เจริ ญสมถะแล้วมาต่อเป็ นวิปัสสนา เป็ นการหลุดพ้นด้วยเจโต
วิมุตติ เจริ ญวิปัสสนาล้วน เป็ นการหลุดพ้นด้วยปัญญาวิมุตติ
การหลุดพ้ นจากกิเลส 2 อย่าง
เจโตวิมุตติ การหลุดพ้นด้วยอานาจแห่งใจ
ปัญญาวิมุตติ การหลุดพ้นด้วยอานาจแห่งปั ญญา
ในการประพฤติปฏิบตั ิธรรมนั้น แบ่งเรื่ องการหลุดพ้นได้เป็ น 2 อย่าง คือ
1. เจโตวิมุตติ การหลุดพ้ นด้ วยอานาจแห่ งใจ
การหลุดพ้นด้วยอานาจแห่งใจ ที่เรี ยกว่า เจโตวิมุตติน้ นั คือการเจริ ญสมาธิ ที่ประกอบด้วย
สมถะให้ ต รงกับ จริ ตของตัวเอง จนส าเร็ จเป็ นอ านาจฌาน แล้วเอาฌานมาเจริ ญ ญาณต่ อเป็ น
วิปัสสนา ในการหลุดพ้นด้วยอานาจแห่งใจนั้น ไม่ใช่แต่จะใช้ใจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น การฝึ กจิต
ให้ใจสงบเป็ นสมาธิ น้ นั เรี ยกว่า สมถะ สู งสุ ดของสมถะ คือ ชั้นพรหม ถ้าไม่เจริ ญวิปัสสนาต่อ
ก็จะหยุดอยูแ่ ค่น้ นั ถ้าเจริ ญวิปัสสนาต่อก็สาเร็ จชั้นโพธิ สัตว์ โสดาบัน และอรหันต์ ตามลาดับ
และบารมีธรรมของผูน้ ้ นั จึงกล่าวได้วา่ ในเจโตวิมุตติน้ นั ถ้าปฏิบตั ิให้ถูกทางนอกจากมีอานุ ภาพ
แห่งจิตเป็ นเครื่ องหลุดพ้นแล้ว ก็จะมีปัญญาแห่งวิปัสสนาอยูด่ ว้ ย ปั ญญาเป็ นเครื่ องประหารกิเลส
เจโตวิมุตติ การหลุดพ้นด้วยอานาจแห่งใจ มีหลักการขั้นตอน ดังต่อไปนี้ คือ
1. เจริ ญสมถะจนจิตสงบเป็ นสมาธิให้ได้ฌาน
2. ได้ฌานแล้วมาต่อญาณ คือเจริ ญวิปัสสนาต่อ
3. เข้าทั้งสมถะและวิปัสสนาไปพร้อมกัน ฝึ กกัมมัฏฐานให้เหมาะสมกับจริ ตของตน จิตจึง
หลุดพ้นด้วยอานาจแห่งเจโตวิมุตติ ดังนี้
การละสังโยชน์ของพระอริ ยบุคคล
พระอริ ยบุคคล 4 จาแนกตามประเภทในการบรรลุธรรม ได้ดงั นี้
1. พระโสดาบัน ละสังโยชน์ได้ต้ งั แต่ขอ้ 1 – 3
2. พระสกทาคามี ละสังโยชน์ได้ต้ งั แต่ขอ้ 1 – 3 (พร้อมทั้งทาราคะ โทสะ โมหะ
ให้เบาบางลง)
3. พระอนาคามี ละสังโยชน์ได้ต้ งั แต่ขอ้ 1 – 5
4. พระอรหันต์ ละสังโยชน์ได้ท้ งั หมด 10 ข้อ
เขียนโดย
นายตะวัน เพ่งพิศ
หมายเหตุ : ให้ธรรมะความรู้เป็ นการสร้ างบารมี ไม่สงวนลิขสิ ทธิ์ ทางกฎหมาย ธรรมะ
เป็ นของพระพุทธเจ้า เป็ นคาสัง่ สอนสากล มิบงั อาจจดลิขสิ ทธิ์ ทางปั ญญาเป็ นของตัวเอง
หากผูใ้ ดได้ฝึกวิชาที่ขา้ พเจ้าเขียนและเรี ยบเรี ยงนี้ ขอให้เจริ ญในธรรมยิง่ ๆขึ้นไป สาธุ
ข้ อควรระวัง ใครผู้ใดได้ เรียนวิชานีแ้ ล้ว (ไม่ เคารพในพระพุทธเจ้ า พระธรรม
พระสงฆ์ บิดามารดา ครู อาจารย์ “เอาวิชาของสู งไปใช้ ในทางทีผ่ ดิ ” ) ระวังฟ้ าดินจะ
ลงโทษ นรกสวรรค์ มตี า ใครทาชั่วหรือดี ท่ านก็คงจะเห็น
136
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
1 นายตะวัน เพ่งพิศ 1,000
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาประจาตัว
2 น.ส.ชนิกา บัวลา 200
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
3 คุณปราณี ชาญสวัสดิ์ 200
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
4 นายอัศม์วฒ ุ ิ ฐิติโชติโสภณ และน.ส.ภัสส์ณิชา แข็งขัน 1,000
5 คุณจิรัตติ สวัสนาที คุณเฉลิมพล พังจุนนั ท์ และครอบครัว 500
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้ญาติพี่นอ้ งทุกภพทุกชาติ
6 ครอบครัว นายพุฒิพฒั ดิ์ ภูวบวรสวัสดิ์ จ.ขอนแก่น 200
7 คุณนิภาพร หัชชปราณี 100
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
8 คุณณัทชาภา พลบูรณ์ 200
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาประจาตัว
9 นายณัฐวัฒน์ เฮงสุ วรรณ 100
10 คุณสุ กญั ญา โภควนิช และครอบครัว 500
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
11 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 300
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
เทวดา บิดา มารดา บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย
ครู บาอาจารย์ที่ช่วยเหลืออุดหนุนข้าพเจ้า
12 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 200
13 คุณกัญญาณี ลีชนะวานิชพันธ์ 300
บิดา มารดา และญาติพี่นอ้ งที่ล่วงลับ
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
14 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 1,190
อุทิศให้กบั ทุกคนทัว่ โลกธาตุ 31 ภพภูมิ
137
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
15 ครอบครัวลัคนาวิวฒั น์ 199
อุทิศให้ญาติพี่นอ้ งที่ล่วงลับไปแล้ว
16 คุณจีระวัฒก์ ศรี วฒั นะชัย 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทุกดวงจิต
17 น.ส.วริ นทร จิตไทย พร้อมครอบครัว 100
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ครู บาอาจารย์และพ่อแม่และคู่ครอง
18 นางสาวชฎาพร วงศ์จิโน พร้อมครอบครัว 100
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร พ่อแม่และครู บาอาจารย์
19 นางสาวปาริ ชาติ สุ ทธิโก พร้อมครอบครัว 50
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
พ่อแม่ ญาติกา สัตว์ท้ งั หลายที่เป็ นเพื่อนทุกข์
20 นางสาวธัญญพันธ์ พันธุ์สี่แก้ว พร้อมครอบครัว 50
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร พ่อแม่และครู บาอาจารย์
21 น.ส.จามรี ศรี วเิ ชียร 50
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
22 คุณสุ ชาวดี คงคาหลวง 100
อุทิศให้บิดา มารดา ครู บาอาจารย์
และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหมด ทั้งมวล
23 คุณนพนาฎ หล้าเตจา พร้อมครอบครัว 100
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
24 คุณมงคล สติมานนท์ 1,000
25 คุณอรวรรณ ทวีสุวรรณ ด.ญ.วริ ษฐา ทวีสุวรรณ 200
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาประจาตัว
26 คุณบุสดี – คริ ช โน๋ เตอร์ 200
อุทิศให้กบั เทวดาที่คุม้ ครอง
27 คุณพ่อพิง สี กะชา 150
28 คุณแม่ไล ราษี 150
29 คุณเสาภาคย์ ศรี พลาย 400
138
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
30 คุณอรพรรณ สอนมัน่ 100
31 คุณกัญญวรา ไกรสิ งห์ และครอบครัว 100
32 คุณกันต์กมล ได้ดี และครอบครัว 100
33 นายบัณฑิต รงควิลิต และครอบครัว 500
34 คุณคนิษฐา ลาดกระโทก 300
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
35 คุณทิพจุฑา โทบุราณ และครอบครัว 200
อุทิศให้ญาติที่ล่วงลับทุกภพชาติ
36 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 32
37 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 20
38 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 200
39 นางผารัตน์ ค๊าสตารี , นางสาวอรนุช สว่าง 200
อุทิศบุญให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ครู อาจารย์ เทวดาประจาตัว
และเจ้ากรรมนายเวร
40 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 30
41 คุณยศฐนันต์ ทิพย์วงศ์ 200
บิดามารดา ญาติกา
และเจ้ากรรมนายเวร ตั้งแต่อดีตจนถึงปั จจุบนั
42 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 200
43 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 100
44 คุณณัษฐพงษ์ ฉลาดมาก 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
45 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 30
46 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 20
47 นายพงษ์พิพฒั น์ ใหม่วงศ์ 200
อุทิศให้นางอารยา ใหม่วงศ์
48 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 30
49 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 100
139
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
50 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 100
51 คุณแม่นุภารักษ์ บุญขา 200
อุทิศให้แด่เทวดาที่ปกปั กรักษา
เจ้ากรรมนายเวรและเจ้าเกณฑ์ชะตา มารดา บิดา
สรรพสัตว์ท้ งั หลาย ให้มีความสุ ขถ้วนหน้ากันเทอญ
52 ว่าที่ร้อยตรี วรกัลยา บุญขา 100
อุทิศให้แด่เทวดาที่ปกปั กรักษา
เจ้ากรรมนายเวรและเจ้าเกณฑ์ชะตา มารดา บิดา
สรรพสัตว์ท้ งั หลาย ให้มีความสุ ขถ้วนหน้ากันเทอญ
53 คุณแม่เทวา รัตนะ 100
อุทิศให้แด่เทวดาที่ปกปั กรักษา
เจ้ากรรมนายเวรและเจ้าเกณฑ์ชะตา มารดา บิดา
สรรพสัตว์ท้ งั หลาย ให้มีความสุ ขถ้วนหน้ากันเทอญ
54 น.ส.เสาวลักษณ์ ระเบียบ 100
อุทิศให้แด่เทวดาที่ปกปั กรักษา
เจ้ากรรมนายเวรและเจ้าเกณฑ์ชะตา มารดา บิดา
สรรพสัตว์ท้ งั หลาย ให้มีความสุ ขถ้วนหน้ากันเทอญ
55 นายรัฐกานต์ วิปัสสา 100
อุทิศให้แด่เทวดาที่ปกปั กรักษา
เจ้ากรรมนายเวรและเจ้าเกณฑ์ชะตา มารดา บิดา
สรรพสัตว์ท้ งั หลาย ให้มีความสุ ขถ้วนหน้ากันเทอญ
56 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 12
57 คุณวีระศักดิ์ – คุณวีรยา เส้งศักดิ์ และครอบครัว 1,000
อุทิศส่ วนกุศลนี้แด่ เทวดารักษาตัว และเจ้ากรรมนายเวร
สรรพสัตว์ท้ งั หลาย
58 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 20
59 น.ส.ชญาดา ผ่องกลาง 100
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
140
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
60 คุณศราดา สื บซุย (sarada mccrea) 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
61 คุณมะยุรี สวยงาม 1,000
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และญาติพี่นอ้ งที่ล่วงลับไปแล้ว
62 คุณสรสิ ช ผิวนวล และครอบครัว 100
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหมดของครอบครัว
63 คุณสุ พิชฌาย์ หมีวเิ ชียร 200
อุทิศให้บิดา มารดา ครู อาจารย์
ผูล้ ่วงลับไปแล้วและมีชีวติ อยู่
64 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 10
65 คุณอ่อนตา ศรี บาลแจ่ม พร้อมด้วยลูกค้า Slim Plus ทุกท่าน 500
ขอผลบุญนี้ จงเกิดแก่ลูกค้า Slim Plus ทุกท่าน
ขอผลบุญนี้ นามาซึ่ งความเพียร ความมีสติ มีสมาธิ
มีปัญญา มีดวงตาเห็นธรรม
นาพาสู่ มรรค ผล นิพพาน ในอนาคตกาล
อันใกล้น้ ี แก่ทุกท่านทุกคน เทอญ.
66 คุณสุ ณี ศรี บุญเรื อง และครอบครัว 109
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้คุณพ่อผ่อง ศรี บุญเรื อง
พี่วรี ะ ศรี บุญเรื อง หลวงน้าสนัน่ แก้วราวี
67 นางจิราภา ก้อฝั้น 200
อุทิศให้บิดาที่ล่วงลับไปแล้ว
68 นางกัลยา สุ นิลหงษ์ 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
69 คุณวษิฐิวริ ะ รี ราวิภคั ภาษิฏา และคุณนัฐญนัน ธันดรัฐบันพนัน 500
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาประจาตัว
70 คุณเพ็ญพรรณ ก๊อตสชาล์ค 400
71 คุณรัชนี ผุดผ่อง คุณ Mr.kevin Hibbins 200
141
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
72 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 500
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้ทุกท่านในสามแดนโลกธาตุที่มีสัมมาทิฏฐิ
แก่เจ้ากรรมนายเวร , บิดามารดา , ครู บาอาจารย์ และญาติกา
จากทุกภพทุกชาติ รวมทั้งสรรพสัตว์และมนุษย์ท้ งั หลาย
ที่ยงั เวียนว่ายตายเกิด
73 คุณณัฐชุดา นิลผาย พร้อมครอบครัว 200
อุทิศให้บรรพบุรุษ เจ้ากรรมนายเวร สัมภเวสี
74 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 1,000
75 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 100
76 คุณณกรณ์ บุญฤทธิ์ 100
77 นางกนิษฐา แสนสี สุข และครอบครัว 200
ขออุทิศให้บิดา มารดา เทวดา เจ้ากรรมนายเวร สัตว์ท้ งั หลาย
78 น.ส.ณัฐวดี มณี วรรณ 100
79 น.ส.อมรรัตน์ มณี วรรณ 200
80 คุณกัญญาภัค อริ ยเสริ มบุญ 500
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และญาติพี่นอ้ งที่ล่วงลับไปแล้ว
81 คุณเล้า และคุณณัชชา บุญถาวรวัฒน พร้อมครอบครัว 200
อุทิศให้คุณพ่อเอี่ยมบุน้ แซ่เฮ้ง
เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาประจาตัว
82 คุณสุ รภา บุญถาวรวัฒน และเพื่อนๆ 100
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาประจาตัว
83 นางสาวธันยพร แสงแจ้น 300
นางสาววรรณวิมล สุ ทธิ กิจจานนท์
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาประจาตัว
84 นางมาลัยพร จินตชิน 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และญาติพี่นอ้ งที่ล่วงลับไปแล้ว
85 คุณปฐมชัย เลาหะวรนันท์ และครอบครัว 500
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
142
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
86 น.ส.ดารารัตน์ จันทะบุรมณ์ 200
87 คุณฤทัยพร ศรี ดาวงษ์ และครอบครัว 500
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และญาติพี่นอ้ งที่ล่วงลับไปแล้ว
88 ครอบครัว นริ ศรา กลิ่นศรี สุข 200
ขอน้อมถวายแด่พระพุทธเจ้า
เพื่อเป็ นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และญาติพี่นอ้ งที่ล่วงลับไปแล้ว
89 คุณชลธิ ชา ไชยมงคล คุณวีระพงษ จันทร์ ช่วยนา 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และญาติพี่นอ้ งที่ล่วงลับไปแล้ว
90 คุณพรชัย อ้นเก้ 500
91 คุณสรศักดิ์ กาญธัญกร 100
92 คุณกัลยกร บารุ งรส และครอบครัว 300
อุทิศให้คุณพ่อ ไพบูลย์ บารุ งรส
93 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 100
94 คุณนริ นทรา เสฐโฐวัฒนพันธ์ 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
95 คุณปภาวริ นทร์ จันทร์เพ็ง 100
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และบุตรที่ล่วงลับไปแล้ว
96 น.ส.สาวิตรี ภูพวก ด.ญ.ณัฐชานันท์ ภูพวก 200
อุทิศแด่เจ้ากรรมนายเวร
คุณพ่อหนูเทียม สี ทา คุณแม่สุบิน สี ทา คุณวิเชียน สี ทา
97 คุณศิวพร กรอบทอง 100
98 คุณศรันย์ธร พรจันทร์ทอง 200
99 คุณแทนใท พรจันทร์ทอง 200
100 คุณมยุรี จันทรคร 100
101 คุณณัฐนันท์ วรพิริยานันท์ 100
102 คุณกานต์สุรีย ์ พุม่ เกตวงศ์ และครอบครัว 500
อุทิศให้พอ่ เหรี ยญ พุม่ เกต และเจ้ากรรมนายเวร
143
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
103 คุณพงศ์พฒั น์ ตังคะประเสริ ฐ 100
ขออุทิศให้ดวงจิตทุกดวงที่ผกู พันกันมา
ทั้งด้วยกุศลกรรมและอกุศลกรรม
104 คุณอาทิตยา เพิ่มสุ ข 1,000
105 น.ส.ขจรรัตน์ แก้วการ 1,000
106 นางสาวณัทณลัลน์ แก้วซุ ง 100
107 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 1,000
108 นางสาวประวีนรัตน์ นันกระโทก และครอบครัว 300
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
109 นายอุดม เส็งพานิช 300
นางนุวอร เส็งพานิช
น.ส.ภวยา เส็งพานิช
นายนิคม สวัสดิ์เมือง
ขออุทิศบุญกุศลให้แก่ นายพงศ์เทพ เส็ งพานิช
110 น.ส.หยาดทิพย์ กาเนิดยศหิ รัญ 100
111 คุณแม่เง็กซวง ศรี ชวั ชม และครอบครัว 200
คุณป้ าสมศรี ศรี ชวั ชม
อุทิศให้แก่ คุณพ่ออุดม ศรี ชวั ชม
คุณแม่น้ าเต้า นิลประสิ ทธิ์ และครอบครัว
อุทิศให้แก่นายม้วน นิลประสิ ทธิ์
คุณวิไลรัตน์ ศรี ชวั ชม
112 คุณกัญญา นระเอี่ยม 300
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
113 คุณวนิดา พรเจริ ญ 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ทั้งในอดีตชาติและปัจจุบนั
นายก้อน และนางบัวสี บิดา มารดา ที่ล่วงลับไปแล้ว
เทวดาประจาตัวข้าพเจ้า
144
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
114 นางสาวจิรารัตน์ อภิวงศ์ พร้อมครอบครัว 200
อุทิศให้สรรพสัตว์ท้ งั หลายจงพ้นทุกข์
115 คุณษรฉัตร สี หนู 1,000
116 คุณวรรณภา สุ ขมี 300
อุทิศให้บุพการี และเจ้ากรรมนายเวร
117 ด.ญ.ไอยรดา นิ่มลพ 200
อุทิศให้บุพการี และเจ้ากรรมนายเวร
118 คุณศริ พร บุญธรรม 300
อุทิศให้บุพการี และเจ้ากรรมนายเวร
119 คุณสุ รีพร พงษ์สุวรรณ์ 200
อุทิศให้บุพการี และเจ้ากรรมนายเวร
120 น.ส.วาริ นทร์ ปราโมทย์ 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
121 น.ส.ชุลีพร ทองยิม้ 100
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
122 กองบุญนิพพานสมบัติ 100
123 คุณวิลาวรรณ เขียววรรณ 300
คุณตรี ภพ สิ นใจ
อุทิศให้บุพการี และเจ้ากรรมนายเวร
124 น.ส.สาธิตา ลัดลอย และครอบครัว 100
อุทิศให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท้ งั หลาย ในสากลโลก เจ้าที่เจ้าทาง
เจ้ากรรรมนายเวร เทวดาประจาตัว ผูอ้ าฆาต ผูจ้ องผลาญ
บรรพบุรุษ สัมภเวสี ผีไร้ญาติ สรรพสัตว์ทุกสิ่ ง
ที่บุญไม่สามารถเข้าถึง หรื ออยูใ่ นห้วงที่ทรมาน
ขอให้ทุกท่านที่กล่าวมา ได้โปรดอนุ โมทนาบุญให้เพิ่มเติม
เสริ มบารมี หลุดพ้นจากวัฏสงสารที่เป็ นอยู่
มีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตข้าพเจ้าด้วยเทอญ สาธุ.
145
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
125 น.ส.ปนัดดา โมครัตน์ 200
ขออุทิศให้กบั นางทองเพียร สาวิกนั
น.ส.นาตยา โมครัตน์ และเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า
126 คุณชินาภัฑร หนูอินทร์ และครอบครัว 500
เพื่อน้อมถวายเป็ นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
สาธุ สาธุ สาธุ นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ
127 คุณสาริ สา มณี ฉาย 100
128 น.ส.สุ พรรษา ปิ ยธนสกุลชัย และครอบครัว 200
ถวายบุญ บรมครู ศรี คุรุเทวา และสิ่ งศักดิ์สิทธิ์ ทุกพระองค์
และอุทิศบุญแด่เจ้ากรรมนายเวรตั้งแต่อดีตถึงปั จจุบนั
ตลอดจนญาติที่มีชีวติ อยูห่ รื อล่วงลับไปแล้ว
129 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 1,000
130 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 50
131 คุณทองใบ สุ ภาพ 500
ด.ช.ศุภวิชญ์ ด.ญ.สุ พิชญา กองสมบูรณ์
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
132 คุณอัคระสิ ทธิ์ ชูเลิศ 300
133 คุณอุทยั วรรณ นิยมสัตย์ 300
134 คุณพรเพ็ญประภา กัญญาเลิศ 100
ให้ญาติผลู ้ ่วงลับทุกท่าน
และเจ้ากรรมนายเวรทุกภพชาติมีส่วนได้ในกุศลผลบุญนี้
135 คุณกฤตติญา บุญสุ โชติ 100
ให้ญาติผลู ้ ่วงลับทุกท่าน
และเจ้ากรรมนายเวรทุกภพชาติมีส่วนได้ในกุศลผลบุญนี้
136 คุณบุญยัง กัญญาเลิศ 100
ให้ญาติผลู ้ ่วงลับทุกท่าน
และเจ้ากรรมนายเวรทุกภพชาติมีส่วนได้ในกุศลผลบุญนี้
146
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
137 คุณสวาสดิ์ กัญญาเลิศ 100
ให้ญาติผลู ้ ่วงลับทุกท่าน
และเจ้ากรรมนายเวรทุกภพชาติมีส่วนได้ในกุศลผลบุญนี้
138 คุณกัลยากร ฉิ มอ่อน 100
ให้ญาติผลู ้ ่วงลับทุกท่าน
และเจ้ากรรมนายเวรทุกภพชาติมีส่วนได้ในกุศลผลบุญนี้
139 คุณทิพย์รัตน์ กุลที 100
ให้ญาติผลู ้ ่วงลับทุกท่าน
และเจ้ากรรมนายเวรทุกภพชาติมีส่วนได้ในกุศลผลบุญนี้
140 คุณสุ วลักษณ์ บ่อชล 100
ให้ญาติผลู ้ ่วงลับทุกท่าน
และเจ้ากรรมนายเวรทุกภพชาติมีส่วนได้ในกุศลผลบุญนี้
141 นางสาวณัฐพร เรณะสุ ระ 100
อุทิศส่ วนบุญให้แก่พอ่ แม่ ครู อาจารย์
ผูม้ ีพระคุณ และเจ้ากรรมนายเวร
142 คุณดาริ นทร์ สรวงศารัตน์ 500
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และสรรพชีวติ
143 น.ส.สาวิณี เอี่ยมสอาด 200
144 น.ส.ธนภัทรศรณ์ ราวิชยั 200
บุญกุศลในครั้งนี้ ขออุทิศให้เทพเทวาทุกพระองค์
บิดา มารดา ครู บาอาจารย์ บรรพบุรุษทั้งหลาย
เจ้ากรรรมนายเวร เจ้าที่เจ้าทาง ณ.ที่ทางาน
และที่พกั พิงที่อาศัย ทุกๆผูท้ ุกๆนาม เทอญ
145 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 199
146 นางสาวภาณิ ชา คงรักษ์ และครอบครัว 300
147 คุณณัฐชมธร รอดเกิด และครอบครัว 300
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
147
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
148 คุณโกศนธิ์ กลิ่นนิ่ม พร้อมครอบครัว 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และตัวเอง
149 คุณไพรร้อย แก้วบุตรตา พร้อมครอบครัว 300
ขออุทิศให้บิดา มารดา ญาติผลู ้ ่วงลับไปแล้ว
และเจ้ากรรมนายเวร
150 นายณภัค กุลกีรติสุนทร 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
151 นางสาวญาณ์ณิศา พรหมวิศาสตร์ 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
มารที่จะมาคอยขัดขวางการเป็ นครู สมาธิ
152 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 500
153 คุณนันทวัน หาญสมบูรณ์ 100
154 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 1,000
155 นายสุ นนั ท์ – นางประจา ทองห่อ 500
156 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 500
157 คุณจารุ วรรณ นิลทจันทร์ 200
158 คุณวริ ษฐา ชินรังสิ กุล และครอบครัว 50
159 นายสมศักดิ์ – นางสุ ภาพร พิมพ์ลี และครอบครัว 150
160 น.ส.รุ่ งนภา พิมพ์ลี 100
161 น.ส.ขนษฐา สหธนานนท์ 100
162 ด.ช.กอบศักดิ์ หนูผาสุ ข 50
163 ด.ช.ไชยวัฒน์ แสดงจิตร 50
164 ด.ญ.ณัฐณิ ชา ศรี ทองใบ 50
165 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 50
166 นายชยุต นุตาลัย 100
อุทิศเจ้ากรรมนายเวรของชยุต
167 คุณรภัสสา พิภูธนัตถ์ 200
อุทิศบุญให้กบั เทวดาประจาตัว
148
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
168 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 800
169 คุณสุ พิชา ทัพพเมธา 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
170 คุณรวีวรรณ อยูแ่ จ้ง 300
อุทิศให้พอ่ แม่ ครู อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวร
171 นายวิวรรธน์ – นางปวันรัตน์ จีระโรจน์ทวี 1,000
172 คุณฤทัยรัตน์ ฉัตรพาณิ ชย์สกุล และครอบครัว 500
173 นายชาตรี พระทัศน์ 140
174 คุณวิไลวรรณ สาสารี 200
175 น.ส.อุทุมพร เทพพิทกั ษ์ และครอบครัว 500
ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
176 คุณหนึ่งฤทัย ภู่แส 200
อุทิศให้พอ่ ทอง ภู่แส แม่เหนียม ภู่แส
177 คุณวรรณา อังรัตนันท์ 200
178 คุณปภาวริ นทร์ จันทร์เพ็ง 200
ขออุทิศให้นางประไพร คุม้ แสง และเจ้ากรรมนายเวร
179 นางบัวล้อม ชัยสิ ทธิ์ 300
180 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 100
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้หมดทุกภพภูมิ
181 ครอบครัวจันทร์ แสง 200
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้หมดทุกภพภูมิ และเจ้ากรรมนายเวร
182 คุณพร้อมพงศ์ พรมุกดามณี และคุณลีลี่ เชี่ยววิสามัญ 1,000
ขออุทิศส่ วนบุญส่ วนกุศลให้แก่ญาติผลู ้ ่วงลับ
และเจ้ากรรมนายเวร
183 คุณนภาวรรณ สุ ปานันท์ และครอบครัว 500
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
184 นางสาวณัฐชยา ศรี สนัน่ 500
149
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
185 คุณอนุสรา พัฒโน และราเมศ รัตนอรุ ณ และครอบครัว 500
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้พอ่ แม่ พี่นอ้ ง ปู่ ย่า ตายาย
ญาติผลู ้ ่วงลับ และเจ้ากรรมนายเวร
186 คุณกนกอร ขุนทอง 20
อุทิศให้บรรพบุรุษตั้งแต่อดีตจนปั จจุบนั บริ วาร
และเจ้ากรรมนายเวรทั้งของข้าพเจ้า
และบิดา มารดา น้องสาวข้าพเจ้า
187 คุณกัลปพฤกษ์ สมชุปการ 200
อุทิศให้บิดามารดา ครู บาอาจารย์ทุกสายญาณบารมี
ญาติท้ งั หลายที่ล่วงลับ เทพเทวดาที่รักษา
เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ท้ งั หลาย
188 คุณสมเดช ศรี วลิ าศ คุณปิ ยนันท์ โตรด 500
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
189 พ่อบุญมา ห้วยลาโกน แม่เภา ห้วยลาโกน 200
อุทิศให้ผทู ้ ี่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันทั้งหมด
ตั้งแต่อดีตจนถึงปั จจุบนั และเทวดาที่รักษาตัวข้าพเจ้า
190 คุณณัฐภัทร นาคจีนวงศ์ 400
อุทิศให้คุณพ่อมนัส นาคจีนวงศ์
คุณแม่ทองเย็น นาคจีนวงษ์ และเจ้ากรรมนายเวร
191 คุณสะพานบุญ สู่ แสงธรรม 111
192 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 20
193 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 100
194 คุณฉัตรชนก สุ ยะใหญ่ 360
อุทิศแด่ ดวงวิญญาณ คุณพ่อหลวง สุ ยะใหญ่
และเจ้าบุญนายคุณ เจ้ากรรมนายเวร ของนางนงนุช จันธิดุก
195 นายอธิวฒั น์ ขาวสวี 300
196 นางสาวจิตต์สมิตา สิ รนนท์สกุล 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และญาติพี่นอ้ ง
150
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
197 คุณจิราภร คเนาฟ์ และครอบครัว 2,000
ขออุทิศให้พ่อน้อย เมืองรมย์
198 น.ส.อิงพร อภิชยั อาจศิลป์ 900
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
199 คุณศักดิ์ วีระนันทาเวทย์ 400
อุทิศให้ญาติพี่นอ้ ง และเจ้ากรรมนายเวร
200 น.ส.ณิ ชนันท์ แสงว่าง 100
อุทิศให้บุตรชื่อบอลลูน และเจ้ากรรมนายเวร
201 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 1,000
202 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 300
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
203 นายโกษม เนตรวิวฒั น์ นางสาวชัญญานุช ปานเอี่ยม 300
204 คุณอารี ย ์ เลิศศักดิ์ชยั 500
อุทิศบุญกุศลนี้ ให้พี่นาตยา พูนวัฒนะพิสุทธิ์
205 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 10
206 คุณภคมน เจียมตน และครอบครัว 200
อุทิศให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว และเจ้ากรรมนายเวร
207 คุณเฉลียว นิ่มเนี นน 300
ขออุทิศบุญกุศลให้กบั เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
208 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 1,000
209 นางสมปรารถนา พงษ์มณี 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง
210 นางเยาวลักษณ์ ธิติมาพงศ์ และครอบครัว 500
211 น.ส.โสรญา อ่อนวรรณะ และครอบครัว 200
อุทิศให้กบั เจ้ากรรมนายเวร เทวดาประจาตัว
และญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
212 น.ส.เปมฐปัณฑ์ เปลี่ยนประยูร 1,000
151
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
213 คุณสุ กญั ญา วงศ์คา และคุณกรกฎ เสนาทัย 300
อุทิศให้คุณพ่อสมพงษ์ และคุณแม่ยพุ า วงศ์คา
พร้อมด้วยเจ้ากรรมนายเวร
214 คุณศรัณย์กร เรื องธนาสถิตย์ 100
อุทิศให้เทวดาประจาตัว
215 คุณบุญหลง คงวิเชียร 200
อุทิศให้เทวดาประจาตัว
216 คุณจันทิรา สมแสวง 200
217 คุณแฝด สมแสวง 100
218 คุณจร สมแสวง 100
219 คุณบดินทร์ ศรี พิจารณ์ 100
220 คุณจีรนันท์ ซื่อสัตย์ 100
221 คุณธัญณาริ นทร์ วรัตน์วรากุล 100
222 คุณกัลยกร บารุ งรส 400
223 คุณพัณณ์ชิตา พงษ์กุลอนันต์ คุณนันธิ วรรธน์ กันทะวงศ์ 400
224 คุณเจนจิรา หนูเมือง 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
225 คุณปั ญญา แจ่มแจ้ง 1,000
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
226 คุณน้อย ตรี สุทธาชีพ
อุทิศให้เทวดาประจาตัว และเจ้ากรรมนายเวร 500
227 คุณกฤษดา – คุณเนตรชนก น้อยเจริ ญ และครอบครัว 1,000
อุทิศให้สิ่งศักดิสิทธิ์ ที่ดูแลครอบครัว
228 นางอุไรทิพย์ พฤกษ์ไพบูลย์ 1,000
229 คุณขุติตญาฐ์ แซ่จึง และครอบครัว 100
อุทิศให้คุณพ่ออิ๋ว แซ่จึง และเจ้ากรรมนายเวร
230 นางสาวกาญจนา สารผล 100
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
152
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
231 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 300
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้ยาย ให้ลูก และเจ้ากรรมนายเวร
232 คุณฐิตาภา คาแดงไสย 100
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
233 คุณมณี จนั ทร์ ศรี ทะนารัตน์ 500
คุณธนพล ธนจิตไพบูลย์ และครอบครัว
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
234 ครอบครัวบุญธรรม 1,000
อุทิศให้ครอบครัวบุญธรรม สุ ขสุ กธิ ที่ล่วงลับไปแล้ว
235 คุณกันยา พงธนู เบ็คเค็ทท์ 2,000
คุณเจมส์ เอียน เบ็คเค็ทท์
ด.ญ.สุ นิสา โจแอน เบ็คเค็ทท์
ด.ช.โรเบิร์ต เจมส์ ทอร์เวลล์
ขอถวายเป็ นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ บูชาคุณครู บาอาจารย์
บิดามารดา และผูม้ ีพระคุณ
อุทิศส่ วนกุศลให้ น้องแดง พงธนู , ด.ญ.ไพรวัลย์ พงธนู ,
น.ส.สาวิตรี พงธนู
เจ้ากรรมนายเวร โอปปาติกะ สัมภเวสี ท้ งั หลาย
236 คุณวรรณิ กา สมิท และครอบครัว 100
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
237 คุณวันวิภา ฮ่อบุตร และครอบครัว 500
ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร เจ้าที่เจ้าทาง สัมภเวสี
ของบ้านไทยสุ รินทร์ ฮิลล์ บ้านไทยลายัน บ้านสี น้ า
238 นางสาวทองเลื่อน แสนใจ และครอบครัว 1,000
อุทิศกุศลให้ตาชู และยายดวน เศษสุ วรรณ์
นางทองดา แสนใจ นายสมพงษ์ เกษแสนวงศ์
และเจ้ากรรมนายเวร
153
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
239 คุณสัมฤทธิ์ ทอร์ ดีนี และครอบครัว 300
อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาทั้งหลาย
240 ครอบครัวไกรเลิศอิสรากุล 1,000
241 คุณวณิ รัชติ์ ขันติ และเด็กหญิงประทุมา ขันติ 200
242 คุณแม่หวด แก้วพรมราช พร้อมครอบครัว 500
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
243 นายเจียม สอนนอก พร้อมครอบครัว 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
244 นายเสกสรร ขันธวัช พร้อมครอบครัว 1,000
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
245 คุณบุญาภา เดชานพมณี 500
อุทิศให้เทวดาประจาตัว และเจ้ากรรมนายเวร
246 นายอรรถพล มลิเครื อ และครอบครัว 300
247 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 300
248 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 50
249 คุณกุหลาบ บุญศรี 50
อุทิศกุศลให้ปู่ย่า ตายาย และเจ้ากรรมนายเวร
250 น.ส.ทองใส อุดทุม 1,000
อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร
251 คุณชนิจนันท์ บกแก้ว 100
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
252 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 400
ขอน้อมถวายเป็ นพระราชกุศลแด่พอ่ หลวง
ให้หายจากอาการพระประชวรโดยเร็ วด้วย เทอญ สาธุ
253 กองบุญไตรรัตน 100
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้ทุกดวงจิต
254 คุณภัทราภรณ์ วาดงาม 150
อุทิศให้นอ้ งสายน้ า วาดงาม และเจ้ากรรมนายเวร
154
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
255 นางศรี นวล ปิ งขอด 500
ขออุทิศบุญกุศลครั้งนี้ให้กบั นายสุ ภาพ ปิ งขอด
และนางนาตยา ไชยชูโชติ
256 นายฤทธิเดช ศรี ทิน 49
นางสาวอภิญญา โพธิ์ ทรัพย์ พร้อมครอบครัว
อุทิศให้คุณแม่บวั ลา ศรี หะมงคง และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
257 น.ส.กินรี แก้วกิตติวฒั น์ 500
ขออุทิศบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ญาติผลู ้ ่วงลับ
กุมารี กุมารทอง ทุกตนที่ขา้ พเจ้าเลี้ยง
258 นางสาวจันทรัตน์ ชนมงคล 100
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้เทวดาประจาตัว และเจ้ากรรมนายเวร
259 คุณจอมกัญญา บุญแทรก 200
ขออุทิศให้แก่เจ้าหนี้ท้ งั หลาย
260 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 200
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้คุณยาย จานรรจ์ เชิดสติ
261 นายศักศริ ญจ์ ทิพย์พรมมา 200
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้กบั เจ้ากรรมนายเวร
262 นายเทวเดช ห้วยหงษ์ทอง 200
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้กบั เจ้ากรรมนายเวร
263 นายจันทร์ – นางวาน พงธนู และครอบครัว 300
อุทิศกุศลให้กบั นายดิ่ง – นางนนท์ พงธนู ,
นางสาวสาวิตรี พงธนู , นายปอ – นางงา มะลิงาม ,
นายนัด บุญครัน , ด.ญ.ไพรวัลย์ พงธนู
และเจ้ากรรมนายเวร
264 คุณนิมิต บุญเชิด 100
ขอกุศลที่ได้กระทา จงเป็ นพลวปัจจัยให้ถึงซึ่งพระโพธิญาณ
ในอนาคตกาลเบื้องหน้า
155
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
265 คุณวนิดา พรเจริ ญ 200
ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ในอดีตชาติและปั จจุบนั
เทวดาประจาตัวข้าพเจ้า บิดา มารดาที่ล่วงลับไปแล้ว
ของข้าพเจ้า ท้าวเวสสุ วรรณ พญามัจจุราช
266 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 500
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
267 MRS.WATAWEE SUKKHIEO 1,000
ขออุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
ในอดีตชาติ และปัจจุบนั เทวดาประจาตัวข้าพเจ้า
บิดาที่ล่วงลับไปแล้ว ของข้าพเจ้า ท้าวเวสสุ วรรณ
พญามัจจุราช ด้วยเทอญ สาธุ
268 คุณกันตพัฒน์ บริ บูรณ์พิทกั ษ์ 261
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
269 น.ส.อนัญญา ขันแก้ว 300
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร คุณแม่ กาลังป่ วย นางศรี ดา ขันแก้ว
270 คุณสิ ริพร เลาหะวรนันท์ (ร่ วมบุญเพิ่มเติมจากครั้งที่แล้ว) 230
อุทิศให้มารดา ประยงค์ แก้วสิ ทธิ์
271 นางแก้วใจ – น.ส.รุ จิรินทร์ ทับทิมไทย 769
อุทิศให้ จ.ส.อ. วีรศักดิ์ – นายวีรชัย ทับทิมไทย
272 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 500
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
273 คุณจิราภา ก้อฝั้น (ร่ วมบุญเพิ่มเติม) 100
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาประจาตัว
ญาติพี่นอ้ งทุกภพทุกชาติ
สรรพสัตว์ท้ งั หลาย ที่ยงั เกิด และตายอยู่ ทัว่ ทั้งสามโลก
อันหาประมาณมิได้
274 คุณกุลพัชร – คุณจงดี – คุณณัฐฏ์ – คุณธนธัช ฌานชลิต 400
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
156
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
275 Lam mun Choi 300
276 Lam Chee theam 100
277 Lam Chee khuan 100
278 Lam Kai sin 100
279 Chua wei fu 100
280 Chua Yi qin 100
281 Lam Chee Seng 100
282 Lam Chee kin 100
283 คุณอาภากร แต่งแก้ว 100
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาประจาตัว
284 น.ส.ทิพย์สุภา สุ ภาอิน 100
ขออุทิศให้ เจ้ากรรมนายเวรของนางมะลิวลั ย์ สุ ภาอิน
และเทพเทวดาประจาตัวข้าพเจ้า , ท่านท้าวเวสสุ วรรณ ,
ท่านมัจจุราช , พ่อประยูร สุ ภาอินและญาติ ด้วยเทอญ สาธุ
285 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 500
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร เทวดาประจาตัว
ญาติพี่นอ้ งทุกภพทุกชาติ
286 นายตะวัน เพ่งพิศ (บริ จาคเพิ่มเติม) 900
อุทิศให้มารดาที่ได้ล่วงลับไปแล้ว เทวดาประจาตัว
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติ
เจ้ากรรมนายเวรของคนอื่นที่ขา้ พเจ้าได้เคยช่วยเหลือ
ญาติพี่นอ้ งในชาติน้ ี และทุกภพทุกชาติ
เหล่าสรรพสัตว์ท้ งั หลาย ทัว่ ทั้งสามโลก อันหาประมาณมิได้
287 นางสาวธิภาภร พวงพี่ และครอบครัว 100
อุทิศให้เทวดาประจาตัว ญาติพี่นอ้ งที่ล่วงลับไปแล้ว
และอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทุกภพชาติ
288 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 50
157
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
289 คุณธนภัทรศรณ์ ราวิชยั (บริ จาคเพิ่มเติม) 200
บุญกุศลในครั้งนี้ขออุทิศให้เทพเทวาทุกพระองค์
บิดา มารดา ครู บาอาจารย์ บรรพบุรุษทั้งหลาย
เจ้ากรรรมนายเวร เจ้าที่เจ้าทาง ณ.ที่ทางาน
และที่พกั พิงที่อาศัย ทุกๆผูท้ ุกๆนาม เทอญ
290 พระสี หนาท โชติโก 100
อุทิศให้พอ่ ประสงค์ แม่ก่วง ทองยศ
291 นางสาวหนึ่งฤทัย ดาวเงิน 100
อุทิศให้เจ้ากรรรมนายเวร
292 คุณชมนภัส ทองห่ อ 500
อุทิศให้เจ้ากรรรมนายเวร
293 คุณสิ ริวมิ ล วงศ์ขจรทรัพย์ 1,000
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
294 คุณภัทรพล หนูวรรณะ 200
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
295 นายจันทร์ – นางวาน พงธนู และครอบครัว 500
อุทิศส่ วนกุศลให้ ด.ญ.ไพรวัลย์ – นางสาวิตรี พงธนู ,
นายนัด บุญครัน , เจ้ากรรมนายเวร , สัมภเวสี ,
โอปปาติกะทั้งหลาย
296 น.ส.สุ พิชชา คงได้ และครอบครัว 1,348
ขออุทิศบุญนี้แด่ ปู่ ย่าตายาย ญาติผลู ้ ่วงลับไปแล้ว
กับบุตรที่แท้งไปโดยไม่ต้ งั ใจ ให้ได้ไปสู่ ภพภูมิที่ดี
ที่สุขอยูแ่ ล้วให้สุขยิง่ ขึ้น ที่ทุกข์ก็ขอให้พน้ จากทุกข์
และอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร เทวดาประจาตัว
297 ผูไ้ ม่ประสงค์ออกนาม 100
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาประจาตัว
298 คุณปณิ ตา จีรภัชนาการ 286
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาประจาตัว
158
รายนามผู้บริจาคร่ วมบุญพิมพ์ หนังสื อธรรมะ
ลาดับที่ ชื่อ – นามสกุล จานวนเงิน
299 คุณฉัตรชนก สุ ยะใหญ่ (บริ จาคเพิ่มเติม) 300
อุทิศแด่ ดวงวิญญาณ คุณพ่อหลวง สุ ยะใหญ่
และเจ้าบุญนายคุณ เจ้ากรรมนายเวร ของนางนงนุช จันธิดุก
300 นางเพ็ญพรรณ ตั้งเลิศเมธา และครอบครัว 500
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
สัมภเวสี รู ้นามก็ดีไม่รู้นามก็ดี ด้วยเทอญ
301 จท.สัมภาษณ์ ชัยบรรณ์ 1,000
อุทิศให้องค์พรหม เทพเทวาที่ดูแล พ่อแม่ ครู อาจารย์
เจ้ากรรมนายเวร เหล่าสรรพสัตว์ท้ งั หลาย
302 คุณเบญจวรรณ ปราชญ์พิริยะ 162
อุทิศส่ วนบุญกุศลให้กบั เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาประจาตัว
ขออนุโมทนาบุญกับกัลยาณมิตรทุกท่ าน
ทีร่ ่ วมพิมพ์หนังสื อธรรมะเป็ นธรรมทาน