You are on page 1of 1

NEWS & EVENTS HEALTH & MEDICAL DIET & EXERCISE BEAUTY & SURGERY FAMILY & PREGNANCY !

หน้าแรก › การตรวจสุขภาพ › การตรวจปัสสาวะ 182.8 K Views | 129 Shares

การตรวจปัสสาวะ (Urinalysis หรือ Urine analysis : UA) มีประโยชน์อย่างไร ?


By MedThai | POSTED: 22 มีนาคม 2018, UPDATED: 29 เมษายน 2018

IMAGE SOURCE : internationalhighlife.com

FONT SIZE การตรวจปัสสาวะ


การตรวจปั ส สาวะ
สาวะ, การตรวจปั ส สาวะอย่ า งละเอี ย ดด, การตรวจปั ส สาวะอย่ า งสมบู ร ณ์ หรือการตรวจ
ก" ก#
ปั ส สาวะแบบสมบู ร ณ์ (ภาษาอังกฤษ : Urinalysis หรือ Urine test หรือ Urinary analysis หรือ
เรียกย่อว่า UA หรือ U/A
U/A) คือ การตรวจวิเคราะห์นํ้าปัสสาวะเพื่อดูลักษณะทางกายภาพ สารเคมี และตรวจทาง
SECTIONS
กล้องจุลทรรศน์ เพื่อค้นหาความผิดปกติและประเมินความเสี่ยงในบางโรคเบื้องต้นจากนํ้าปัสสาวะ*

1 การตรวจปัสสาวะ
!องแยกโรค*ดเ-อความ1น
2 ข้อบ่งชี้ของการตรวจปัสสาวะ
ลบ
3 การเตรียมตัวก่อนตรวจปัสสาวะ *ด5ง ออกแบบ 6ห8บโรงพยาบาล
บ:;ท =ความ>?ก@นAอBางมาก CไE8บความไF
4 ขั้นตอนและวิธีการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ วางใจจากโรงพยาบาลIนJ
dynamichospitals.com
5 การติดตามผลหลังการตรวจปัสสาวะ

6 การแปลผลตรวจปัสสาวะ เKด

7 การตรวจดูลักษณะทางกายภาพทั่วไป
การตรวจปัสสาวะเป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่มีประโยชน์อย่างมาก จัดเป็นการตรวจพื้นฐานที่แพทย์ที่นิยมใช้
8 การตรวจวิเคราะห์ทางเคมี เนื่องจากเป็นการตรวจที่ทําได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว สามารถตรวจได้ทันทีในคนทุกเพศทุกวัย ไม่มีผลข้างเคียงหรือ
ทําให้เจ็บตัว การตรวจไม่ได้ใช้เทคโนโลยีที่สูงเกินไป จึงมีค่าใช้จ่ายในการตรวจที่ไม่แพง และรู้ผลได้เร็วภายใน 1-2
9 การตรวจวิเคราะห์ผ่านกล้องจุลทรรศน์ ชั่วโมง นอกจากนี้ตัวผู้เข้ารับการตรวจก็ไม่จําเป็นต้องงดนํ้า งดอาหาร หรือยาที่กินเป็นประจําอยู่ก่อนด้วย และที่
สําคัญที่สุดก็คือ การตรวจปัสสาวะสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทําหน้าที่ของไตและระบบปัสสาวะของผู้เข้ารับการ
ตรวจได้หลายอย่าง รวมทั้งอาจทําให้ทราบถึงความเจ็บป่วยบางอย่างในร่างกายของผู้เข้ารับการตรวจจากการ
พิจารณาปริมาณสารเคมีต่าง ๆ ที่ขับออกมากับปัสสาวะได้ด้วย (เพราะไตเป็นอวัยวะที่ทําหน้าที่ขับของเหลวและ
ของเสียออกจากร่างกาย เมื่อเลือดไหลผ่านไต ไตจะทําหน้าที่กรองของเหลวส่วนเกินและของเสียในเลือด แร่ธาตุ
สารเคมีต่าง ๆ รวมทั้งยาออกไปเป็นนํ้าปัสสาวะ นํ้าปัสสาวะจะไหลออกจากไตผ่านท่อไตไปสะสมรวมกันที่กระเพาะ
ปัสสาวะ จากนั้นจะถูกขับออกทางจากร่างกายผ่านท่อปัสสาวะ) ด้วยเหตุนี้ การตรวจนี้จึงเป็นหนึ่งในรายการตรวจ
สุขภาพทั่วไป ซึ่งถ้าพบมีความผิดปกติแพทย์ก็จะให้การตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อสาเหตุต่อไป เช่น การตรวจระบบ
ทางเดินปัสสาวด้วยอัลตราซาวนด์

อย่างไรก็ตาม การตรวจปัสสาวะนั้นก็เป็นการตรวจทีเ่ น้นเพื่ อคัดกรองหาความผิดปกติของปัสสาวะ


ของผู้เข้ารับการตรวจ (Screening) มากกว่าทีจ ่ ะเป็นการตรวจเพื่ อใช้ยืนยัน (Confirmation) หรือ
เพื่ อวินิจฉัยหาสาเหตุของความผิดปกติ (Diagnostic)

หมายเหตุ : ปั ส สาวะ (Urine) เป็นสารของเสียภายในร่างกายที่ไตได้กรองออกจากเลือดแล้วปล่อยทิ้งออกมานอก


ร่างกายในรูปของของเหลว โดยสารของเสียภายในร่างกายนั้นอาจเกิดขึ้นจากอาหารที่กินในทุกมื้อในแต่ละวัน (เช่น
สารยูเรียไนโตรเจน สารกันบูด สารแต่งกลิ่น สารแต่งรส สารแต่งสี สารเคเฟอีนในกาแฟ กรดยูริกอันเกิดจากสารพิว
รีนในเบียร์ ฯลฯ) หรือเกิดจากการออกกําลังกาย คือ การใช้กล้ามเนื้อออกแรงอย่างหนักก็ย่อมทําให้เกิดสารของเสีย
เช่น ครีอะตินีน (Creatinine) ก็ได้

ปัสสาวะเป็นแหล่งที่รวมบรรดาของเสียจากร่างกายที่พร้อมจะปล่อยทิ้งออกไปนอกร่างกายในฐานะที่เป็นวัตถุของ
เสีย (Waste materials), แร่ธาตุ (Minerals), ของเหลว (Fluids) และสารชนิดต่าง ๆ ที่ร่างกายไม่ใช้หรือใช้ไม่
ได้อีกต่อไปแล้ว (Substances) ซึ่งบรรดาของเสียทั้ง 4 ชนิดดังกล่าวจะมีผลทําให้นํ้าปัสสาวะเกิดความ
เปลี่ยนแปลงลักษณะเฉพาะในด้านต่าง ๆ ทั้งสี กลิ่น ความใส/ขุ่น ความเป็นกรดด่าง ความหนาแน่นหรือ
ความถ่วงจําเพาะ ปริมาณของกลูโคส โปรตีน คีโตน ไนไตรท์ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว คาสท์ ผลึกต่าง ๆ ฯลฯ

ข้อบ่งชี้ของการตรวจปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะนั้นไม่มีข้อห้ามและมีประโยชน์หลายอย่าง แพทย์จึงมักส่งตรวจปัสสาวะในการตรวจสุขภาพ
ประจําปี การตรวจสุขภาพเพื่อเตรียมตัวก่อนรับการผ่าตัด หรือการตรวจเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยข้อ
บ่งชี้ในการตรวจปัสสาวะนั้นมีดังนี้

ใช้ข้อมูลที่ได้จากการตรวจประเมินค่าสุขภาพโดยทั่วไปของเจ้าของปัสสาวะ ตรวจสภาพของไตและท่อปัสสาวะ
จากไตลงมา
ใช้คัดกรองโรคเรื้อรังทั่วไปที่พบบ่อยในเบื้องต้น เช่น โรคไต โรคตับ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ซึ่ง
สามารถตรวจพบความผิดปกติบางส่วนได้จากนํ้าปัสสาวะ
ใช้วินิจฉัยโรคหรือการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ (ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ) ในเบื้อง
ต้น เช่น มีอาการปวดท้อง ปวดหลัง ปวดเอว ปัสสาวะบ่อย อาการแสบขณะปัสสาวะ ปัสสาวะม่ีเลือดปน มีไข้
โดยไม่ทราบสาเหตุ ฯลฯ เพื่อหาสาเหตุความผิดปกติที่เกิดขึ้น
ใช้วินิจฉัยโรคต่าง ๆ ที่ส่งผลให้มีความผิดปกติในนํ้าปัสสาวะจากการมีสารบางอย่างที่เกิดจากโรคนั้น ๆ ปนมา
ในปัสสาวะ เช่น โรคความผิดปกตทางฮอร์โมนต่าง ๆ โรคมะเร็งบางชนิด (เช่น มะเร็งชนิดนิวโนบลาสโตมาใน
เด็ก)
ใช้วินิจฉัยความรุนแรงของโรคต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการทํางานของไต เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต
สูง
ใช้ประเมินระบบการเผาผลาญสารอาหาร (เช่น กลูโคส) ซึ่งมีผลกระทบต่อการทํางานของไต เป็นต้น
ใช้ประเมินพยาธิสภาพของบรรดาต่อมไร้ท่อ (Endocrine disorders) ซึ่งล้วนแต่ส่งฮอร์โมนหรือเอนไซม์ทั้ง
หลายเข้าสู่กระแสเลือดและจะต้องถูกขับทิ้งออกทางปัสสาวะ โดยสารที่เหลือใช้ซึ่งตรวจพบได้ในปัสสาวะ หากมี
ปริมาณมากหรือน้อยผิดปกติก็ย่อมแสดงว่า ต่อมที่ผลิตต้นทางอาจกําลังเกิดโรคสําคัญก็ได้
ใช้ติดตามผลการรักษาโรคและภาวะต่าง ๆ ว่าเป็นไปในทางที่ดีหรือแย่ลง เช่น โรคเบาหวาน
ใช้ตรวจหาสารบางชนิด เช่น สารพิษจากโลหะหนัก (เช่น สารตะกั่ว หรือปรอท) สารเสพติดในร่างกาย (เพื่อ
ตรวจสอบผู้ใช้หรือผู้ติดยาเสพติด)
ใช้ตรวจการตั้งครรภ์ของสตรีจากฮอร์โมน Human chorionic gonadotropin (hCG) ที่พบในนํ้าปัสสาวะ

การเตรียมตัวก่อนตรวจปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะไม่ต้องมีการเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่มีข้อควรระวังบางอย่างที่อาจทําให้ผลการตรวจปัสสาวะคลาด
เคลื่อนหรือผิดเพี้ยนไม่ถูกต้อง มีดังนี้

แจ้งให้แพทย์หรือพยาบาลทราบก่อนการตรวจปัสสาวะหากมีการกินยาหรือวิตามินเสริมบางชนิด เช่น วิตามินบี,


กลุ่มยาขับปัสสาวะ (Diuretics) ที่ใช้ลดความดันโลหิต, กลุ่มยาปฏิชีวนะ (Erythromycin), ยาไรแฟมพิซิน
(Rifampicin) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาวัณโรค, กลุ่มยารักษาช่องทางเดินปัสสาวะ (Trimethoprim), ยาฟี
นาโซไพริดีน (Phenazopyridine) ที่ใช้บรรเทาอาการปวดจากโรคระบบทางเดินปัสสาวะ, ยาเฟนิโทอิน
(Phenytoin) ที่ใช้ป้องกันและควบคุมอาการชัก, ยาแก้หวัดแก้ไข้ (วิตามินซีที่มีการกินคู่กับยาปฏิชีวนะ)
ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมีประจําเดือนหรือใกล้มีประจําเดือนควรเลื่อนการตรวจปัสสาวะออกไปก่อนจนกว่าประจํา
เดือนจะหมด แล้วจึงค่อยมาทําการตรวจในภายหลัง เพราะการตรวจปัสสาวะในช่วงที่มีประจําเดือนจะมีโอกาส
สูงที่เลือดประจําเดือนจะปนเปื้อนลงไปในตัวอย่างปัสสาวะที่เก็บเพื่อส่งตรง ซึ่งจะทําให้ผลการตรวจเม็ดเลือด
แดงในปัสสาวะจะพบขึ้นสูงกว่าความเป็นจริงได้
ผู้ที่ได้รับการตรวจเอกซเรย์ (X-ray) และได้รับสารสะท้อนรังสีหรือสารทึบรังสีเพื่อการตรวจอวัยวะภายในบาง
จุดในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมายังไม่เกิน 3 วัน ควรหลีกเลี่ยงการตรวจปัสสาวะ
เฉพาะการตรวจปัสสาวะนั้นมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องมีการเตรียมตัว สามารถทําการตรวจได้ทันทีทุกช่วงเวลา
ตรวจได้ในคนทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ และไม่จําเป็นต้องงดนํ้า งดอาหาร หรือยาที่กินอยู่
ประจําก่อนการตรวจ แต่ในกรณีที่มีการตรวจอย่างอื่นในช่วงเวลาเดียวกันร่วมด้วย อาจต้องมีการงดนํ้าและ
อาหารก่อนตรวจ
ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจเก็บตัวอย่างปัสสาวะในช่วงเช้าตรู่หลังตื่นนอน ในกรณีที่เก็บเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์
ปัสสาวะ (UA) มีคําแนะนําว่าให้ถ่ายปัสสาวะแรกของวันทิ้งไปก่อน เพราะปัสสาวะแรกในช่วงเช้าหลังตื่นนอนนั้น
จะมีความเข้มข้นของสารเคมีต่าง ๆ มากกว่าปกติ (เนื่องจากร่างกายสะสมมาทั้งคืน) ซึ่งในกรณีนี้จะต่างจากการ
ตรวจปัสสาวะเพื่อหาการตั้งครรภ์ในระยะแรกที่ควรใช้ปัสสาวะแรกในช่วงเช้าหลังตื่นนอน
ในขั้นตอนการเก็บปัสสาวะนั้นจะนิยมใช้ปัสสาวะช่วงกลาง (Midstream urine) ในการส่งตรวจ ซึ่งหมายถึง
ปัสสาวะที่ไม่ใช่ช่วงแรกและช่วงท้ายของลําปัสสาวะที่ออกมา (ทําการเก็บได้โดยให้ผู้เข้ารับการตรวจถ่าย
ปัสสาวะช่วงแรกทิ้งไปส่วนหนึ่งก่อน แล้วจึงค่อยเอากระปุกเก็บตัวอย่างปัสสาวะไปรองเก็บปัสสาวะช่วงกลาง
เมื่อเก็บปัสสาวะได้ตามปริมาณที่ต้องการแล้วก็ให้ถ่ายปัสสาวะช่วงท้ายทิ้งไป) เพราะปัสสาวะในช่วงแรกจะมี
โอกาสปนเปื้อนของเชื้อโรคที่ติดอยู่ภายในท่อปัสสาวะ รูเปิดท่อปัสสาวะ รวมถึงมือของผู้เข้ารับการตรวจ ส่วน
ปัสสาวะในช่วงท้ายนั้นอาจจะมีสารคัดหลั่งจากต่อมลูกหมากปนเปื้อนมาด้วยได้
การปล่อยทิ้งปัสสาวะเพื่อการส่งตรวจวิเคราะห์ไว้นานกว่า 1 ชั่วโมง อาจทําให้ผลการตรวจคลาดเคลื่อนได้

ขั้นตอนและวิธีการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ
เนื่องจากการตรวจปัสสาวะนั้นมีความละเอียดอ่อนและมีความไวต่อสิ่งแปลกปลอมใด ๆ ดังนั้น ผู้รับการตรวจจึง
ต้องใช้ความระมัดระวังที่จะไม่นําสิ่งแปลกปลอมสกปรกใด ๆ เข้าไปแปดเปื้อนเพิ่มเติมลงในปัสสาวะอีก เพราะจะ
เป็นผลโดยตรงทําให้ผลการตรวจที่ออกมาผิดเพี้ยนแตกต่างจากความเป็นจริงได้ ทั้งนี้การเก็บตัวอย่างปัสสาวะจะมี
ขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

1. เจ้าหน้าที่หรือพยาบาลจะให้กระปุกเก็บตัวอย่างปัสสาวะให้แก่ผู้เข้ารับการตรวจ เพื่อให้นําไปเก็บตัวอย่าง
ปัสสาวะในห้องสุขาด้วยตนเอง (โดยทั่วไปจะเป็นกระปุกพลาสติกทรงปากกว้างขนาดเล็กที่มีฝาปิด ที่แห้งและ
สะอาด ผู้เข้ารับการตรวจควรรักษาความสะอาดของกระปุกให้ดีอย่าให้มีสิ่งปนเปื้อนใด ๆ เช่น คริบลิปสติก
คราบเครื่องสําอาง นํ้าเปล่า นํ้ายาฆ่าเชื้อ หรืออุจจาระปนเปื้อนเพิ่มเติมลงไป)
2. เมื่อได้รับกระปุกเก็บตัวอย่างปัสสาวะมาแล้ว อย่างแรกก็ต้องดูชื่อตรงสติกเกอร์ที่ติดอยู่ข้างกระปุกด้วยว่าเป็น
ชื่อของท่านถูกต้องหรือไม่ หากชื่อไม่ตรงให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อเปลี่ยนให้ถูกต้องทันที (ในระหว่างที่รอและยังไม่
ได้ทําการเก็บปัสสาวะ ควรเก็บกระปุกเก็บปัสสาวะไว้กับตัว ห้ามนําไปทิ้งไว้ในที่ต่าง ๆ เพราะกระปุกของตนเอง
อาจไปสลับกับผู้เข้ารับการตรวจรายอื่นโดยไม่ตั้งใจได้)
3. เมื่อถึงขั้นตอนการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ ผู้เข้ารับการตรวจจะต้องล้างมือของตนเองให้สะอาดเสียก่อน จากนั้นใน
ผู้ชายให้ร่นหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศลง (ในกรณีที่ยังไม่ได้ขลิบ) แล้วทําให้ความสะอาดโดยล้างบริเวณรอบ ๆ รู
เปิดของท่อปัสสาวะด้วยนํ้าสะอาดและซับให้แห้งด้วยกระดาษชําระ ส่วนในผู้หญิงให้ทําความสะอาดบริเวณรู
เปิดท่อปัสสาวะด้วยการใช้มือข้างหนึ่งถ่างแคมให้เห็นท่อปัสสาวะ พร้อมกับใช้มืออีกข้างทําความสะอาดด้วยนํ้า
สะอาด และเช็ดให้แห้งด้วยกระดาษชําระจากท่อปัสสาวะไปทางทวารหนักเท่านั้น และไม่ใช้กระดาษชําระซํ้า
(เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารคัดหลั่งจากช่องคลอดและอุจจาระมาที่บริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะ)
4. จากนั้นทั้งผู้หญิงและผู้ชายให้เปิดฝากระปุกเก็บตัวอย่างปัสสาวะด้วยความระวังอย่าให้นิ้วมือถูกขอบกระปุก
หรือสัมผัสกับส่วนในของกระปุกและจึงวางกระปุกที่เปิดฝาแล้วไว้ในที่ที่ปลอดภัยในห้องสุขานั้น แล้วให้ปัสสาวะ
ช่วงแรกทิ้งลงในโถส้วมไปก่อนส่วนหนึ่งประมาณ 4-5 วินาที และจึงหยุดกั้นไว้ จากนั้นให้เอากระปุกมารองเก็บ
ปัสสาวะที่ปล่อยออกมาใหม่ในช่วงกลางให้ได้ประมาณ 30-60 มิลลิลิตร หรือประมาณค่อนกระปุกของภาชนะ
บรรจุ (ในระหว่างที่เก็บอย่านํามือเข้าไปสัมผัสด้านในของกระปุก) จากนั้นให้ถ่ายปัสสาวะช่วงท้ายทิ้งไปให้เสร็จ
ปิดฝากระปุก แล้วล้างมือให้สะอาดอีกครั้ง
5. ตรวจดูความสะอาดบริเวณรอบภาชนะและปิดฝาให้เรียบร้อย แล้วจึงนํากลับไปส่งให้กับเจ้าหน้าที่หรือพยาบาล
จากนั้นเจ้าหน้าที่จะนําไปตรวจหาค่าต่าง ๆ รวมทั้งการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อดูเซลล์ต่าง ๆ (เรียกการ
ตรวจนี้ว่า “การตรวจปัสสาวะทางปฏิบัติการ”) ซึ่งขั้นตอนการตรวจจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง

IMAGE SOURCE : passionscienceblog.com

อย่างไรก็ตาม นอกจากการตรวจปัสสาวะแบบทั่วไปที่ใช้เป็นประจํา (U/A) ดังที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีการตรวจ


ปัสสาวะอื่น ๆ ที่จําเพาะต่อโรคหรือแต่ละภาวะอีกด้วย ซึ่งก็จะมีขั้นตอนและวิธีการเก็บปัสสาวะที่แตกต่างกันไป เช่น

การเก็ บ ปั ส สาวะแบบ 24 ชั ่ ว โมง (24-hour Urine collection) เป็นการเก็บปัสสาวะเพื่อการตรวจ


วินิจฉัยบางโรค เช่น การตรวจในผู้ป่วยโรคไต ซึ่งทางโรงพยาบาลจะให้ภาชนะเก็บปัสสาวะมา 1 แกลลอน (ขนาด
ประมาณ 4 ลิตร) เพื่อใช้เก็บนํ้าปัสสาวะตลอดช่วงเวลา 24 ชั่วโมง โดยจะเริ่มเก็บครั้งแรกหลังจากการถ่าย
ปัสสาวะทิ้งไป จากนั้นจึงเริ่มบันทึกเวลาการเก็บเริ่มต้นและครั้งต่อไปเรื่อย ๆ จนครบระยะเวลา 24 ชั่วโมง เมื่อ
ครบกําหนดเวลาในการเก็บปัสสาวะครั้งสุดท้ายจึงนําไปส่งให้แพทย์เมื่อมีการนัดครั้งต่อไป (ในช่วงระหว่างการ
เก็บปัสสาวะควรเก็บขวดปัสสาวะไว้ในตู้เย็นเสมอ)
การเก็ บ ปั ส สาวะโดยใส่ ส ายสวน (Catheter collection) สามารถเก็บได้ทั้งการใส่สายสวนแบบชั่วคราว
และเก็บจากสายสวนปัสสาวะเดิมที่คาอยู่ในท่อปัสสาวะของผู้ป่วย เป็นวิธีการเก็บที่ช่วยให้ได้นํ้าปัสสาวะที่ไม่ปน
เปื้อน เพื่อนําไปเพาะเชื้อในกรณีที่คาดว่าเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ หรืออาจใช้ในกรณีอื่น ๆ เช่น
ผู้ป่วยไม่สามารถปัสสาวะได้เอง มีอาการปวดอย่างรุนแรงในขณะปัสสาวะ
การเก็ บ ปั ส สาวะด้ ว ยการเจาะหน้ า ท้ อ ง (Suprapubic aspiration) เป็นวิธีการเก็บปัสสาวะที่เกิดการปน
เปื้อนได้น้อยเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ แต่วิธีการทําก็อาจส่งผลรุนแรงได้ ส่วนใหญ่จะเหมาะกับเด็กทารกแรกเกิด ใน
ผู้ป่วยที่ไม่สามารถปัสสาวะได้เอง หรือในผู้ที่มีอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งทําให้ถ่ายปัสสาวะไม่ออก
หรือปวดอย่างรุนแรงในขณะที่ปัสสาวะ โดยการตรวจจะใช้วิธีการเจาะบริเวณหน้าท้องและดูดเอานํ้าปัสสาวะ
ออกมาจากกระเพาะปัสสาวะโดยตรง
การตรวจคั ด กรองมะเร็ ง บางประเภท เนื่องจากการตรวจปัสสาวะอาจช่วยให้พบสารต่าง ๆ ที่อยู่ในเกณฑ์สูง
ผิดปกติหรือแทบไม่พบในนํ้าปัสสาวะของผู้ที่มีสุขภาพดี การตรวจปัสสาวะจึงอาจช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคมะเร็ง
บางประเภทได้ เช่น โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะจากการตรวจพบเซลล์เม็ดเลือดปริมาณมากในนํ้าปัสสาวะจน
ทําให้นํ้าปัสสาวะมีสีแดงหรือสีชมพู หรือการตรวจพบเบ๊นซ์โจนส์โปรตีน (Bence jones protein) สูงก็อาจจะ
เป็นสัญญาณของมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัลติเพิลมัยอิโลม่า (Multiple myeloma)
การตรวจสารเสพติ ด ในนํ ้ า ปั ส สาวะ เป็นการตรวจหาสารเสพติดบางประเภทที่ผิดกฎหมาย รวมถึงยาบาง
ชนิด หรือแอลกอฮอล์ เช่น แอมเฟตามีน เบนโซไดอะซีปีน กัญชา โคเคน โอปิออยด์จากฝิ่น ซึ่งมักตรวจในกรณีที่
แพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยอาจได้รับสารเหล่านี้เข้าไปในร่างกาย หรือตรวจในกรณีทางกฎหมาย หรือตรวจเบื้องต้น
ก่อนเข้าทํางานตามบริษัทต่าง ๆ
การตรวจการตั ้ ง ครรภ์ เป็นการตรวจที่ใช้หลักการเก็บปัสสาวะคล้าย ๆ กับการตรวจในโรงพยาบาล แต่การ
แปลผลจะใช้แถบจุ่มที่เคลือบสารเคมีที่จะมีการเปลี่ยนสีเมื่อผสมกับปัสสาวะ โดยสามารถตรวจได้จากที่บ้านด้วย
ชุดตรวจแบบสําเร็จรูปที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปและใช้งานได้ง่าย

การติดตามผลหลังการตรวจปัสสาวะ
หลังการตรวจปัสสาวะผู้รับการตรวจสามารถกลับได้บ้านตามปกติ เพราะเป็นการตรวจที่ไม่มีความเสี่ยงหรือมี
อันตรายใด ๆ และมีขั้นตอนการตรวจที่ใช้เวลาไม่นาน แต่ต้องรอผลการตรวจประมาณ 1-2 ชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
แต่ละโรงพยาบาล ส่วนตัวอย่างปัสสาวะที่เก็บได้จะถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์ตามขั้นตอนต่อไป

แพทย์ผู้สั่งตรวจปัสสาวะจะเป็นผู้ประเมินผลการตรวจ ซึ่งอาจเป็นแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาที่แต่ละบุคคล
ไปพบ เช่น สูตินรีแพทย์ แพทย์ที่เชี่ยวชาญระบบทางเดินปัสสาวะ แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว แพทย์เวชศาสตร์
ฉุกเฉิน ฯลฯ โดยแพทย์จะนํามาแปลผลร่วมกับอาการผิดปกติ ประวัติการเจ็บป่วยของผู้เข้ารับการตรวจ การตรวจ
ร่างกายทั่วไป และการตรวจอื่น ๆ ก่อนที่จะสรุปผลการตรวจ หลังจากนั้นจึงค่อยนัดผู้เข้ารับการตรวจกลับมาฟังผล
และพูดคุยปรึกษาแพทย์อีกครั้ง หากผลการตรวจเป็นปกติก็สามารถกลับบ้านได้เลย แต่หากผลออกมาผิดปกติ
แพทย์อาจสั่งให้มีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของความผิดปกติ เช่น การตรวจเลือด, การตรวจสารเคมีในเลือด
(CMP), การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC), การตรวจการทํางานของตับ, การตรวจการทํางานไต, การ
เพาะหาเชื้อในปัสสาวะ (Urine Culture), การถ่ายภาพทางรังสี (เช่น CT-scan, MRI) ฯลฯ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ
ดุลยพินิจของแพทย์และความต้องการของผู้ป่วย

การแปลผลตรวจปัสสาวะ
ในการตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะ (UA) โดยทั่วไปทางห้องปฏิบัติการของสถานพยาบาลจะทําการตรวจวิเคราะห์ด้วยวิธี
การ 3 อย่าง คือ การตรวจดู ล ั ก ษณะทางกายภาพทั ่ ว ไป (Visual examination), การตรวจสอบสารเคมี
ในนํ ้ า ปั ส สาวะ (Chemical examination) และการตรวจวิ
การตรวจวิเ คราะห์ ผ ่ า นกล้ อ งจุ ล ทรรศน์ (Microscopic
examination) เพื่อตรวจสอบว่าปัสสาวะนั้นมีความผิดปกติหรือไม่อย่างไร ซึ่งมีรายละเอียดดังหัวข้อถัดไป

IMAGE SOURCE : pantip.com (by โปรดใส่ซองกันกระแทก)

การตรวจดูลักษณะทางกายภาพทั่วไป
การตรวจดู ล ั ก ษณะทางกายภาพ หรือการตรวจดู ด ้ ว ยสายตา (Visual examination) เป็นการสังเกตสีและ
ความใสของปัสสาวะเป็นหลัก ซึ่งสีและความใสอาจช่วยบ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่างได้ แต่ก็มีหลายปัจจัยที่
สามารถส่งผลต่อลักษณะของนํ้าปัสสาวะได้ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่กิน ปริมาณนํ้าที่ดื่ม ยา หรือโรคประจําตัว

สี ป ั ส สาวะ (Color) โดยปกติจะมีสีเหลืองอ่อน แต่ถ้าดื่มนํ้าน้อยสีจะเหลืองเข้มขึ้น หรือถ้าดื่มนํ้ามากสีปัสสาวะก็


อาจออกไปทางใสหรือไม่มีสีเลยก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม สีของปัสสาวะก็ยังขึ้นอยู่กับอาหาร ยา หรือการป่วยเป็น
โรคด้วย
สี ข องปั ส สาวะปกติ คือ สีเหลือง (Yellow) หรือสีเหลืองอ่อน (Pale yellow) ถ้าดื่มนํ้าน้อยสีปัสสาวะจะ
ออกไปทางเข้ม แต่ในผู้ที่ดื่มนํ้ามากปัสสาวะอาจจะใสไม่มีสี (Colorless) ก็ได้
สี ข องปั ส สาวะที ่ ผ ิ ด ปกติ อาจเกิดจากอาหาร ยา หรือโรคและภาวะต่าง ๆ ได้ คือ
ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม (Dark yellow) ไปจนถึงสีเหลืองอําพัน (Dark amber) ถ้าเข้มไม่มากก็อาจเกิด
การดื่มนํ้าน้อยหรือจากภาวะขาดนํ้า แต่ถ้าเข้มมากจนคลํ้าก็อเกิดจากโรคไวรัสตับอักเสบ โรคตับอักเสบ
จากสาเหตุอื่น ๆ ดีซ่าน การอุดกั้นทางเดินนํ้าดี หรือมีนํ้าดีออกมาในปัสสาวะ หรือเกิดจากโรคมะเร็งตับ
ชนิดเกิดจากท่อนํ้าดีในตับ โรคตับอ่อนอักเสบ โรคมะเร็งตับอ่อน
ปัสสาวะสีเหลืองสว่าง (Bright yellow) อาจเกิดจากการกินวิตามินรวม (Multivitamin) หรือวิตามินบี
รวม (B complex)
ปัสสาวะสีส้ม (Orange) อาจเกิดจากการขาดนํ้าหรือกินแครอท วิตามินซี หรือวิตามินบี 2 เป็นจํานวน
มาก หรือเกิดจากการกินยาบางชนิด เช่น ยารักษาวัณโรค (Rifampicin), ยาลดการระคายเคืองทางเดิน
ปัสสาวะ (Pyridium), ยาฟีนาซีติน (Phenacetin), ยาซัลฟาซาลาซีน (Sulfasalazine) ฯลฯ
ปัสสาวะสีแดง (Red) อาจเกิดจากการกินหัวบีทรูท แก้วมังกรแดง หรือแบล็คเบอร์รี่ในปริมาณมาก
(เนื่องจากสารแอนโทไซยานิน) หรือเกิดจากการได้รับยาสลบ (Propofal) ยาต้านชักเฟนิโทอิน
(Phenytoin) หรือยาแก้โรคจิตเวช (Chlorpromazine) เช่น ยาฟีโนไทอาซีน (Phenothiazine) หรือ
เกิดจากการมีเลือดปนในปัสสาวะ เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ (UTI) นิ่วในไต, นิ่วในท่อไต,
ไตอักเสบ, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ, มะเร็งของไต, ภาวะฮีโมโกลบินในปัสสาวะ
(Hemoglobinuria) เนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตก (Hemolysis), ภาวะไมโอโกลบินในปัสสาวะ
(Myoglobinuria) เนื่องจากกล้ามเนื้อสูญสลาย (Rhabdomyolysis), ภาวะเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ
หลังจากการออกกําลังกายอย่างหนัก (Exercise-induced hematuria), โรคไตจากภาวะ IgA สะสม
(IgA Nephropathy), โรคพอร์ฟิเรีย (Porphyria) ซึ่งโรคหรือภาวะเหล่านี้สามารถทําให้ปัสสาวะเป็นสี
แดง (Red) หรือสีแดงออกนํ้าตาล (Red brown) หรือสีนํ้าตาล (Brown) ได้เช่นกัน
ปัสสาวะสีนํ้าตาล (Brown) สีนํ้าตาลเข้ม (Dark brown) หรือสีโค้ก (Cola-colored) อาจเกิดจากการ
กินถั่วปากอ้าในปริมาณมาก การกินยาบางชนิด เช่น ยาระบายเซนน่า (Senna), ยาระบายซอร์บิทอล
(Sorbitol), ยาคลายกล้ามเนื้อเมโทคาร์บามอล (Methocarbamol), ยาปฏิชีวนะไนโตรฟูแรนโทอิน
(Nitrofurantoin), ยาปฏิชีวนะเมโทรนิดาโซล (Metronidazole), ยาฆ่าเชื้อรักษาอาการท้องร่วงฟูราโซ
ลิโดน (Furazolidone), ยารักษาโรคพาร์กินสัน (Levodopa), ยาฆ่าเชื้อ (Metronidazole), ยาฆ่า
เชื้อในทางเดินปัสสาวะ (Nitrofurantoin), ยารักษามาลาเรียไพรมาควิน (Primaquine) หรือคลอโรค
วิน (Chloroquine) การมีรงควัตถุนํ้าดี (Bile pigment) อยู่ในปัสสาวะ หรือเกิดจากการมีเลือดปนใน
ปัสสาวะหรือมีเม็ดเลือดแตกในร่างกายแล้วถูกขับออกมาในปัสสาวะจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ในคนที่เป็น
โรคขาดเอนไซม์ G6PD ที่มักจะมีอาการเม็ดเลือดแตกง่ายให้เห็นเป็นครั้งคราว หรือเกิดจากโรคทาง
พันธุกรรมที่ขาดเอนไซม์ในการสร้างฮีมในเม็ดเลือดแดงที่เรียกว่าโรคพอร์ฟิเรีย (Porphyria) ซึ่งพบได้
ยาก หรือการติดเชื้อแรง ๆ เช่น มาลาเรียก็ทําให้เม็ดเลือดแดงแตกได้
ปัสสาวะสีดํา (Black) พบได้ในโรคแอลแคปโตนูเรีย (Alkaptonuria) ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่พบได้
ไม่บ่อย
ปัสสาวะสีขาว (White) อาจเกิดจากการมีหนองปนในปัสสาวะ คือมีเซลล์เม็ดเลือดขาวปนอยู่ในปัสสาวะ
จํานวนมาก มักเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น กรวยไตอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
หรือในผู้ป่วยที่ติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง หรือในผู้ติดเชื้อหนองใน (Gonorrhea) หรือเกิดจาก
การมีนํ้าเหลืองในปัสสาวะ (Chyluria) จากการติดเชื้อพยาธิเท้าช้าง (Filariasis) หรือผลข้างเคียงหลัง
การผ่าตัดไตบางส่วน การจี้ไตด้วยไตด้วยไฟฟ้าหรือคลื่นเสียงเพื่อรักษาโรคบางชนิด เช่น เนื้องอก หรือ
จากอุบัติเหตุของไต รวมถึงการมีผลึกฟอสเฟตในปัสสาวะจํานวนมากก็ทําให้ปัสสาวะขุ่นจนดูเป็นสีขาวได้
ปัสสาวะสีเขียว (Green) อาจเกิดจากการกินอาหารบางอย่าง เช่น หน่อไม้ฝรั่งจํานวนมาก หรือเกิดจาก
การได้รับยาบางชนิด เช่น ยาสลบ (Propofal), เมทิลีนบลู (Methylene blue), อะมิทริปไทลีน
(Amitriptyline) หรืออินโดเมธาซิน (Indomethacin)
ปัสสาวะสีนํ้าเงิน (Blue) อาจเกิดจากยาเมทิลีนบลู (Methylene blue), อะมิทริปไทลีน
(Amitriptyline) หรืออินโดเมธาซิน (Indomethacin), รีซอร์ซินอล (Resorcinol), ไตรแอมเทอรีน
(Triamterene), ไซเมทิดีน (Cimetidine), โปรเมทาซีน (Promethazine) ฯลฯ
ปัสสาวะใสไม่มีสี (Colorless) ในกรณีที่ไม่ได้ดื่มนํ้ามากก็อาจเกิดจากโรคไตหรือโรคเบาจืด
ความใสของปั ส สาวะ (Clarity) คือ ค่าที่บอกถึงความขุ่นใสของปัสสาวะว่าอยู่ในระดับ ซึ่งโดยทั่วไปจะแบ่ง
ออกเป็น 4 ระดับ คือ 1.ใส (Clear) ไม่เห็นตะกอนในปัสสาวะ, 2.ขุ่นเล็กน้อย (Mildly cloudy หรือ Slightly
cloudy), 3.ขุ่น (Cloudy) และ 4.ขุ่นมากหรือขุ่นข้น (Turbid หรือ Turbidity) ซึ่งปัสสาวะที่ขุ่นนอกจากจะ
เกิดจากความผิดปกติหรือโรคบางอย่างได้แล้ว ยังอาจเกิดจากอาหารที่กิน ปริมาณนํ้าที่ดื่ม หรือยาที่ใช้อยู่เป็น
ประจําได้ด้วย
ภาวะปกติ คือ ปัสสาวะที่มีความใสเมื่อถ่ายเสร็จใหม่ ๆ แต่ปัสสาวะที่ปกตินี้อาจจะมีความขุ่นได้บ้างเล็ก
น้อยในกรณีที่มีการปนเปื้อนสารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศ เศษเซลล์เยื่อบุ ผลึกที่พบได้ทั่วไปในปัสสาวะ ไป
จนถึงสิ่งปนเปื้อน เช่น โลชั่นทาผิว และแป้ง
ภาวะผิ ด ปกติ คือ ปัสสาวะที่มีความขุ่นเมื่อถ่ายเสร็จใหม่ ๆ ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
ร่างกายมีภาวะขาดนํ้าอย่างมาก
มีเม็ดเลือดแดงอยู่ในปัสสาวะหรือปัสสาวะเป็นเลือด
มีเม็ดเลือดขาวอยู่ในปัสสาวะจากการอักเสบของอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะ หรือปัสสาวะเป็นหนอง
จากการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
นิ่วในไต หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
ปัสสาวะอาจถูกปะปนด้วยตัวอสุจิ แบคทีเรีย พยาธิ หรือยีสต์
มีโมเลกุลสารเคมีต่าง ๆ รั่วออกมาในปัสสาวะ เช่น โปรตีนไข่ขาว สารคีโตน
ปัสสาวะอาจมีผลึกของสารบางชนิด เช่น ผลึกฟอสเฟต, ผลึกยูเรตจากการรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีน
สูง หรือมีสารออกซาเลตในปัสสาวะสูงเกินไป
ปัสสาวะปนเปื้อนกับอุจจาระในกรณีที่มีรูทะลุระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับลําไส้ใหญ่
ภาวะช่องคลอดอักเสบ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองใน
ปัสสาวะมีลักษณะขาวขุ่นคล้ายนํ้านม (Chyluria) เป็นปัสสาวะที่มีนํ้าเหลืองหรือไขมันปน เช่นในโรคเท้า
ช้าง จากการผ่าตัดไตเพียงบางส่วน (Partial nephrectomy) หรือจากการจี้ไตด้วยไฟฟ้าหรือคลื่นเสียง
(Ablative) เพื่อการรักษาโรคบางชนิด เช่น เนื้องอก หรืออุบัติเหตุของไต
กลิ ่ น ของปั ส สาวะ (Odor) กลิ่นที่แรงมักจะมีความสัมพันธ์กับความเข้มข้นของปัสสาวะมากกว่าจะบอกความ
ผิดปกติ เช่น การติดเชื้อในทางเดิปัสสาวะ ดังนั้น ส่วนใหญ่ในการรายงานผลการตรวจปัสสาวะทั่วไปก็จะไม่มี
การรายงานเรื่องกลิ่นของปัสสาวะไว้
กลิ ่ น ปั ส สาวะที ่ ป กติ คือ มีกลิ่นแอมโมเนียจาง ๆ ไม่แรงนัก (เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารยูเรียใน
ปัสสาวะไปเป็นแอมโมเนีย) หรืออาจไม่มีกลิ่น แต่ถ้ากินอาหารบางอย่างมาก ๆ บ่อย ๆ หรือถ้าดื่มนํ้าน้อย
สารต่าง ๆ ในปัสสาวะก็จะมีความเข้มข้นขึ้นและก่อให้เกิดกลิ่นตามสารนั้น ๆ ได้ เช่น กาแฟ สะตอ อาหาร
ประเภทหัวหอม เครื่องเทศ หน่อไม้ฝรั่ง หรือจากยาบางชนิด เช่น วิตามินต่าง ๆ
กลิ ่ น ปั ส สาวะที ่ ผ ิ ด ปกติ คือ กลิ่นหวานเหมือนผลไม้ (อาจเป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมได้ไม่ด)ี , กลิ่นเหม็น
เน่า (อาจมีการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ), กลิ่นเหม็นอับ (อาจเกิดจากโรคตับเรื้อรัง เช่น โรคตับแข็ง),
กลิ่นอุจจาระ (อาจเกิดจากการมีรูทะลุระหว่างลําไส้ใหญ่และทางเดินปัสสาวะ), กลิ่นเหมือนนํ้าตาลไหม้ (อาจ
เกิดจากโรคทางพันธุกรรมที่มีความผิดปกติในการสันดาปโปรตีน/กรดอะมิโนบางชนิดที่เรียกว่าโรค Maple
syrup urine disease (MSUD) ซึ่งเป็นโรคที่พบได้น้อยมาก ๆ)

IMAGE SOURCE : www.sweet-cures.com

การตรวจวิเคราะห์ทางเคมี
การตรวจวิ เ คราะห์ ท างเคมี หรือการตรวจสอบสารเคมี ใ นนํ ้ า ปั ส สาวะ (Chemical examination)
เป็นการตรวจดูสารเคมีที่พบในนํ้าปัสสาวะ เพราะสารเหล่านี้จะเป็นตัวบ่งบ่องถึงสุขภาพและความผิดปกติของ
ร่างกายในขณะนั้นได้ ซึ่งทางห้องปฏิบัติการส่วนใหญ่จะใช้แผ่นตรวจสําเร็จรูป (Test strip หรือ Dipstick) ที่เป็น
แผ่นพลาสติกลักษณะเป็นแท่ง บนแผ่นพลาสติกในแต่ละส่วนจะมีการเคลือบสารเคมีเอาไว้ ในการตรวจนักเทคนิค
การแพทย์จะใช้แผ่นตรวจนี้จุ่มลงไปในนํ้าปัสสาวะ เมื่อนํ้าปัสสาวะสัมผัสกับสารเคมีที่เป็นตัวทดสอบก็จะเกิด
ปฏิกิริยาเปลี่ยนสี จากนั้นจึงนําแผ่นตรวจที่เปลี่ยนสีแล้วมาอ่านผลด้วยเครื่องอ่านผลอัตโนมัติ ก็จะทําให้ทราบว่า
ปัสสาวะนั้นมีสารเคมีชนิดใดอยู่บ้าง ส่วนสารเคมีที่เป็นองค์ประกอบในนํ้าปัสสาวะที่สามารถตรวจได้ด้วยแผ่นตรวจ
สําเร็จรูปนั้นก็มีมากกว่า 100 ชนิด แต่ในการตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะโดยทั่วไปจะมีสารเคมีที่นิยมทําการตรวจและ
รายงานผลเพียงไม่กี่ตัว ดังนี้

ค่ า ความถ่ ว งจํ า เพาะ (Specific gravity หรือ Sp.Gr. หรือ SG) คือ ค่าความหนาแน่นของนํ้าปัสสาวะเมื่อ
เปรียบเทียบกับนํ้าบริสุทธิ์ในอัตราส่วนที่เท่ากัน โดยค่าปกติจะอยู่ในช่วง 1.003 - 1.030 ซึ่งค่านี้จะ
เปลี่ยนแปลงตามปริมาณนํ้าที่ดื่ม ถ้าดื่มนํ้ามากค่าก็จะตํ่า (ปัสสาวะเจือจาง) ถ้าดื่มนํ้าน้อยหรือขาดนํ้าค่านี้ก็จะสูง
ขึ้น (ปัสสาวะมีความเข้มข้นขึ้น)
ค่ า ความถ่ ว งจํ า เพาะที ่ ต ํ ่ า กว่ า ปกติ (ปัสสาวะเจืองจางเพราะมีสารต่าง ๆ ในปัสสาวะลดลงเมื่อเปรียบ
เทียบกับปริมาณของนํ้าปัสสาวะ) อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การดื่มนํ้ามากเกินไป, โรคเบาจืด
(Diabetes insipidus), เบาจืดเนื่องจากไต (Nephrogenic diabetes insipidus), โรคไตอักเสบ, โรค
ไตเรื้อรัง, ภาวะที่มีการทําลายของท่อหน่วยไตอย่างเฉียบพลัน (Acute tubular necrosis), โรคกรวยไต
อักเสบ (Pyelonephritis), ต่อมหมวกไตทํางานผิดปกติ (Adrenal insufficiency), การใช้ยาขับปัสสาวะ
(Diuretic use)
ค่ า ความถ่ ว งจํ า เพาะที ่ ส ู ง กว่ า ปกติ (ปัสสาวะมีความเข้มข้นจากการมีสารต่าง ๆ ในปัสสาวะสูงเมื่อ
เปรียบเทียบกับปริมาณของนํ้าปัสสาวะ) อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ภาวะขาดนํ้า (Dehydration) การ
ดื่มนํ้าน้อย, ภาวะที่มีการสูญเสียนํ้า (เช่น เหงื่อออกมาก มีไข้ อาเจียนรุนแรง หรือท้องร่วงท้องเสียรุนแรง),
ภาวะมีนํ้าตาลปะปนอยู่มากในปัสสาวะ (โรคเบาหวาน), กลุ่มอาการเนฟโฟรติก (Nephrotic syndrome),
โรคหลอดเลือดไตตีบ, โรคหลอดเลือดฝอยที่ไตอักเสบเฉียบพลัน (Acute glomerulonephritis), ภาวะ
ตับวาย (Liver failure), ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart failure) ที่ทําให้เลือดไปเลี้ยงไตลดลง, ภาวะช็อก
(Shock)
ค่ า ความเป็ น กรด-ด่ า ง (pH) คือ การตรวจหาว่าตัวอย่างปัสสาวะนั้นมีความเป็นกรดหรือด่างมากน้อยเพียงใด
โดยปกติจะมีค่าอยู่ในช่วง 4.6 - 8.0 (เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5.5 - 6.5 ขึ้นอยู่กับปริมาณนํ้าที่ดื่ม ประเภทอาหาร
และยาที่บริโภค)
ค่ า pH ที ่ ต ํ ่ า กว่ า ปกติ (ปัสสาวะมีความเป็นกรดสูง) อาจเกิดได้จากการบริโภคเนื้อสัตว์มากจนเกินไปหรือ
อาหารที่มีความเป็นกรด เช่น แครนเบอร์รี่ (Cranberry), การดื่มแอลกอฮอล์มาก, การกินยาบางชนิด (กิน
ยาแอสไพรินเกินขนาด), ภาวะขาดนํ้ารุนแรงหรือท้องเสียรุนแรง, ภาวะอดอาหารหรือโรคขาดอาหาร, ภาวะ
เลือดเป็นกรดจากระบบเมตาบอลิก (Metabolic acidosis), ภาวะเลือดเป็นกรดจากระบบหายใจ
(Respiratory acidosis), โรคเบาหวานในระยะที่ควบคุมนํ้าตาลไม่ได้, การติดเชื้อ, โรคระบบทางเดิน
หายใจรุนแรงที่ผู้ป่วยหายใจไม่สะดวกจนก่อการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด (เช่น โรคถุงลมปอดโป่ง
พอง)
ค่ า pH ที ่ ส ู ง กว่ า ปกติ (ปัสสาวะมีความเป็นด่างสูง) อาจเกิดได้จากการกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตตํ่าและ
การกินผักมาก ๆ (เช่น คนที่กินเจ คนที่เป็นมังสวิรัติ รวมถึงการบริโภคอาหารที่มีซิเตรตสูง อย่างผลไม้กลุ่มซิ
ตรัส เช่น ส้ม ส้มโอ มะนาว), อาการอาเจียนรุนแรง, โรคไตเรื้อรัง, โรคท่อปัสสาวะอักเสบ, การติดเชื้อใน
ระบบทางเดินปัสสาวะ (เช่น จากภาวะมีการอุดตันของท่อทางเดินปัสสาวะ), การมีภาวะหรือปัญหาทาง
อารมณ์จิตใจที่ส่งผลให้เกิดอาการหายใจคล้ายอาการหอบจากโรคหืด (Hyperventilation syndrome),
โรคท่อหน่วยไตมีความผิดปกติในการขับกรด (Renal tubular acidosis) ชนิด Type I (Distal), การได้
รับยาบางชนิด หรือได้รับพิษจากยากลุ่มซาลิซิเลต (Salicylate poisoning)
โปรตี น (Protein หรือ PRO) หมายถึง โมเลกุลโปรตีนที่รั่วออกมาในปัสสาวะ (เช่น อัลบูมิน (Albumin) ซึ่ง
เป็นโปรตีนชนิดเดียวกับในไข่ขาว) ซึ่งโดยปกติจะต้องตรวจไม่พบในปัสสาวะ หากเมื่อไหร่ที่ตรวจพบโปรตีนใน
ปัสสาวะก็จะเป็นตัวบอกให้แพทย์ทราบว่า ไตเริ่มมีปัญหาในการทํางาน ซึ่งอาจเกิดจากโรคไตเองหรือจากโรค
ของอวัยวะอื่น ๆ ที่ส่งผลมาถึงไต เพราะไตปกติจะกรองโปรตีนกลับคืนเข้าสู่ร่างกาย ไม่ปล่อยออกมาในปัสสาวะ
มากในปริมาณจนตรวจพบได้
ภาวะปกติ คือ ตรวจไม่พบโปรตีนในปัสสาวะ (Negative) หรือตรวจพบได้น้อยมาก หรืออาจตรวจพบได้
ชั่วคราวในบางภาวะ เช่น ในภาวะที่อากาศหนาวจัดหรือร้อนจัด มีไข้สูง มีความเครียดสูง การออกกําลังกาย
อย่างหักโหม การยืนนาน ๆ การได้รับยาแอสไพริน หรือมีการเก็บปัสสาวะในขณะที่มีการแข็งตัวของอวัยวะ
เพศชายหรือในขณะที่มีประจําเดือนของผู้หญิง
ภาวะผิ ด ปกติ คือ ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ ซึ่งอาจเกิดจากโรคเบาหวานที่เริ่มมีโรคแทรกซ้อน, โรคความ
ดันโลหิตสูง, โรคไตชนิดต่าง ๆ (เช่น โรคไตอักเสบ โรคไตเรื้อรัง โรคไตรั่วหรือกลุ่มอาการเนฟโฟรติก), การ
ตั้งครรภ์ระยะท้าย ๆ, ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) ซึ่งจะมีอาการความดันโลหิตสูงพร้อม ๆ กับมี
ปริมาณโปรตีนรั่วสู่นํ้าปัสสาวะจํานวนหนึ่ง, ภาวะหัวใจวาย (Heart failure), การติดเชื้อแบคทีเรียที่หัวใจ
(Bacterial endocarditis), โรคมะเร็งบางชนิด (เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว), กระเพาะปัสสาวะอักเสบ,
ท่อปัสสาวะอักเสบ, โรคกรวยไตอักเสบ (Glomerulonephritis), โรคภูมิต้านตนเอง (เช่น โรคเอสแอลอี),
โรคไข้จับสั่นหรือมาลาเรีย, การได้รับสารพิษจากโลหะหนักบางชนิด (เช่น สารตะกั่ว ปรอท แคดเมียม) หรือ
อาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น ยาต้านการอักเสบในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) รวมถึงการได้รับ
สารเสพติดบางชนิดด้วย เช่น เฮโรอีน ฝิ่น
นํ ้ า ตาล (Sugar) หรือกลู โ คส (Glucose หรือ GLU) กลูโคสเป็นนํ้าตาลประเภทหนึ่งที่พบในเลือด ซึ่งโดย
ปกติจะไม่พบเลยหรือพบได้น้อยมากในปัสสาวะ ยกเว้นในรายที่เป็นโรคเบาหวานหรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับไต
ภาวะปกติ คือ ตรวจไม่พบกลูโคสในปัสสาวะ (Negative) หรือพบเพียงเล็กน้อยในหญิงตั้งครรภ์ที่มี
สุขภาพดีบางราย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
ภาวะผิ ด ปกติ พบกลูโคสมากในปัสสาวะ อาจจะเป็นโรคเบาหวาน (ควรงดอาหารอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เพื่อ
เจาะเลือดดูระดับนํ้าตาลในเลือดเพื่อยืนยันโรคเบาหวานต่อไป) หรือเกิดจากโรคเบาหวานที่ไม่ได้ควบคุมให้ดี
หรืออาจเกิดจากโรคไต (เช่น กลุ่มอาการความผิดปกติของการดูดซึมกลับของท่อหน่วยไตส่วนต้น (Fanconi
syndrome)) โรคตับ สมองได้รับการบาดเจ็บ หรือเกิดจากกลุ่มอาการคุชชิง (Cushing syndrome)
คี โ ตน (Ketone หรือ KET) หมายถึง สารคีโตนรั่วออกมาในปัสสาวะ ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากร่างกายเผาผลาญไข
มันมาทําให้เกิดพลังงานแทนการใช้กลูโคส ซึ่งตามปกติแล้วร่างกายจะใช้กลูโคสเพราะเราได้มาง่าย ๆ จาก
อาหารคาร์โบไฮเดรต เช่น นํ้าตาลและแป้ง แต่ถ้าไม่มีกลูโคส ตับก็จะย่อยไขมันออกมาเป็นกรดไขมันอิสระแล้ว
ย่อยต่อไปเป็นคีโตน เมื่อได้คีโตนแล้วก็เอาไปให้เซลล์ใช้เป็นพลังงาน แต่บางทีหากส่งคีโตนให้เซลล์มากเกินไป
เซลล์ก็อาจไม่ใช้คีโตนเสียดื้อ ๆ จึงทําให้คีโตนเหลืออยู่มากและต้องระบายออกทางลมหายใจหรือไม่ก็ระบาย
ออกปัสสาวะ
ภาวะปกติ คือ ต้องตรวจไม่พบสารคีโตนในปัสสาวะ (Negative) แต่การตรวจพบสารคีโตนในระดับสูง
อาจเป็นเรื่องปกติสําหรับหญิงตั้งครรภ์บางคนได้
ภาวะผิ ด ปกติ คือ พบสารคีโคนในปัสสาวะ (1+ เท่ากับมีแต่น้อย, 2+ เท่ากับมีปานกลาง, 3+ เท่ากับมีมาก)
อาจแสดงว่าเกิดจากการอดหรือขาดอาหารจากโรคคลั่งผอม (Anorexia nervosa), โรคล้วงคอ (Bulimia
nervosa), โรคพิษสุรา (Alcoholism) หรือเกิดจากการกินอาหารทุพโภชนา (กินอาหารในกลุ่มของนํ้าตาล
และคาร์โบไฮเดรตไม่เพียงพอ) หรือเป็นผู้ป่วยที่ไม่สามารถกินอาหารได้หรืออาเจียนตลอดเวลาหลายวัน หรือ
เกิดจากโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับนํ้าตาลไม่ได้ (เซลล์ร่างกายเอากลูโคสไปย่อยเป็นพลังงานไม่ได้ ต้องหัน
ไปใช้ไขมันแทน) หรือจากภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตนจากเบาหวาน (DKA) จากการได้รับสารพิษ เช่น ไอโซ
โพรพานอล (Isopropanol) จากจากดมยาสลบด้วย Ether anaesthesia หรือเกิดจากการออกกําลัง
กายอย่างหนัก (Strenuous exercise) ซึ่งจะต้องมีการติดตามผลหรือตรวจในขั้นต่อไปเพื่อหาสาเหตุของ
ความผิดปกติ
ไนไตรท์ (Nitrites หรือ NIT) ปกติจะตรวจไม่พบสารไนไตรท์ในปัสสาวะ (Negative) หากตรวจพบก็สามารถ
บ่งชี้ได้ว่าระบบทางเดินปัสสาวะกําลังเกิดการติดเชื้อ (UTI) จากแบคทีเรียชนิดที่สามารถเปลี่ยนจากสารไตเตรต
ให้กลายเป็นสารไนไตรท์ได้ เช่น อีโคไล (E. coli), โปรเตียส (Proteus), เครปซีลลา (Klebsiella), ซิโตรแบค
เทอร์ (Citrobactor), เอ็นเทอโรแบคเตอร์ (Enterobactor) และซูโดโมนาส (Pseudomonas) หรือไม่ก็
อาจตรวจพบในกรณีเกิดเลือดออกในปัสสาวะขนาดหนักก็ได้ อย่างไรก็ตาม การตรวจไม่พบสารไนไตรท์ก็ไม่ได้
ยืนยันว่าไม่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะแน่นอนเสมอไป
บิ ล ิ ร ู บ ิ น (Bilirubin หรือ BIL) เป็นสารที่สร้างมาจากตับ ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง
เมื่อตับสร้างบิลิรูบินแล้วจะขับออกมาเป็นส่วนหนึ่งของนํ้าดี (Bile) และนํ้าดีถูกขับเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารเพื่อ
ทําหน้าที่ช่วยในการย่อย บิลิรูบินที่พบในทางเดินอาหารนั้นจะเป็นชนิดไม่ละลายนํ้าซึ่งจะไม่สามารถผ่านหน่วย
กรองของไตได้ แต่สามารถทําปฏิกิริยายึดติดกับโมเลกุลกรดกลูโคโรนิค (Glucoronic acid) ที่ตับได้เป็นบิลิรู
บินชนิดที่ละลายนํ้าได้ ซึ่งจะถูกกรองผ่านหน่วยกรองของไตและถูกขับออกมาทางปัสสาวะได้ โดยในคนปกตินั้น
จะตรวจไม่พบบิลิรูบินในปัสสาวะ
ภาวะปกติ คือ ตรวจไม่พบบิลิรูบินในปัสสาวะ (Negative)
ภาวะผิ ด ปกติ คือ ตรวจพบบิลิรูบินในปัสสาวะ ซึ่งอาจบ่งชี้ได้ว่ามีภาวะตับอักเสบ หรือมีภาวะอุดกั้นของทาง
เดินนํ้าดีเกิดขึ้น (ถือเป็นตัวบ่งชี้ที่เกิดได้ไวกว่าอาการทางร่างกาย เช่น อาการดีซ่านตัวเหลือง) โดยภาวะที่เกิด
การอุดตันของทางเดินนํ้าดีนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น โรคตับแข็ง, นิ่วที่อุดตันทางเดินนํ้าดี, ทางเดิน
นํ้าดีตีบแคบ, โรคมะเร็งที่ตับหรือทางเดินนํ้าดี (เช่น มะเร็งท่อนํ้าดี มะเร็งที่ลุกลามมาเบียดทางเดินนํ้าดี
มะเร็งตับอ่อนที่เกิดขึ้นที่ส่วนหัวของตับอ่อน) รวมถึงการใช้ยาที่ผลมีข้างเคียงทําให้นํ้าดีไหลช้าอย่างยาสเตีย
รอยด์หรือยาแก้โรคจิตเวช ซึ่งจะทําให้พบมีบิลิรูบิน (ชนิดละลายนํ้าได้) สะสมเพิ่มขึ้นในเลือดและถูกขับออก
มาทางปัสสาวะให้ตรวจพบได้ ดังนั้น หากตรวจพบบิลิรูบินในปัสสาวะ ควรพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจหา
สาเหตุเพิ่มเติม โดยเฉพาะการตรวจการทํางานของตับ (Liver function test)
ยู โ รบิ ล ิ โ นเจน (Urobilinogen หรือ UBG) เมื่อบิลิรูบินถูกขับออกมาทางเดินอาหาร จะถูกแบคทีเรียในลําไส้
เปลี่ยนเป็นสารยูโรบิลิโนเจน ส่วนหนึ่งของสารนี้จะถูกดูดซึมกลับไปที่ตับเพื่อนําไปสร้างเป็นบิลิรูบินมาใช้ใหม่ แต่
อีกส่วนหนึ่งจะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดปกติและไปผ่านหน่วยกรองของไต ทําให้ในคนทั่วไปจะ
สามารถตรวจพบยูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะในระดับตํ่า ๆ ได้เป็นปกติ โดยการตรวจหาสารยูโรบิลิโนเจนใน
ปัสสาวะนี้มักใช้พิจารณาร่วมกับการตรวจบิลิรูบินในปัสสาวะเพื่อแยกชนิดของโรคตับ ภาวะเม็ดเลือดแดงแตก
และการอุดตันของทางเดินนํ้าดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตรวจเป็นระยะ ๆ ก็จะช่วยติดตามการดําเนินของโรคและดู
การตอบสนองต่อการรักษาได้ด้วย
ภาวะปกติ คือ ตรวจไม่พบสารยูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะ (Negative) หรือพบในระดับตํ่า ๆ
ภาวะผิ ด ปกติ คือ ตรวจพบสารยูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะสูงขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากภาวะเม็ดเลือดแตก
(Hemolytic anemia) ที่ทําให้ระดับยูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะสูงขึ้น แต่ระดับบิลิรูบินในปัสสาวะไม่สูงขึ้น
หรืออาจเกิดจากภาวะที่เกิดการทําลายของเนื้อตับ (Hepatic disease) เช่น ตับแข็ง (Cirrhosis), ตับ
อักเสบจากไวรัส (Viral hepatitis), ตับอักเสบจากยาหรือสารพิษ (Hepatitis due to drugs or toxic
substances) ที่ทําระดับยูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะสูงขึ้นได้เช่นกัน แต่ระดับบิลิรูบินในปัสสาวะอาจจะสูงขึ้น
หรือไม่ก็ได้ ส่วนภาวะที่เกิดการอุดตันของทางเดินนํ้าดี (Biliary obstruction) นั้นมักจะทําให้ระดับบิลิรูบิน
ในปัสสาวะสูงขึ้น แต่ไม่ทําให้ระดับยูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะสูงขึ้นแต่อย่างใด ส่วนการใช้ยาฆ่าเชื้อแบบออก
ฤทธิ์กว้าง (Broad-spectrum antibiotic) ที่ทําให้แบคทีเรียในลําไส้ที่ทําหน้าที่เปลี่ยนบิลิรูบินไปเป็นสาร
ยูโรบิลิโนเจนตาย ก็อาจทําให้ตรวจระดับยูโรบิลิโนเจนในปัสสาวะไม่พบได้เช่นกัน
เม็ ด เลื อ ดขาว (Leukocyte หรือ LEU) คือ การตรวจหาเอนไซม์ลิวโคไซต์เอสเทอเรส (Leukocyte
esterase) ในปัสสาวะ ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่พบได้ในเซลล์เม็ดเลือดขาว เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวแตกสลายก็จะ
ทําให้สามารถตรวจพบเอนไซม์ลิวโคไซต์เอสเทอเรสในปัสสาวะได้ โดยในปัสสาวะของคนปกติจะมีเม็ดเลือดขาว
ปะปนอยู่ แต่มีจํานวนไม่มาก จึงทําให้โดยปกติแล้วจะตรวจไม่พบเอนไซม์ลิวโคไซต์เอสเทอเรส
ภาวะปกติ คือ ตรวจไม่พบเอนไซม์ลิวโคไซต์เอสเทอเรส (Negative)
ภาวะผิ ด ปกติ คือ ตรวจพบเอนไซม์ลิวโคไซต์เอสเทอเรส ซึ่งแสดงว่าปัสสาวะมีเม็ดเลือดขาวปะปนอยู่เป็น
จํานวนมากขึ้น หรือเรียกว่าภาวะมีเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ (Leukocyturia) โดยภาวะที่มีเม็ดเลือดขาวใน
ปัสสาวะนี้มักสัมพันธ์กับการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ (UTI) เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไต
อักเสบ โดยเฉพาะหากตัวอย่างปัสสาวะนั้นตรวจพบสารไนไตรต์ (Nitrite) ในปัสสาวะด้วย และการไปพบ
แพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเพาะเชื้อแบคทีเรียในปัสสาวะ ก็จะช่วยยืนยันสนับสนุนการ
ติดเชื้อในทางปัสสาวะได้เพิ่มขึ้น แต่หากเพาะเชื้อแล้วเชื้อไม่ขึ้น ก็อาจเกิดจากเชื้อที่การเพาะแบบปกติจะไม่
ขึ้นอยู่แล้วก็ได้ เช่น Chlamydia, Mycobacterium tuberculosis ฯลฯ) หรืออาจพบเม็ดเลือดขาวใน
ปัสสาวะจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อที่ท่อปัสสาวะ การติดเชื้อที่อวัยวะเพศชาย การมีวัสดุแปลกปลอม
ในทางเดินปัสสาวะ การใช้ยาสเตียรอยด์ การออกกําลังกาย รวมถึงมีการปนเปื้อนของสารคัดหลั่งจากช่อง
คลอดในตัวอย่างปัสสาวะ เป็นต้น
เม็ ด เลื อ ดแดง (Erythrocyte) คือ การตรวจหาปฏิกิริยาเพอร์ออกซิเดส (Peroxidase) ของเม็ดเลือดแดง
แต่นอกจากสารฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ในเม็ดเลือดแดงแล้ว สารไมโอโกลบิน (Myoglobin) ในกล้ามเนื้อ
ก็สามารถทําปฏิกิริยาเพอร์ออกซิเดสได้เช่นกัน โดยปัสสาวะของคนปกตินั้นจะมีเม็ดเลือดแดงปะปนอยู่แล้ว เพียง
แต่มีจํานวนไม่มากพอ ทําให้โดยปกติแล้วจึงตรวจหาปฏิกิริยาเพอร์ออกซิเดสไม่พบ
ภาวะปกติ คือ ตรวจไม่พบปฏิกิริยาเพอร์ออกซิเดส (Negative)
ภาวะผิ ด ปกติ คือ ตรวจพบปฏิกิริยาเพอร์ออกซิเดส ซึ่งบ่งชี้ว่ามีจํานวนเม็ดเลือดแดง หรือฮีโมโกลบิน หรือ
ไมโอโกลบิน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดผลบวกลวงได้จากหลายสาเหตุ เช่น ภาวะที่
ปัสสาวะมีความเป็นด่างสูง การปนเปื้อนนํ้าอสุจิ การปนเปื้อนเลือดจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่จากปัสสาวะ (เช่น
จากริดสีดวง จากเลือดประจําเดือน) การปนเปื้อนนํ้ายาทําความสะอาดที่มีสารออกซิไดส์ (Oxidizing
agent) ฯลฯ ซึ่งการเก็บปัสสาวะอย่างถูกวิธีจะช่วยลดโอกาสในการเกิดผลบวกลวงเหล่านี้ได้
ในกรณีที่พบผลบวกจากภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ (Hematuria) ก็สามารถเกิดได้จากหลาย
สาเหตุทั้งความผิ ด ปกติ ท ี ่ ไ ต (เช่น โรคถุงนํ้าในไต (Polycystic kidney disease) ความดันโลหิตสูง
ชนิดร้ายแรง (Malignant hypertension) ภาวะหลอดเลือดแดง-ดําผิดปกติ (Arteriovenous
malformation)), ความผิ ด ปกติ ข องหน่ ว ยไต (เช่น ภาวะหน่วยไตอักเสบ (Glomerulonephritis)
ภาวะไตอักเสบจากโรคพันธุกรรม (Hereditary nephritis) โรคไตอักเสบลูปัส (Lupus nephritis)
โรคไตจากภาวะ IgA สะสม (IgA Nephropathy) โรคหลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis)), ความผิ ด
ปกติ ใ นระบบทางเดิ น ปั ส สาวะ (เช่น ต่อมลูกหมากโต (BPH) ต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis)
กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis) กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) นิ่วในทางเดินปัสสาวะ
(Calculi) มะเร็งในทางเดินปัสสาวะ (Cancer) การติดเชื้อวัณโรค (Tuberculosis) การติดเชื้อพยาธิ
ใบไม้ในเลือด (Schistosoma spp. infection)) หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ อย่างการกระทบ
กระแทกทางเดินปัสสาวะ (เช่น การเล่นกีฬาปะทะ การใส่สายสวนปัสสาวะ) หรือการใช้ยา (เช่น ยาแก้
ปวยที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) ยาเคมีบําบัดซัยโคลฟอสฟาไมด์ (Cyclophosphamide) เฮพาริน
(Heparin) วาร์ฟาริน (Warfarin)) เป็นต้น และเนื่องจากปัสสาวะต้องไหลผ่านเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในบางครั้ง
ที่มีแผลที่อวัยวะเพศภายนอกหรือในผู้หญิงที่ตรวจปัสสาวะในช่วงมีประจําเดือนก็จะทําให้ตรวจพบเซลล์
เม็ดเลือดแดงในปัสสาวะจากการปนเปื้อนของเลือดเหล่านี้ได้
ในกรณีที่พบผลบวกมาจากภาวะที่พบฮีโมโกลบินในปัสสาวะ (Hemoglobinuria) แต่ไม่พบเม็ดเลือด
แดง อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Clostridium perfringens, การติดเชื้อมาลาเรีย
Plasmodium falciparum, โรค Paroxysmal nocturnal hemoglobinuria (PNH), การถ่าย
เลือด (Transfusion-related reaction)
ในกรณีที่พบผลบวกมาจากภาวะที่พบไมโอโกลบินในปัสสาวะ (Myoglobinuria) สามารถพบได้จาก
ภาวะกล้ามเนื้อสูญสลาย (Rhabdomyolysis)

IMAGE SOURCE : globovision.com

การตรวจวิเคราะห์ผ่านกล้องจุลทรรศน์
การตรวจวิ เ คราะห์ ผ ่ า นกล้ อ งจุ ล ทรรศน์ หรือการส่ อ งตรวจด้ ว ยกล้ อ งจุ ล ทรรศน์ (Microscopic
examination) เป็นการตรวจปัสสาวะอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีการทําหรือไม่มีการทําก็ได้ (ถ้าไม่มีก็จะไม่มีข้อมูล
ส่วนนี้ในใบรายงานผลการตรวจ) แต่ส่วนใหญ่มักจะมีการทํา เพราะการตรวจนี้สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะ
ของปัสสาวะที่มีประโยชน์เพิ่มเติมที่จะช่วยบ่งชี้ถึงภาวะผิดปกติของร่างกายได้ โดยในขั้นตอนการทํานั้น นักเทคนิค
การแพทย์จะปั่นปัสสาวะด้วยเครื่องปั่น จากนั้นจะนําตะกอนข้างล่างซึ่งเป็นส่วนที่มีเซลล์สะสมรวมกันอยู่มาหยดใส่
แผ่นสไลด์ประมาณ 1-2 หยด แล้วนําไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscope) ซึ่งจะทําให้มองเห็นเซลล์หรือ
ผลึกต่าง ๆ ว่ามีจํานวนเท่าใดโดยเฉลี่ย แล้วอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือมีปริมาณมากกว่าปกติหรือไม่ จากนั้นจึงรายงาน
ผลสิ่งที่มองเห็นออกมาในใบรายงานผล โดยเซลล์หรือผลึกต่าง ๆ ที่สามารถตรวจพบในตะกอนปัสสาวะและแสดง
ไว้ในใบรายงานผลก็มีอยู่หลายชนิด แต่ชนิดที่มีโอกาสพบบ่อยมีดังนี้

เม็ ด เลื อ ดขาว (White blood cell หรือ WBC) คือ การตรวจที่ใช้ดูเสริมประกอบไปกับการตรวจหาเอนไซม์
ลิวโคไซต์เอสเทอเรส (Leukocyte esterase) ในปัสสาวะด้วยแผ่นตรวจสําเร็จรูป ซึ่งส่วนใหญ่จะมีผล
สอดคล้องกัน และในคนปกติทั่วไปจะ
ภาวะปกติ คือ ตรวจไม่พบเซลล์เม็ดเลือดขาว (Negative) หรือตรวจพบได้ไม่เกิน 2 ตัวในผู้ชาย และไม่
เกิน 5 ตัวในผู้หญิงต่อการส่องกล้องจุลทรรศน์ตรวจหนึ่งครั้ง (HPF) ซึ่งเกิดได้จากการปนเปื้อนสารคัดหลั่ง
ตามปกติในระบบทางเดินปัสสาวะ แต่ถ้าตรวจพบในจํานวนมากกว่านี้จะเกิดจากภาวะผิดปกติในระบบทาง
เดินปัสสาวะ

You might also like