Professional Documents
Culture Documents
การใช้ยาต้านจุลชีพสาหรับการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ
Antimicrobial Use in Bacterial Urinary Tract Infections
ภญ.ศุภานันท์ ปึงเจริญกิจกุล
ภก.วิชัย สันติมาลีวรกุล
บทนา
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ (urinary tract infection; UTI) เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้บ่อยใน
ทางคลินิก ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์การดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง เชื้ อ Escherichia coli (E. coli) ท าให้ ย าต้ า นจุ ล ชี พ ที่ ใ ช้ รั ก ษามี ค วามซั บ ซ้ อ นมากขึ้ น
จากรายงานของศู น ย์ เ ฝ้ า ระวั ง เชื้ อ ดื้ อ ยาต้ า นจุ ล ชี พ แห่ ง ชาติ (National Antimicrobial Resistance
Surveillance Center Thailand; NARST) ปี พ.ศ. 2562 ได้รวบรวมข้อมูลจาก 79 โรงพยาบาลทั่วประเทศ
พบว่าเชื้อ E. coli ที่แยกได้จากน้ าปัสสาวะจานวน 25,012 สายพันธุ์ มีความไวต่อยา ciprofloxacin และ
levofloxacin เพี ย งร้ อ ยละ 33.1 และ 39.1 ตามล าดั บ ซึ่ ง ชี้ ใ ห้ เ ห็ น ถึ ง สถานการณ์ ก ารดื้ อ ยากลุ่ ม
fluoroquinolones ของเชื้อ E. coli (quinolone resistant E. coli; QREC) เป็นจานวนมาก ยิ่งไปกว่านั้น
เชื้อ E. coli ยังดื้อต่อยา cotrimoxazole และ ยา tetracycline โดยมีความไวต่อยาเพียงร้อยละ 42 และ
35.7 ตามลาดับ(1)
เพื่อให้การเลือกยาต้านจุลชีพที่เหมาะสม และ หลีกเลี่ยงปัญหาเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ในบทความนี้จึง
ขอกล่ า วถึ ง การติด เชื้อ ในระบบทางเดิ น ปั ส สาวะ เชื้ อจุ ล ชีพ ที่ เป็ น สาเหตุ การวิ นิ จฉั ย และการตรวจทาง
ห้องปฏิบัติการสาหรับวินิจฉัยการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และ การใช้ยาต้านจุลชีพสาหรับการติดเชื้อ
แบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมีรายละเอียดในลาดับถัดไป
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
การติดเชื้อในระบบทางเดิน ปัส สาวะ สามารถจาแนกได้ห ลายลั กษณะ หากจาแนกตามตาแหน่ง
ที่ติดเชื้อ จะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะส่วนล่างและส่วนบน(2-4) ดังนี้
1. การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (lower UTI) เป็นการติดเชื้อทีก่ ระเพาะปัสสาวะ (cystitis)
ซึง่ มีอาการทางคลินิกที่สาคัญ คือ ปัสสาวะลาบาก ปัสสาวะไม่ออก (dysuria) ปัสสาวะบ่อยครั้ง เฉลี่ยมากกว่า
6 ครั้งต่อวัน (frequency) กลั้นปัสสาวะไม่ได้ (urgency) ปวดหน่วงบริเวณหัวหน่าว (suprapubic pain) และ
ผู้ป่วยบางรายอาจมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะได้ (gross hematuria)
2. การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะส่วนบน (upper UTI) หรือเรียกว่ากรวยไตอักเสบ (pyelonephritis)
เป็นการติดเชื้อได้ตั้งแต่บริเวณท่อไต (ureter) กรวยไต (renal pelvis) หรือ เนื้อเยื่อไต (renal parenchyma)
ซึ่งมีความรุนแรงมากกว่าการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง ผู้ป่วยมักมีอาการที่แสดงถึงการอักเสบทั่ว
ร่างกาย เช่น มีไข้ (อุณหภูมิ > 38 องศาเซลเซียส) หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย หรือ ปวดหลังบริเวณ
บั้นเอว (flank pain) ได้ และมักตรวจร่างกายพบการกดเจ็บบริเวณ costovertebral angle
นอกจากนี้ การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ยังจาแนกตามความซับซ้อนของการติดเชื้อได้เป็น
2 ประเภท คือ 1) การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่ไม่ซับซ้อน (uncomplicated UTI) เป็นการติดเชื้อใน
2
ผู้ที่ไม่มีความผิดปกติของโครงสร้างและการทางานของระบบทางเดินปัสสาวะ หรือ ไม่มีภาวะและโรคบางชนิด
ที่ทาให้การรักษาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะมีความซับซ้อน และ 2) การติดเชื้อในระบบทางเดิน
ปัสสาวะที่ซับซ้อน (complicated UTI) เป็นการติดเชื้อในผู้ที่มีความผิดปกติของโครงสร้างและการทางานของ
ระบบทางเดินปัสสาวะ โดยปัจจัยเสี่ยงทีท่ าให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะทีซ่ ับซ้อน แสดง
ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ปัจจัยเสี่ยงที่ทาให้เกิด complicated UTI(3, 5-7)
ลักษณะของปัจจัยเสี่ยง ปัจจัยเสี่ยงที่ทาให้เกิด complicated UTI
ความผิดปกติทางกายภาพ หรือ - ผู้ป่วยที่มีไตข้างเดียว (solitary kidney)
การทางานของทางเดินปัสสาวะ - ซีสต์ที่ไต (polycystic kidney disease)
(anatomic/functional - การใส่อุปกรณ์ในทางเดินปัสสาวะ
abnormality) - สายสวนปัสสาวะ (urinary catheter)
- ท่อสาหรับเปิดท่อไต (ureteral stent)
- สายระบายปั ส สาวะออกจากกรวยไตผ่ า นทางผิ ว หนั ง
(percutaneous nephrostomy tube)
- ภาวะปัสสาวะไหลย้อนกลับ (vesicoureteric reflux)
- การผ่าตัดเปลี่ยนโครงสร้างระบบปัสสาวะ
- Ileal diversion
- ขยายขนาดกระเพาะปัสสาวะ
- การปลูกถ่ายไต
- Duplicated collecting system
- มีท่อไตคู่ (double ureter)
ภาวะทางเดินปัสสาวะถูกอุดกั้น - ต่อมลูกหมากโต (benign prostatic hypertrophy)
(obstruction) - นิ่วในไต (calculi)
- ความผิดปกติของการปัสสาวะ เนื่องจากเกิดความผิดปกติของระบบ
ประสาทส่วนกลาง (neurogenic bladder)
- สาเหตุ อื่ น ๆ เช่ น ก้ อ นมะเร็ ง พั ง ผื ด (fibrosis) หรื อ ท่ อ ปั ส สาวะ
ตีบแคบ (urethral stricture) เป็นต้น
ลักษณะของปัจจัยเสี่ยง ปัจจัยเสี่ยงที่ทาให้เกิด complicated UTI
ภาวะโรค - เบาหวาน - การทางานของไตบกพร่อง
- ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง - โรคมะเร็ง
- ได้รับยาเคมีบาบัดหรือการฉายรังสี - การติดเชื้อเอชไอวี
- โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (sickle cell disease)
ผู้ป่วย - เพศชาย - หญิงตั้งครรภ์
- เด็ก - ผู้สูงอายุ (อายุ > 60 ปี)
- มีอาการมากกว่า 14 วัน - การติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาต้านจุลชีพ
- การกลับเป็นซ้าของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (recurrent UTI)
3
เชื้อจุลชีพที่เป็นสาเหตุ
เชื้อแบคทีเรียก่อโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย E. coli ร้อยละ 75-95
นอกจากนี้ ส ามารถเกิ ด ได้ จ ากเชื้ อ Staphylococcus saprophyticus, Proteus mirabilis, Klebsiella
pneumoniae และ Enterococcus spp.(2, 4) ดังนั้น การรักษาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จึงมุ่งเน้น
การเลือกยาต้านจุลชีพที่ครอบคลุมเชื้อแบคทีเรียแกรมลบซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรค
โดยเชื้ อ E. coli ที่ ดื้ อ ต่ อ ยากลุ่ ม fluoroquinolones เรี ย กว่ า quinolones resistant E. coli หรื อ
QREC ซึ่งปัจจั ยเสี่ยงของการติดเชื้อ QREC ในทางเดินปัสสาวะสาหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากชุมชน แสดงดัง
ตารางที่ 2
ตารางที่ 2 ปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อ QREC ในทางเดินปัสสาวะสาหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากชุมชน(8-10)
ปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อ QREC ในทางเดินปัสสาวะ ความเสี่ยงในการติดเชื้อ QREC
ประวัติได้รับยากลุ่ม fluoroquinolone ภายใน 6 เดือนก่อนมี การ
ติดเชื้อ(8, 9) 18.6 เท่า
- ประวัติการได้รับยา ciprofloxacin 20.6 เท่า
- ประวัติการได้รับยา ofloxacin 7.6 เท่า
ได้ รั บ การใส่ อุ ป กรณ์ ใ นร่ า งกาย เช่ น สายสวนปั ส สาวะ ภายใน
6 เดือนก่อนมีการติดเชื้อ(8, 9) 6.0-6.7
ประวัติเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแบบผู้ป่วยในภายใน 6 เดือน
ก่อนมีการติดเชื้อ(8, 9) 2.3-2.9 เท่า
- ประวัติเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 1 ครั้ง ร้อยละ 65.2
- ประวัติเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 2 ครั้ง ร้อยละ 84.2
- ประวัติเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ≥ 3 ครั้ง ร้อยละ 93.3
ปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อ QREC ในทางเดินปัสสาวะ ความเสี่ยงในการติดเชื้อ QREC
มีการกลับเป็นซ้าของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ(8, 9) 2.2-4.7
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะแบบซับซ้อน(10) 2.4
มีความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ(8) 2.3
ผู้ป่วยมีอายุมากกว่า 50 ปี(10) 1.6
การวินิจฉัยการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
เนื่องจากปัสสาวะเป็นสิ่งส่งตรวจที่ไม่ปราศจากเชื้อ (non sterile site) ดังนั้นการวินิจฉัยการติดเชื้อ
ในระบบทางเดิน ปั ส สาวะควรประกอบด้ว ย 3 ส่ ว นดังนี้ อาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ ในระบบ
ทางเดินปัสสาวะ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และ ไม่มีการติดเชื้อในระบบอื่นๆ
การตรวจทางห้องปฏิบัตกิ ารสาหรับวินิจฉัยการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
การตรวจปัส สาวะเป็น การตรวจทางห้ องปฏิบัติการที่ มีความส าคัญ สาหรับการวินิจฉัย โดยต้องมี
เทคนิคในการเก็บปัสสาวะอย่างถูกวิธีเพื่อลดการปนเปื้อน แนะนาเก็บปัสสาวะในช่วงกึ่งกลางของปัสสาวะ
4
(midstream-voided urine ; MSU) หรื อ เก็ บ จากสายสวนปั ส สาวะ ซึ่ ง การตรวจปั ส สาวะแบ่ ง ออกเป็ น
2 ส่วน ดังนี้
1. การตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะ (urinary analysis หรือ urinalysis ; U/A) เป็นการตรวจที่ช่วยในการ
วินิจฉัยการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะได้เบื้องต้น การตรวจแบ่งออกเป็น 3 ประเภท(11, 12) ดังนี้
1.1 การตรวจคุณสมบั ติทางกายภาพ (physical examination) ได้แก่ ตรวจหาปริมาตร สี กลิ่ น
ความขุ่น และ ความถ่วงจาเพาะ
1.2 การตรวจคุณสมบัติทางเคมี (chemical examination) เป็นการตรวจความเป็นกรด-ด่าง และ
สารเคมีต่างๆ ได้แก่ การตรวจหา nitrites และ leukocyte esterase เนื่องจากมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการ
ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
1.3 การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (microscopic examination) ตรวจหาดูเซลล์ต่างๆในปัสสาวะ
เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว เซลล์เยื่อบุ เป็นต้น ซึ่งมีความสาคัญมากในการวินิจฉัยการติดเชื้อ
ในระบบทางเดินปัสสาวะ
การตรวจพบเม็ดเลือดขาว nitrite และ leukocyte esterase ในปัสสาวะ สามารถช่วยในการวินิจฉัย
การติ ด เชื้ อ ในระบบทางเดิ น ปั ส สาวะได้ ซึ่ ง มี ค วามไว (sensitivity) และ ความจ าเพาะ (specificity) ต่ อ
การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะที่แตกต่างกัน แสดงดังตารางที่ 3
ผู้ ป่ ว ยที่ มีอ าการและอาการแสดงของการติด เชื้อ ในระบบทางเดิน ปั ส สาวะ โดยส่ ว นใหญ่ จะพบ
เม็ ด เลื อ ดขาวในปั ส สาวะมากกว่ า 10 เซลล์ / ลู ก บาศก์ มิ ล ลิ เ มตร (pyuria) และมั ก ตรวจพบ leukocyte
esterase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่พบในเม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil ในปัสสาวะร่วมด้วย
สาหรับสาร nitrite ในภาวะปกติจะไม่พบในปัสสาวะ โดยจะตรวจพบสาร nitrite ในปัสสาวะเมื่อมี
เชื้อแบคทีเรีย บางชนิด เช่น E. coli, Klebsiella spp., Enterobacter spp. หรือ Proteus spp.เป็นต้นใน
ปัสสาวะ(2) ซึ่งเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวสามารถเปลี่ยนสาร nitrate เป็น nitrite ในปัสสาวะได้ ดังนั้นการตรวจ
ไม่พบสาร nitrite ในปัสสาวะ ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าผู้ป่วยไม่เกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เนื่องจาก
แบคทีเรียบางชนิดไม่สามารถเปลี่ยน nitrate เป็น nitrite ในปัสสาวะได้
ตารางที่ 3 ความไวและความจาเพาะของการตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ(5)
ความไว ความจาเพาะ
การตรวจ ผลการตรวจ
(ร้อยละ) (ร้อยละ)
> 5 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร 72-95 48-82
จานวนเม็ดเลือดขาว
> 10 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร 58-82 65-86
Leukocyte esterase บวก 74-96 94-98
Nitrite บวก 35-85 92-100
Leukocyte esterase และ
บวกทั้งคู่ 75-84 82-98
nitrite
การใช้ยาต้านจุลชีพสาหรับการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ
การเลื อกยาต้านจุ ล ชี พ ในการรั ก ษาการติด เชื้อในระบบทางเดิน ปัส สาวะ หากเป็นการติดเชื้อใน
ทางเดินปัสสาวะส่วนล่างหรือเป็นการติดเชื้อที่ไม่ซับซ้อน สามารถให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก ทั้งนี้หากผู้ป่วย
มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะส่วนบนหรือมีอาการรุนแรงส่งผลให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดหรือเป็น
การติดเชื้อที่ซับซ้อน แนะนาผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เนื่องจากต้องทาการส่งเพาะเชื้อในปัสสาวะ
และในเลือด
โดยต้อ งค านึ งถึ ง ปั จ จั ย ที่ มีผ ลต่ อการตัด สิ น ใจเลื อกยาต้ านจุล ชีพ ได้แ ก่ ความสามารถของยาใน
การครอบคลุมเชื้อ ความชุกของเชื้อดื้อยาในแต่ละพื้นที่ ข้อมูลทางเภสัชจลนศาสตร์ เภสัชพลศาสตร์ของ
ยาต้านจุลชีพ ข้อห้ามใช้ ข้อควรระวัง อาการไม่พึงประสงค์ ของยา อันตรกิริยาระหว่างยา ความสะดวกใน
การบริหารยาและค่าใช้จ่ายในการรักษาของยาต้านจุลชีพแต่ละชนิด
การเลือกใช้ยาต้านจุลชีพเพื่อรักษาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ควรพิจารณาถึงความเข้มข้นของยา
ในตาแหน่ งที่มีการติดเชื้อว่าสู งเพีย งพอที่ส ามารถกาจัดเชื้อได้ห รือไม่ หากผู้ ป่ว ยมีการติดเชื้อในทางเดิน
ปั ส สาวะส่ ว นล่ า ง (cystitis) แนะน าเลื อ กยาต้ า นจุ ล ชี พ ที่ มี ร ะดั บ ยาในปั ส สาวะสู ง เช่ น ยากลุ่ ม
fluoroquinolones และ ยากลุ่ม beta lactam เป็นต้น แต่หากผู้ป่วยมีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะส่วนบน
หรือมีอาการรุนแรงส่งผลให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด แนะนาเลือกยาต้านจุลชีพที่มีระดับยาในปัสสาวะ
และในเลือดสูง ซึ่งยาต้านจุลชีพแต่ละชนิดจะมีระดับยาในปัสสาวะและในเลือดแตกต่างกัน แสดงดังตารางที่ 4
ตารางที่ 4 ระดับยาต้านจุลชีพในเลือดและปัสสาวะ(14, 15)
ขนาดยา และ ระดับยาในเลือดสูงสุด ระดับยาในปัสสาวะ
ยาต้านจุลชีพ
วิธีการบริหารยา (mcg/ml) (mcg/ml)
ยากลุ่ม Beta lactam
Ampicillin 500 mg รับประทาน 3-6 1000-2250
Amoxicillin 500 mg รับประทาน 6-10 300-1300
6