Professional Documents
Culture Documents
วิชา การพยาบาลผู้ใหญ่ 1
บทที่ 5 เรื่อง กระบวนการพยาบาลในการสร้างเสริมสุขภาพ และแก้ไขปัญหาสุขภาพของบุคคลวัยผู้ใหญ่ที่
มีปัญหาสุขภาพที่ไม่ซับซ้อนและซับซ้อนในระยะเฉียบพลัน วิกฤติ เรื้อรัง และระยะสุดท้ายเกี่ยวกับ
ทางเดินอาหารและการขับถ่าย (ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี)
แนวคิดหลัก
ระบบทางเดินอาหาร เป็นช่องทางที่ร่างกายมนุษย์ใช้นำอาหารและน้ำเข้าสู่ร่างกายเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบ ในการสร้าง
พลังงานเพื่อการดำรงชีวิต และเสริมสร้างเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ตลอดจนผลิตเอนไซม์และสารต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการ
ทำงานของอวัยวะต่าง ๆ เนื่องจากทางเดินอาหารเป็นช่องทางที่มีความยาวตั้งแต่ปากจนถึงทวารหนักและยังมีอวัยวะที่
ประกอบเพื่อให้การทำหน้าที่ย่อยอาหาร และการดูดซึมสารอาหารมีประสิทธิภาพสูงสุด คือ ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดิน
น้ำดี ดังนั้นถ้ามีความผิดปกติหรือพยาธิสภาพที่เกิดในทางเดินอาหาร จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมของบุคคลทั้งทางตรง
และทางอ้อม ทำให้เกิดภาวะทุพโภชนาการ การเสียสมดุลเกลือแร่ การติดเชื้อ ซึ่ง มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของบุคคลและ
ครอบครัวให้ลดลง ดังนั้นพยาบาลผู้ให้การดูแลจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นในทางเดินอาหาร
และสามารถประยุกต์ความรู้ ความเข้าใจ ไปใช้ในการให้การพยาบาลแก่บุคคลแบบองค์รวมได้อย่างเหมาะสม
วัตถุประสงค์ทั่วไป
นักศึกษามีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ กระบวนการพยาบาลในการสร้างเสริมสุขภาพ และแก้ไขปัญหาสุขภาพของ
บุคคลวัยผู้ใหญ่ ที่มีปัญหาสุขภาพที่ไม่ซับซ้อนและซับซ้อนในระยะเฉียบพลัน วิกฤติ เรื้อรังและระยะสุดท้ายเกี่ยวกับทางเดิน
อาหารและการขับถ่าย (ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดี และทางเดินน้ำดี) โดยคำนึงถึงการดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ บนพื้นฐาน
ความเอื้ออาทร คุณธรรม จริยธรรม สิทธิมนุษยชน หลักฐานเชิงประจักษ์ และความปลอดภัยของผู้ป่วย
วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
เมื่อจบบทเรียนนี้แล้ว นักศึกษาสามารถ
๑. ระบุสาเหตุ กลไกการเกิดความผิดปกติ วิธีการประเมินสภาพ และสามารถประเมินสภาพผู้ป่วยที่มีความผิดปกติต่างๆ
ของตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดี และทางเดินน้ำดีได้ (K, P)
๒. ประยุกต์ใช้กระบวนการพยาบาล ในการพยาบาลแบบองค์รวมในบุคคลวัยผู้ใหญ่ที่มีความผิดปกติของตับ ตับอ่อน
ถุงน้ำดี และทางเดินน้ำดีได้ครอบคลุมทั้งมิติการส่งเสริมสุขภาพ การรักษา การป้องกัน และการฟื้นฟูสภาพ โดยคำนึงถึงสิทธิ
ผู้ป่วย และจรรยาบรรณวิชาชีพ (A, P)
๓. ตระหนักถึงความสำคัญของการให้การพยาบาลโดยคำนึงถึงการดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ บนพื้นฐานความ
เอื้ออาทร คุณธรรม จริยธรรม สิทธิมนุษยชน หลักฐานเชิงประจักษ์ และความปลอดภัยของผู้ป่วย (A)
๔. สืบค้นข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย วิเคราะห์ และเลือกใช้ข้อมูลในการอ้างอิงเพื่อพัฒนาความรู้และแก้ไข
ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (P)
๕. แสดงความคิดเห็นของตนเองอย่างเป็นเหตุเป็นผล และเคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น (P)
๖. มีความซื่อสัตย์ มีวินัย ตรงต่อเวลา และมีความรับผิดชอบ (P)
ความผิดปกติ/ อาการเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย
ดีซ่าน (Jaundice)
หมายถึง ภาวะที่มีปริมาณบิลิรูบินในกระแสเลือดสูง (hyperbilirubinemia) คือ มีระดับ total bilirubin ได้แก่
conjugated และ unconjugated bilirubin สูงเกิน 2 มก.ต่อ ดล.และย้อมอวัยวะต่าง ๆ เช่น เยื่อบุตาขาว ผิวหนัง มีสีเหลือง
nr
และซีด ถ้าเป็นมากและนานอาจเห็ นเป็นสีเขียว v0
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 2
สาเหตุและกลไกการเกิดดีซ่าน
1.การสร้างบิลิรูบินมากขึ้น เนื่องจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายมากขึ้น บิลิรูบินที่สลายจากเม็ดเลือดแดงมีมากจนเกิน
ความสามารถของตับที่จะกำจัดให้เหลือน้อยเท่าปกติ จึงมีการสะสมบิลิรูบินในกระแสเลือดมาก พบในโรคมาลาเรีย โรคทาง
พันธุกรรม เช่น โรคขาดเอ็นไซม์ G-6-P-D โรคธาลาสซิเมีย การได้รับเลือดผิดหมู่ (ABO or Rh incompatibility) นอกจากนี้
เม็ดเลือดแดงอาจถูกทำลายโดยยาบางชนิด ได้แก่ Phenacetin, Quinine, PAS, Sulphonamide การเกิดดีซ่านชนิดนี้ เรียกว่า
Hemolytic jaundice เมื่อเม็ดเลือดแดงถูกทำลายมากขึ้น ทำให้ระดับ Unconjugated bilirubin ในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น
2.ความบกพร่องการนำบิลิรูบินเข้าเซลล์ตับ ทำให้ไม่สามารถขจัดบิลิรูบินจากเลือดได้ กลไกการนำ Unconjugated
bilirubin เข้าเซลล์ตับยังไม่ทราบแน่ชัด เมื่อบิลิรูบินเข้าสู่เซลล์ตับแล้วจะจับกับ Ligandin (Y Protein) ในกรณีที่มีบิลิรบู ินเข้า
เซลล์มาก จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำบิลิรูบินเข้าสู่เซลล์ตับ การขาด Ligandin หรือ โปรตีน Y ทำให้เกิดการบกพร่อง
การนำบิลิรูบินเข้าสู่เซลล์ตับ
3.ความผิดปกติในปฏิกิริยา conjugation ของบิลิรูบินที่ endoplasmic reticulum ในเซลล์ตับ ได้แก่ การขาด
เอ็นไซม์ glucuronyl transferase หรือมีระดับต่ำ รวมทั้งการขาด UDPGA (Uridine diphospho glucuronic acid) ทำให้
ตับไม่สามารถเปลีย่ น Unconjugated bilirubin เป็น conjugated bilirubin และขับออกจากตับพร้อมน้ำดีได้ ทำให้เกิดภาวะ
Unconjugated hyperbilirubinemia พบใน
3.1. ทารกแรกเกิดหรือคลอดก่อนกำหนด เนื่องจากมีเอ็นไซม์glucuronyl transferase ยังมีประสิทธิภาพต่ำ
3.2. Cirgler – najjar syndrome type I และ type II (Congenital nonhemolytic jaundice) เป็ น โรค
ทางพันธุ์กรรมชนิด autosomal recessive และ dominant ตามลำดับ ซึ่งมีความผิดปกติที่ endoplasmic reticulum ใน
เซลล์ตับใน type I พบว่าไม่มีเอ็นไซม์ glucuronyl transferase เลย ทำให้มีระดับ Unconjugated bilirubin สูงมาก (20 –
40 มก./ ดล.) เกิดการทำลายประสาท (Kernicterus) มักทำให้เสียชีวิตในขวบแรก ส่วน type II มีเอ็นไซม์ glucuronyl
transferase น้อย ทำให้ Unconjugated bilirubin ในเลือดสูง แต่ไม่เกิน 20 มก./ดล. อาการรุนแรงน้อยกว่า type I ไม่เกิด
Kernicterus มีอายุยืนยาวตามปกติ มักพบในผู้ใหญ่
4.เซลล์ตับและเนื้อเยื่ออื่นๆ ในตับถูกทำลายจากสาเหตุต่างๆ เช่น ยา ไวรัสตับอักเสบ และไวรัสอื่นๆ แอลกอฮอล์
เป็นต้น ทำให้เกิดความบกพร่องของการนำบิลิรูบินเข้าเซลล์ตับและปฏิกิริยาการเปลี่ยนบิลิรูบนิ ในเซลล์ตับ นอกจากนีย้ ังทำให้บิลิ
รูบินที่ถูกเปลี่ยนเป็น conjugated bilirubin คั่งอยู่ในตับ เนื่องจากการอักเสบทำให้เกิดการบวมจึงไปกดทางเดินน้ำดีภายใน
ตับด้วย ภาวะดีซ่านที่เกิดจากความบกพร่องการนำบิลิรูบินเข้าสู่เซลล์ตับ และความผิดปกติในปฏิกิริยาการเปลี่ยนบิลิรูบินใน
เซลล์ตับ เรียกว่าHepatocellular jaundice จะพบว่ามีระดับconjugated bilirubin และunconjugated bilirubinในกระแส
เลือดสูง
5.การขัดขวางการขับถ่าย conjugated bilirubin ลงลำไส้เล็ก ความผิดปกติ แบ่งได้ดังนี้
5.1. การขัดขวางการหลั่งน้ำดีภายในเนื้อเยื่อตับ (Intrahepatic cholestasis) ทำให้เกิดการคั่งของ conjugated
bilirubin ภายในตับ เรียกว่า Intrahepatic cholestatic jaundice ซึ่งมีสาเหตุมาจากการติดเชื้ออย่างเรื้อรัง ในช่องทางเดิน
น้ำดีในตับ ทำให้แบคทีเรียในช่องทางเดินน้ำดีเปลี่ยน conjugated bilirubin เป็น unconjugated bilirubin
สะสมอยู่มากบริเวณเซลล์เยื่อบุผิวของช่องทางเดินน้ำดี เกิดการตกตะกอนและอุดตันทางเดินน้ำดี หรือการอักเสบของตับจาก
ยาบางชนิด สารพิษจากแบคทีเรีย และไวรัสชนิดต่างๆ
5.2. การขัดขวางการหลั่งน้ำดีจากภายนอกตับ (Extrahepatic cholestasis) ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการอุดตัน
ทางเดินน้ำดีบริเวณท่อน้ำดีจากตับ ( Common hepatic duct ) หรือบริเวณท่อน้ำดีร่วม ( Common bile duct )เนื่องจากมี
การอักเสบของท่อน้ำดี ( Cholangitis ) เนื้องอกบริเวณท่อทางเดินน้ำดี ( Cholangiocarcinoma ) นิ่วในทางเดินน้ำดี รวมทั้ง
พยาธิสภาพที่อยู่บริเวณทางเดินน้ำดี เช่น พยาธิใบไม้ในตับ
อาการและอาการแสดงของดีซ่าน
1.Kernicterus (unconjugated bilirubin encephalopathy) เป็นกลุ่มอาการทางสมองเกิดจาก unconjugated
bilirubin ไปจับกับเซลล์สมอง โดยเฉพาะบริเวณ basal ganglia, subthalamic nuclei, inner ear, cerebral cortex และ
cerebellum ทำให้ เ กิ ด การทำลายสมองอย่ า งถาวร พบในภาวะที ่ ม ี ก ารทำลายเม็ ด เลื อ ดแดงอย่ า งมาก Crigler Najjar
syndrome type I, Hypoalbuminemia การได้รับสารบางอย่างที่มาแย่งที่บิลิรูบินจับกับแอลบูมินในกระแสเลือด ในสัดส่วน
2 : 1 ทำให้ขนาดโมเลกุลใหญ่ ไม่สามารถผ่าน blood brain barrier ไปจับกับเซลล์สมองได้ ดังนั้น ภาวะใดก็ตามที่ทำให้
โมเลกุลของบิลิรูบินแยกออกจากอัลบูมินจะทำให้ bilirubin ผ่าน blood brain barrier ไปจับกับเซลล์สมองได้ง่ายขึ้น
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 3
ระดับ unconjugated bilirubin ตั้งแต่ 20 มก./ดล. ในทารกครบกำหนด และ 15 มก./ ดล. ในทารกคลอดก่อน
กำหนด สามารถทำให้เกิด ภาวะ Kernicterus ซึ่งพบว่าทารกจะมีอาการซึม กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก และไม่ค่อยดูดนม
2.สีผิวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองจัดจนถึงสีเขียวเข้ม
3.อาการคันตามผิวหนัง (Pruritus) เข้าใจว่าสาเหตุมาจากกรดน้ำดีในกระแสเลือด ซึ่งพบในผู้ป่วยที่เป็น cholestatic
jaundice
4.การย่อยและการดูดซึมไขมัน รวมทั้งวิตามินที่ละลายในไขมัน บกพร่องเนื่องจากขาดน้ำดีในลำไส้เล็ก
5.เกิดการทำลายเซลล์ตับ เนื่องจากน้ำดีที่คั่งอยู่ในตับเปลี่ยนแปลงไขมันที่ผนังเซลล์ และรบกวนการทำงานของ
เอ็นไซม์ต่าง ๆ ในเซลล์ตับ
6.เกิดพยาธิสภาพที่ไต เนื่องจากทั้ง conjugated และ unconjugated bilirubin เป็นสารที่มีพิษต่อท่อไต ถ้าเกิด
ภาวะนี้เป็นเวลานานจะทำให้ไตสูญเสียหน้าที่ไปได้
หลักการพยาบาล
1.การดูแลผิวหนัง เพื่อลดการคัน โดยการหลีกเลี่ยงการทำให้ผิวหนังแห้ง และทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น เช่น ไม่ใช้สบู่
อาบน้ำ ใช้โลชั่น หรือน้ำมัน (baby oil) ทาผิว
2.ป้องกันการระคายเคืองต่อผิวหนัง เช่น ความร้อน สารเคมีต่างๆ
3.ป้องกันการได้รับบาดเจ็บบริเวณผิวหนัง เช่น การตัดเล็บ ใช้ผ้านุ่มๆ ลูบเมื่อคัน
4.ป้องกันการกระแทกเพราะทำให้เกิดจ้ำเลือดและเขียวได้ง่าย
5.ดื่มน้ำมากๆ ถ้าไม่มีข้อจำกัด และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก
6.รับประทานยาตามแผนการรักษา
7.ตรวจร่างกายและผลทางห้องปฏิบัติการ เพื่อทราบการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย
8.ด้านจิตใจ การยอมรับภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไป
โรคของความผิดปกติของการรับประทานอาหารและน้ำและอวัยวะช่วยย่อยที่พบบ่อย
ถุงน้ำดีอักเสบ (Cholecystitis)
Cholecystitis แบ่งเป็น
1. Acute Cholecystitis
2. Chronic Cholecystitis
Acute Cholecystitis (ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน) หมายถึง ภาวะที่มีการอักเสบของถุงน้ำดีที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน
ซึ่งอาจเริ่มตั้งแต่มีการอักเสบเพียงเล็กน้อยจนถึงรุนแรง
__
อุบัติการณ์
พบได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง แต่จะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ในอัตราส่วนเพศหญิง : เพศชาย 1.5: 1
พบบ่อยว่าโรคนี้มักเกิดในผู้หญิงที่อ้วน อายุ 40 ปีขึ้นไป และมีอาชีพที่ต้องนั่งโต๊ะทำงานเป็นประจำ แต่อาจพบในวัยอื่นได้
สาเหตุ
1.ส่วนใหญ่ร้อยละ 95 – 96 ของผู้ป่วยเกิดจากการที่นิ่วในถุงน้ำดีเคลื่อนลงมาอุดตันบริเวณ cystic duct หรืออัดกัน
แน่นบริเวณ Hartmann’s pouch ทำให้น้ำดีไหลผ่านลงในท่อน้ำดีร่วมไม่ได้ มีการคั่งค้างของน้ำดีในถุงน้ำดี น้ำดีมีความเข้มข้น
มากขึ้นเป็นผลให้เยื่อบุผนังถุงน้ำดีเกิดการ ระคายเคืองและมีการอักเสบติดเชื้อได้
2.มีการอักเสบติดเชื้อแบคทีเรียของถุงน้ำดีโดยที่มิได้มีนิ่วหรือมีการอุดตันของท่อน้ำดี เชื้อโรคเหล่านี้ได้แก่ ซัล
โมเนลลา (salmonella) อีโคไล (E. coli) สแตฟิโลคอกไค (staphylococci) สเตรฟโตคอกไค (streptococci) เชื้อโรคเหล่านี้
ส่วนใหญ่มาตามกระแสเลือดที่มาเลี้ยงตับหรือ ถุงน้ำดี ส่วนน้อยมาตามน้ำเหลืองหรือจากน้ำดีเอง
3.สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้ถุงน้ำดีมีการอักเสบได้คือ อุบัติเหตุจากการกระทบกระแทก เนื้อเยื่อได้รับภัยอันตรายหลังไฟ
ไหม้ น้ำร้อนลวก หลังผ่าตัดในช่องท้อง
พยาธิสรีรภาพ
ถุงน้ำดีเมื่อมีการอักเสบเล็กน้อยจะพบว่าน้ำดีมีลักษณะบวม โป่งพองและมีเลือดมาเลี้ยงมาก ( hyperemia ) เมื่อการ
อักเสบมีการลุกลามมากขึ้นจะพบว่าถุงน้ำดีโป่งพองและบวมมากขึ้น มีลักษณะสีเทาแดง ( grayish-red ) หลอดเลือดที่มา
เลี้ยงถุงน้ำดีจะโป่งพองโตเห็นได้ชัด ถุงน้ำดีจะถูกอวัยวะต่างๆ ที่ใกล้เคียงเช่น omentum และบางส่วนของลำไส้มาหุ้มติดไว้
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 4
ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณคอของถุงน้ำดีและบริเวณท่อทางเดินน้ำดีจะโต ภายในเยื่อบุของถุงน้ำดีจะมีลักษณะการอักเสบตลอด
ทั่วผนัง ในผู้ป่วยที่การอักเสบทุเลาลง ถุงน้ำดีจะหนาตัวขึ้น หดตัวเล็กลงเนื่องจากมีไฟโบรซิสเกิดขึ้น ในรายที่มีการอักเสบติด
เชื้อรุนแรงจะพบมีหนองเกิดขึ้นภายในถุงน้ำดี (empyema of the gallbladder ) หรือถุงน้ำดีเกิดการเน่าตายและมีการทะลุ
เกิดขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุช่องท้องได้ การทะลุของถุงน้ำดีเกิดขึ้นหลังจากเริ่มมีการอักเสบของถุงน้ำดีประมาณ 3
วัน แต่ส่วนใหญ่การทะลุจะเกดขึ้นในระหว่างสัปดาห์ที่ 2
แนวทางการประเมินสภาพ
1. ประวัติ ผู้ป่วยที่มีภาวะถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน: มักมีประวัติปวดท้องเป็นพักๆ ในระยะเวลา 30-60 นาที มักเกิดขึ้น
หลังรับประทานอาหารมื้อหนักประมาณ 3-5 ชั่วโมง ทำให้ผู้ป่วยต้องสะดุ้งตื่นจากการนอนหลับ ลักษณะการปวดตอนแรกจะ
รู้สึกไม่สบาย แน่นอึดอัดท้องตรงกลางลิ้นปี่และจะค่อยๆ เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นโดยปวดจนงอตัว เมื่อโรคลุกลามมากขึ้น
ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์จะมาด้วยอาการปวดท้องมาก บริเวณใต้ล้นปี่หรือใต้ชายโครงขวาอาจพบอาการปวดร้าวไปบริเวณใต้
กระดูกสะบักขวา หัวไหล่ขวา ท้องส่วนบนด้านซ้ายและบริเวณใต้กระดูกสะบักซ้าย นอกจากนี้ร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่มีอาการ
คลื่นไส้ ร่วมด้วยประมาณร้อยละ 50-85 ของผู้ป่วยจะมีอาการอาเจียน
2. การตรวจร่างกาย
2.1 ลักษณะทั่วไป: มีท่าทางอ่อนเพลีย ปวดท้อง นอนตัวงอและนอนนิ่งๆ อาจพบ ตาเหลืองตัวเหลืองเล็กน้อย ~20-
25% ของผู้ป่วย มี คลื่นไส้ อาเจียน
2.2 สัญญาณชีพ: มีการเปลี่ยนแปลงมากในผู้ป่วยที่มภี าวะถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลันหรือมีนิ่วร่วมกับถุงน้ำดีอักเสบ
เฉียบพลัน จะพบว่าผู้ป่วยมีไข้สูง ~ 38-38.5 องศาเซลเซียส ชีพจรเบาเร็ว หายใจเร็วขึ้น ความดันโลหิตอาจ
ปกติหรือผิดปกติ
2.3 การตรวจท้อง: ท้องอืด กดเจ็บบริเวณลิ้นปี่หรือชายโครงขวา หน้าท้องแข็งเกร็งในรายที่มีการอักเสบมาก อาจ
คลำพบก้อนใต้ชายโครงขวา ตรวจพบ Murphy’s sign +ve (การให้ ผู้ป่วยหายใจเข้าลึกๆ และใช้นิ้วมือกดที่
บริเวณใต้ชายโครงขวาตรงตำแหน่งของถุงน้ำดี ผู้ป่วยจะปวดมาก จนกลั้นหายใจทันที)
3. การตรวจทางห้องทดลอง และ การตรวจพิเศษ
- White blood count สูงมาก 12,000 – 15,000 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร และ มี PMN สูงผิดปกติ
- LFT: ผิดปกติเล็กน้อย เช่น alkaline phosphatase, SGOT สูงกว่าปกติเล็กน้อย bilirubin สูงขึ้น ~1-4 mg.
Chronic Cholecystitis (ถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง) หมายถึง ภาวะที่ถุงน้ำดีมีการอักเสบเกิดขึ้นหลายครั้ง เป็นๆ หายๆ
ภายหลังจากที่เกิดการอักเสบของถุงน้ำดีอย่างเฉียบพลัน
อุบัติการณ์
ถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรังเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดของถุงน้ำดี ร้อยละ 90 พบร่วมกับนิ่วถุงน้ำดี มักพบในวัยกลางคน และ
พบในเพศหญิงที่อ้วนมากกว่าเพศชายในอัตราส่วน 3:1
สาเหตุ
1.ผู้ป่วยเคยเป็นโรคถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลันมาก่อน ได้รับการรักษาไม่ถูกต้องทำให้อาการของโรคไม่หายขาด
2. มีนิ่วเกิดขึ้นในถุงน้ำดี ทำให้เกิดถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง
พยาธิสรีรภาพ
ถุงน้ำดีที่อักเสบเรื้อรังมาก ๆ ผนังถุงน้ำดีมีการหนาตัวและถุงน้ำดีหดตัวเล็กลง บางครั้งพบว่าแคลเซียมเกาะติด
บริเวณผนังถุงน้ำดี อาจพบมีถุงน้ำ (cyst) เกิดขึ้นได้ ซึ่งภายในถุงน้ำนี้ประกอบด้วยน้ำดีที่มีลักษณะขุ่นข้น มีตะกอนของเนื้อเยื่อ
ที่ตายแล้ว อาจเรียกว่า biliary mud หรือ biliary sludge เยื่อบุผนังถุงน้ำดีจะหนาตัว บวม มี lymphocyte แทรกตัวอยู่ตาม
ผนังถุงน้ำดี อาจพบว่าเยื่อบุผนังถูกทำลายมาก พบว่ามีก้อนนิ่วอุดอยู่ที่บริ เวณคอของถุงน้ำดี หรืออาจมีก้อนนิ่วฝังตัวอยู่ที่ผนัง
ถุงน้ำดี บางรายอาจพบว่ามีหนองเกิดขึ้นถายในถุงน้ำดี
แนวทางการประเมินสภาพ
1. ประวัติ: จะไม่รุนแรงเหมือนถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน มักให้ประวัติว่าปวดตื้อ ๆ บริเวณใต้ชายโครงขวาหรือลิ้นปี่
ภายหลังรับประทานอาหารที่มีไขมันมาก แต่บางครั้งอาการปวดก็เกิดขึ้นโดยไม่ได้รับประทานอาหารไขมัน เคยมีอาการท้องอืด
แน่นท้องคล้ายอาหารไม่ย่อย เฉพาะเวลารับประทานอาหารไขมัน บางทีก็มีคลื่นไส้อาเจียนและปวดบริเวณหลังโดยทั่วไป บาง
รายก็ให้ประวัติว่าเคยเป็นโรคถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลันมาก่อนและเคยรักษาแล้ว ในรายที่มีการอุดตันของ cystic duct ผู้ป่วย
จะมีอาการปวดท้องมากบริเวณใต้ชายโครงขวาหรือบริเวณลิ้นปี่และเกิดขึ้นทันทีทันใด
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 5
2. การตรวจร่างกาย
2.1 ลักษณะทั่วไป: โดยทั่วไปคล้ายคลึงกับผู้ป่วยที่มีภาวะถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลันแต่มีความรุนแรงน้อยกว่า
ยกเว้นในรายที่มีนิ่วเกิดขึ้นร่วมด้วยจะมีความรุนแรงมาก
2.2 สัญญาณชีพ: จะมีไข้ต่ำๆ ชีพจรเบาเร็วกว่าปกติเล็กน้อย หายใจค่อนข้างเร็วตื้น ความดันโลหิตปกติ
2.3 การตรวจท้อง: พบท้องอืด กดเจ็บใต้ชายโครงขวาหรือลิ้นปี่
3. การตรวจทางห้องทดลองและการตรวจพิเศษจะพบ white blood count สูงกว่าปกติเล็กน้อยหรือปกติ ผล LFT
พา ก บมาเ นชาไ
ปกติ
รถ
นิ่วในถุงน้ำดี (Gall Stone/ Cholelithiasis)
นิ่วในถุงน้ำดี หมายถึงภาวะที่มีก้อนนิ่วเกิดขึ้นในถุงน้ำดี เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะมีผ ลทำให้เกิดการอักเสบของถุงน้ำดี
เฉียบพลันและเรื้อรังตามมา และอาจเป็นเหตุผลของการเกิดมะเร็งถุงน้ำดีได้
อุบัติการณ์
1.เพศ พบว่าเพศหญิง: ชายเท่ากับ 1.5: 1
2.อายุ พบมากที่สุดในกลุ่มอายุ 40 – 60 ปี
Mwpk sigy\
3.เชื้อชาติและฐานะทางเศรษฐกิจ พบมากในซีกโลกตะวันตก โดยเฉพาะตอนเหนือของทวีปอเมริกา เยอรมัน ทาง
เอเซีย ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่นและส่วนมากจะพบในคนที่มีฐานะทางการเงินดี มีการรับประทานอาหารที่อุดมสมบูรณ์
4.ความอ้วน มักพบในคนอ้วนมากกว่าคนผอม ในต่างประเทศพบว่าคนอ้วนมีโคเลสเตอรอลมากในถุงน้ำดี จึงพบนิ่ว
ในคนอ้วนมากกว่า แต่ในคนไทยพบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคนิ่วในผู้ชายมีน้ำหนักเฉลี่ย 55.5 กิโลกรัม และในผู้หญิง 52.8 กิโลกรัม
ด้วยเหตุนี้จึงมีคำกล่าวว่า นิ่วในถุงน้ำดีมีลักษณะ 5F คือ female, fat, fair, forty และ fertile
สาเหตุ
1. สาเหตุที่แท้จริงไม่ทราบแน่ชัด
2. สาเหตุส่งเสริมให้เกิดนิ่วได้แก่
o_......
2.1 มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสัดส่วนของสารประกอบของน้ำดี ซึ่งได้แก่ โคเลสเตอรอล เกลือน้ำดี และฟอสโฟไล
ปิดที่ไม่ละลายน้ำประกอบด้วย lecithin ร้อยละ 90, lysolecithin ร้อยละ 3 และ phosphatidyl ethanolamine ร้อยละ 1
ะ
ในคนปกติน้ำดีของคนจะเป็นของเหลวโดย ไม่มีการตกตะกอนเมื่อส่วนประกอบทั้ง 3 อย่างมีสัดส่วนที่เหมาะสม โดยค่าของ
โคเลสเตอรอล: เกลือน้ำดี และเลซิทินต้องเกิน 1:11 ถ้าต่ำกว่านี้โคเลสเตอรอลจะตกตะกอน
2.2 การอักเสบติดเชื้อของถุงน้ำดี ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงผนังของถุงน้ำดี มีการดูดซึมน้ำและเกลือน้ำดีเพิ่มขึ้น ทำ
ให้ส่วนประกอบของน้ำดีเปลี่ยนแปลงไปหรือมีการหลุดลอกของเยื่อเมือก เกิดเป็นจุดกลางขึ้น ทำให้แคลเซียมในน้ำดีตกตะกอน
จับกันเป็นก้อนนิ่วได้ง่ายขึ้น
2.3 อาหาร การรับประทานอาหารที่มีไขมันชนิดอิ่มตัวมาก ๆ และรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวน้อยจะทำให้เกิด
นิ่วในถุงน้ำดีได้มากขึ้น
ง่ายขึ้น
=_
2.4 กรรมพันธุ์ ผู้ป่วยที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นนิ่วในถุงน้ำดี จะเพิ่มการเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้มากขึ้น
2.5 การรับประทานยา clofibrate จะเพิ่มการขับถ่ายของโคเลสเตอรอลออกมาในถุงน้ำดีมากขึ้น มีโอกาสเกิดนิ่วได้
2.6 มี ก ารคั ่ ง ของน้ำ ดี ใ นถุ งน้ ำดี เชื ่ อ ว่ า เป็ นสาเหตุสำคั ญที ่ท ำให้ น้ ำดีมี ค วามเข้ มข้น สู ง ขึ ้ น ทำให้ ส ั ดส่ ว นของ
สารประกอบในน้ำดีเปลี่ยนไป เกิดจากคนที่นอนอยู่กับที่นาน ๆ การตั้งครรภ์หลั ง ๆ มีฮอร์โมนบางชนิดที่ทำให้มีการขับของ
น้ำดีออกจากถุงน้ำดีช้า ทำให้เกิดการ ตกตะกอนจับเป็นก้อน
2.7 ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เกิดนิ่วได้ง่ายกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับประทานยาคุมกำเนิด
ถึง 2,185 เท่า
2.8 ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนและรัf. บประทานฮอร์โมนเอสโตรเจนมีโอกาสเกิดนิ่วในถุงน้ำดีถึง 2.5 เท่า
พยาธิสรีรภาพ F
นิ่วที่เกิดขึ้นในคนไทย พบว่าส่วนใหญ่เป็นนิ่วที่เกิดจากแคลเซียมร้อยละ 84.7 และเป็นนิ่วที่ไม่ใช่เกิดจากแคลเซียมร้อย
ละ 15.3 นิ่วที่เกิดขึ้นอาจมีลักษณะเรียบหรือขรุขระหรือมีลักษณะเหมือนเขากวาง นิ่วส่วนมากประกอบด้วยโคเลสเตอรอล =
=
และแคลเซียม นิ่วที่มาอุดอยู่ที่ cystic duct หรือท่อน้ำดีร่วม ทำให้เยื่อบุของถุงน้ำดีมีการระคายเคืองจากการที่มีน้ำดีคั่งค้างอยู่
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 6
← e
เนื่องจากทำให้ sphincter of Oddi และกล้ามเนื้อเรียบมีการหดเกร็งมาก ทำให้มีอาการปวดท้องเพิ่มขึ้น แพทย์บางท่าน
=
อาจให้ nitroglycerine อมไว้ใต้ลิ้น ซึ่งจะช่วยลดความเจ็บปวดและทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัวได้ บางรายแพทย์อาจให้
anticholinergic drug เช่ น atropine sulfate, probanthine. เพื ่ อ ช่ ว ยยั บ ยั ้ ง การทำงานของ vagus nerve ทำให้ ม ี ก าร
กระตุ้นถุงน้ำดี และ sphincter of Oddi น้อยลง
1.2 การให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อช่วยลดการอักเสบติดเชื้อ ยาที่นิยมใช้มักเป็นยาที่มีระดับความเข้มข้นของยาสู งใน
ทางเดินน้ำดี ได้แก่ penicillin, ampicillin, cephalosporin, gentamycin เป็นต้น เนื่องจากเชื้อที่ทำให้เกิดการอักเสบของ
ถุงน้ำดี มักเป็นเชื้อที่มาจากลำไส้ เช่น E. coli, klebsiella หรือ enterococci
1.3 การให้ยากล่อมประสาท จะช่วยให้ผู้ป่วยได้พักและกล้ามเนื้อเรียบมีการ คลายตัว เช่น Phenobarbital เป็นต้น
1.4 การงดอาหารและน้ำทางปาก
1.5 การให้สารอาหาร น้ำ และอิเล็คโตรลัยท์ทางหลอดเลือดดำ ในรายที่มีการอักเสบของถุงน้ำดีเรื้อรัง ถ้ามีความ
รุนแรงน้อยแพทย์อาจให้รับประทานอาหารลดไขมัน
1.6 การใส่ N-G tube c Gomco suction ในผู้ป่วยที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องอืด
1.7 บันทึกปริมาณสารเหลวที่ร่างกายได้รับและที่ขับออก
1.8 ให้นอนพักบนเตียง
สำหรับผู้ป่วยที่มีการอักเสบของถุงน้ำดี เมื่อได้รับการรักษาพยาบาลดังกล่าวและอาการทุเลาลง แพทย์จะนัดผู้ป่วย
กลับมาทำผ่าตัดอีก 6 อาทิตย์ เนื่องจากการทำผ่า_ตัดชนิดรอได้จะทำให้อัตราการเสียชีวิตจากการผ่าตัดน้อยลงประมาณ 0.2 –
0.5 แต่ในกรณีรักษาไม่ได้ผล มีหนองเกิดขึ้นในถุงน้ำดี ฯลฯ แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัด
และ ชด →
าไ มา
จ L คน
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 7
2. การรักษาโดยการทำผ่าตัด เป็นการรักษาซึ่งเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของระบบทางเดินน้ำดี
ดังกล่าว โดยการตัดถุงน้ำดีออก (Cholecystectomy)Y เนื่องจากถ้าปล่อยทิ้งไว้ อาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น เช่น ถุงน้ำดีเป็น
หนองหรือแตกทะลุ ฯลฯ ในรายที่ให้การรักษาแบบประคับประคองไม่ได้ผล ผู้ป่วยมีอาการเลวลงหรือมีแนวโน้มที่จะเกิด
ภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะพิจารณาทำผ่าตัดภายใน 24 – 48 ชั่วโมง ในรายที่มีหนองเกิดขึ้นในถุงน้ำดีและสภาพของผู้ป่วยไม่
สามารถทนต่อการผ่าตัดได้นาน แพทย์จะทำ Cholecystectomy
3. การใช้ยาละลายนิ่วในถุงน้ำดี จะใช้สำหรับนิ่วที่เป็นชนิดโคเลสเตอรอล ได้แก่ การให้กรดน้ำดี ได้แก่
0_nenon
chenodeoxycholic acid (CDCA หรือ chenic acid) ชื่อการค้า chenofalk ขนาด 15 มก/กก/วัน นิยมให้วันละครั้งก่อน
นอน และ ursodeoxycholic acid (urofalk) ให้ขนาดต่ำกว่า chenofalk ขนาดที่ใช้ประมาณ 8 – 10 มก/กก/วัน แพทย์บาง
ท่านอาจนิยมให้ยา 2 ชนิดร่วมกันโดยลดขนาดของยาลงอย่างละครึง่ การให้ยานี้จะต้องใช้ติดต่อกันอย่างน้อย 1 ปี จึงจะ
ได้ผลดีร้อยละ 76 และมีข้อบ่งชี้ดงั นี้
3.1 นิ่วที่เกิดขึ้นควรเป็นนิ่วที่ไม่ทึบแสงเอ็กซเรย์ (non – opaque stone) เพราะว่านิ่วพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นนิ่วชนิด
โคเลสเตอรอล แต่ประมาณร้อยละ 20 ของนิ่วชนิดนี้ก็ยังไม่สามารถใช้ยาละลายนิ่วได้ เพราะมีโคเลสเตอรอลเป็นส่วนผสม
E
จำนวนน้อย
3.2 ผู้ป่วยควรมีการทำงานของถุงน้ำดีเป็นปกติ จากการทดสอบโดยการทำ Oral Cholecystogram เพื่อที่ยาจะ
สามารถเข้าไปในถุงน้ำดีได้และคลุกเคล้ากับก้อนนิ่วนาน ๆ
3.3 ก้อนนิ่วควรเป็นชนิดที่ประกอบด้วยโคเลสเตอรอลเป็นส่วนมาก โดยการดูส่วนประกอบของน้ำดีโดยตรง หรือโดย
การดูลักษณะของก้อนนิ่วจาก Oral Cholecystogram จะพบว่านิ่วชนิดโคเลสเตอรอลมีลักษณะผิวเรียบ และเป็นรูปทรงที่
แน่นอนหรือเป็นนิ่วที่ลอยอยู่ใน น้ำดี ส่วนก้อนนิ่วชนิดทึบแสงเอ็กซเรย์ มักมีลักษณะเป็นก้อนขรุขระ
3.4 ก้อe นนิ่วควรมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 10 มม. เพราะจะละลายหมดต้องใช้เวลา 6 เดือน ถ้านิ่วก้อนใหญ่จะ
ละลายยากโดยเฉพาะถ้าเกิน 20 มม. ต้องใช้เวลานาน 2 – 3 ปี
3.5 ควรเลือกผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากนิ่วในถุงน้ำดี การทำงานของตับควรปกติด้วย เพราะยาอาจทำให้การ
ทำหน้าที่ของตับผิดปกติเพิ่มขึ้น
3.6 ผู้ป่วยควรเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายที่ไม่ใช่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์
สำหรับประเทศไทย พบว่านิ่วในถุงน้ำดีในคนไทยร้อยละ 80 เป็นนิว่ ชนิดที่มีแคลเซียม ปนอยู o ่ ซึ่งจะเป็นชนิดที่ใช้ยา
ne
ละลายนิ่วรักษาไม่ได้ผล และยานี้ยังมีราคาแพง ใช้เวลานานในการรักษา ทำให้การรักษาวิธีนี้ไม่เป็นที่นิยม มักจะใช้การผ่าตัด
โดยการตัดถุงน้ำดีออก
การพยากรณ์โรค
1. ผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลันที่ไม่มีนิ่วเกิดขึ้นในถุงน้ำดี เมื่อได้รับการรักษาแบบประคับประคองในระยะเริ่มแรกที่
เป็นและได้รับการทำผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก จะพบว่าผู้ป่วยหายจากโรคนี้ได้ถึงร้อยละ 85
2. ผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง ถ้าได้รับการรักษาโดยการตัดถุงน้ำดีออกพบว่าผู้ป่วยสามารถหายจากโรคได้ถึง ร้อยละ
95
3. ผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี ถ้าผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดถุงน้ำดีออกผู้ป่วยสามารถหายจากโรคได้โดย
เด็ดขาด มีอัตราตายจากการทำผ่าตัดเพียงร้อยละ 2.4
ภาวะแทรกซ้อนภายหลังทำผ่าตัด
1. hemorrhage การมีเลือดออกหลังการทำผ่าตัดระบบทางเดินน้ำดีโดยปกติมิใช่เป็นผลจากการมีโปรทรอมบินต่ำใน
เลือด เนื่องจากก่อนผ่าตัดผู้ป่วยจะได้รับการตรวจเลือดและได้รับการรักษาภาวะโปรทรอมบินต่ำแล้ว มักเป็นผลมาจากการที่
หลอดเลือดเล็ก ๆ บริเวณตับหรืออวัยวะใกล้เคียงได้รับภยันตรายจากการผ่าตัด หลังทำผ่าตัดจะพบว่าค่าฮีมาโตคริตต่ำอย่าง
รวดเร็ว มีเลือดออกจากแผลผ่าตัด หรือคลำพบก้อนที่บริเวณท้องส่วนบนด้านขวา
2. bile leakage และ biliary fistula เกิดจากการที่น้ำดีรั่วออกจากท่อน้ำดีเล็ก ๆ ที่ถูกตัดหรือถูกหนีบ หรือจาก
เนื้อเยื่อได้รับภยันตรายขณะทำผ่าตัดถุงน้ำดีออก ทำให้น้ำดีรั่วหรือไหลซึมออกมาที่แผลผ่าตัดหรือรอบๆ ท่อระบาย ทำให้
ผิวหนังเกิดเป็นแผล มีการสูญเสียน้ำ อิเล็คโตรลัยท์โดยเฉพาะโซเดียมคลอไรด์ โปตัสเซียม และยังสูญเสียไบคาร์บอเนตด้วย
ถ้ามีการรั่วของน้ำดีเพียงเล็กน้อย จำนวนน้ำดีที่รั่วบริเวณแผลจะลดน้อยลงใน 3 – 5 วัน ถ้าเป็นมากจำนวนน้ำดีจะไม่ลดลงใน
ระยะเวลา 5 – 8 วัน อาจมีไข้ หนาวสั่น ปวดท้อง ตาเหลืองตัวเหลืองร่วมด้วย
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 8
Tn
13. ทำความสะอาดปากฟันบ่อย ๆ ทก 1 – 2 ชั่วโมง และหลังอาเจียน ช่วยให้ปากฟันสะอาด ลดการหมักหมมคั่งค้าง
ของเศษอาหารในปากและยังทำให้ผู้ป่วยมีความอยากอาหารมากขึ้น สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ได้งดอาหารและน้ำ
14. อธิบายและให้ความรู้เกี่ยวกับโรคที่ผู้ป่วยเป็นพอสังเขป วิธีการตรวจต่างๆ อย่างคร่าว ๆ พร้อมกับอธิบายเหตุผล
และความจำเป็นของการตรวจให้ผู้ป่วยและญาติทราบ
15. ดูแลผู้ป่วยและสอนแนะนำวิธีการต่าง ๆ ที่ช่วยมิให้เกิดภาวะเลือดออกง่ายดังนี้
15.1 ไม่วางวัตถุมีคมบนเตียงของผู้ป่วย อธิบายให้ผู้ป่วยทราบ เพื่อให้ผู้ป่วยระวังและหลีกเลี่ยงการใช้วัตถุมีคม
15.2 ให้ผู้ป่วยใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงอ่อนนุ่มและแปรงฟันด้วยความระมัดระวัง
15.3 ให้ผู้ป่วยตัดเล็บให้สั้น และไม่ให้เกาผิวหนังเนื่องจากอาจเกิดแผลขึ้น หากคันให้ใช้ข้อนิ้วมือถูบริเวณที่คันแทน
15.4 ในการฉีดยาหรือ เจาะเลือด พยาบาลจะต้องเลือกใช้เข็มที่แหลมคมและมีขนาดที่พอเหมาะกับหลอดเลื อด
หลังจากฉีดยาหรือเจาะเลือดควรกดบริเวณนั้นให้นานพอที่เลือดหยุดไหล
15.5 ดูแลการให้วิตามินเค อย่างถูกต้องในกรณีที่มีแผนการรักษาของแพทย์
15.6 ดูแลความสะอาดของผิวหนังโดยให้ผู้ป่วยได้รับการอาบน้ำ หลีกเลี่ยงการใช้สบู่เนื่องจากอาจทำให้ผิวแห้ง เกิด
อาการคันมากขึ้น ควรใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต 2 – 5 % (นิยมใช้ 3%) หรือใช้ผงฟูแทนเนื่องจากเป็น antipruritic ชนิดหนึ่ง
ให้ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต 8 ช้อนชาผสมกับน้ำสะอาด 1000 มิลลิลิตร ทำความสะอาดผิหนังหรืออาจใช้ calamine lotion
ทาผิวหนังหลังทำความสะอาดร่างกาย จะช่วยลดอาการคันผิวหนังได้บ้าง
15.7 แนะนำผู้ป่วยให้รู้จักสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ เช่น มีเลือดไหลและหยุดยาก รอยจ้ำเลือดตามผิวหนัง ลักษณะ
สีของอุจจาระอาจมีเลือดปน หากพบความผิดปกติแจ้งให้พยาบาลหรือแพทย์ทราบ
15.8 จัดสิ่งแวดล้อมภายในห้องผู้ป่วยมิให้ร้อนหรือเย็นเกินไป เพราะความร้อนหรือความเย็นที่มากเกินไปจะทำให้
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีอาการคันผิวหนังมากขึ้น
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 10
anmnnenn
2.4 การตรวจปอด เมื่อฟังเสียงหายใจปอดอาจพบเสียงแทรกได้ เช่น rales เป็นต้น
3. การตรวจทางห้องทดลองและการตรวจพิเศษ
3.1 Serum amylase (ค่าปกติ 40 – 180 units) ถือเป็นการตรวจที่สำคัญ พบว่า amylase ในเลือดจะเริ่ม
สูงขึ้นหลังจากมีการอักเสบของตับอ่อนประมาณ 2 – 12 ชั่วโมง และจะยังสูงอยูภ่ ายใน 24 – 72 ชั่วโมง ต่อมาจะลดต่ำลงอย่าง
รวดเร็วและเป็นปกติภายใน 96 ชั่วโมง ดังนั้นการตรวจควรทำเร็วที่สุด และการแปลผลจะต้องนำระยะเวลาของโรคมาร่วม
พิจารณาด้วย ถ้า amylase ในเลือดสูงนานมากกว่า 1 สัปดาห์ แสดงว่าอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ฝีทตี่ ับอ่อน หรือ pancreatic
pseudocyst หากพบว่าระดับ amylase สูงกว่า 200 units อาจสงสัยได้ว่ามี acute pancreatitis แต่ถ้าตรวจได้ค่า serum
amylase สูงกว่า 5 เท่าของปกติ หรือมากกว่า 1,000 unit แล้วมักแสดงว่ามี acute pancreatitis
5
แน่นอน
3.2 White blood count พบว่าสูง 10,000 – 20,000 ลูกบาศก์มิลลิเมตร
3.3 Hemoglobin อาจปกติ/ต่ำกว่าปกติ บางรายพบHematocrit สูงกว่าปกติ ในกรณีทสี่ ูญเสียสารเหลวมาก
3.4 Urine amylase โดยปกติค่า amylase ในปัสสาวะจะเริ่มสูงประมาณ 72–96 ชั่วโมง หลังจากมีการอักเสบ
ของตับอ่อน และจะค่อย ๆ ลดลงเป็นปกติภายใน 10 – 14 วัน มักหาค่า amylase ในปัสสาวะในเวลา 2 ชั่วโมง ถ้าได้คา่ สูงกว่า
300 u / ชั่วโมง ถือว่าช่วยในการวินิจฉัยโรคได้ว่ามีการอักเสบของตับอ่อนถ้าหา urine amylase ภายใน 24 ชั่วโมง หากพบว่า
มีมากกว่า 5,000 uถือว่าผิดปกติ
3.5 การหาค่า amylaseในสารเหลวจากช่องท้อง ช่องปอด ในผู้ป่วยที่มีน้ำในช่องท้อง ถ้าเจาะท้องดูจะพบสาร
เหลวที่ได้มสี ีเหลือง พบในรายที่มี acute edematous pancreatitis ถ้าเป็นสีแดงจาง ๆ (sero sanguinous) จะพบใน
hemorrhagic pancreatitis ค่าของ amylase ของสารเหลวในช่องท้องต้องสูงเกิน300 u จะช่วยในการวินิจฉัยโรคได้และเจาะ
ปอดส่งสารเหลวตรวจหา amylase ถ้าสูงก็จะช่วยวินิจฉัยโรคได้
3.6 serum calcium ไม่ช่วยในการวินิจฉัยโรค แต่ช่วยบอกถึงความรุนแรงและช่วยในการพยากรณ์โรค ถ้าต่ำ
กว่า 7 mg% แสดงถึงการพยากรณ์โรคเลว ระดับแคลเซียมจะต่ำสุดในวันที่ 5 – 7 หลังจากมีการอักเสบของตับอ่อน
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 17
3.7 การถ่ายเอกซเรย์ธรรมดาของทรวงอกและช่องท้องควรทำทุกรายในผู้ป่วยที่มีอาการและอาการแสดงคล้าย
ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน เพื่อช่วยแยกภาวะอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุได้
3.8 การตรวจช่องท้องด้วย Ultrasound มักทำเป็นอันดับถัดจากการถ่ายภาพเอกซเรย์ธรรมดา เพื่อสนับสนุน
การวินิจฉัยโดยจะพบมีการบวมบริเวณตับอ่อน นอกจากนี้เป็นการช่วยหาสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อดูว่าผู้ป่วยมีนิ่วทางเดิน
น้ำดีหรือไม่ และช่วยวินิจฉัยภาวะแทรกซ้อน เช่น ถุงน้ำเทียมของตับอ่อน (pancreatic pseudocyst) การตรวจเพื่อติดตามการ
ดำเนินของโรค แนะนำให้ทำซ้ำทุกสัปดาห์จนกว่าอาการต่าง ๆ จะหายไป อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าการตรวจด้วย Ultrasound
ในผู้ป่วยที่มีตับอ่อนอักเสบรุนแรง มีโอกาสถูกต้องน้อยกว่า 65% สาเหตุเนื่องมาจากก๊าซค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร และลำไส้
มาก
3.9 CT SCAN จากข้อเสียของการตรวจด้วย Ultrasound ดังกล่าว การทำ CT SCAN จึงเป็นที่นยิ มมากขึ้น
แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะสูงกว่า ข้อมูลทีไ่ ด้มีความถูกต้องสูง โดยไม่ถูกรบกวนจากก๊าซในกระเพาะอาหารหรือลำไส้และข้อมูลอื่นที่ได้
จากการตรวจด้วย Ultrasound ด้วย เช่น นิ่วทางเดินน้ำดี
ในปัจจุบันการตรวจโดย CT เสริมด้วยสารทึบรังสีจัดเป็นการตรวจที่ดีที่สุด เพื่อหาภาวะตับอ่อนอักเสบที่มีการตาย
เฉพาะส่วน โดยมีอัตราความแม่นยำอยู่ในช่วง 85 – 90%
การรักษา
หลักการรักษาตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน มีอยู่ 3 ประการ คือ
1. ลดความรุนแรงของกระบวนการอักเสบของตับอ่อน
2. ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน
3. รักษาประคับประคองภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
การรักษาส่วนใหญ่ของตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันมักเป็นการรักษาโดยวิธีไม่ผ่าตัดซึ่งแบ่งการรักษาออกได้ตามแนวทางดังนี้
1. การลดความรุนแรงของการอักเสบ โดยลดการทำงานของตับอ่อน
1.1 Retained NG tube with Gomco Suction เพื่อลดปริมาณกรดทีผ่ ่านเข้าสู่ดโู อดีนั่มมีผลทำให้การหลั่ง
Cholecystokinin และ Secretin ลดลง ซึ่งเท่ากับเป็นการลดการทำงานของเซลล์ตับอ่อน
1.2 NPO ช่วยลดการทำงานของตับอ่อน โดยลดการกระตุ้นสารหลั่งกระเพาะอาหาร ซึ่งมีผลกระตุ้นตับอ่อน
โดยทั่วไปจะให้ผู้ป่วยกินอาหารอีกเมื่อไม่มีอาการปวดท้อง ไม่มีไข้ WBC และ Amylase กลับสู่ปกติ และภาวะทางเดินอาหาร
ทำงานลดลง (ileus) หมดไป
* สิ่งที่พึงระวัง คือ อาหารที่ให้ในระยะแรก ควรเป็นอาหารที่มีระดับไขมันต่ำ เพื่อลดการกระตุ้นการทำงานของตับอ่อน
1.3 การรักษาทางยา
1.3.2 ยาสกัดกั้นตัวรับ H2 (H2 receptor blocker) เช่น Cimetidine หรือ Ranitidine การให้ยากลุ่มนี้
เพื่อลดปริมาณสารหลั่งกระเพาะอาหาร แต่ประโยชน์ในการรักษา ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันยังเป็นที่ถกเถียงกัน
1.3.2 ยาสกัดกั้นตัวรับ (anti-cholinergic drugs) เช่น Atropine การให้ยากลุม่ นี้นอกจากเพื่อลดสารหลั่ง
กระเพาะอาหารแล้วยังหวังผลเพือ่ ลดการหลั่งเอนไซม์ของตับอ่อนด้วย ภายหลังการศึกษาของ Camcron และคณะในปี
พ.ศ.2522 แสดงว่ายากลุ่มนี้ไม่ให้ประโยชน์ในการรักษา นอกจากนีท้ ำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็ว และลำไส้ทำงานลดลง ปัจจุบัน
ยากลุ่มนี้ จึงไม่ถูกนำมาใช้ในการรักษาอีกต่อไป
1.3.3 Glucagon เป็น peptide ที่มีคุณสมบัติลดการขับหลั่งและการทำงานของเซลล์ตับอ่อน ยับยัง้ สาร
หลั่งกระเพาะอาหาร สารนีเ้ คยถูกนำมาใช้ในการรักษา แต่รายงานการศึกษาต่อมาพบว่าไม่มีผลต่อการรักษา
1.3.4 แคลซิโทนิน เป็น peptide อีกชนิดที่ลดการหลั่งเอนไซม์ของตับอ่อน จึงถูกนำมาใช้ในการรักษา ผล
การศึกษา พบว่าสามารถลดอาการปวดท้อง และระดับ Amylase ในเลือดได้เร็วแต่ไม่ลดอัตราตายหรืออุบัติการณ์ของ
ภาวะแทรกซ้อนได้ ปัจจุบันสารนีจ้ ึงไม่มีบทบาทในการรักษา
1.3.5 Somatostatin เป็น peptide ที่มีคุณสมบัตยิ ับยั้งการทำงานของตับอ่อน ปัจจุบันบทบาทของ
Somatostatin ในการรักษายังไม่มีข้อสรุป
1.3.6 การใช้ยาแก้ปวด ยาที่ใช้ได้ผลดี คือ Pethidine ไม่นิยมให้ Morphine เนื่องจากยานี้จะทำให้เพิ่มการ
หดเกร็งของ sphincter of Oddi และท่อตับอ่อน ทำให้ผู้ป่วยเกิดความเจ็บปวดมากขึ้น
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 18
2. การรักษาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
2.1 Antibiotic รายงานการศึกษาจากหลายสถาบัน พบการให้ยา antibiotic ไม่มีประโยชน์ชัดเจนในผู้ป่วยที่
อาการไม่รุนแรง ปัจจุบันข้อบ่งชี้ของการให้ คือ ผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของโรคมากหรือผู้ป่วยทีเ่ ป็นตับอ่อนอักเสบจากนิ่ว
ทางเดินน้ำดี
2.2 การล้างช่องท้อง (Peritoneal lavage) ความเชือ่ ที่ว่ามีสารบางอย่างถูกดูดซึมจากช่องท้องเข้าสู่กระแสเลือด
และทำให้เกิดผลทั่วไปแก่ร่างกายทำให้มีการนำเอาการล้างช่องท้องมาใช้ในการรักษาเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
3. การรักษาแบบประคับประคอง และการรักษาภาวะแทรกซ้อน
3.1 ประคับประคองระบบไหลเวียนเลือด โดยให้พลาสมา สารน้ำ เลือด dextran หรือ อัลบูมิน เพื่อทำให้
ปริมาตรเลือดกลับสู่ภาวะปกติ ควรระลึกเสมอว่าผู้ป่วยมักมีภาวะ hypovolemia ร่วมด้วย หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและ
ทันการ อาจทำให้ความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ภาวะ hypovolemia ยังนำไปสู่การเกิดภาวะ acute renal failure
ได้ ซึ่งจะมีผลให้การรักษาต่าง ๆ ยากขึ้นไปอีก
3.2 ผู้ป่วยตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน มักมีปัญหาเรื่องการหายใจ ต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ในรายที่เป็น
รุนแรง อาจต้องใส่ท่อหลอดลมคอ และช่วยหายใจโดยใช้เครื่องช่วย
3.3 ดูแลเรื่องภาวะโภชนาการที่เหาะสม อาจต้องได้รับการให้อาหารทางหลอดเลือดระยะหนึ่ง
การรักษาโดยวิธีทางศัลยกรรม ข้อบ่อชี้ของการผ่าตัด
1. การวินิจฉัยโรคไม่แน่นอน และผู้ป่วยมีอาการรุนแรง
2. ภาวะตับอ่อนอักเสบจากนิ่วทางเดินน้ำดี
3. ผู้ป่วยที่มีตับอ่อนอักเสบกลับเป็นซ้ำ
4. ผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนเฉพาะที่ เช่น pancreatic pseudocyst, Pancreatic abscess
การผ่าตัดที่นิยมทำได้แก่
1. Excision
external drainage
2. Pancreatic drainage cystogastrostomy
internal drainage cystoduodenostomy
cysto-jejunostomy
3. Pancreatic resection
การพยาบาลก่อนผ่าตัด
1. สร้างสัมพันธภาพทีด่ ีกับผู้ป่วย
2. Mental Support
3. การจัดท่านอนให้อยู่ในท่า Fowler’s position โดยนอนศีรษะสูง 45 – 60 องศา หรือมากกว่า 60 องศา และ
ไขส่วนล่างตรงบริเวณเข่า 15 – 20 องศา อาจถึง 30 องศา เพื่อช่วยให้ หน้าท้องหย่อนตัวลงจากการที่ข้อตะโพกงอ หรือให้อยู่
ในท่าที่ผู้ป่วยรู้สึกสบาย เช่น จัดให้นอนตะแคงโดยให้เข่างอมาใกล้ท้องและหลังงอ จะช่วยลดความเจ็บปวดได้
4. ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
5. ดูแลการงดอาหารและน้ำซึ่งพยาบาลต้องอธิบายให้ผู้ป่วยทราบ
6. ดูแลให้ได้รับสารอาหาร น้ำ และอิเล็คโตรลัยท์ตามแผนการรักษาและคอยสังเกตภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจ
เกิดขึ้น ในผู้ป่วยที่แพทย์มีแผนการรักษาให้กินได้ พยาบาลควรดูแลความสะอาดปากฟัน จัดอาหารให้น่ารับประทาน จัด
สิ่งแวดล้อม แนะนำให้รับประทานครั้งละน้อยแต่บ่อยครั้ง และควรเป็นอาหารที่มีแคลอรีส่ ูง ลดไขมัน เพิ่ม CHO ถ้ากินได้น้อย
ควรรายงานแพทย์
7. ดูแลให้มีการไหลของสารเหลวจากกระเพาะอาหารตลอดเวลา ในขณะใส่ NG tube with Suction โดยตรวจ
การทำงานของเครื่อง milking สาย จัดสายยางให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่ห้อยหย่อนต้านแรงโน้มถ่วงของโลก ไม่ให้ผู้ป่วย
นอนทับสาย จะช่วยลดอาการท้องอืดและคลื่นไส้อาเจียน
8. ดูแลความสะอาดปาก ฟันบ่อยๆ เพื่อช่วยให้ปากฟันสะอาด ลดการหมักหมมคั่งค้างของเศษอาหารภายในปาก
9. สังเกตอาการเปลีย่ นแปลงอย่างใกล้ชิด เช่น ปวดท้องมากขึ้น ท้องอืดมาก กดเจ็บทั่วท้อง บริเวณผิวหนังที่สีข้างสี
เขียวคล้ำ หรือบริเวณสะดือมีสีน้ำเงินหรือไม่
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 19
10. บันทึกสัญญาณชีพ, CVP, urine output ทุก 1 ชั่วโมง หากพบความผิดปกติ เช่น มีไข้สูง ชีพจรเบาเร็ว หายใจ
เร็วตื้น ความดันโลหิตอาจต่ำ urine < 30 cc/hr. CVP สูงหรือต่ำกว่าปกติ ควรรายงานแพทย์ทราบ
11. ในกรณีที่หายใจเร็วตื้น มีเหนือ่ ยหอบ ควรให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
12. เจาะเลือดและเก็บปัสสาวะส่งตรวจตามแผนการรักษาและติดตามผลการตรวจเลือด ปัสสาวะ ถ้าผิดปกติควร
รายงานแพทย์ทราบ
13. Tepid Sponge ถ้าผู้ป่วยมีไข้
14. ประเมิน breath sound ทุก 8 hrs. เพื่อดูความผิดปกติของเสียงหายใจปอด หากพบเสียงแทรกให้รายงาน
แพทย์ทราบทันที
15. ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างเพียงพอ โดยการให้ยากล่อมประสาทตามแผนการ
รักษา จัดสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ ไม่มีเสียงรบกวน ที่นอนเรียบตึง สะอาด
16.กรณีที่อาการทุเลาลง แพทย์อนุญาตให้กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้าน พยาบาลควรสอนและแนะนำให้ผปู้ ่วยหลีกเลี่ยง
สาเหตุต่างๆ ที่จะทำให้กลับมาเป็นโรคเดิมอีก เช่น งดดื่มสุรา เป็นต้น แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีไขมันน้อย เพิ่มอาหาร
คาร์โบไฮเดรต และวิตามินสูง หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด และกลับมาตรวจตามแพทย์นดั ทุกครั้ง
17. อธิบายเหตุผล ความจำเป็นที่ต้องทำผ่าตัดให้ผู้ป่วยเข้าใจ และให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาล
18. เตรียมผู้ป่วยเพื่อผ่าตัด: เตรียมผิวหนัง งดอาหารและน้ำ ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ การสวนอุจจาระ ใส่สาย
สวนปัสสาวะ การให้ยา pre-medication
19. สอนและแนะนำการปฏิบัตติ วั หลังผ่าตัด
การพยาบาลหลังผ่าตัด
1. จัดท่านอน Fowler’s position หรือ Semi Fowler’s position เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อ หน้าท้องหย่อนตัว ลด
อาการตึงแผลและช่วยให้มีการระบายสารเหลวดีขึ้น
2. สอนและแนะนำการเคลื่อนไหวขณะ ไอ จาม เพื่อลดความเจ็บปวด
3. ดูแลให้ได้รับยาแก้ปวดตามแผนการรักษา และสังเกตฤทธิ์ข้างเคียงของยา
4. การให้สารอาหาร และน้ำ
ผู้ป่วยหลังผ่าตัดระยะแรก แพทย์มีแผนการรักษาให้งดอาหารและน้ำพยาบาลควรดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอด
เลือดดำอย่างเพียงพอ สำหรับผู้ป่วยที่ตัดตับอ่อนออกบางส่วน ควรระวังเรื่องการให้สารอาหารด้วย เนื่องจากในระยะแรกหลัง
ผ่าตัดการทำหน้าที่ของตับอ่อนส่วนที่เหลือยังทำได้ไม่ดีเท่าปกติ การขับหลั่งอินซูลินน้อยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้ เมื่อ
อวัยวะของระบบทางเดินอาหารเริ่มมีการเคลื่อนไหว แพทย์จะให้อาหารทางปาก โดยให้อาหารเหลว ลดไขมัน หากไม่มีอาการ
ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดท้อง จะเปลี่ยนเป็นให้อาหารอ่อน อาหารธรรมดา ซึ่งลดไขมันตามลำดับ สำหรับผู้ป่วยที่ตัด
ตับอ่อนออกบางส่วนควรแนะนำให้หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีแป้งมากและขนมหวาน เพื่อป้องกันระดับน้ำตาลใน
เลือดสูง
5. บันทึกปริมาณสารน้ำที่รา่ งกายได้รับและขับออกอย่างถูกต้อง
6. ติดตามผลอิเล็คโตรลัยท์ ระดับน้ำตาลในเลือด หากพบความผิดปกติ ควรรายงานแพทย์ทราบ
7. สังเกตอาการผิดปกติของผู้ป่วยที่อาจเกิดจากภาวะขาดน้ำ โซเดียมและโปตัสเซียมลดลงและภาวะมีระดับน้ำตาล
ในเลือดสูงหากพบผิดปกติรายงานแพทย์ทราบ
8. ดูแลให้มีการระบายของสารเหลวตลอดเวลา
9. สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
9.1 บันทึกสัญญาณชีพ ทุก 1 ชั่วโมง หรือตามสภาพผู้ป่วย
9.2 บริเวณที่ใส่ท่อระบายตับอ่อนมี pancreatic juice รั่วซึมออกมาข้าง ๆ ท่อระบาย ทำให้ผิวหนังเกิดการ
ระคายเคืองและเป็นแผล นอกจากนี้ควรสังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง ไข้ หนาวสั่น ฯลฯ ซึ่งอาจแสดงว่ามี pancreatic
juice รั่วเข้าไปในช่องท้องได้ หากพบความผิดปกติดังกล่าวควรรายงานแพทย์
10. กระตุ้นให้ผู้ป่วยมี early ambulation, Deep breathing, Effective cough, leg exercise
11. ดูแลให้มีการระบายสารเหลวที่คั่งค้างภายในตับอ่อนในผู้ป่วยทีม่ ี sump drain ต่อกับเครื่องดูด ดังนี้
11.1 ดูแลสายยางมิให้เกิดดึงรั้ง ห้อยหย่อนต้านแรงโน้มถ่วงของโลก สายหักพับ
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 20
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญได้แ ก่ ตับอ่อนอักเสบชนิดพัน ธุ กรรม (hereditary pancreatitis), ตับอ่อนอั กเสบเขตร้ อ น
(tropical pancreatitis), ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง, มะเร็งตับอ่อนชนิดพันธุกรรม (familial pancreatic cancer), ประวัติมะเร็ง
ตับอ่อนในครอบครัว, IPMN, เบาหวานและการสูบบุหรี่ โรคทางพันธุกรรมหลายๆ อย่างเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งตับอ่อน
มากน้อยแตกต่างกัน ปัจจัยเสี่ยงอื่ นๆที่พบว่าเป็น แต่ค่อนข้างอ่อน ได้แก่ ความอ้วน หมู่เลือดอื่นนอกเหนือจากหมู่เลือดโอ
ประวัติการผ่าตัด gastrectomy และ cholecystectomy จึงยังไม่มีความสำคัญทางคลินิกมากนัก ส่วนปัจจัยที่พบว่าอาจช่วย
ป้องกันมะเร็งตับอ่อนได้ ได้แก่ การได้โฟเลต วิตามินดี และยา metformin
อาการและอาการแสดง
อาการและอาการแสดงของมะเร็งตับอ่อนแตกต่างกันไปตามตำแหน่งของมะเร็งว่าอยู่ที่ส่วนหัว ตัว หรือหางตับอ่อน
มะเร็งตับอ่อนส่วนหัวผู้ป่วยมักมาด้วยอาการดีซ่านได้บ่อย จึงมีโอกาสถูกตรวจพบในระยะที่ผ่าตัดได้ (resectable) ได้บ่อยกว่า
ในขณะที่มะเร็งตับอ่อนส่วนตัวหรือหางมักมาด้วยอาการปวดท้องเป็นหลักซึ่งมักพบโรคในระยะที่ไม่สามารถผ่าตัดได้แล้ว
(unresectable)
อาการและอาการแสดงของมะเร็งตับอ่อน (ดัดแปลงจาก Bakkevold KE, Arnesjo B, Kambestad B. Scand J
Gastroenterol 1992; 27: 317-25)
ตำแหน่งของมะเร็งตับอ่อน
อาการและอาการแสดง (ร้อยละ) Head Body Tail
ดีซ่าน 63 9 0
ปวดท้อง 64 93 63
น้ำหนักลด 53 66 38
ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน 4 3 0
เบาหวาน 10 5 0
อื่นๆ 53 43 75
o_
อาการและอาการแสดงอื่นๆ ที่พบได้น้อยกว่า ได้แก่ เบาหวาน พบในผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 50 โดยมักไม่มีอาการ
ผู้ป่วยร้อยละ 5 มาด้วยตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันเป็นอาการแรก นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมาด้วย migratory thrombophlebitis
หรือ cutaneous panniculitis เป็นอาการแรกได้
การวินิจฉัย
ผู้ป่วยที่มีอาการและอาการแสดงที่สงสัยมะเร็งตับอ่อนการวินิจฉัยสามารถทำได้ หลายวิธีดังแสดงในตาราง ผู้ปว่ ยที่มี
ด้วยอาการดีซ่านที่สงสัยจากการอุดกั้นของท่อน้ำดีจากมะเร็งตับอ่อน มักตรวจอัลตราซาวนด์ก่อนเพื่อยืนยันการพบท่อน้ำดี
ขยายโตก่อน หากมีจริงควรตรวจต่อด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือการตรวจคลื่นแม่เหล็ก เนื่องจากมีความไวในการวินิจฉัย
ก้อนมะเร็งได้สูงมาก และสามารถประเมินว่าผ่าตัดได้หรือไม่ไปได้พร้อมๆ กัน ผู้ป่วยที่มีด้วยอาการปวดท้องเป็นหลักการ
ตรวจอัลตราซาวนด์มักมีความไวไม่ดีนัก โดยเฉพาะบริเวณหัวหรือปลายหางตับอ่อนซึ่งอัลตราซาวนด์มักเห็นได้ไม่ดี จึงควร
ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือการตรวจคลื่นแม่เหล็กมากกว่า
การวินิจฉัย ความไว (ร้อยละ)
CA 19-9 80-85
อัลตราซาวนด์ 56-97
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ 53-97
การตรวจคลื่นแม่เหล็ก MRCP 83-87
ERCP 70-97
EUS 86-100
PET 85
ผู้ป่วยที่มีดีซ่านจากการอุดกั้นของท่อน้ำดีแต่กลับตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือการตรวจคลื่นแม่เหล็กไม่พบก้อน
มะเร็ง ควรได้รับการส่องกล้องอัลตราซาวนด์ (endoscopic ultrasonography, EUS) หรือส่องกล้องฉีดสีท่อน้ำดีและตับอ่อน
(endoscopic retrograde cholangiopancreatography, ERCP) เนื่องจากมีความไวสูงกว่าเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือการ
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 22
Palliative Treatment
ผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนที่ผา่ ตัดไม่ได้ ควรให้การรักษาแบบ palliative care ได้แก่
Palliative Chemotherapy
การให้เคมีบำบัดด้วย gemcitabine เป็นการรักษามาตรฐานในปัจจุบัน การให้ combination ระหว่าง gemci-
tabine กับยาอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่ม platinum (oxaliplatin), fluropyrimidine (5-FU, capecitabine) หรือ erlotinib จะ
ดีกว่าการใช้ gemcitabine ตัวเดียวในผู้ป่วยที่ performance status ยังดี
Palliative Biliary Drainage
ผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนที่ผ่าตัดไม่ได้และมีดีซ่านควรได้รับการส่องกล้องเพื่อใส่ท่อระบายน้ำดีชนิด self-expandable
metallic stent (SEMS) เนื่องจากได้ผลดีพอๆกับการผ่าตัด biliary bypass และมีปัญหาท่อระบายอุดตันน้อยกว่าท่อชนิด
พลาสติกอย่างชัดเจน
Palliative Duodenal Stent
ผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนที่ผ่าตัดไม่ได้และเกิดอาการอุดกั้นที่ปลายกระเพาะ (gastric outlet) หรือดูโอดีนัม ควรได้รับการ
ส่องกล้องเพื่อใส่ duodenal stent หรือผ่าตัด gastrojejunostomy เพื่อบรรเทาอาการ
การรักษาอาการปวด
นอกจากการรักษาอาการปวดมะเร็งตาม analgesic ladder โดยองค์การอนามัยโลกแล้ว การทำ celiac plexus
neurolysis โดยทาง posterior percutaneous approach ช่วยลดอาการปวดลงได้ แม้จะไม่เพิ่ มคุณภาพชีวิตและอายุของ
ผู้ป่วย หรือโดยผ่านทาง EUS (EUS-CPN) ซึ่งจาก meta-analysis พบว่าผู้ป่วยร้อยละ 80 จะมีอาการปวดท้องลดลงมากกว่า
การให้ยาแก้ปวดอย่างเดียว การศึกษาแบบสุ่มเปรียบเทียบใหม่ๆ แนะนำว่าในผู้ป่วยที่สงสัยว่าน่าจะเป็นมะเร็งตับอ่อนที่ไม่
สามารถผ่าตัดได้แล้วควรทำ EUS-CPN ไปพร้อมๆ กับตอนทำ EUS-FNA เพื่อตรวจชิ้นเนื้อไปเลย เพราะจะลดอาการปวดและ
การใช้ยาแก้ปวดในระยะยาวได้ดีกว่า
Viral Hepatitis B
เชื้อไวรัสที่ทำให้ตับอักเสบมีอยู่หลายชนิด แต่ที่วงการแพทย์ค้นพบและมีชื่อเรียกแน่นอนแล้ว ก็คือ ไวรัสตับอักเสบ
ชนิดเอ บี ซี ดี จี อี ทีที และเซนไวรัส และทั้งหมดนี้ชนิดที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ ไวรัสชนิดเอ บี และซี แต่ที่ทำให้
เกิดตับอักเสบเรื้อรัง และทำลายเซลล์ตับจนเป็นโรคตับแข็งหรือโรคมะเร็งตับ ได้แก่ ไวรัสชนิดบีและซี
โรคตับอักเสบเกิดจากไวรัส ชนิด DNA Virus ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคตับอักเสบ และอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ที่พบ
บ่อยที่สุดในระหว่างการตั้งครรภ์หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นตับอักเสบจากไวรัสชนิดบี ร้อยละ 85 จะหายเป็นปกติอีกร้อยละ 5 ถึง 10
จะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังบางส่วนกลายเป็นตับแข็งและ มีโอกาส เป็นมะเร็งตับได้มากกว่าคนธรรมดา
อุบัติการณ์ โรคตับอักเสบบี มีอุบัติการณ์สูงในประเทศกำลังพัฒนา ในประเทศไทย พบการติดเชื้อได้บ่อยในกลุ่มวัย
เจริญพันธุ์ อยู่ระหว่าง 15 – 30 ปี
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B , HBV) เรียกกันอีกอย่างว่า Dane particleเป็น DNA Hegab
navirus Type 1 มีรูปว่างกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 42 mm. มีเปลือก 2 ชั้น การเพาะเชื้อทาง ห้องปฏิบัติการทำได้ยาก
อาศัยการวินิจฉัยจากการตรวจหาแอนติเจน(antigen)ของไวรัส จากน้ำเหลืองหรือ แอนติบอดี (antibody) ของไวรัสระยะฟัก
ตัวประมาณ 50 – 80 วันเฉลี่ย 90 วัน
อาการและอาการแสดง
1. ตับอักเสบในระยะเฉียบพลัน จะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดศีรษะ คล้าย
กับหวัดใหญ่ มักไม่มดี ีซ่าน ตรวจพบน้ำดีในปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะเหลืองเข้ม ตามด้วยอาการตัวเหลือง ตาเหลือง
ขณะเดียวกัน aklaline phosphatase จะเพิ่มขึ้น SGOT, SGPT ของผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้น เกิดอาการตับล้มเหลวฉับพลัน
2. ตับอักเสบไวรัสบีชนิดเรื้อรัง
2.1 พาหะของโรค (asymptomatic carrier) หมายถึง ผู้ที่ตรวจเชือ้ ไวรัส HBsAg โดยไม่มีอาการของโรค มีความ
เสียงสูง ที่จะเกิดตับอักเสบเรื้อรังในภายหลังมีแนวโน้มเป็นตับแข็ง และ มะเร็งตับ
2.2 chronic persistent hepatitis พบหลังตับอักเสบเฉียบพลันมีอาการดีซ่าน มากกว่า 2 เดือน ตับโตเล็กน้อย
ระดับเอนไซม์ SGOT และ SGPT เพิ่มขึ้น ตัดชิ้นเนื้อตับตรวจจะพบว่ามีการอักเสบ ของตับบริเวณ portal tract โดยไม่มีการ
ทำลายรูปร่าง และโครงสร้างของตับ
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 24
2.3 chronic active hepatitis หรือ chronic aggressive hepatitis พบเอนไซม์ ตับสูงกว่าปกติอยู่นาน พบ
HBsAg ในเลือดเป็นเวลานาน มีอาการดีซ่านเป็นระยะเวลานาน
การวินิจฉัย
1. จากลักษณะอาการและอาการแสดง
2. ผลทดสอบการทำงานของตับ จากค่าของ SGOT, SGPT ระดับ bilirubin พบระดับสูงขึ้น
3. การตรวจน้ำเหลืองหา แอนติเจน หรือ แอนติบอดี ต่อไวรัสการวินิจฉัยตับอักเสบมี เมื่อตรวจพบ HbsAg ในน
น้ำเหลืองและถ้าพบ HBeAg จะมีโอกาสแพร่ไปยังผู้อื่นรวมทั้งทารกได้สูงกว่ารายที่พบ HBsAg เพียงอย่างเดียว
ผลของโรคต่อการตั้งครรภ์
ส่วนใหญ่ตับอักเสบมักจะเกิดในไตรมาสที่ 3 มองการตั้งครรภ์ตัวโรคเอาได้มีผลต่อทารกโดยตรง เชื้อไวรัสมีจะมีผลต่อ
ทารกโดยตรงถ้าหากติดต่อตัวทารก จะทำให้ติดเชื้อไวรัสตั้งแต่เกิด กลายเป็นพาหนะอาจมีผลทำให้ตบั อักเสบเชื้อรัง ตับแข็ง
ตลอดจนมะเร็งตับในระยะ 10 – 25 ปี ต่อมา
การติดเชื้อไปยังทารกมีดังนี้
1. ผ่านทางรก เกิดขณะคลอดที่มกี ารรั่วของเลือดมารดาไปยังทารกพบร้อยละ 5 – 15
2. ติดเชื้อขณะคลอด โดยทารกกลืนเลือดหรือน้ำคัดหลังในช่องคลอด หรือ เลือดมารดา ที่มีไวรัสอยูเ่ ชื่อว่าเป็นสาเหตุ
สำคัญของการติดเชื้อในทารก
3. ติดเชื้อระยะหลังคลอด ผ่านทางน้ำนม หัวนม
4. การให้น้ำเกลือ ฉีดยา การตรวจวินิจฉัยที่ผิวหน้าที่เปื้อนเลือด ในช่วงแรกของชีวิต
5. ผ่านทางน้ำนม โดยเฉพาะถ้ามารดามีบาดแผลที่หัวนม สามารถตรวจพบไวรัสตับอักเสบบี ในน้ำนมมารดาทีเ่ ป็น
พาหะได้ร้อยละ 71 กรณีที่ตับอักเสบบีชนิดเฉียบพลันเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3 และมีอาการรุนแรง พบว่าทารกมักตายในครรภ์
มารดา หรือ คลอดก่อนกำหนดซึ่งมารดาอาจตายในที่สดุ
การรักษา
1. การตรวจคัดกรองหญิงตั้งครรภ์ว่าเป็นพาหะเรื้อรัง (มี HBsAg) หรือไม่ป้องกันการเกิดเชื้อไปยังทารกด้วยการให้
Hepatitis B immunoglobulin (HBIG)
2. การช่วยเหลือระยะคลอด ผู้ทำคลอดต้องพยายามดูดเมือกเลือดออกจากปากและจมูกทารกออกให้มากที่สุด เชื่อ
ว่าจะช่วยลดปริมาณไวรัสที่ทารกจะสัมผัสหรือกลืน ใช้หลัก universal precaution และควรให้คลอดในห้องแยก แยกของใช้
ต่าง ๆ และฆ่าเชื้ออย่างถูกวิธี
3. การแยกมารดาและทารก เมื่อทารกคลอดต้องรีบทำความสะอาดทารกทันที
4. การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา ไม่จำเป็นต้องงดให้นมบุตร ยกเว้นกรณีมารดาหัวนมแตก หรือมีแผล
5. การให้ภูมิคุ้มกันแก่ทารก
5.1 passive immunization คือ การให้ภูมิคุ้มกันทีไ่ ด้ผลทันทีได้แก่ Hepatitis B immunoglobulin ( HBIG ) ฉีด
ยาภายหลังอาบน้ำเด็ก
5.2 active immunization คือ การให้วัคซีนที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อ เช่น H-B-VAX Engerix – B
อาจให้พร้อมกับ HBIG แต่ให้บริเวณที่ต่างกัน และ แยกเข็มฉีด จากนั้นให้ห่างกัน 1 เดือน และ 6 เดือน
Viral Hepatitis C
ส่วนใหญ่คนทั่วไปจะคุ้นหูกับชื่อไวรัสตับอักเสบเอและบี ส่วนไวรัสซีนั้นพูดถึงกันค่อนข้างน้อย ทั้งที่ความจริงแล้ว
ไวรัสซีมีความรุนแรงและมีผลร้ายพอๆ กับไวรัสบี เรียกได้ว่าเป็นวายร้ายเงียบ เพราะมักไม่มีอาการให้สงสัย และกว่าผูป้ ่วยจะรู้
ตัวบางทีก็สายเกินแก้ นี่คือภัยเงียบหรืออันตรายจากไวรัสตับอักเสบซีที่คนไม่ค่อยรู้
การแพร่ระบาดของโรค
ไวรัสตับอักเสบซีนับเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับชาติ ที่ต้องทำความเข้าใจและรู้วิธีป้องกัน เพราะตามตัวเลขที่
คาดคะเนกันในวงการแพทย์ ณ ปัจจุบันนี้มีผตู้ ิดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีไปแล้วทั่วโลกประมาณ 170 ล้านคน และในประเทศไทย
เอง ไวรัสตับอักเสบซีกจ็ ัดเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับประเทศที่พบบ่อยเช่นกัน มีการประเมินกันว่าคนไทยวันนี้ ติดเชื้อไวรัส
ตับอักเสบซีไปแล้วประมาณแปดแสนคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากพอสมควร และทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มติดยาเสพติด
Heptitiเบา๚h µ ตอนm ลา
ะ
actulvse
✓
ใ ยาลาก
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 25
การติดต่อของไวรัสตับอักเสบซี
เชื้อไวรัสตับอักเสบซีจะอาศัยอยู่ในเลือด และน้ำคัดหลั่งในร่างกาย เช่น น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด มีการติดต่อสูผ่ ู้อื่น
คล้ายกับไวรัสตับอักเสบบีและโรคเอดส์ เช่น
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ในพวกเสพสารเสพติด
- การใช้เข็มที่ติดเชื้อโรคสักผิวหนัง เจาะหู ฝังเข็ม
- การใช้ของส่วนตัวที่เปื้อนเลือดร่วมกัน เช่น มีดโกน หรือกรรไกรตัดเล็บ
- ติดต่อจากการทำฟัน
- จากการมีเพศสัมพันธ์
- แม่ตั้งครรภ์ทตี่ ิดเชื้อ ก็สามารถแพร่เชื้อไปสูล่ ูกได้เมื่อคลอด (ติดได้แต่พบน้อย)
ส่วนใหญ่การติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบซี จะเกิดจากทางเลือดมากกว่าติดต่อทางเพศสัมพันธ์
อาการ
โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัสจะมีอาการคล้ายๆ กัน คือ ดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม เบื่ออาหาร น้ำหนัก
ลด อ่อนเพลียไม่มีแรง บวม มีน้ำในช่องท้อง การที่จะแยกอาการว่าเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดใดกันนั้น ต้องใช้วิธีการตรวจทาง
ห้องปฏิบัติการจึงจะทราบ แต่ที่นา่ สังเกตคือโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดอื่นๆ มักจะเป็นแบบเฉียบพลัน และควรจะหายได้
ภายในเวลา ๖ เดือน ถ้าหากมีอาการของโรคตับอักเสบเรื้อรัง ก็มักจะเกิดจากไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี โดยทั่วไปผู้ทไี่ ด้รับ
เชื้อไวรัสตับอักเสบซี ส่วนใหญ่หลังติดเชื้อแล้วภายในเวลาสิบปีแรกจะไม่มีอาการอะไรเลย ยกเว้นส่วนน้อยที่อาจมีอาการของ
โรคแบบเฉียบพลัน ต่อเมื่อย่างเข้าสู่สิบปีทสี่ อง ก็อาจเริ่มมีอาการของตับอักเสบเรื้อรังเกิดขึ้น และเมื่อสามสิบปีผ่านไป ตับจะ
ถูกทำลายมากขึ้น ก็จะเริ่มมีอาการของตับแข็งปรากฏให้เห็น หรือเป็นโรคตับแข็ง แล้วผู้ป่วยจำนวนหนึ่งก็จะเป็นมะเร็งตับ
เรียกว่ากว่าจะแสดงอาการก็ใช้เวลาหลายสิบปี โดยที่โรคจะดำเนินไปอย่างช้าๆ ผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวเลยว่ามีโรคอันตรายซ่อนแฝงอยู่
ถ้าไม่ได้ตรวจเลือด ผู้ที่ตดิ เชื้อไวรัสตับอักเสบซี ประมาณร้อยละ 15-20 อาจหายจากโรคได้เอง แต่ส่วนใหญ่ร้อยละ 75-85 จะ
เป็นเรื้อรัง ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาก็จะกลายเป็นโรคตับแข็ง มะเร็งตับ และเสียชีวิตในที่สุด
การรักษา
ไวรัสตับอักเสบซียังไม่มีวัคซีนป้องกันเหมือนไวรัสชนิดเอและบี ดังนัน้ พื้นฐานการรักษาทั่วไป ก็คือ การทำร่างกายให้
แข็งแรง กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายได้บ้างตามสมควร ตามแต่ระยะของโรค ไม่วิตกกังวลหรือเครียดกับอาการ
เจ็บป่วยจนเกินไป เพราะบางครั้งความคิดในเชิงลบ ก่อให้เกิดโทษภัยมากกว่าตัวเชื้อโรคเสียอีก แล้วถ้าเชื้อไวรัสคุกคามทำลาย
เนื้อตับจนเกิดการอักเสบ ก็ต้องรักษาโดยการกินยา ปัจจุบันยาที่ใช้รักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีทไี่ ด้ผลมีอยู่ 2 ชนิด ชนิดแรก คือ
ยาต้านไวรัส ชนิดทีส่ องได้แก่ ยาอินเตอร์เฟอรอน ซึ่งยาทั้ง 2 ชนิดนี้มีราคาแพงมาก (เป็นหลักแสน) การรักษาจะใช้เวลา
ประมาณ 6-9 เดือน และเนื่องจากยาดังกล่าวมีผลข้างเคียงมาก ดังนั้น การใช้ยาจึงต้องอยู่ในดุลยพินจิ ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เท่านั้น การรักษาที่ถูกต้องด้วยยาที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน สามารถทำให้ผปู้ ่วยจำนวนหนึ่งหายขาดจากโรคได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่
สามารถรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีให้หายได้ทั้งหมดทุกคน แต่โดยภาพรวมผลของการรักษาไวรัสตับอักเสบซีก็ดีกว่าไวรัสตับ
อักเสบบี ซึ่งการรักษาจะช่วยยืดอายุของผู้ป่วยให้อยู่ได้นานขึ้น ดีกว่าไม่รู้และไม่รักษา
การป้องกัน
การป้องกันโรคนี้ที่ดีทสี่ ุดก็เหมือนกับการป้องกันโรคเอดส์ คือ ไม่ใช้ของมีคมหรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือมีการให้
เลือดโดยไม่ได้ตรวจ ซึ่งหากระมัดระวังอย่างดี นอกจากจะปลอดภัยจากโรคตับอักเสบบีและซีแล้ว ยังปลอดภัยจากโรคเอดส์
ด้วย
การรับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคตับอักเสบ
การดูแลในเรื่องอาหารการกินอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคตับฟื้นจากอาการเจ็บป่วยเร็วขึ้น ผู้ปว่ ยโรคตับ
จำเป็นต้องกินอาหารคาร์โบไฮเดรตสูง เพื่อเสริมสร้างพลังงานที่บกพร่องไป และควรเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดมีกากใยสูงที่ไม่ขัดสี
ประเภทข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท เผือก มัน ฟักทองจะดีที่สุด รวมทั้งผลไม้ต่างๆ และควรแบ่งการกินอาหารเป็นมื้อเล็กๆ
หลายๆ มื้อ (4-6 มื้อ) เพื่อลดการทำงานของตับ อาหารโปรตีนพวกเนื้อ นม ไข่ ถั่วต่างๆ ในปริมาณทีม่ ากกว่าปกติ จะช่วยใน
การซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่ของตับ
เดิมเชื่อกันว่าผู้ป่วยโรคตับอักเสบควรดื่มน้ำหวานมากๆ เพราะจะช่วยให้ผู้ป่วยหายอ่อนเพลีย ปัจจุบนั แพทย์ส่วน
ใหญ่จะไม่แนะนำให้ผู้ป่วยดืม่ น้ำหวานแล้ว เพราะการกินน้ำตาลมากๆ ทำให้ตับต้องทำงานเพิ่มขึ้น ผูป้ ่วยควรงดอาหารประเภท
ทอด อาหารมัน เพื่อลดการทำงานของตับ เนื่องจากตับมีหน้าที่ผลิตน้ำดีออกมาย่อยอาหารประเภทไขมัน ดังนั้น เมื่อตับอยู่ใน
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 26
อาการ
ผู้ป่วยตับแข็งในระยะเริ่มแรกจะไม่มีอาการ เมื่อตับเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเกิดอาการของตับแข็งได้แก่
- อ่อนเพลีย - เบื่ออาหาร
- เหนื่อยง่าย - คลื่นไส้
- น้ำหนักลด
ถ้าหากโรคเป็นมากขึ้นผูป้ ่วยบางรายอาจมาด้วยอาการของโรคแทรกซ้อน
โรคแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง
- บวมหลังเท้า และท้องมานเนื่องจากตับไม่สามารถสร้างไข่ขาว
- เลือดออกง่าย เนื่องจากตับไม่สามารถสารที่ทำให้เลือดแข็งตัว
- ตัวเหลืองและตาเหลือง เนื่องจากตับไม่สามารถขับน้ำดี
- คันตามตัวเนื่องจากน้ำดีสะสมตามผิวหนัง
- นิ่วในถุงน้ำดี
- สูญเสียความสามารถเกี่ยวกับความจำ สติ เนื่องจากการคั่งของๆเสีย
- ไวต่อยา การให้ยาในผู้ป่วยตับแข็งต้องระวังการเกิดยาเกินขนาด เนื่องจาก
ตับไม่สามารถทำลายยา แม้ว่าจะให้ยาขนาดปกติ ยาบางชนิดอาจต้องลด
ปริมาณยา ผู้ป่วยตับแข็งมีน้ำในท้อง และหลอดเลือดหน้าท้องพอง
- อาเจียนเป็นเลือดเนื่องจากตับแข็ง จะทำให้ความดันในตับสูง ส่งผลให้
หลอดเลือดดำในหลอดอาหารมีความดันสูง และถ้าสูงมากเกิดการ แตกของหลอดเลือดดำ
การวินิจฉัย
แพทย์จะซักประวัติหาปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดตับแข็งและตรวจร่างกายเพื่อหาสิ่งแสดงว่าเป็นตับแข็งหรือไม่ เช่น ตัว
เหลืองตาเหลือง ท้อง และเท้าบวม ฝ่ามือแดง palmar erythema มีจุดแดง spider telangiectasia ตามตัวหรือไม่ คลำตับ
พบว่าผิวแข็งขรุขระ ขอบไม่เรียบ
การตรวจทางห้องปฏิบตั ิการ แพทย์จะเจาะเลือดตรวจการทำงานของตับความผิดปกติที่อาจพบได้คือ ไข่ขาวต่ำ มี
การคั่งของน้ำดี bilirubin บางรายอาจตรวจ ultrasound หรือเจาะเนื้อตับ
การรักษา
1.รักษาสาเหตุ ขึ้นกับว่าต้นเหตุเกิดจากอะไรก็รักษาไปตามสาเหตุ เช่นถ้าเกิดจากสุราก็ให้หยุดสุรา เกิดจากยาก็ให้
หยุดยา เกิดจากไวรัสก็ให้ยาบางชนิด โรคตับแข็งรักษาให้หายขาดไม่ได้แต่สามารถชะลอหรือหยุดการดำเนินของโรค
2.รักษาโรคแทรกซ้อน
- ท้องมานและบวมหลังเท้า แนะนำให้ลดอาหารเค็ม และจะให้ยาขับปัสสาวะเพื่อลดบวม
- คันตามผิวหนัง ให้ลดอาหารพวกโปรตีน และให้ยาแก้แพ้
- ลดของเสีย แพทย์จะให้ยาระบายเพื่อลดของเสียที่อยู่ในลำไส้ซึ่งจะถูกดูดซึมหากมีมากในลำไส้
- ผู้ป่วยที่มีความดันในตับสูงแพทย์จะให้ยาลดความดันกลุม่ beta-block เช่น propranolol
อาการ
อาการตับวายในระยะแรก คือ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดท้องโดยเฉพาะด้านขวาตอนบน (ตำแหน่ง
ของตับ) ตัวตาเหลือง (ดีซ่าน) เมื่อโรครุนแรงขึ้น อาการที่ตามมา คือ
- มีน้ำในท้อง จากมีความดันสูงในระบบไหลเวียนโลหิตของช่องท้อง ส่งผลให้เกิดมีน้ำซึมจากหลอดเลือดของช่องท้อง
เข้าสู่ในช่องท้อง
- เลือดออกง่าย (มีจ้ำห้อเลือด หรือจุดแดงเล็กๆคล้ายในไข้เลือดออกตามตัว) เพราะตับไม่สามารถสร้างสารช่วยการ
แข็งตัวของเลือดได้
- มีอาการทางสมอง จากสารพิษที่คั่งในร่างกายทำลายเซลล์สมองโดยตรง และ/หรือเกิดจากภาวะสมองบวม โดย
อาการมักเริ่มจาก นอนไม่หลับ หลงลืมง่าย ตัด สินใจไม่ได้ กระสับกระส่าย สับสน ต่อจากนั้น จะซึมลง โดยเฉพาะช่วงกลางวัน
แต่ตื่นกลางคืน สั่น กระตุก อาจชัก
- มีอาการของ ไตวายบวมทั้งตัว โดยเฉพาะขาและเท้า ปัสสาวะน้อย หรือไม่มีปัสสาวะ สับสน ซึม ชัก และโคม่า
เฉียบพลัน โดยไม่เคยมีโรคไตมาก่อนจากไตขาดเลือด สาเหตุจากความดันในระบบไหลเวียนโลหิตของช่องท้องสูงขึ้น เช่น
หมดสติ โคม่า และเสียชีวิตในที่สดุ
การวินิจฉัย
แพทย์วินิจฉัยภาวะตับวายได้จาก ประวัติอาการต่างๆ ประวัติการใช้ยาต่างๆ พฤติกรรมการใช้ชีวิต แหล่งที่อยู่อาศัย
อาชีพการงาน อาหาร น้ำดื่ม สมุนไพร การตรวจร่างกาย การตรวจเลือด ดูการทำงานของตับและของไต ดูสารภูมิต้านทานของ
โรคต่างๆที่อาจเป็นสาเหตุการตรวจภาพตับ เช่น จากอัลตราซาวนด์ และบางครั้งอาจจำเป็นต้องตัดชิ้นเนื้อจากตับเพื่อ การ
ตรวจทางพยาธิวิทยา
การรักษา
แนวทางการรักษาภาวะตับวาย คือการพยายามกำจัดสารพิษออกจากร่างกายให้ได้โดยเร็ว ร่วมกับการพยายามลด
ปริมาณสารพิษที่จะเกิดขึ้นใหม่ให้ลดลง เช่น การจำกัดอาหารโปรตีนเพื่อลดสารไนโตรเจนที่เป็นสารปลายทางจากร่างกายใช้
อาหารโปรตีน ซึ่งเป็นพิษต่อตับเป็นต้น
ดังนั้น การรักษา คือ การควบคุมอาหาร การรักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย การป้องกันภาวะเลือดออก
การป้องกันภาวะไตวาย และป้องกันการเกิดอาการทางสมองจากสารพิษ
ผู้ป่วยตับวาย จำเป็นต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล นอกจากนั้น การรักษาโดยการปลูกถ่ายตับจะสามารถช่วยให้
ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตได้สูงขึ้น มีรายงานว่า ถ้าไม่ได้รับการปลูกถ่ายตับประมาณ 80% ของผู้ป่วยตับวายจะเสียชีวิต แต่ถ้า
ได้รับการปลูกถ่ายตับ โอกาสรอดชีวิตประมาณ 60%
ผลข้างเคียงของตับวาย
ตับวาย เป็นภาวะรุนแรง ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตสูง ทั้งนี้ปัจจัยที่มผี ลให้เสียชีวิตสูง คือ
- อาการ ถ้ามีอาการรุนแรง โดยเฉพาะอาการรุนแรงทางสมอง และมีภาวะไตวาย
- สาเหตุ เช่น สาเหตุจากกินยาแก้ปวดพาราเซตามอล (Paracetamol) โอกาสเสีย ชีวิตจะต่ำกว่าสาเหตุอื่น
- มีความผิดปกติในระบบการแข็งตัวของเลือดรุนแรง เพราะจะเป็นสาเหตุให้มีเลือด ออกตามอวัยวะต่างๆอย่าง
รุนแรง
- มีปริมาณสารที่ทำให้ตัวตาเหลือง (สาร Bilirubin) ในเลือดสูง
- มีการติดเชื้อรุนแรงในร่างกาย
- มีผลข้างเคียงจากภาวะตับวาย เช่น สมองบวม เลือดออกตามอวัยวะต่างๆ การติดเชื้อ และไตวาย
- อายุน้อยกว่า 10 ปี หรือ อายุมากกว่า 40 ปี
ทั้งนี้ ผลข้างเคียงแทรกซ้อน เมื่อเกิดภาวะตับวาย คือ มีอาการทางสมอง มีน้ำในช่องท้อง เลือดออกตามอวัยวะต่าง
การติดเชื้อรุนแรงของร่างกายและภาวะไตวาย
การดูแลตนเองและการป้องกันตับวาย
การดูแลตนเอง คือ การปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาล แนะนำอย่างเคร่งครัด และควรรีบพบแพทย์แต่เนิ่นๆตั้งแต่เริ่มมี
อาการผิดปกติและรู้ตัวว่าอาจได้รับสารพิษ เช่น การกิน ยาเกินขนาด หรือกินสมุนไพรต่างๆ เป็นต้น สามารถป้องกันภาวะตับ
วายได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อการเป็นพิษต่อตับที่สำคัญ คือ
- กินยาทุกชนิดอย่างระมัดระวัง และเฉพาะเมื่อจำเป็น และต้องไม่กนิ ยาเกินขนาด
การพยาบาลผู้ใหญ่ 1 /ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดี / 31
เอกสารอ้างอิง
คณาจารย์สถาบันพระบรมราชชนก. (2558). การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 14. นนทบุรี: โครงการ
สวัสดิการวิชาการ สถาบันพระบรมราชชนก. WY 152 ก492 2558 ล.1
คณาจารย์สถาบันพระบรมราชชนก. (2557). การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เล่ม 2. พิมพ์ครั้งที่ 12. นนทบุรี: โครงการ
สวัสดิการวิชาการ สถาบันพระบรมราชชนก. WY 152 ก492 2557 ล.2
ธัญญลักษณ์ วจนวิศิษฐ์ และ ภัสพร ขำวิชา. (2553). การจัดการพยาบาลผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับอ่อนที่เกี่ยวกับต่อมมี
ท่อและทางเดินน้ำดี (Management of Clients with Exocrine Pancreatic and Biliary Disorders). ใน ผ่องศรี
ศรีมรกต (บก.) การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ เล่ม 2. กรุงเทพฯ: ไอกรุ๊ป เพรส.
”-------------------------------------------------”(2553). การจัดการพยาบาลผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับ (Management of
Clients with Hepatic Disorders). ใน ผ่องศรี ศรีมรกต (บก.) การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ
เล่ม 2. กรุงเทพฯ: ไอกรุ๊ป เพรส.
ผ่องศรี ศรีมรกต. (2553). การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ เล่ม 2. กรุงเทพฯ: ไอกรุ๊ป เพรส.
ภัสพร ขำวิชา. (2551). ภาวะวิกฤตเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร. ในวิจิตรา กุสุมภ์ (บรรณาธิการ). การพยาบาล
ผู้ป่วยภาวะวิกฤต: แบบองค์รวม. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล สหประชาพาณิชย์.
ลิวรรณ อุนนาภิรักษ์, จันทนา รณฤทธิวิชัย, วิไลวรรณ ทองเจริญ, วีนัส ลีฬหกุล และพัสมณฑ์ คุ้มทวีพร. (2552). พยาธิ
สรีรวิทยาทางการพยาบาล (พิมพ์ครั้งที่ ๘). กรุงเทพฯ : บริษัทบุญศิริการพิมพ์ จำกัด.
สุพจน์ พงศ์ประสบชัย, ทวีศักดิ์ แทนวันดีและสถาพร มานัสสถิตย์. (2555). Clinical Practice in Gastroenterology. (2nd
ed.). กรุงเทพฯ: กรุงเทพเวชสาร.
Cooper, K. (2015). Adult health nursing. 7th ed. St.Louis: Elsevier. WY 150 A244
Dewit, S. C. (2017). Medical - Surgical Nursing: concepts and practice. 3rd ed. St.Louis: Elsevier.
WY 150 D521M
Feldman, M., Friedman, L.S., & Brandt, L.J. (2010). Sleisenger & Fordtran’s Gastrointestinal and Liver
Disease: Pathophysiology/diagnosis/management volume 1. (9th ed.). Pennsylvania: Saunders.
Riley III, T., and Bhatti, A. (2001). Preventive strategies in chronic liver disease: part II. Cirrhosis. Am Fam
Physician. 64, 1735-1741.
Sass, D. and Shakil, O. (2005). Fulminant hepatic failure. Liver Transplantation. 11, 594-605.
http://www.4woman.gov/faq/easyread/hepatitis-etr.htm
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmedhealth/PMH0002139/
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmedhealth/PMH0001301/
http://emedicine.medscape.com/article/171886-overview
http://digestive.niddk.nih.gov/ddiseases/pubs/ercp/index.htm