Professional Documents
Culture Documents
แนวทางเวชปฏิบัติในการรักษาผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียประเทศไทยพ ศ 2562
แนวทางเวชปฏิบัติในการรักษาผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียประเทศไทยพ ศ 2562
ในการรักษาผูปวยโรคไขมาลาเรีย
ประเทศไทย พ.ศ. 2562
ISBN : 978-616-11-4181-3
ราชว�ทยาลัยอายุรแพทยแหงประเทศไทย
กองโรคติ
แนวทางเวชปฏิ บัติในการรัดกตษาผู
อนำโดยแมลง กรมควบคุ
้ป่วยโรคไข้มาลาเรี มโรคพ.ศ.กระทรวงสาธารณสุ
ยประเทศไทย 2562 1 ข
แนวทางเวชปฏิบัติในการรักษาผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรีย
ประเทศไทย พ.ศ. 2562
คณะผู้จัดท�ำคู่มือการติดตามการรักษา
ที่ปรึกษา
ดร.นพ. ปรีชา เปรมปรี
พญ. กรองทอง ทิมาสาร
นพ. วิชัย สติมัย
นพ. จีรพัฒน์ ศิริชัยสินธพ
นพ. กฤษดา จงสกุล
ศ.ดร.นพ. พลรัตน์ วิไลรัตน์
ศ.พญ. ศรีวิชา ครุฑสูตร
พญ. ชีวนันท์ เลิศพิริยสุวัฒน์
คณะผู้จัดท�ำ
พญ. ดารินทร์ อารีย์โชคชัย
ดร.ประยุทธ์ สุดาทิพย์
ดร.อังคณา แซ่เจ็ง
นส.ธรรณิการ์ ทองอาด
ดร.รุ่งระวี ทิพย์มนตรี
นายรุ่งนิรันดร์ สุขอร่าม
นางศิริพร ยงค์ชัยตระกูล
นส.เจิดสุดา กาญจนสุวรรณ
นส.สุรวดี กิจการ
นส.ประภารัตน์ พรหมเอี้ยง
นายอดุลย์ ฉายพงษ์
พิมพ์ครั้งที่ 1 : เดือนมกราคม 2563 จ�ำนวนพิมพ์ 3,000 เล่ม
จัดพิมพ์โดย : กองโรคติดต่อน�ำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
ถนนติวานนท์ จังหวัดนนทบุรี 11000
โทร. 0 2590 3115 โทรสาร 0 2591 8422
พิมพ์ที่ : ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ�ำกัด
145, 147 ถ.เลี่ยงเมืองนนทบุรี ต.ตลาดขวัญ
อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทร. 0 2525 4807-9 โทรสาร 0 2525 4795
ISBN : 978-616-11-4181-3
โรคไข้มาลาเรีย
เป็นโรคติดเชือ้ โปรโตซัวในกลุม่ พลาสโมเดียม (Plasmodium spp.) ซึง่ ติดต่อสูค่ นโดยการกัดของยุงก้นปล่อง
(Anopheles spp.) เป็นหลัก นอกจากนี้เคยมีรายงานการติดเชื้อจากคนสู่คน ผ่านทางการรับเลือด การปลูกถ่าย
อวัยวะ และจากมารดาสู่ทารกในครรภ์แต่พบน้อยมาก โรคไข้มาลาเรียพบมากในภูมิภาคเขตร้อนชื้นและมักพบการ
ระบาดมากในช่วงฤดูฝน ซึง่ ยุงก้นปล่องจะวางไข่ในแหล่งน�ำ้ ตามธรรมชาติโดยเฉพาะบริเวณทีอ่ ากาศอบอุน่ ไข่จะฟัก
เป็นลูกน�้ำภายใน 2 – 3 วัน และมีระยะเวลาในการเป็นลูกน�้ำอีก 9 – 12 วันก่อนที่จะกลายเป็นยุงตัวเต็มวัย โดย
ยุงตัวเมียเท่านัน้ ทีด่ ดู เลือดคนและสัตว์ และสามารถน�ำเชือ้ มาลาเรียได้ ผูท้ รี่ บั เชือ้ มาลาเรียไปแล้ว ส่วนใหญ่จะมีระยะ
ฟักตัวของโรคประมาณ 10 – 14 วัน หรืออาจยาวนานกว่านั้นขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อพลาสโมเดียมที่ได้รับ อาการ
ส�ำคัญของโรคไข้มาลาเรีย คือ ไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ บางรายที่อาการรุนแรงอาจมีภาวะแทรกซ้อน
เช่น ตับวาย ไตวาย ไข้มาลาเรียขึ้นสมอง ท�ำให้เสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที
วงจรชีวิตของเชื้อมาลาเรีย
เชื้อมาลาเรียที่ก่อโรคในคนมี 5 ชนิด ได้แก่ P. falciparum, P. vivax, P. malariae, P. ovale และ
P. knowlesi ในประเทศไทยเชื้อที่พบส่วนใหญ่เป็นชนิด P. vivax และ P. falciparum ส่วน P. knowlesi เป็นเชื้อ
มาลาเรียในลิงหางยาว ที่น�ำเชื้อมาสู่คนได้โดยการถูกยุงก้นปล่องกัด แต่ยังไม่เคยมีรายงานการติดเชื้อจากคนไปคน
เหมือนเชื้อมาลาเรีย 4 ชนิดแรก จึงถือเป็น Zoonotic malaria พบมากในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย อย่างไร
ก็ตามประเทศไทยเริ่มมีรายงานการพบ P. knowlesi ในหลายจังหวัด
วงจรชีวิตของเชื้อพลาสโมเดียม แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้
1) วงจรชีวิตมีเพศในยุงพาหะ (Sporogony)
2) วงจรชีวิตไม่มีเพศในคน (Schizogony) ซึ่งแบ่งได้อีกเป็น 2 ระยะย่อย
- ระยะในเซลล์ตับ (Exo-erythrocytic schizogony)
- ระยะในเม็ดเลือดแดง (Erythrocytic schizogony)
วงจรชีวิตมีเพศในยุงพาหะ เมื่อยุงก้นปล่องที่เป็นพาหะกัดและดูดเลือดผู้ป่วยที่มีเชื้อมาลาเรียในระยะมีเพศ
เข้าไป เชื้อจะเข้าสู่กระเพาะอาหารของยุง ซึ่งเชื้อในระยะมีเพศทั้งเชื้อตัวผู้ (Microgametocyte) และเชื้อตัวเมีย
(Macrogametocyte) จะผสมพันธุ์กันจนกลายเป็น Zygote ซึ่งเป็นการสิ้นสุดระยะ Gametocyte และเข้าสู่ระยะ
สถานการณ์ของโรคไข้มาลาเรียในประเทศไทย
ในปัจจุบันประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียเหลือเพียงปีละไม่ถึงหนึ่งหมื่นราย พื้นที่ที่ยังมีโรคไข้
มาลาเรียมักเป็นบริเวณจังหวัดใกล้ชายแดนที่มีป่าเขาเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมียุงพาหะอาศัยอยู่ จังหวัด
และอ�ำเภอชายแดนจึงเป็นพื้นที่เปราะบางต่อการแพร่โรคไข้มาลาเรีย (รูปที่ 2) อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคไข้มาลารีย
สามารถพบได้ทกุ แห่งทัว่ ประเทศ แต่เนือ่ งจากสถานการณ์ไข้มาลาเรียลดลง ท�ำให้ภมู คิ มุ้ กันในประชากรลดลง ซึง่ จะ
ท�ำให้พบผู้ป่วยอาการรุนแรงได้มากขึ้น
อาการทั่วไป
หลังจากถูกยุงที่เป็นพาหะของโรคไข้มาลาเรียกัด อาการเริ่มแรกที่พบได้บ่อยที่สุด คือ อาการไข้ โดยมีระยะ
ฟักตัว (ระยะเวลาหลังจากถูกยุงกัดจนกระทัง่ เกิดอาการป่วย) แตกต่างกันไปตามชนิดของเชือ้ มาลาเรีย ดังนี้
- P. falciparum 8 – 12 วัน
- P. vivax 10 – 15 วัน
- P. malariae 30 – 40 วัน
- P. ovale 10 – 15 วัน
- P. knowlesi 9 – 12 วัน
คนทีไ่ ด้รบั เชือ้ เป็นครัง้ แรก เมือ่ มีอาการป่วยในระยะแรกทีเ่ ริม่ มีไข้ การจับไข้จะยังไม่เป็นเวลา ร่วมกับมีอาการ
ไม่เฉพาะอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เพลีย เบื่ออาหาร ในสองสามวันแรก หลังจากนั้นในปลายสัปดาห์ หากยัง
ไม่ได้รับการรักษา จะมีอาการจับไข้เป็นเวลาโดยมีไข้ขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นพัก ๆ ตามช่วงเวลาของเชื้อมาลาเรียในระยะใน
เม็ดเลือดแดงซึ่งเจริญเต็มที่และท�ำให้เม็ดเลือดแดงแตกออก
การป่วยด้วยโรคไข้มาลาเรียมี 4 ลักษณะ ได้แก่
1. Primary attack คือ การจับไข้หลังจากได้รับเชื้อมาลาเรียครั้งแรก
2. Relapse คือ มีอาการไข้กลับ โดยจะพบเชื้อมาลาเรียในเลือดอีกหลังจากที่หายจากการเป็นไข้มาลาเรีย
และไม่ได้รบั เชือ้ ใหม่อกี เลย อาการไข้กลับนีจ้ ะพบได้ในการติดเชือ้ P. vivax และ P. ovale เนือ่ งจากเชือ้ ทัง้ สองชนิดนี้
มี hypnozoite หลบซ่อนอยู่ในเซลล์ตับซึ่งสามารถเจริญเติบโตและเข้าสู่เม็ดเลือดแดงได้อีก ท�ำให้เกิดอาการไข้กลับ
แต่มักจะมีอาการรุนแรงน้อยกว่าการเป็นไข้มาลาเรียในครั้งแรก
3. Recrudescence เป็นอาการไข้ซ�้ำ ที่เกิดจากระยะเชื้อในเม็ดเลือดแดงถูกฆ่าไม่หมด เนื่องจากได้รับยา
รักษาโรคไข้มาลาเรียที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ครบถ้วนในการรักษาครั้งก่อนหน้า หรือเป็นเชื้อมาลาเรียที่ดอื้ ต่อยาทีใ่ ช้
รักษา เชือ้ ทีย่ งั เหลืออยูใ่ นกระแสเลือดสามารถเพิม่ จ�ำนวนขึน้ ท�ำให้ผปู้ ว่ ยกลับมีอาการป่วยได้อกี
4. Reinfection คือ เกิดอาการไข้มาลาเรียจากการได้รับเชื้อครั้งใหม่ โดยอาจเป็นเชื้อชนิดเดิมหรือชนิดที่
ต่างออกไปจากการติดเชื้อครั้งก่อนหน้าก็ได้
ประวัติและอาการที่ต้องสงสัยโรคไข้มาลาเรีย
- เป็นผูท้ มี่ ปี ระวัตอิ าศัย หรือ เดินทางมาจากพืน้ ทีร่ ะบาดของโรคไข้มาลาเรียภายในระยะเวลา 1 เดือน
- เป็นผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคไข้มาลาเรียในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา
- มีอาการไข้ และ/หรือ ร่วมกับอาการไม่จ�ำเพาะคล้ายกับโรคติดเชื้อไวรัสทั่วไป ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ไม่มี
เรี่ยวแรง ไม่สบายในท้อง ปวดท้อง ปวดกล้ามเนื้อและข้อ หนาวสั่น เหงื่อออก เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ในผู้ป่วย
เด็กอาจซึม รับประทานอาหารได้น้อยหรือไม่ได้ ซีด ตับม้ามโต
- กรณีมาลาเรียรุนแรง ระดับสติสัมปชัญญะลดลงหรือหมดสติ อ่อนเพลียมาก ชัก เหนื่อยหอบ หายใจเร็ว
ช็อก ตาเหลืองตัวเหลือง ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่มีปัสสาวะ ปัสสาวะสีเข้ม ซีดมาก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การวินิจฉัยยืนยันการติดเชื้อมาลาเรีย สามารถท�ำได้โดยการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ดังนี้
1. การตรวจฟิล์มหนาและบาง (Thick and Thin Blood Smear)
เป็นวิธีมาตรฐานและสามารถนับปริมาณเชื้อมาลาเรียในเลือดได้ สามารถด�ำเนินการโดยห้องปฏิบัติการ
โดยทัว่ ไป การรายงานผลบวกควรตรวจอย่างน้อย 100 วงกล้อง และการรายงานผลลบควรตรวจอย่างน้อย 200 วงกล้อง
ในการควบคุมคุณภาพการตรวจฟิล์มเลือดด้วยกล้องจุลทรรศน์ แนะน�ำให้ด�ำเนินการควบคุมคุณภาพใน
สถานบริการระดับต่าง ๆ ส�ำหรับมาลาเรียคลินกิ จะอยูภ่ ายใต้การก�ำกับดูแลของส�ำนักงานป้องกันควบคุมโรค (สคร.)
ในพื้นที่รับ ผิดชอบนั้น ๆ โดยส่งฟิล์มเลือดที่มีผลบวกทุกราย และร้อยละ 10 ของฟิล์มเลือดที่มีผลลบ เพื่อตรวจซ�้ำ
และให้ สคร. ส่งฟิลม์ เลือดร้อยละ 10 ของผลบวกและร้อยละ 10 ของผลลบ ตรวจยืนยันซ�ำ้ ทีก่ อง โรคติดต่อน�ำโดยแมลง
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ส�ำหรับโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาล ทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาล
เอกชน และสถานบริการอืน่ ๆ สามารถขอรับการควบคุมคุณภาพ ด้วยวิธกี ารเดียวกัน โดยส่งฟิลม์ เลือดดังกล่าวไปยัง
สคร. ได้
2. การตรวจโดยใช้ชุดตรวจอย่างเร็ว (Rapid Diagnostic Test)
ปัจจุบันมีชุดตรวจอย่างเร็วที่สามารถตรวจแยกชนิดของ P. falciparum และ non-P. falciparum ใน
ชุดเดียวกัน ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก โดยแนะน�ำให้ใช้ชุดตรวจอย่างเร็วในมาลาเรียคลินิกชุมชน
มาลาเรียคลินกิ ชุมชนชายแดน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�ำบล ทีไ่ ม่สามารถตรวจวินจิ ฉัยด้วยกล้องจุลทรรศน์ได้
ตารางที่ 1 หลักการใช้ยารักษาโรคไข้มาลาเรียในประเทศไทยกรณีผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ขนานยา P. falciparum P. vivax และ P. ovale P. malariae P. knowlesi
ยาขนานที่หนึ่ง ยาผสม Fixed-dose combination ของ Chloroquine 3 วัน Chloroquine 3 วัน - กรณีผู้ป่วยสงสัยให้
(first line drug) Dihydroartemisinin-Piperaquine (DHA-PIP) 3 วัน ร่วมกับ Primaquine Chloroquine 3 วัน
ใช้ในการรักษาโรคไข้ ร่วมกับ Primaquine 1 วัน 14 วัน - กรณีผู้ป่วยยืนยัน ให้
มาลาเรียที่ไม่มีภาวะ DHA-PIP 3 วัน
แทรกซ้อน* *ยกเว้น ผู้ป่วยในจังหวัดศรีสะเกษและอุบลราชธานี ให้ใช้ หมายเหตุ ผู้ป่วย P.k. มีอาการ
Artesunate-Pyronaridine 3 วัน เป็นยาขนานที่หนึ่ง รุนแรงได้ง่าย หากอาการเลวลง
ให้รักษาแบบ
ผู้ป่วยอาการรุนแรงทันที
• ให้ปรับขนาดยาตามน�้ำหนักตัวของผู้ป่วยอย่างเหมาะสม
• ตรวจภาวะพร่องเอ็นไซม์ G6PD (G-6-PD Deficiency) หรือซักประวัติปัสสาวะสีด�ำ ของผู้ป่วย
โรคไข้มาลาเรีย P. vivax และ P. ovale ทุกราย ก่อนให้ยา Primaquine เป็นเวลานาน
- กรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะพร่องเอ็นไซม์ G6PD อย่างอ่อน หากสามารถตรวจ G6PD ด้วยวิธีเชิง
ปริมาณ (ภาคผนวก) หรือ กรณีที่ผู้ป่วยมีประวัติปัสสาวะสีด�ำ พิจารณาให้ยา Primaquine ใน
ขนาด 45 มก. ในผู้ใหญ่ (0.75 มก./กก.) สัปดาห์ละครั้ง เป็นเวลานาน 8 สัปดาห์ และติดตาม
การรักษาในวันที่ 3, 5, และ 7 หลังได้รับยา เพื่อตรวจดูภาวะเม็ดเลือดแดงแตก หากพบภาวะ
ดังกล่าว ให้หยุดยาทันที
- กรณีที่สถานพยาบาลไม่มี G6PD test และไม่สามารถส่งตัวอย่างเลือดไปตรวจได้ เช่น ในโรง
พยาบาลชุมชนที่ห่างไกล พิจารณาให้ยา Primaquine ในขนาด 0.25 mg/kg/day นาน 14
วัน พร้อมกับแนะน�ำว่าถ้ามีปัสสาวะคล�้ำหรือด�ำ หรือรู้สึกซีดลง ให้หยุดยา primaquine ทันที
แล้วมาพบแพทย์
• หญิงตั้งครรภ์ ห้ามจ่ายยา Primaquine เป็นอันขาด
• ติดตามผลการรักษาตามระยะเวลาทีก่ ำ� หนด โดยเจาะเลือดท�ำฟิลม์ หนาและฟิลม์ บางในสไลด์แผ่น
เดียวกัน จ�ำนวน 2 แผ่น และเก็บเลือดใส่กระดาษกรองจ�ำนวน 3 จุด เพื่อตรวจหาเชื้อมาลาเรีย
ทุกครั้งที่มาติดตามการรักษา
- P. falciparum และ P. malariae นัดติดตามอาการและตรวจเลือดซ�้ำ ในวันที่ 3, 7, 28, 42
หลังเริ่มให้ยารักษา
- P. vivax และ P. ovale นัดติดตามอาการและตรวจเลือดซ�้ำ ในวันที่ 14, 28, 60, 90 หลัง
เริ่มให้ยารักษา
• การวินิจฉัยและรักษาโรคไข้มาลาเรียที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงใน การเกิด
ภาวะแทรกซ้อนหรืออาการรุนแรง ให้ด�ำเนินการในระดับโรงพยาบาลชุมชนขึ้นไป
• การวินจิ ฉัยและรักษาโรคไข้มาลาเรียทีม่ ภี าวะแทรกซ้อนหรืออาการรุนแรง ด�ำเนินการได้ในระดับ
โรงพยาบาลชุมชนที่มีความพร้อม โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์
• ควรจัดให้มีบัตรผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียมอบให้ผู้ป่วยทุกราย เพื่อติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง
• ไม่แนะน�ำให้รับประทานยาป้องกันมาลาเรียในประเทศไทย เนื่องจากปัญหาเชื้อดื้อยาจึงไม่มียา
ชนิดใดป้องกันได้อย่างเด็ดขาด ควรแนะน�ำให้ใช้วิธีป้องกันยุงกัดแทน
ตรวจเลือดเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ตรวจเลือดเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
และแยกชนิดเชื้อมาลาเรีย และแยกชนิดเชื้อมาลาเรีย
ตรวจพบเชื้อมาลาเรียชนิดใดก็ตาม
1. โรคไข้มาลาเรียชนิดฟัลซิพารัมที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
วันนับจาก Day Day Day Day Day Day Day Day Day Day Day Day Day Day
วันที่เริ่มรักษา 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13
(เริ่ม)
Chloroquine 1 1 1 - - - - - - - - - - -
ครั้ง ครั้ง ครั้ง
Primaquine 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1
ครั้ง ครั้ง ครัง้ ครั้ง ครั้ง ครั้ง ครั้ง ครั้ง ครั้ง ครั้ง ครั้ง ครั้ง ครั้ง ครั้ง
ขนาดของยา: พิจารณาตามน�้ำหนักตัวของผู้ป่วย ดังตารางที่ 6
ตารางที่ 6 ขนาดของยา Chloroquine และ Primaquine ในการรักษาผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียชนิดไวแวกซ์ หรือ
โอวาเล่ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
Day 0 Day 1 Day 2 Day 3-13 รวมยาที่จ่าย
น�้ำหนัก (กก.) CQ PQ CQ PQ CQ PQ PQ CQ PQ
(มก.) (มก.) (มก.) (มก.) (มก.) (มก.) (มก.) (มก.) (มก.)
<11 กก. 300 ไม่จ่าย 150 ไม่จ่าย 150 ไม่จ่าย ไม่จา่ ย 600 ไม่จ่าย
(อายุ < 1 ปี)
11 ถึง < 15 กก. 300 ไม่จ่าย 150 ไม่จ่าย 150 ไม่จ่าย ไม่จ่าย 600 ไม่จ่าย
15 ถึง < 25 กก. 450 5 150 5 150 5 5 750 70
25 ถึง < 50 กก. 600 10 150 10 150 10 10 900 140
50 กก. ขึ้นไป 600 15 600 15 300 15 15 1,500 210
หมายเหตุ CQ = ยา Chloroquine ขนาด 150 mg base ต่อเม็ด
PQ = ยา Primaquine มี 2 ขนาด คือ 5 และ 15 มก. ต่อเม็ด
ผู้ป่วยทีม่ ีน�้ำหนักน้อยกว่า 11 กก. หรืออายุน้อยกว่า 1 ปี ห้ามจ่ายยา
3. โรคไข้มาลาเรียชนิดมาลาเรอีที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ยาที่ใช้รักษา: Chloroquine
การบริหารยา: รับประทานยา 3 วัน ตามตารางที่ 7
4. การรักษาผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียชนิดผสมที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ยาที่ใช้รักษา: ให้ท�ำการรักษาเช่นเดียวกับการรักษาผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ยกเว้น ผู้ป่วยเด็กโรคไข้มาลาเรียชนิดฟัลซิปารัมที่มีน�้ำหนักน้อยกว่า 5 กก. ให้ Quinine 10 มก./กก.
วันละ 3 ครัง้ ร่วมกับ Clindamycin 10 มก./กก. เช้า - เย็น นาน 7 วัน แทนการใช้ยา Dihydroartemisinin-Piperaquine
2. หญิงตั้งครรภ์เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดมาลาเรียรุนแรงและมีผลต่อทารกในครรภ์
2.1. หญิงตั้งครรภ์ที่ป่วยด้วยโรคไข้มาลาเรียชนิดฟัลซิปารัมที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
2.1.1. หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ไตรมาสที่ 1
ยาที่ใช้รักษา: Quinine ร่วมกับ Clindamycin
การบริหารยา: ให้ Quinine (300 มก.) วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 2 เม็ด ร่วมกับ Clindamycin (300 มก.) วันละ 2 ครั้ง
นาน 7 วัน และ ห้ามจ่ายยา Primaquine เด็ดขาด ดังนี้
วันนับจาก Day 0 Day 1 Day 2 Day 3 Day 4 Day 5 Day 6
วันที่เริ่มรักษา (เริ่ม)
Quinine 3 ครั้ง 3 ครั้ง 3 ครั้ง 3 ครั้ง 3 ครั้ง 3 ครั้ง 3 ครั้ง
เม็ดละ ครั้งละ ครั้งละ ครั้งละ ครั้งละ ครั้งละ ครั้งละ ครั้งละ
300 มก. 2 เม็ด 2 เม็ด 2 เม็ด 2 เม็ด 2 เม็ด 2 เม็ด 2 เม็ด
Clindamycin 2 ครั้ง 2 ครั้ง 2 ครั้ง 2 ครั้ง 2 ครั้ง 2 ครั้ง 2 ครั้ง
เม็ดละ ครั้งละ ครั้งละ ครั้งละ ครั้งละ ครั้งละ ครั้งละ ครั้งละ
300 มก. 1 เม็ด 1 เม็ด 1 เม็ด 1 เม็ด 1 เม็ด 1 เม็ด 1 เม็ด
หมายเหตุ ต้องระวังภาวะ Hypoglycemia ในผู้ป่วยที่ได้ยา Quinine ด้วย หรือสามารถพิจารณาจ่ายยา Dihydroarte-
misinin-Piperaquine วันละครั้ง นาน 3 วันได้ ตามตารางที่ 2 หากประเมินว่าผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานยา
สูตร Quinine และ Clindamycin ครบ 7 วัน และ ห้ามจ่ายยา Primaquine เด็ดขาด
3. มารดาที่ก�ำลังให้นมบุตร
ยาที่ใช้รักษา: ยา Chloroquine
การบริหารยา: Chloroquine นาน 3 วัน ตามตารางที่ 11
ยาทีใ่ ช้รกั ษา: ให้ยาฉีด Artesunate 2.4 มก./กก. เข้าหลอดเลือดด�ำแล้วตามด้วย 2.4 มก./กก. ที่ 12 และ 24 ชัว่ โมง
(ในกรณีผู้ป่วยน�้ำหนักน้อยกว่า 20 กก. ให้ Artesunate ขนาด 3 มก./กก.) จากนั้นฉีดเข้าทางหลอดเลือดด�ำวันละ
ครั้ง จนกว่าจะรับประทานยาเม็ดได้ จึงเปลี่ยนเป็นยาชนิดรับประทานส�ำหรับมาลาเรียแต่ละชนิด โดยให้เริ่มนับวัน
แรกที่รับประทานยาเม็ดได้เป็นการรักษาวันที่ 0 และรับประทานยาต่อเนื่องจนครบตามสูตรยา รวมทั้งติดตามการ
รักษาของมาลาเรียแต่ละชนิด
7. ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยาต้านมาลาเรีย
ยาทีใ่ ช้รกั ษา: ให้เลีย่ งไปใช้ยาในกลุม่ อืน่ ๆ ทีผ่ ปู้ ว่ ยไม่มปี ระวัตกิ ารแพ้ และปรึกษาผูเ้ ชีย่ วชาญการรักษาโรคไข้มาลาเรีย
ในระดับมหาวิทยาลัย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย หรือราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
การรักษาเฉพาะ
1. ให้ยาฉีด Artesunate เข้าหลอดเลือดด�ำเป็นยาขนานแรก โดย
- ให้ฉีดยาเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก
- การฉีดยา ให้ฉีดเป็น Bolus Injection ไม่ให้ Infusion หรือ Continuous drip
- ยา Artesunate นี้ ให้ใช้เพียงครั้งเดียว ยาที่เหลือจากการฉีดให้ทิ้งไป ห้ามเก็บไว้ใช้ต่อ เนื่องจาก
คุณสมบัติการคงตัวไม่ดี
- เมือ่ ผูป้ ว่ ยอาการดีขนึ้ และรับประทานได้แล้ว ให้เปลีย่ นเป็นยารับประทาน Artemisinin-Combination
Therapy นาน 3 วัน คือ ยาผสม Dihydroartemisinin-Piperaquine ร่วมกับ Primaquine (หาก
ไม่มีข้อห้าม)
2. ถ้าไม่มียาฉีด Artesunate ให้ยา Quinine drip เข้าหลอดเลือดด�ำแทน
- ให้ยาเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก
- การให้ Quinine ต้องให้แบบ Infusion ใน 2 - 4 ชั่วโมง ห้ามให้ Bolus Injection เพราะอาจเกิด
Cardiotoxic Effects เช่น หัวใจหยุดเต้นได้ รวมทั้งต้องระวังภาวะ hypoglycemia ด้วย
- เมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้นและรับประทานได้แล้ว ให้เปลี่ยนเป็นยารับประทาน Artemisinin-based
Combination Therapy นาน 3 วัน
ขนาดยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยมาลาเรียรุนแรง
• แนะน�ำให้เลือกใช้ยาฉีด Artesunate มากกว่า Quinine เนื่องจาก Artesunate สามารถ ลดอัตรา
การตายในผู้ป่วยมาลาเรียรุนแรงได้มากกว่า Quinine
• ยาขนานแรก: Artesunate 2.4 มก./กก. เข้าหลอดเลือดด�ำแบบ Bolus injection ทันที ตามด้วย 2.4
มก./กก. ที่ 12 และ 24 ชั่วโมง (ในกรณีผู้ป่วยน�้ำหนักน้อยกว่า 20 กก. ให้ Artesunate ขนาด 3 มก./
กก.) จากนั้นฉีดวันละครั้ง จนกว่าผู้ป่วยรับประทานยาได้ จึงเปลี่ยนเป็นยา Artemisinin-based Com-
bination Therapy รับประทานนาน 3 วัน
• ยาขนานที่สอง (กรณีไม่มียาฉีด Artesunate): Quinine Dihydrochloride ขนาด 20 มก./กก. หยด
เข้าหลอดเลือดด�ำแบบ Infusion ใน 4 ชั่วโมง ตามด้วย 10 มก./กก. ฉีดใน 2 - 4 ชั่วโมง ทุก 8 ชั่วโมง
เมื่อรับประทานยาได้ จึงเปลี่ยนเป็นยา Artemisinin-based Combination Therapy รับประทาน นาน
3 วัน หรือ Quinine ร่วมกับ Doxycycline หรือ Quinine ร่วมกับ Clindamycin หรือ Artesunate ร่วม
กับ Doxycycline หรือ Artesunate ร่วมกับ Clindamycin ชนิด รับประทาน นาน 7 วัน
การรักษาประคับประคอง
ภาวะแทรกซ้อนและอวัยวะส�ำคัญล้มเหลวที่พบบ่อยให้การรักษาประคับประคอง ดังนี้
อาการ การดูแลรักษา
ซึม หมดสติ - ดูแลทางเดินหายใจ หาสาเหตุอื่นที่ท�ำให้ผู้ป่วยหมดสติ เช่น ระดับน�้ำตาลใน เลือดต�่ำ
- ห้ามให้ยา Corticosteroid หรือ Mannitol ในผู้ป่วยหมดสติ
หอบเหนื่อย - ถ้าจ�ำเป็นอาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจหรือเครื่องช่วยหายใจ
ชัก - ให้ยากันชัก เช่น Diazepam และดูแลทางเดินหายใจ
ระดับน�้ำตาล - ตรวจ Plasma Glucose ทุก 6 ชั่วโมง
ในเลือดต�่ำ - รักษาภาวะน�้ำตาลในเลือดต�่ำและให้สารน�้ำที่มีน�้ำตาล เช่น 5 - 10% Dextrose/NSS
ซีด - ให้ Packed Red Cells ถ้าผู้ป่วยมีระดับ Hematocrit น้อยกว่า 24% (หรือ Hemoglobin
น้อยกว่า 8 g/dl) หรือเมื่อมีอาการหรืออาการแสดงของภาวะซีด
น�้ำท่วมปอด - ให้ผู้ป่วยนอนศีรษะตั้ง 45 องศา และให้ออกซิเจน
- ให้ยาขับปัสสาวะ พิจารณาลดหรือหยุดการให้สารน�้ำ
- อาจต้องใช้ Positive End-Expiratory Pressure/Continuous Positive Airway Pressure
ในผู้ป่วยที่เกิดภาวะ Adult Respiratory Distress Syndrome
ปัสสาวะ - หาสาเหตุของผู้ป่วยที่มีปัสสาวะน้อย
ออกน้อย - หากผู้ป่วยขาดสารน�้ำให้สารน�้ำ
การท�ำงาน - หากมีภาวะไตวายท�ำ Hemofiltration หรือ Hemodialysis หรือ Peritoneal Dialysis
ของไตบกพร่อง
เลือดออกง่าย - หาสาเหตุเลือดออกง่าย แล้วให้ Blood Component Therapy ตามสาเหตุนั้น ๆ เช่น Platelet
Concentrate หรือ Fresh frozen plasma (FFP)
ภาวะเลือด - แก้ไขภาวะพร่องน�้ำ (Hypovolemic) ในผู้ป่วยขาดน�้ำ
เป็นกรด - ท�ำ Hemofiltration หรือ Hemodialysis หรือ Peritoneal Dialysis
- ไม่ให้ NaHCO3 ยกเว้นมีภาวะเลือดเป็น กรดอย่างรุนแรง เช่น pH <7.15
ความดันโลหิตต�ำ่ - หาสาเหตุ อาจจะเกิดจากภาวะพร่องสารน�้ำ น�้ำตาลในเลือดต�่ำ ติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย หรือจาก
หรือ ช็อก โรคไข้มาลาเรียเอง ควรเจาะเลือดส่งเพาะเชื้อแบคทีเรียและให้ยาปฏิชีวนะด้วย
1. การรักษาผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียที่รักษาล้มเหลวชนิดฟัลซิปารัม
D. การใช้ยาขนานที่สองสูตร Atovaquone-Proquanil
การบริหารยา: รับประทานวันละครั้ง นาน 3 วัน ตามตารางที่ 15
2. การรักษาผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียที่รักษาล้มเหลวชนิดไวแวกซ์
วันแรกที่พบผู้ป่วย (วันที่ 0)
1. ให้ผปู้ ว่ ยรับประทานยาต่อหน้าทันที โดยให้ยาตามแนวทางการดูแลรักษาโรคไข้มาลาเรีย รอดูอาการอย่าง
น้อย 30 นาที หากผู้ป่วยมีอาการอาเจียนหลังจากรับประทานยาภายใน 30 นาที ให้เจ้าหน้าที่ให้ยาชนิด
และขนาดเดิมซ�้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่หากผู้ป่วยยังมีอาการอาเจียนหลังจากรับประทานยาครั้งที่สอง ภายใน
30 นาที ให้เจ้าหน้าที่ส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลทันที
2. ให้สขุ ศึกษาผูป้ ว่ ย ญาติ หรือผูด้ แู ล เรือ่ งการรับประทานยาต่อหน้า และรับประทานยาให้ครบตามแนวทาง
การดูแลรักษาโรคไข้มาลาเรียต่อที่บ้าน
3. เจาะเลือดท�ำฟิลม์ หนาและฟิลม์ บาง จ�ำนวน 2 แผ่น และเก็บเลือดใส่กระดาษกรองจ�ำนวน 3 จุดเพือ่ ตรวจ
หาเชื้อมาลาเรียด้วยกล้องจุลทรรศน์
4. กรณีที่สถานพยาบาลใช้ชุดตรวจหาเชื้อมาลาเรียอย่างเร็ว หรือวินิจฉัยด้วยวิธี PCR ให้แจ้งข้อมูลผู้ป่วยแก่
เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานเวชกรรมสังคมหรือเวชปฏิบัติครอบครัวของโรงพยาบาลทราบ เพื่อแจ้งต่อไป
ยังเจ้าหน้าที่มาลาเรียคลินิกในพื้นที่ หรือแจ้งไปยังศูนย์ควบคุมโรคติดต่อน�ำโดยแมลง ส�ำนักงานป้องกัน
ควบคุมโรคในพื้นที่ ให้เป็นผู้ติดตามผลการรักษาด้วยกล้องจุลทรรศน์ต่อไป
การนัดติดตามผลการรักษา
• P. falciparum P. malariae และ P. knowlesi นัดติดตามอาการและตรวจเลือดซ�ำ้ ในวันที่ 3, 7, 28, 42
• P. vivax และ P. ovale นัดติดตามอาการและตรวจเลือดซ�้ำ ในวันที่ 14, 28, 60, 90
ให้สอบถามอาการป่วย และท�ำการเจาะเลือดซ�้ำ จ�ำนวน 2 แผ่น และเก็บเลือดใส่กระดาษกรองจ�ำนวน 3 จุด เพื่อ
ตรวจหาเชื้อมาลาเรียด้วยกล้องจุลทรรศน์ในทุกครั้งที่มาติดตามการรักษา
- หากผลการตรวจฟิล์มเลือดยังพบเชื้อซ�้ำในวันที่ 3 (กรณี P. falciparum P. malariae และ
P. knowlesi แต่ไม่มีอาการ/อาการแสดง ให้ติดตามต่อไป
- หากยังพบเชื้อ หรือ มีอาการ/อาการแสดง หลังวันที่ 7 (กรณี P. falciparum P. malariae และ
P. malariae) ให้ถือว่าเป็นการรักษาที่ล้มเหลว และให้พิจารณาปรับสูตรยารักษาเป็นขนานที่สอง
- หากยังพบเชือ้ หรือ มีอาการ/อาการแสดงในวันที่ 14 (กรณี P. vivax และ P. ovale) ให้ถอื ว่าเป็นการ
รักษาที่ล้มเหลว และให้พิจารณาปรับสูตรยารักษาเป็นขนานที่สอง
อาการข้างเคียงที่ส�ำคัญ
เช่นเดียวกับ Primaquine ยา Tafenoquine ท�ำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน (Acute hemolytic
anemia) ได้ ในผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD นอกจากนี้เนื่องจากยา Tafenoquine ออกฤทธิ์ยาว จึงเป็น
ข้อห้ามโดยเด็ดขาดในการจ่ายยาในผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD หากแพทย์จะท�ำการจ่ายยาดังกล่าว
ต้องท�ำการตรวจระดับเอนไซม์ G6PD ในผูป้ ว่ ยโดยใช้การตรวจเชิงปริมาณ (G6PD quantitative test) เพือ่ ให้ทราบ
ระดับเอนไซม์ G6PD ที่แน่ชัดเท่านั้น และพิจารณาการจ่ายยาดังนี้
- ระดับเอนไซม์ G6PD > 6 IU/gHb (>70%) จ่ายยา Tafenoquine 300 มก. ครั้งเดียว
- ระดับเอนไซม์ G6PD อยู่ระหว่าง 4 - 6 IU/gHb (30% - 70%) จ่ายยา Primaquine 15 มก. วันละครั้ง
นาน 14 วัน
- ระดับเอนไซม์ G6PD < 4 IU/gHb (<30%) จ่ายยา Primaquine 45 มก. สัปดาห์ละครั้ง นาน 8 สัปดาห์
หมายเหตุ กรณีทสี่ ถานพยาบาลไม่สามารถตรวจระดับเอนไซม์ G6PD ในเชิงปริมาณได้ ห้ามจ่ายยา Tafenoquine โดยเด็ดขาด
แนวทางเวชปฏิบัติในการรักษาผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียประเทศไทย พ.ศ. 2562 33
ภาคผนวก
การนับปริมาณการติดเชื้อมาลาเรียในเลือด
ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยมี WBC 5.7 x 109/L และพบ malaria parasites 4 ตัว/200 WBC
ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยมี RBC 4.06 x 1012/L และพบ malaria parasites 4 ตัว/1,000 RBC
พร่อง G6PD
ปกติ
ท�ำไมต้องกินยาต่อหน้า และกินยาให้ครบ
1. เพื่อให้มั่นใจว่า ท่านได้กินยาครบทุกเม็ด
2. เพื่อให้ผู้สังเกตการกินยา สังเกตอาการหลังกินยา หากเกิดอาการแพ้ยา ผู้สังเกตการกินยาจะแจ้งเจ้าหน้าที่ หรือ
เจ้าหน้าที่จะส่งต่อท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลได้อย่างทันท่วงที
3. หากท่านรับประทานยาไม่ครบ จะท�ำให้รกั ษาไม่หายขาด และท�ำให้การรักษาท่านด้วยยาชนิดเดิมไม่ได้ผล เนือ่ งจาก
เชื้อเกิดการดื้อต่อยา
ท�ำไมต้องติดตามผลการรักษา
1. เพื่อให้มั่นใจว่า ไม่พบเชื้อมาลาเรียในตัวท่าน และท่านจะหายขาดจากโรคไข้มาลาเรีย
2. หากพบเชื้อมาลาเรียในตัวท่าน เจ้าหน้าที่จะด�ำเนินการรักษาตามขั้นตอนได้อย่างทันท่วงที
3. หากตัวท่านมีเชือ้ มาลาเรีย แม้ไม่แสดงอาการ ท่านสามารถแพร่เชือ้ โรคไข้มาลาเรียให้แก่ผอู้ นื่ ได้ เมือ่ ถูกยุงกัด
ส�ำหรับเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่อธิบายความส�ำคัญของการกินยาต่อหน้า และการกินยาให้ครบ ให้ผู้ป่วยทราบ
เจ้าหน้าทีแ่ จ้งให้ผปู้ ว่ ยทราบว่า ผูป้ ว่ ยจะได้รบั ค่าตอบแทนในการมารับการติดตามการรับประทานยาต่อหน้า ครัง้ ละ
200 บาท รวม 400 บาท โดยจะต้องน�ำบัตรการกินยาต่อหน้ามาเพื่อเป็นหลักฐาน
เจ้าหน้าทีแ่ จ้งให้ผปู้ ว่ ยทราบว่า หลังจากมีการติดตามการรับประทานยาต่อหน้าแล้ว จะมีการติดตามผลการรักษาโดย
เจ้าหน้าที่ของสถานตรวจบ�ำบัดที่มีการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ ตามวันที่ก�ำหนด
............................................................... ...............................................................
(..............................................) วัน/เดือน/ปี
ลายมือชื่อเจ้าหน้าที่
1. กองโรคติดต่อน�ำโดยแมลง. www.malaria.ddc.moph.go.th
2. World Health Organization. Guidelines for the Treatment of Malaria. 3rd ed. Italy: World Health
Organization; 2015.
3. World Health Organization. Management of severe malaria: a practical handbook. 3rd ed.
Geneva: World Health Organization; 2012.
4. Tangpukdee N, Krudsood S, Wilairattana P. Schizontemia as an indicator of severe malaria.
Southeast Asian J Trop Med Pubic Health 2013; 44: 740-3.
5. Tangpukdee N, Daungdee C, Wilairatana P, Krudsood S. Malaria diagnosis: a brief review.
Korean J Paratol 2009; 47:93-102.
6. Medicines for malaria Venture. Injectable artesunate for severe malaria. http:// www.mmv.org/
sites/default/files/uploads/docs/access/Injectable_Artesunate_ Tool_Kit/InjectableArtesunate-
Poster.pdf
7. Wilairattana P, Tangpukdee N, Krudsood S. Practical aspects of artesunate administration in
severe malaria treatment. Trop Med Surg 2013; 1: 1000e109.
8. World Health Organization. Methods for surveillance of antimalarial drug efficacy. Geneva: World
Health Organization; 2009.
9. WHO. Testing for G6PD deficiency for safe use of primaquine in radical cure of P. vivax and
P. ovale. Geneva: World Health Organization, 2016.
10. Llanos-Cuentas A, Lacerda MV, Rueangweerayut R, Krudsood S, Gupta SK, Kochar SK, et al.
Tafenoquine plus chloroquine for the treatment and relapse prevention of Plasmodium vivax
malaria (DETECTIVE): a multicentre, double-blind, randomised, phase 2b dose-selection study.
Lancet (London, England). 2014;383(9922):1049-58.
11. Lacerda MVG, Llanos-Cuentas A, Krudsood S, Lon C, Saunders DL, Mohammed R, et al.
Single-Dose Tafenoquine to Prevent Relapse of Plasmodium vivax Malaria. 2019;380(3):215-28.