Professional Documents
Culture Documents
ในบทนี้เราจะพิจารณาสมบัติต่างๆ ทางพีชคณิตของเมทริกซ์
กฎทางพีชคณิต
ทฤษฎีต่อไปนี้เป็นกฎที่มีประโยชน์มากในการพิจารณาพีชคณิตของเมทริกซ์
ทฤษฎี 1.2.1 กาหนดให้ , เป็นสเกลาร์ และ A, B, C เป็นเมทริกซ์ที่สามารถดาเนินการได้ จะได้ว่า
1) A+ B = B + A
2) ( A + B) + C = A + ( B + C )
3) ( AB)C = A( BC )
4) A( B + C ) = AB + AC
5) ( A + B)C = AC + BC
6) ( ) A = ( A)
7) ( AB) = ( A) B = A( B)
8) ( + )A = A + A
9) ( A + B) = A + B
โดยในเอกสารเล่มนี้จะพิสูจน์กฎข้อที่ 4 และกฎข้อที่ 3
พิสูจน์กฎข้อที่ 4 กาหนดให้ A = (aij ) เป็นเมทริกซ์ที่มีมิติคือ m n และเมทริกซ์ B = (bij ) และ C = (cij )
เป็นเมทริกซ์ที่มีมิติคือ n r กาหนดให้ D = A( B + C ) และ E = AB + AC จะได้ว่า
n
dij = aik (bkj + ckj )
k =1
และ
n n
eij = aik bkj + aik ckj
k =1 k =1
n
= aik (bkj + ckj )
k =1
= dij
ดังนั้นจะได้ว่า E=D
ดังนั้นจะได้ว่า
( AB)C = DC = AE = A( BC )
ตัวอย่างที่ 1 ถ้ากาหนดให้
1 2 3 1 1 0
A= , B= , C=
3 4 −2 4 −3 1
วิธีทา
−1 9 1 0 −28 9
( AB)C = =
1 19 −3 1 −56 19
1 2 0 1 −28 9
A( BC ) = =
3 4 −14 4 −56 19
นั้นคือ ( AB)C = A( BC )
1 2 4 1 −6 11
A( B + C ) = =
3 4 −5 5 −8 23
−1 9 −5 2 −6 11
AB + AC = + =
1 19 −9 4 −8 23
นั้นคือ A( B + C ) = AB + AC
การยกกาลังของเมทริกซ์
เนื่องจาก ( AB)C = A( BC ) จึงนิยมเขียนโดยละโดยไม่เขียนวงเล็บเป็น ABC
ตัวอย่างที่ 2 ถ้ากาหนดให้
1 1
A= ,
1 1
จะได้ว่า
1 1
A1 =
1 1
1 1 1 1 2 2
A2 = AA = =
1 1 1 1 2 2
1 1 2 2 4 4
A3 = AA2 = =
1 1 2 2 4 4
และจะได้รูปทั่วไปคือ
2n−1 2n−1
An = n−1 n−1
2 2
การประยุกต์ที่ 1 ตัวแบบพื้นฐานของการคานวณสถานะการสมรส
ในเมืองแห่งหนึ่ง ร้อยละ 30 ของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะหย่าร้างทุกๆ ปี และ ร้อยละ 20 ของผู้หญิงที่เป็นโสด
(รวมคนที่หย่าร้าง) จะแต่งงานในทุกๆ ปี ถ้าเมืองแห่งนี้มีผู้หญิงที่สมรสแล้ว 8000 คน มีผู้หญิงที่เป็นโสด 2000 คน
สมมติให้จานวนประชากรคงที่ จงหาจานวนของผู้หญิงที่สมรสแล้ว และเป็นโสดในอีก 1 ปี และ 2 ปีข้างหน้า
วิธีทา
กาหนดให้ A เป็นเมทริกซ์ที่สมาชิกแถวแรกแสดงร้อยละของผู้หญิงที่สมรสแล้วใน 1 ปีให้หลัง จากผู้หญิงที่สมรส
แล้ว และผู้หญิงที่เป็นโสดตามลาดับ และสมาชิกแถวที่สองแสดงร้อยละของผู้หญิงที่เป็นโสดใน 1 ปีให้หลังจาก
ผู้หญิงที่สมรสแล้วและเป็นโสดตามลาดับ จะได้ว่า
0.70 0.20
A=
0.30 0.80
8000
ให้ x= เป็นเวกเตอร์หลักที่แสดงถึงจานวนของผู้หญิงที่สมรสแล้ว และผู้หญิงที่เป็นโสด และเมื่อ
2000
พิจารณา
0.70 0.20 8000 6000
A x= =
0.30 0.80 2000 4000
2 5 1 1 0 0 2 5 1
3 4 8 0 1 0 = 3 4 8
9 0 0 0 0 1 9 0 0
B = BI = BAC = IC = C
ตัวอย่างที่ 4 กาหนดให้
2 −1
1 2
A= , B= 1 1
1 4 −
2 2
จะได้ว่า
2 −1
1 2 1 0
AB = 1 1 = =I
1 4 − 0 1
2 2
2 −1
1 2 1 0
BA = 1 1 = =I
− 1 4 0 1
2 2
ตัวอย่างที่ 5 กาหนดให้
2 −1 2
A = 1 2 1
0 0 0
จะได้ว่าเมทริกซ์ผกผันของ A
จะได้ว่า
2 −1 2 b11 b12 b13 2b11 − b21 + 2b31 2b12 − b22 + 2b32 2b13 − b23 + 2b33
AB = 1 2 1 b21 b22 b23 = b11 + 2b21 + b31 b12 + 2b22 + b32 b13 + 2b23 + b33
0 0 0 b31 b32 b33 0 0 0
1) ( At )t = A
2) ( A)t = At
3) ( A + B)t = At + Bt
4) ( AB)t = Bt At
โดยในเอกสารเล่มนี้จะพิสูจน์กฎข้อที่ 4
พิสูจน์กฎข้อที่ 4 กาหนดให้ A = (aij ) เป็นเมทริกซ์ที่มีมิติ m n และ B = (bij ) เป็นเมทริกซ์ที่มีมิติ n r
ดังนั้น AB เป็นเมทริกซ์ที่มีมิติ m r กาหนดให้ A = (cij )
ตัวอย่างที่ 6 กาหนดให้
2 1 2 4 3
A = 1 2 1 , … B = 5 −2
2 1 2 1 4
จะได้ว่า
2 1 2 4 3 15 12
AB = 1 2 1 5 −2 = 15 3
2 1 2 1 4 15 12
ดังนั้น
15 15 15
ABt =
12 3 12
พิจารณา
2 1 2
4 5 1 = 15 15 15
AB =
t t
1 2 1
3 −2 4 2 1 2 12 3 12
3. พิจารณา
2 −2
A=
2 −2