Professional Documents
Culture Documents
บทนํา
คํานิยาม
ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Acute coronary syndrome, ACS) หมายถึง กลุม่ อาการโรค
หัวใจขาด เลือดที่เกิดขึ ้นเฉียบพลัน ประกอบด้ วยอาการที่สาํ คัญคือ เจ็บหน้ าอกรุนแรงเฉียบพลัน หรื อ
เจ็บหน้ าอกขณะพัก นานกว่า 20 นาที หรื ออาการเจ็บหน้ าอกซึง่ เกิดขึ ้นใหม่ หรื อรุนแรงขึ ้นกว่าเดิม
จําแนกได้ เป็ น 2 ชนิด คือ ภาวะ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่พบความผิดปกติของคลืน่ ไฟฟ้ าหัวใจมี
ลักษณะ ST segment ยกขึ ้นอย่างน้ อย 2 Leads ที่ตอ่ เนื่องกัน หรื อเกิด LBBB ขึ ้นใหม่ (ST elevation
acute coronary syndrome) และ ภาวะหัว ใจขาดเลือ ดเฉีย บพลัน ที่ไ ม่พ บ ST segment elevation
(Non ST elevation acute coronary syndrome) (สมาคม แพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรม
ราชูปถัมภ์, 2557)
โรคหลอดเลือ ดหัว ใจ (Coronary artery disease: CAD, Coronary heart disease: CHD)
หมายถึงโรค ที่เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดแดงโคโรนารี (Coronary artery) ทําให้ รูหลอดเลือดตีบ
แคบบางส่วนหรื อตีบ ตันทังหมดเป็้ นผลทําให้ เลือดมาเลี ้ยงกล้ ามเนื ้อหัวใจลดลง ไม่พอกับความต้ องการ
ของหัวใจ สาเหตุสว่ นใหญ่เกิด จากหลอดเลือดแดงโคโรนารี แข็งตัวและการสูญเสียความยืดหยุน่ ดังนัน้
จึง อาจมีช ื่อ เรี ย กอีก อย่า งหนึง่ ว่า โรคหัว ใจที่ เกิด จากผนัง หลอดเลือ ดแดงฝอยหนาและแข็ง ตัว
(Arteriosclerotic heart disease: ASHD) แต่ถ้าการแข็งตัวและ การสูญเสียความยืดหยุน่ เป็ นในหลอด
เลือ ดแดงขนาดใหญ่ห รื อ ปานกลางจะเรี ย กอาเทอร์ โ รสคลีโ รซิส หรื อ โรค หลอดเลือ ดแข็ง ตัว
(Atherosclerosis) (Hartshorn et al., 1997, Hatchett & Thrompson, 2007:209-210, Woods,
Froelicher, Motzer & Bridges, 2010:511) โรคหลอดเลือดแข็งตัว ส่วนมากมักจะพบในหลอดเลือด
แดงขนาดใหญ่และขนาดกลางไม่พบในหลอดเลือดแดงขนาดเล็ก (Arteriole) และหลอดเลือดดํา สาเหตุ
จากมี ไขมันมาเกาะบริเวณผนังบุด้านใน (Intimal layer) ของหลอดเลือดแดง ต่อมามีการเปลี่ยนแปลง
โดยมีแคลเซียม และส่วนประกอบของเลือดมาเกาะเกิดเป็ นเนื ้อเยื่อพังผืดหนาๆ (Fibrous plagues)
ผนังหลอดเลือดแดงโคโรนารี จะหนาตัวเรื่ อยๆ จนกระทัง่ หลอดเลือดแดงตีบแคบลงและอาจเกิดการอุด
ตันได้ ทําให้ เนื ้อเยื่อของหัวใจขาดเลือด ไปเลี ้ยง มีผลทําให้ เซลล์ของกล้ ามเนื ้อหัวใจตายจึงเรี ยกว่า โรค
กล้ ามเนื ้อหัวใจตาย (Myocardial infarction)
สาเหตุ
โรคกล้ ามเนื ้อหัวใจตายเฉียบพลันเกิดจากการตีบตันของหลอดเลือดแดงโคโรนารี่ การที่ผ้ ปู ่ วย
เป็ นโรค หลอดเลือดแดงแข็ง ที่เรี ยกว่า Atherosclerosis อยูก่ ่อน ซึง่ เป็ นสาเหตุมากกว่า 90% ของผู้ป่วย
ทังหมด
้ โดย หลอดเลือดแดงแข็ง เกิดจากมีไขมันและเซลล์ที่เกี่ยวข้ องกับการอักเสบต่างๆมาเกาะตัว
เป็ นกลุม่ อยูท่ ี่ผนังของ หลอดเลือดและมีพงั ผืดห่อหุ้มเอาไว้ เรี ยกกลุม่ ที่เกาะตัวนี ้ว่า พลาค (Plaque) จึง
ทําให้ ทางไหลของเลือดแคบลง หากพังผืดเกิดแตกออก (Plaque rupture) สารเคมีที่อยูใ่ น Plaque ก็จะ
ถูกปล่อยออกมาและกระตุ้นให้ เกล็ด เลือดที่อยูใ่ นกระแสเลือดมาเกาะกลุม่ กันที่ผนังหลอดเลือดส่วนนี ้
ตามมาด้ วยการกระตุ้นระบบการแข็งตัวของเลือด ทาให้ ได้ โปรตีนชื่อ ไฟบริ น (Fibrin) มาเกาะรวมกับ
กลุม่ ของเกล็ดเลือด และกลายเป็ นกลุม่ ก้ อนลิ่มเลือดขนาดใหญ่ เรี ยกว่า “ก้ อนลิ่มเลือด (Thrombus)”
ก้ อน Thrombus ที่เกิดขึ ้นนี ้ อาจมีขนาดใหญ่มากจนกระทัง่ อุดตันหลอด เลือดแดง จึงทําให้ เลือดไหล
ผ่านไปไม่ได้ เซลล์กล้ ามเนื ้อที่อยูป่ ลายทางของหลอดเลือดเส้ นนันจึ ้ งเกิดการขาดเลือด มาเลี ้ยงและตาย
ในที่สดุ ซึง่ การเกิดเหตุการณ์นบั ตังแต่
้ กลุม่ Plaque แตกออก จนเกิดก้ อน Thrombus นันเป็ ้ นไป อย่าง
ต่อเนื่องและรวดเร็ว จึง ทําให้ ผ้ ปู ่ วยมีอาการเกิดขึ ้นเฉีย บพลัน (ปราณี ทู้ไ พเราะ, 2554: Griffin and
Topol, 2004: Urden, Staey, and Lough, 2008) ซ งึ่ ใ น ปั จ จ บุ นั น ี ้จ ะ น ิย ม ใ ช้ Acute coronary
syndrome (ACS)
Acute coronary syndrome (ACS) เป็ นชื่อของกลุม่ อาการที่เริ่ มใช้ คํานี ้มาประมาณ 10 ปี กลุม่
อาการนี ้ ประกอบด้ วย ST elevation myocardial infarction (STEMI) Non ST elevation myocardial
infarction(NSTEMI) แ ล ะ Unstable angina (UA) (Woods, Froelicher, Motzer & Bridges,
2010:511) สาเหตุเ กิด การ อุด ตัน ของหลอดเลือ ดแดงโคโรนารี อ ย่า งเฉีย บพลัน จากลิ่ม เลือ ด
(Thrombus) ซึง่ เกิดจากการที่ Plaque ฉีกขาด กระตุ้นปั จจัยการแข็งตัวของเลือดทําให้ เกิดลิ่มเลือ ด
บริ เวณ Plaque เกิดการอุดตันสมบูรณ์อย่างเฉียบพลันเกิด อาการเจ็บหน้ าอก (Chest pain) จากภาวะ
กล้ ามเนื ้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Acute myocardial ischemia หรื อ infarction)
ก า ร แ บ ง่ ช น ิด ข อ ง Acute coronary syndrome (ACS) เ ป็ น 2 ช น ิด ด งั น ี ้ (Hatchett &
Thrompson, 2007, Woods, Froelicher, Motzer & Bridges, 2010)
1. ST elevation myocardial infarction (STEMI) คือภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่พบความ
ผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ST segment ยกขึ ้นอย่างน้ อย 2 leads ที่ตอ่ เนื่องกัน หรื อเกิด Left Bundle
Branch Block (LBBB) ขึ ้นมาใหม่ ซึง่ เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน หากผูู้้ป่วยไม่
ได้ รับ การ เปิ ด เส้ น เลือ ดที่อ ดุ ตัน ในเวลาอัน รวดเร็ ว จะทํา ให้ เ กิด Acute ST elevation myocardial
infarction
2. Unstable angina (UA)/ Non ST elevation myocardial infarction (NSTEMI) เหตุผลที่นํา
Unstable angina มารวมกับ Non ST elevation myocardial infarction เนื่อ งจากทังสอง ้
กลุม่ อาการมักจะมี ก้ อนเลือด (Thrombus) เกิดขึ ้นในหลอดเลือดหัวใจเหมือนกัน การแบ่ง
ระหว่าง UA กับ NSTEMI ขึ ้นอยูก่ บั ระดับ เอ็นไซม์ของหัวใจ (Cardiac enzyme) ถ้ าไม่เพิ่ม
ขึ ้นจากค่าปกติถือเป็ น Unstable angina
ส่วน Stable angina เป็ นกลุม่ อาการเจ็บหน้ าอกที่เกิดจากการตีบแคบของหลอดเลือดหัวใจที่
ค่อนข้ าง คงที่ สามารถทํานายและควบคุมอาการได้ (Hatchett & Thrompson, 2007) เช่น ในขณะพัก
เลือดยังสามารถไป เลี ้ยงกล้ ามเนื ้อหัวใจเพียงพอ แต่เมื่อออกกําลังกาย เลือดจะไปเลี ้ยงกล้ ามเนื ้อหัวใจ
ไม่เพียงพอ ทําให้ เกิดอาการเจ็บ หน้ าอก ในขณะออกกําลังกายหรื อทํางานหนัก
ปั จจัยเสี่ยง
ปั จจัยเสี่ยงที่เป็ นตัวเร่งให้ เกิดภาวะกล้ ามเนื ้อหัวใจตายเฉียบพลันมี 2 กลุม่ ชนิดปั จจัยหลัก คือ
ปั จจัยที่ไม่ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และ ปั จจัยที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (Griffin and Topol, 2004:
Urden, Staey, and Lough, 2008)
1. ปั จจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ประกอบด้ วย
- เพศ เพศชายมีความเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง
- อายุ เพศชายอายุเกิน 40 ปีขึ ้นไปมีโอกาสพบหลอดเลือดแข็งตัวได้ มาก เพศหญิงที่มีประจํา
เดือนแล้ วพบได้ บอ่ ยใกล้ เคียงกับเพศชาย
- ประวัติครอบครัว ครอบครัวที่มีคนเป็ นโรคหัวใจเกี่ยวกับหลอดเลือดโคโรนารี จะมี
โอกาสเสี่ยงต่อการเป็ นโรคมากกว่าครอบครัวที่ไม่มีโรคนี ้
2. ปั จจัยเสี่ยงที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
- ภาวะไขมันในเลือดสูง ( hyperlipidemia ) คือ ภาวะที่มีความผิดปกติของการเผาผลาญไข
มันใน ร่างกาย ทําให้ ร่างกายมีระดับไขมันในเลือดอยูใ่ นเกณฑ์ที่ไม่เหมาะสม เป็ นผลให้ เกิดความเสี่ยง
ต่อ การเกิด ภาวะ หลอดเลือดแดงแข็ง (Artherosclerosis) และทํา ให้ เกิด โรคหัว ใจและหลอดเลือ ด
(cardiovascular diseases) ตามมา โดยทัว่ ไปเรามักจะรู้ จกั ไขมันดีและไขมันไม่ดี ซึง่ ไขมันดี ทางการ
แพทย์หมายถึง ไขมันที่มีความหนาแน่นสูง (High density lipoprotein, HDL) ส่วนไขมันไม่ดีหมายถึง
ไขมันที่มีความหนาแน่นต่ำ (Low density lipoprotein, LDL) ไขมันไม่ดี (LDL) มีหน้ าที่สําคัญในการ
ขนส่งไขมันคอเลสเตอรอลและยังเป็ นสารตังต้ ้ นในการ ผลิตไขมันประมาณเกือบครึ่งหนึง่ ของไขมัน
ทังหมดออกสู
้ ก่ ระแสเลือด ส่วนไขมันดี (HDL) เป็ นไขมันที่มีขนาดเล็ก ที่สดุ และมีสว่ นสําคัญในการทําไข
มันคอเลสเตอรอลแตกตัวและขับออกสูต่ บั ในรูปของน้ำดี ดังนันหากร่ ้ างกาย คนเรามีไขมันดีต่ำ (HDL <
35 มก./ดล.) มักจะสัมพันธ์กบั การเพิ่มภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง และเกิดโรคหัวใจ
และหลอดเลือดตามมาได้
- ความดันโลหิตสูง (hypertension) เป็ นปั จจัยเสี่ยงที่สําคัญต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
เฉียบพลัน เนื่องจากในภาวะความดันโลหิตสูงผนังหลอดเลือดจะบีบแรง เพราะมีแรงดันจากการไหลของ
เลือดแดงเพิ่มขึ ้น ส่งผลให้ มีแรงกดลงบนผนังหลอดเลือดมากกว่าปกติ ทําให้ ผนังหลอดเลือดถูกทําลาย
ซึง่ ส่งผลให้ สารที่มีไขมันไป เกาะติดได้ งา่ ย เมื่อสะสมมากขึ ้นจะทําให้ หลอดเลือดตีบแคบได้ ถ้าเกิดขึ ้นที่
หลอดเลือดแดงที่ไปเลี ้ยงหัวใจ จะทําให้ เลือดไหลไปเลี ้ยงหัวใจไม่เพียงพอเกิดภาวะกล้ ามเนื ้อหัวใจขาด
เลือด ถ้ าเกิดกับหลอดเลือดสมองอาจทําให้ เกิดภาวะ สมองขาดเลือด (stroke)
- โรคเบาหวาน (diabetes mellitus) เป็ นโรคที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ซึง่ เป็ นผล
จากที่ ร่างกายสร้ างฮอร์ โมนอิน ซูลินลดลง หรื อ ร่างกายตอบสนองต่อฤทธิ์ของฮอร์ โมนอิน ซูลนิ ลดลง
ฮอร์ โมนอินซูลิน นอกจากจะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดแล้ วยังมีผลต่อ การเผาผลาญไขมันในร่างกาย
ด้ วย โดยมีฤทธิ์ยบั ยังการ ้ สลายไขมันในร่างกาย ดังนัน้ ผู้ป่วยเบาหวานจึงพบความผิดปกติของระดับไข
มันในเลือดได้ บอ่ ยกว่าคนทัว่ ไป กล่าวคือ ผู้ป่วยเบาหวานมักจะพบความผิดปกติของระดับไตรกลีเซอร์
ไรด์ที่สงู ขึ ้น และระดับ HDL ลดลง ส่วน ระดับ LDL ไม่แตกต่างจากคนที่ไม่เป็ นเบาหวาน แต่กลไกการ
เกิด หลอดเลือดแดงแข็ง ในโรคเบาหวานเกิด จากการ ที่ระดับน้ำตาลในเลือ ดที่ส งู ขึ ้นทํา ให้ เกิด การ
เปลี่ยนแปลงของชันเยื ้ ่อบุภายในหลอดเลือด ทําให้ มีการสูญเสียหน้ าที่ ส่งผลให้ มีการเปลี่ยนแปลงของ
การหดและการขยายตัวของหลอดเลือด การซ่อมแซมหลอดเลือดที่ได้ รับบาดเจ็บ ทําให้ เกิดการอักเสบ
ทําให้ เกิดการรวมตัวของเกล็ดเลือดที่เพิ่มขึ ้นอย่างรวดเร็ ว ทําให้ เกิดการรวมตัวอย่างถาวรของ เกร็ ดเลือด
- การสูบบุหรี่ (smoking) บุหรี่ เป็ นปั จจัยเสี่ยงโดยตรงของโรคหัวใจขาดเลือด โดยเฉพาะใน
คนที่สบู บุหรี่ จดั ทังนี ้ ้เนื่องจากในบุหรี่ มีสารคาร์ บอกมอนอกไซด์ (carbonmonoxide) นิโคติน (nicotin)
และสารต่าง ๆ ซึง่ ทําลายผนังด้ านในของหลอดเลือดและกระตุ้นการหลัง่ ให้ สารแคทิโคลามีนออกมามาก
ทําให้ เกิดการเกาะของ เกร็ดเลือด (platelet aggregation) มากขึ ้นและทําให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงของไข
มันต่าง ๆ เช่น สารนิโคตินจะลด อัตราส่วนของ HDL และ LDL โดยจะทําให้ ระดับของ HDL ต่ำลง และ
LDL สูง ขึ ้น นอกจากนี ้การสูบ บุห รี่ ย งั ทํา ให้ เ กิด การเปลี่ย นแปลงของสารขนส่ง ออกซิเ จน (oxygen
transportation) ทําให้ หวั ใจเต้ นเร็วขึ ้นและความดันโลหิต สูงขึ ้น
- โรคอ้ วน (obesity) กลไกทางพยาธิสภาพมิได้ ชี ้บ่งโดยตรงว่าความอ้ วนมีความสัมพันธ์กบั
โรคหัวใจ ขาดเลือดแต่มกั จะพบว่า คนที่อ้วนจะมีภาวะหลอดเลือดแข็งได้ บอ่ ย แต่อาจจะเป็ นเพราะว่า
คนอ้ วนอาจจะมีโรค อื่นๆ แทรกด้ วย เช่น มีความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โดยพบว่า
ระดับ LDL และไตรกลีเซอร์ ไรด์สงู แต่ HDL ต่ำ
- ความเครี ย ด (stress) ในภาวะที่ม ีค วามเครี ย ดร่า งกายจะหลัง่ ฮอร์ โ มนชนิด หนึง่ ชื่อ
อิพิเนฟฟริ น (Epinephirin) ซึง่ มีผลทําให้ ความดันโลหิตสูงขึ ้น เมื่อมีภาวะความดันโลหิตสูงโอกาสที่ผนัง
หลอดเลือดด้ านในจะถูก ทําลายย่อมมีมากขึ ้นและอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดย่อมมีมาก
ขึ ้น
- การละเลยการออกกําลัง (lack of proper exercise) เป็ นปั จจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคกล้ าม
เนื ้อหัวใจ ตาย เนื่องจากการออกกําลังกายทําให้ สมรรถภาพการทํางานของหัวใจดีขึ ้น ชีพจรหรื อหัวใจ
เต้ นช้ าลง ซึง่ ถือว่าเป็ น การประหยัดการทํางานของหัวใจ นอกจากนี ้การออกกําลังกายยังช่วยลดไขมัน
ในเลือดชนิด LDL และเพิ่มไขมัน ชนิด HDL มากขึ ้น ซึง่ สามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้
การออกกําลังกายที่จะมีผลต่อการเผาผลาญ พลังงานและช่วยลดไขมันในเลือด ต้ องเป็ นการออกกําลัง
กายให้ หวั ใจเต้ นระหว่าง 60 - 80 เปอร์ เซ็นต์ ของ ความสามารถสูงสุดที่หวั ใจของคน ๆ นันจะเต้้ นได้
(target heart rate) ในทางปฏิบตั ิถ้าไม่มีเครื่ องมือช่วยจะ ตรวจวัดได้ ลําบาก แต่สามารถประมาณการ
โดยให้ สงั เกตว่าออกกําลังกายแล้ วรู้สกึ เหนื่อยพอมีเหงื่อออก การออก กําลังกายที่ดที ี่สดุ เพื่อเพิ่ม
สมรรถภาพของปอดและหัวใจคือ การเดินเร็ ว การวิ่งจ๊ อกกิ ้ง เต้ นรํ า เต้ นแอโรบิค เป็ นต้ น บุคลิกภาพ
(personality type) ที่มีลกั ษณะเป็ นคนใจร้ อน ทําอะไรด้ วยความรี บร้ อนมีความก้ าวร้ าว มีความคิด
แข่งขันไม่มีความอดกลัน้ เรี ยกว่า บุคลิกภาพ ชนิดเอ (type A personality) ผู้ที่มีบคุ ลิกภาพชนิด เอ พบ
ว่าจะเป็ นโรคหัวใจขาดเลือดได้ บอ่ ยทังหญิ
้ งและชาย กลไกการเกิดยังไม่สามารถอธิบายได้ ชดั เจนแต่พบ
ว่า ผู้ที่มีบคุ ลิกภาพดังกลาวจะมีภาวะความดันโลหิตสูง และการทํางานของเกร็ ดเลือดผิดปกติ
พยาธิสภาพ
เมื่อหลอดเลือดแดงโคโรนารี่ ตีบแข็ง จะทําให้ หลอดเลือดฉีกขาดง่ายหากหลอดเลือดได้ รับบาด
เจ็บ พังผืด (Plaque) จะฉีกขาด และกระตุ้นให้ เกิดการเกาะกลุม่ ของเกล็ดเลือดและเกิดก้ อนลิ่มเลือด ทํา
ให้ หลอดเลือดแดงโค โรนารี่ อดุ ตันจึงขัดขวางการไหลเวียนเลือด ทําให้ เกิดกล้ ามเนื ้อหัวใจขาดเลือดไป
เลี ้ยง หากขาดเลือดนาน 20 นาที กล้ ามเนื ้อหัวใจจะตายและส่งผลให้ เกิดการเจ็บหน้ าอกภายใน 8-10
วินาทีหลังจากที่มีการไหลเวียนของเลือดลดลง เมื่อหัวใจขาดเลือดออกซิเจนจะเกิดเมตาบอลิซมึ แบบไม่
ใช้ ออกซิเจนทําให้ Adenosine triphosphate (ATP) ลด น้ อยลง และมีกรดแลกติกทําให้ เซลล์ทํางาน
น้ อยลง และถูกเอ็นไซม์ไลโซโซมที่อยูภ่ ายในเซลล์ทําลาย เมื่อร่างกายมี ภาวะกรด ทําให้ การนําไฟฟ้าผิด
ปกติ หัวใจเต้ นผิดปกติ และหัวใจสูบฉีดเลือดลดลง หากมีกล้ ามเนื ้อหัวใจตายจะทํา ให้ เอ็นไซม์ที่อยู่
ภายในเซลล์ถกู ขับออกมาในกระแสเลือดซึง่ ตรวจพบได้ ทางห้ องปฏิบตั ิการ กล้ ามเนื ้อหัวใจตายไป
แล้ ว 6 ชัว่ โมง จึงจะพบว่าบริเวณกล้ ามเนื ้อหัวใจจะมีลกั ษณะซีด อาจมีจ้ำเขียวและบวม ใน 24 ชัว่ โมง
ต่อมาเม็ด เลือดขาวชนิดโพลีมอร์ โ ฟนิว เคลีย ร์ (Polymorphonuclear) จะเข้ ามากลืน กินเซลล์ที่ตาย
กล้ ามเนื ้อหัวใจบางส่วน อาจดีขึ ้น บางส่วนจะเป็ นพังผืดจากการสร้ างเนื ้อเยื่อเกี่ยวพันจากไฟโบรบลาสท์
และกลายเป็ นแผลเป็ นโดยใช้ เวลา 2-3 เดือน กล้ ามเนื ้อหัวใจจะตายมากหรื อน้ อยขึ ้นกับขนาดของหลอด
เลือดแดงโคโรนารี่ ที่ตีบตัน และระยะเวลาที่ ตีบตัน รวมทังการไหลเวี
้ ยนเสริ มจากหลอดเลือดข้ างเคียง
(Collateral vessels) บริเวณของหัวใจที่พบว่ามีการ ตายมากที่สดุ คือผนังด้ านหน้ าของหัวใจห้ องล่าง
ซ้ า ยใกล้ ก บั ยอดหัว ใจ (Anterior wall of left heart) เนื่อ งจาก หลอดเลือ ดแดงโคโรนารี่ ซ้ า ย (Left
coronary artery) อุดตัน บริเวณที่มีกล้ ามเนื ้อหัวใจได้ รับออกซิเจนไม่เพียงพอ จะมี 3 ลักษณะ คือ มี
เซลล์ต าย (Infarction) มีเ ซลล์ท ี่ไ ด้ รับ บาดเจ็บ (Injury) และมีเ ซลล์ท ี่ข าดเลือ ดไปเลี ้ยง (Ischemia)
(ปราณี ทู้ไพเราะ, 2554; วิทยา ศรี ดามา, 2548; Griffin and Topol, 2004;Urden, Staey and Lough,
2008)
อาการและอาการแสดงทางคลินิก
อาการเจ็บหน้ าอกข้ างซ้ ายเป็ นอาการที่พบบ่อย อาการเจ็บหน้ าอกชนิด angina pectoris เป็ น
อาการเจ็บ หน้ าอกที่จําเพาะต่อโรค โดยจะมีอาการเจ็บแบบแน่นๆ หนักๆ เหมือนมีของหนักทับบริ เวณ
อกซ้ าย อาจมีอาการ แน่นอึดอัด รู้สกึ หายใจไม่ออก พบอาการเจ็บร้ าว (refer pain) ไปยังบริ เวณแขน
ซ้ ายด้ านใน เจ็บร้ าวบริเวณกราม หรื อลําคอได้ อาการเจ็บหน้ าอกมักเป็ นขณะพักหรื อออกแรงเพียงเล็ก
น้ อย และเป็ นอยูน่ านมากกว่า 15-20 นาที ในรายที่มีประวัติโรคหัวใจตีบมาก่อนอาจพบลักษณะอาการ
เจ็บหน้ า อกที่รุนแรงและความถี่มากกว่าปกติ ผู้ป่วย อาจมีอาการอื่น ๆร่วมด้ วย เช่น อาการเหนื่อ ย
หายใจไม่เต็มปอด นอนราบไม่ได้ จากภาวะหัวใจล้ มเหลว อาการใจ สัน่ หัวใจเต้ นผิดจังหวะ ในรายที่มี
อาการรุนแรงอาจตรวจพบภาวะช็อคร่วมด้ วย (ปราณี ทู้ไพเราะ, 2554: วิทยา ศรี ดามา, 2548: Griffin
and Topol, 2004: Urden, Staey, and Lough, 2008)
อาการเจ็บหน้ าอกเป็ นอาการนําที่สําคัญในผู้ป่วยโรคกล้ ามเนื ้อหัวใจตายเฉียบพลันและอาการ
เจ็บหน้ าอก จะเพิ่มมากขึ ้นตามการตีบแคบของหลอดเลือดแดงโคโรนารี่ ถ้ ามีการตีบแคบมากกว่าร้ อยละ
70 ผู้ป่วยจะมีอาการ เจ็บแน่นหน้ าอกเมื่อออกแรง แต่ถ้าพักอาการเจ็บแน่นหน้ าอกจะดีขึ ้น ซึง่ ความรุนแรง
ของอาการเจ็บ แน่น หน้ า อก สามารถแบ่ง ออกได้ เ ป็ น 4 ระดับ ตามสมาคมโรคหัว ใจของแคนาดา
(Canadian Cardiovascular Society Classification, CCSC)
การแยกระดับความรุนแรงของอาการเจ็บแน่นอกโดยใช้ Canadian Cardiovascular Society
(CCS)Classification ดังนี ้
การรั กษา
จุดประสงค์ของการรักษาผู้ป่วยโรคกล้ ามเนื ้อหัวใจตายเฉียบพลัน คือทําให้ หลอดเลือดที่อดุ ตัน
กลับมามี เลือดไหลเวียนได้ ตามปกติอีกครัง้ ให้ เร็ วที่สดุ เท่าที่จะทําได้ เพื่อช่วยรักษาเซลล์กล้ ามเนื ้อที่
ขาดเลือดให้ ฟืน้ กลับมา ทํางานได้ ตามปกติ ยิ่งให้ การรักษาเร็ วเท่าใด ก็จะมีประโยชน์ตอ่ ผู้ป่วยมาก
เท่านัน้ การดูแลผู้ป่วยที่ห้องฉุกเฉิน ตังแต่้ ผ้ ปู ่ วยเข้ ามาถึง จึงมีความสําคัญมาก ตามโรงพยาบาลต้ องมี
ทางด่วนพิเศษ (Chest pain pathway) สําหรับ ผู้ป่วยกลุม่ นี ้ การประเมินอย่างรวดเร็ ว ตรวจคลืน่ ไฟฟ้า
หัวใจภายใน 10 นาที ได้ รับยา Fibrinolysis ภายใน 30 นาที ทํา Percutaneous Intervention: PCI
ภายในเวลา 90+30 นาที เฝ้ าระวังภาวะฉุกเฉินที่อาจเกิด Early Defibrillation (แผนภูมิ ที่ 1) ทังนี ้ ้เพื่อ
ให้ การวินิจฉัยที่เร็วที่สดุ และเริ่มให้ การรักษาเร็ วที่สดุ เท่าที่จะทําได้ การดูแล ผู้ป่วยอาจแบ่งได้ เป็ นระยะ
ต่างๆ ดังนี ้ (วิทยา ศรีดามา, 2548)
1. การดูแลในระยะฉุกเฉิน (Emergency care) จุดประสงค์หลักคือ วินิจฉัยให้ เร็ วที่สดุ และรี บ
ประเมิน อัตราเสี่ยงผู้ป่วย การทํา ให้ อาการเจ็บหน้ าอกหายโดยการให้ ย า Morphine เป็ นยาระงับ
อาการปวดและยาระงับ ความวิตกกังวล ผู้ป่วยที่มีอาการเครี ยดจะทําให้ ระบบประสาทซิมพะเทติคเพิ่ม
ขึ ้น เป็ นผลทําให้ ความต้ องการ ออกซิเจนเพิ่มมากขึ ้น ผู้ป่วยกล้ ามเนื ้อหัวใจตายเฉียบพลันหลังจากอม
ยาไนโตรกลีเซอรี นแล้ วยังคงมีอาอากรเจ็บ หน้ าอกจําเป็ นต้ องใช้ มอร์ ฟีนซัลเฟต (Morphine sulfate)
ขนาด 3 มก. ผสมสารละลายทําให้ เจือจางเป็ น 10 ซีซี ฉีดเข้ าทางหลอดเลือดดํา อาการข้ างเคียง ทําให้
หัว ใจเต้ น ช้ า ความดัน โลหิต ต่ำ และกดการหายใจ พยาบาลควร ประเมิน และเฝ้ าระวัง CHF,
Cardiogenic shock และที่สําคัญคือ Sudden cardiac arrest เตรี ยมอุปกรณ์และยา ในภาวะฉุกเฉิน
ให้ พร้ อม Early Defibrillation เพื่อจะได้ ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ ทนั เวลา
2. การดูแลในระยะแรก (Early care) การพิจารณาให้ reperfusion therapy อย่างเร็ วที่สดุ เท่า
ที่จะทํา ได้ เพื่อลดขนาดของการตายของกล้ ามเนื ้อหัวใจ ป้ องกัน infarct extension และ expansion
การให้ ย ากลุม่ ละลายลิ่มเลือดอย่า งรวดเร็ ว รวมทังการรั ้ ก ษาภาวะหัว ใจล้ มเหลว ช็อ ก และ life-
threatening arrhythmia การรักษาเช่น การให้ ยาต้ านการแข็งตัวของเลือดภายใน 30 นาทีและการทํา
Percutaneous Intervention: PCI ภายในเวลา 90(+,-)30 นาที
ยาต้ านการแข็งตัวของเลือด (Antithrombolytic, Thrombolytic, Anticoagulant drugs) โรค
หลอดเลือดหัวใจที่เกิดจากหลอดเลือดแดงแข็งตัวการยืดหยุน่ ไม่ดีทําให้ มีโอกาสเกิดบาดแผลภายใน
หลอดเลือด เกิดการเกาะกลุม่ ของเกร็ดเลือด เป็ นผลทําให้ หลอดเลือดอุดตันอย่างเฉียบพลันเกิดอาการ
กล้ ามเนื ้อหัวใจตายอย่าง เฉียบพลัน (Acute myocardial infarction) จึงจําเป็ นต้ องได้ รับการรักษาอย่าง
รี บด่วน โดยให้ ยาต้ านการแข็งตัว ของเลือด เพื่อให้ เลือดไปเลี ้ยงกล้ ามเนื ้อหัวใจเพิ่มมากขึ ้น ยาต้ านการ
แข็งตัวของเลือด แบ่งออกเป็ น 3 กลุม่ ดังนี ้
1) ยาต้ านเกร็ดเลือด (Antiplatelet agents) เป็ นยาขัดขวางการเกาะกลุม่ ของเกร็ ดเลือด ที่
นิยมใช้ กนั คือแอสไพริน (Aspirin) ไดไพริดาโมล (Dipyridamole หรื อ Persantine)
2) ยาละลายลิ่มเลือด (Thombolytic agents) ช่วยละลายลิ่มเลือดที่อดุ ตันในหลอดเลือดแดง
โคโร นารี โดยออกฤทธิ์ทําให้ ไฟบรินสลายตัวโดยอาศัยเอ็นไซม์พลาสมิน (Plasmin) หรื อไฟบริ โนไลซิน
(Fibrinolysin) การใช้ เอ็นไซม์ละลายลิ่มเลือดต้ องระวังอันตรายที่อาจเกิดจากเลือดไหลไม่หยุดซึง่ ฤทธิ ์
ของเอ็นไซม์นี ้จะมีผลต่อไป ประมาณ 12-24 ชัว่ โมงหลังจากหยุดยาแล้ ว ยาละลายลิ่มเลือดที่สําคัญคือ
สเตร็ ปโตไคเนส (Streptokinase: SK) และยูโรไคเนส (Urokinase)
สเตร็ปโตไคเนส (Streptokinase: SK) จะจับกับพลาสมิโนเจน (Plasminogen) ในกระแส
เลือด เกิดเป็ นสารประกอบที่ไปกระตุ้นพลาสมิโนเจนให้ เปลี่ยนเป็ นพลาสมิน (Plasmin) ไปย่อยไฟบริ น
(Fibrin) ขนาดที่ ใช้ 750,000 IU ใน 5 % Dextrose หรื อ Normal saline 125-250 ซีซี หยดเข้ าทางหล
อดเลือดดําใน 30 นาที
ติดตามความดันโลหิตอย่างต่อเนื่องถ้ าไม่ต ่ำลงให้ อีก 750,000 IU รวมเป็ น 1,500,000 IU ใน 60 นาที
แล้ วให้ เฮฟ พาริน (Heparin) ต่ออีก 750-1,000 IU ต่อ 1 ชัว่ โมง อีก 3-5 วันจากนันให้ ้ ยาต้ านเกร็ ดเลือด
ต่อไปจนกว่าจะได้ รับ การรักษาโดยการทําผ่าตัดหรื อใช้ บอลลูนขยายหลอดเลือด
ยูโรไคเนส (Urokinase) เป็ นสารสกัดจากปั สสาวะคนไม่ทําให้ เกิดปฏิกิริยาแพ้ เหมือนสเต
ร็ ปโต ไคเนสผลข้ างเคียงน้ อยกว่าแต่ไม่คอ่ ยนิยมใช้ เพราะราคาแพงกว่ามาก
3) ยาต้ านเลือดเเข็งตัว (Anticoagulant agents) เป็ นสารป้องกันเลือดแข็งตัวแต่ไม่สามารถ
ละลายลิ่ม เลือดได้ ยาต้ านเลือดเเข็งตัวที่สาํ คัญคือเฮฟพาริ น (Heparin) ออกฤทธิ์กระตุ้นการทํางาน
ของแอนตี ้ทรอมบริน 3 (Antithrombin III) ทําให้ ปัจจัยการแข็งตัวของเลือดหมดไป เฮฟพาริ นไม่ดดู ซึม
ทางทางเดินอาหารจึงให้ ทาง หลอดเลือดดําอาจให้ ฉีดหรื อหยดเข้ าทางหลอดเลือดดํา ส่วนวาร์ ฟาริ น
(Warfarin หรื อ Caumadin) เป็ นยาต้ าน เลือดเเข็งตัวชนิดรับประทาน มักให้ ในผู้ป่วยลิ ้นหัว ใจเทียม
อาการข้ างเคียง ภาวะเลือดออกง่าย ยาแก้ ฤทธิ์คือ วิตามินเค (Vitamin K)
ฟาร์ ซิพาริน (Fraxiparine) หรื อ อิน็อกซาพาริ น (Enoxapalin) เป็ นกลุม่ Anticoagulant :
Low molecular weight heparin ฉีดเข้ าชันใต้ ้ ผิวหนัง (Deep SC injection) วันละ 1-2 ครัง้ (1 mg/kg)
ประมาณ 3- 5 วัน อาการข้ างเคียง ภาวะเลือดออกง่าย
การทํา Percutaneous Intervention: PCI เป็ นการสอดใส่สายสวนหัว ใจเพื่อการตรวจ
วิน ิจ ฉัย และการขยายหลอดเลือ ดในภาวะฉุก เฉิน ได้ แ ก่ การขยายหลอดเลือ ดด้ ว ยบอลลูน
(Percutaneous transluminal coronary angioplasty) หรื อใส่ขดลวด (Stent)
3. การดูแลในภายหลังจากระยะแรก (Subsequent care) การดูแลในระยะต่อมาหลังจากให้
reperfusion เช่น การให้ ย ารับ ประทาน ประกอบด้ ว ย ASA, ACE inhibitor, Nitrate, Calcium
antagonists, Magnesium และ Lidocaine เพื่อลดอัตราการตาย ลดอาการเจ็บหน้ าอก และเพิ่มการบีบ
ตัวของหัวใจ เป็ นต้ น
4. การดูแลในระยะการก่อนออกจากโรงพยาบาล การประเมินอัตราเสี่ยงและการป้องกันการก
ลับเป็ นซ้ำ (Risk assessment and prevention) การประเมินอัตราเสี่ยงก่อนออกจากโรงพยาบาล และ
การป้ องกันการกลับ เป็ นซ้ำ การเกิดหัวใจล้ มเหลว และลดอัตราตาย การประเมินอัตราเสี่ยง ประเมิน
จากอาการทางคลิน ิก โดยกลุม่ ที่ม ี ความเสี่ย งสูง ได้ แ ก่ hypotension, congestive heart failure,
malignant arrhythmia ผู้ที่ยงั มีอาการเจ็บ หน้ าอก หรื อมีอาการเจ็บหน้ าอกขณะที่มีการออกแรงเพียง
เล็กน้ อย เป็ นต้ น ส่วนการป้องกันการกลับเป็ นซ้ำ คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น การได้ รับ
คําแนะนําให้ หยุดบุหรี่ ควบคุมปั จจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง รวมทัง้
การแนะนําในเรื่ องของการฟื น้ ฟูสมรรถภาพหัวใจ การรับประทาน อาหาร หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง
อาหารเค็ม ผู้ป่วยที่เป็ นโรคเบาหวานควรได้ รับการควบคุมระดับน้ำตาลให้ อยู่ ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
อาหารที่ดีเป็ นอาหารจําพวกผัก และปลา (เฉลิมศรี สุวรรณเจดีย์, 2553;ปราณี ทู้ไพเราะ, 2554; วิทยา
ศรี ดามา, 2548; Griffin and Topol, 2004; Urden, Staey and Lough, 2008)
การพยาบาล
การพยาบาลผู้ป่วยโรคกล้ ามเนื ้อหัวใจตายเฉียบพลันต้ องครอบคลุมทัง้ 4 ระยะคือการดูแลใน
ระยะฉุกเฉิน (Emergency care) การดูแลในระยะแรก (Early care) การดูแลในภายหลังจากระยะแรก
(Subsequent care) และ การดูแลในระยะการก่อนออกจากโรงพยาบาล มีเป้าหมายที่สําคัญคือ การลด
หรื อจํากัดกล้ ามเนื ้อหัวใจที่ขาด เลือดหรื อกล้ ามเนื ้อหัวใจตายให้ น้อยที่สดุ การประเมินและบรรเทา
อาการเจ็บแน่นหน้ าอก การป้ องกัน ภาวะแทรกซ้ อน การฟื น้ ฟูสมรรถภาพหัวใจและร่างกายให้ เร็ วที่สดุ
และการให้ ความรู้เพื่อป้องกันการกลับเป็ นซ้ำ โดยการใช้ กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยแบบองค์
รวม การประเมินสภาพผู้ป่วย มีวตั ถุประสงค์เพื่อให้ ผู้ป่วยได้ รับการวินิจฉัยที่รวดเร็ วและได้ รับการรักษา
ที่ถกู ต้ อง สามารถบรรเทาอาการต่างๆได้ อย่างรวดเร็ ว โดยการ ซักประวัติเกี่ยวกับอาการเจ็บแน่นหน้ าอก
โดยใช้ แนวทางตาม PQRST mnemonic (ตารางที่ 2) (เฉลิมศรี สุวรรณ เจดีย์, 2553: ปราณี ทู้ไพเราะ
และคณะ, 2555: ผ่องพรรณ อรุณแสง, 2555)
การวินิจฉัยการพยาบาลและการพยาบาล
1. ข้ อวินิจฉัยทางการพยาบาลในระยะฉุกเฉิน (Emergency care)
1.1 มี ภาวะกล้ามเนือ้ หัวใจตาย เนือ่ งจากกล้ามเนือ้ หัวใจขาดเลื อด
วัตถุประสงค์ :ลดการเกิ ดกล้ามเนือ้ หัวใจขาดเลื อดเพิ่ มขึ้น
เกณฑ์ การประเมิ นผล:ผูป้ ่ วยไม่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก pain scale 0 สัญญาณชี พปกติ
กิ จกรรมการพยาบาลและเหตุผล
1. ดูแลให้ ได้ รับยา Nitroglycerin 1 tab อมใต้ ลิ ้น ตามแผนการรักษา ติดตามการตอบสนองต่อยาและ
ความดันโลหิตถ้ าอาการยังไม่ดีขึ ้น อาจให้ ซ้ำได้ ทกุ 5 นาที โดยติดตามประเมิน สัญญาณชีพ และ EKG
monitoring เพื่อบรรเทาอาการเจ็บ/ปวด ทําให้ หลอดเลือดดําขยายตัวเป็ นการลด preload ลดการใช้
ออกซิเจนของกล้ ามเนื ้อหัวใจลง และในขณะเดียวกัน ทําให้ หลอดเลือดแดงเล็กส่วนปลายขยายตัวบรรเทา
อาการ spasm และมีผลทําให้ หลอดเลือดหัวใจขยายตัว เนื่องจากการขยายตัวของหลอดเลือดแดงจะทํา
ให้ แรงต้ านการบีบตัวของหัวใจลดลง และการขยายตัวของหลอดเลือดดํา
2. ดูแลให้ ยา มอร์ ฟีน ตามแผนการรักษา เพื่อระงับอาการปวดอย่างรุนแรง และทําให้ หลอดเลือดขยายตัว
ลดการทํางานของหัวใจ ลดการใช้ ออกซิเจนของกล้ ามเนื ้อหัวใจ เฝ้าระวังความดันโลหิตต่ำและการเต้ นของ
หัวใจผิดปกติ
3. ดูแลให้ ออกซิเจน ตามแผนการรักษา ถ้ าผู้ป่วยหายใจเร็ วหรื อระดับ oxygen saturation ลดลง ควรให้
อย่างต่อเนื่องตามแผนการรักษาและควรให้ ระดับ oxygen saturation มากกว่าร้ อยละ 95 เพื่อเพิ่มระดับ
ออกซิเจนในเลือดไปเลี ้ยงกล้ ามเนื ้อหัวใจและลดการทํางานของหัวใจ
4. ดูแลให้ ได้ รับยาละลายลิ่มเลือดตามแผนการรักษา เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้ อนต่างๆ ประเมิน สัญญาณชีพ
ประเมินอาการเจ็บแน่นหน้ าอก EKG monitoring สังเกตและประเมินภาวะเลือดออกผิดปกติเพื่อให้ เลือด
สามารถนําออกซิเจนไปเลี ้ยงกล้ ามเนื ้อหัวใจได้ เพิ่มมากขึ ้น
5. ประเมินอาการเจ็บแน่นหน้ าอก ลักษณะตําแหน่ง ความรุนแรง อาการเจ็บร้ าว ระยะเวลาที่เป็ น และ
ตรวจคลื่นหัวใจ 12 lead ทุกครัง้ ที่มีอาการเจ็บหน้ าอกเพื่อหาสาเหตุของอาการเจ็บหน้ าอก และเปรี ยบ
เทียบอาการหลังการรักษา โดยเฉพาะการประเมินความปวดอาการปวดหรื ออาการเจ็บหน้ าอกควรลดลง
หลังจากการได้ รับการรักษา
กิ จกรรมการพยาบาลและเหตุผล
1. เฝ้าระวังอาการเลือดออกในอวัยวะที่สาํ คัญ เช่นเลือดออกในสมอง เฝ้าระวัง neurological signs
ประเมินสัญญาณชีพ EKG monitoring เนื่องจากการละลายลิ่มเลือดจากฤทธิ์ของยา จะออกฤทธิ์ทงั ้
ร่างกาย
2. ไม่ควรแทงน้ำเกลือหรื อเจาะเลือดทางหลอดเลือดดําระหว่างให้ ยา หลีกเลี่ยงการเจาะเลือดเท่าที่ทําได้ .
เนื่องจากฤทธิ์ของยาจะยับยังการเกิ
้ ด clot ทําให้ เลือดหยุดช้ า
3. เฝ้าระวัง EKG อย่างต่อเนื่อง เฝ้าระวังคลื่นหัวใจที่หรื อเต้ นผิดจังหวะชนิดต่างๆเนื่องจากการให้ ยา
อาจทําให้ หวั ใจเต้ นผิดจังหวะจากการที่เลือดสามารถไหลเวียนไปเลี ้ยงหัวใจใหม่ (reperfusion) และ
ประเมินการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจใหม่
4. สังเกตปั สสาวะ อุจจาระ อาเจียน เลือดออกตามไรฟั นเพื่อประเมิน internal bleeding
5. เฝ้าระวัง PT PTT ให้ อยูใ่ นระดับ 2.5 เท่าของค่าปกติเพื่อเป็ นการประเมินระดับการแข็งตัวของเลือดที่
เหมาะสมสําหรับผู้ป่วยกล้ ามเนื ้อหัวใจตายที่ไม่สง่ ผลต่อ prolong bleeding
2.2 เสีย่ งต่อการเกิ ดภาวะแทรกซ้อนจากการทํา Percutaneous Coronary Intervention
(PCI)
วัตถุประสงค์: ป้ องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆทีอ่ าจเกิ ดขึ้น เช่น หัวใจเต้นผิ ดจังหวะ ภาวะ
เลือดออก heart attack hematoma เป็ นต้น
เกณฑ์การประเมิ นผล: ผูป้ ่ วยไม่มีอาการเจ็บหน้าอก ไม่มีภาวะหัวใจเต้นผิ ดจังหวะ การฉี ก
ขาดของหลอดเลือดแดงในปอด ไม่มีอาการหายใจเหนือ่ ยหอบ หรื อหายใจลําบาก v/s อยู่
ในเกณฑ์ปกติ
กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล
1. ประเมินสัญญาณชีพ EKG monitor ประเมินอาการเจ็บหน้ าอก ใจสัน่ 1. เพื่อประเมินภาวะกล้ ามเนื ้อ
หัวใจขาดเลือดภายหลังจากที่มีการถ่างขยายหลอดเลือด และความผิดปกติของการเต้ นของหัวใจ
2. ประเมินและเปรี ยบเทียบชีพจรส่วนปลาย สีผิว และความอุน่ ของผิวหนังแขนหรื อขาข้ างที่ทําเพื่อประเมิน
การอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี ้ยงอวัยวะส่วนปลาย
3. ประเมินอาการปวด ทุก 15 นาที 4 ครัง้ ทุก 30 นาที 4 ครัง้ เมื่ออาการคงที่ประเมินทุก 1 ชัว่ โมงเพื่อ
ประเมินอาการปวดแผลจากการทําหัตถการและเพื่อให้ ยาลดหรื อบรรเทาอาการปวด เพื่อให้ ผ้ ปู ่ วยสุขสบาย
4. ตรวจสอบการมีเลือดออกบริเวณแผล และเลือดออกใต้ ผิวหนัง ร่วมกับประเมินสัญญาณชีพ ทุก 15 นาที
4 ครัง้ ทุก 1 ชัว่ โมง 4 ครัง้ เมื่ออาการคงที่ประเมินทุก 1 ชัว่ โมงเพื่อประเมินการปิ ดของบาดแผลและภาวะ
เลือดออกจากการทําหัตถการและการได้ รับยาละลายลิ่มเลือดขณะทําหัตถการ
5. สังเกตอาการแพ้ สารทึบรังสี เช่น คลื่นไส้ อาเจียนผื่นที่ผวิ เป็ นต้ นเพื่อประเมินการแพ้ สารไอโอดีนที่เป็ น
ส่วนผสมในสารทึบแสง
6. สังเกตการถ่ายปั สสาวะ ถ้ า 6 ชัว่ โมงไม่ถ่ายปั สสาวะพิจารณาสวนปั สสาวะเพื่อประเมินการไหลเวียน
ของเลือดเลี ้ยงส่วนต่างๆของร่างกายและการขับสารทึบรังสีออกจากร่างกาย
7. บันทึกภาวะแทรกซ้ อนของหลอดเลือดดําที่พบ เช่นขนาดของ hematoma (วัดขนาดกว้ างยาวเป็ นเซ็นติ
เมตร)ลักษณะของก้ อนเลือด (แข็งหรื อนุ่ม) สีผวิ อุณหภูมิ และการคลําชีพจรส่วนปลาย 7. เพื่อประเมิน
ภาวะเลือดไหลไม่หยุด และการอุดตันของหลอดเลือด รวมทังการอั ้ กเสบของหลอดเลือด
เกณฑ์การประเมิ นผล:
1) ไม่พบอาการของภาวะหัวใจล้มเหลว เช่น หายใจเร็ ว เหนือ่ ยหอบ นอนราบไม่ได้ ไอมี
เสมหะ หรื อเสมหะเป็ นฟอง การตรวจร่างกายไม่พบบวมตามแขน ขา ฟั งปอดไม่พบ crepitation
2) VS อยู่ในเกณฑ์ปกติ
3) I/O อาจ negative balance จากการรักษาในระยะแรก ต่อมาจะสมดุล
4) ไม่มีอาการของ Right side HF :ไม่มี neck vein engored ไม่มีอาการบวมน้ำหนัก
ตัวไม่เพิ่ม
5) ไม่มีอาการ Left side HF: ไม่มีอาการหอบเหนือ่ ย นอนราบไม่ได้ ไอเป็ นเลื อดปน
ฟองอากาศสีชมพู เจ็บหน้าอก ใจสัน่ เวียนศรี ษะอ่อนเพลี ย
กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล
1. ฟั งเสียงการหายใจ บันทึกอัตราการหายใจ ความลึกรูปแบบ และความสะดวกของการหายใจทุก 1-4
ชัว่ โมงเนื่องจากอาการหายใจลําบากแสดงถึงการได้ รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
2. ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจล้ มเหลวข้ างขวา ได้ แก่ หายใจเร็ ว หายใจหอบขณะมี
กิจกรรม หายใจลําบาก นอนราบไม่ได้ ไอมีเสมหะเสมหะเป็ นฟอง ฟั งปอดได้ ยนิ เสียงหายใจเบาลง มีเสียง
แทรก เช่น crepitation หลอดเลือดดําจูกลู า่ ร์ โป่ งพองวัดค่า pulmonary artery wedge pressure ได้ สงู
ขึ ้นวัดค่า pulmonary artery wedge pressure ได้ สงู ขึ ้นวัดค่า pulmonary artery wedge pressure ได้
สูงขึ ้นไอเป็ นเลือดปนฟองอากาศสีชมพู เจ็บหน้ าอก ใจสัน่ เวียนศรี ษะอ่อนเพลีย เนื่องจากการมีภาวะ
ปอดบวมน้ำหัวใจล้ มเหลว จะขัดขวางการแลกเปลี่ยนก๊ าซออกซิเจนและคาร์ บอนไดออกไซด์ที่ถงุ ลมปอด
ค่า PCWP > 18 มิลลิเมตรปรอทแสดงถึงการมีปริ มาตรน้ำเกิน
3. จัดท่านอนศีรษะสูง จํากัดกิจกรรมในช่วงที่มีการหายใจลําบาก ช่วยเหลือในการเปลี่ยนท่าที่เหมาะสม
ตามที่ผ้ ปู ่ วยต้ องการเนื่องจาก. ท่านอนศีรษะสูงทําให้ การขยายตัวของปอดดีขึ ้นส่งเสริ มการได้ รับ
ออกซิเจน และท่านอนศีรษะสูงลดปริมาตรเลือดที่กลับเข้ าสูห่ วั ใจ ลดการคัง่ ของเลือดในปอด การช่วย
เหลือผู้ป่วยช่วยลดความต้ องการออกซิเจน
4. ประเมินสีผิว เวลาการบรรจุของหลอดเลือดฝอย(capillary refill time) อาการเจ็บหน้ าอก และระดับ
ความรู้สกึ ตัวทุก 2-4 ชัว่ โมงเนื่องจากอาการของภาวะขาดออกซิเจน ได้ แก่ อาการเขียวคล้ำ เวลาการบรรจุ
ของหลอดเลือดฝอยที่นานกว่า 3 นาที อารมณ์หงุดหงิด ปวดศีรษะ สับสน และเจ็บหน้ าอก
5. ดูแลให้ ผ้ ปู ่ วยพักผ่อนมากที่สดุ จัดสิ่งแวดล้ อมให้ เงียบสงบ หรื อให้ ยาลดปวด ยาผ่อนคลาย.เพื่อลดการ
ใช้ ออกซิเจนและส่งเสริมให้ ผ้ ปู ่ วยได้ พกั ผ่อนเพื่อเพิ่มปริ มาตรของออกซิเจนไปยังกล้ ามเนื ้อหัวใจ
6. ให้ ออกซิเจนแคนนูลา 4-6 ลิตรต่อนาทียกเว้ นในรายที่มีภาวะขาดออกซิเจนเรื อ้ รัง ซึง่ อาจให้ 2 ลิตรต่อนา
ทีแนะนําให้ ใช้ ออกซิเจนตลอดเวลา โดยเฉพาะขณะทํากิจกรรม และติดตามค่าความอิ่มตัวของออกซิเจน
ในเลือดแดงด้ วยเครื่ องวัดออกซิเจนที่ปลายนิ ้วเครื่ องวัดออกซิเจนที่ปลายนิ ้วใช้ ติดตามค่าความอิ่มตัวโดย
ไม่รบกวนผู้ป่วย ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนที่ต่ำแสดงถึงภาวะขาดออกซิเจน
7. ควบคุมการให้ สารน้ำ โดยเฉพาะสารน้ำที่ใช้ ผสมยาให้ ทางหลอดเลือดดํา ต้ องผสมโดยใช้ สารละลาย
น้ อยที่สดุ ต้ องใช้ เครื่ องควบคุมอัตราการหยดหรื อปริ มาตรการไหล สําหรับน้ำดื่มต้ องจํากัดตามแผนการ
รักษา และมีการจัดแบ่งน้ำดื่มให้ เหมาะสมกับมื ้ออาหารและยาที่รับประทาน ลด Pre load จํากัดน้ำ
ดื่มควบคุมสารน้ำ (การให้ ยาทาง Infusion pump การผสมยาจะเข้ มข้ นกว่าคนปกติเช่น 2:1, 4:1
เป็ นต้ น)เพื่อป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้ มเหลว การจัดแบ่งน้ำดื่มต้ องพิจารณาตามกิจกรรมในแต่ละวัน
มื ้ออาหาร และยาที่รับประทาน โดยทัว่ ไปจะแบ่งปริ มาตรน้ำในช่วงกลางวันมากกว่ากลางคืน
8. บันทึกน้ำเข้ าและออกอย่างรอบครอบ อย่างน้ อยทุก 8 ขัว่ โมง ชัง่ น้ำหนักทุกวันในเวลาเดิม คือ หลังตื่น
นอนตอนเช้ าเพื่อตรวจสอบความสมดุลของน้ำเข้ าและออกจากร่างกาย
9. จํากัดเกลือในอาหารและเครื่ องดื่มตามที่กําหนดแนะนําอาหารที่ต้องงดเว้ นหรื ออาหารที่ควรรับประทาน
ที่มีโปแทสเซียมสูงเช่น ส้ ม กล้ วย ในรายที่ได้ รับยาขับปั สสาวะหรื อรายที่ไม่มีข้อห้ ามเนื่องจากการลดอาหาร
ที่มีเกลือ จะช่วยควบคุมปริมาตรน้ำในร่างกาย ลดการคัง่ ของเลือดในปอด ยาขับปั สสาวะทําให้ มีการสูญ
เสียโปแทสเซียม ซึง่ ภาวะโปแทสเซียมในเลือดต่ำ อาจทําให้ เกิดภาวะหัวใจเต้ นผิดจังหวะได้ ง่ายจึงอาจ
ชดเชยได้
10. ให้ ยาตามแผนการรักษา ติดตามผลของยาและง่ายๆทางอาหารอาการข้ างเคียงของยา ยาที่ใช้ เช่น ยา
เพิ่มการบีบตัวของหัวใจ ยาขับปั สสาวะเนื่องจาก. ยาเพิ่มการบีบตัวของหัวใจ ช่วย ลด After load ยาขยาย
หลอดเลือดแดง ลดแรงต้ านการบีบตัวของหัวใจลดการทํางานของหัวใจ ลดความต้ องการออกซิเจนของ
กล้ ามเนื ้อหัวใจ ยาขับปั สสาวะลดการคัง่ ของน้ำในร่างกาย และลดการคัง่ ของเลือดในปอด ช่วยทําให้ หวั
ใจทําหน้ าที่ได้ ดีขึ ้น
การพยาบาลด้ านจิตใจ
3.3 กลัว เนื่องจากเป็ นภาวะทีค่ ุกคามชีวิต และวิตกกังวลเกี่ยวกับความเจ็บป่ วยจาก
การกลัวตาย
วัตถุประสงค:ผูป้ ่ วยและครอบครัวพูดคุยถึงความรู้สึกกลัว กังวลใจ การพยากรณ์ โรค การ
รักษาและผลกระทบต่อการดําเนิ นชี วิตหรื อแบบแผนการดําเนิ นชี วิต และสามารถใช้กลไก
ในการเผชิ ญปั ญหาได้อย่างมี ประสิ ทธิ ภาพ มี ความกลัวและความวิ ตกกังวลลดลง
เกณฑ์การประเมิ นผล:พุดคุยสิ่ งทีก่ ลัวและกังวล สอบถามวิ ธีการแก้ไขปั ญหา ผูป้ ่ วยมี อาการ
กลัว ลดลงและบอกว่ากลัวและวิ ตกกังวลลดลง
กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล
1. จัดพยาบาลให้ ดแู ลผู้ป่วยเฉพาะรายอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการดูแลอย่างต่อเนื่องส่งเสริ มความรู้สกึ
ปลอดภัยแก่ผ้ ปู ่ วยและความรู้สกึ ไว้ วางใจต่อบุคลากร
2. พูดคุยและกระตุ้นให้ ผ้ ปู ่ วยและครอบครัวซักถามปั ญหาต่างๆเนื่องจากการให้ ข้อมูลที่ตรงเกี่ยวกับ
สถานการณ์จะลดความกลัว ส่งเสริมสัมพันธภาพผู้ป่วยกับพยาบาลและช่วยให้ ผ้ ปู ่ วยและครอบครัวเผชิญ
ปั ญหาโดยตรง
3. เปิ ดโอกาสให้ ผ้ ปู ่ วยและครอบครัวระบายความรู้สกึ กลัวเนื่องจากการแลกเปลี่ยนข้ อมูลช่วยในการ
สนับสนุนทางด้ านจิตใจและลดความตึงเครี ยดพร้ อมทังระบายความวิ ้ ตกกังวล
4. อธิบายให้ ผ้ ปู ่ วยเข้ าใจว่าการประเมินสุขภาพบ่อยๆ เช่นการวัดความดันโลหิต เป็ นสิ่งปกติไม่ใช่ทําเมื่อผู้
ป่ วยอาการไม่ดี เนื่องจากผู้ป่วยรู้สกึ มัน่ ใจเมื่อได้ รับการประเมินสัญญาณชีพบ่อยๆ
5. ควรมีการทบทวนข้ อมูลเดิมที่ให้ แก่ผ้ ปู ่ วยเป็ นระยะๆเนื่องจากความสนใจของผู้ป่วยอาจสัน้ และการรับ
รู้เกี่ยวกับเวลาอาจเปลี่ยนไป ความกังวลส่งผลให้ การรับรู้และความสนใจลดลง
6. จัดสภาพแวดล้ อมให้ สงบ ผ่อนคลายแก่ผ้ ปู ่ วยและญาติ การให้ ผ้ ปู ่ วยได้ ฟังดนตรี ที่ชอบเนื่องจากสภาพ
แวดล้ อมที่สงบ ช่วยให้ การทํางานของหัวใจและการใช้ ออกซิเจนลดลง
3.4 แบบแผนการนอนหลับผิ ดปกติ เนือ่ งจากเจ็บหน้าอกและไม่คนุ้ เคยกับสิ่ งแวดลอมในโรง
พยาบาล
วัตถุประสงค์ : ผูป้ ่ วยมีการนอนหลับพักผ่อนทีเ่ พียงพอและมี คณ
ุ ภาพ
เกณฑ์การประเมิ นผล: ผูป้ ่ วยบอกว่านอนหลับพักผ่อนเพียงพอ ไม่ถูกปลุกตืน่ หรื อ
ขัดจังหวะการ นอน ไม่มีพฤติ กรรมหงุดหงิ ด สัปงก ขอบตาเขี ยวคล้ำ หน้าตาอิ ดโรย
กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล
1. สอบถามแบบแผนการนอนหลับและแบบแผนกิจกรรมก่อนนอนที่เคยทําเป็ นประจำเนื่องจากการ
ประเมินความคุ้นเคยจะช่วยให้ สามารถจัดสิ่งแวดล้ อมให้ ใกล้ เคียงกับที่ค้ นุ เคยมากที่สดุ
2. ประเมินสิ่งที่รบกวนการนอนหลับ เช่น การนอนราบไม่ได้ หายใจลําบาก เหนื่อยล้ าตอนกลางคืน
ปั สสาวะบ่อยเจ็บปวด กลัว วิตกกังวล กลัวการอยูต่ ามลําพัง มีเสียง/แสงรบกวน การถูกรบกวนขณะนอน
การให้ ยาและการรักษาในช่วงเวลานอนเนื่องจาก. ให้ ได้ ข้อมูลในการวางแผนส่งเสริ มการนอนหลับพัก
ผ่อน ช่วยจัดการ เสียง ความสับสน และตัวกระตุ้นที่มากเกินไป
3. จัดท่านอนยกศีรษะสูง เปลี่ยนการให้ ยาขับปั สสาวะเป็ นช่วงเช้ าหรื อกลางวันแทนให้ ยาลดปวดตามจํา
เป็ นเนื่องจากการจัดท่าให้ สขุ สบายทําให้ พกั ผ่อนได้ การแก้ ไขสิ่งที่ขดั ขวางการนอนหลับจะช่วยให้ นอน
หลับได้ อย่างต่อเนื่อง
4. จัดสิ่งแวดล้ อม เช่นปิ ดผ้ าม่าน เปิ ดไฟหรี่ ในเวลากลางคืน ลดการใช้ เสียงเนื่องจากลดสิ่งกระตุ้น ส่ง
เสริ มการนอนหลับ และลดการรบกวน
5. ให้ การดูแลก่อนนอน เช่น ให้ ยาขับถ่ายอุจจาระให้ เรี ยบร้ อย นวดหลัง ทําความสะอาดปากฟั น เตรี ยม
หมอนผ้ าห่มให้ เพียงพอและปรับอุณหภูมิห้องให้ เหมาะสม เพื่อให้ พกั ผ่อนโดยปราศจากความไม่สขุ สบาย
6. จัดตารางกิจกรรมการพยาบาลต่างๆให้ เหมาะสม คือจัดให้ พร้ อมกันในคราวเดียวกัน การตรวจวัดต่างๆ
จัดตามที่จําเป็ นเพื่อไม่รบกวนการนอนหลับ
7. รายงานแพทย์เมื่อให้ การดูแลต่างๆแล้ วผู้ป่วยยังพักผ่อนไม่ได้ แพทย์อาจพิจารณาให้ ยานอนหลับ หรื อ
อื่นๆซึง่ ต้ องติดตามประเมินผลของยาด้ วยเพื่อการนอนหลับที่ไม่เพียงพอทําให้ กระบวนการหายใจ
4. การฟื ้ นฟูสมรรถภาพหัวใจ
ข้อวิ นิจฉัยทางการพยาบาล ความทนต่อกิ จกรรมลดลง เนือ่ งจากเหนือ่ ยล้า จาก
ปริ มาตรเลือดที ่ หัวใจ ส่งออกต่อนาทีลดลง
วัตถุประสงค์: ผูป้ ่ วยปฎิ บตั ิ กิจกรรมทีก่ ํ าหนดไว้ได้โดยไม่มีอาการเจ็บหน้าอก หายใจลําบาก
เกณฑ์การประเมิ นผล:ผูป้ ่ วยมีความทนต่อกิ จกรรมเพิ่ มมากขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจขณะ
ออกกํ าลัง กายเพิ่มขึ้นไม่เกิ น 20 ครั้งต่อนาที เมื อ่ เทียบกับอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก ชี พจรหลังทํา
กิ จกรรมแล้วพักนาน 3 นาที เพิ่มไม่เกิ น 6 ครั้งต่อนาทีเมื อ่ เทียบกับขณะพัก หลังมี กิจกรรม ความดันซี ส
โตลี ไม่เกิ น 40 มิ ลลิ เมตรปรอท และความดันไดแอสโตลีไม่เกิ น 20 มิ ลลิ เมตรปรอท หัวใจเต้นสม่ำเสมอ
ไม่มีการเต้นผิ ดจังหวะ ECG ไม่มี ST ยกตัว สูงขึ้น (ST evaluation) ไม่บ่นเจ็บหน้าอก ไม่อ่อนเพลี ย
ไม่มีอาการหายใจลําบากหรื อมึนงงขณะทํากิ จกรรม
กิจกรรมการพยาบาล
การกําหนดกิจกรรมโดยอาศัยระดับเมทส์ (Metabolic equipments: METS)
1. METS = พลังงานที่ต้องการในขณะที่ร่างกายกําลังพักเต็มที่ (Complete rest) ในท่านัง่
เพื่อให้ มี การนําออกซิเจนประมาณ 3-3.5 มิลลิลิตรต่อกิโลกรัมต่อนาทีมาใช้ ค่าของพลังงานที่กําหนด
เป็ นเมทส์ (METS) นี ้ สามารถนําไปใช้ เปรี ยบเทียบกับลักษณะของกิจกรรมที่แตกต่างกันแต่ใช้ พลังงาน
เท่ากันจึงเป็ นประโยชน์ในการ กําหนดกิจกรรมต่างๆที่อยูใ่ นขอบเขตความสามารถในการออกกําลังกาย
ของผู้ป่วย
การกําหนดพลังงานที่ผ้ ปู ่ วยกล้ ามเนื ้อหัวใจตายใช้ ในระยะต่าง ๆ
1. ระยะเฉียบพลัน เป็ นระยะที่ผ้ ปู ่ วยอยูใ่ นหอผู้ป่วยหนักหัวใจ (Coronary care unit: CCU)
ระยะ
24 ชัว่ โมงแรก (3-5 วัน) กําลังงานที่ควรใช้ 1-2 METS
2. ระยะพักฟื น้ เป็ นระยะที่ผ้ ปู ่ วยอยูใ่ นหอพักฟื น้ หัวใจ (Intermediate coronary care unit:
ICCU) ระยะต่อจากหอผู้ป่วยหนักหัวใจ กําลังงานที่ควรใช้ 2-3 METS และในหอผู้ป่วยก่อนกลับบ้ าน
ระยะ 10-14 วัน กําลังงานที่ควรใช้ 3-4 METS
3. ระยะพักฟื น้ ที่บ้าน เมื่อผู้ป่วยกลับไปพักฟื น้ ที่บ้านกําลังงานที่ควรใช้ ระยะแรก 3.5-4
METS ระยะหลังประมาณ 4-8 อาทิตย์ 5-6 METS ระยะยาว 7+ METS
การเริ่มต้ นและการหยุดการฟื น้ ฟูสมรรถภาพหัวใจ
การเริ่มต้ น ขันตอนแรกจะเริ
้ ่ มประมาณ 3-5 วันภายหลังกล้ ามเนื ้อหัวใจตายหรื อภายหลัง
การผ่าตัด ทําทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจเมื่อผู้ป่วยไม่มีอาการเจ็บหน้ าอก วันที่ 3 ผู้ป่วยที่จะเริ่ มจะต้ อง
ไม่มีภาวะแทรกซ้ อน จากกล้ ามเนื ้อหัวใจขาดเลือดหรื อตาย เช่นไม่มีภาวะหัวใจวายไม่มีภาวะช็อคไม่มี
พื ้นที่ของกล้ ามเนื ้อหัวใจตายขนาด ใหญ่ไม่มีหวั ใจเต้ นผิดจังหวะที่อนั ตรายไม่มีอาการเจ็บหน้ าอก ไม่มี
moderate ถึง severe aortic stenosis ไม่มี Pulmonary embolism ไม่มีหวั ใจเต้ นผิดปกติที่ไม่สามารถ
ควบคุมได้ โดยแบ่งการเฝ้าระวังขณะทําการฟื น้ ฟู โดยเฉพาะในกลุม่ เสี่ยงที่มีพื ้นที่การตายของกล้ ามเนื ้อ
หัวใจมากโดยเฉพาะหัวใจล่างซ้ าย ที่มีประสิทธิภาพการ ทํางานของหัวใจล่างซ้ ายน้ อยกว่า 50% (EF <
50%)
เป้าหมายของการฟื น้ ฟูสมรรถภาพหัวใจควรเริ่ มต้ นให้ เร็ วที่สดุ โดยไม่เกิดอันตราย การเริ่ ม
ต้ นต้ อง เป็ นขันเป็
้ นตอนจากน้ อยไปหามากเช่นการบริ หารการหายใจ บริ หารข้ อต่างๆบนเตียงใน 3 วัน
แรก วันที่ 4-5 นัง่ บนเตียงห้ อยขาโดยมีเก้ าอี ้รองเท้ าทัง้ 2 ข้ างไว้ นัง่ นาน 5 นาที ให้ บริ หารท่านัง่ ห้ อยขา
วันที่ 5-6 เดินระยะสัน้ ให้ ลุกลงมายืนข้ างเตียง บริ หารอุน่ เครื่ องเดินรอบๆเตียง นัง่ เก้ าอี ้นาน 30 นาที
เดินในระยะใกล้ ๆ วันที่ 6-7-บริหารท่า
ยืนเป็ นการอุน่ เครื่ อง -เดินในระยะทาง 8-10 เมตร-เดินเข้ าห้ องน้ำพร้ อมพยาบาล วันที่ 7-8 เดินระยะ
ยาว-บริ หาร ท่ายืนเป็ นการอุน่ เครื่ อง เดินเป็ นระยะทาง 10-30 เมตร -เดินลงบันได 1 ชัน้ (ขึ ้นด้ วยลิฟต์)
5. การพยาบาลในระยะการก่ อนออกจากโรงพยาบาล
ข้อวิ นิจฉัยทางการ
5.1 ผูป้ ่ วยขาดความรู้ในการดูแลตนเอง
วัตถุประสงค์: ผูป้ ่ วยมีความรู้ ความเข้าใจและสามารถดูแลตนเองได้อย่างถูกต้องเมื อ่
ออกจากโรงพยาบาล
เกณฑ์การประเมิ นผล:ผูป้ ่ วยและครอบครัวสามารถอธิ บายเกี ่ยวกับการปฏิ บตั ิ ตวั เพือ่ ไม่
ให้อาการเจ็บหน้าอก หรื ออาการของโรคกําเริ บและไม่กลับเข้ารับการรักษาซ้ำในโรงพยาบาล
กิจกรรมการพยาบาล ให้ ความรู้แก่ผ้ ปู ่ วยเรื่ องการปฏิบตั ิตวั ดังต่อไปนี ้
1. การออกกําลังกายแต่พอดี และสม่ำเสมอตามแผนการรักษาของแพทย์
2.การใช้ ยาไนโตรกลีเซอรี นอมเมื่อเจ็บหน้ าอก หรื ออมก่อนที่ตนเองจะเผชิญกับภาวะ
เครี ยด ยา นี ้จะต้ องติดตัวอยูต่ ลอดเวลา และนําออกมาใช้ ง่าย และสะดวกเมื่อเกิดอาการ แพทย์อาจจะ
ให้ ผ้ ปู ่ วยบางคน รับประทานยา กลุม่ Isosorbide dinitrate คือกลุม่ Isordil ซึง่ ออกฤทธิ์ได้ นานกว่าโตรก
ลีเซอรี น ยาไนโตรกลีเซอ รี นที่ยงั มีฤทธิ์ดีจะมีรสซ่า ไม่ควรจะซื ้อยาพวกนี ้เก็บไว้ นานเกิน 2 เดือน เพราะ
อาจเสื่อมฤทธิ์ได้ เมื่อมีอาการเจ็บ หน้ าอก ให้ อมยาใต้ ลิ ้น 1 เม็ดรอให้ ยาละลายแล้ วกลืน ขณะอมยาใต้
ลิ ้นให้ พกั หรื อนอนพักเพราะยามีฤทธิ์ ในการขยายหลอดเลือดอาจทําให้ ความดันโลหิตต่ำรอประมาณ
10 นาที อาการยังไม่ดีขึ ้นให้ อมยาใต้ ลิ ้นอีก 1 เม็ด ถ้ าอาการเจ็บหน้ าอกยังไม่ดีขึ ้นให้ รีบมาโรงพยาบาล
ขณะเดินทางมาโรงพยาบาลถ้ ามีอาการเจ็บหน้ าอกสามารถอมยา ใต้ ลิ ้นได้
3. การให้ คําแนะนําก่อนผู้ป่วยกลับบ้ านโดยการควบคุมปั จจัยเสี่ยงที่ทําให้ เกิดโรคหลอดเลือด
3.1 รักษาน้ำหนักตัวให้ พอเหมาะ อย่าให้ น้ำหนักมากเกินไป
3.2 ควบคุมระดับไขมันในเลือด ลดอาหารไขมันลง
3.3 หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเกลือมากเกินไป
3.4 งดดื่มเครื่ องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ เชื่อว่าสารนิโคตินในบุหรี่ จะกระตุ้น
ประสาทซิมพาเททิค ต่อมหมวกไตชัน้ medulla ให้ หลัง่ แคทีโคลามีนมากขึ ้น ทําให้ หวั ใจเต้ นเร็ ว และแรง
ขึ ้น หลอดเลือดหดตัว หัวใจจึงต้ องทํางานหนัก ทําให้ ความต้ องการออกซิเจนสูงขึ ้น นอกจากนันยั ้ งเชื่อว่า
ผลของ นิโคตินที่ทําให้ มีการหลัง่ แคทีโคลามีน ยิ่งทําให้ โคเลสเตอรอล และไนโตรกลีเซอไรด์สงู ขึ ้น รวมทัง้
มีการเกาะกลุม่ ของเกร็ดเลือด (Platelet) เพิ่มขึ ้น
3.5 ควบคุมโรคที่เป็ นสาเหตุนําทําให้ เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรื อโรคที่ทําให้ หวั ใจต้ อง
ทํางานหนัก เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็ นต้ น
3.6 แพทย์มกั จะให้ รับประทานยาแอสไพริ น เพื่อป้ องกันการแข็งตัวของเลือดวันละ 1-2 เม็ด ให้ รับ
ประทานหลังอาหารทันที เพื่อป้องกันอาการปวดแสบในท้ อง
3.7 หลีกเลี่ยงความเครี ยดและอารมณ์รุนแรง ผู้ป่วยบางคนแพทย์อาจจะต้ องให้ ยากล่อม ประสาท
อย่างไรก็ตาม พยาบาลมีสว่ นที่จะช่วยผู้ป่วยในเรื่ องนี ้ได้ อย่างมาก ถ้ ามีความเข้ าใจในเรื่ องภาวะ
เครี ยด และผลที่เกิดกับหัวใจ
3.8 เพศสัมพันธ์สามารถมีเพศสัมพันธ์ ได้ 2- 4 สัปดาห์ หลังจากกลับบ้ าน แต่ต้องขึ ้นกับ ความพร้ อม
ของผู้ป่วยแต่ละราย โดยอัตราการเต้ นของหัวใจไม่เกิน 120 ครัง้ /นาที และความดันซิสโตลิคต่ำกว่า 170
มม.ปรอท ไม่ควรมีกิจกรรมหลังอาหารมื ้อหนัก หรื อมีกิจกรรมอื่นๆที่หนัก เช่น ออกกําลังกาย หรื อถ้ าจะมี
กิจกรรมจะต้ องรออย่างน้ อย 2 ชัว่ โมง
3.9 การมาตรวจตามแพทย์ เพื่อติดตามการรักษาและการดําเนินของโรค
สรุ ป
เอกสารอ้ างอิง
Griffin, B. P. & Topol, E. J. (2004). Manual of cardiovascular medicine (2nd ed.). Philadelphia: Lippincott
Williams & Wilkins.
Hatchett, R. & Thompson, D. (2007). Cardiac Nursing: A Comprehensive guide (2nded.).
Churchill
Livingstone. USA.
Timmerman, H. G. I., Emanuels-Zuurveen, S. E., & Emmelkamp, G. M. P. (2000). Assessment the
Social Support Inventory (SSI): A brief scale to assess perceived adequacy of social
support. Clinical Psychology and Psychotherapy, 7, 401–410.
Urden, L. D., Staey, K. M., & Lough, M. E. (2008). Critical care nursing (5th ed.). Missouri, United
Stated, Elsevies Mosby.
Woods. S. L, Froelicher, E. S. S., Motzer S. U., & Bridges, E. J. (2010). Cardiac Nursing (6th
ed.).
Lippincott Williama & Wilkins, USA.
World Health Organization. (2013). World Health Statistics 2013. WHO library Cataloguing-in-
Publication. Retrived October7, 2014, from http:// WHO_EN_WHS2013-Full.pdf.
คําถามท้ ายบทความ
ผู้ป่วยชาย อายุ 50 ปี อาศัยอยูก่ บั ครอบครัว ผู้ป่วยเป็ นหัวหน้ าครอบครัวรายได้ หลักในการเลี ้ยง
ดู ครอบครัวมาจากการทํางานของผู้ป่วย ผู้ป่วยให้ ประวัติวา่ ขณะนัง่ เล่นในบ้ าน มีอาการแน่นบริ เวณ
กลางอก จุก บริเวณลิ ้นปี่ อมยา NTG 1 เม็ดใต้ ลิ ้น ทุก 5 นาที 3-4 เม็ดอาการไม่ดีขึ ้น ญาติเห็นผู้ป่วย
หน้ าซีด เหงื่อออกจํานวน มาก จึงโทรศัพท์เรี ยกรถพยาบาลมารับเพื่อเข้ ารับการรักษาในโรงพยาบาลใกล้
บ้ าน ผู้ป่วยถึงห้ องฉุกเฉินตรวจ สัญญาณชีพ อุณหภูมิ 37.2 องศาเซลเซียส ชีพจร 96 ครัง้ ต่อนาที อัตรา
การหายใจ 26 ครัง้ ต่อนาที นอนราบไม่ได้ ความดันโลหิต 130/60 mmHg ออกซิเจนตรวจจับที่ปลายนิ ้ว
96% ยังคงมีอาการเจ็บหน้ าอก pain scale score 8 ฟั งปอดได้ ยินเสียง Fine crepitation ทังสองข้ ้ าง
EKG 12 Leads พบ ST segment ยกสูงขึ ้นมากกว่า 0.1 mm ใน lead II,III,AVF การรักษาที่ได้ รับ ออก
ซิเจนแคนูลา 4 ลิตร/นาที แอสไพริน 325 มิลลิกรัมรับประทาน ทันที ไนโตรไกลเซอร์ รีน 0.4 มิลลิกรัมอม
ใต้ ลิ ้น ฉีดยามอร์ ฟิน 2 มิลลิกรัม dilute 10 ซีซี ทางหลอดเลือดดํา ผล การตรวจทางห้ องปฏิบตั ิการ พบ
troponin I และ CK-MB สูงกว่าปกติ ต่อมามีแผนการรักษา NTG IV drip ทาง Infusion pump titrate
ทีละ 3 microdrip ทุก 5 นาที จนหาย chest pain keep BP > 90/60 mmHg ยา Enoxaparin 0.6 ml
subcutaneous ทุก 12 hr X 5 วัน จากการซักประวัติ บิดาผู้ป่วยเสียชีวิตกระทันหันขณะ อายุ 55 ปี สูบ
บุหรี่ เมื่ออายุ25 ปี เลิกสูบบุหรี่ มาประมาณ 20 ปี เจาะเลือดเมื่อ 6 เดือนที่ผา่ นมาพบ Cholesterol 205
mg/dl ไม่ได้ รับประทานยา ปฏิเสธโรคประจําตัว ไม่มีประวัติแพ้ ยาหรื ออาหาร จากสถานการณ์ดงั กล่าว