You are on page 1of 92

แนวข้อสอบจริง บทที่ 1 เซต

1. เซตในแต่ละข้อต่อไปนี้มีอยูจ่ ริง ถูกหรือผิด [O52]


(ก) เซตจำกัดที่เป็นสับเซตของเซตจำกัด (ข) เซตจำกัดที่เป็นสับเซตของเซตอนันต์
(ค) เซตอนันต์ที่เป็นสับเซตของเซตจำกัด (ง) เซตอนันต์ที่เป็นสับเซตของเซตอนันต์

2. กำหนดให้ A  {, a, b, {a}} ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P52A]


(ก)   A (ข) {}  A
(ค) {b}  A (ง) {a, {a}}  A

3. กำหนดให้ A  {0, 1, {0, 1}, {0, 1, }} ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P52B]


(ก) {0, 1}  A (ข) {0, 1}  A
(ค) {0, 1, }  A (ง) {0, 1, }  A

4. ถ้ำ A  B  {d, f, h} , B  A  {a, c, e} [O49]


และ A  B  {a, b, c, d, e, f, g, h, i} แล้ว ให้หำ AB

5. เมื่อกำหนดแผนภำพของเซตดังรูป A C [O56]
ให้แรเงำบริเวณที่แทนเซต (A  B)'  C B

6. บริเวณที่แรเงำในแผนภำพแต่ละข้อต่อไปนีห้ มำยถึง C  (B  A) ถูกหรือผิด [O57]


(ก) A B (ข) B C (ค)
B C
A A

C
7. ให้เขียนแผนภำพแรเงำแทนเซต ((C  A)  (C  B))  ((A  C)  (A  B  C)) [O54]

8. ให้ A, B, C เป็นเซตใดๆ ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P55B]


(ก) (A  B)  C  (A  C)  (B  C) (ข) (A  B)  C  (A  C)  (B  C)
(ค) A  (B  C)  (A  B)  (A  C) (ง) A  (B  C)  (A  B)  (A  C)

9. ถ้ำ AB และ C เป็นเซตใดๆ แล้ว ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O54]


(ก) (C  A')  (C  B') (ข) (C  A)  (B  A)
10. ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P56]
(ก) ถ้ำ A  B  A  C แล้ว B  C
(ข) ถ้ำ B  A  C แล้ว B  A หรือ B C
11. กำหนด A  {1, 2, 3, ...} และ B  {{1, 2}, {3, 4}, 5, 6, 7, 8, ...} [O53]
ให้หำเซต A  B , (A  B)  (B  A) และหำจำนวนสมำชิกของ P(A  B)
12. ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P56]
(ก) B  (A  B)  (A  B))  B  A (ข) P((A  B)  C)  P(A  (B  C))

13. กำหนดให้ A  {p, q, {p, q}} ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P52C]


(ก) P(A)  A  {p, q} (ข) n(P(A)  A)  n(A  P(A))

14. กำหนดให้ A  {0, {0}} ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P53A]


(ก) จำนวนสมำชิกของ P(A)  A เท่ำกับ 2 (ข) จำนวนสมำชิกของ P(P(A)) เท่ำกับ 4
(ค) {{0}}  P(A)  A (ง) {, A}  P(A)

15. กำหนดให้ A  {, {}, {, {}}} และ B  P(A)  {, {}} [P53B]
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) n(B)  6 (ข) {, {}, {{}}}  B

16. นักเรียนจำนวน 64 คน แต่ละคนมีดินสอหรือปำกกำอย่ำงน้อย 1 อัน ถ้ำนักเรียน [O50]


46 คนมีดินสอ และ 29 คนมีปำกกำ แล้ว นักเรียนที่มีทั้งดินสอและปำกกำมีจำนวนกี่คน

17. จำกกำรสอบถำมผู้ปกครองจำนวน 220 คน มีคนที่ไม่ดื่มทั้งนมและน้ำผลไม้ 80 คน [O49]


มีคนที่ดื่ม นม 60 คน และมีคนที่ดื่ม น้ำผลไม้ 110 คน ดังนั้น มีผู้ปกครองที่ดื่มทั้งนม
และน้ำผลไม้กี่คน, และมีผู้ปกครองที่ดื่มแต่น้ำผลไม้เท่ำนั้นกี่คน
18. จำกกำรสอบถำมนักเรียนจำนวน 450 คนเกี่ยวกับวิธีเดินทำงมำโรงเรียน พบว่ำ [P52B]
มีผู้โดยสำรรถประจำทำง 215 คน มีผู้โดยสำรรถส่วนตัว 230 คน และมีผู้โดยสำรรถ
ประจำทำงหรือรถส่วนตัว 427 คน ผู้ที่โดยสำรทั้งรถประจำทำงและรถส่วนตัวมีกี่คน

19. จากกำรสำรวจควำมชอบรับประทำนเป็ดย่ำงและเป็ดพะโล้ของกลุม่ ตัวอย่ำง 52 คน [O52]


พบว่ำ ผู้ชอบเป็ดย่ำงมี 31 คน ผู้ชอบเป็ดพะโล้มี 28 คน
ผู้ไม่ชอบทั้งเป็ดย่ำงและเป็ดพะโล้มี 13 คน จำนวนคนที่ชอบเป็ดย่ำงอย่ำงเดียวเท่ำกับเท่ำใด

20. จำกกำรสำรวจนักเรียนห้องหนึ่งจำนวน 40 คน พบว่ำ มีนักเรียนไม่ชอบทำนผัก [O50]


16 คน และชอบทำนผักหรือเนือ้ 34 คน ถ้ำสุ่มนักเรียนห้องนี้มำ 1 คน
ควำมน่ำจะเป็นที่จะได้นักเรียนที่ชอบทำนเนื้อเพียงอย่ำงเดียว มีค่ำเท่ำใด

21. นักเรียนกลุ่มหนึ่งจำนวน 55 คน มี 19 คนไม่ชอบเล่น ดนตรีและไม่ชอบดูฟุตบอล [O51]


ถ้ำมี 16 คนชอบดูฟุตบอลแต่ไม่ชอบเล่น ดนตรี และมี 13 คนชอบเล่น ดนตรีแต่ไม่ชอบ
ดูฟุตบอล แล้ว นักเรียนในกลุม่ นีท้ ี่ชอบเล่น ดนตรีและชอบดูฟุตบอลด้วย มีจำนวนกี่คน
22. กำหนดเซต A และ B โดยที่ n(A  B)  89 และ n[(A  B)  (B  A)]  75 [O50]
ถ้ำ n(B)  49 แล้ว n(A) เท่ำกับเท่ำใด

23. กำหนดเซต A และ B โดยที่ n(A)  6 , n(B)  5 และ n(A  B)  2 [O54]


ถ้ำ C  (A  B)  (B  A) แล้ว n(P(C)) เท่ำกับเท่ำใด

24. ถ้ำ A และ B เป็นเซตในเอกภพสัมพัทธ์ U [P57A]


โดยที่ n(A  B')  26 , n(A  B)  9 , n(B  A')  24 และ n(B'  A)  7
แล้ว จำนวนสมำชิกของ U เท่ำกับเท่ำใด

25. กำหนดให้ A และ B เป็นเซต โดยที่ n(P(A))  16 , n(P(B))  32 [P54A]


และ n(P(A  B))  64 ดังนั้น ค่ำของ n(P(A)  P(B)) เท่ำกับเท่ำใด

26. ให้ A และ B เป็นเซต โดยที่จำนวนสมำชิกของ P(A  B) และ P(A  B) เท่ำกับ [P54B]
256 และ 16 ตำมลำดับ ถ้ำจำนวนสมำชิกของ P(A) เป็น 4 เท่ำของจำนวนสมำชิกของ P(B)
แล้ว จำนวนสมำชิกของ P(B  A) เท่ำกับเท่ำใด

27. กำหนดให้ A และ B เป็นเซต โดยที่สับเซตของ A ที่มีสมำชิก 3 ตัวมีทั้งหมด 10 เซต [P56]


และสับเซตของ B ที่มีสมำชิก 3 ตัวมีทั้งหมด 4 เซต
ถ้ำจำนวนสมำชิกของ P(P(A  B)) เท่ำกับ 256 แล้ว ให้หำจำนวนสมำชิกของ P(P(B  A))

28. กำหนดให้ A และ B เป็นเซต โดยที่ 1 ใน 3 ของสมำชิกของ A เป็นสมำชิกของ B [P55B]


และ 2 ใน 5 ของสมำชิกของ B เป็นสมำชิกของ A
ถ้ำจำนวนสมำชิกของ (A  B)  (B  A) ไม่เกิน 100
แล้ว จำนวนสมำชิกของ A  B อย่ำงมำกที่สุดเท่ำกับเท่ำใด

29. จำกรูปที่กำหนดให้ เมื่อเติมจำนวนนับ 1, 2, 3, ..., 11 [P53A]


ลงในช่องสี่เหลี่ยม ช่องละ 1 จำนวน โดยให้ผลบวกของ
จำนวนในแนวตั้งเท่ำกับ 31 และแนวนอนเท่ำกับ 42
แล้ว จำนวนในช่องที่แรเงำเท่ำกับเท่ำใด

30. จำกกำรสำรวจควำมชอบเล่นกีฬำ เล่นดนตรี และเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ของนักเรียน [O56]


ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 6 จำนวน 90 คน พบว่ำมีนักเรียน
ชอบเล่นกีฬำ 47 คน ชอบเล่นดนตรี 49 คน ชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์ 62 คน
ชอบเล่นกีฬำและเล่นดนตรี 21 คน ชอบเล่นกีฬำและเล่นเกมคอมพิวเตอร์ 38 คน
ชอบเล่นดนตรีและเล่นเกมคอมพิวเตอร์ 30 คน และ ชอบเล่นทั้งสำมกิจกรรม 17 คน
จำนวนนักเรียนในกลุม่ นีท้ ี่ไม่ชอบเล่นทั้งสำมกิจกรรม เท่ำกับกี่คน
31. จำกกำรสอบถำมควำมชอบรับประทำนอำหำรประเภทต่ำงๆ ของนักเรียน 150 คน [O57]
พบว่ำ มี 65 คนชอบทำนข้ำว มี 75 คนชอบทำนก๋วยเตี๋ยว มี 70 คนชอบทำนขนมปัง
มี 30 คนชอบทำนทั้งข้ำวและก๋วยเตี๋ยว มี 25 คนชอบทำนทั้งก๋วยเตี๋ยวและขนมปัง
มี 20 คนชอบทำนทั้งขนมปังและข้ำว โดยที่มนี ักเรียน 5 คนไม่ชอบทำนทั้งสำมประเภท
ดังนั้น มีนักเรียนที่ชอบทำนอำหำรครบทั้งสำมประเภทอยูก่ ี่คน

32. ในกำรสอบของนักเรียนกลุม่ หนึง่ มีผู้สอบผ่ำนวิชำต่ำงๆ ดังนี้ [O53]


คณิต 44 คน วิทย์ 38 คน อังกฤษ 50 คน
คณิตและวิทย์ 16 คน วิทย์และอังกฤษ 13 คน อังกฤษและคณิต 8 คน
(ก) ถ้ำมีผู้สอบผ่ำนทั้งสำมวิชำ 5 คน ให้หำจำนวนผู้ที่สอบผ่ำนอย่ำงน้อยหนึ่งวิชำ
(ข) ถ้ำมีผู้สอบผ่ำนทั้งหมด 99 คน ให้หำจำนวนผู้ที่สอบผ่ำนวิชำคณิตอย่ำงเดียว

33. ร้ำนซีดีแห่งหนึ่งซึ่งจำหน่ำยซีดีเพลงร็อก แจ๊ส และแดนซ์ ได้ทำกำรสำรวจแนวเพลง [O54]


ที่ลูกค้ำ 200 คนเคยซื้อ ถ้ำผลปรำกฏว่ำ
130 คนเคยซื้อซีดีเพลงร็อก 120 คนเคยซื้อซีดีเพลงแจ๊ส 110 คนเคยซื้อซีดีเพลงแดนซ์
70 คนเคยซื้อซีดีเพลงร็อกและเพลงแจ๊ส 60 คนเคยซื้อซีดีเพลงร็อกและเพลงแดนซ์
และ 50 คนเคยซื้อซีดีเพลงแจ๊สและเพลงแดนซ์
แล้ว ลูกค้ำที่เคยซื้อซีดีเพลงแดนซ์เพียงแนวเดียว มีกี่คน

34. จำกกำรสำรวจควำมนิยมเกี่ยวกับกำรชมภำพยนตร์ของโรงภำพยนตร์แห่งหนึง่ [P53B]


มีผู้เข้ำร่วมทั้งหมด 85 คน พบว่ำ มีผู้ที่ชอบภำพยนตร์ไทย ญี่ปุ่น และเกำหลี 21 คน
ไม่ชอบทั้งสำมประเภท 3 คน ชอบภำพยนตร์ไทยและญีป่ ุ่นแต่ไม่ชอบเกำหลี 20 คน
ชอบภำพยนตร์ญี่ปุ่นและเกำหลีแต่ไม่ชอบไทย 12 คน
และชอบภำพยนตร์เพียงประเภทเดียว 15 คน ให้หำจำนวนผู้ที่ชอบภำพยนตร์ไทยและเกำหลี
35. ในกลุ่มนักเรียน 80 คน พบว่ำมีนักเรียน 4 คนไม่รับประทำนสัตว์นำ้ [P54A]
นอกนั้นทำนกุ้ง ปู และปลำ อย่ำงน้อยคนละ 1 ชนิด โดยมี 13 คนที่ทำนชนิดเดียวเท่ำนั้น
ในกลุ่มนักเรียนที่ทำนสัตว์นำ้ มีนักเรียน 33 คนทำนกุ้งและปู
28 คนทำนปูและปลำ 38 คนทำนปลำและกุ้ง และมีนักเรียนไม่ทำนกุ้ง 21 คน
ให้หำว่ำมีนักเรียนกี่คนทำนกุ้งเพียงอย่ำงเดียว
36. จำกกำรสำรวจแม่บ้ำน 60 คน พบว่ำแต่ละคนเคยใช้สบู่ยี่ห้อ A, B, C [P55A]
อย่ำงน้อย 1 ยี่ห้อ และมี 50 คนเคยใช้ยี่ห้อ A, มี 45 คนเคยใช้ยี่ห้อ B,
มี 30 คนเคยใช้ยี่ห้อ C ดังนั้นจะมีแม่บ้ำนเคยใช้ทั้งสำมยี่หอ้ อย่ำงน้อยกี่คน

37. กำหนดจำนวนสมำชิกของเซตต่ำงๆ ดังตำรำง [O51]


เซต A B BC AC A BC A BC
จานวนสมาชิก 28 31 29 35 6
จำนวนสมำชิกของ (B  C)  A เท่ำกับเท่ำใด
38. กำหนดเซตและจำนวนสมำชิกดังตำรำงต่อไปนี้ [P52C]
เซต A B C A B AC BC A  (B  C)
จานวนสมาชิก 20 23 18 33 27 32 25
ให้หำจำนวนสมำชิกของ A BC

39. ให้ A, B, C เป็นเซต ถ้ำ n(A  B  C)  72 , n(A'  B  C')  10, [P53A]


n((A  B)  (A  C))  12 , n((A  B)  (B  C)  (C  A))  40 และ n(A  B  C)  8
แล้ว n(C  (A  B)) เท่ำกับเท่ำใด

40. ให้ A, B, C เป็นเซต ถ้ำ n(U)  55 , n(A)  20 , n(A  B  C)  4 , [P54B]


n(A'  B'  C')  7 และ n((A  B)'  C)  10 แล้ว n((B  C)  A) เท่ำกับเท่ำใด

41. ให้ A, B, C เป็นเซตใดๆ ถ้ำ n(A)  n(B)  n(C)  185 และ n(A  B  C)  89 [P53C]
แล้ว n(A  B  C) มีค่ำไม่น้อยกว่ำเท่ำใด

42. ให้ A, B และ C เป็นเซต โดยที่ 2 n(A)  3 n(B)  n(C) [P57B]


ถ้ำ n(A  B  C)  14 , n(A  B  C)  3 , n(A  B)  3 , n(C  B)  8 และ n(A  C)  2
แล้ว n((B  C)  A) เท่ำกับเท่ำใด

43. ให้ A, B, C เป็นเซต โดยที่ B  C , A  C  A และ A  B   [P55A]


ถ้ำ n(U)  10 , n(B'  C')  7 และ n(C  B)  5 แล้ว จะมีเซต A ได้ทั้งหมดกี่แบบ
เฉลยวิธีคิด บทที่ 1 6. (ก) ผิด จะต้องแรเงำตรงกลำง คือ A  B  C ด้วย
(ข) ผิด จะต้องแรเงำภำยในเซต A ด้วย
1. สับเซตของเซตหนึ่งๆ ย่อมมีจำนวนสมำชิกน้อยกว่ำหรือ (ค) แรเงำได้ถูกต้องแล้ว
เท่ำกันกับเซตนั้น ..ดังนั้น สับเซตของเซตจำกัดไม่มีทำงมี ดังนั้นคำตอบคือ (ก) (ข) ผิด และ (ค) ถูก
จำนวนสมำชิกถึงอนันต์ได้ เซตในข้อ (ค) จึงไม่มีอยู่จริง
ส่วนข้ออื่นๆ เรำสำมำรถยกตัวอย่ำงยืนยันกำรมีอยู่จริงได้ 7. จำกแผนภำพนี้ B
เช่น เซตจำกัด {a, b, c, ..., z} อำจมีสับเซตเป็น A
(C  A)  (C  B) คือชิ้นส่วน ข
{a, e, i, o, u} ซึ่งเป็นเซตจำกัดด้วย ส่วนเซตอนันต์
และ (A  C)  (A  B  C) คือ ก
{1, 2, 3, 4, 5, 6, ...} อำจมีสับเซตเป็น {1, 2, 3, 4} ซึ่งเป็น
ชิ้นส่วน ก ข
เซตจำกัด หรือ {2, 4, 6, 8, ...} ซึ่งเป็นเซตอนันต์ก็ได้ จึงได้พื้นที่แรเงำในลักษณะดังรูป C
ดังนั้นคำตอบคือ (ก) (ข) (ง) ถูก และ (ค) ผิด
8. (ก) ผิด (A  B)  C  (A  B')  C
 (A  C)  (B'  C)
2. (ก) ถูก เพรำะ  เป็นสับเซตของทุกเซต
 (A  C)  (B  C')
(ข) ถูก เพรำะ   A จึงทำให้ {}  A
(ข) ถูก (A  B)  C  (A  B)  C'
(ค) ถูก เพรำะ b  A
 (A  C')  (B  C')
(ง) ถูก เพรำะ a  A และ {a}  A
 (A  C)  (B  C)
ดังนั้นคำตอบคือ ถูกทุกข้อ
(ค) ผิด A  (B  C)  A  (B'  C')
 (A  B')  (A  C')
 (A  B)  (A  C)
3. (ก) และ (ค) ถูก
(ง) ผิด A  (B  C)  A  (B  C')'
เพรำะ {0, 1} กับ {0, 1, } เป็นสมำชิกของ A จริงๆ
 A  (B'  C)
(ข) ถูก เพรำะ 0  A และ 1  A
 (A  B')  (A  C)
(ง) ผิด เพรำะ   A จึงทำให้ไม่เป็นสับเซต
 (A  B)  (A  C)
ดังนั้นคำตอบคือ (ก) (ข) (ค) ถูก และ (ง) ผิด
ดังนั้นคำตอบคือ (ก) (ค) (ง) ผิด และ (ข) ถูก
หมายเหตุ พิจ ารณาจากแผนภาพเซตก็ได้
4. เขียนสมำชิกของ A  B A B
และ B  A ลงในแผนภำพ df a c
เซต ได้ดังรูป h e 9. (ก)
B C B C
A B A B BA A A
จำก A  B  {a, b, c, d, e, f, g, h, i} จะทรำบสมำชิก
ที่อยู่ในช่องตรงกลำง ..นั่นคือ A  B  {b, g, i} C  A' C  B'
(ข)
B C B C
5. A C C A A
A
B  B
CA BA

A B (A  B)'  C เมื่อเขียนแผนภำพตำมเงื่อนไขในโจทย์ พบว่ำส่วนที่แรเงำ


ในแผนภำพซ้ำย ไม่เป็นสับเซตของส่วนที่แรเงำในแผนภำพ
ขวำ ดังนั้นคำตอบคือ (ก) และ (ข) ผิด
10. (ก) ผิด เช่นเมื่อ A  {1, 2, 3} B  {1, 2} (ง) ผิด เพรำะใน P(A) ไม่มีสมำชิก {, {0, {0}}}
C  {2, 3} จะได้ A  B  A  C แต่ว่ำ B  C ถ้ำจะให้ถูก ต้องใช้เครื่องหมำยสับเซต (  )
(ข) ผิด เช่นเมื่อ A  {1, 2} B  {1, 2, 3} C  {2, 3} เพรำะ   P(A) และ {0, {0}}  P(A)
จะได้ B  A  C แต่ว่ำ B  A และ B  C
ดังนั้นคำตอบคือ (ก) (ข) (ง) ผิด และ (ค) ถูก
ดังนั้นคำตอบคือ ผิดทุกข้อ

15. (ก) ถูก เพรำะ   P(A) และ {}  P(A)


11. A B  {5, 6, 7, 8, ...} จึงทำให้ n(B)  23  2  6
(ข) ผิด เพรำะ  และ {} ไม่เป็นสมำชิกของ B
A  B  {1, 2, 3, 4} และ B  A  {{1, 2}, {3, 4}}
(เนื่องจำกถูกลบออกไปแล้ว)
ดังนั้น (A  B)  (B  A)  {1, 2, 3, 4, {1,2}, {3,4}} ดังนั้นคำตอบคือ (ก) ถูก และ (ข) ผิด
และเนื่องจำก A  B มีสมำชิก 4 ตัว
ดังนั้น P(A  B) มีสมำชิก 24  16 ตัว
16. ให้ A แทนเซตนักเรียนที่มีดินสอ จะได้ n(A)  46
และ B แทนเซตของนักเรียนที่มีปำกกำ จะได้ n(B)  29
12. (ก) ถูก เพรำะ A  B  A  B ข้อควำม “แต่ละคนมีดินสอหรือปำกกำอย่ำงน้อยหนึ่งอัน”
ดังนั้น B  ((A  B)  (A  B))  B  (A  B) บอกให้รู้ว่ำ ไม่มีนักเรียนคนใดเลยที่ไม่มี ดินสอหรือปำกกำ
พิจำรณำจำกแผนภำพจะทรำบว่ำเท่ำกับ B  A นั่นคือ n(A  B)  64
(ข) ผิด เพรำะ (A  B)  C  (A  B)  C'
แทนค่ำลงในสูตรจำนวนสมำชิกของสองเซต
 (A  C')  (B  C')
คือ n(A  B)  n(A)  n(B)  n(A  B)
 (A  C)  (B  C)
จะได้ 64  46  29  n(A  B)  n(A  B)  11
แต่ A  (B  C)  A  (B'  C')
นักเรียนที่มีทั้งดินสอและปำกกำ มีอยู่ 11 คน
 (A  B')  (A  C')
 (A  B)  (A  C)
ซึ่งไม่เท่ำกัน จึงทำให้เพำเวอร์เซตไม่เท่ำกันด้วย 17. ให้ A แทนเซตผู้ปกครองที่ดื่มนม จะได้ n(A)  60
ดังนั้นคำตอบคือ (ก) ถูก และ (ข) ผิด B แทนเซตผู้ปกครองที่ดื่มน้ำผลไม้ จะได้ n(B)  110
ข้อควำม “มีคนที่ไม่ดื่มทั้งนมและน้ำผลไม้ 80 คน”
ทำให้ทรำบจำนวนผู้ที่ดื่มนมหรือน้ำผลไม้อย่ำงน้อยหนึ่ง
13. (ก) ผิด เพรำะใน P(A) ไม่มีทำงมีสมำชิกเป็น อย่ำง นั่นคือ n(A  B)  220  80  140
p กับ q แต่สมำชิกต้องเป็นเซตล้วนๆ
(อันที่จริง P(A)  A  {{p, q}} ) แทนค่ำลงในสูตรจำนวนสมำชิกของสองเซต
จะได้ 140  60  110  n(A  B)  n(A  B)  30
(ข) ผิด คิดได้จำก P(A)  A มีสมำชิก 1 ตัว ดังนั้น ผู้ปกครองที่ดื่มทั้งนมและน้ำผลไม้ มีอยู่ 30 คน
จะได้ n(P(A)  A)  23  1  7 และผู้ปกครองที่ดื่มเฉพำะน้ำผลไม้ 110  30  80 คน
และ n(A  P(A))  3  1  2
ดังนั้นคำตอบคือ ผิดทุกข้อ
18. ให้ A แทนเซตของนักเรียนที่โดยสำรรถประจำทำง
และ B แทนเซตของนักเรียนที่โดยสำรรถส่วนตัว
14. (ก) ผิด สมำชิกของ P(A) กับ A ที่ซ้ำกันคือ {0}
แทนข้อมูลที่ให้มำลงในสูตรจำนวนสมำชิกของสองเซต
ดังนั้น n(P(A)  A)  22  1  3 จะได้ 427  215  230  n(A  B)
(ข) ผิด n(A)  2  n(P(A))  22  4  n(A  B)  18
 n(P(P(A)))  24  16
แสดงว่ำมีผู้โดยสำรทั้งรถประจำทำงและรถส่วนตัว 18 คน
(ค) ถูก เพรำะ P(A)  A  {, {{0}}, {0, {0}}}
19. ให้ A แทนเซตผู้ชอบเป็ดย่ำง จะได้ n(A)  31 ดังนั้น n(P(C))  27  128
และให้ B แทนเซตผู้ชอบเป็ดพะโล้ จะได้ n(B)  28
ข้อควำม “ผู้ที่ไม่ชอบทั้งเป็ดย่ำงและเป็ดพะโล้มี 13 คน” 24. n(A  B')  ก  ข  ง  26 U
ทำให้ทรำบจำนวนผู้ชอบเป็ดย่ำงหรือเป็ดพะโล้อย่ำงน้อย จะได้ ค  n(U)  26
หนึ่งอย่ำง นั่นคือ n(A  B)  52  13  39 ก ข ค ง
จำก n(A  B)  9 จะได้ ข9 A B
แทนค่ำลงในสูตรจำนวนสมำชิกของสองเซต
คือ n(A  B)  n(A)  n(B)  n(A  B) n(B  A')  ข  ค  ง  24 จะได้ ก  n(U)  24
จะได้ 39  31  28  n(A  B)
 n(A  B)  20 (ผู้ชอบทั้งเป็ดย่ำ งและเป็ดพะโล้)
และ n(B'  A)  ง  7 จะได้ n(U)  ก  ข  ค  ง
ดังนั้น มีผู้ชอบเป็ดย่ำงอย่ำงเดียวอยู่ 31  20  11 คน แทนค่ำได้เป็น n(U)  n(U)  24  9  n(U)  26  7
ดังนั้น n(U)  34

20. วิธีที่ 1
โจทย์กำหนด ก  ข  ค  34 คน 25. n(A)  4 , n(B)  5 , n(A  B)  6
ก ข ค ง แสดงว่ำ n(A  B)  4  5  6  3
แสดงว่ำ ง  40  34  6 คน
และโจทย์กำหนด ค  ง  16 คน ผัก เนื้อ หำ n(P(A)  P(B)) ได้จำก
แสดงว่ำ ค  16  6  10 คน n(P(A))  n(P(B))  n(P(A)  P(B))

วิธีที่ 2  n(P(A))  n(P(B))  n(P(A  B))

“ไม่ชอบผัก 16 คน” แสดงว่ำชอบผัก 40  16  24 คน  16  32  23  40


นั่นคือ ก  ข  24
แต่จำก ก  ข  ค  34 จึงได้ ค  34  24  10 คน
26. n(A  B)  8 , n(A  B)  4
สรุป ควำมน่ำจะเป็น เท่ำกับ ค 10 1
ก  ข  ค  ง  40  4 จำกสูตรของสองเซต จะได้ 8  n(A)  n(B)  4
 n(A)  n(B)  12 ..... (1)

จำก n(P(A))  4n(P(B))


21. นำข้อมูลที่โจทย์กำหนดให้ เล่นดนตรี ดูบอล จะได้ 2n(A)  4  2n(B)  n(A)  n(B)  2 .....(2)
ใส่ลงในแผนภำพเซตได้ดังรูป
จะได้ จำนวนนักเรียนที่ชอบ 13 x 16 แก้ระบบสมกำรได้ n(A)  7 และ n(B)  5
ทั้งเล่นดนตรีและดูฟุตบอล 19 ดังนั้น n(B  A)  5  4  1
x  55  19  13  16  7 คน จึงได้ n(P(B  A))  21  2

22. n[(A  B)  (B  A)]  75 A B 27. จำกกำรไล่นับสับเซต จะทรำบ


คือส่วนที่แรเงำในแผนภำพ ว่ำ n(A)  5 และ n(B)  4 3 2 2
ดังนั้น n(A  B)  89  75  14 (หรืออำศัยควำมรู้เกี่ยวกับกำรจัดหมู่
A B
ม.5 นั่นคือ nC3  10 , nC3  4 )
แทนค่ำลงในสูตรจำนวนสมำชิกของสองเซต
คือ n(A  B)  n(A)  n(B)  n(A  B) จำก n(P(P(A  B)))  256  28
จะได้ 89  n(A)  49  14  n(A)  54 จะได้ n(P(A  B))  8  23  n(A  B)  3
แสดงว่ำ n(B  A)  2 ดังรูป

23. เขียนจำนวนสมำชิกลงใน A B ดังนั้น n(P(B  A))  22  4


แผนภำพ โดยเริ่มจำกตรงกลำง และ n(P(P(B  A)))  24  16
4 2 3
จะทรำบว่ำ n(C)  4  3  7
28. ให้จำนวนสมำชิกของ 32. ให้ A, B, C แทนเซตของนักเรียนที่สอบผ่ำนวิชำคณิต
A  B เท่ำ กับ 2x ดังรูป A–B 2x B–A วิทย์ และอังกฤษ ตำมลำดับ
จะได้ จำนวนสมำชิกของ A B
A  B เท่ำ กับ 4x และ
(ก) แทนค่ำลงในสูตรจำนวนสมำชิกของสำมเซต
จำนวนสมำชิกของ B  A เท่ำกับ 3x จะได้ n(A  B  C)  44  38  50  16  13  8  5
 100 คน
 4x  3x  100  x  14.3
ดังนั้น นักเรียนที่สอบผ่ำนอย่ำงน้อยหนึ่งวิชำมีอยู่ 100 คน
แสดงว่ำ x ที่มำกที่สุดคือ 14
และจะได้ n(A  B) ที่มำกที่สุด  9x  126 (ข) วิธีที่ 1 ใช้สูตรจำนวนสมำชิกของสำมเซต
99  44  38  50  16  13  8  n(A  B  C)
 n(A  B  C)  4 A B
29. เนื่องจำก 1  2  3  ...  11  66 เขียนจำนวนสมำชิกแต่ละส่วนของเซต ? 12
หำกมองแถวสี่เหลี่ยมแนวตั้งและแนวนอนเป็นเซต A A ลงในแผนภำพ โดยเริ่มจำกตรงกลำง 4 4
และ B ตำมลำดับ โดยมีส่วนที่ซ้อนทับกันคือช่องที่แรเงำ เป็น 4 แล้วลบออกจำก 16 และ 8
จะใช้สูตรของสองเซตได้ดังนี้ C
n(A  B)  n(A)  n(B)  n(A  B) จะทรำบจำนวนผู้ที่ผ่ำนคณิตวิชำเดียว (ส่วนที่แรเงำ)
66  31  42  n(A  B) เท่ำกับ 24 คน
ดังนั้น ช่องที่แรเงำคือ n(A  B)  7 วิธีที่ 2 พิจำรณำจำกแผนภำพ จะพบว่ำ
สมำชิกส่วนที่แรเงำหำได้จำก n(A  B  C)  n(B  C)
โดยพจน์หลังสำมำรถใช้สูตรของสองเซตในกำรคำนวณ จะ
30. ให้ A, B, C แทนเซตของนักเรียนกลุ่มนี้ที่ชอบเล่น ได้คำตอบเป็น 99  (38  50  13)  24 คน
กีฬำ เล่นดนตรี และเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ตำมลำดับ
แทนค่ำลงในสูตรจำนวนสมำชิกของสำมเซต นั่นคือ
33. ข้อนี้โจทย์ต้องระบุด้วยว่า “ลูกค้าแต่ละคนเคยซื้อซีดี
n(A  B  C)  n(A)  n(B)  n(C)  n(A  B)
เพลงร็อก แจ๊ส แดนซ์ อย่างน้อย 1 ใน 3 ประเภท” หรือ
 n(A  C)  n(B  C)  n(A  B  C)
“ร้านนี้ไม่ได้จ าหน่ายซีดีเพลงแนวอื่น ” ข้อมูลที่ให้มาจึง
จะได้ n(A  B  C)  47  49  62  21  38  30  17
เพียงพอที่จ ะหาคาตอบได้
 86
แสดงว่ำมีนักเรียนที่ชอบกิจกรรมสำมชนิดนี้รวม 86 คน ให้ A, B, C แทนเซตของลูกค้ำที่เคยซื้อซีดีเพลงร็อก แจ๊ส
ดังนั้น นักเรียนที่ไม่ชอบทั้งสำมกิจกรรม มีอยู่ 4 คน และแดนซ์ ตำมลำดับ
วิธีที่ 1 ใช้สูตรจำนวนสมำชิกของสำมเซต
31. ให้ A, B, C แทนเซตของนักเรียนที่ชอบทำนข้ำว 200  130  120  110  70  60  50  n(A  B  C)
ก๋วยเตี๋ยว และขนมปัง ตำมลำดับ  n(A  B  C)  20 คน A B
จะได้ n(A  B  C)  150  5  145 เขียนจำนวนสมำชิกแต่ละส่วนของเซต
และให้ x คือจำนวนนักเรียนที่ชอบครบทั้งสำมประเภท C ลงในแผนภำพ โดยเริ่มจำกตรงกลำง 402030
แทนค่ำลงในสูตรจำนวนสมำชิกของสำมเซต ได้เป็น เป็น 20 แล้วลบออกจำก 60 และ 50 ? C
145  65  75  70  30  25  20  x
จะทรำบจำนวนลูกค้ำที่เคยซื้อซีดีเพลงแดนซ์เพียงแนวเดียว
 x  10 คน
(ส่วนที่แรเงำ) เท่ำกับ 110  (40  20  30)  20 คน
ดังนั้น นักเรียนที่ชอบทั้งสำมประเภท มีอยู่ 10 คน
วิธีที่ 2 พิจำรณำจำกแผนภำพ จะพบว่ำ
สมำชิกส่วนที่แรเงำหำได้จำก n(A  B  C)  n(A  B)
โดยพจน์หลังสำมำรถใช้สูตรของสองเซตในกำรคำนวณ จะ
ได้คำตอบเป็น 200  (130  120  70)  20 คน
34. เขียนจำนวนสมำชิกแต่ละ วิธีที่ 2
ท ญ
ส่วนลงในแผนภำพได้ดังรูป โจทย์ถำม n[(B  C)  A ]  n[(A  B)  (A  C)]
x 20 y
โดยที่ 15  x  y  z 21 12 สำมำรถคิดจำกสูตรของสองเซต โดยเปลี่ยนเครื่องหมำย
และ 85  n(U) ตรงกลำงเป็นยูเนียน ในลักษณะดังนี้
3 z n[(A B)  (A C)]  n(A B)  n(A C)  n[(A B)  (A C)]
โจทย์ถำม n(ไทยและเกำหลี) ก
 n[(A  B  C)]  n(A  B)  n(A  C)  n[(B  C)  A ]
คือส่วนที่แรเงำ หำได้จำก  35  28  29  n[(B  C)  A ]
85  3  20  12  15  35 คน
จะได้ n[(B  C)  A ]  22

35. เขียนจำนวนสมำชิกแต่ละ กุ้ง ปู 38. x  n(A  B)  25 A B


ส่วนลงในแผนภำพได้ดังรูป a b  33  25  8 x
โดยที่ 13  a  b  c และ y  n(A  C)  25
25
c  27  25  2 y
จะได้จำนวนสมำชิกส่วนที่แรเงำ 4 ปลา ดังนั้น n(A  B  C)  25  8  2  35 C
เท่ำกับ 80  4  13  63
ซึ่งถ้ำให้ช่องกลำงมีสมำชิกเท่ำกับ x ก็จะได้
63  33  28  38  2x  x  18
39. จำกแผนภำพ A B
กุ้ง ปู นักเรียนที่ทำนกุ้งอย่ำงเดียว n(C  (A  B)) 12 10
a 15 มีจำนวนเท่ำกับ  72  (12  10  40)  10 40
2018 21 80  4  21  20  18  15
?
 2 คน หมายเหตุ ข้อมูล n(A  B  C)  8 C
4 ปลา ไม่จ าเป็นสาหรับการคิดในข้อนี้

36. สมมติสมำชิกแต่ละส่วนดังรูป A B 40. n((B  C)  A) A B


แทนลงในสูตรของสำมเซต a ก b คิดได้จำก n(A  B  C)  n(A)
20
จะได้ 60  50  45  30  (ก  x) ข xค  (55  7)  20  28
 (ข  x)  (ค  x)  x c
C หมายเหตุ ข้อมูล n(A  B  C) 7
 ก  ข  ค  2x  65
และ n((A  B)'  C) C
ต้องกำรหำค่ำ x ที่น้อยที่สุด ไม่จ าเป็นสาหรับการคิดในข้อนี้
จะเกิดเมื่อ ก  ข  ค  x มีค่ำมำกที่สุด
นั่นคือเมื่อ a  b  c  0 และ ก  ข  ค  x  60
 x  65  60  5 41. สมมติให้ n(A  B)  m , n(B  C)  n ,
 มีแม่บ้ำนเคยใช้ทั้งสำมยี่ห้ออย่ำงน้อย 5 คน n(A  C)  p และ n(A  B  C)  x
จำกสูตรยูเนียนของ 3 เซต จะได้
89  185  m  n  p  x A B
m–x
37. วิธีที่ 1 x  m  n  p  96
จำก n(A  B  C)  35 A B p–x x n–x
และ n(A  C)  29 ก จำกแผนภำพแสดงจำนวนสมำชิก
จะได้เงื่อนไข m  n  p  2x < 89 C
แสดงว่ำ ก  35  29  6
 (m  n  p)  2(m  n  p  96) < 89

และจำก n(A  B)  28 C  (m  n  p) > 103
แสดงว่ำ ข  35  28  7 แสดงว่ำ x ที่น้อยที่สุดคือ 103  96  7
โจทย์ถำมจำนวนสมำชิกที่แรเงำ  35  6  7  22
42. วิธีที่ 1 คำนวณโดยตรง 43. จำก A  C  A U
จำก n(A  B)  n(A)  n(A  B)  3 แสดงว่ำ A  C A B
และ n(C  B)  n(C)  n(C  B)  8 จึงเขียนแผนภำพได้ดังรูป ก ข ค ง
และ n(A  C)  n(A)  n(A  C)  2 C
นำสำมสมกำรมำบวกกันได้ จำก n(B'  C')  n(B  C)'  7
2 n(A)  n(C)  n(A  B)  n(B  C)  n(A  C)  13 ...(1) แสดงว่ำ n(B  C)  n(B)  ข  ค  3
และจำก n(C  B)  5 แสดงว่ำ ก  ง  5
แต่จำกสูตรจำนวนสมำชิกของสำมเซต จะได้
14  n(A)  n(B)  n(C)  n(A  B)  n(B  C)  n(A  C)  3
เซต A เกิดจำกสมำชิกในส่วน ก และ ข รวมกัน
 n(A)  n(B)  n(C)  n(A  B)  n(B  C)  n(A  C)  11
โดยมีเงื่อนไขว่ำ ก  0, 1, 2, 3, 4 หรือ 5
นำไปลบออกจำกสมกำรที่ (1) จะได้ n(A)  n(B)  2 และ ข  1, 2 หรือ 3 (เพรำะ A  B   )
แต่โจทย์กำหนด 2 n(A)  3 n(B) ดังนั้น A  { สับเซตของเซตที่มีสมำชิก 5 ตัว ,
จะแก้ระบบสมกำรได้ n(A)  6, n(B)  4  n(C)  12 สับเซตของเซตที่มีสมำชิก 3 ตัวที่ไม่ใช่เซตว่ำง }
วิธีที่ 2 ใช้กำรสังเกตจำนวนเต็ม ซึ่งจะมีเซต A ได้ทั้งหมด 25  (23  1)  224 แบบ
จำก 2 n(A)  3 n(B)  n(C) โดยจำนวนสมำชิกต้องเป็น
จำนวนเต็ม แสดงว่ำ n(C) ต้องหำรด้วย 6 ลงตัว
และจำกข้อมูล n(A  B  C)  14 และ n(C  B)  8
ก็จะสรุปได้ว่ำ 8 < n(C) < 14
ดังนั้น n(C)  12 แน่นอน จึงได้ n(A)  6, n(B)  4
หาค่า n((B  C)  A) โดยพิจำรณำจำกแผนภำพคร่ำวๆ
จะพบว่ำ n((B  C)  A)  n(A  B  C)  n(A)
 14  6  8
แนวข้อสอบจริง บทที่ 2 ระบบจำนวนจริง / ทฤษฎีจำนวน
1. ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O53]
(ก) มีจานวนทศนิยมไม่รู้จบที่เป็นจานวนตรรกยะ
(ข) มีจานวนทศนิยมไม่รจู้ บที่เป็นจานวนอตรรกยะ

2. ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O52]
(ก) มีจานวนตรรกยะที่มากที่สุดที่น้อยกว่า 1
(ข) มีจานวนอตรรกยะที่มากที่สุดที่น้อยกว่า 1

3. ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O56]
(ก) 0.1010010001, 1.22222... และ 1.010010001... มีจานวนตรรกยะ 1 จานวน
(ข) 22
7
 , 4 และ   3 มีจานวนตรรกยะ 1 จานวน
3 , 27  3 และ 3 3 มีจานวนตรรกยะ 1 จานวน
(ค) 11

4. ให้เรียงลาดับค่าของ A    3.1 , B  16  1.73 และ C  3  1.7 จากน้อยไปมาก [O56]


9

5. ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O52]
(ก) จานวนตรรกยะสองจานวนที่ต่างกัน ลบกันแล้วได้จานวนตรรกยะเสมอ
(ข) จานวนอตรรกยะสองจานวนที่ต่างกัน ลบกันแล้วได้จานวนอตรรกยะเสมอ

6. ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O52]
(ก) อินเวอร์สการบวกของ a คือจานวน b ที่ทาให้ a  b  b  a  0
(ข) อินเวอร์สการคูณของ a คือจานวน b ที่ทาให้ a b  b a  1

7. สาหรับจานวนนับ x, y, z ใดๆ นิยามให้ xy  xy [P53C]


ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) x  (y  z)  (x  y)  (x  z) (ข) x  (y  z)  (x  y)  z

8. นิยามให้ x  y  xy สาหรับ x, y เป็นจานวนนับ [P53A]


ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด สาหรับ x, y, z เป็นจานวนนับใดๆ
(ก) x  y  y  x (ข) x  (y  z)  (x  y)  (x  z)
(ค) x  (y  z)  (x  y)  z

9. กาหนดให้ a  b  1  (a  1)(b  1) สาหรับจานวนจริง a, b ใดๆ [P54B]


ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) (a  1)  (a  1)  (a  a)  1 (ข) (a  1)  (a  1)  (a  a)  2a  1
(ค) (a  b)  2  a  (b  2)
10. สาหรับจานวนนับ x, y, z ใดๆ [P53C]
x, x  y x, x  y
 
นิยามให้ x  y  x, x  y และ x  y  y, x  y
y, x  y y, x  y
 
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) x  y  y  x (ข) x  (y  z)  (x  y)  z
(ค) x  (y  z)  (x  y)  (x  z)

11. สาหรับจานวนนับ x, y ใดๆ กาหนดให้ xy เป็นจานวนจริงที่มีสมบัติดังนี้ [P53B]


xy y
xy  yx x x  x 5 และ 
x  (x  y) xy
จะได้ ค่าของ 120  (5  8) เท่ากับเท่าใด

12. สาหรับจานวนจริงบวก x, y ใดๆ นิยามให้ x  y เป็นจานวนจริงที่มสี มบัติดังนี้ [P56]


(ก) x  (1  x)  1  x (ข) x  (xy)  (x  x) y
โดยที่ 1  1  1 ดังนั้น ค่าของ 3  (4  5) เท่ากับเท่าใด

13. กาหนดให้ a, b, c เป็นจานวนจริงคงที่ [P54A]


นิยามให้ x  y  ax2  bxy  cy2 สาหรับจานวนจริง x, y ใดๆ
(0  1)  1
ถ้า 1 2  3 และ 23  6 แล้ว เท่ากับเท่าใด
30

14. ครูสูงกว่านักเรียน 27 เซนติเมตร ถ้าทั้งสองคนมีส่วนสูงรวมกันไม่เกิน 325 เซนติเมตร [O56]


แล้ว ครูมสี ่วนสูงได้มากที่สุดกี่เซนติเมตร

15. ร้านค้ารับพิมพ์เอกสารหน้าละ 18 บาท โดยมีต้นทุนค่าหมึกและกระดาษหน้าละ 3 บาท [O57]


และเสียค่าเช่าร้านวันละ 80 บาท
ถ้าร้านค้าต้องการได้รับค่าแรงวันละ 800 บาทขึ้นไป จะต้องรับพิมพ์เอกสารอย่างน้อยวันละกี่หน้า

16. ต้องการล้อมรัว้ รอบที่ดินรูปสี่เหลีย่ มผืนผ้า ซึ่งมีพื้นที่ 84 ตารางเมตร โดยด้านยาว [O52]


ของที่ดินยาวกว่าสองเท่าของด้านกว้างอยู่ 2 เมตร จะต้องใช้รั้วที่มคี วามยาวเท่าใด

17. ถ้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ารูปหนึง่ มีด้านยาวยาวกว่าด้านกว้างอยู่ 5 นิ้ว [O56]


และเส้นทแยงมุมยาวกว่าด้านกว้างอยู่ 9 นิ้ว แล้ว เส้นรอบรูปสี่เหลี่ยมรูปนี้ยาวกี่นวิ้
(ให้ประมาณค่าเป็นจานวนเต็ม)

18. สามเหลี่ยมมุมฉากรูปหนึ่งมีพื้นที่ 640 ตารางนิ้ว ถ้าด้านประกอบมุมฉากด้านหนึง่ [O53]


ยาวเป็น 80% ของด้านประกอบมุมฉากอีกด้าน แล้ว เส้นรอบรูปสามเหลีย่ มรูปนีย้ าวกี่นิ้ว

19. ร้านขนมแห่งหนึ่งวางกล่องขนมบราวนี่ขนาดเดียวกัน เรียงไว้บนชั้นเป็นแถวๆ [O57]


แถวละ 4 กล่อง ทุกกล่องบรรจุขนมจานวนเท่ากัน เมื่อนับแล้วได้บราวนีท่ ั้งหมด 192 ชิ้น
ถ้าจานวนบราวนี่ในแต่ละแถวมากกว่าจานวนแถวอยู่ 4 แล้ว มีกล่องขนมบราวนี่ทั้งหมดกี่ใบ

20. ชาวสวนปลูกต้นยางพาราเรียงเป็นแถว แถวละเท่าๆ กัน เกิดเป็นตารางสี่เหลี่ยมผืนผ้า [O53]


และนับจานวนต้นที่อยู่รมิ นอกทั้งสี่ด้านได้รวม 100 ต้นพอดี
ถ้า x คือจานวนแถว, N คือจานวนต้นยางพาราทั้งหมด และ N  ax  bx2
เมื่อ a และ b เป็นจานวนจริง แล้ว ค่าของ a  b เท่ากับเท่าใด

21. ถ้า (p  1)2  64 และ (q  2)2  36 แล้ว ค่ามากที่สุดของ q  2p เท่ากับเท่าใด [O54]

22. ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O51]


(ก) สมการ (x  1)2  3  0 มีคาตอบที่เป็นจานวนจริง 1 คาตอบ
(ข) สมการ (x2  1)(x2  3)  0 มีคาตอบที่เป็นจานวนจริง 2 คาตอบ
(ค) สมการ (x  1)2(x2  3)  0 มีคาตอบที่เป็นจานวนจริง 3 คาตอบ
(ง) สมการ (x2  1)(x  3)2  0 มีคาตอบที่เป็นจานวนจริงมากกว่า 3 คาตอบ

23. ผลบวกของรากทั้งหมดของสมการ x 2  x  2 เท่ากับเท่าใด [O57]


x1

24. ให้ A  { x |(3x  2)(5  4x)  0 } [O56]


ถ้า A คือช่วงเปิด (a, b) แล้ว ค่าของ 3ab เท่ากับเท่าใด

25. ให้หา c ที่ทาให้สมการ (x2  2)(3x2  6x  c)  0 มีรากเป็นจานวนจริงเพียง 1 ราก [O54]

26. ถ้า 23 เป็นผลเฉลยหนึ่งของสมการ 3x2  bx  8  0 แล้ว ให้หาอีกผลเฉลยหนึง่ [O53]


ของสมการนี้

27. ถ้า  41 เป็นรากของสมการ ax2  2x  1  0 แล้ว ให้หาอีกรากหนึง่ ของสมการนี้ [O50]

28. ถ้า a, b, c, d เป็นจานวนจริงที่ทาให้ (x  1)2(ax  b)  cx3  dx  6 ทุกค่า x [O54]


แล้ว a  b  c  d มีค่าเท่าใด

29. ให้หาเซตของจานวนจริง m ซึ่งทาให้สมการ x2  mx  2  0 มีรากเป็นจานวนจริง [O50]

30. เราสามารถเขียนกราฟของ y  ax2  bx  c ซึ่งเป็นรูปพาราโบลา เพื่อใช้หาคาตอบ [O52]


ของสมการพหุนาม ax2  bx  c  0 ได้ ถามว่าในกรณีที่สมการมีคาตอบเป็นจานวน
จริง 2 คาตอบ, 1 คาตอบ, และไม่มีคาตอบ กราฟจะมีลักษณะต่างกันอย่างไร
31. ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด เมื่อ U  เซตของจานวนจริง [P52A]
(ก) { x | x3  1 }  { x | x 3  1 } (ข) { x | x2  1} 3
 {x | x  x}

32. ให้หาผลบวกของสมาชิกทั้งหมดของเซตคาตอบของสมการ 2x3  x2  5x  2  0 [P52A]


33. ถ้า a, b, c เป็นรากของสมการ 8x3  18x2  7x  3  0 โดยที่ a<b<c [S57]
แล้ว ค่าของ c  a เท่ากับเท่าใด

34. ให้ A เป็นเซตคาตอบของสมการ x3  (1  2) x2  (12  2) x  12  0 [P52C]


และ B เป็นเซตคาตอบของสมการ x3  x2  8x  8  0
จะได้ A  B มีสมาชิกทั้งหมดกี่ตัว

35. ให้ A เป็นเซตคาตอบของ (x  31)(2x


x
 1) < 0 [P52B]
และ B เป็นเซตคาตอบของ 3x2  7x  2  0
ถ้า A  B  [m, n) แล้ว ค่าของ 3n  2m เท่ากับเท่าใด

36. จานวนเต็มที่สอดคล้องอสมการ (x  3)(x  2) < 0 มีทั้งหมดกี่จานวน [S56]


x(2x  3)

37. ถ้า a และ b เป็นคาตอบที่มากที่สุดและน้อยที่สุดของอสมการ (x2  4)(x2  2) < 5 [P52B]


แล้ว ค่าของ a2  b2 เท่ากับเท่าใด

38. ให้ A เป็นเซตคาตอบของอสมการ xx4210x 2 9


4x  3
> 0 [P52B]
ถ้า a คือจานวนจริงที่นอ้ ยที่สุดซึ่ง a  A และ b คือจานวนจริงที่มากที่สุดในเซต A  (5, 2)
แล้ว a  b เท่ากับเท่าใด

39. จานวนเต็มที่ไม่เป็นสมาชิกของเซต S  { x | x2  1 < 2 x } มีทั้งหมดกี่จานวน [P52C]


x 4 x x 2

40. ให้ a, b, c เป็นจานวนจริงใดๆ ข้อความต่อไปนีถ้ ูกหรือผิด [O56]


(ก) ถ้า ab  ac แล้ว b  c (ข) ถ้า a  b และ b  c แล้ว ab  bc

41. ให้ a, b, c เป็นจานวนจริงใดๆ ข้อความต่อไปนีถ้ ูกหรือผิด [O49]


(ก) ถ้า a  b แล้ว a2  b2 (ข) ถ้า a2  b2 แล้ว a  b
(ค) ถ้า ac  bc แล้ว a  b (ง) ถ้า a  b  0 แล้ว ab  a2

42. กาหนดให้ a และ b เป็นจานวนจริง โดยที่ ab > 0 และ a  0, b  0 [P57A]


ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) ถ้า a < b แล้ว a1 > b1 (ข) ถ้า a  b แล้ว ab  a

43. ให้ a, b เป็นจานวนจริงใดๆ ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O54]


3 3
(ก) ถ้า a  b แล้ว a  b (ข) ถ้า a  b แล้ว a b

44. ให้ a, b, c เป็นจานวนจริงใดๆ ข้อความต่อไปนีถ้ ูกหรือผิด [O54]


(ก) ถ้า a b c3  0 แล้ว a c  0 (ข) ถ้า a b c3  0 แล้ว ab  0
45. ให้ a, b, c เป็นจานวนจริงใดๆ ข้อความต่อไปนี้ถกู หรือผิด [O57]
(ก) ถ้า ab c  0 และ b  0 แล้ว a bc  0
(ข) ถ้า a  0 และ b  0 แล้ว a  b  3ab

46. ถ้า x < 3 แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O50]


(ก) x < 9 (ข) x2 < 9
(ค) x x < 9 (ง) (x  x )2 < 9

47. ถ้า x  sin50 แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O49]


(ก) x2  x  1 x x (ข) 1 x x 2
2
 x2  x

48. กาหนดให้ p, q, r, s เป็นจานวนจริง ซึ่ง p  q และ r  s [O53]


ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) p  r  q  s (ข) p  s  q  r
(ค) p  r  q  s (ง) p  s  q  r

49. กาหนดให้ค่าประมาณของ 3 และ 2 คือ 1.732 และ 1.414 ตามลาดับ [O52]


ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) 1.731  1.413 < 3  2 < 1.733  1.415
(ข) 1.731  1.413 < 3  2 < 1.733  1.415

50. ให้หาผลบวกของคาตอบทั้งหมดของสมการ x 9  7 [O52]

51. ให้หาผลบวกของคาตอบทั้งหมดของสมการ 2 4x  3 [O53]

52. ให้หาผลบวกของกาลังสองของคาตอบทั้งหมดของสมการ x3  3x  x [O51]

53. จานวนเต็มที่สอดคล้องกับอสมการ x4 < 5 มีกี่จานวน [O56]

54. กาหนดให้ A  { x | x  2  3  4 } [O57]


จานวนเต็มที่ไม่เป็นสมาชิกของ A มีกี่จานวน

55. กาหนดให้ A  { x | x  1  3 } และ B  { x | x2  x  6 > 0 } [O57]


จานวนสมาชิกของ A  B ที่เป็นจานวนเต็ม เท่ากับเท่าใด

56. ถ้า (a, b) เป็นเซตคาตอบของระบบอสมการ 2x  6  1  x  20 และ x  3 [O54]


แล้ว ค่าของ a  b เท่ากับเท่าใด
|x  1|  2
57. กาหนดให้ A  {x | < 3} ดังนั้นเซต A มีสมาชิกที่เป็นจานวนเต็มกี่ตัว [O49]
|x  1| 5
58. เมื่อ a เป็นจานวนจริงใดๆ ที่ไม่เท่ากับ 0 [O51]
จานวนสมาชิกของเซต { x | x  (|a|  a1) 2
 (a  1 )2 }
|a|
เท่ากับเท่าใด

59. กาหนดให้ A  {2, 3, 5, 7, 11} [S57]


จานวนสมาชิกของเซต { x | x  a b  b a และ a, b  A } เท่ากับเท่าใด

60. กาหนดให้ Sn  (31 , 2)  (24 , 3)  (53 , 4)  ...  (nn2 , n  1) เมื่อ n เป็นจานวนนับใดๆ [P52C]
ให้หาค่าของ n ที่น้อยที่สุดที่ทาให้ Sn  (699 799 499
, 999)

4 3 2
61. ให้ f(x)  x 33x 2 a2 x  7 เมื่อ a, b เป็นจานวนเต็ม [P54A]
x b x 5
ถ้า A  {(a, b) | f(1)  0 } และ B  {(a, b) | a2  2ab  b2 < 1}
แล้ว จานวนสมาชิกของ A  B เท่ากับเท่าใด

62. กาหนดให้ A  { x  R | x2  12x  36 < 3 } ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P53A]


(ก) A  { x | x < 9 } (ข) A'  { x | 3  6  x }
(ค) A  { x | 2x  1  15 }

63. ให้ A แทนเซตคาตอบที่เป็นจานวนจริงของสมการ 4x2 5x  6x


6x  15 4x2  8x  15
 1 [P57B]
และ B แทนเซตคาตอบที่เป็นจานวนจริงของอสมการ x2  2x  1  x2
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) A  B (ข) n(P(A  B))  4

64. ให้ A  { x  I | x2  2  7 } [P53C]


และ B  { x  I | 2x2  x  3 > 0 }
เมื่อ I คือเซตของจานวนเต็ม ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) n(P(A  B))  4 (ข) P(A  B)  P(A  B)  {{0, 1}}

65. ให้เอกภพสัมพัทธ์คือเซตของจานวนเต็ม [P55B]


A  { x | 2x  5 < 7 } และ B  { x | x2  3x  1  1}
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) n(A  B)  7 (ข) A B  

66. ให้ a เป็นสมาชิกค่ามากที่สุดของเซต {x | 3x < 5x} [P52A]


ค่าของ a2  1 เท่ากับเท่าใด
|2  x|  1
67. ถ้า A  {x |  1} [P53B]
3x  |x|  2
และ A  ( 1 , 2)  (a, b) แล้ว ab มีค่าเท่ากับเท่าใด
2
68. ถ้า A เป็นเซตคาตอบของอสมการ 2 x  1  3x  3 2x  1 [P55A]
และ B เป็นเซตของจานวนเต็มทั้งหมดที่ไม่เป็นคาตอบของ (x2  x)(x2  4)(x2  1)  0
แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) n(A  B)  4 (ข) A  B  B

69. ให้ A  { x | 2x  1  x < 5} และ B  { x | x2  20  x } [P56]


ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) A  B  (5, 4) (ข) A  B  {4}

70. ถ้า A แทนเซตคาตอบของสมการ 4  2x  x  1  5  x [P57B]


แล้ว ผลต่างระหว่างขอบเขตบนน้อยสุดและขอบเขตล่างมากสุดของ A เท่ากับเท่าใด

71. ถ้าเซตคาตอบของอสมการ 7  4x  2x  5 < 0 คือช่วงปิด [a, b] [S55]


แล้ว ค่าของ a  b เท่ากับเท่าใด

72. กาหนดให้ a และ b เป็นจานวนจริงบวก ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P57A]


(ก) เซตคาตอบของสมการ x  a  x  b  a  b เมื่อ a  b คือ {x | x  a b}
(ข) เซตคาตอบของสมการ x  a  x  b  a  b เมื่อ a  b คือ {x | x < b}

73. ให้ a, b, c, d เป็นจานวนจริง [P55A]


ถ้ากราฟของสมการ y  x  a  b และ y  c dx ตัดกันที่จุด (5, 3) และ (2, 4)
แล้ว ค่าของ a  b  c  d เท่ากับเท่าใด

74. ให้ P(x) เป็นพหุนามดีกรีสามที่มสี ัมประสิทธิ์ทุกตัวเป็นจานวนจริง [S55]


ถ้า x  4 , x  3 และ x  2 ต่างก็หาร P(x) เหลือเศษ 5
และ x  1 หาร P(x) ลงตัว แล้ว P(0) มีค่าเท่ากับเท่าใด

75. ให้ f(x)  x5  ax4  bx3  cx2  dx  e เมื่อ a, b, c, d, e เป็นจานวนจริง [P55A]


ที่ทาให้กราฟของ f(x) ตัดกับเส้นตรง y  5x  4 ที่จุดซึ่ง x  2, 1, 0, 1
ค่าของ f(2)  f(3) เท่ากับเท่าใด

76. ถ้าพหุนาม P(x) และ Q(x) ดีกรี 2014 สอดคล้องกับเงื่อนไข P(n)  Q(n) [P52A]
ทุกๆ n  1, 2, 3, ..., 2013 และ P(2014)  543  Q(2014)
แล้ว ค่าของ P(0) ต่างจาก Q(0) เท่ากับเท่าใด

77. กาหนดให้ A  { x | 51  x  150 และ 3 เป็นตัวประกอบของ x } [P52A]


และ B  { x | x  A และ 4 หาร x ลงตัว }
ให้หาจานวนสมาชิกของ P(B)

78. กาหนดให้ S เป็นเซตของเศษเหลือที่เป็นไปได้ทั้งหมดจากการหาร n2 ด้วย 7 [P52A]


เมื่อ n เป็นจานวนนับใดๆ ผลบวกของสมาชิกทุกตัวใน S เท่ากับเท่าใด
79. เศษเหลือที่ได้จากการหาร 6888  9777  4555 ด้วย 5 เท่ากับเท่าใด [S57]

80. ถ้า m เป็น ห.ร.ม. ของ 481 และ 555 และ n เป็น ห.ร.ม. ของ 510 และ 555 [P52C]
แล้ว m  n มีค่าเท่ากับเท่าใด
81. ถ้า m และ n เป็นจานวนเต็มบวกซึ่งมี ค.ร.น. เท่ากับ 450 [S57]
และ m  n  5 แล้ว m  2n มีค่าเท่ากับเท่าใด

82. ถ้า ค.ร.น. ของจานวนนับ n และ 360 มีค่าเท่ากับ 3600 [S55]


แล้ว จานวนนับ n ที่น้อยที่สุดที่เป็นไปได้ มีค่าเท่ากับเท่าใด

83. ถ้า ค.ร.น. ของจานวนนับ n และ 60 เท่ากับ 9240 [S56]


และ ห.ร.ม. ของจานวนนับ n และ 5040 เท่ากับ 168
แล้ว n มีค่าเท่ากับเท่าใด

84. มีลูกอมรสส้ม 374 เม็ด และลูกอมรสมะนาว 425 เม็ด ต้องการแบ่งลูกอมทั้งสองรส [P53A]


ออกเป็นกองเล็กๆ โดยแต่ละกองเป็นรสเดียวกันและทุกกองมีจานวนเม็ดเท่ากันทั้งหมด
จะแบ่งลูกอมได้จานวนกองอย่างน้อยที่สุดเท่าใด

85. ถ้า n เป็นจานวนเต็มที่มากที่สุดที่หารทั้ง 234 และ 1543 ได้เศษเหลือเท่ากับ 3 [S57]


แล้ว n มีค่าเท่ากับเท่าใด

86. ถ้าจานวน 142, 275, 389 หารด้วยจานวนนับ d ที่มากกว่า 1 [P54A]


แล้วเหลือเศษเท่ากันคือ r แล้ว ผลคูณ dr เท่ากับเท่าใด

87. ถ้าจานวน 3289, 2384, 1660 หารด้วยจานวนนับ d ที่มากกว่า 1 [P55A]


แล้วเหลือเศษเท่ากันคือ r แล้ว d  r เท่ากับเท่าใด

88. สาหรับจานวนนับ m, n ใดๆ นิยามให้ m  n หมายถึงมีจานวนนับ q ที่ทาให้ m  nq [P53C]


ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด สาหรับจานวนนับ m, n, p ใดๆ
(ก) ถ้า m  n และ n  p แล้ว (m  n)  p
(ข) ถ้า m  n และ m  p แล้ว m  (n  p)
(ค) ถ้า m  p และ n  p แล้ว (mn)  p

89. กาหนดให้ A เป็นเซตที่สอดคล้องเงื่อนไขทุกข้อต่อไปนี้ [P52C]


(ก) ถ้า x  A แล้ว x  A (ข) 2x  A ก็ต่อเมื่อ xA
(ค) 1  A และ 3  A
และ B  {12, 8, 6, 4, 2, 2, 4, 6, 8, 12}
ผลบวกของสมาชิกทั้งหมดของเซต A  B เท่ากับเท่าใด
90. กาหนดให้ x, y, z เป็นจานวนนับที่มีค่าไม่เกิน 199 [P52B]
ถ้า 2x  y  z และ y  z  8x แล้ว ค่ามากที่สุดของ y เท่ากับเท่าใด
91. ถ้า x, y, z เป็นจานวนจริงที่สอดคล้องระบบสมการ [P54A]
xyz  3 x  y1  5 y  z1  7 และ z  x1  m เมื่อ m เป็นเศษส่วนอย่างต่า
n n
แล้ว ค่าของ m  n เท่ากับเท่าใด

92. ถ้า A  {(x, y)  I  I | xy  19  3y  2x } เมื่อ I แทนเซตของจานวนเต็ม [P57A]


แล้ว จานวนสมาชิกของ A เท่ากับเท่าใด
93. กาหนดให้ a, b เป็นจานวนเต็มบวกซึ่งสอดคล้องเงื่อนไข ab  16a  16b  864 [S55]
ถ้า ห.ร.ม. ของ a และ b เท่ากับ 12 แล้ว ค่าของ a  b เท่ากับเท่าใด

94. กาหนดให้ a, b, c, d เป็นจานวนเต็มบวกที่สอดคล้องเงื่อนไข [P56]


a  1b b  2c c  7d และ d  140
3
ดังนั้น ค่าของ a ที่มากที่สุดเท่ากับเท่าใด

95. กาหนดให้ A เป็นเซตของ (a, b, c) ซึ่งสอดคล้องเงื่อนไข [P54B]


4a  2b  c < 30 และ c  c  1  5(b  b  1)
a b a c
โดยที่ a, b, c เป็นจานวนเต็มบวก จานวนสมาชิกของ A เท่ากับเท่าใด
96. ให้ a, b, c, d, e เป็นจานวนเต็มบวก โดยที่ a  b  c  d  e [P53C]
ถ้าผลบวกของ 2 จานวนที่แตกต่างกันมีทั้งหมด 10 จานวน
ได้แก่ 24, 27, 29, 31, 33, 36, 36, 38, 41, 45 แล้ว ค่าของ c เท่ากับเท่าใด
97. กาหนดให้ a, b, c, d, e เป็นจานวนเต็มที่สอดคล้องเงื่อนไข [P57A]
2a  3b  5c  6d  7e และทาให้ 7a  6b  5c  3d  2e มีค่าน้อยที่สุด
ค่าของ a  2b  3c  2d  e เท่ากับเท่าใด

98. ให้ A แทนเซตของ a2b  cd เมื่อ a, b, c, d เป็นจานวนเต็มบวกที่มีสมบัติดังนี้ [P57B]


(ก) a  b  c (ข) c(b  d)  a(a  b  c  d)
(ค) b  cd  bd  2
ผลบวกของสมาชิกทั้งหมดในเซต A เท่ากับเท่าใด

99. กาหนดให้ a, b และ c เป็นจานวนจริงบวก โดยที่ a  b [P57B]


ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
3a  2b  3c  3a  2b
(ก) 2a (ข) 2a  3b  c  2a  3b
 3b  4c 2a  3b 3a  2b  c 3a  2b
100. เลขที่บัญชีธนาคารของนายวิทยาเป็นจานวน 10 หลักที่ประกอบขึ้นจาก [P57A]
เลขโดด 0–9 ไม่ซ้ากัน โดยมีข้อมูลดังนี้
(ก) สามหลักสุดท้ายเป็นเลขคี่ที่ติดกัน เรียงจากน้อยไปมาก
(ข) สี่หลักตรงกลางเป็นเลขคู่ที่ติดกัน เรียงจากมากไปน้อย
(ค) สามหลักแรกเรียงจากน้อยไปมาก และมีผลบวกเท่ากับ 12
ผลต่างของเลขหลักแรกและหลักสุดท้ายเท่ากับเท่าใด

101. ให้ 4a8 และ 1b3 เป็นจานวนสามหลัก โดยที่ 4a8  1b3  295 [P54A]
ถ้า 4a8 หารด้วย 9 ลงตัว แล้ว ค่าของ a  b เท่ากับเท่าใด

102. ถ้า a, b, c เป็นจานวนนับในช่วง 1–9 [P55B]


และสอดคล้องกับ (42  a)  (6  b)  c  368 แล้ว abc มีค่าเท่ากับเท่าใด

103. กาหนดให้ a, b เป็นเลขโดดประกอบกันเป็นจานวนสองหลัก ab [P55A]


โดยที่ b มีค่าเป็นสามเท่าของ a
ถ้า (450  ab)  (178  ba)  996 แล้ว ค่าของ a  2b เท่ากับเท่าใด

104. จานวนสองหลัก ab บวกกับจานวนสองหลัก cd ได้ผลลัพธ์เป็นจานวนสามหลัก efg [P53C]


โดยที่ a, b, c, d, e, f, g เป็นเลขโดด 0–6 ไม่ซ้ากัน และจานวน ab, cd ต่างก็หาร
ด้วย 3 ลงตัว ดังนั้น ผลต่างของ ab กับ cd มีค่าเท่ากับเท่าใด

105. ให้ a, b, c เป็นเลขโดดที่แตกต่างกัน ที่ทาให้จานวนสามหลัก abc และ cba มีค่า [P55B]


ต่างกันมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้น มี abc ที่เป็นไปได้ทั้งหมดกี่จานวน

106. ให้ abcd เป็นจานวน 4 หลักที่ประกอบขึ้นจากเลขโดด a, b, c, d [P53A]


และทาให้จานวน dcba มีค่าเป็น 9 เท่าของ abcd ดังนั้น a  b  c  d มีค่าเท่าใด

107. ให้ a, b, c เป็นเลขโดด 1–9 ซึ่งทาให้จานวนสามหลัก abc สอดคล้องกับเงื่อนไข [P56]


ab  bc  ca  ac  cb  ba  abc
โดยที่ ab, bc, ca, ac, cb, ba แทนจานวนสองหลัก
ดังนั้น ผลบวกของ a  b  c ที่เป็นไปได้ทุกจานวนเท่ากับเท่าใด
108. จากตาราง เมื่อเติมจานวนเต็มบวกลงไปช่องละ 1 จานวน 8 3 [P53C]
เพื่อให้ได้ผลบวกจานวนในแต่ละแถว หลัก และแนวทแยงมุม x
มีค่าเท่ากันทั้งหมด จะได้จานวน x มีค่าเท่ากับเท่าใด 6

109. จากรูป เมื่อเติมจานวนนับ 1, 2, 3, 4, ..., 16 ลงในช่อง [P53B]


สี่เหลี่ยมสีขาวช่องละ 1 จานวนไม่ซ้ากัน ให้ได้ผลบวกในแต่ละ x 9
แถวและแต่ละหลักมีค่าเท่ากันทั้งหมด จะได้ x เป็นจานวนใด
5 1
เฉลยวิธีคิด บทที่ 2 หรืออ้างสมบัติได้ว่า 1. ค่าติดลบของจ านวนตรรกยะยังคง
เป็นจ านวนตรรกยะเช่นเดิม 2. เซตจ านวนตรรกยะมี
1. ทศนิยมไม่รู้จบที่เป็นทศนิยมซ้า จะเป็นจานวนตรรกยะ สมบัติปิดการบวก
เช่น 31  0.3333333.. และที่เป็นทศนิยมไม่ซ้าจะเป็น
ส่วนจานวนอตรรกยะลบกันไม่จาเป็นต้องได้จานวนอตรรก
จานวนอตรรกยะ เช่น 2  1.41421356.. ยะเสมอ เพราะทศนิยมที่ไม่ซ้านั้นอาจลบกันหมดไป
ดังนั้น (ก) และ (ข) ถูก กลายเป็นจานวนตรรกยะได้ ยกตัวอย่างเช่น 1  ลบ
ด้วย  ได้ผลลัพธ์เป็น 1 ซึ่งเป็นจานวนตรรกยะ ดังนั้น
(ข) ผิด
2. จานวนตรรกยะที่ใกล้เคียง 1 มากๆ จานวนหนึ่งคือ
0.9999 แต่เมื่อเราเพิ่มจานวนทศนิยมเข้าไป เช่น
0.99999, 0.999999, ... ทุกครั้งย่อมได้จานวนที่มีค่า 6. อินเวอร์ส คือจานวนที่มาดาเนินการแล้วได้ผลลัพธ์เป็น
มากขึ้นโดยยังไม่ถึง 1 และยังคงเป็นจานวนตรรกยะ เอกลักษณ์ โดยเราทราบว่าเอกลักษณ์การบวกคือ 0 และ
เช่นเดิม ดังนั้นจึงไม่สำมำรถหาจานวนตรรกยะที่มากที่สุด เอกลักษณ์การคูณคือ 1 ดังนั้น (ก) และ (ข) ถูก
ที่น้อยกว่า 1 ได้
หมายเหตุ ถ้าโจทย์ถามว่าข้อความเหล่านี้เป็นจริงสาหรับ
สาหรับจานวนอตรรกยะก็เหมือนกัน เช่น ทุกจ านวนจริง a หรือไม่ ข้อ (ข) จะไม่จ ริงในกรณีที่ a
0.9090090009.., 0.9990090009.., 0.9999990009.. เป็น 0
พบว่าหาจานวนที่มากขึ้นโดยยังไม่ถึง 1 ได้เรื่อยๆ ไม่มีที่
สิ้นสุด ดังนั้น (ก) และ (ข) ผิด
7. (ก) ผิด เพราะ x  (y  z)  x  y  x  z
(ข) ผิด เพราะ x  y  z  x  y  z
3. (ก) จานวนตรรกยะได้แ ก่ 0.1010010001 ซึ่งเป็น
ทศนิยมที่จากัด (ไม่ใช่ทศนิยมไม่รู้จบ) และ 1.22222...
ซึ่งเป็นทศนิยมซ้า ส่วนอีกจานวนเป็นจานวนอตรรกยะ 8. (ก) ผิด เพราะ xy  yx เสมอไป
เพราะมีค่าเป็นทศนิยมไม่ซ้า (ข) ผิด เพราะ xy  z  xy  xz เสมอไป
z

(ข) เป็นจานวนอตรรกยะ (ทศนิยมไม่ซ้า) ทั้งหมด (ค) ผิด เพราะ x(y )  (xy)z เสมอไป
( 227
  เป็นจานวนอตรรกยะเพราะสองจานวนนี้เป็น
ค่าประมาณของกัน มีค่าต่างกันเล็กน้อย ลบกันไม่เป็น 0)
9. (ก) ถูก (a  1)  (a  1)  1  (a)(a)  1  a2
3
(ค) จานวนตรรกยะได้แ ก่ 11 เท่านั้น เพราะเป็นเศษส่วน และ (a  a)  1  1  (a  1)(a  1)  1  1  a2
ของจานวนเต็ม อีกสองจานวนเป็นจานวนอตรรกยะเพราะ
มีค่าเป็นทศนิยมไม่ซ้า (ข) ผิด (a  1)  (a  1)  1  (a  2)(a)  1  a2  2a
แต่ (a  a)  2a  1  1  (a  1)(a  1)  2a  1
ดังนั้น (ก) (ข) ผิด และ (ค) ถูก  3  a2  2a

(ค) ผิด (a  b)  2  (1  (a  1)(b  1))  2


 (1  ab  a  b  1)  2
4. เนื่องจาก A  3.1416  3.1  0.0416
 1  ((2  ab  a  b)  1)(2  1)
และ B  1.7777  1.7333  0.0444
 1  (3  ab  a  b)  ab  a  b  2
และ C  1.732  1.7  0.0320
แต่ a  (b  2)  a  (1  (b  1)(2  1))
ดังนั้น เรียงลาดับจากน้อยไปมากได้เป็น C < A < B
 a  (b)  1  (a  1)(b  1)
 1  ab  a  b  1  ab  a  b  2

5. จานวนเต็มหรือเศษส่วนของจานวนเต็มใดๆ เมื่อลบกัน
แล้วผลลัพธ์ยังคงเป็นจานวนเต็มหรือเศษส่วนของจานวน
เต็มอยู่เสมอ ดังนั้น (ก) ถูก
10. จากการพิจารณา จะทราบว่า  เป็นการดาเนินการที่ ดังนั้น (0  1)  1  c  1  a/ 3  1
(3  0) 9a 9a 27
ให้ผลลัพธ์เป็นค่าที่มากกว่า และ  เป็นการดาเนินการที่
ให้ผลลัพธ์เป็นค่าที่น้อยกว่า ส่วนกรณีที่ค่าเท่ากัน ก็จะให้
ผลลัพธ์เป็นค่านั้นๆ
14. สมมติครูสูง x ซม. จะได้นักเรียนสูง x  27 ซม.
(ก) ถูก เพราะ x  y กับ y  x จะได้ค่าที่น้อยกว่า
(หรือเท่ากัน) ออกมา ทั้งสองคนสูงรวมกันไม่เกิน 325 ซม.
เขียนเป็นอสมการได้ x  (x  27) < 325
(ข) ถูก เพราะทั้ง x  (y  z) กับ (x  y)  z จะได้ค่าที่  2x < 352  x < 176
มากที่สุดในบรรดา x, y, z ออกมา แสดงว่าครูมีส่วนสูงได้มากที่สุด 176 เซนติเมตร
(ค) ถูก สมมติว่า y < z
กรณี x < y จะได้ x  (y)  (y)  (z)  y  y
กรณี y < x < z จะได้ x  (y)  (x)  (z)  x  x
15. สมมติรับพิมพ์เอกสารวันละ x หน้า
กรณี x > z จะได้ x  (y)  (x)  (x)  x  x โดยมีกาไรหน้า ละ 18  3  15 บาท
พบว่าข้อความเป็นจริงทุกกรณี ดังนั้น เมื่อหักค่าเช่า ร้านจะเหลือเป็นค่าแรง
วันละ 15x  80 บาท
11. จาก 1  1  1  5  6 ต้องการค่าแรงอย่างน้อยวันละ 800 บาท
และ 11(1 1 1)  1121  21  1  2  2(6)  12
เขียนเป็นอสมการได้ 15x  80 > 800  x > 58.67
แสดงว่าต้องรับพิมพ์เอกสารอย่างน้อยวันละ 59 หน้ำ
จะได้ 2 1  2 1  1  2  3  3(12)  36
2  (2  1) 2  3 3
3 2  32  2  3  5  5 (36)  90
3  (3  2) 35 5 2 16. สมมติที่ดินมีความกว้าง x เมตร
5 3  5 3  3  5  8  8 (90)  240 จะได้ความยาวเป็น 2x  2 เมตร
5  (5  3) 5  8 8 3
เนื่องจากพื้นที่เท่ากับ 84 ตารางเมตร
ก็แสดงว่า 120  (5  8)  120  240 จึงได้สมการ (x)(2x  2)  84
จาก 120  120  120  5  125  2x2  2x  84  0  2(x  7)(x  6)  0
และ 120120  120
 (120  120)
 120  120 
120  240
120  1
240 2
แต่ x ไม่สามารถติดลบได้ ดังนั้น x 6 เมตร
 120  240  2(125)  250 แสดงว่าที่ดินกว้าง 6 เมตร และยาว 14 เมตร
ความยาวของรั้ว (เส้น รอบรูป ) จึงเท่ากับ 40 เมตร

12. จาก (ข) แทน x ด้วย 1 จะได้ 1  y  y .....(1)


นามาพิจารณา (ก) 17. สมมติด้านกว้างของสี่เหลี่ยม ยาว x นิ้ว
แทน x ด้วย y จะได้ y  y  y .....(2) อีกด้านจะยาว x  5 นิ้ว
และเส้นทแยงมุมจะยาว x  9 นิ้ว
ดังนั้น 4  5  4  (4)(54)  (4  4)(54)  (4)(54)  5
เนื่องจากด้านทั้งสองและเส้นทแยงมุมประกอบกันเป็น
และ 3  (4  5)  3  5  3  (3)(53) สามเหลี่ยมมุมฉาก จึงอาศัยทฤษฎีบทปีทาโกรัส
 (3  3)(5)  (3)(5)  5 เขียนเป็นสมการได้ว่า (x  9)2  x2  (x  5)2
3 3
 x2  18x  81  x2  x2  10x  25
 0  x2  8x  56
13. จาก 1 2  3 จะได้ a  2b  4c  3
ใช้สูตรสาเร็จของสมการกาลังสองช่วยหาคาตอบ ดังนี้
จาก 2  3  4 จะได้ 4a  6b  9c  6
x  b  b  4ac  8  64224
2

แก้ระบบสมการ พบว่าคาตอบมีได้มากมายหลายชุด 2a 2
ในรูป (a, b, c)  (a,  7a6 3 , a 3 3)  8  288  8  12 2  46 2
2 2
แสดงว่าด้านกว้างของสี่เหลี่ยมยาว 4  6 2 นิ้ว (ไม่ 21. จาก (p  1)2  64 จะได้ p1  8 หรือ –8
สามารถติดลบได้) และด้านยาวยาว 9  6 2 นิ้ว ดังนั้น p  9 หรือ –7

ดังนั้น เส้นรอบรูปของสี่เหลี่ยมยาว 26  24 2 นิ้ว และจาก (q  2)2  36 จะได้ q2  6 หรือ –6


ประมาณค่าได้เป็น 26  24(1.414)  60 นิ้ว ดังนั้น q  4 หรือ –8
ค่ามากที่สุดที่เป็นไปได้ของ q  2p
จะเกิดเมื่อ q มีค่ามากที่สุดและ p มีค่าน้อยที่สุด
18. สมมติด้านประกอบมุมฉากด้านหนึ่งยาว x นิ้ว นั่นคือ q  2p  4  2(7)  18
80 x  4 x นิ้ว
อีกด้านจะยาว 100 5

เนื่องจากพื้นที่สามเหลี่ยมเท่ากับ 640 ตารางนิ้ว 22. (ก) (x  1)2  3 ไม่มีคาตอบที่เป็นจานวนจริง


จึงได้สมการ 21 (x)(54 x)  640 (เพราะไม่มีจานวนจริงใดยกกาลังสองแล้วได้ค่าติดลบ)
 x2  1600  x  40 นิ้ว (ไม่สามารถติดลบได้)
(ข) จะได้ (x2  1)  0 หรือ (x2  3)  0
แสดงว่าอีกด้านหนึ่งยาว 54 (40)  32 นิ้ว ซึ่งกรณีแรกไม่มีคาตอบที่เป็นจานวนจริง ( x2  1 )
ส่วนกรณีหลังคานวณต่อได้เป็น (x  3)(x  3)  0
จากทฤษฎีบทปีทาโกรัส จะทราบว่าด้านที่เหลือ (ตรงข้าม นั่นคือ x  3 หรือ  3 ..เป็นจานวนจริง 2 คาตอบ
มุมฉาก) ยาว 402  322  8 52  42  8 41 นิ้ว
เส้นรอบรูป จึงมีความยาว 72  8 41 นิ้ว (ค) จะได้ (x  1)2  0 หรือ (x2  3)  0
ซึ่งกรณีหลังไม่มีคาตอบที่เป็นจานวนจริง ( x2  3 )
ส่วนกรณีแรกได้ x  1 ..เป็นจานวนจริง 1 คาตอบ
19. สมมติจานวนบราวนี่ทั้งหมดในแต่ละแถวมี x ชิ้น (ง) จะได้ (x2  1)  0 หรือ (x  3)2  0
จะได้ จานวนแถวเท่ากับ x  4 แถว กรณีแรกคานวณต่อได้เป็น (x  1)(x  1)  0

เนื่องจากจานวนบราวนี่ทั้งหมดเท่ากับ 192 ชิ้น นั่นคือ x  1 หรือ 1 ..ส่วนกรณีหลังได้ x  3

จึงได้สมการ (x)(x  4)  192 สมการนี้มีคาตอบเป็นจานวนจริง 3 คาตอบ


 x2  4x  192  0  (x  16)(x  12)  0 ดังนั้นคาตอบคือ (ก) (ค) (ง) ผิด และ (ข) ถูก
แต่ x ไม่สามารถติดลบได้ ดังนั้น x  16 ชิ้น
และได้จานวนแถวเท่ากับ 16  4  12 แถว
จานวนกล่องทั้งหมดจึงเท่ากับ 12 (4)  48 กล่อง 23. วิธีที่ 1 ย้าย x ไปฝั่งขวา ได้เป็น xx  21  2  x
(มีเงื่อนไขตัวส่วนคือ x  1 ห้ามเป็นศูนย์)
สามารถย้ายไปคูณได้เป็น x  2  (2  x)(x  1)
20.  x  2  2  x  x2  x2  4  0
N  (x  2)(x  2)  0
x N รากของสมการนี้ได้แก่ x  2 หรือ 2
และมีผลบวกของรากทั้งหมดเท่ากับ 0
x วิธีที่ 2 ย้าย 2 ไปฝั่งซ้าย ได้เป็น xx  21  x  2  0
จากรูป จานวนต้นที่อยู่ริมเท่ากับ Nx  x  Nx  x  4 ต้น
ดึงตัวร่วมคือ x  2 ได้เป็น (x  2)(x 1 1  1)  0
(ต้องลบ 4 เพื่อไม่ให้ต้นที่อยู่หัวมุมทั้งสี่ถูกนับซ้า)
 (x  2)(x  2)  0 จะเป็นศูนย์ได้เมื่อเศษเท่า กับ 0
โจทย์บอกว่ามี 100 ต้น ดังนั้น Nx  x  Nx  x  4  100 x1
ย้ายข้างตัวเลข แล้วหารสองทั้งสมการ ได้ Nx  x  52 รากของสมการนี้จึงได้แก่ x  2 หรือ –2
นั่นคือ N  (52  x)(x)  52 x  x2 และมีผลบวกของรากทั้งหมดเท่ากับ 0
ดังนั้น ค่าของ a  b  52  (1)  51
24. จากอสมการที่ให้มา นา –1 คูณเพื่อให้สัมประสิทธิ์ ดังนั้นสมการคือ 24x2  2x  1  0
หน้า x ทุกตัวเป็นบวก จะได้ (3x  2)(4x  5)  0
แยกตัวประกอบได้ (4x  1)(6x  1)  0
พิจารณาคาตอบจากเส้นจานวน จะได้ A  ( 23 , 54) อีกรากหนึ่งของสมการก็คือ 61 นั่นเอง
–2/3 5/4 วิธีที่ 2 จากรากของสมการคือ x   41
ดังนั้น 3ab  (2)(5)  2.5 เราอาจเขียนพหุนามในรูป (4x  1)(mx  n)
4
แล้วเทียบสัมประสิทธิ์ของผลคูณกับ ax2  2x  1
จะทราบว่า n  1 และจะได้ m  4  2  m  6
25. เนื่องจาก x2  2 ไม่มีรากที่เป็นจานวนจริง แสดงว่า ดังนั้น อีกผลเฉลยของสมการก็คือ 61
รากที่เป็นจานวนจริง 1 รากต้องเกิดจาก 3x2  6x  c
วิธีที่ 1 การมีรากเพียง 1 ราก (สองคาตอบมีค่าเท่ากัน) 28. เนื่องจากสมการเป็นจริงทุกค่า x
แสดงว่าเมื่อใช้สูตร x  b  b2a2  4ac แล้ว จึงสามารถแทนค่า x ลงไปได้เรื่อยๆ
ภายในรู้ทต้องเป็น 0 พอดี เมื่อ x  0 จะได้ b  0  6  b  6
นั่นคือ b2  4ac  0  36  12c  0  c  3 เมื่อ x  1 จะได้ 4 (a  6)  c  d  6 .....(1)
เมื่อ x  1 จะได้ 0   c  d  6  c  d  6
วิธีที่ 2 การมีรากเพียง 1 ราก (สองคาตอบมีค่าเท่ากัน) .....(2)
แสดงว่า 3x2  6x  c ต้องเป็นกาลังสองสมบูรณ์
และเนื่องจาก 3x2  6x  c  3(x2  2x  3c) แทนสมการ (2) ใน (1); 4 (a  6)  6  6  a  3

จึงสรุปได้ว่า (1)2  3c  c  3 ดังนั้น a  b  (c  d)  (3)  (6)  6  9


หมายเหตุ ถ้าต้องการทราบค่า c และ d แยกจากกัน ทา
ได้โดยพิจ ารณาสัมประสิทธิ์นา (หน้า x ดีกรีสูงสุด) ใน
26. วิธีที่ 1 x  23 เป็นผลเฉลยของ 3x2  bx  8  0 โจทย์ ก็จ ะทราบว่า a  c ดังนั้น c  3 และ
แสดงว่าเมื่อแทนค่า x  23 ลงไป สมการต้องเป็นจริง d  9

..จะได้ 3(23)2  b(23)  8  0


 4  2b  8  0  b  10
3 3 29. รากของสมการที่อยู่ในรูป ax2  bx  c  0
2
ดังนั้นสมการคือ 3x  10x  8  0
แยกตัวประกอบได้ (3x  2)(x  4)  0 ได้แก่ x  b  b2a2  4ac
อีกผลเฉลยของสมการก็คือ –4 นั่นเอง ดังนั้นสมการในโจทย์ มีรากเป็น x  m  m 2
2 8

ซึ่งรากนี้จะเป็นจานวนจริงเมื่อภายในรู้ทไม่ติดลบ
วิธีที่ 2 จากผลเฉลย x  23
..นั่นคือ m2  8 > 0  (m  8)(m  8) > 0
เราอาจเขียนพหุนามในรูป (3x  2)(mx  n)
แล้วเทียบสัมประสิทธิ์ของผลคูณกับ 3x2  bx 8
จะทราบว่า m  1 , n  4 ทันที  8 8
ดังนั้น อีกผลเฉลยของสมการก็คือ –4
จะได้เซตของจานวนจริง m คือ (,  8]  [ 8, )

27. วิธีที่ 1 x   41 เป็นรากของ ax2  2x  1  0 30. คาตอบของสมการ ax2  bx  c  0


แสดงว่าเมื่อแทนค่า x   41 ลงไป สมการต้องเป็นจริง ก็คือค่า x ที่ทาให้กราฟ y  ax2  bx  c มีค่า y เป็น 0
หรือกล่าวสั้นๆ ก็คือเป็น “จุดตัดแกน X” ของกราฟนั่นเอง
..จะได้ a( 41)2  2( 41)  1  0
 a  1 1 0  a  24 ดังนั้น ถ้ามีคาตอบเป็นจานวนจริง 2 คาตอบ กราฟจะตัด
16 2
แกน X สองจุด, ถ้ามีคาตอบเป็นจานวนจริง 1 คาตอบ
กราฟจะตัดแกน X จุดเดียว หรือเรียกได้ว่า สัมผัสแกน X
(จุดยอดอยู่บนแกน X) และถ้าไม่มีคาตอบเป็นจานวนจริง
(คือไม่มีค่า x ใด ที่ทาให้ y เป็น 0) กราฟจะไม่ตัดแกน 35. เซต A; (x  1)(2x  1) > 0
x3
X
– + – +
–1 1/2 3
31. (ก) ผิด เพราะ x3  1 มีคาตอบเป็น x  1 เซต B; (3x  1)(x  2)  0
3
เท่านั้น แต่ x  1
มีคาตอบเป็น x  1 หรือ 1 + – +
–2 –1/3
(ข) ผิด เพราะ x2  1 มีคาตอบเป็น x  1 หรือ 1
แต่ x3  x  x3  x  0  x(x2  1)  0 A  B  [1,  1) ดังนั้น 3n  2m  1
3
มีคาตอบเป็น x  0 หรือ –1 หรือ 1

36. จาก (x  3)(x  2) < 0 เขียนเส้นจานวนได้ดังนี้


32. จากการหารสังเคราะห์ x(2x  3)

1 2 1 –5 2 + – + – +
 2 3 –2
2 3 –2
–3 –3/2 0 2
จะได้ (x  1)(2x2  3x  2)  0 จานวนเต็มที่สอดคล้อง ได้แก่ –3, –2, 1, 2
 (x  1)(x  2)(2x  1)  0 รวม 4 จำนวน
เซตคาตอบคือ {1, 2, 1} มีผลบวกเป็น  1
2 2

37. ให้ x2  A
33. จากการหารสังเคราะห์ จะได้อสมการเป็น (A  4)(A  2) < 5
–1 8 18 7 –3 แจกแจงได้ A2  2A  8  5 < 0  (A  3)(A  1) < 0
 –8 –10 3  1 < A < 3 ก็แสดงว่า 1 < x2 < 3
8 10 –3
จะได้ (x  1)(8x2  10x  3)  0 ซึ่งค่า x ที่สอดคล้อง ได้แก่  3 <x< 3
 (x  1)(4x  1)(2x  3)  0 ดังนั้น a2  b2  ( 3)2  ( 3)2  6
รากของสมการได้แก่  3 , 1, 1
2 4

ดังนั้น c  a  1  ( 3)  0.25  1.5  1.75 (x2  9)(x2  1) > 0


4 2 38. จากโจทย์ แยกตัวประกอบได้ (x  3)(x  1)
 (x  3)(x  3)(x  1)(x  1) > 0
(x  3)(x  1)
3 2 2
34. เซต A; x  x  2x  2x  12x  12  0
 x2(x  1)  2x(x  1)  12(x  1)  0
+ – + – + – +
 (x  1)(x2  2x  12)  0 –3 –1 1 1 3 3
 (x  1)(x  3 2)(x  2 2)  0 A  ((, 3]  [1, ))  {1, 3}
 A  {1, 3 2, 2 2} a  1 , b  3 ab 
ดังนั้น และ –2
เซต B; x2(x  1)  8(x  1)  0
 (x  1)(x2  8)  0
 (x  1)(x  2 2)(x  2 2)  0 39. x1  x <0
(x 2)(x 2) (x 2)(x 1)
 B  {1, 2 2, 2 2}
 (x  1)(x  1)  (x)(x 2) < 0
(x 2)(x 2)(x  1)
จะได้ A  B  {1, 2 2} มีสมาชิก 2 ตัว
 x2  1  x2  2x < 0  2x  1 > 0 จะได้ a b c3  0 แต่ a b  0
(x 2)(x 2)(x  1) (x 2)(x 2)(x  1)

+ – + – +
–2 –1 –1/2 2 45. (ก) ผิด เช่น a  1 , b  2 , c  3
จานวนเต็มที่ไม่อยู่ใน S ได้แก่ –2, –1, 1, 2 จะได้ ab c  0 แต่ a bc  0
รวม 4 จำนวน (ข) ถูก เนื่องจากเราทราบว่า ( a  b)2 > 0 เสมอ
จะแจกแจงได้เป็น a  2 ab  b > 0  a  b > 2 ab
ซึ่งค่าของ 2 ab  3 ab เสมออยู่แล้ว ข้อนี้จึงถูก
40. (ก) ผิด ในกรณีที่ a  0
เช่น a  0 , b  1 , c  2 จะได้ ab  ac แต่ b  c
(ข) ผิด เช่น a   2 , b  0 , c  1 46. (ก) ผิด เช่น x  10
จะได้ a  b  c แต่ ab  bc (ข) ผิด เช่น x  4
คาตอบคือ ข้อ 5. (ค) ถูก แยกอธิบายได้ 2 กรณีดังนี้
๏ กรณี 0 < x < 3 จะได้ว่า x x มีค่าเป็นบวกหรือ
ศูนย์
และคูณกันได้ผลลัพธ์ไม่เกิน 9 แน่นอน
41. (ก) ผิด เช่น a   2 , b   1
๏ กรณี x  0 จะได้ว่า x x มีค่าติดลบ
จะได้ a  b แต่ a2  b2
ซึ่งไม่ว่าจะติดลบเท่าใดก็ย่อมมีค่าน้อยกว่า 9 เช่นกัน
(ข) ผิด เช่น a  0 , b   3
(ง) ผิด เช่น x  4
จะได้ a2  b2 แต่ a  b
(ค) ผิด เช่น a  2 , b  1 , c  5
จะได้ ac  bc แต่ a  b
(ง) ถูก จาก a  b เมื่อเรานา a ซึ่งในที่นี้เป็นจานวน 47. ในข้อนี้ไม่จาเป็นต้องทราบค่าประมาณของ sin 50
ติดลบไปคูณทั้งสองข้างของอสมการ ย่อมเกิดการพลิก ขอเพียงทราบว่า ค่า sin ของมุมใดๆ (ระหว่าง 0° กับ
เครื่องหมายเป็น a2  ab เสมอ 90°) มีค่าเป็นทศนิยม 0.กว่าๆ (ไม่ถึง 1) ก็เพียงพอแล้ว
จากนั้นเปรียบเทียบค่ามากน้อยทีละคู่ ดังนี้
๏ x กับ x2
42. (ก) ถูก ถ้า a < b โดยที่ ab  0 จานวนบวกที่มีค่า ไม่ถึง 1 เมื่อยกกาลังสองย่อมมีค่า
(ไม่มีทางเป็น 0 เพราะ a, b  0 ) ลดลงเสมอ ดังนั้น x2  x
a < b  1 < a1
จะได้ ab ab b ๏ x กับ 1 x x
(ข) ผิด ในกรณีที่ a และ b เป็นค่าติดลบทั้งคู่ จานวนบวก x ใดๆ ถูกหารด้วย 1  x ซึ่งมากกว่า 1
เช่น a  b  2 จะได้ ab  4  2  a ผลหารย่อมมีค่าลดลงจากเดิมเสมอ ดังนั้น 1 x x  x
(ถ้าจะให้ถูก ต้องเขียนเป็น ab  a ) ๏ x2 กับ 1 x2x2
x2 ก็เป็นจานวนบวกที่มีค่าไม่ถึง 1 เช่นกัน
43. (ก) ผิด เช่น a   1 , b   2 ด้วยเหตุผลเดียวกันจึงสรุปได้ว่า 1 x2x2  x2
จะได้ a  b แต่ a  b ดังนั้น (ก) ผิด และ (ข) ถูก
(ข) ผิด เช่น a   1 , b   2
จะได้ a  b แต่ a3  b3
48. โจทย์กาหนด p  q .....(1)
และ r  s .....(2) นั่นคือ s  r .....(3)
44. (ก) ถูก เพราะเราทราบว่า b  0 และ c2  0
เสมอ (ในข้อนี้ไม่เป็น 0 เพราะจะทาให้ a b c3  0 ซึ่ง ดังนั้น (ก) ถูก p  r  q  s เสมอ .....มาจาก (1)+(2)
ผิดเงื่อนไข) และเมื่อนาสองค่านี้มาหารออกจากอสมการ และ (ง) ถูก p  s  q  r เสมอ .....มาจาก (1)+(3)
จะพบว่า a c  0 เสมอเช่นกัน
ส่วน (ข) และ (ค) ผิด
(ข) ผิด เช่น a  c  1 , b   1
ยกตัวอย่างเช่น 3  4 และ 0  2 จานวนเต็มที่อยู่ในช่วงคาตอบนี้ได้แก่ –1, 0, 1, 2, …, 9
แต่ 3  2  4  0 และ 3  0  4  2 รวมทั้งสิ้น 11 จำนวน

49. ถ้า a < 3 < b .....(1) 54. จากโจทย์คือ x  2  1


และ c < 2 < d .....(2) ถอดค่าสัมบูรณ์ได้ x  2  1 หรือ x 2  1
จะได้ a  c < 3  2 < b  d เสมอ .....จาก(1)+(2) นั่นคือ x  3 หรือ x  1
แสดงว่า A  (, 3)  (1, )
และจาก (2) จะได้ d <  2 < c .....(3)
ดังนั้น a  d < 3  2 < b  c เสมอ .....จาก(1)+(3) จานวนเต็มที่ไม่อยู่ใน A ได้แก่ 3, 2, 1 รวม 3 จำนวน

ในข้อนี้โจทย์กาหนด 1.731 < 3 < 1.733


และ 1.413 < 2 < 1.415 55. เซต A; ถอดค่าสัมบูรณ์ได้ 3  x  1  3
ดังนั้น จะต้องสรุปว่า นั่นคือ 2  x  4
1.731 1.413 < 3  2 < 1.733  1.415 (ก) ถูก
และ 1.731 1.415 < 3 2 < 1.733  1.413 (ข) ผิด
เซต B; แยกตัวประกอบได้ (x  3)(x  2) > 0
พิจารณาคาตอบจากเส้นจานวน จะได้ x < 2 หรือ
x > 3

50. จากสมการ x  9  7 จานวนเต็มที่อยู่ในเซต A  B (อยู่ใน A แต่ไม่อยู่ใน B)


จะถอดค่าสัมบูรณ์ได้ x  9  7 หรือ x  9  7 ได้แก่ –1, 0, 1, 2 รวม 4 จำนวน
ดังนั้นสมการนี้มี 2 คาตอบ คือ x  16 หรือ x  2
ผลบวกของคาตอบทั้งหมดเท่ากับ 18
56. จากเงื่อนไข x  3
ย่อมได้ว่า 2x  6  0 และ 1  x  0
51. จากสมการ 4  x  23  1.5 อสมการสามารถถอดค่าสัมบูรณ์ได้แบบเดียวเท่านั้น คือ
จะถอดค่าสัมบูรณ์ได้ 4  x  1.5 หรือ 4  x  1.5 (2x  6)  (1  x)  20  3x  27  x  9

ดังนั้นสมการนี้มี 2 คาตอบ คือ x  2.5 หรือ x  5.5 งได้ช่วงคาตอบ (3, 9) และค่าของ a  b  3  9  12


จึ
ผลบวกของคาตอบทั้งหมดเท่ากับ 8
57. เพื่อความสะดวกเราสามารถเขียน a แทน x1

52. คานวณโดยถอดค่าสัมบูรณ์ แยกเป็น 2 กรณี จะได้สมการกลายเป็น a a 2 < 53


๏ กรณี x > 0 จะได้สมการเป็น x3  3x  x ซึ่งสามารถคูณ a ขึ้นไปฝั่งขวาได้ เพราะมีค่าเป็นบวกเสมอ
 x3  4x  0  (x)(x2  4)  0
 5(a  2) < 3a  a < 5
 (x)(x  2)(x  2)  0
(โดยต้องไม่ลืม เงื่อนไข a  0 เนื่องจากเป็นตัวส่วน)
ดังนั้น x  0 หรือ 2 (กรณีนี้ x ติดลบไม่ได้)
๏ กรณี x  0 จะได้สมการเป็น x3  3x  x แทนค่ากลับคืน.. x1 < 5 โดยที่ x1  0
3 2
 x  2x  0  (x)(x  2)  0  5 < x  1 < 5 โดยที่ x  1
 (x)(x  2)(x  2)  0  6 < x < 4 โดยที่ x  1
ดังนั้น x   2 (กรณีนี้ x ติดลบเท่านั้น)
ดังนั้นสมาชิกของเซต A ที่เป็นจานวนเต็มได้แก่
ผลบวกของกาลังสองของคาตอบทั้งหมด 6, 5, 4, 3, 2, 0, 1, 2, 3, 4 รวม 10 จ ำนวน
เท่ากับ 02  22  ( 2)2  6

58. พิจารณาโดยถอดค่าสัมบูรณ์ แยกเป็น 2 กรณี


53. จากโจทย์ ถอดค่าสัมบูรณ์ได้ 5 < x  4 < 5
นั่นคือ 1 < x < 9 ๏ กรณี a  0
..จะได้x  (a  1)2  (a  1)2 เมื่อ a  3 จะได้ 4 < b < 2
a a
 (a2  2  12 )  (a2  2  12 )  4 เสมอ เมื่อ a  3 จะได้ 2 < b < 4
a a แต่ใน A ค่า b ห้ามเป็น 3
๏ กรณี a  0
 A  B  {(3, 4),(3, 3),(3, 3),(3, 4)}
..จะได้ x  ( a  a1)2  (a  a1)2 มีจานวนสมาชิก 4 ตัว
 (a2  2  12 )  (a2  2  12 )  4 เสมอ
a a
ดังนั้น เซตนี้คือ {4, 4} มีจานวนสมาชิก 2 ตัว
62. (ก) ผิด เพราะอสมการในโจทย์คือ
(x  6)2 < 3  x 6 < 3  3 < x  6 < 3
59. การจับคู่ระหว่าง a กับ b จะให้ผลบวก a b b a  3< x <9 ดังนั้น A  {x | 3 < x < 9}
ที่มีค่าซ้ากันได้เป็นชุดๆ ดังนี้
(ข) ถูก เพราะ 3  6  x คือ x  6  3
๏ กรณี a  0 และ b  0 ซึ่งมีช่วงคาตอบเป็นคอมพลีเมนต์กับ A พอดี
จะได้ a b  b a  a b  b a  0 เหมือนกันทุกคู่ (นั่นคือ x  3 หรือ x  9 )
นั่นคือ มีผลบวกได้เพียง 1 แบบ
(ค) ผิด เพราะ 2x  1  15  15  2x  1  15
๏ กรณี a  0 และ b  0  16  2x  14  8  x  7
จะได้ a b  b a   a b  b a  0 เหมือนกันทุกคู่ จึงทาให้ A ไม่เป็นสับเซตของเซตนี้
(ผลบวกซ้ากับกรณีที่แล้ว จึงไม่ต้องนับอีก)
๏ กรณี a  0 และ b  0
63. เซต A; ให้M  4x2  7x  15
จะได้ a b  b a  a b  b a  2ab 5x  6x  1
จับคู่ที่แตกต่างกันได้ 15 แบบ จึงเกิดผลบวกได้ 15 แบบ จะได้สมการเป็น Mx Mx
 5x(M  x)  6x(M  x)  (M  x)(M  x)
๏ กรณี a  0 และ b  0  5Mx  5x2  6Mx  6x2  M2  x2
จะได้ a b  b a   a b  b a  2ab  0  M2  11Mx  M(M  11x)
จับคู่ได้ 15 แบบเช่นกัน จึงเกิดผลบวกได้ 15 แบบ ดังนั้น M 0 หรือ M  11x  0

ผลบวกที่แตกต่างกันเกิดขึ้นได้ 1  15  15  31 แบบ  4x2  7x  15  0 หรือ 4x2  4x  15  0


ดังนั้น เซตในโจทย์มีจานวนสมาชิก 31 ตัว  x  7  49240 หรือ (2x  5)(2x  3)  0
8
แต่สองคาตอบแรกไม่เป็นจานวนจริง
จึงได้ A  {52 ,  23} เท่า นั้น
60. S1  ( 1 , 2) S2  (2 , 2)
3 4
S3  (3 , 2) … Sn  ( n , 2)
ลองแทนค่าในเซต B;
5 n 2 พบว่า x  52 ทาให้อสมการเป็นจริง
ดังนั้น Sn  (799 , 499) ก็ต่อเมื่อ nn2 > 699
699 999
799 และ x   23 ทาให้อสมการเป็นเท็จ
 799n > 699n  1398  n > 13.98
ดังนั้น (ก) ผิด เพราะสมาชิกบางตัวของ A ไม่อยู่ใน B
ค่าของ n ที่น้อยที่สุดคือ 14 และ (ข) ผิด เพราะ A  B มีสมาชิก 1 ตัว
จึงต้องได้ n(P(A  B))  2
2
61. เซต A; f(1)  0  1  3 2a  7  0
1 b 5
2
 a 2 9  0  a  3 หรือ –3 64. เซต A; 7  x2  2  7  5  x2  9
2b  4
 3  x  3  A  {2,  1, 0, 1, 2}
b  จานวนเต็มใดๆ ยกเว้น 2, –2
เซต B; (2x  3)(x  1) > 0
เซต B; (a  b)2 < 1  a  b < 1
แต่เราต้องการหา A  B จึงพิจารณาเฉพาะเมื่อ a  3
–1 3/2
จะได้ 2(x  1)  3x  3(2x  1)
 B  {..., 3, 2, 1, 2, 3, 4, ...}  7x  5  x  5 เป็นไปไม่ได้
7
(จานวนเต็มทั้งหมด ยกเว้น 0 กับ 1)
กรณี1 < x  1
2
ดังนั้น (ก) ถูก เพราะ A  B  {0, 1} 2(x  1)  3x  3(2x  1)
จะได้
จึงได้ n(P(A  B))  22  4
 11x  1  x  1
11
นั่นคือ ( 1 , 1)
11 2
(ข) ผิด เพราะ P(A  B)  {, {0}, {1}, {0, 1}}
โดยใน A  B ไม่มี 0 กับ 1 จึงทาให้สมาชิกของ กรณี x > 1
2
P(A  B) ซ้ากับ P(A  B) เพียงตัวเดียวคือ  จะได้ 2(x  1)  3x  3(2x  1)
1
 P(A  B)  P(A  B)  {{0}, {1}, {0, 1}} x 5 นั่นคือ [ 1 , 5)  A  ( , 5)
2 11

เซต B; (x)(x  1)(x  2)(x  2)(x  1)(x  1)  0


65. เซต A; 7 < 2x  5 < 7  12 < 2x < 2 เขียนช่วงคาตอบบนเส้นจานวนได้ดังรูป
 6 < x < 1  A  {6, 5, 4, ..., 0, 1} + – + – + – +
เซต B; x2  3x  1  1 หรือ x2  3x  1  1
–2 –1 0 1 1 2
x2  3x  2  0 x2  3x  0 พบว่าไม่มีจานวนเต็มใดที่เป็นคาตอบเลย
(x  2)(x  1)  0 (x)(x  3)  0  B  I (เซตของจานวนเต็ม ใดๆ)

1 2 0 3 (ก) ผิด A  B  {0, 1, 2, 3, 4}  n(A  B)  5


 B  I  {0, 1, 2, 3} (จานวนเต็มใดๆ ยกเว้น 0,1,2,3) (ข) ผิด เนื่องจากใน A มีสมาชิกที่ไม่ใช่จานวนเต็มด้วย
จึงทาให้ A  B  B
(ก) ผิด A  B  {6, 5, ..., 1} ดังนั้น n(A  B)  6
(ข) ผิด A  B  {0, 1}

69. เซต A; เมื่อ x   21


จะได้ (2x  1)  (x) < 5  x < 6  x > 6
66. อสมการสามารถยกกาลังสองทั้งสองข้างได้
(เพราะมั่นใจว่ามีค่าเป็นบวกทั้งสองข้าง) โดยมีเงื่อนไขว่า นั่นคือ [6,  21)
5  x > 0  x < 5 ด้วย
เมื่อ  21 < x  0
จะได้ (3  x)2 < (5  x)2  (3  x)2  (5  x)2 < 0 จะได้ (2x  1)  (x) < 5  3x < 4  x < 4
 (2)(8  2x) < 0  4(x  4) < 0 3

x < 4 จึงทาให้ a2  1  42  1  17 นั่นคือ [ 21 , 0)


เมื่อ x > 0
จะได้ (2x  1)  (x) < 5  x <4
67. พิจารณาเซตคาตอบ A ในช่วง ( 1 , 2)
2 นั่นคือ [0, 4] A  [6, 4]
(2 x)1  1
จะถอดค่าสัมบูรณ์ได้ดังนี้ 3x (x)2 2
เซต B; x2  x  20  0  x  x  20  0
 1x  1  1x 4x 2  0  ( x  5)( x  4)  0
4x 2 4x 2
 35x  0  5x 3  0 –5 4
4x 2 4x 2
จากเส้นจานวน จะได้ 5  x  4
1/2 3/5 นั่นคือ 4  x  4  B  (4, 4)
จะได้ A  ( 1 , 2)  (3 , 2) และ a  b  2.6
2 5 (ก) ผิด A  B  (4, 4)
(ข) ผิด A  B  [6, 4]  {4}

68. เซต A; กรณี x  1


70. เมื่อ x  1 จะได้สมการ กรณี b < x  a;
4  2x  x  1  5  x  x  1 (a  x)  (x  b)  a  b  x  b
คาตอบที่ได้ไม่อยู่ในเงื่อนไข กรณีนี้เซตคาตอบเป็นเซตว่าง กรณี x > a;
(x  a)  (x  b)  a  b  a  b  a  b  a  b
เมื่อ 1 < x  2 จะได้สมการ เป็นไปไม่ได้
4  2x  x  1  5  x  0  0
 เซตคาตอบคือ {, b]
สมการเป็นจริงเสมอ กรณีนี้คาตอบเป็น [1, 2)

และเมื่อ x >2 จะได้สมการ


 4  2x  x  1  5  x  x  2 73. แก้ระบบสมการหาค่า a, b, c, d โดยแทนจุดที่กราฟ
คาตอบที่ได้อยู่ในเงื่อนไข กรณีนี้คาตอบเป็น {2}
ผ่าน (จุดตัด) ลงในแต่ละสมการ จะได้
5  a  b  3 .....(1) c  d  5  3 .....(3)
ดังนั้น เซตคาตอบ A  [1, 2] 2  a  b  4 .....(2) c  d  2  4 .....(4)
ผลต่างระหว่างขอบเขตบนน้อยสุด และขอบเขตล่างมากสุด
เท่ากับ (2)  (1)  3 (2)–(1); 2  a  5  a  1
กรณี a  2 จะได้ (2  a)  (5  a)  1  3  1
เป็นไปไม่ได้
กรณี 2 < a  5 จะได้ (a  2)  (5  a)  1  a  4
71. เมื่อ x  47 จะได้อสมการ กรณี a > 5 จะได้ (a  2)  (a  5)  1  3  1
(7  4x)  (2x  5) < 0  x > 1 เป็นไปไม่ได้
กรณีนี้ช่วงคาตอบจึงเป็น [1, 47)  a  4 และ b  1  3  2

เมื่อ7 < x  5 จะได้อสมการ ในทานองเดียวกัน (4)–(3); d  5  d  2  1


4 2
(7  4x)  (2x  5) < 0  x < 2
จะแก้สมการได้ในกรณี 2 < d  5 เท่านั้น
และจะได้ d  3 และ c  3  2  5
กรณีนี้ช่วงคาตอบจึงเป็น [ 47 , 2]
 abcd  4253  8

และเมื่อ x > 5 จะได้อสมการ


2
(7  4x)  (2x  5) < 0  x < 1
ช่วงคาตอบที่ได้ไม่อยู่ในเงื่อนไข กรณีนี้จึงไม่มีคาตอบ 74. จากข้อมูล “ x  4 , x  3 และ x 2 ต่างก็หาร
P(x) เหลือเศษ 5” แสดงว่า x  4 , x3 และ x  2
ดังนั้น เซตคาตอบคือช่วง [1, 2] และ ab  1 หารพหุนาม P(x)  5 ลงตัว
ในข้อนี้ P(x)  5 เป็นพหุนามดีกรี 3 จึงเขียนตัวประกอบ
ได้ในรูป P(x)  5  k (x  4)(x  3)(x  2)
72. (ก) ผิด โดย k เป็นค่าคงที่
กรณี x  a ;
(a  x)  (b  x)  a  b  x  0 จากข้อมูล “ x  1 หาร P(x) ลงตัว” แสดงว่า P(1)  0
กรณี a < x  b; จึงแทนค่าได้ (0)  5  k (1  4)(1  3)(1  2) k  5
6
(x  a)  (b  x)  a  b  a  b  a  b  a  0
ดังนั้น P(0)  5 (4)(3)(2)  1  –19
เป็นไปไม่ได้ 6
กรณี x > b ;
(x  a)  (x  b)  a  b  x  ab
 เซตคาตอบคือ {0, a  b}
75. ให้ g(x)  5x  4 และ S(x)  f(x)  g(x)
ดังนั้น S(x) จะเป็นพหุนามดีกรี 5
(ข) ถูก จาก f(2)  g(2) ดังนั้น S(2)  0
กรณี x  b; นั่นคือ S(x) หารด้วย x  2 ลงตัว
(a  x)  (b  x)  a  b  0  0
สมการเป็นจริงเสมอ แสดงว่า x b ใช้ได้ทุกค่า จาก f(1)  g(1) ดังนั้น S(1)  0
นั่นคือ S(x) หารด้วย x  1 ลงตัว
ประกอบทุกพจน์ ยกเว้นพจน์สุดท้า ยเท่านั้นที่จะทาให้มี
ในทานองเดียวกันจะทราบว่า S(x) หารด้วย x และ เศษเหลือได้)
x  1 ลงตัวด้วย
ดังนั้น S  {0, 1, 2, 4} และผลบวกเท่ากับ 7
จึงเขียนได้ในรูป S(x)  (x  2)(x  1)(x)(x  1)(x  k)
โดย k เป็นค่าคงที่ที่ยังไม่ทราบ
และได้ f(x)  S(x)  g(x) 79. 6 หารด้วย 5 เหลือเศษ 1
 (x  2)(x  1)(x)(x  1)(x  k)  (5x  4)
62 มีหลักหน่วยเป็น 6 จะหารด้วย 5 เหลือเศษ 1
ดังนั้น f(2)  (4)(3)(2)(1)(2  k)  (14)  62  24k 63 มีหลักหน่วยเป็น 6 จะหารด้วย 5 เหลือเศษ 1
f(3)  (1)(2)(3)(4)(3  k)  (11)  83  24k ฯลฯ ..สรุปได้ว่า 6888 หารด้วย 5 เหลือเศษ 1
และ f(2)  f(3)  62  83  145 9 หารด้วย 5 เหลือเศษ 4
92 มีหลักหน่วยเป็น 1 จะหารด้วย 5 เหลือเศษ 1
93 มีหลักหน่วยเป็น 9 จะหารด้วย 5 เหลือเศษ 4
76. ให้ S(x)  P(x)  Q(x) 94 มีหลักหน่วยเป็น 1 จะหารด้วย 5 เหลือเศษ 1
ดังนั้น S(x) จะเป็นพหุนามดีกรีไม่เกิน 2014 ฯลฯ ..สรุปได้ว่า 9777 หารด้วย 5 เหลือเศษ 4
จาก P(1)  Q(1) ดังนั้น S(1)  0 4 หารด้วย 5 เหลือเศษ 4
นั่นคือ S(x) หารด้วย x  1 ลงตัว 42 มีหลักหน่วยเป็น 6 จะหารด้วย 5 เหลือเศษ 1
จาก P(2)  Q(2) ดังนั้น S(2)  0 43 มีหลักหน่วยเป็น 4 จะหารด้วย 5 เหลือเศษ 4
นั่นคือ S(x) หารด้วย x  2 ลงตัว ... ฯลฯ 44 มีหลักหน่วยเป็น 6 จะหารด้วย 5 เหลือเศษ 1
ฯลฯ ..สรุปได้ว่า 4555 หารด้วย 5 เหลือเศษ 4
จะได้ S(x)  k (x  1)(x  2)(x  3) (x  2013)
โดย k เป็นค่าคงที่ หาได้จาก ดังนั้น 6888  9777  4555 หารด้วย 5
S(2014)  P(2014)  Q(2014)  543 จะเหลือเศษ 1  4  4  9 ซึ่งเกิน 5 จึงต้องปัดไปเป็น
543
แทนค่าได้ k  2013! ผลหารเพิ่มอีก 1 และเหลือเศษ 4
 P(0)  Q(0)  S(0)  ( 543)(2013!)  543
2013!
แสดงว่า P(0) ต่างจาก Q(0) อยู่ 543
80. 555  481(1)  74 555  510(1)  45
481  74(6)  37 510  45(11)  15
77. A  {54, 57, 60, 63, 66, 69, 72, ..., 147} 74  37(2) 45  15(3)
B  {60, 72, 84, ..., 144}  m  37  n  15
ดังนั้น n(B)  8 และ 8
n(P(B))  2  256 จะได้ mn  22

78. 12 หารด้วย 7 เหลือเศษ 1 81. จาก 450  2  32  52


22 หารด้วย 7 เหลือเศษ 4 แสดงว่า m และ n จะต้องมีตัวประกอบจานวนเฉพาะเป็น
32 หารด้วย 7 เหลือเศษ 2 2, 3 หรือ 5 เท่านั้น และมีอย่างน้อยหนึ่งจานวนที่มี 25
42 หารด้วย 7 เหลือเศษ 2 เป็นตัวประกอบ (มิฉะนั้น ค.ร.น. จะไม่มี 52 )
52 หารด้วย 7 เหลือเศษ 4 พบว่า m และ n ที่สอดคล้องคือ 50 และ 45 ตามลาดับ
62 หารด้วย 7 เหลือเศษ 1 ดังนั้น m  2n  50  90  140
72 หารด้วย 7 ลงตัว (เศษ 0)
สาหรับ n8 ขึ้นไป จะมีเศษเหลือเท่ากับ n 1 ถึง 7
82. จาก 360  23  32  5 และ 3600  24  32  52
(เพราะสามารถเขียนในรูป (7k  1)2 , (7k  2)2 , ...,
(7k  6)2 , (7k)2 ซึ่งเมื่อแจกแจงจะพบว่า มี 7 เป็นตัว
ถ้า ค.ร.น. ของ n และ 360 มีค่าเป็น 3600 ก็แสดงว่า n
จะต้องมี 24 และ 52 เป็นตัวประกอบ (ส่วน 3 จะมี 0, 87. สมมติ q คือผลหาร จะเขียนในรูปการหารได้ดังนี้
1, 2 ตัวก็ได้) 3289  dq1  r .....(1) 2384  dq2  r .....(2)
1660  dq3  r .....(3) โดยที่ q ทุกตัวเป็นจานวนเต็ม
ดังนั้น จานวน n ที่น้อยที่สุด เท่ากับ 24  52  400
(1)–(2); 905  d(q1  q2)  905 หารด้วย d ลงตัว
(2)–(3); 724  d(q2  q3)  724 หารด้วย d ลงตัว
83. จาก 5040  24  32  5  7
แสดงว่า d คือตัวหารร่วมของ 905 และ 724 นั่นคือ 181
และ 168  23  3  7 ดังนั้น r  31 และจะได้ d  r  150
ถ้า ห.ร.ม. ของ n และ 5040 มีค่าเป็น 168 ก็แสดงว่า n
จะต้องมี 23  31  71 เป็นตัวประกอบ และอาจมีจานวน
เฉพาะอื่นเพิ่มได้ แต่ต้องไม่ใช่ 2, 3, 5, 7
88. จากนิยามจะทราบว่า m  n ก็คือ m หารด้วย n ลง
จาก 60  22  3  5 ตัว หรือเขียนว่า n | m นั่นเอง โดยผลหารเป็นจานวนนับ
และ 9240  23  3  5  7  11
ถ้า ค.ร.น. ของ n และ 60 มีค่าเป็น 9240 ก็แสดงว่า n (ก) ถูก ถ้า m  nq1 , n  pq2 จะได้
จะต้องมีจานวน 11 เป็นตัวประกอบด้วย m  n  nq1  pq2  pq2q1  pq2  p(q2q1  q2)
ซึ่งถ้า q1 , q2 เป็นจานวนนับ
ดังนั้น n  23  3  7  11  1848 ย่อมได้ q2q1  q2 เป็นจานวนนับเช่นกัน
(ข) ผิด เช่น เมื่อ m  6 , n  2 , p  3
84. แบ่งลูกอมเป็นกองๆ ให้มีจานวนเม็ดมากที่สุด จะได้ m  n และ m  p แต่ว่า m  (n  p)
คิดได้จาก ห.ร.ม.ของ 374 และ 425
(ค) ถูก ถ้า m  pq1 , n  pq2 จะได้
374  2  11  17 2
mn  p q1 q2  p(p q1q2)
425  5  5  17  ห.ร.ม. = 17
ซึ่งถ้า q1 , q2 เป็นจานวนนับ
แสดงว่าแบ่งได้กองละ 17 เม็ด
ย่อมได้ pq1q2 เป็นจานวนนับเช่นกัน
ได้จานวนกองเท่ากับ 22  25  47 กอง

85. จานวน n หาร 234 และ 1543 แล้วเหลือเศษ 3 ก็ 89. จากข้อมูล 1  A


แสดงว่าจานวน n นี้หาร 231 และ 1540 ลงตัว จะสรุปได้ว่า 1  A (จาก ก) และ 2  A (จาก ข)
โจทย์ต้องการค่า n ที่มากที่สุด ก็คือ ห.ร.ม. ของ 231 ดังนั้น 2  A (จาก ก) และ 4  A (จาก ข)
และ 1540 นั่นเอง ดังนั้น 4  A (จาก ก) และ 8  A (จาก ข)
ดังนั้น 8  A (จาก ก)
เนื่องจาก 231  3  7  11 และ 1540  22  5  7  11
ดังนั้น n  7  11  77 เช่นเดียวกัน จากข้อมูล 3  A
จะได้ 3  A , 6  A , 12  A
ดังนั้น 6  A , 12  A
86. สมมติ q คือผลหาร จะเขียนในรูปการหารได้ดังนี้ สรุปว่า A  B  {8, 6, 2, 4, 12}
142  dq1  r .....(1) 275  dq 2  r .....(2) มีผลบวกของสมาชิกทั้งหมดเท่ากับ 0
389  dq3  r .....(3) โดยที่ q ทุกตัวเป็นจานวนเต็ม

(2)–(1); 133  d(q1  q2)  133 หารด้วย d ลงตัว


(3)–(2); 114  d(q2  q3)  114 หารด้วย d ลงตัว 90. จากสมการที่ให้มา
2x  z  y และ 8x  z  y
แสดงว่า d คือตัวหารร่วมของ 133 และ 114 นั่นคือ 19 จะแก้ระบบสมการได้ y  3x และ z  5x
ดังนั้น r  9 และจะได้ d r  171
ดังนั้น x, y, z คือ x, 3x, 5x ตามลาดับ
ซึ่ง 5x เป็นจานวนที่มีค่าสูงสุด
 5x มีค่าไม่เกิน 199 ค่า b มากที่สุดคือ 1943 .. a  31 b ดังนั้น a  647.7
 ค่า a ที่ม ากที่สุดเท่า กับ 647
ถ้า 5x  195 จะได้ x  39 และ 3x  117
ดังนั้น ค่ามากที่สุดของ y คือ 117
c c b b
a  b  1  5(a  c  1)
95. จาก
91. สมมติให้ z  x1  A  cb  ca  ab  5( bc ba
ac
 ac )  c  5b
ab

จากข้อมูลในโจทย์ (x  y1)(y  z1)(z  x1)  (5)(7)(A) ถ้า b  1 , c  5 จะได้ 4a < 23  a  1, 2, 3, 4, 5


ถ้า b  2 , c  10 จะได้ 4a < 16  a  1, 2, 3, 4
แจกแจงได้ xyz  x  y  z  x1  y1  z1  xyz
1  35A
ถ้า b  3 , c  15 จะได้ 4a < 9  a  1, 2
แต่ xyz  3 และ x  y  z  x1  y1  z1  5  7  A ตั้งแต่ b  4 , c  20 เป็นต้นไป ไม่มี a ที่สอดคล้อง
จึงได้ 3  (5  7  A)  31  35A  23
51
 A  A  {(1, 1, 5),(2, 1, 5),(3, 1, 5), ...,(2, 3, 15)}
มีสมาชิกทั้งหมด 11 ตัว
ดังนั้น m  n  23  51  74

96. เนื่องจากผลบวก
92. จาก xy  2x  3y  19 จะได้ (a  b)  (a  c)  (a  d)  (a  e)  (b  c)  ...  (d  e)
x(y  2)  3(y  2)  19  6  (x  3)(y  2)  13
 4 (a  b  c  d  e)
แต่ x  3 กับ y  2 ต้องเป็นจานวนเต็ม มีค่าเท่ากับ 24  27  29  ...  45  340
จะเกิดได้ 4 กรณี คือ ดังนั้น a  b  c  d  e  340
4
 85
x  3  13 , y  2  1 x  3  13 , y  2  1 แต่ a  b  24 และ d  e  45 อย่างแน่นอน
x  3  1 , y  2  13 x  3  1 , y  2  13  c  85  24  45  16

ดังนั้น A  {(16, 1),(10, 3),(4, 11),(2, 15)}


และจานวนสมาชิกของ A เท่ากับ 4 97. b  23 a , c  52 a , d  62 a  1a , e  2a
3 7
ดังนั้น ผลบวกที่ต้องการคือ
7a  6b  5c  3d  2e  7a  4a  2a  a  4 a  102 a
93. จาก ab  16a  16b  864 7 7
จะได้ a(b  16)  16(b  16)  864  256 ค่า a ที่น้อยที่สุดที่ทาให้ 23 a , 52 a , 31 a , 27 a , 102 a
 (a  16)(b  16)  1120 7
เป็นจานวนเต็มบวก คือ a  3  5  7  105
a และ b หารด้วย 4 ลงตัว จึงนา 4  4 ไปหารสมการ และจะได้ a  2b  3c  2d  e
จะได้ (4a  4)(4b  4)  70  105  140  126  70  30  51
โดย 4a , 4b ต้องเป็นจานวนเต็มบวก จึงมีคาตอบที่เป็นไป
ได้คือ {4a  4, 4b  4}  {1, 70}, {2, 35}, {5, 14}, {7, 10}
นั่นคือ {4a , 4b}  {5, 74}, {6, 39}, {9, 18}, {11, 14} 98. แทน (ก) ใน (ข) จะได้ c (b  d)  a (2b  d)
 bc  cd  2ab  ad  bc  2ab  (a  c) d  bd
โจทย์กาหนด ห.ร.ม. ของ a และ b เท่ากับ 12 นา b หารทั้งสองข้าง จะได้ d  c  2a  c  2a  d
แสดงว่า ห.ร.ม. ของ 4a และ 4b ต้องเท่ากับ 3
จาก (ค) จะได้ (a  c)  cd  (a  c) d  2
ดังนั้น {4a , 4b}  {6, 39} เท่านั้น
 a  c  ad  2  a  (2a  d)  ad  2
และได้คาตอบ a  b  24  156  180
 2  ad  d  3a
 2  3  d(a  1)  3(a  1)
 5  (d  3)(a  1)
94. ค่า d มากที่สุดคือ 139 .. c  7d ดังนั้น c  973 โดยที่กาหนดให้ a, d เป็นจานวนเต็มบวก
ค่า c มากที่สุดคือ 972 .. b  2c ดังนั้น b  1944
กรณีแรก a  1  1 และ d  3  5 103. b เป็น 3 เท่าของ a แสดงว่า ab อาจเป็น
จะได้ a  2, d  8, c  12, b  14 จานวน 13, 26, 39 เท่านั้น
 a2b  cd  40
กรณีสอง a  1  5 และ d3  1
สมมติว่า ab คือ 13 จะได้
(450  ab)  (178  ba)  450(13)  178(31)  332
จะได้ a  6, d  4, c  16, b  22
 a2b  cd  728 แต่โจทย์ต้องการผลลัพธ์ 996 ซึ่งเป็น 3 เท่าของ 332
ดังนั้น A  {40, 728} มีผลบวกสมาชิกเท่ากับ 688 แสดงว่าเกิดจาก 450(39)  178(93)
 ab คือจานวน 39 และ a  2b  21

99. ให้ X  3a  2b และ Y  2a  3b

104. จานวนสองหลักที่มีหลักสิบไม่เกิน 6 นามาบวกกัน


(ก)X3c  X  XY  3cY  XY  4cX
Y4c Y แล้วได้จานวนสามหลัก ย่อมสรุปได้ว่า a กับ c อาจเป็น
 3Y  4X  0  6a  b  0  6a  b 4,5,6 และ e เป็น 1 เท่านั้น
ซึ่งไม่จาเป็นต้องจริง (ตามเงื่อนไขที่ให้มาในโจทย์)
พิจารณาจานวนสองหลักที่ไม่ซ้ากัน, ไม่มีเลข 1, อยู่ในช่วง
(ข)Y c  Y  XY  cX  XY  cY 40 ถึง 66, และหารด้วย 3 ลงตัว ได้แก่ 42, 45, 54,
X c X 60, 63
 X Y  0  ab  0  a  b
ซึ่งขัดแย้งกับเงื่อนไขที่ให้มาในโจทย์ พบว่ามีเพียงคู่เดียวเท่านั้นที่สอดคล้องเงื่อนไข (บวกกัน
แล้วได้เลขไม่ซ้าเลย) นั่นคือ 42, 63 (42  63  105)
ดังนั้น (ก) และ (ข) ผิด ดังนั้น ผลต่างของ ab กับ cd เท่ากับ 21

100. สามหลักสุดท้ายอาจเป็น 135, 357, 579 105. ผลต่างมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เกิดจาก


และสี่หลักตรงกลางอาจเป็น 8642, 6420 981  189 , 971  179 , 961  169 , …, 921  129
ดังนั้น สามหลักแรกเป็นไปได้ 6 แบบ ได้แก่ 079, 019, (ซึ่งมีค่าเท่ากับ 792 ทั้งหมด)
013, 789, 189, 138 ดังนั้น มี abc ที่เป็นไปได้ทั้งหมด 8 จำนวน
แต่มีเงื่อนไขว่าผลบวกเป็น 12 จึงสรุป ว่าสามหลักแรกคือ
138 และเลขที่บัญชีคือ 1386420579
 ผลต่า งหลักแรกและหลักสุดท้า ย เท่า กับ 8
106. abcd คูณด้วย 9 แล้วได้ผลเป็น dcba ย่อมสรุปได้
ว่า a  1 และ d  9 เท่านั้น และเขียนสมการได้ดังนี้
dcba  9(abcd)
 9000  100c  10b  1
101. จานวนที่หารด้วย 9 ลงตัวจะมีผลบวกของเลขโดดแต่
 9(1000  100b  10c  9)
ละหลักหารด้วย 9 ลงตัวเสมอ นั่นคือ 4  a  8 จะต้อง
 10c  890b  80  c  89b  8
หารด้วย 9 ลงตัว ดังนั้น a  6 (คิดโดยลองตั้งหารก็ได้)
ซึ่งจะได้ 468  1b3  295  b  7
แต่เนื่องจาก b กับ c เป็นเลขโดด ดังนั้นย่อมสรุปได้ว่า
b  0 และ c  8 (นั่นคือ abcd  1089 )
และ a  b  6  7  13
จะได้ a  b  c  d  1  0  8  9  18

102. 368
42
 8 เศษ 32 ดังนั้น a  8 107. ab  bc  ca  ac  cb  ba
และ 326
 5 เศษ 2 ดังนั้น b  5 , c  2  (10a  b)  (10b  c)  (10c  a)  ...  (10b  a)
 22(a  b  c)
จะได้ a  b  c  8  5  2  11
ดังนั้น จานวน abc ต้องเป็นพหุคูณของ 22 .....(1)
และเนื่องจากจานวน ab, bc, ca, ..., ba แต่ละจานวนมี
ค่าไม่เกิน 99 จึงทาให้ abc มีค่าไม่ถึง 600 .....(2)
จากข้อสรุป (1) และ (2) เราจึงพิจารณาพหุคูณของ 22
ที่ไม่ถึง 600 และสอดคล้องกับ 22(a  b  c)  abc
22  27  594 แต่ 27  5  9  4
22  26  572 แต่ 26  5  7  2
พบว่า 22  18  396 และ 18  3  9  6 พอดี
นอกจากนั้น 22  12  264 และ 22  6  132 ก็
สอดคล้องเงื่อนไขเช่นกัน จึงได้จานวน abc เป็น 396,
264, 132 ทาให้ a  b  c ทั้งหมดเท่ากับ 36

108. 8 3 ผลบวกแต่ละแนวเท่ากัน ดังนั้น


? x 83  6? 

6 ?  5

8 3 8 6  5x
5 x x  9
6

109. สมมติผลบวกของแต่ละแถว แต่ละหลัก เท่ากับ m


จะได้ (m  m  m  m)  (x  9  5  1)
 1  2  3  4  ...  16
 x  4m  151
ดังนั้น x  151 หารด้วย 4 ลงตัว และ 1  x < 16
จะได้ x  {5, 9, 13}
แต่ 5 กับ 9 ปรากฏในรูปแล้ว ดังนั้น x  13
แนวข้อสอบจริง บทที่ 3 ตรรกศาสตร์ / การให้เหตุผล
1. จากรูปแบบต่อไปนี้ [O51]
5 10 15 35
2 3 6 3 4 8 4 5 10 a b c

โดยการให้เหตุผลแบบอุปนัย c  b  2a มีค่าเท่ากับเท่าใด

2. เมื่อพิจารณาผลต่างระหว่างพจน์ ของลาดับ 3, 4, 7, 12, 19, … [O52]


โดยการให้เหตุผลแบบอุปนัย พจน์ที่ 11 ของลาดับมีค่าเท่าใด

3. ถ้าจานวนต่อไปนี้เป็น “จานวน MEB” 23058, 61452, 45270, 21438, 87012 [P53A]


และจานวนต่อไปนี้ไม่เป็นจานวน MEB 963, 65432, 1872, 25173, 61056
แล้ว เซตต่อไปนี้มีสมาชิกเป็นจานวน MEB กี่ตัว
{ 41650, 81432, 52146, 78102, 42435 }

4. ถ้าปีนี้เดือนตุลาคมมีวนั อาทิตย์ 4 วัน และมีวันพฤหัสบดี 4 วัน [P53A]


แล้ว วันที่ 14 พฤศจิกายนปีนี้จะตรงกับวันอะไร

5. ให้หาแผนภาพที่สอดคล้องกับข้อความทั้งหมดนี้ โดยให้จุดแทนบัวขาว [O50]


(1) นักมวยทุกคนมีสายตาดี
(2) คนที่มสี ายตาดีบางคนเรียนดี
(3) บัวขาวเป็นนักมวย และเรียนดี

6. ให้หาแผนภาพที่สอดคล้องกับข้อความทั้งหมดนี้ โดยให้จุดแทนเชฟหมี [O51]


(1) คนทาอาหารอร่อยทุกคนเป็นคนมีประสาทรับรสที่ดี
(2) คนที่ทาอาหารรวดเร็วทันใจบางคนมีประสาทรับรสที่ดี
(3) เชฟหมีทาอาหารอร่อยแต่ไม่รวดเร็วทันใจ

7. เหตุ (1) ทุกเขตที่อยู่ใกล้บางรัก เป็นเขตที่มีแหล่งท่องเที่ยว [O52]


(2) บางจากเป็นเขตที่ไม่มีแหล่งท่องเที่ยว
จากเหตุที่กาหนดให้ ผลในแต่ละข้อ ต่อไปนี้เป็นการสรุปที่สมเหตุสมผล ถูกหรือผิด
(ก) บางจากเป็นเขตที่ใกล้บางรัก (ข) บางพลัดเป็นเขตที่ใกล้บางรัก
(ค) บางจากเป็นเขตที่ไม่ใกล้บางรัก (ค) บางพลัดเป็นเขตที่ไม่ใกล้บางรัก

8. เหตุ (1) ไม่มีคนพักผ่อนเพียงพอคนใดที่ง่วงเหงาหาวนอน [O49]


(2) มีคนง่วงเหงาหาวนอนที่แอบหลับในเวลางาน
(3) มีคนพักผ่อนเพียงพอที่ไม่แอบหลับในเวลางาน
จากเหตุที่กาหนดให้ ผลในแต่ละข้อ ต่อไปนี้เป็นการสรุปที่สมเหตุสมผล ถูกหรือผิด
(ก) มีคนพักผ่อนเพียงพอที่แอบหลับในเวลางาน
(ข) มีคนแอบหลับในเวลางานที่พักผ่อนไม่เพียงพอ
(ค) ไม่มีคนแอบหลับในเวลางานที่ง่วงเหงาหาวนอน

9. การให้เหตุผลแต่ละข้อ ต่อไปนี้เป็นการสรุปที่สมเหตุสมผล ถูกหรือผิด [O56]


(ก) เหตุ (1) ทุกคนที่ทาการบ้านจะได้คะแนนดี (2) สมรได้คะแนนดี
ผล สมรทาการบ้าน
(ข) เหตุ (1) ทุกครั้งที่อากาศร้อนจะมีไฟป่า (2) วันนี้ไม่มีไฟป่า
ผล วันนี้อากาศไม่รอ้ น
(ค) เหตุ (1) ปลาบางตัวไม่ชอบว่ายน้า (2) ปันปันเป็นปลาของฉัน
ผล ปันปันไม่ชอบว่ายน้า

10. การให้เหตุผลแต่ละข้อ ต่อไปนีเ้ ป็นการสรุปที่ไม่สมเหตุสมผล ถูกหรือผิด [O57]


(ก) เหตุ (1) ทุกครั้งที่น้าท่วมค่าอาหารจะแพง (2) วันนี้ค่าอาหารแพง
ผล วันนี้น้าท่วม
(ข) เหตุ (1) ดุ๊กไม่ชอบออกกาลังกาย (2) ทุกคนที่ออกกาลังกายจะแข็งแรง
ผล ดุ๊กไม่แข็งแรง
(ค) เหตุ (1) ผู้ที่ระมัดระวังจะไม่ประสบอุบัติเหตุ (2) นายชัยประสบอุบัติเหตุ
ผล นายชัยเป็นผู้ไม่ระมัดระวัง

11. เหตุ (1) A (2) วาฬเป็นสัตว์เลือดอุ่น ผล วาฬเป็นสัตว์บก [O53]


ข้อสรุปข้างต้น จะสมเหตุสมผลถ้า A แทนข้อความในแต่ละข้อต่อไปนี้ ถูกหรือผิด
(ก) สัตว์บกทุกชนิดเป็นสัตว์เลือดอุน่ (ข) สัตว์บกบางชนิดเป็นสัตว์เลือดอุน่
(ค) สัตว์เลือดอุ่น ทุกชนิดเป็นสัตว์บก (ง) สัตว์เลือดอุ่นบางชนิดเป็นสัตว์บก

12. ให้ p, q, r เป็นประพจน์ ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P52C]


(ก) ถ้า ~ r  q มีค่าความจริงเป็นจริง
แล้ว p และ p  [(~ r  q)  p] มีค่าความจริงเหมือนกัน
(ข) ถ้า ~ p มีค่าความจริงเป็นจริง
แล้ว q และ (p  r)  q มีค่าความจริงเหมือนกัน

13. ให้ p และ q เป็นประพจน์ใดๆ ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P53A]


(ก) p  (p  q) มีค่าความจริงเหมือนกับ [(q  p)  q ]  p
(ข) (p  q)  (q  ~ p) มีค่าความจริงเป็นเท็จ

14. ให้ p, q, r เป็นประพจน์ โดยที่ ~ q  ~ p มีค่าความจริงเป็นเท็จ [P54B]


ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) (q  r)  (r  p) มีค่าความจริงเป็นเท็จ
(ข) [(q  r)  ~ p]  (r  q) มีค่าความจริงเป็นจริง
15. ให้ p, q, r เป็นประพจน์ โดยที่ q, q  r และ ~ r  (p  q) เป็นจริง [P54A]
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) q  (p  ~ r) มีค่าความจริงตรงข้ามกับ r  (q  p)
(ข) [r  (p  ~ q)]  [ q  (r  p)] มีค่าความจริงเป็นจริง

16. ถ้า p, q, r, s เป็นประพจน์ที่ทาให้ (p  q)  (r  s) มีค่าความจริงเป็นเท็จ [P53B]


และ q  r มีค่าความจริงเป็นเท็จ แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) ประพจน์ p  [(q  r)  s] มีค่าความจริงเป็นจริง
(ข) ประพจน์ (p  r)  (q  s) มีค่าความจริงเป็น เท็จ

17. ถ้า p, q, r, s, t เป็นประพจน์ที่ทาให้ t  (p  q) มีค่าความจริงเป็น เท็จ [P57B]


และ (r  s)  t มีค่าความจริงเป็น จริง แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) ประพจน์ (r  s)  ~p มีค่าความจริงเป็น เท็จ
(ข) ประพจน์ (p  r)  (t  p) มีค่าความจริงเป็นจริง

18. ให้ p, q, r, s เป็นประพจน์ ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P57A]


(ก) ถ้าประพจน์ (p  q)  (r  s) และประพจน์ r มีค่าความจริงเป็นจริง
แล้ว ประพจน์ q มีค่าความจริงเป็นจริงด้วย
(ข) ประพจน์ (p  q)  (r  s) สมมูลกับประพจน์ [p  (q  r)]  [ q  (p  s)]

19. ให้ p, q, r เป็นประพจน์ ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P52A]


(ก) ประพจน์ q  (q  (r  p)) สมมูลกับประพจน์ q  (r  p)
(ข) ประพจน์ r  (q  p) สมมูลกับประพจน์ ~ (r  q)  (~ r  p)

20. ให้ p, q, r, s เป็นประพจน์ใดๆ ข้อความต่อไปนีถ้ ูกหรือผิด [P55A]


(ก) ประพจน์ [(p  q)  (~ q  p)]  [(r  ~ s)  ~ r] สมมูลกับประพจน์ (s  r)  p
(ข) ประพจน์ r  [ p  (q  p)] สมมูลกับประพจน์ r  s

21. ให้ p, q, r เป็นประพจน์ใดๆ ข้อความต่อไปนีถ้ ูกหรือผิด [P53C]


(ก) ประพจน์ (p  q)  (~ r  q) เป็นสัจนิรันดร์
(ข) ประพจน์ [(p  q)  r ]  [(p  q)  (p  r)] เป็นสัจนิรันดร์

22. ให้ p และ q เป็นประพจน์ใดๆ ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P55B]


(ก) ประพจน์ ~ (p  q)  (p  q) เป็นสัจนิรันดร์
(ข) ประพจน์ [p  (q  ~ p)]  (p  q) เป็นสัจนิรันดร์

23. ให้ P(x) และ Q(x) เป็นประโยคเปิด ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P52B]


(ก) รูปแบบ x [ P(x)]  x [ ~Q(x)] สมมูลกับ x [ Q(x) ]  x [ ~ P(x) ]
(ข) รูปแบบ ~ x [ P(x) ]  x [ ~ Q(x) ] สมมูลกับ x [ ~P(x) ]  ~ x [ Q(x) ]
24. ให้ P(x) และ Q(x) เป็นประโยคเปิด [P54B]
โดยที่ x [ ~ P(x) ]  x [ Q(x) ] มีค่าความจริงเป็นจริง ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) ประพจน์ x [ Q(x)  P(x) ] มีค่าความจริงเป็นเท็จ
(ข) ประพจน์ x [ ~P(x)  ~ Q(x)] มีค่าความจริงเป็นจริง

25. ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P55B]


(ก) ถ้า p, q, r เป็นประพจน์ที่ทาให้ (p  q)  r มีค่าความจริงเป็นจริง
แล้ว q  [(~ p  q)  (p  r)] มีค่าความจริงเป็นจริง
(ข) ถ้าเอกภพสัมพัทธ์คือ { x | x2 < 3x  4 }
แล้ว ประพจน์ x [ 2x  1  3x  1 ] มีค่าความจริงเป็นจริง

26. ให้เอกภพสัมพัทธ์คือเซตของจานวนจริง [P53C]


P(x) แทนประโยคเปิด x  2  (x  2)2 และ Q(x) แทนประโยคเปิด x  2  2
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) ประพจน์ x [ Q(x) ]  x [ P(x) ] มีค่าความจริงตรงข้ามกับ x [ ~ Q(x) ]  x [ ~ P(x) ]
(ข) ประพจน์ x [ P(x)  Q(x) ]  x [ ~ P(x)  Q(x) ] มีค่าความจริงเป็นเท็จ

27. กาหนดให้ P(x) แทน 3x  1 < 3x  1 และ Q(x) แทน xx  11  3 [P56]


ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) เอกภพสัมพัทธ์ (3, 1) ทาให้ x [ P(x) ]  x [ Q(x) ] มีค่าความจริงเป็นจริง
(ข) เอกภพสัมพัทธ์เป็นเซตของจานวนเต็มลบ ทาให้ x [ P(x)  Q(x) ] มีค่าความจริงเป็นจริง

28. ให้เอกภพสัมพัทธ์คือเซตของจานวนจริงบวก [P57B]


ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) ประพจน์ x [ x2  4 > 2x  5 ] มีค่าความจริงเป็นจริง
(ข) ประพจน์ x [ x2  5x  6  x2  8x  7 ] มีค่าความจริงเป็นจริง

29. ถ้าเอกภพสัมพัทธ์คือ {1, 0, 1} แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P53B]


(ก) ประพจน์ xy [ x  y > 0 ] มีค่าความจริงเป็นเท็จ
(ข) ประพจน์ xy [ x  y > 0 ] มีค่าความจริงเป็นเท็จ

30. ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P53A]


(ก) ค่าความจริงของ xy [ x2  y  y2  x ] เมื่อ U  {0, 1, 2, 3}
เหมือนกับค่าความจริงของ x [ x  2x ] เมื่อ U  เซตของจานวนจริง
(ข) นิเสธของประพจน์ yx [ (x > 0  y  0)  xy  0 ]
คือ yx [ (x  0  y > 0)  xy > 0 ]

31. กาหนดให้ U  {1, 0, 1, 2} ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P52C]


(ก) xy [ y < 0  x2  1  y ] มีค่าความจริงเป็นจริง
(ข) xy [ x < y  x  y > 0 ] มีค่าความจริงเป็นจริง
(ค) xy [ x  y  x < y ] มีค่าความจริงเป็นเท็จ
32. กาหนดให้ U  {1, 2, 3, 4, 5, 6, 7} ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P52B]
(ก) xy [ (x  y)2 > 10xy  x2 ] มีค่าความจริงเป็นจริง
(ข) yx [ x  xy  y > 0 ] มีค่าความจริงเป็นเท็จ

33. กาหนดให้เอกภพสัมพัทธ์คือ {{a, b}, {a, c}, {b, c}} ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P52A]
(ก) xy [ x  y   ] (ข) xy [ x  y  U ]
(ค) xy [ y  x และ y  x ]

34. การอ้างเหตุผลในแต่ละข้อต่อไปนีส้ มเหตุสมผล ถูกหรือผิด [O54]


(ก) เหตุ (1) ถ้าแดดไม่ร้อนแล้วอานวยไปว่ายน้า (2) แดดร้อน
ผล อานวยไม่ไปว่ายน้า
(ข) เหตุ (1) ยุพาช่วยเหลือสังคมหรือยุพาได้รับโล่ (2) ยุพาไม่ช่วยเหลือสังคม
ผล ยุพาได้รับโล่

35. ในการสอบวิชาคณิตศาสตร์แต่ละเทอม คะแนนของนักเรียน 5 คนเป็นดังนี้ [P52B]


สมชายได้คะแนนมากกว่าสมศักดิ์ทุกเทอม
สมศรีและสมสมรได้คะแนนเป็นอันดับที่ 2 หรือ 4 เสมอ
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) ถ้าในการสอบเทอมหนึ่ง นักเรียนอีกคนคือสมใจได้ค ะแนนเป็นอันดับที่ 3
แล้ว สมศักดิ์ได้คะแนนน้อยที่สุด
(ข) ถ้ามีการสอบทั้งหมด 6 ครั้ง สมใจได้คะแนนในอันดับสูงสุด 2 ครั้ง
แล้ว สมชายได้คะแนนในอันดับสูงสุดไม่เกิน 2 ครั้ง

36. นักเรียน 6 คน ได้แก่ นาย A, B, C, D, E, F ยืนเข้าแถวตามเงื่อนไขต่อไปนี้ [P52C]


นาย A ไม่ยืนติดกับนาย B และไม่ยืนติดกับนาย C
นาย B ยืนหัวแถวหรือท้ายแถวเสมอ
นาย D ยืนติดด้านหน้าของนาย A
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) ถ้านาย B ยืนหัวแถวและนาย C ยืนในลาดับที่ 5 แล้ว นาย D จะยืนในลาดับที่ 2
(ข) ถ้ามีคนยืนระหว่างนาย B และนาย C อยู่ 3 คน แล้ว จะมีวิธียืนเข้าแถวทั้งหมด 2 วิธี

37. ในการจัดเก้าอี้ 6 ตัว คือ เก้าอี้หมายเลข 1, 2, 3, 4, 5, 6 [P52A]


ให้ล้อมเป็นรูปวงกลม หันเข้าหากัน โดยมีเงื่อนไขดังนี้
เก้าอี้หมายเลข 1 ติดกับหมายเลข 2 แต่ไม่ติดกับหมายเลข 6
เก้าอี้หมายเลข 4 อยู่ตรงข้ามกับหมายเลข 6
ระหว่างเก้าอี้หมายเลข 5 กับหมายเลข 2 มีเก้าอี้อยู่ 1 ตัว
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) สามารถจัดได้มากกว่า 1 แบบ
(ข) เก้าอี้หมายเลข 3 กับหมายเลข 2 อยู่ตรงข้ามกัน
38. จากรูปที่กาหนดให้ เมื่อเติมจานวนนับ 1, 2, 3, 4, 5 2 5 [P53B]
ลงในช่องสี่เหลี่ยมช่องละ 1 จานวน เพื่อทาให้แต่ละแถว 1 4
และแต่ละหลักมีจานวนนับ 1, 2, 3, 4, 5 อยู่ครบถ้วน 2 5
จะได้ค่า x เท่ากับเท่าใด 3 1 2
x

39. จากรูปที่กาหนดให้ [P53B]


9 x 3
เมื่อเติมจานวนนับลงในวงกลมแต่ละวง วงละ 1 จานวน เพื่อทาให้ผลบวกของ 3 จานวน
ที่อยู่ในวงติดกัน เท่ากับ 20 เสมอ จะได้ค่า x เท่ากับเท่าใด

40. ในการเล่นเกมรายการหนึง่ ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนจะต้องพูดจริงเสมอหรือโกหกเสมอ [P53A]


อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ถ้าผู้เข้าแข่งขัน 5 คนพูดดังนี้
ก : “ข และ ค พูดจริง” ค : “ง พูดโกหก”
ข : “ค และ ง พูดโกหก” ง : “จ พูดโกหก”
จ : “ก พูดโกหก”
แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) ในกลุ่ม 5 คนนี้มีคนพูดจริงมากกว่าคนพูดโกหก
(ข) ก และ ข ไม่ใช่คนพูดจริง
เฉลยวิธีคิด บทที่ 3 5. จากเหตุข้อ (1)
เริ่มเขียนแผนภาพได้ดังนี้
1. จากการสังเกต 3 จานวนในแถวล่างของแต่ละกลุ่ม นักมวย
พบว่า แต่ละจานวนที่อยู่ติดกันนั้น เกิดจากการบวกด้วย 1 ผู้มีสายตาดี
แล้วคูณด้วย 2 ..และเมื่อพิจารณาระหว่างกลุ่ม พบว่า
จานวนแรกสุดนั้นเพิ่มขึ้นทีละ 1 และจากเหตุข้อ (2) เขียนแผนภาพได้ 3 แบบ

เมื่อพิจารณาจานวนในช่องบนคือ 5, 10, 15, …, 35


จะทาให้ทราบว่า กลุ่มที่มีจานวน 35 นั้น อยู่ในลาดับที่ 7 นักมวย นักมวย
ดังนั้น a, b, c คือจานวน 8, 9, 18 ตามลาดับ ผู้มีสายตาดี ผู้เรียนดี ผู้มีสายตาดี ผู้เรียนดี
และ c  b  2a  18  9  16  25 B

2. พจน์ที่ 1 มีค่าเท่ากับ 3 นักมวย


พจน์ที่ 2 มีค่าเท่ากับ 3  1 (เพิ่มจากพจน์ที่แล้วไป 1) ผู้มีสายตาดี ผู้เรียนดี
พจน์ที่ 3 มีค่าเท่ากับ 3  1  3 (เพิ่มจากพจน์ที่แล้ว 3)
พจน์ที่ 4 มีค่าเท่ากับ 3  1  3  5 (เพิ่มไป 5) และจากเหตุข้อ (3) จะเหลือแผนภาพที่เป็นไปได้ 2 แบบ
(นั่นคือข้อนี้มสี องคาตอบ โดยให้จุดในรูปแทน “บัวขาว”)
พจน์ที่ 5 มีค่าเท่ากับ 3  1  3  5  7 (เพิ่มไป 7)
..จากการให้เหตุผลแบบอุปนัย พจน์ที่ 10 ควรมีค่าเท่ากับ
3  (1  3  5  7  ...  19)  3  100  103
นักมวย นักมวย
หมายเหตุ จากการอุปนัยผลบวกแบบเกาส์เซียน
(แบบเรียน สสวท.) จะคานวณ 1  3  5  7  ...  19 ผู้มีสายตาดี ผู้เรียนดี ผู้มีสายตาดี ผู้เรียนดี
ได้จ าก 20  5 หรือจากการอุปนัยผลบวกจ านวนนับคี่ 10
จ านวนแรก จะได้ 102 หรือจะคานวณด้วยสูตรอนุกรมเลข
คณิตก็ได้ 6. จากเหตุข้อ (1)
เริ่มเขียนแผนภาพได้ดังนี้
คนทาอาหารอร่อย
3. จากการสังเกตแบบอุปนัย จานวน MEB คือจานวนที่มี คนมีประสาทรับรสดี
คุณสมบัติดังนี้ (1) มี 5 หลัก (2) ผลบวกเป็น 18
(3) แต่ละหลักไม่ซ้ากัน (4) เรียงลาดับ คู่-คี่-คู่-คี่-คู่ และจากเหตุข้อ (2) เขียนแผนภาพได้ 3 แบบ
ดังนั้นในเซตที่กาหนดให้ มีจานวน MEB อยู่ 1 ตัว
คือ 81432
คนทาอร่อย คนทาอร่อย
คนรับรสดี คนทาทันใจ คนรับรสดี คนทาทันใจ
4. จากการทดลองเขียนปฏิทินเดือนตุลาคม (31 วัน)
ให้มีวันอาทิตย์และพฤหัสบดี อย่างละ 4 วัน
จะพบว่าเขียนได้แบบเดียวเท่านั้น ดังรูป
คนทาอร่อย
อา จ อ พ พฤ ศ ส คนรับรสดี คนทาทันใจ
1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13 และจากเหตุข้อ (3) จะเหลือแผนภาพที่เป็นไปได้ 2 แบบ
14 15 16 17 18 19 20 (นั่นคือข้อนี้มีสองคาตอบ โดยให้จุดในรูปแทน “เชฟหมี”)
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30 31
และจะได้วันที่ 14 พฤศจิกายนตรงกับ วันพุธ คนทาอร่อย คนทาอร่อย
คนรับรสดี คนทาทันใจ คนรับรสดี คนทาทันใจ
7. จากเหตุข้อ (1) 9. (ก) ไม่สมเหตุสมผล
คนทา
เริ่มเขียนแผนภาพได้ดังนี้ เพราะสามารถเขียนแผนภาพ การบ้าน
เขตใกล้บางรัก ให้ผลเป็นเท็จได้ ในขณะที่เหตุ สมร
ทุกข้อเป็นจริง ดังรูป B
และเหตุข้อ (2) ใส่ลงใน เขตมีแหล่งเที่ยว คนได้คะแนนดี
แผนภาพได้ดังนี้ (ข) สมเหตุสมผล
เพราะจากเหตุที่ให้มา เขียน วันที่ วันนี้
แผนภาพได้แบบเดียว และ อากาศ
เขตใกล้บางรัก ร้อน B
บางจาก พบว่าตรงกับผลสรุป ดังรูป
เขตมีแหล่งเที่ยว วันที่มีไฟป่า
(ค) ไม่สมเหตุสมผล
จะพบว่า บางจากไม่สามารถเข้าไปอยู่ในเซต “เขตที่ใกล้ เพราะสามารถเขียนแผนภาพ
บางรัก” ได้เลย ดังนั้นข้อสรุปที่สมเหตุสมผลคือ “บางจาก ให้ผลเป็นเท็จได้ ในขณะที่เหตุ ปันปัน
เป็นเขตที่ไม่ใกล้บางรัก” ทุกข้อเป็นจริง ดังรูป
ปลา สิ่งที่ชอบว่ายนา
ส่วนอีก 2 ข้อซึ่งกล่าวถึง “บางพลัด” ยังไม่สามารถสรุปได้ ดังนั้น (ข) ถูก และ (ก) (ค) ผิด B
จากข้อมูลที่ให้มา เพราะเหตุไม่ได้กล่าวถึงบางพลัดเลย
ดังนั้น (ก) (ข) (ง) ผิด และ (ค) ถูก
10. (ก) ไม่สมเหตุสมผล
เพราะสามารถเขียนแผนภาพ วันที่
8. จากเหตุที่ให้มา เขียนแผนภาพได้ 4 ลักษณะ ดังรูป ให้ผลเป็นเท็จได้ ในขณะที่เหตุ นาท่วม วันนี้
ทุกข้อเป็นจริง ดังรูป B
วันที่ค่าอาหารแพง
(ข) ไม่สมเหตุสมผล
คนพักพอ คนง่วง คนพักพอ คนง่วง เพราะสามารถเขียนแผนภาพ คนที่
คนแอบหลับ คนแอบหลับ ออกกา
ให้ผลเป็นเท็จได้ ในขณะที่เหตุ
ทุกข้อเป็นจริง ดังรูป
-ลังกาย ดุ๊ก
B
คนที่แข็งแรง
(ค) สมเหตุสมผล
คนพักพอ คนง่วง คนพักพอ คนง่วง เพราะจากเหตุที่ให้มา เขียน
คนแอบหลับ คนแอบหลับ แผนภาพได้แบบเดียว และ นายชัย
จะพบว่า ทุกลักษณะทาให้ข้อ (ข) “มีคนแอบหลับในเวลา พบว่าตรงกับผลสรุป ดังรูป ผู้ที่ระมัดระวัง ผู้ประสบ
งานที่พักผ่อนไม่เพียงพอ” เป็นจริงเสมอ จึงเป็นข้อสรุปที่ ดังนั้น (ก) (ข) ถูก และ (ค) ผิBด อุบัติเหตุ
สมเหตุสมผล
ส่วนข้อ (ก) “มีคนพักผ่อนเพียงพอที่แอบหลับในเวลางาน”
ในบางกรณีไม่เป็นจริง จึงไม่ใช่ผลสรุปที่สมเหตุสมผล 11. จากเหตุข้อ (2) ที่ให้มา
เขียนแผนภาพได้ดังนี้ วาฬ
ข้อ (ค) “ไม่มีคนแอบหลับในเวลางานที่ง่วงเหงาหาวนอน”
ขัดแย้งกับเหตุข้อ (2) จึงเป็นเท็จเสมอ ไม่ใช่ผลสรุปที่ สัตว์เลือดอุ่น
สมเหตุสมผล
พบว่าเหตุที่ทาให้ผลสรุป
ดังนั้น (ข) ถูก และ (ก) (ค) ผิด “วาฬเป็นสัตว์บก” เป็นจริง วาฬ
เสมอคือ “สัตว์เลือดอุ่นทุก
สัตว์เลือดอุ่น
ชนิดเป็นสัตว์บก” ข้อเดียว
สัตว์บก
ส่วนเหตุในข้ออื่นๆ สามารถเขียนแผนภาพให้ผลสรุปไม่ 16. (p  q)  (r  s) เป็นเท็จ แสดงว่า p  q เป็นจริง
เป็นจริงได้ด้วย ดังรูป (นั่นคือ p จริง, q จริง) และ r  s เป็นเท็จ (นั่นคือเป็น
เท็จอย่างน้อย 1 ประพจน์)
แต่ q  r เป็นเท็จ โดยที่ q เป็นจริง
วาฬ วาฬ จึงสรุปได้ว่า r เป็นเท็จ, ส่วน s ยังสรุปค่าไม่ได้
สัตว์บก สัตว์บก
สัตว์เลือ ดอุ่น สัตว์เลือดอุ่น (ก) ถูก p  [(q  r) s]  T  [(T F) s]
สัตว์บกทุกชนิด- สัตว์บกบางชนิดเป็นสัตว์เลือดอุ่น  T  [F  s]  T  T  T
-เป็นสัตว์เลือดอุ่น (สัตว์เลือดอุ่นบางชนิดเป็นสัตว์บก) (ข) ถูก (p  r) (q s)  ( T F)
 (
T s)
 (F)  (s)  F
ดังนั้น (ก) (ข) (ง) ผิด และ (ค) ถูก

17. จาก t  (p  q) เป็นเท็จ แสดงว่า t เป็นจริง, p  q


12. (ก) ถูก p  [(T)  p]  p  [p]  p เป็นเท็จ (เท็จอย่างน้อย 1 ประพจน์)
(ข) ถูก (F  r)  q  (T)  q  q และจาก (r  s)  t เป็นจริง โดยเราทราบว่า t เป็นจริง
แสดงว่า r  s เป็นจริงด้วย (จริงอย่างน้อย 1 ประพจน์)
(ก) ผิด ประพจน์นี้ยังสรุปค่าความจริงไม่ได้ อาจเป็นไป
13. (ก) ถูก ซ้ายมือ  p pq  Tq  T เสมอ ได้ทั้งจริงและเท็จ ขึ้นอยู่กับค่าของ r, s, p
ขวามือ  [ (q  p)  q]  p
 (q  p)  (q  p)  T เสมอ (ข) ถูก ประพจน์นี้สรุปได้ว่า เป็นจริง แม้จะยังไม่ทราบค่า
ความจริงของ p, r ก็ตาม โดยพิจารณาดังนี้
(ข) ถูก (p  q)  ( q  p)
..ถ้า p เป็นจริง จะได้ (T  r)  (T  T)  r  T  T
 (p  q)  (p  q)  F เสมอ ..ถ้า p เป็นเท็จ จะได้ (F  r)  (T  F)  F  F  T

14. q  p  p  q เป็นเท็จ 18. (ก) ถูก r เป็นจริง แสดงว่า r  s เป็นจริงด้วย


แสดงว่า p เป็นจริง, q เป็นเท็จ และจาก (p  q)  (r  s) เป็นจริง แสดงว่า p  q เป็น
(ก) ผิด (F  r)  (r  T)  T  T  T จริงด้วย ..ดังนั้น ทั้ง p และ q ต้องเป็นจริง
(ข) ผิด [(F  r)  F]  (r  F) (ข) ถูก ขวามือ  ( p q  r)  ( q  p  s)
 [r  F]  (r  F)  r r  r  p qr s  (p  q)  (r  s)
สรุปค่าความจริงไม่ได้ ขึ้นอยู่กับค่าของ r ด้วย  (p  q)  (r  s)

19. (ก) ถูก ซ้ายมือ  ~ q  (~ q  (r  p))


15. q เป็นจริง, q  r เป็นจริง ดังนั้น r เป็นจริง
และจาก r  (p  q)  F  (p  T)  F  T  T  ~ q  (r  p)  ขวามือ
เป็นจริงเสมอ ดังนั้น p เป็นจริงหรือเท็จก็ได้
(ข) ผิด ซ้ายมือ  r  (~ q  p)
(ก) ถูก T  (p  F)  (p  F)  p  (r  ~ q)  (r  p)  ~(~r  q)  (r  p)
และ T  (T  p)  (T  p)  p  ~(r  q)  (r  p)  ขวามือ
ดังนั้นรูปแบบที่ให้มามีค่าความจริงตรงข้ามกันเสมอ
(ข) ผิด [T  (p  F)]  [T  (T  p)]
 [p  F]  [T  p]  pp  F
20. (ก) ผิด 24. กาหนดให้ x [~P(x)] เป็นจริง และ x [Q(x)] เป็น
ซ้ายมือ  [p  (q  q)]  [(r  r)  ( s  r)] จริง แสดงว่า x ทุกตัวสอดคล้อง Q(x) (ทาให้ Q(x) เป็น
 [p  T]  [F  ( s  r)]  p  ( s  r) จริง) และขัดแย้ง P(x) (ทาให้ P(x) เป็นเท็จ)
 (s  r)  p  ขวามือ
(ก) ถูก จากข้อมูลดังกล่าว จะทราบว่า x ทุกตัวย่อมทาให้
(ข) ผิด ซ้ายมือ  r  [ p  q  p]  r  [T  q] Q(x)  P(x) มีค่า เป็น T  F  F เสมอ ประพจน์ใน
 rT  r  ขวามือ ข้อนี้จึงไม่จริง
(ข) ถูก จากข้อมูลดังกล่าว จะทราบว่า x ทุกตัวย่อมทาให้
~P(x)  ~ Q(x) มีค่า เป็น T  F  T เสมอ ประพจน์ใน
21. (ก) ถูก (p  q)  (r  q)  p  q  r  q
เป็นจริงเสมอ เพราะ q กับ q จะมีหนึ่งประพจน์ที่เป็น ข้อนี้จึงเป็นจริง
จริง และเชื่อมกันด้วย “หรือ”
(ข) ถูก ตรวจสอบโดยพยายามหากรณีที่เป็นเท็จ 25. (ก) ถูก (p  q)  r  ( p  q)  r
[(p  q)  r]  [(p  q)  (p  r)]  ( p  r)  ( q  r)  (p  r)  (q  r) เป็นจริง
F
T T F แสดงว่า p  r เป็นจริง, q  r เป็นจริง
T T T (F) ดังนั้น q  [( p  q)  (p  r)]  q  [( p  q)  T]
T T (T)
 q  ( p  q)  q  p  q  T เสมอ
พบว่าค่า r ขัดแย้งกัน (หรือถ้า r ตรงกันก็จะไปขัดแย้งที่
ค่า q) ดังนั้นไม่สามารถหากรณีที่เป็นเท็จได้ รูปแบบนี้จึง (ข) ถูก x2  3x  4 < 0  (x  4)(x  1) < 0
เป็นสัจนิรันดร์ เขียนเส้นจานวน ได้ช่วงคาตอบเป็น 1 < x < 4
ดังนั้น U  [1, 4]
จึงทาให้ประพจน์ที่กาหนดเป็นจริง เพราะมี x  2 ที่ทา
22. (ก) ผิด ซ้ายมือ  p  q  p  q  ให้สมการ 2x  1  3x  1 เป็นจริง (คือ 23  32  1 )
ขวามือ ดังนั้นรูปแบบที่กาหนดให้ไม่เป็นสัจนิรันดร์
(ข) ถูก ตรวจสอบโดยหากรณีที่เป็นเท็จ
นั่นคือ (p  q) ต้องเป็นเท็จ แสดงว่า p จริง, q เท็จ 26. P(x) ; x  2  x  2
ทาให้ส่วนหน้าได้ค่าเป็น [T  (F  F)]  F สมการนี้จะเป็นจริงเมื่อ x  2 > 0 นั่นคือ x > 2
ซึ่งเกิดความขัดแย้ง เพราผลสรุปจะกลายเป็นจริง Q(x) ; 0 < x  2  4 นั่นคือ 2 < x  2
แสดงว่าไม่สามารถหากรณีที่ผลเป็นเท็จได้เลย
(ก) ถูก x [Q(x)]คือ x [ 2 < x  2 ]  T
รูปแบบนี้จึงเป็นสัจนิรันดร์
x [P(x)] คือ x [ x > 2 ]  F
x [ Q(x)] คือ x [ x  2 หรือ x > 2 ] F
x [ P(x)] คือ x [ x  2 ]  T
23. (ก) ถูก x [P(x)]  x [~ Q(x)]
 ~ x [~ Q(x)]  ~ x [P(x)]
ดังนั้น x [Q(x)]  x [P(x)]  T  F  F
 x [Q(x)]  x [~P(x)]
และ x [ Q(x)]  x [ P(x)]  F  T  T

(ข) ถูก เพราะ ~ x [ P(x) ]  x [ ~P(x) ] (ข) ผิด x [ x > 2 และ 2 < x  2 ] เป็นเท็จ
และ x [ ~ Q(x) ]  ~ x [ Q(x) ] เพราะไม่มี x ใดที่สอดคล้องกับประโยคในวงเล็บ
x [ x  2  2 < x  2 ] เป็นเท็จ
เพราะมี x บางค่าที่ทาให้ประโยคในวงเล็บเป็นเท็จ
(T  F) เช่น x  3
ดังนั้น ประพจน์ในข้อนี้มีค่าเป็น F  F  T
27. Q(x) ; x  1  3 x  1  (x  1)2  (3x  3)2 30. (ก) ผิด สมการ x2  y  y2  x จะเป็นจริง
 (x  1  3x  3)(x  1  3x  3)  0 เมื่อ y มีค่าเท่ากับ x ดังนั้น สาหรับทุกค่า x จะหาค่า y
 (2x  4)(4x  2)  0  (x  2)(2x  1)  0 ที่สอดคล้องได้เสมอ ประพจน์แรกจึงเป็นจริง
จากเส้นจานวนได้ช่วงคาตอบ x  2 หรือ x   21 แต่สมการ x  2x ไม่มีคาตอบที่เป็นจานวนจริง
(ยืนยันได้จากกราฟ y  x และ y  2x ไม่ตัดกัน)
(ก) ถูก ถ้า U  (3, 1) จะได้ x [Q(x)] เป็นจริง ดังนั้น ประพจน์หลังจึงเป็นเท็จ
เพราะมี x บางตัวเช่น x  2.5 สอดคล้องกับ Q(x)
ดังนั้น x [P(x)]  x [Q(x)]  ?  T  T (ข) ผิด นิเสธของ (  )  คือ (  ) 
ดังนั้น นิเสธของประพจน์ที่กาหนดให้จะต้องเป็น
(ข) ถูก เพราะพบค่า x บางค่าที่ทาให้ P(x)  Q(x) เป็น x x [ x > 0  y  0  xy > 0 ]
จริง เช่น เมื่อ x  3 จะได้ P(x) เป็น 34 < 32
1 < 1 ซึ่งจริง และ x  3 นี้ท าให้ Q(x)
นั่นคือ 81 9
เป็นจริงด้วย (ดังที่ได้แก้อสมการไว้แล้ว) 31. (ก) ถูก เช่น x  0 , y  0 จะทาให้ข้อความ
y < 0 เป็นจริง ประพจน์นี้จึงเป็นจริง

28. ข้อนี้พิจารณาได้โดยแยกกรณีเพื่อถอดค่าสัมบูรณ์ (ข) ผิด เพราะไม่มีค่า x ค่าใดที่ใช้ y ได้ครบทุกตัว


(โจทย์กาหนด x เป็นจานวนจริงบวก จึงไม่ต้องพิจารณาที่ (เช่น ถ้า x  1 จะใช้ y  0, 1, 2 ไม่ได้) จึงทาให้
ค่า x ติดลบ) ประพจน์ในข้อนี้เป็นเท็จ
(ก) ถูก (ค) ถูก เช่น เมื่อ x  1 , y  0
กรณี x2  4 > 0 (นั่นคือ x > 2 ) จะได้ x  y  x < y มีค่าความจริงเป็น T F  F
จะได้อสมการ x2  4 > 2x  5  x2  2x  1 > 0 ดังนั้น ประพจน์ในข้อนี้เป็นเท็จ
 (x  1)2 > 0 ซึ่งเป็นจริงเสมอ

กรณี x2  4  0 (นั่นคือ 0  x  2 )
จะได้อสมการ  x2  4 > 2x  5  x2  2x  9 < 0 32. (ก) ผิด x2  2xy  y2 > 10xy  x2
พบว่าเป็นจริงเสมอทุกค่า x ในกรณีนี้เช่นกัน  y2 > 8xy (ตัด y ทั้งสองข้างได้ เพราะมีค่า เป็นบวก)
y
 y > 8x  x >8
(ข) ถูก ไม่มี x, y คู่ใดที่สอดคล้อง ดังนั้นประพจน์ในข้อนี้เป็นเท็จ
กรณี x2  5x  6 > 0 (นั่นคือ x > 3 , 0  x < 2)
จะได้อสมการ x2  5x  6  x2  8x  7 x   1 (ข) ผิด สมมติว่า y  1
13
พบว่า เป็นจริงเสมอ จะได้ x  x  1 > 0  1 > 0 ซึ่งเป็นจริงเสมอ
ไม่ว่า x จะมีค่าเท่าใด ดังนั้นประพจน์ในข้อนี้เป็นจริง
กรณี x2  5x  6  0 (นั่นคือ 2  x  3 )
จะได้อสมการ  x2  5x  6  x2  8x  7
 2x2  3x  13  0
33. (ก) ถูก เพราะไม่มี x กับ y คู่ใด
พบว่า เป็นจริงเสมอทุกค่า x ในกรณีนี้เช่นกัน ที่ทาให้ x  y  
(ข) ผิด เพราะไม่มี x กับ y คู่ใดที่ทาให้ xy  U
29. (ก) ผิด ประพจน์เป็นจริง เพราะมี x บางค่าที่ใช้ y (เช่น {a, b}  {a, c}  {a, b, c}  U )
ได้ครบทุกตัว นั่นคือ x  1 จะได้ y  1, 0, 1
สอดคล้องกับอสมการ x  y > 0 ทั้งหมด (ค) ผิด เพราะไม่มี x กับ y คู่ใดที่สอดคล้องกับ
“ x  y และ y  x ” เลย (x กับ y ที่ให้มา ไม่มีคู่ใดที่
(ข) ผิด ประพจน์เป็นจริง เพราะ x ทุกตัวจะมี y ที่ เป็นสับเซตกัน ยกเว้นตัวมันเอง)
สามารถใช้คู่กันได้ เช่น (1, 1) (0, 0) (1, 1)
34. ข้อนี้เกินขอบเขต O-NET เพราะไม่ใช่ “การให้ (ก) ถูก สามารถจัดได้ 2 แบบ วนกลับทิศ กัน
เหตุผล” แต่เป็น “การอ้างเหตุผล” ซึ่งอยู่ในเนื้อหา PAT 1 1
คือ 4 2 และ 2 4
(ก) ผิด ข้อนี้ไม่สมเหตุสมผล เพราะเมื่อเหตุเป็นจริง
พร้อมกันทั้งสองข้อ ผลที่ให้มาอาจเป็นจริงหรือเท็จก็ได้ 3 6 6 3
5 5
(นั่นคือ “แดดร้อนและอานวยไปว่ายน้า” ก็ไม่ขัดแย้งกับ
เหตุที่ให้มา) (ข) ถูก ทั้งสองแบบจะได้ 3 ตรงข้ามกับ 2 เสมอ
(ข) ถูก ข้อนี้สมเหตุสมผล เพราะเมื่อเหตุเป็นจริงพร้อม
กันทั้งสองข้อ ผลที่ให้มาจะเป็นจริงตามไปด้วยเสมอ 38. พิจารณาหลักที่สาม (หลัก 2 5
กลาง) เลขที่หายไปคือ 3, 4 a 1 4
แต่ในแถวที่สองมี 4 อยู่แล้ว
35. (ก) ถูก เขียนเป็นอันดับจากคะแนนมากไปน้อยได้ ดังนั้น a  3 และ b  4
2 5
ดังนี้ 1. สมชาย 2. สมศรีหรือสมสมร 3. สมใจ c 3 1 d 2
4. สมศรีหรือสมสมร 5. สมศักดิ์ พิจารณาแถวที่สี่ เลขที่หายไป x b
คือ 4, 5 แต่ในหลักที่สี่มี 5 อยู่แล้ว
(ข) ผิด ถ้าสมใจได้อันดับ 1 สมชายจะได้อันดับ 3
นอกนั้นสมชายจะได้อันดับ 1 เสมอ ดังนั้น d  4 , c  5
ดังนั้นสมชายได้อันดับ 1 ถึง 4 ครั้ง 1 4 2 5 3
จากนั้นใช้หลักการเดียวกันนี้ 2 5 3 1 4
พิจารณาหลักที่สี่ แถวที่สอง และ 4 2 5 3 1
แถว-หลักอื่นๆ ตามลาดับขั้น
36. (ก) ถูก วิธียืนเข้าแถวเป็นดังนี้ จนกระทั่งเติมจานวนได้ครบทุก 5 3 1 4 2
B, D, A, (EหรือF), C, (EหรือF) ช่อง จะทราบว่า x  3 x 1 4 2 5
(ข) ผิด มีวิธียืนเข้าแถว 4 วิธี ดังนี้
B, D, A, E, C, F B, D, A, F, C, E
E, C, D, A, F, B F, C, D, A, E, B 39. จากรูป
คิดได้โดยวางตาแหน่ง B กับ C ก่อน 9 a b c x d e f 3
ตามด้วย D, A และ E, F
a  b  c  20 และ 9  a  b  20 ดังนั้น c 9
d  e  f  20 และ e  f  3  20 ดังนั้น d 3
37. กาหนดหมายเลขลงในรูป c  x  d  20  9  x  3  20 x  8
ตามข้อมูลที่ให้มา ทีละข้อๆ 1
2

จากข้อมูล “1 ติดกับ 2” 40. สมมติว่า ก พูดจริง จะได้ว่า ข กับ ค พูดจริงทั้งคู่


แต่ ข กลับพูดว่า ค พูดโกหก ซึ่งขัดแย้งกัน
จาก “4 ตรงข้ามกับ 6 จาก “ระหว่าง 5 กับ ดังนั้น เงื่อนไขนี้เป็นไปไม่ได้  ก พูดโกหก
โดยที่ 1 ไม่ติดกับ 6” 2 มีเก้าอี้อยู่ 1 ตัว”
จึงสรุปได้ว่า จ พูดจริง  ง พูดโกหก
1 1  ค พูดจริง  ข พูดโกหก
4 2 4 2 ในกลุ่มนี้จึงมีคนพูดจริงน้อยกว่าคนพูดโกหก
6 3 6 ดังนั้น (ก) ผิด และ (ข) ถูก
5
แนวข้อสอบจริง บทที่ 4 เรขาคณิตวิเคราะห์
1. กำหนดให้ ABCD เป็นรูปสี่เหลี่ยมที่มีจุดยอด A (2, 2) , B(0, 9) , C (6, 6) [P53C]
และ D (3, 4) พื้นที่ของสี่เหลี่ยมรูปนี้เท่ำกับกี่ตำรำงหน่วย

2. ให้ L1 คือเส้นตรงที่มีสมกำรเป็น 2x  y  6 [P55B]


และ L2 คือเส้นตรงที่ผ่ำนจุด (0, 2) และตั้งฉำกกับ L1
พื้นที่ของบริเวณในจตุภำคที่ 1 ที่ปิดล้อมด้วย L1 , L2 , แกน X และแกน Y เท่ำกับกี่ตำรำงหน่วย

3. กำหนดให้จุด A (4, 2) , B(0, 6) , C (6, 6) และ D (0, 0) เป็นจุดยอดของ [P53A]


รูปสี่เหลี่ยม ABCD ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) ด้ำน AB ขนำนกับด้ำน CD
(ข) ระยะตั้งฉำกจำกจุด A ไปยังแนวเส้นตรง CD เท่ำกับ 2 5 หน่วย

4. กำหนดให้ ABC เป็นรูปสำมเหลี่ยมที่มี A เป็นมุมฉำก, จุด A และ B อยู่ที่ (0, 0) [P53B]


และ (3, 1) ตำมลำดับ และด้ำน BC ยำว 10 หน่วย ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) สมกำรเส้นตรงที่ผ่ำน A และ C คือ x  3y
(ข) ถ้ำ (x1, y1) และ (x2 , y2) คือพิกัดจุด C ที่เป็นไปได้ทั้งหมด จะได้ x1x2  y1y2  72

5. ให้ ABC เป็นรูปสำมเหลี่ยมที่มีจุด A (2, 2) , B(0, 0) และ C (a, b) [P53A]


ซึ่งอยู่ในจตุภำคที่ 1 และทำให้ AC  BC เป็นจุดยอดทั้งสำม
ถ้ำพื้นที่ของสำมเหลี่ยมรูปนี้เท่ำกับ 6 ตำรำงหน่วย แล้ว a  b มีค่ำเท่ำกับเท่ำใด

6. เส้นตรง L มีระยะห่ำงจำกจุดกำเนิด k หน่วย และมีควำมชันเป็นจำนวนเต็มลบ m [P57B]


โดยที่ k2  m  3 และผ่ำนจุดตัดระหว่ำงเส้นตรง 2x  y  1  0 และ x  2y  7  0
ถ้ำเส้นตรง L มีสมกำรเป็น ax  by  10 แล้ว 3a  b มีค่ำเท่ำกับเท่ำใด

7. ระยะทำงจำกจุดโฟกัสของพำรำโบลำ y2  12x [P52B]


ไปยังเส้นตรง 4x  3y  5 เท่ำกับเท่ำใด

8. เส้นตรงเส้นหนึ่งผ่ำนจุดกำเนิดและจุดยอดของพำรำโบลำ y2  6y  4x  5  0 [P52A]
ถ้ำเส้นตรงนี้ตัดกับไดเรคตริกซ์ของพำรำโบลำที่จุด (a, b) แล้ว ค่ำของ b  a เท่ำกับเท่ำใด

9. พำรำโบลำรูปหนึ่งมีจุดยอดอยู่ที่ (2, 0) และมีจุดกำเนิดเป็นจุดโฟกัส [P52C]


ถ้ำเส้นตรง x  y  0 ตัดกับพำรำโบลำที่จุด A และ B แล้ว ระยะ AB เท่ำกับเท่ำใด

10. ให้ A (3, 4) , B(1, a) และ C (4, 8) เป็นจุดยอดของรูปสำมเหลี่ยมที่มี [P54A]


มุม B เป็นมุมฉำก โดยที่ a  6 ถ้ำ L เป็นเส้นตรงที่ผ่ำนจุด B และ C
แล้ว ให้หำค่ำ b ที่ทำให้เส้นตรง L สัมผัสกับพำรำโบลำ y2  b(x  1)
11. ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P53C]
(ก) วงกลม x2  y2  6x  8y  16  0 สัมผัสกับเส้นตรง 12x  5y  10  0
(ข) พำรำโบลำ y2  12x  4y  44 มีจุดยอดที่ (4, 2) และจุดโฟกัสที่ (1, 2)

12. กำหนดให้ P เป็นพำรำโบลำที่มีจุดโฟกัส F อยู่ที่จุดศูนย์กลำงของวงกลม [P55A]


x  y  4x  6y  9  0 และมีจุดยอด V อยู่ที่จุดตัดของวงกลมนีก
2 2
้ ับแกน Y
ถ้ำ P มีจุดปลำยเลตัสเรคตัมเป็นจุด A และ B แล้ว พื้นที่สำมเหลี่ยม ABV เท่ำกับกี่ตำรำงหน่วย

13. เส้นตรง x  y  2 ตัดกับวงกลม x2  y2  4x  6y  4  0 ที่จุด P และ Q [P54A]


ถ้ำ (a, b) เป็นจุดโฟกัสของพำรำโบลำที่ผ่ำนจุด P และ Q และมีแกน X เป็นแกนสมมำตร
แล้ว ค่ำของ a เท่ำกับเท่ำใด

14. ถ้ำวงกลมวงหนึง่ ซึ่งผ่ำนจุดโฟกัสของพำรำโบลำ y2  4y  2x  7  0 และสัมผัส [P56]


เส้นตรง 3x  4y  7  0 ที่จุด (1, 1) มีสมกำรเป็น x2  y2  Dx  Ey  F  0
แล้ว ค่ำของ DE  F เท่ำกับเท่ำใด

15. ถ้ำวงกลมวงหนึ่งผ่ำนจุด A (6, 1) และ B (3, 0) และมีจุดศูนย์กลำง C [P55B]


อยู่บนเส้นตรง x  y  2 แล้ว พื้นที่สำมเหลี่ยม ABC เท่ำกับกี่ตำรำงหน่วย

16. วงกลมวงหนึ่งมีจุดศูนย์กลำงอยู่ที่ (2, 3) ถ้ำเส้นสัมผัสวงกลมที่จุดซึ่ง x  3 [P52A]


เส้นหนึ่งมีควำมชันเท่ำกับ  13 แล้ว ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด

17. วงกลมวงหนึ่งมีจดุ ปลำยของเส้นผ่ำนศูนย์กลำงเป็น (2, 0) และ (2, 0) โดยที่ (2, 0) [P53C]


ถ้ำเส้นตรงซึ่งผ่ำนจุด (1, 0) และมีควำมชันเท่ำกับ 43 สัมผัสวงกลมวงนีพ้ อดี
แล้ว ค่ำของ a เท่ำกับเท่ำใด

18. กำหนดให้ L1 และ L2 เป็นเส้นตรงคู่ขนำนที่สัมผัสวงกลม (x  4)2  20  y2 [P52B]


โดยที่ L1 มีสมกำรเป็น x  2y  6 และ L2 มีสมกำรเป็น x  ay  b
ดังนั้นค่ำของ a2  b2 เท่ำกับเท่ำใด

19. กำหนดให้ A และ B เป็นเซตของจุด (x, y) บนกรำฟของสมกำร x2  y2  1 [P52C]


และ x2  y2  8x  8y  28  0 ตำมลำดับ
ระยะทำงที่ยำวที่สุดระหว่ำงจุดใน A และ B เท่ำกับกี่หน่วย

20. ถ้ำ a, b, c เป็นจำนวนจริงที่ทำให้วงกลม x2  y2  ax  by  c  0 สัมผัสกับ [P52C]


เส้นตรง 2x  y  1  0 และวงกลมนี้มจี ุด (1, 2) เป็นจุดศูนย์กลำง
แล้ว ผลคูณ abc มีค่ำเท่ำกับเท่ำใด

21. ถ้ำ A (x, y) เป็นจุดบนวงกลม x2  y2  4x  2y  15 ที่อยู่ใกล้จุด (0, 2) มำกที่สุด [P54B]


แล้ว ระยะระหว่ำงจุด A กับเส้นตรง 3x  4y  3 เท่ำกับเท่ำใด
22. กำหนดให้ L เป็นเส้นตรงที่ตัดแกน X และ Y ที่จุด (a, 0) และ (0, b) ตำมลำดับ [P57A]
โดยที่ a และ b เป็นจำนวนจริงบวก
ถ้ำวงกลม C และวงกลมอีกวงที่มรี ัศมีเท่ำกันและมีจุดศูนย์กลำงที่ (0, 0) ต่ำงก็สัมผัส
เส้นตรง L ที่จุดเดียวกัน แต่อยู่คนละด้ำนของเส้นตรง แล้ว ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) รัศมีวงกลมทั้งสอง เท่ำกับ a2ab
 b2
หน่วย
(ข) สมกำรวงกลม C คือ (a  b )(x  y2)  4ab(bx  ay)  3a2b2  0
2 2 2

2
23. วงรีรูปหนึ่งมีสมกำรเป็น (x 94)  (y25
2)
2
 1 [S56]
ถ้ำ O คือจุดกำเนิด, F1 และ F2 คือจุดโฟกัสของวงรี โดยที่ OF1  OF2
แล้ว ระยะทำงจำกจุด F2 ไปยังเส้นตรงที่ผ่ำนจุด F1 และ (1, 2) เท่ำกับเท่ำใด

24. กำหนดให้วงรีวงหนึ่งมีจุดโฟกัสทั้งสองอยู่บนวงกลมซึ่งมีสมกำร x2  y2  4 [P52B]


และสัมผัสกับวงกลมนี้สองจุดบนแกน X ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) แกนเอกของวงรียำว 2 2 หน่วย (ข) จุด (1, 6) อยู่บนวงรี

25. วงรีรูปหนึ่งมีจดุ โฟกัสอยู่ที่ (5, 0) และ (5, 0) และวงรีนี้ผ่ำนจุด (3, 33


2
) [P52A]
ถ้ำจุด (a, 0) และ (0, b) อยู่บนวงรีนี้ แล้ว ผลคูณของค่ำ a และ b ที่เป็นไปได้ทั้งหมดเท่ำกับเท่ำใด

26. กำหนดให้ A และ B เป็นจุดตัดของวงกลม x2  y2  20 และ x2  y2  8x  12  0 [P55B]


ถ้ำวงรีวงหนึ่งมี AB เป็นแกนเอก และมีจุดโฟกัสจุดหนึ่งอยู่บนเส้นตรง y  1  0
โดยที่สมกำรวงรีเป็น y2  px2  qy  rx  s  0 แล้ว ค่ำของ p  q  r  s เท่ำกับเท่ำใด

27. วงรีวงหนึ่งมีแกนเอกอยูบ่ นแกน X, แกนโทอยู่บนแกน Y, จุดโฟกัสทั้งสอง [P55A]


11
อยู่ห่ำงกัน 10 หน่วย และควำมยำวคอร์ดที่ลำกผ่ำนจุดโฟกัสตั้งฉำกกับแกนเอกเท่ำกับ 3 หน่วย
ถ้ำวงรีนี้มีสมกำรเป็น Ax2  By2  C เมื่อ A, B, C เป็นจำนวนนับที่มี ห.ร.ม. เท่ำกับ 1
แล้ว A  B  C มีค่ำเท่ำกับเท่ำใด

28. กำหนดให้วงรีรปู หนึง่ มีสมกำรเป็น x2  Ay2  Bx  Cy  83  0 เมื่อ A  1 [P57B]


โดยมีแกนเอกยำวเป็น 2 เท่ำของแกนโท และมีจุดศูนย์กลำงอยูท่ ี่ (1, 2)
คุณสมบัติเกี่ยวกับวงรีในแต่ละข้อต่อไปนี้ ถูกหรือผิด
(ก) ค่ำของ AB  C
(ข) ควำมเยื้องศูนย์กลำง เท่ำกับ 23
(ค) แกนโทยำวเท่ำกับรัศมีของวงกลม x2  y2  2x  4y  20  0
(ง) ผลบวกของระยะทำงจำกจุด (1, 7) ไปยังโฟกัสทั้งสอง เท่ำกับ 20 หน่วย

29. ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P57A]


2
(ก) จุดบนพำรำโบลำ y  2x  1 ที่อยู่ใกล้เส้นตรง y  4x  5 มำกที่สุดคือ (1, 3)
(ข) ถ้ำผลบวกของระยะทำงจำกจุด P (x, y) ใดๆ ในระนำบ ไปยังจุด (0, 3) และ (0, 7)
เท่ำกับ 6 หน่วย แล้ว เซตของจุด P คือ {(x, y) | 5x2  9y2  72y  99  0 }
30. วงรีวงหนึ่งมีจุดโฟกัสคือ F1(a, 0) และ F2 ( a, 0) โดยที่ a  0 [P56]
และจุด P (2, 2) เป็นจุดบนวงรี โดยผลบวกระยะทำง PF1  PF2 เท่ำกับ 4 3 หน่วย
เส้นตรงเส้นหนึ่งผ่ำนจุด (6, 0) และสัมผัสวงรีที่จุด P ดังกล่ำว
2
โดยระยะจำกจุดศูนย์กลำงวงรีมำยังเส้นตรงเส้นนี้เท่ำกับ b หน่วย ให้หำค่ำของ PF  b 1

31. กำหนดให้วงรีวงหนึง่ มีจุดโฟกัสทั้งสองอยู่ที่จุดยอดของไฮเพอร์โบลำซึง่ มีสมกำร [P52C]


เป็น x2  y2  4 และวงรีผ่ำนจุด ( 65 , 1) ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) แกนโทของวงรียำว 2 5 หน่วย (ข) จุด (1, 10
3
) อยู่บนวงรี

32. วงกลมวงหนึง่ มีจุดปลำยของเส้นผ่ำนศูนย์กลำงอยูบ่ นจุดโฟกัสจุดหนึง่ และ [P53B]


จุดศูนย์กลำงของไฮเพอร์โบลำ 9x2  16y2  36x  160y  508  0
ถ้ำพื้นที่ของวงกลมนี้เท่ำกับ d  ตำรำงหน่วย แล้ว ค่ำของ d เท่ำกับเท่ำใด
2
3)  (y 4)  1
33. ถ้ำ F เป็นจุดโฟกัสจุดหนึ่งของไฮเพอร์โบลำ (x16
2
[S57]
9
แล้ว วงกลมที่มีจุดศูนย์กลำงที่ F และสัมผัสเส้นกำกับทั้งสองของไฮเพอร์โบลำ มีรัศมียำวกี่หน่วย

34. ให้ H เป็นไฮเพอร์โบลำซึ่งมีสมกำรเป็น 16x2  9y2  64x  18y  89 [S55]


ถ้ำ E เป็นวงรีที่มีจุดยอดอยู่ที่จ2ุดโฟกัสของ H และมีควำมเยื้องศูนย์กลำงเท่ำกับ 2
(y k)2 5
(x h)
โดยที่สมกำรของ E คือ m  n  1
แล้ว ค่ำของ 2m  3n เท่ำกับเท่ำใด

35. ให้จุด F เป็นโฟกัสของพำรำโบลำ 4y  x2  2x  13 [P57B]


ถ้ำไฮเพอร์โบลำรูปหนึ่งมีสมบัติดังนี้
(ก) จุดศูนย์กลำงอยู่ที่ F (ข) แกนสังยุคยำว 8 หน่วย
(ค) โฟกัสจุดหนึ่งคือ (1, 42 13) (ง) มีสมกำร Ax2  By2  Cx  Dy  89  0
แล้ว ค่ำของ A  B  C  D เท่ำกับเท่ำใด

36. ถ้ำพำรำโบลำซึ่งมีจุดยอดอยูท่ ี่ (3, 1) และผ่ำนจุดโฟกัสทั้งสองของไฮเพอร์โบลำ [P54B]


4x2  5y2  10y  15  0 มีสมกำรไดเรคตริกซ์เป็น 4x  a  0 แล้ว ค่ำของ a เท่ำกับเท่ำใด

37. ถ้ำพำรำโบลำรูปหนึ่งสัมผัสแกน X ที่จุด (3, 0) และผ่ำนจุดยอดทั้งสองของไฮเพอร์โบลำ [P56]


x2  2y2  6x  8y  15  0 แล้ว ข้อ ควำมต่อ ไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) พำรำโบลำมีแกนสมมำตรขนำนแกน Y
(ข) จุด (1, 0.5) อยู่บนพำรำโบลำ

38. ถ้ำพำรำโบลำมีโฟกัสจุดหนึง่ อยูท่ ี่จุดกึ่งกลำงระหว่ำงจุดตัดทั้งสองของ [P57A]


เส้นตรง y  2x  2 และเส้นกำกับของไฮเพอร์โบลำ x2  y2  2y  5
และมีไดเรคตริกซ์ทับแกนตำมขวำงของไฮเพอร์โบลำนี้ แล้ว ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) ระยะโฟกัสของพำรำโบลำ เท่ำกับ 1 หน่วย
(ข) สมกำรพำรำโบลำคือ x2  4x  2y  7  0
39. ถ้ำวงรีรูปหนึ่งมีสมกำรเป็น 4x2  3y2  8x  12y  32  0 และไฮเพอร์โบลำ [P53A]
ที่มีจุดยอดอยู่ที่จุดโฟกัสทั้งสองของวงรี โดยผ่ำนจุด (0, 8  2) มีสมกำรเป็น
y2  ax2  by  cx  d  0 แล้ว ค่ำของ a  b  c  d เท่ำกับเท่ำใด

40. ให้ H แทนไฮเพอร์โบลำ 4x2  9y2  16x  54y  101  0 [P54A]


E แทนวงรี 4x  9y  16x  54y  61  0 และ P แทนพำรำโบลำ y  6x  8y  45  0
2 2 2

ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) จุดยอดของ H กับ E อยู่ที่เดียวกัน และแกนสังยุคของ H ยำวเท่ำกับแกนโทของ E
(ข) จุดยอดจุดหนึ่งของ E อยู่บนกรำฟของ P

41. ถ้ำ P (a, b) เป็นจุดกึ่งกลำงของส่วนของเส้นตรงที่เชื่อมจุดตัดของเส้นตรง [P54B]


x  y  1 กับไฮเพอร์โบลำ x y  a แล้ว ระยะระหว่ำงจุด P กับเส้น ตรง 4x  3y  4  0
มีค่ำเท่ำกับเท่ำใด

42. กำหนดให้ A และ B เป็นเซตของจุด (x, y) บนกรำฟของสมกำร y2  x2  1 [P52B]


และ x2  y2  1 ตำมลำดับ
ถ้ำ S  {(x, y) | x2  y2 < 9 } แล้ว ระยะทำงที่สั้นที่สุดระหว่ำงจุดใน S  A
และจุดใน S  B เท่ำกับกี่หน่วย (ตอบเป็นทศนิยม 2 ตำแหน่ง)

43. กำหนดให้ a, b เป็นจำนวนจริงที่ทำให้เส้นตรง y  x  a [P52A]


ตัดกรำฟ y2  x2  1 สองจุด และเส้นตรง y  b x ไม่ตัดกรำฟ y2  x2  1
ถ้ำช่วงของค่ำ a ที่เป็นไปได้คือ (a1, a2) และช่วงของค่ำ b ที่เป็นไปได้คือ [b1, b2 ]
แล้ว ค่ำของ a12  a22  b12  b22 เท่ำกับเท่ำใด
เฉลยวิธีคิด บทที่ 4 นั่นคือ 10  (3  x)2  (1  3x)2
 100  10x2  10  x2  9  x  3 หรือ –3
1. พื้นที่ ABCD หำได้จำก
แสดงว่ำจุด C อำจเป็น (3, 9) หรือ (3, 9)
พื้นที่สี่เหลี่ยมเต็มรูป ลบด้วยพื้นที่สำมเหลี่ยม 4 รูป
จะได้ x1x2  y1y2  3(3)  (9)(9)  72
 (8  13)  ( 1  7  2  1  6  3  1  10  3  1  5  6)
2 2 2 2
 104  1 (14  18  30  30)
2
 104  46  58 ตารางหน่วย 5. กำรที่ AC  BC แสดงว่ำจุด C ต้องอยู่บนเส้นตรง
ที่ตั้งฉำก AB และแบ่งครึ่ง AB พอดี นั่นคือผ่ำนจุด (1, 1)
หมายเหตุ คิดได้อีกวิธีด้วยสูตรสาเร็จ พื้นที่รูปเหลี่ยมใดๆ และมีควำมชันเท่ำกับ 1
2 2 จะได้สมกำรเส้นตรงนั้นเป็น (y  1)  1(x  1)
3 4
1 6 6  21 (6  24  0  18  8  18  54  0)  58  y  x  2 แสดงว่ำ จุด C คือ (a, a  2)
2
0 9
2 2 จำกนั้นพิจำรณำพื้นที่สำมเหลี่ยม
6  1 (AB)(สูง)  สูง  (2)(6)  3 2
2 22
แสดงว่ำระยะจำก C ไปยัง AB เท่ำกับ 3 2 หน่วย
2. จำก mL  2 ดังนั้น mL  21
1 2

สมกำร L2 จึงเป็น y  21 x  2 แต่ AB มีสมกำรเป็น x  y  0

แก้ระบบสมกำร L1 , L2 หำจุดตัดได้เป็น จึงได้ว่ำ 3 2  |a 2(a22)|


1 1
1 x  2  6  2x  x  8  y  14  6  2a  2  3  a1
2 5 5
โดย L2 ตัดแกน X ที่ 0  21 x  2  x  4 a  2 หรือ –4
แต่จุด C อยู่ใน Q1 ดังนั้น a  2 เท่ำนั้น
จะได้ พื้นที่แรเงำ
  ใหญ่   เล็ก ซึ่งจะได้ C(2, 4) และ a  b  2
1 14 1
 (7)( )  (4)(2)
2 5 2
 9.8  4  5.8 ตารางหน่วย
6. แก้ระบบสมกำรหำจุดตัดระหว่ำงเส้นตรงสองเส้นที่
กำหนด ได้เป็น x  1, y  3 นั่นคือ (1, 3)
3. (ก) ถูก mAB  06(24)  4  1
4
แสดงว่ำเส้นตรง L ผ่ำนจุด (1, 3)
และ mCD  66  00  1 จำกควำมชัน m; สมมติเส้นตรง L มีสมกำร y  mx  c
(ข) ผิด เส้นตรงที่ผ่ำน CD มีสมกำรเป็น xy  0
แทนจุดลงไปได้เป็น 3  m  c  c  3  m  k2
ดังนั้นสมกำร L คือ y  mx  k2  mx  y  k2  0
ดังนั้น ระยะจำก A ไปยังแนว CD เท่ำกับ
|(4)  (2)|
 6  3 2 หน่วย จำกระยะห่ำง k; จะได้สมกำรเป็น |m(0)  (0)  k2|
k 
2 2
1 1 2 m2  1
k  k2  m2  1  k2  m2  1  3  m
(ค) ถูก ABCD เป็นสี่เหลี่ยมคำงหมู m2  1
จึงหำพื้นที่ได้จำก 21  ส่วนสูง  ผลบวกด้ำนคู่ขนำน  (m  2)(m  1)  0  m  2 หรือ 1
 1 (3 2)( 42  42  62  62 )
แต่โจทย์กำหนด m เป็นจำนวนเต็มลบ
2 ดังนั้น m  2 เท่ำนั้น ซึ่งจะได้ k2  5
 1 (3 2)(4 2  6 2)  30 ตำรำงหน่วย และสมกำร L คือ 2x  y  5  0  4x  2y  10
2

 ค่ำของ 3a  b  12  2  10
4. (ก) ผิด mAB  1300   31 ดังนั้น mAC  3
จะได้สมกำรเส้นตรงเป็น y  3x
7. จัดรูปหำพำรำโบลำ; y2  4(3) x
(ข) ถูก สมมติ C มีพิกัด (x, 3x) เป็นพำรำโบลำเปิดซ้ำย จุดยอด (0, 0) จุดโฟกัส (3, 0)
จะหำได้โดยระยะ BC  10 ดังนั้นจึงหำระยะจำก (3, 0) ไปยัง 4x  3y  5  0
|4(3)05| 17
จะได้เท่ำกับ 
5
 3.4 หน่วย วงกลมรัศ มี 3 หน่วย จุดศูนย์กลำงอยู่ที่ (3, 4)
42  32
ระยะจำก (3, 4) ไปยังเส้นตรง 12x  5y  10  0
เท่ำกับ |12(3) 25(4)2  10|  26
13
 2 หน่วย
8. จัดรูปพำรำโบลำ; y2  6y  9   4x  5  9 12  5
2
 (y  3)   4x  4  (y  3)2  4(1)(x  1)
ไม่เท่ำกับรัศ มีวงกลม แสดงว่ำเส้นตรงไม่สัมผัสวงกลม

พำรำโบลำเปิดซ้ำย จุดยอด (1, 3) ระยะโฟกัส c  1 (ข) ถูก จัดรูปพำรำโบลำ;


ดังนั้นไดเรคตริกซ์คือเส้นตรง x  1  1  2 y2  4y  4  12x  44  4

เส้นตรงผ่ำนจุด (0, 0) และ (1, 3) จะตัดกับเส้นตรง  (y  2)2  12x  48  4(3)(x  4)

x  2 ที่จุด (2, 6)  b a  62  4


เป็นพำรำโบลำเปิดซ้ำย จุดยอด (4, 2)
ระยะโฟกัส c  3 ดังนั้น จุดโฟกัสคือ (1, 2)

9. พำรำโบลำเปิดขวำ c  2
มีสมกำรเป็น y2  4(2)(x  2)  y2  8x  16 12. จัดรูปวงกลม;
(x2  4x  4)  (y2  6y  9)  9  4  9
แก้ระบบสมกำรหำจุดตัด (A และ B) ได้โดย
 (x  2)2  (y  3)2  22
แทนค่ำ y  x ลงในสมกำรพำรำโบลำ
จะได้ (x)2  8x  16  x2  8x  16  0 วงกลมมีจุดศูนย์กลำง (2, 3) สัมผัสแกน Y ที่ (0, 3)
 x  8  64  64  4  4 2 จะได้พำรำโบลำมีจุดโฟกัส F(2, 3)
2
ดังนั้นจุด A และ B คือ (4  4 2,  4  4 2) และจุดยอด V (0, 3) แสดงว่ำ เป็นพำรำโบลำเปิดขวำ
c  2 และควำมยำวเลตัสเรคตัม (AB)  4c  8
และ (4  4 2,  4  4 2) ตำมลำดับ
 ABV  1 (c)(4c)  1 (2)(8)
2 2
 ระยะ AB  (8 2)  (8 2)  พื้นที่ 2 2
 2 (8 2)  16 หน่วย  8 ตารางหน่วย

mAB mAC  1
10. AB ตั้งฉำกกับ AC แสดงว่ำ 13. แก้ระบบสมกำรหำจุดตัด (P และ Q)
( a  4)(8  a)  1 โดยแทน y  2  x ลงในสมกำรวงกลม
4 3
2
 a  12a  20  0  (a  10)(a  2)  0 จะได้ x2  (2  x)2  4x  6(2  x)  4  0
แต่ a 6 ดังนั้น a  2 เท่ำนั้น  x2  4  4x  x2  4x  12  6x  4  0
 สมกำรเส้นตรง L คือ y  2  2(x  1)  y  2x  2(x2  7x  10)  0  2(x  5)(x  2)  0
ดังนั้น x  5 หรือ 2
นำไปแก้ระบบสมกำรร่วมกับพำรำโบลำ y2  bx  b แสดงว่ำจุด P และ Q คือจุด (5, 3) และ (2, 0)
จะได้ (2x)2  bx  b  4x2  bx  b  0
2
 x  b  b  16b เขียนพำรำโบลำที่มีแกน x
8
เป็นแกนสมมำตร และผ่ำน
กรำฟตัดกัน 1 จุด (สัมผัสกัน) แสดงว่ำภำยในรู้ทเป็น 0 2 จุดนี้ได้ดังรูป
นั่นคือ b2  16b  0  b (b  16)  0
 b  0 หรือ 16 แต่ถ้ำ b  0 จะไม่เป็นพำรำโบลำ สมกำรคือ y2  4 c(x  2)
 b  16 แทนค่ำ (5, 3) จะได้ (3)2  4c(3) c  9  3
12 4
ดังนั้นจุดโฟกัสคือ (11
4
, 0)
และ a  11 4
 2.75
11. (ก) ผิด ในที่นี้แก้ระบบสมกำรเพื่อหำจุดตัดได้ยุ่งยำก
จึงใช้วิธีจัดรูปหำส่วนประกอบของวงกลมแทน ดังนี้
(x2  6x  9)  (y2  8y  16)  16  9  16
14. จัดรูปพำรำโบลำ; (y2  4x  4)   2x  7  4
 (x  3)2  (y  4)2  32
 (y  2)2   2x  3  4( 1)(x  3)
2 2
พำรำโบลำเปิดซ้ำย จุดยอด ( 3 , 2) c   1
2 2
ดังนั้นจุดโฟกัสอยู่ที่ (2, 2)
จะได้ระยะจำก (h, 0) ไปยังเส้นตรง เท่ำกับรัศ มี
สมมติศ ูนย์กลำงวงกลมคือ (h, k) นั่นคือ |0  23h 23|  h  2  3h  3  5(h  2)
4 3
จำกควำมชันเส้นสัมผัส  43 แต่ h  2 จึงถอดค่ำสัมบูรณ์ได้ 3h  3  5h  10
จะได้ควำมชันรัศ มีที่เชื่อม (h, k) กับ (1, 1) เป็น 43  h  6.5
นั่นคือ 43  kh  11  4h  3k  1 .....(1) ดังนั้น r  4.5 และ a  11
แต่รัศ มี (h, k) ไปยัง (2, 2) กับ (1, 1) ต้องยำวเท่ำกัน
จึงได้ (h  2)2  (k  2)2  (h  1)2  (k  1)2
 h2  4h  4  k2  4k  4  h2  2h  1  k2  2k  1 18. วงกลม (x  4)2  y2  ( 20)2

 6h  2k  6  k  3h  3 .....(2) และเส้นตรง 2y  x  6  0
มีกรำฟดังรูป
แก้ระบบสมกำรได้ผลเป็น (h, k)  (2, 3)
จึงได้รัศ มีเท่ำกับ 5 หน่วย และสมกำรวงกลมคือ
(x  2)2  (y  3)2  52  x2  y2  4x  6y  12  0 สมกำร L2 อยู่ในรูป 2y  x  C  0
 DE  F  24  (12)  36 (เพรำะ L2 ขนำนกับ L1 )
หำค่ำ C ได้จำกระยะ 20 หน่วย
|0  4  C|
20    4  C  10
22  12
15. สมมติจุด C มีพิกัดเป็น (a, 2  a)  C  6 หรือ 14

จุดนี้ห่ำงจำก A และ B เป็นระยะเท่ำกัน (คือรัศ มี)  สมกำร L2 คือ 2y  x  6  0


ดังนั้น (a  6)2  (2  a  1)2  (a  3)2  (2  a)2 หรือ 2y  x  14  0
 a2  12a  36  1  2a  a2  a2  6a  9  4  4a  a2
แต่ 2y  x  6  0 คือสมกำร L1 ดังนั้นสมกำร L2
 8a  24  a  3
ต้องเป็น 2y  x  14  0 จัดรูปได้ x  2y  14
แสดงว่ำจุด C คือ (3, 5)
 a2  b2  22  142  200
 พื้นที่  ABC  1 (BC)(A  BC)
2
 1 (5)(3)  7.5 ตารางหน่วย
2
19. จัดรูปสมกำร;
(x2  8x  16)  (y2  8y  16)  28  16  16
 (x  4)2  (y  4)2  4  22
16. mสัมผัส   1 ดังนั้น mรัศมี  3
3 เป็นวงกลมรัศ มี 2 หน่วย จุดศูนย์กลำงอยู่ที่ (4, 4)
y  (3)
จะได้ 3  3  2 y  3 3
และสมกำร x2  y2  1 เป็นวงกลมรัศ มี 1 หน่วย
(ก) ถูก รัศ มีวงกลม อยู่ที่จุดกำเนิด
 (3  2)2  ( 3  3  (3))2  12  ( 3)2  2
หน่วย ระยะทำงที่ต้องกำรหำคือ PQ
คิดได้จำกระยะระหว่ำงจุด
(ข) ผิด เนี่องจำก r  2 จึงทำให้วงกลมผ่ำนจุด ศูนย์กลำงวงกลมทั้งสอง
(0, 3) ซึ่งอยู่ท ำงซ้ำ ยของจุดศูนย์กลำงพอดี
บวกด้วยรัศ มีของแต่ละวง ดังรูป
ดังนั้นวงกลมย่อมไม่ผ่ำนจุด (0, 2)
 PQ  42  42  2  1  4 2  3  8.66 หน่วย

17. สมกำรเส้นตรงคือ
y  3 (x  1)  4y  3x  3  0 20. หำรัศ มีวงกลมได้จำก
4
สมมติศ ูนย์กลำงวงกลมอยู่ที่ (h, 0) ระยะระหว่ำง (1, 2) และ 2x  y  1  0
ดังรูป (ทำให้มีรัศ มี  h  2 ) นั่นคือ r  |2(1)22(2)
 12
 1|
 5  5 หน่วย
5
 สมกำรวงกลมคือ (x  1)2  (y  2)2  ( 5)2 23. วงรีแนวตั้ง มีจุดศูนย์กลำงเป็น C(4, 2)
2 2
 x  2x  1  y  4y  4  5 และระยะโฟกัส c  25  9  4
 x2  y2  2x  4y  0
แสดงว่ำจุดโฟกัสได้แก่ F(4,
1
6) และ F2(4, 2)

จะได้ a  2 , b  4 , c  0 และ abc  0 (เปรียบเทียบระยะทำงจำก F แต่ละจุด ไปยังจุดกำเนิด)


เส้นตรงที่ผ่ำนจุด F1 และ (1, 2)
จะมีสมกำรเป็น y  6421 (x  3)  4 (x  3)
3
21. จัดรูปสมกำรวงกลม;  4x  3y  12  0
2 2
(x  4x  4)  (y  2y  1)  15  4  1
 (x  2)2  (y  1)2  ( 20)2
ระยะจำก F2 ไปยังเส้นตรงนี้
วงกลมรัศ มี 20  2 5 หน่วย จุดศูนย์กลำง (2, 1) เท่ำกับ |4(4)  3(
2
2)  12| 10
2 
5
 2 หน่วย
4 3

24. วงกลมรัศ มี 2 หน่วย ดังนั้นวงรีมีค่ำ b 2


จำกรูป พบว่ำระยะระหว่ำง
และ c  2 และเป็นวงรีแนวตั้ง ดังรูป
(0, 2) กับ (2, 1) เท่ำ กับ
22  12  5 หน่วย
เป็นครึ่งหนึ่งของรัศ มีพอดี
ดังนั้น จะหำพิกัดของจุด A ได้โดย จะได้ a  22  22  2 2
บวกค่ำ x และค่ำ y ไปอีกเท่ำตัว
นั่นคือ A(0  2, 2  1)  A(2, 3) (ก) ผิด แกนเอกยำว 2a  4 2 หน่วย
(ข) ถูก สมกำรวงรี คือ y8  x42  1
2

 ระยะระหว่ำ ง A กับเส้นตรงที่กำหนด
แทนค่ำ (1, 6) ลงไป ได้ 68  41  1 ซึ่งเป็นจริง
เท่ำกับ |3(2) 24(3)2  3|  15
5
 3 หน่วย
แสดงว่ำ จุดนี้อยู่บนวงรี
3 4

22. (ก) ผิด 25. จุดโฟกัส (5, 0) แสดงว่ำเป็นวงรีแนวนอน


จำกรูป  คล้ำย OAB และ PAO; จุดศูนย์กลำงอยู่ที่ (0, 0) และค่ำ c  5
จะได้ OA
AB
 OP  2b 2  ar
OA a b
 r  ab
a2 b2 จะได้สมกำรวงรีเป็น xa22  by2  1
2

(ข) ถูก แทนค่ำ (3, 332


) จะได้ 92  332  1 .....(1)
a 4b
จำกรูป  คล้ำย OAB และ QPO; จำกค่ำ c  5 จะได้ a2  b2  25 .....(2)
จะได้ OB  OQ  2b 2  h/2
AB OP a b r แก้ระบบสมกำรได้ผลเป็น a2  36 และ b2  11
2ab2 y2
 h  2br
2
  สมกำรวงรีคือ x   1
a2 b2 a2 b2 36 11
2
ในทำนองเดียวกันจะได้ k  2 b2
2a
มีจุดยอดเป็น (6, 0) และจุดปลำยแกนโทเป็น (0,  11)
a b
และยังทรำบด้วยว่ำ r  (h)2  (k)2
2 2
 h  k  4r 2 2
จึงได้ผลคูณของค่ำ a, b เท่ำกับ
2 2
(6)(6)( 11)( 11)  396
จึงสรุปสมกำรวงกลม C ได้เป็น
(x  h)2  (y  k)2  r2
 x2  2xh  h2  y2  2yk  k2  r2  0
26. แก้ระบบสมกำรหำจุด A และ B ได้เป็น
 (x2  y2)  2(xh  yk)  (h2  k2  r2)  0
2 (20)  8x  12  0  x  4 จะได้ y  2 หรือ –2
 (x2  y2)  2( 2ab
2
x  2a by )  3( a2b2 )  0
a2  b2 a2  b2 a2  b2 แสดงว่ำ วงรีมีจุด A (4, 2) และ B(4, 2) เป็นจุดยอด
 (a  b )(x  y )  4ab (bx  ay)  3(a2b2)  0
2 2 2 2
นั่นคือจุดศูนย์กลำงอยู่ที่ (4, 0) และเป็นวงรีตั้ง
จุดโฟกัสของวงรีอยู่บนเส้นตรง y  1 แสดงว่ำจุดโฟกัส ซึ่งระยะทำงนี้จะมีค่ำน้อยที่สุดเมื่อ h  1
คือ (4, 1)  c  1  b  22  12  3 นั่นคือ จุดบนพำรำโบลำเป็น (1, 3)
y2 (x 4)2
สมกำรวงรีคือ   1 หมายเหตุ ข้อนี้คิดได้อีกวิธีโดยใช้ความชันเส้นโค้ ง
22 ( 3)2
2 2
 3y  4(x  8x  16)  12 (แคลคูลัส ม.6) โดยหาค่า x ที่ทาให้ความชันของ
 3y2  4x2  32x  52  0 พาราโบลา ณ จุดนั้นเท่ากับความชันของเส้นตรง
 p  q  r  s  4  0  32  52  8
3 3 3
(ข) ผิด จำกนิยำมจะสรุปได้ว่ำ (x, y) มีสมกำรเป็นวงรี
โดยมีจุด (0, 3) และ (0, 7) เป็นจุดโฟกัส
27. วงรีนอน มีสมกำรเป็น xa22  by2  1
2 และควำมยำวแกนเอก 2a  6
แสดงว่ำเป็นวงรีตั้ง, จุดศูนย์กลำง (0, 4) , c  2 , a  3
ในที่นี้ 2c  10  c  5  a2  b2  25 .....(1)
b  32  22  5
และควำมยำวเลตัสเรคตัม (y 4)2 2
 สมกำรวงรีคือ  x  1
2b2  11  6b2  11a .....(2) 9 5
a 3  5(y  4)2  9x2  45
แก้ระบบสมกำรได้ดังนี้  9x2  5y2  40y  35  0
a2  11a  25  6a2  11a  150
6
 (6a  25)(a  6)  0  a  6 และ b2  11
2 y2 30. PF1  PF2  4 3  2a เสมอ ดังนั้น a 2 3
 สมกำรวงรีคือ x   1
36 11 วงรีเป็นแบบนอน มีจุดศูนย์กลำงที่ (0, 0)
2 2
 11x  36y  396
จะมีสมกำรเป็น xa22  by2  1
2

จึงได้ A  B  C  11  36  396  433


แทนค่ำ a  2 3 และจุด (2, 2)
4  2
จะได้ 12  1 b  32

28. แกนเอกยำวเป็น 2 เท่ำของแกนโท b2


c  12  3  3
แสดงว่ำ 2a  2(2b)  a  2b
เนื่องจำก A  1 แสดงว่ำวงรีเป็นแบบนอน จุดโฟกัสของวงรีได้แก่ (3, 0) และ (3, 0)
1)2  (y 2)2  1
มีสมกำรเป็น (x(2b)
2
 PF1  (2  3)  ( 2  0)  2
1 2  3 หน่วย
2 b2
2 2 2
 (x  1)  4(y  2)  4b
พิจำรณำเส้นตรง ผ่ำนจุด (6, 0) และ (2, 2)
 x2  2x  1  4y2  16y  16  4b2  0
จึงมีสมกำรเป็น y   42 (x  6)  x  2 2y  6  0
 x2  4y2  2x  16y  (17  4b2)  0
|0  0  6|
เทียบสัมประสิทธิ์ได้ A  4 , B  2 , C  16 b  2  6  2 หน่วย
1  (2 2)2 3
และ 17  4b2  83  b  5  a  10 2
จะได้ PF1  b  3  2  1
ดังนั้น c  102  52  75
(ก) ผิด เพรำะ AB  8  C
(ข) ถูก เพรำะ ca  10 75  3 31. ไฮเพอร์โบลำมีค่ำ a  b  2 เปิดซ้ำยขวำ
2
(ค) ผิด เพรำะแกนโทยำว 2b  10 หน่วย ดังนัน้ วงรีมีค่ำ c  2 และเป็นวงรีแนวนอน ดังรูป
แต่วงกลมที่ให้มำมีรัศ มี 5 หน่วย
(ง) ถูก เพรำะจุด (1, 7) อยู่บนวงรี (เป็นจุดปลำยแกนโท
จุดหนึ่ง) ผลบวกระยะทำงจึงเป็น 2a  20 หน่วย
สมกำรวงรีคือ xa22  by2  1
2

แทนค่ำ ( 65 , 1) จะได้ 5a 36  1  1 .....(1)


2 b2
2
29. (ก) ถูก สมมติจุดบนพำรำโบลำเป็น (h, 2h  1) จำกค่ำ c  2 จะได้ a2  b2  4 .....(2)
จะได้ระยะไปยังเส้นตรง y  4x  5  0 แก้ระบบสมกำรได้ผลเป็น a2  9 และ b2  5
|2h2  1  4h  5| |2(h 1)2  4|
เท่ำกับ  2 y2
12  42 17  สมกำรวงรีคือ x   1
9 5
35. จัดรูปพำรำโบลำ; (x2  2x  1)  4y  13  1
(ก) ถูก แกนโทยำว 2b  2 5 หน่วย 2
 (x  1)  4(y  3)
(ข) ผิด แทนค่ำ (1, 10 3
) ลงในสมกำรวงรี เป็นพำรำโบลำหงำย จุดยอดอยู่ที่ (1, 3)
1 10
ได้ 9  9(5)  1  9  92  1 ซึ่งไม่จริง
1 ระยะโฟกัส c  1 ดังนั้นจุดโฟกัสคือ F(1, 4)
แสดงว่ำจุดนี้ไม่อยู่บนวงรี
จำกข้อมูลเกี่ยวกับไฮเพอร์โบลำที่กำหนดมำให้
จะได้ (ก) จุดศูนย์กลำงอยู่ที่ (1, 4)
(ข) b  82  4
32. จัดรูปไฮเพอร์โบลำ;
(ค) เป็นไฮเพอร์โบลำเปิดบนล่ำง, c  2 13
9(x2  4x  4)  16(y2  10y  25)  508  36  400
ดังนั้น a  52  16  6
 9(x  2)2  16(y  5)2  144
2 (y 5)2 (y  4)2 (x  1)2
 (x 22)   1 สร้ำงสมกำรได้เป็น   1
4 32 62 42
2 2
เป็นไฮเพอร์โบลำเปิดซ้ำยขวำ จุดศูนย์กลำง (2, 5)  4(y  8y  16)  9(x  2x  1)  144
c  42  32  5 จึงได้จุดโฟกัส (3, 5) และ (7, 5)  9x2  4y2  18x  32y  89  0
ดังนั้น A  B  C  D  9  4  18  32  19
วงกลมที่ต้องกำร มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงยำว 5 หน่วย
จึงมีพื้นที่เท่ำกับ (52)2  254 ตำรำงหน่วย
และค่ำของ d เท่ำกับ 25 4
 6.25 36. จัดรูปไฮเพอร์โบลำ;
4(x2)  5(y2  2y  1)  15  5
 4(x2)  5(y  1)2  20
(y  1)2
 x  1
2
33. สมกำรนี้เป็นไฮเพอร์โบลำเปิดซ้ำยขวำ 
4 5
จุดศูนย์กลำง (3, 4) และระยะโฟกัส c  16  9  5 ไฮเพอร์โบลำเปิดบนล่ำง จุดศูนย์กลำงอยู่ที่ (0, 1)
ดังนั้น จุดโฟกัสจุดหนึ่งคือ (8, 4) และมีค่ำ c  4  5  3
ดังนั้นจุดโฟกัสได้แก่ (0, 2) และ (0, 4)
เส้นกำกับของไฮเพอร์โบลำเส้นหนึ่ง
มีสมกำรเป็น y  k  ba (x  h)  y  4  3 (x  3)
4 จำกกำรเขียนรูปจะพบว่ำพำรำโบลำเปิดขวำ
 3x  4y  7  0 จะมีสมกำรเป็น (y  1)2  4 c(x  3)
รัศ มีวงกลมที่ต้องกำร คือระยะตั้งฉำกจำก F ไปยังเส้น แทนค่ำ (0, 2) ลงไปจะได้ 32  4 c(3)
 c  3 และไดเรคตริกซ์คือ x  3  3   15
กำกับ มีค่ำเท่ำกับ |3(8) 24(4)2  7|  15
5
 3 หน่วย 4 4 4
3 4  4x  15  0 ดังนั้น a  15

34. จัดรูปไฮเพอร์โบลำ; 37. จัดรูปไฮเพอร์โบลำ;


16(x2  4x  4)  9(y2  2y  1)  89  64  9
(x2  6x  9)  2(y2  4y  4)  15  9  8
 16(x  2)2  9(y  1)2  144
 (x  3)2  2(y  2)2  16
2 (y  1)2
 (x 22)  (y 2)2
2
3 42
 1  (x 3)   1
16 8
เป็นไฮเพอร์โบลำเปิดซ้ำยขวำ จุดศูนย์กลำง (2, 1) ไฮเพอร์โบลำเปิดซ้ำยขวำ จุดศูนย์กลำง (3, 2) , a  4
และระยะโฟกัส c  32  42  5 ดังนั้นจุดยอดอยู่ที่ (1, 2) และ (7, 2)
ต้องกำรวงรีแนวนอน จุดศูนย์กลำง (2, 1) และ a  5 (ก) ถูก จำกรูปจะพบว่ำ
โดยกำหนด ca  25 จึงได้ c  20  b  5 พำรำโบลำเป็นแบบหงำย
 2m  3n  2a2  3b2  50  15  65 เพรำะมี (3, 0) เป็นจุดยอด
(ข) ถูก หำสมกำรพำรำโบลำได้ดังนี้
(x  3)2  4c(y)  แทนค่ำ (1, 2) หรือ (7, 2)
จะได้ 16  4 c(2)  4c  8
 สมกำรพำรำโบลำคือ (x  3)2  8y 4(x2  4x  4)  9(y2  6y  9)  101  16  81
พบว่ำ (1, 0.5) ทำให้สมกำรเป็น จริง แสดงว่ำจุดนี้อยู่บน  4(x  2)2  9(y  3)2  36
พำรำโบลำ 2
 (x 22) 
(y  3)2
 1
3 22
จัดรูปวงรี;
4(x2  4x  4)  9(y2  6y  9)   61  16  81
38. จัดรูปไฮเพอร์โบลำ; x2  (y2  2y  1)  5  1
2 (y 1)2  4(x  2)2  9(y  3)2  36
 x2  (y  1)2  4  x   1
(y  3)2
4 4 2
 (x 22)   1
เป็นไฮเพอร์โบลำเปิดซ้ำยขวำ จุดศูนย์กลำง (0, 1) 3 22

a  b  2 ดังนั้นเส้นกำกับคือ (y  1)   2 x (ก) ถูก ไฮเพอร์โบลำเปิดซ้ำยขวำ และวงรีนอน


2
นั่นคือ y  x  1 และ y   x  1 มีจุดศูนย์กลำง (2, 3) เหมือนกัน มีค่ำ a  3 และ
b  2 เหมือนกัน จึงท ำให้จุดยอดอยู่ท ี่เดียวกัน และ
และมีแกนตำมขวำงเป็นเส้นตรง y  1
แกนสังยุคกับแกนโทยำวเท่ำกัน
หำจุดตัดระหว่ำงเส้นตรงและเส้นกำกับ (ข) ถูก วงรีมีจุดยอด (5, 3) และ (1, 3)
ได้เป็น 2x  2  x  1  x  3, y  4  (3, 4) ซึ่งพบว่ำจุด (5, 3) สอดคล้องสมกำรพำรำโบลำพอดี
และ 2x  2   x  1  x  1, y  0  (1, 0)
 จุดโฟกัสของพำรำโบลำอยู่ท ี่ (31 , 40)  (2, 2)
2 2
ไดเรคตริกซ์ของพำรำโบลำคือ y  1 41. สมมติว่ำ a 0 จะเขียนกรำฟได้ดังรูป
แสดงว่ำเป็นพำรำโบลำหงำย, จุดยอด (2, 23)
(ก) ผิด c  21
เนื่องจำก xy  a มีควำมสมมำตรของกรำฟ
(ข) ถูก หำสมกำรได้เป็น (x  2)2  4( 1)(y  3)
2 2 จึงทำให้จุดกึ่งกลำงระหว่ำงจุดตัด (จุด P) อยู่กึ่งกลำง
 x2  4x  4  2y  3  x2  4x  2y  7  0
ระหว่ำง (1, 0) กับ (0, 1) พอดีด้วย
 P มีพิกัดเป็น (21 ,  21)

39. จัดรูปสมกำรวงรี; และระยะระหว่ำง P กับเส้นตรงที่กำหนดให้ เท่ำกับ


|4(21)  3(21)  4| 15/2
4(x2  2x  1)  3(y2  4y  4)  32  4  12   3  1.5 หน่วย
2
4 3 2 5 2
 4(x  1)2  3(y  2)2  48
2 (y 2)2
 (x 1)   1
12 16
เป็นวงรีแนวตั้ง จุดศูนย์กลำง (1, 2) 42. A และ B มีกรำฟเป็นไฮเพอร์โบลำมุมฉำกเปิดบนล่ำง
ระยะโฟกัส c  16  12  2 ( y2  x2  1 ) และเปิดซ้ำยขวำ ( x2  y2  1 ) ตำมลำดับ
ดังนั้นจุดโฟกัสอยู่ที่ (1, 4) , (1, 0) และ S มีกรำฟเป็นวงกลมรัศ มี 3 หน่วย แรเงำพื้นที่ด้ำน
ในทั้งหมด ทำให้ S  A และ S  B มีกรำฟดังรูป
หำสมกำรไฮเพอร์โบลำที่มีจุดยอดที่ (1, 4) , (1, 0)
แสดงว่ำเป็นไฮเพอร์โบลำเปิดบนล่ำง จุดศูนย์กลำง (1, 2)
2
และมีค่ำ a  2 จะได้สมกำรเป็น (y 42)  (xb21)  1
2

2 ระยะที่สั้นที่สุดคือระยะระหว่ำงจุด P และ Q ในรูป


แทนค่ำ (0, 8  2) จะได้ ( 8)  (12)  1  b2  1
2
4 b ซึ่งจะหำพิกัดได้ดังนี้
(y 2)2
 สมกำรไฮเพอร์โบลำคือ  (x  1)2  1 จุด P; y2  x2  1 .....(1) x2  y2  9 .....(2)
4
2 2
 (y  4y  4)  4(x  2x  1)  4  x2  4 , y2  5  (x, y)  (2, 5)
2 2
 y  4x  4y  8x  4  0 ในทำนองเดียวกันจะได้จุด Q เป็น ( 5, 2)
จะได้ a  b  c  d   4  4  8  4  4 2 2
 ระยะ PQ  ( 5  2)  (2  5)  2( 5  2)
2

 2( 5  2)  10  8
 3.162  2.828  0.33
40. จัดรูปไฮเพอร์โบลำ;
43. y2  x2  1
มีกรำฟเป็นรูปวงกลมรัศ มี 1 หน่วย
y  x  a เป็นเส้นตรงควำมชัน 1 ตัดแกน Y ที่ (0, a)
จำกรูป คำนวณ a ได้จำกสำมเหลี่ยมหน้ำจั่วมุมฉำก
นั่นคือ a  12  12  2
 เส้นตรงที่ตัดวงกลม 2 จุด
จะต้องมีค่ำ a ในช่วง ( 2, 2)
y2  x2  1 มีกรำฟเป็นรูปไฮเพอร์โบลำมุมฉำก
เส้นกำกับมีควำมชัน เป็น 1 และ –1
y  bx เป็นเส้นตรงควำมชัน b ผ่ำ นจุด (0, 0)
 เส้นตรงที่ตัดไฮเพอร์โบลำ
จะต้องมีค่ำ b ในช่วง [1, 1]
ค่ำของ a21  a22  b21  b22  2  2  1  1  6

หมายเหตุ สามารถคิดอีกวิธีได้โดยแก้ร ะบบสมการ


หาจุดตัด นั่นคือ (x  a)2  1  x2  x  a  22a2
จะมีสองคาตอบเมื่อ 2  a2  0   2  a  2
และ (bx)2  1  x2  x   b211
จะไม่มีคาตอบเมื่อ b2  1 < 0  1 < b < 1
แนวข้อสอบจริง บทที่ 5 ฟังก์ชัน
1. กำหนดให้ A  {a, b} และ B  {1, 2, 3} ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O52]
(ก) ผลคูณคำร์ทีเซียน A  B  {(a, 1),(b, 1),(a, 2),(b, 3),(a, 3),(b, 2)}
(ข) ผลคูณคำร์ทีเซียน A  A  {(a, a),(a, b),(b, b)}

2. ให้หำจำนวนสมำชิกของควำมสัมพันธ์ r  {(a, b)  A  B | b  3a  2a } [O51]


เมื่อ A  {2, 3, 4, ..., 7} และ B  {4, 5, 6, ..., 14}

3. ให้หำจำนวนสมำชิกของควำมสัมพันธ์ r  {(m, n)  A  A | m > n} [O50]


เมื่อ A  {1, 3, 5, 7}

4. กำหนดให้ A  {5, 6, 7} และ B  {6, 7, 9} [O57]


ถ้ำ r  {(a, b)  A B | a > b  2} แล้ว r มีจำนวนสมำชิกกี่ตัว

5. กำหนดให้ A  [4, 1]  [2, 5] และ r  {(x,y)  A  A | y  x  3 } [P52A]


ผลบวกของสมำชิกทั้งหมดใน Dr และ Rr เท่ำกับเท่ำใด

6. ถ้ำ r1  {(1, 2),(0, 1),(1, 2),(2, 3),(3, 4)} และ r2  {(x, y) | y  1  x } [O49]
แล้ว n(r1  r2) เท่ำกับเท่ำใด

7. กำหนดให้ N  {1, 2, 3, 4, ..., n} และ r  {(x,y)  N  N | 1  x  y < 5 } [P55B]


ให้หำค่ำของ n ที่ทำให้เซต r มีสมำชิก 354 ตัว

8. ควำมสัมพันธ์ที่กำหนดให้ในแต่ละข้อต่อไปนี้เป็นฟังก์ชัน ถูกหรือผิด [O53]


(ก) {(1, 2),(2, 3),(3, 4),(2, 1)} (ข) {(1, 2),(2, 3),(3, 4),(4, 4)}
(ค) {(1,2),(1, 1),(1, 4),(1, 3)}

9. ควำมสัมพันธ์ที่กำหนดให้ในแต่ละข้อต่อไปนีเ้ ป็นฟังก์ชนั ถูกหรือผิด [O54]


(ก) {(0, 1),(0, 2),(1, 0),(2, 3)} (ข) {(0, 2),(2, 1),(1, 3),(3, 2)}
(ค) {(0, 3),(1, 3),(2, 3),(3, 3)}
Y
10. ควำมสัมพันธ์ r ที่แสดงด้วยกรำฟดังรูป [O52]
เป็นฟังก์ชันหรือไม่ 3
2
1 t
a X
–2 –1 0 1 2 3
–1 n
–2 +
c t
o a
s n
+ +
c
11. กรำฟในแต่ละข้อต่อไปนี้สำมำรถสรุปได้วำ่ “y เป็นฟังก์ชันของ x” ถูกหรือผิด [O57]
(ก) Y (ข) Y

t0 X t0 X
a a
(ค) nY t (ง) nY
t
+t +t
ac a a
ca
n n
ton0 X ton 0 X
+as as+
+ +
n+c n+c
t t
+to +o t
12. กำหนดให้ Acsa  {7, 77}ac c a
ac [O52]
ควำมสัมพันธ์oภn+ ำยใน A แต่ no ละแบบต่อไปนี้เป็นฟังก์ชัน ถูกหรือผิsด no
o+ n
(ก) เท่ำs+กับ s (ข) ไม่เท่ำsกับ+ s
(ค) หำรลงตั + +
+c ว (ง) หำรไม่+ลงตั c ว
+ +
o o c
c
13. กำหนดควำมสั s ม พั น ธ์ r  {(a, b)  A  B | a ไปหาร b ลงตั ว } s [O50]
o o
ถ้ำ A  {2, 5,+7} แล้ว เซต B ในแต่ละข้อต่อไปนี้ทำให้ r เป็นฟัง+ก์ชัน ถูกหรื อผิด
s s
(ก) {0, 5, 14} (ข) {7, 10, 14}
(ค) {4, 5, 10}
+
(ง) {4, 7, 25}
+

14. ถ้ำ f  {(1, 2),(2, 5),(3, 4),(4, 1),(5, 0)} แล้ว f(5)  f(1) มีค่ำเท่ำใด [O49]
Y
15. กำหนดกรำฟของฟังก์ชัน f เป็นดังรูป [O53]
ค่ำของ 3 f(3)  2 f(2) f(0) เท่ำกับเท่ำใด 2

O X
–2
16. ถ้ำ f(x  2)  2x  1 แล้ว ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O54]
2 2
(ก) f(8)  14 (ข) f(x )  2x  1

17. กำหนดให้ A  {x, y, z} และ B  {1, 2} [O49]


ฟังก์ชันในแต่ละข้อต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันจำก B ไป A ถูกหรือผิด
(ก) {(x, 2),(y, 1),(z, 2)} (ข) {(2, y),(1, z),(1, x)}
(ค) {(y, 2),(x, 1)} (ง) {(2, z),(1, y)}
18. แผนภำพของควำมสัมพันธ์ในแต่ละข้อต่อไปนี้ เป็นฟังก์ชันที่มี [O56]
{1, 3, 5, 7, 9} เป็น โดเมน และ {a, b, c, d} เป็น เรนจ์ ถูกหรือ ผิด
(ก) a
(ข) a
1 1
3 b 3 b
5 5
7 c 7 c
9 d 9 d
(ค) a
(ง) a
1 1
3 b 3 b
5 5
7 c 7 c
9 d 9 d

19. ถ้ำ A และ B เป็นเซตที่มีสมำชิก 5 และ 6 ตัว ตำมลำดับ และ n(A  B)  8 [P56]
แล้ว ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) ควำมสัมพันธ์ภำยใน A  B มี 64 แบบ
(ข) ควำมสัมพันธ์จำก A  B ไป B  A มี 64 แบบ

20. ให้ A  {2, 3, 5, 7} และ B  {1, 2, 3, ..., 11} [P53A]


ถ้ำ f: A  B เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งที่สอดคล้องเงือ่ นไข
“ห.ร.ม. ของ x กับ f(x) ไม่เท่ำกับ 1 ทุกๆ ค่ำ x  Df ”
แล้ว จำนวนฟังก์ชัน f ที่เป็นไปได้เท่ำกับกี่แบบ

21. ถ้ำ A  {a, b, c, d}และ B  {0, 1, 2} [P52A]


แล้ว S  { f | f: A  B เป็น ฟังก์ชัน ทั่ว ถึง } มีจำนวนสมำชิกเท่ำกับเท่ำใด

22. ให้หำค่ำของ a ที่ทำให้กรำฟของฟังก์ชัน y  a(3x) ผ่ำนจุด (2, 18) [O52]

23. กำหนดกรำฟของฟังก์ชัน y  2x2  3x  5 ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O51]


(ก) ในช่วง x  [2, 1) กรำฟอยู่เหนือแกน X ตลอดทั้งช่วง
(ข) ในช่วง x  (1, 2] กรำฟอยู่ใต้แกน X ตลอดทั้งช่วง

24. พำรำโบลำรูปหนึ่งมีเส้นสมมำตรขนำนกับแกน Y และมีจุดต่ำสุดอยู่ที่ (a, b) [O50]


ถ้ำพำรำโบลำรูปนี้ตัดแกน X ที่จุด (1, 0) และ (7, 0) แล้ว a มีค่ำเท่ำใด

25. กำหนดกรำฟของฟังก์ชัน f(x)  2x2  4x  7 ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O54]


(ก) มีแกนสมมำตรเป็นเส้นตรง x  1
(ข) มีจุดวกกลับอยู่ในจตุภำคที่สี่

26. กำหนดกรำฟของฟังก์ชัน f(x)  x2  4x  9 ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O49]


(ก) มีจุดวกกลับ 1 จุด คือ (2, 13)
(ข) มีค่ำต่ำสุดเท่ำกับ 5
27. ถ้ำ P เป็นจุดวกกลับของพำรำโบลำ y  x2  8x  13 [O49]
แล้ว ระยะทำงระหว่ำงจุด P และจุดกำเนิด เท่ำกับเท่ำใด

28. กำหนดให้ f(x)  x2  x  6 ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O53]


(ก) f(x) > 0 ก็ต่อเมื่อ 2 < x < 3
(ข) จุดวกกลับของกรำฟของฟังก์ชนั f อยู่ในจตุภำคที่สอง
(ค) ฟังก์ชัน f มีค่ำสูงสุดไม่เกิน 6

29. กำหนดให้ f(x)  (x  5)2  9 ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O57]


(ก) ถ้ำ x  (2, 7] แล้ว f(x)  0
(ข) ถ้ำกรำฟของ f ตัดแกน Y ที่จุด (0, a) และค่ำต่ำสุดของ f คือ b แล้ว ab  7

30. ถ้ำกรำฟของ y  x2  4x  12 ตัดแกน x ที่จุด A, B [O50]


และมี C เป็นจุดวกกลับ แล้ว รูปสำมเหลี่ยม ABC มีพื้นที่เท่ำใด

31. กำหนดให้ f(x)  x2  2x  8 ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O51]


(ก) f(x) > 11 ทุกจำนวนจริง x (ข) f(2  5)  0
(ค) f(1  5)  f(1  5) (ง) f(1  5)  f(1  5)

32. ถ้ำเส้นตรง x  1 เป็นเส้นสมมำตรของกรำฟ f(x)  x2  (4  k) x  k2 [O51]


เมื่อ k เป็นจำนวนจริง แล้ว f มีค่ำสูงสุดเท่ำกับเท่ำใด

33. ถ้ำ y2  x  3 แล้ว 4xy2 มีค่ำได้น้อยที่สุดเท่ำกับเท่ำใด [O56]


Y
x x
34. กรำฟของฟังก์ชัน y1  a และ y2  b เป็นดังรูป y2 y1 [O51]
ให้เรียงลำดับ 0, 1, a, b จำกค่ำน้อยไปมำก
1
O x
35. ถ้ำฟังก์ชัน f(x) มีกรำฟเป็นดังรูป Y [O49]
แล้ว ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก)  f(1)  f(1) 2
(ข) f(x)  x  1 1
X
-2 -1 O 1 2
36. กรำฟของฟังก์ชัน แต่ละข้อต่อไปนี้ ตัดแกน X มำกกว่ำ 1 จุด ถูกหรือผิด [O50]
(ก) y  2  x2 (ข) y  x  3
(ค) y  x  4 (ง) y  (1/5)x
37. กำหนดควำมสัมพันธ์ r มีกรำฟเป็นบริเวณที่แรเงำดังรูป Y [O54]
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด 4
(ก) r  {(x, y) | y > x } 3 y=x
2
(ข) r  {(x, y) | y > x } 1
X
-4 -3 -2 -1-1 1 2 3 4
-2
-3 y = –x
-4
38. ถ้ำ A  {(x, y) | x  2 < y และ y < 3 } [O57]
แล้ว พื้นที่ของบริเวณ A เท่ำกับกี่ตำรำงหน่วย

39. บริเวณที่แรเงำในแต่ละข้อต่อไปนี้ เป็นกรำฟของ [O56]


ควำมสัมพันธ์ {(x, y) | x > y2 และ 0 < y < 2 } ถูกหรือผิด
(ก) Y (ข) Y (ค) Y
2 2 2
t0 X t0 X t0 X
ta at at
an na na
t t+n t t
tn+
40. กำหนดควำมสัมพันธ์ r aมีกรำฟเป็นบริเวณที่แรเงำดังรูปa Y +tn y = x2 [O57]
a
ข้อควำมต่อไปนี ca ้ถูกหรือผิด ca ca
n n
o+n y = 1
n+o n
n
(ก) r + {(x, y) | x2  y  0 และ y < o+1}
s s+ s+
(ข) r c+c {(x, y) | x+2  y  0 และ y > +1}
c
+
0
t +c X +
(ค) r oo {(x, y) | x2  y  0 และ y < o1}
c c a o
c
ss s s
41. กำหนดให้ r + {(x, y) |oy2  x และ 1 < y+ < 1 } ข้อoควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
n o [P52B]
+
(ก) กรำฟของ
+
s r 1 ตัดกันมำกกว่ำ 1 จุด s
r และ + t + + t s
(ข) r  {(x, y) | y  x และ 0 < x < 1 }
1

+ + ac a+
42. ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
no n [P53C]
(ก) {(x,y)  R  R | x  y  2 } เป็นฟังก์ชัน
(ข) {(x,y)  R  R | x  y  2 และ xy > 0 } เป็นฟังก์ช+ัน s
2 2

(ค) {(x,y)  R  R | x  2  y และ xy  0 } เป็นฟังก์ชัน


2

c+ +
43. ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด o [P54A]
(ก) {(x, y)  R  R | x4
 9y  2
5  4x  6y 2
} เป็นฟังก์ชัน c
(ข) {(x, y)  R  R | x  6y  3  4x  9y } เป็นฟังก์ชัน s
4 2 2

+ o
44. ให้หำผลบวกของกำลังสองจำนวนทั้งหมด s [O52]
x
ที่ไม่อยู่ในโดเมนของฟังก์ชัน y  x  4x  3x  1
2 3 x 1 2

+
45. กำหนดให้ f(x)  4  2x และ g(x)  1  x  3 [O53]
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) Df  Rg  R (ข) Dg  Rf  R

46. กำหนดให้ f(x)  5  9  x2 ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O54]


(ก) Df  { x | x < 3 } (ข) Rf  { x | 2 < x < 5 }

47. กำหนดให้ f(x)  1 ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O56]


|x|  2
(ก) Df  R  {2} (ข) Rf  R  ( 1 , 0]
2

48. ให้ r  {(x,y)  A  A | y2  3  3x2 } โดยที่ A  [ 3, 3] [P52C]


ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) Dr  Rr
(ข) ช่วงเปิด (1.5, 1.6) เป็นสับเซตของ Rr  Dr

49. กำหนดให้ r  {(x,y)  R  R | y  5 } [P54B]


3  |4x|
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) Dr  (1, 7) (ข) r 1 เป็นฟังก์ชัน

50. กำหนดให้ r  {(x, y)  R  R | x y  x  y  1  0} [P55A]


ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) Dr  R  {1} (ข) r 1 เป็นฟังก์ชัน

51. ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P56]


(ก) ถ้ำ r  {(x,y)  R  R | x  2  9  y  5 } แล้ว Dr  Rr  [2, 9]
(ข) ถ้ำ r  {(x, y)  R  R | x2  2y2  4 และ xy  0 } แล้ว r เป็นฟังก์ชัน

f(x)  3x  6x  5
2
52. ให้ f เป็นฟังก์ชันภำยในเซตจำนวนจริง โดยที่ x1
[P57A]
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) โดเมนของ f คือ R  {1} (ข) เรนจ์ของ f เป็นสับเซตของ R  (5, 5)

53. กำหนดให้ f(x)  1  x2 เมื่อ x  [1, 0]  [1, ) [P52A]


x
และ g(x)  3 เมื่อ x  ( , 0] ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) Rf  Rg (ข) f และ g เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง

54. สวนสนุกแห่งหนึง่ คิดค่ำบริกำรแยกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่หนึ่งเป็นค่ำผ่ำนประตู [O56]


ซึ่งต้องจ่ำยเป็นจำนวนเท่ำกันทุกคน และส่วนที่สองเป็นค่ำใช้บริกำรซึ่งคิดตำมจำนวนครัง้
ที่เล่นเครื่องเล่น (รำคำเท่ำกันทุกเครื่อง) โดยมีข้อมูลจำกผู้ที่เคยมำใช้บริกำรดังนี้
ถ้ำเล่นเครื่องเล่น 9 ครั้ง จะต้องจ่ำยค่ำบริกำร 740 บำท
และถ้ำเล่นเครื่องเล่น 13 ครั้ง จะต้องจ่ำยค่ำบริกำร 980 บำท
แสดงว่ำสวนสนุกแห่งนี้คิดค่ำผ่ำนประตูคนละกี่บำท

55. จำกกำรทดลองขำยขนม พบว่ำถ้ำคิดรำคำขนมชิน้ ละ 25 บำท จะขำยได้วันละ 80 ชิ้น [O56]


แต่ถ้ำขึ้นรำคำเป็น 26 บำท จะขำยได้วันละ 77 ชิ้น และถ้ำขึ้นรำคำเป็น 27 บำท จะขำย
ได้วันละ 74 ชิ้น เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ กล่ำวคือจำนวนขนมที่ขำยได้ต่อวันจะลดลง 3 ชิ้น
ทุกๆ 1 บำทที่เพิ่มขึ้นของรำคำขนม
ถ้ำ x แทนรำคำขนมส่วนที่เพิ่มขึ้นต่อชิน้ (บำท) และ y แทนรำยได้จำกกำรขำยขนมต่อวัน
(บำท) มีสมกำรแสดงควำมสัมพันธ์เป็น y  ax2  bx  c
แล้ว 200 a  100b  c มีค่ำเท่ำกับเท่ำใด

56. กำหนดให้ f เป็นฟังก์ชันพหุนำมดีกรีสองที่มีสมั ประสิทธิ์นำเท่ำกับ 1 [P57A]


ถ้ำ f(1)  5 และ (f f)(0)  35 แล้ว ค่ำของ (f f)(2) เท่ำกับเท่ำใด

57. กำหนดให้ f(x)  ax2  4x  (a  b) และ g(x)  x3  ax2  5x  b [P57A]


ถ้ำ g(1)  0 และ x  2 หำร g(x) มีเศษเหลือเท่ำกับ 4
แล้ว ค่ำของ (f g)(3) เท่ำกับเท่ำใด

58. ให้ f เป็นฟังก์ชันพหุนำมดีกรีสอง ซึ่งสอดคล้องเงื่อนไข [P55B]


f(x  2)  f(x)  2x  4 ทุกๆ จำนวนจริง x
ถ้ำ f(0)  3 แล้ว ค่ำของ f(3) เท่ำกับเท่ำใด

  1 , |x|  1

59. ให้ f เป็นฟังก์ชันจำก R ไป R โดยที่ f(x)   1 x [P56]
 x  1, |x| > 1

ค่ำสัมบูรณ์ของ f(f(f( 1))) เท่ำกับเท่ำใด
3

60. ให้ f และ g เป็นฟังก์ชันจำก R ไป R [P53A]


โดยที่ f(x)  x  2  g(x) และ g(x)  xx225
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) จำนวนจริงบวก x ที่ทำให้ f(x)  0 มีหนึ่งจำนวน
(ข) Df  [2, )

61. กำหนดให้ f(x)  x2  2x  5 [P52B]


ถ้ำ a และ b เป็นจำนวนจริงซึ่งไม่เท่ำกับ 0 และ f(a  b)  f(a  b)
แล้ว 5a มีค่ำเท่ำกับเท่ำใด

62. กำหนดให้ f(x)  x2 และ g(x)  x  2 [P52B]


ถ้ำ a เป็นจำนวนจริงซึ่ง (f g)(a)  (g f)(a) แล้ว ค่ำของ (f  g)(2a  1) เท่ำกับเท่ำใด

63. ให้ f(x)  mx  c เป็นฟังก์ชันจำก R ไป R [P53B]


โดย m และ c เป็นจำนวนจริงที่ทำให้ f(f(f(x)))  27x  28
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) mc  1 (ข) f เป็นฟังก์ชันลดใน R

64. กำหนดให้ f(x)  3  2x [P54B]


ผลบวกของคำตอบทั้งหมดของสมกำร (f f)(x)  x มีค่ำเท่ำกับเท่ำใด

 x  1 , x  1

65. ให้ f เป็นฟังก์ชันจำก R ไป R โดยที่f(x)   x  1 [P54B]
 1, x  1

ถ้ำ a เป็นจำนวนจริงที่ทำให้ (f f)(a)  1  2
1 2
แล้ว ให้หำค่ำประมำณของ a เป็นทศนิยมสองตำแหน่ง

66. ให้ f เป็นฟังก์ชันในเซตจำนวนจริง โดยที่ f(11  xx)  x สำหรับจำนวนจริง x  1 [P54A]


ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) (f f)(x)  f(11  xx) สำหรับจำนวนจริง x  1, 1
(ข) f(x1)  f( x)  f(x) สำหรับจำนวนจริง x  0, 1, 1

67. ถ้ำ f(x)  x x 1 และ g(x)  3 x  1 [P52C]


แล้ว ค่ำสัมบูรณ์ของ 3(f 1  g1)(2) เท่ำกับเท่ำใด
 x , x > 0
68. กำหนดให้ f(x)  2x  3 และ g1(x)   [P52A]
  x , x  0
ค่ำของ f 1(g(3)  g(2)) เท่ำกับเท่ำใด

69. นิยำมให้ (f  g)(x)  (f g)(x)  (g f)(x) สำหรับทุกฟังก์ชัน f, g [P53A]


ถ้ำ f(x)  3x  2 และ g(x)  2  x3 แล้ว ค่ำของ (f  g)(1) เท่ำกับเท่ำใด

70. ถ้ำ g(x)  2


x และ (gf )(x)  3 แล้ว ค่ำของ (g f 1)(6)  (f g)(3) เท่ำกับเท่ำใด [P52C]

71. ให้ f และ g เป็นฟังก์ชันจำก R ไป R [P53C]


โดยที่ f(x)  2x  5 และ g(x)  3x  1
ถ้ำ (f 1 g1)(a)  2 แล้ว (f g)(a2) มีค่ำเท่ำกับเท่ำใด

72. ให้ f และ g เป็นฟังก์ชันของจำนวนจริง โดยที่ f(x)  x  2 [P53B]


x4
และ (f1 g)(x)  8x4x
5
ถ้ำ g(a)  3 แล้ว ค่ำของ a เท่ำกับเท่ำใด

73. ให้ f และ g เป็นฟังก์ชันจำก R ไป R โดยที่ [P56]


 x2  2 ,
 x>0
f( 2  x)  3  2x2 และ g(x)   2

 1  x , x0

ค่ำของ (f g1)(8) เท่ำกับเท่ำใด


74. ให้ f และ g เป็นฟังก์ชันในเซตจำนวนจริง โดยที่ f(x)  3x2 4 เมื่อ x  4
3
[P54A]
และ (g f)(x)  x ทุกๆ จำนวนจริง x ค่ำของ g(51) เท่ำกับเท่ำใด

75. ให้ f และ g เป็นฟังก์ชันจำก R ไป R [P55A]


โดยที่ g(x)  3x  2 และ (f g)(x)  27x3  45x2  18x
ค่ำของ (g f)(1) มีค่ำเท่ำกับเท่ำใด

76. ให้ f และ g เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึง่ จำก R ไป R [P57B]


โดยที่ (f g)(x)  2x  3 และ g1(x)  3x  1 สำหรับทุกจำนวนจริง x
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) 2(f1 g)(3x  1)  g(x)  23 ทุกจำนวนจริง x
(ข) (g1 (f1 g))(x)  f1(x)  23 ทุกจำนวนจริง x

77. ให้ f, g, h เป็นฟังก์ชันในเซตจำนวนจริง โดยที่ [P54B]


(g f)(x)  2x  7 , g(x  1)  x  4 และ h(2x  3)  6 f(x)  17
2
ค่ำของ h(3) เท่ำกับเท่ำใด

78. ให้ f และ g เป็นฟังก์ชันจำก R ไป R โดยที่ [P55B]


f 1(2x  3)  x  5 และ g(x  4)  x3  2x2  x
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) (f  g)(1)  55
(ข) มีจำนวนเต็ม a  5 ที่ทำให้ (f g)(a)  9  0

79. ให้ f และ g เป็นฟังก์ชันจำก R ไป R โดยที่ [P57B]


f(x)  x2(x  3)  3x และ g(x)  ax  1 เมื่อ a เป็นจำนวนจริง
ถ้ำ (g1 f 1)(1)  1 แล้ว ค่ำของ (f g)(a) เท่ำกับเท่ำใด

80. ให้ f เป็นฟังก์ชันจำก R ไป R ซึ่งสอดคล้องเงื่อนไข (f f)(x)  x (5  f(x))  3 [P56]


ค่ำของ f(5) เท่ำกับเท่ำใด

81. ให้ f และ g เป็นฟังก์ชันจำก R ไป R โดยที่ f(x)  x2  x  3 [P55A]


ถ้ำ f และ g สอดคล้องกับสมกำร
(g f)(x)  2(g f)(x  1)  9x2  3x  21
และ 2(g f)(x)  (g f)(x  1)  9x2  3x  21
แล้ว ค่ำของ g(4) เท่ำกับเท่ำใด

82. ให้ f1 , f2 , f3 , f4 เป็นฟังก์ชันจำก R ไป R [P53B]


โดยที่ f1(x)  x  3 , f2(x)  x  4 , f3(x)  x2  9 และ f4(x)  x2  16
ถ้ำ g และ h เป็นฟังก์ชันที่ทำให้
(f1 g)(x)  (f2 h)(x)  4 และ (f3 g)(x)  (f4 h)(x)  6x  10
แล้ว ค่ำของ (h g)(5) เท่ำกับเท่ำใด
83. ให้ f เป็นฟังก์ชันจำก R ไป R ซึ่งสอดคล้องเงื่อนไข 2 f(2  x)  x f(x)  x2 [P54A]
30
ค่ำของ  (f(x)  x) เท่ำกับเท่ำใด
x  11

84. กำหนดให้ f(x)  x1 [P53A]


1 x1
f2(x)  (f1 f1)(x) f3(x)  (f1 f2)(x) ... fn(x)  (f1 fn  1)(x) ทุกจำนวนนับ n  1
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(f2557  f2014)(x)  x2  1
2
(ก) f2557(2)  2 (ข) x x

85. ให้ f และ g เป็นฟังก์ชันจำก R ไป R ซึ่งสอดคล้องเงื่อนไข [P57B]


f(x  g(y))  3x  y  25 สำหรับทุกจำนวนจริง x และ y
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) (g f)(x)  3x  25 ทุกจำนวนจริง x (ข) g(32  f(5))  52

86. ให้ f เป็นฟังก์ชันจำก N ไป N โดยมีสมบัติว่ำ [P54B]


f(x  y)  f(x)  2xy  f(y) ทุกจำนวนนับ x, y
ถ้ำ f(1)  3 แล้ว ค่ำของ f(11) เท่ำกับเท่ำใด

87. ให้ f เป็นฟังก์ชันจำก N ไป N โดยมีสมบัติว่ำ [P54A]


f(2x)  3 f(x)  4 และ f(x  2)  f(x)  2x  8
ถ้ำ f(1)  2 แล้ว ค่ำของ f(8)  f(9) เท่ำกับเท่ำใด

88. ถ้ำ f: N  N เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งและทั่วถึง [P52B]


ซึ่งสอดคล้องสมกำร f(1)  f(2)   f(n)  f(1) f(2) f(n)
เมื่อ N แทนเซตของจำนวนนับ แล้ว ค่ำของ f(n) ที่มำกที่สุดเท่ำกับเท่ำใด

89. กำหนดให้ r  {(x, y)  I  I | y  3xx2217 } เมื่อ I แทนเซตของจำนวนเต็ม [P55B]


จำนวนสมำชิกของเซต Dr  Rr เท่ำกับเท่ำใด

90. กำหนดให้ f(a, b)  f(a  1, b)  f(a  1, b  1) ทุกๆ จำนวนนับ a และ b [P54B]


ถ้ำ f(1, 1)  8 , f(1, 3)  15 , f(1, 4)  26 และ f(4, 4)  109
แล้ว f(1, 2) มีค่ำเท่ำกับเท่ำใด

91. ให้ f(x, y) เป็นฟังก์ชันในเซตของจำนวนเต็มบวกหรือศูนย์ [P56]


 y 2 , x 0

โดยที่f(x, y)   f(x 1, 1) , x  0, y  0
 f(x 1, f(x, y 1)), x  0, y  0

ค่ำของ f(1, 3)  f(2, 1) เท่ำกับเท่ำใด
เฉลยวิธีคิด บทที่ 5  สมำชิกของ r ไปจบที่ชุด (92, 87) , (92, 88) ,
(92, 89) , (92, 90)นั่นคือ n  92
1. (ก) ถูก สมำชิกของเซต A  B มี 6 ตัว
ได้แก่ (a, 1) (a, 2) (a, 3) (b, 1) (b, 2) และ (b, 3)
(ข) ผิด สมำชิกของเซต A  A มี 4 ตัว 8. ควำมสัมพันธ์ที่จะเป็นฟังก์ชันได้นั้น ต้องมีสมบัติว่ำ
ได้แก่ (a, a) (a, b) (b, a) และ (b, b) “x แต่ละตัว ห้ำมจับคู่กับ y หลำยแบบ”
(ก) ผิด ไม่เป็นฟังก์ชัน เพรำะมีทั้ง (2, 3) และ (2, 1)
(ข) ถูก เพรำะไม่มี x ใดที่คู่กับ y หลำยแบบ
2. จำกเงื่อนไข b  3a  2a  (2.5)a (ค) ผิด ไม่เป็นฟังก์ชัน เพรำะมี (1,2) (1,1) (1,4) (1,3)
โดยที่ a เป็นสมำชิกของ A และ b เป็นสมำชิกของ B
จะได้ r  {(2, 5),(4, 10)} มีสมำชิกทั้งหมด 2 ตัว
9. (ก) ผิด ไม่เป็นฟังก์ชัน เพรำะมี (0, 1) (0, 2)
(ข) ถูก เพรำะไม่มี x ใดที่คู่กับ y หลำยแบบ
3. จำกเงื่อนไข m > n (ค) ถูก เพรำะไม่มี x ใดที่คู่กับ y หลำยแบบ
โดยที่ m และ n ต้องเป็นสมำชิกของ A
จะได้ r  {(1, 1),(3, 1),(3, 3),(5, 1),(5, 3),(5, 5),
(7, 1),(7, 3),(7, 5),(7, 7)} 10. ภำยใน r มีทั้ง (2,–1) และ (2, 2) นั่นคือ มีค่ำ x ที่
มีสมำชิกทั้งหมด 10 ตัว จับคู่กับ y หลำยแบบ ดังนั้น r ไม่เป็นฟังก์ชัน

4. จำกเงื่อนไข a > b  2 11. พิจำรณำจำกกรำฟได้โดยลำกเส้นตรงในแนวตั้ง ต้อง


โดยที่ a เป็นสมำชิกของ A และ b เป็นสมำชิกของ B ตัดกรำฟไม่เกิน 1 จุดเสมอ ดังนั้น (ข) ถูก
จะได้ r  {(5, 6),(5, 7),(6, 6),(6, 7),(7, 6),(7, 7),(7, 9)} ส่วนกรำฟในข้ออื่นพบว่ำมี x บำงค่ำที่คู่กับ y ได้หลำยค่ำ
มีสมำชิกทั้งหมด 7 ตัว (สำมำรถลำกเส้นตรงแนวตั้งให้ตัดกรำฟเกิน 1 จุดได้)
ดังนั้น (ก) (ค) (ง) ผิด
5. r  {(5, 2),(2, 1),(1, 4)}
จึงได้ Dr  {5, 2, 1} และ Rr  {2, 1, 4} 12. คู่อันดับที่เป็นสมำชิกของ “ควำมสัมพันธ์ภำยใน A”
ผลบวกสมำชิกทั้งหมดเท่ำกับ 5  2  1  2  1  4  11 จะต้องมีสมำชิกตัวหน้ำและตัวหลัง เป็น 7 หรือ 77
เท่ำนั้น
6. สมำชิกของ r1 ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขของ r2 ด้วย (ก) ถูก “y เท่ำกับ x” จะได้ r  {(7, 7),(77, 77)}
(คือสมกำร y  1  x ) ได้แก่ (0, 1) และ (2, 3) (ข) ถูก “y ไม่เท่ำกับ x” จะได้ r  {(7, 77),(77, 7)}
ดังนั้น r1  r2  {(0, 1),(2, 3)} (ค) ผิด “y ไปหำร x ลงตัว”
มีสมำชิกทั้งหมด 2 ตัว คำตอบคือ n(r1  r2)  2 จะได้ r  {(7, 7),(77, 7),(77, 77)}
ไม่เป็นฟังก์ชันเพรำะ 7 ไปหำรลงตัวทั้ง 7 และ 77
7. ลองเขียนตัวอย่ำงสมำชิกของ r (ง) ถูก “y ไปหำร x ไม่ลงตัว” จะได้ r  {(7, 77)}
ได้แก่ (3, 1),(4, 1),(4, 2),(5, 1),(5, 2),(5, 3),(6, 1),(6, 2),
(6, 3),(6, 4),(7, 2),(7, 3),(7, 4),(7, 5),(8, 3), ...
จะพบว่ำ สมำชิกที่มีตัวหน้ำเป็น 6, 7, 8, 9, ... จะมีชุด 13. (ก) ผิด r  {(2, 0),(5, 0),(5, 5),(7, 0),(7, 14)}
ละ 4 ตัวเสมอ (ข) ผิด r  {(2, 10),(2, 14),(5, 10),(7, 7),(7, 14)}
(ค) ผิด r  {(2, 4),(2, 10),(5, 5),(5, 10)}
ต้องกำรจำนวนสมำชิกเป็น 354 ตัว (ง) ถูก r  {(2, 4),(5, 25),(7, 7)}
จะได้ 1  2  3  (4k)  354  k  87
14. สัญลักษณ์ f(x) หมำยถึงค่ำของ y ที่คู่กับ x ตัวนั้น 20. x 2 คู่กับ f(x)  2, 4, 6, 8 หรือ 10
เช่น f(5) คือค่ำของ y ที่มำจำกคู่อันดับในรูป (5, y) x  3 คู่กับ f(x)  3, 6 หรือ 9
x 5 คู่กับ f(x)  5 หรือ 10
ดังนั้น ในข้อนี้ f(5)  f(1)  0  2  2 x 7 คู่กับ f(x)  7 เท่ำนั้น
จะสร้ำงฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งได้ 3 กรณี ดังนี้
15. สัญลักษณ์ f(x) หมำยถึงค่ำของ y ที่คู่กับ x ตัวนั้น กรณี f(2)  2, 4 หรือ 8 จะได้ 3  3  2  1  18 แบบ
ดังนั้นจำกกรำฟจะพบว่ำ f(3)  2 , f(2)  1 และ กรณี f(2)  6 หรือ 8 จะได้ 1  2  2  1  4 แบบ
f(0)  1 (เพรำะกรำฟผ่ำ นจุด (3, 2),(2, 1),(0, 1) ) กรณี f(2)  10 หรือ 8 จะได้ 1  3  1  1  3 แบบ
 ฟังก์ชัน f เป็นไปได้ท ั้งหมด 18  4  3  25 แบบ
จึงได้ 3 f(3)  2 f(2) f(0)  3(2)  2(1)(1)  4

21. จำนวนฟังก์ชันทั่วถึง หำได้จำก “จำนวนฟังก์ชันทุก


16. (ก) ผิด จำก f(x  2)  2x  1 แบบ” ลบด้วย “จำนวนแบบที่ไม่ทั่วถึง”
ทดลองแทนตัวแปร x ด้วย 10
จะได้ f(10  2)  2(10)  1  f(8)  19 จำนวนฟังก์ชันทุกแบบ  3  3  3  3  81 แบบ
(ข) ผิด จำก f(x  2)  2x  1 จำนวนฟังก์ชันที่ไม่ทั่วถึง มีทั้งหมด 6 กรณี ดังนี้
ทดลองแทนตัวแปร x ด้วย x  2 เรนจ์เป็น {0} มีทั้งหมด 1  1  1  1  1 แบบ
จะได้ f((x  2)  2)  2(x  2)  1  f(x)  2x  3 เรนจ์เป็น {1} มีทั้งหมด 1  1  1  1  1 แบบ
แล้วแทน x ด้วย x2 ก็จะทรำบ f(x2)  2x2  3 เรนจ์เป็น {2} มีทั้งหมด 1  1  1  1  1 แบบ
เรนจ์เป็น {0, 1} มีทั้งหมด (2  2  2  2)  2  14 แบบ
เรนจ์เป็น {0, 2} มีทั้งหมด (2  2  2  2)  2  14 แบบ
17. ฟังก์ชันจำก B ไป A มีเงื่อนไขว่ำ เรนจ์เป็น {1, 2} มีทั้งหมด (2  2  2  2)  2  14 แบบ
(1) ต้องเป็นฟังก์ชัน
(เหตุที่ต้องลบ 2 เพราะในจ านวน 16 แบบที่เกิดขึ้นนั้น
(2) โดเมนต้องเป็นสมำชิกของ B ครบถ้วน
จะมีแบบที่เรนจ์เป็น “ตัวเดียวล้วนๆ” ปนอยู่ด้วย ซึ่งเรา
(3) เรนจ์เป็นสมำชิกของ A ครบหรือไม่ก็ได้
นับแล้ว จึงไม่ต้องนับซ้า)
ดังนั้น (ก), (ค) ผิด เพรำะโดเมนไม่ใช่สมำชิกของ A  จำนวนฟังก์ชันทั่วถึง  81  3(1)  3(14)  36 แบบ
(ข) ผิด เพรำะไม่เป็นฟังก์ชัน
(ง) ถูก เพรำะสอดคล้องเงื่อนไขทั้งสำมข้อที่กล่ำวมำ
22. กรำฟของ y  a(3x) ผ่ำนจุด (2, 18)
แสดงว่ำสมกำรต้องเป็นจริงเมื่อ x  2 และ y  18
18. (ก) ถูก เพรำะเป็นฟังก์ชัน และมีโดเมน
นั่นคือ 18  a(32)  a  18/9  2
กับเรนจ์ตรงตำมที่โจทย์ต้องกำร
(ข) ผิด เพรำะโดเมนเท่ำกับ {1, 3, 7, 9}
(ค) ผิด เพรำะเรนจ์เท่ำกับ {b, c, d}
(ง) ผิด เพรำะไม่เป็นฟังก์ชัน คือมีทั้ง (5, a) และ (5, b) 23. (ก) ถูก กรำฟอยู่เหนือแกน 2X หมำยควำมว่ำ
ค่ำ y  0 จึงคำนวณได้จำก 2x  3x  5  0
 2x2  3x  5  0  (2x  5)(x  1)  0
จะได้ x  ( 52 , 1) เป็นค่ำ x ทั้งหมดที่ทำให้ y  0
19. จำกสูตรยูเนียนของ 2 เซต
ซึ่งค่ำ x ทั้งหมดในโจทย์ก็อยู่ในช่วงนี้ ข้อควำมจึงถูก
จะได้ 8  5  6  n(A  B)  n(A  B)  3
 n(A  B)  5  3  2 และ n(B  A)  6  3  3 (ข) ผิด กรำฟอยู่ใต้แกน X หมำยควำมว่ำ
ค่ำ y  0 จึงคำนวณได้จำก 2x2  3x  5  0
(ก) ผิด 23 3  29  512 แบบ
อำศัยผลจำกข้อ (ก) จะได้ x  (,  52)  (1, )
(ข) ถูก 22 3  26  64 แบบ
เป็นค่ำ x ทั้งหมดที่ทำให้ y  0
ซึ่งค่ำ x บำงค่ำในโจทย์ไม่อยู่ในช่วงนี้ ข้อควำมจึงผิด
แสดงว่ำ จุดวกกลับของกรำฟอยู่ที่ ( 1 , 25)
2 4

24. เนื่องจำกพำรำโบลำที่มีเส้นสมมำตรขนำนแกน Y (ค) ผิด กรำฟนี้เป็นพำรำโบลำคว่ำ เพรำะค่ำ a ติดลบ


(หงำยหรือคว่ำก็ตำม) ย่อมมีลักษณะสมมำตรแบบซ้ำย- ดังนัน้ จึงมีค่ำสูงสุดของฟังก์ชัน เท่ำกับ 25
4
 6.25
ขวำ ทำให้จุดตัดแกน X ทั้งสองจุดอยู่ห่ำงจำกเส้นสมมำตร
(แกนกลำงที่ลำกผ่ำนจุดยอด) เป็นระยะเท่ำกัน เสมอ
29. (ก) ถูก หำจุดตัดแกน X โดยแทนค่ำ y  0
ดังนั้น เมื่อเรำทรำบจุดตัดทั้งสอง ย่อมหำค่ำ x ของเส้น จะได้ 9  (x  5)2  x  2 หรือ 8
สมมำตรได้โดยกำรเฉลี่ยหำจุดกึ่งกลำง ดังนั้น จุดตัดแกน X ได้แก่ (2, 0) และ (8, 0)
นั่นคือ a  (1)2 (7)  3 แต่เนื่องจำกเป็นพำรำโบลำหงำย จึงสรุปได้ว่ำในช่วง x
ใดๆ ระหว่ำง 2 ถึง 8 กรำฟจะอยู่ใต้แกน มีค่ำ y ติดลบ
25. (ก) ผิด f (x) มีกรำฟเป็นพำรำโบลำ (ข) ถูก หำจุดตัดแกน Y โดยแทนค่ำ x 0
b   (4)
จุดวกกลับของกรำฟนี้เกิดที่ x   2a  1 จะได้ y  ( 5)2  9  16  a
2(2)
ดังนั้น แกนสมมำตรคือเส้นตรง x  1 และจำกที่คิดไว้ในข้อ (ก) จุดต่ำสุดของกรำฟย่อมเกิด
ที่กึ่งกลำงระหว่ำง 2 และ 8 นั่นคือ x  5
(ข) ถูก
จึงได้ค่ำต่ำสุดเท่ำกับ f(5)  9  b
ณ จุดวกกลับ มีค่ำ y เท่ำกับ f(1)  2(1)2  4(1)  7  9 ดังนั้น a  b  16  (9)  7
ดังนั้น จุดวกกลับของกรำฟอยู่ที่ (1, 9) ในจตุภำคที่ 4

30. กรำฟนี้เป็นพำรำโบลำหงำย (ค่ำ a เป็นบวก)


26. (ก) ผิด f(x) มีกรำฟเป็นพำรำโบลำ ดังนั้น จุดวกกลับของกรำฟเกิดที่ x   2a b   (4)  2
b   4 2 2
จึงมีจุดวกกลับ 1 จุด เกิดที่ x   2a (2) ซึ่งมีค่ำ y เท่ำกับ (2)2  4(2)  12  16
ซึ่งมีค่ำ y เท่ำกับ f(2)  (2)2  4(2)  9  5 แสดงว่ำ จุดวกกลับของกรำฟคือ C(2, 16)
แสดงว่ำ จุดวกกลับของกรำฟอยู่ที่ (2, 5)
และหำจุดตัดแกน X ได้โดยแทนค่ำ y  0
(ข) ผิด กรำฟนี้เป็นพำรำโบลำคว่ำ เพรำะค่ำ a ติดลบ  x2  4x  12  0 Y
ดังนั้น –5 จึงเป็นค่ำสูงสุดของฟังก์ชัน ไม่ใช่ค่ำต่ำสุด  (x  6)(x  2)  0
จะได้ x  2 หรือ 6
ดังนั้น จุดตัดแกน X ได้แก่ X
b –2 2 6
27. จุดวกกลับของกรำฟเกิดที่ x   2a   8  4
(2) A(2, 0) และ B(6, 0)
2
ซึ่งมีค่ำ y เท่ำกับ (4)  8(4)  13  3 –16
แสดงว่ำ จุดวกกลับของกรำฟอยู่ที่ (4, 3)
พื้นที่ของ ABC  1  8  16  64 ตำรำงหน่วย
2
ระยะทำงจำกจุดนี้ไปยังจุดกำเนิด (0, 0) หำได้โดยเขียน
รูปสำมเหลี่ยมมุมฉำก แล้วใช้ทฤษฎีบทปีทำโกรัส
จะได้ระยะทำงเท่ำกับ 42  32  5 หน่วย 31. กรำฟนี้เป็นพำรำโบลำหงำย (ค่ำ a เป็นบวก)
จุดต่ำสุดของกรำฟเกิดที่ x   2a b   (2)  1
2
ซึ่งมีค่ำ y เท่ำกับ (1)2  2(1)  8  9
28. (ก) ถูก คำนวณได้จำก  x2  x  6 > 0
2
แสดงว่ำ จุดต่ำสุดของกรำฟอยู่ที่ (1, 9)
 x  x 6 < 0  (x  3)(x  2) < 0
จะได้ 2 < x < 3 (ก) ถูก ค่ำ f ณ จุดใดๆ ย่อมมีค่ำตั้งแต่ –9 ขึ้นไปเสมอ
(ข) ผิด จุดวกกลับเกิดที่ x   2a b   1  1
(2) 2
ซึ่งมีค่ำ y เท่ำกับ f(21)   41  21  6  25
4
(ค) ถูก เพรำะ x  1  5 และ x  1  5 เป็นค่ำที่ 34. จำกควำมรู้เรื่องกรำฟเอกซ์โพเนนเชียล
อยู่ห่ำงจำก x  1 เป็นระยะเท่ำกัน สองตำแหน่งนี้จึงมีค่ำ จะได้ว่ำ ฐำน a  1 จึงทำให้เกิดฟังก์ชันเพิ่ม
y เท่ำกัน (อำศัยควำมสมมำตรซ้ำยขวำของรูปพำรำโบลำ) และฐำน 0  b  1 จึงทำให้เกิดฟังก์ชันลด
ดังนั้น เรียงลำดับจำกค่ำน้อยไปมำกได้เป็น 0, b, 1, a
จำกนั้น หำจุดตัดแกน X โดยแทนค่ำ y  0
 x2  2x  8  0  (x  4)(x  2)  0
จะได้ x  2 หรือ 4 Y 35. (ก) ผิด เพรำะ f(1)  f(1)  2
f(2  5)
(ข) ถูก กรำฟรูปตัววีหงำย มุมฉำก จะมีสมกำรทั่วไป
เป็น y  x แต่ในรูป ข้อนี้มีกำรเลื่อนให้จุดยอดจำกเดิม
f(1  5)
(0, 0) ไปอยู่ท ี่ (0, 1) จึงได้สมกำรเป็น y  x  1

4 X
(ข) ถูก เพรำะ –2 1 หมายเหตุ กราฟตัววีหงาย มุมฉาก จุดยอดอยู่ที่ (a, b)
บริเวณทำงซ้ำยของ –2 f(1  5) จะมีสมการรูปทั่วไปเป็น y  x  a  b เราสามารถ
–9
จะมีกรำฟอยู่เหนือแกน X แทนค่า (a, b)  (0, 1) ได้ทันที
(ง) ผิด เพรำะทำงซ้ำยของ –1 เป็นกรำฟที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ทำงขวำของ –1 นั้นกรำฟลดลงก่อนแล้วจึงค่อยสูงขึ้น 36. แทนค่ำ y  0 ลงในสมกำรเพื่อหำจุดตัดแกน X
ดังนั้น x  1  5 และ x  1  5 ซึ่งเป็นค่ำที่อยู่
ห่ำงจำก x  1 เป็นระยะเท่ำกัน จึงมีค่ำ y ไม่เท่ำกัน (ก) ผิด จำก 0  2  x2  x2  2
โดยทำงฝั่งลบจะมีค่ำ y มำกกว่ำ ไม่มีคำตอบที่เป็นจำนวนจริง แสดงว่ำกรำฟไม่ตัดแกน X
(ข) ถูก จำก 0  x  3  x  3 หรือ 3
พบว่ำตัดแกน X เป็นจำนวน 2 จุด
32. กรำฟ f(x) เป็นพำรำโบลำคว่ำ (ค่ำ a ติดลบ)
b  4k
จุดสูงสุดเกิดที่ x   2a (ค) ผิด จำก 0  x  4  x  4
2
แต่โจทย์กำหนดเส้นสมมำตรเป็น x  1 แสดงว่ำ ณ พบว่ำตัดแกน X เป็นจำนวน 1 จุด
จุดสูงสุดนั้นย่อมมีค่ำ x  1 ..จึงได้ 42k  1 (ง) ผิด จำก 0  (1/5)x
ดังนั้น k  2 และจะทรำบ f(x)  x2  2x  4 ไม่มีคำตอบที่เป็นจำนวนจริง แสดงว่ำกรำฟไม่ตัดแกน X
(หรือพิจำรณำจำกกรำฟเอกซ์โพเนนเชียล แบบปกติที่ ไม่มี
หำค่ำสูงสุดของ f ได้จำก f(1)  (1)2  2(1)  4  5 กำรเลื่อนแกน จะเห็นได้ว่ำไม่ตัดแกน X)
แสดงว่ำ f มีค่ำสูงสุดเท่ำกับ 5

37. เส้นกรำฟรูปตัววีเปิดขวำในรูป คือ x  y


33. ให้ A  4xy2 และต้องกำรหำค่ำ A ที่น้อยที่สุด เมื่อแรเงำพื้นที่ทำงซ้ำยจะได้อสมกำรเป็น x < y

จำกเงื่อนไข y2  x  3  y2  x  3 ดังนั้น (ก) ถูก และ (ข) ผิด


จะได้ A  4 x (x  3)  4x2  12x หมายเหตุ ข้อนี้ใช้วิธีเลือกจุดในบริเวณที่แรเงาไปแทนค่า
กรำฟของ A เป็นพำรำโบลำหงำย ในอสมการแต่ละข้อก็ได้ ข้อที่ถูกจะให้ผลเป็นจริงทุกจุด
b   12   3
จุดต่ำสุดเกิดที่ x   2a 8 2
แสดงว่ำ A ที่น้อยที่สุดเท่ำกับ 4(94)  12( 23)  –9 38. สมกำร y  x  2 มีกรำฟเป็นรูปตัววีหงำย จุด
2
หมายเหตุ เนื่องจากในโจทย์มี y เมื่อได้ค่า x มาแล้ว ยอดเลื่อนไปอยู่ที่ (2, 0) และเมื่อเปลี่ยนเป็นอสมกำร
y > x  2 จะต้องแรเงำพื้นที่ด้ำ นบน Y
ต้องตรวจสอบด้วยว่า x ค่านี้ทาให้หาค่า y ได้หรือไม่ ซึ่ง y = |x+2|
ในข้อนี้ y2   23  3  23  y   23 หาค่าได้จ ริง และจำกเงื่อนไข y < 3 3
จะเกิดพื้นที่ปิดล้อมเป็น (–5, 3) (1, 3)
รูปสำมเหลี่ยม ดังรูป t X
–2 0
a
ntan
t
(0, 2) และ (0,  2)
หำพื้นที่ได้จำกสูตรพื้นที่สำมเหลี่ยม คือ
1  สูง  ฐาน  1  3  6  9 ตำรำงหน่วย (ค) ถูก ครึ่งวงกลม x2  y2  2
2 2
เฉพำะซีกขวำ และอยู่ใน Q2 กับ Q4
ได้ผลดังรูป จึงเป็นฟังก์ชัน
39. สมกำร x  y2 จะมีกรำฟ Y
เป็นพำรำโบลำเปิดขวำ
เมื่อแปลงเป็นอสมกำร x > y2 43. (ก) ถูก
จะแรเงำพื้นที่ทำงขวำ ดังรูป t0 X (x4  4x2  4)  (9y2  6y  1)  5  4  1
a  (x2  2)2  (3y  1)2  0
และเมื่อจำกัดขอบเขตในช่วง n โดยที่พจน์กำลังสองไม่มีทำงติดลบ ดังนั้นสมกำรนี้ เกิดขึ้น
0 < y < 2 จะได้รูป กรำฟเหมือนกับข้อ (ข)t เท่ำ นั้น t
+ ได้กรณีเดียว คือ x2  2  0 และ 3y  1  0
ดังนั้น (ก), (ค) ผิด และ (ข) ถูก ac
a
 x  2 หรือ  2 และ y  1
n  ควำมสัมพันธ์คือ {( 2, 1),( 2, 13)} เป็นฟังก์ชัน
no อคือ
หมายเหตุ อสมการความสัมพันธ์ของกราฟอีกสองข้ 3 3
2
(ก) {(x, y) | y > x และ 0 < y < 2 } +s 4 2 2
+ (ข) ผิด (x  4x  4)  (9y  6y  1)  3  4  1
(ค) {(x, y) | x < y2 และ 0 < y < 2 } +c  (x2  2)2  (3y  1)2  0
o 2 2
c  (x  2  3y  1)(x  2  3y  1)  0
2 2
s
40. พำรำโบลำ y  x2 เมื่อแรเงำบริเวณภำยในโค้ ง จะ o  (x2  3y  1)(x  3y  3)  0
2
+2
กลำยเป็นอสมกำร y  x หรือย้ำยข้ำงได้ x  y  0 s  x  3y  1 หรือ 3y  3
 ควำมสัม พันธ์ในข้อนี้ไ ม่เป็นฟังก์ชัน
(โดยไม่มีเครื่องหมำยเท่ำกับ เนื่องจำกกรำฟเป็นเส้นประ) เช่น มีทั้ง (0,  31) และ (0, 1) อยู่ในกรำฟเดียวกัน
+
และมีกำรจำกัดขอบเขตให้เหลือเพียงช่ว งที่ y < 1 ด้วย
(มีเครื่องหมำยเท่ำกับ เพรำะกรำฟเส้นนี้เป็นเส้นทึบ)
อสมกำรที่สอดคล้องจึงเป็นข้อ (ก) เท่ำนั้น 44. ฟังก์ชัน y  x  3x2  1 มีเศษส่วน
x2  4x  3 x 1
ดังนั้น (ก) ถูก และ (ข), (ค) ผิด จึงมีเงื่อนไข (ของโดเมน) ว่ำตัวส่วนห้ำมเป็น 0
หมายเหตุ ข้อ (ข) เป็นพื้นที่แรเงาภายในโค้งเหมือนกัน นั่นคือ x2  4x  3  0  (x  3)(x  1)  0
แต่ต้องอยู่เหนือเส้นตรง ส่วนข้อ (ค) จะต้องแรเงาพื้นที่ และ x2  1  0  (x  1)(x  1)  0
ภายนอกโค้งทั้งหมดที่อยู่ใต้เส้นตรง
แสดงว่ำ จำนวนที่ไม่อยู่ในโดเมนคือ –3, –1, 1
มีผลบวกของกำลังสองเท่ำกับ (3)2  (1)2  12  11
41. (ก) ถูก กรำฟของ r และ r 1 ตัดกัน 2 จุด หมายเหตุ โดเมนเป็นเซตของจ านวนจริงใดๆ ยกเว้น
คือ (0, 0) และ (1, 1) –3, –1, 1 จะเขียนเป็นสัญลักษณ์ได้ว่า R  {3, 1, 1}
(ข) ผิด r 1  {(x, y) | y  x2 และ 1 < x < 1}
หรือเขียนได้ว่ำ {(x, y) |  y  x และ 0 < y < 1 } 45. (ก) ถูก
ส่วนเงื่อนไขที่โจทย์ให้มำนั้น มีกรำฟเพียงครึ่งเดียว โดเมนของ f; จำกเงื่อนไขภำยในรู้ท
(ในควอดรันต์ที่ 1 เท่ำนั้น) 4  2x > 0  x < 2 จะได้ Df  (, 2]

เรนจ์ของ g; คิดโดยจัดรูปสมกำรเป็น y  1  x3


42. (ก) ผิด x  y  2 หรือ –2 ฝั่งขวำเป็นค่ำสัมบูรณ์ มีเงื่อนไข y  1 > 0  y > 1
ไม่เป็นฟังก์ชัน เช่น มีทั้ง (1, 3) และ (1, 3) ดังนั้น Rg  [1, )
(ข) ผิด วงกลมรัศ มี 2 หน่วย จะได้ Df  Rg  (, )  R
ใน Q1 กับ Q3 ดังรูป
ไม่เป็นฟังก์ชัน เพรำะมีทั้ง (ข) ผิด
โดเมนของ g; ไม่มีเงื่อนไขใดๆ (ค่ำ x อยู่ภำยในค่ำ (ข) ผิด เนื่องจำกใน r มีบำงคู่อันดับที่ x ต่ำงกันแต่ y
สัมบูรณ์ เป็นเท่ำไรก็ได้) ดังนั้น Dg  R ซ้ำกัน เช่น (2, 5) และ (6, 5) จึงทำให้ r 1 ไม่เป็น
ฟังก์ชัน เพรำะมี (5, 2) และ (5, 6)
เรนจ์ของ f; จำกเงื่อนไขของรู้ท จะได้ y > 0
นั่นคือ Rf  [0, )
จะได้ Dg  Rf  [0, ) ซึ่งไม่เท่ำกับเซตจำนวนจริงบวก 50. (ก) ผิด จัดรูปสมกำรได้ x yy  x1
(เพรำะ 0 ไม่ใช่จำนวนจริงบวก)  y( x  1)  x  1  y  x1
|x|  1
เงื่อนไขคือ x  1  0  x  1  x  1, 1
ดังนั้น Dr  R  {1, 1}
46. (ก) ผิด จำกเงื่อนไขภำยในรู้ท
นั่นคือ 9  x2 > 0  (x  3)(x  3) < 0 (ข) ผิด เนื่องจำกใน r มีบำงคู่อันดับที่ x ต่ำงกันแต่ y
เขียนเส้นจำนวนได้ช่วงคำตอบเป็น Df  [3, 3] ซ้ำกัน เช่น (0, 1) และ (2, 1) จึงทำให้ r 1 ไม่เป็นฟังก์ชัน
(ข) ถูก จำกที่ทรำบว่ำ 3 < x < 3
เพรำะมี (1, 0) และ (1, 2)
จะได้ 0 < x2 < 9  0 < 9  x2 < 9
2
 0< 9x < 3  2 < f(x) < 5
นั่นคือ Rf  [2, 5] 51. (ก) ผิด หำโดเมนได้จำก 9  |y|  5  x2
เนื่องจำก y > 0 เสมอ ดังนั้น 9 y <9
 0< 9  |y| < 3
47. (ก) ผิด จำกเงื่อนไขตัวส่วนห้ำมเป็น 0 จึงได้เงื่อนไขที่เกิดขึ้นกับ x คือ 0 < 5 x 2 < 3
จะได้ x  2  0  x  2  x  2, 2  2< x 2 < 5  4 < x  2 < 25
ดังนั้น Df  R  {2, 2}  2 < x < 23  Dr  [2, 23]

(ข) ถูก จำก x > 0 เสมอ จะได้ x  2 > 2 และหำเรนจ์ได้จำก x  2  5 9  |y|


แล้วแยกพิจำรณำเรนจ์เป็น 3 กรณี
จะได้เงื่อนไขที่เกิดกับ y คือ 5 9  |y| > 0
กรณี x  2  0 จะได้ f(x)  (0, )
กรณี x  2  0 จะได้ f(x) หำค่ำไม่ได้  9  |y| < 5  0 < 9  y < 25

กรณี 2 < x  2  0 จะได้ f(x)  (,  21 ]  16 < y < 9  9 < y < 9  Rr  [9, 9]
ดังนั้น Rf  (,  21 ]  (0, ) ดังนั้น Dr  Rr  [2, 9]

(ข) ถูก r มีกรำฟเป็นส่วนของวงรี x2  y2  1


4 2
y2 ใน Q1 และ Q3 ดังรูป
 x 
2
48. สมกำรที่ให้มำคือ 3x2  y2  3  1
1 3
มีกรำฟเป็นวงรีดังรูป
 Dr  [1, 1]
และ Rr  [ 3, 3]

(ก) ถูก เพรำะ [1, 1]  [ 3, 3] 52. (ก) ถูก Df คิดได้จำกเงื่อนไขของตัวส่วน


คือ x  1  0  x  1 เท่ำนั้น (มีเงื่อนไขเดียว)
(ข) ถูก เพรำะ Rr  Dr  [ 3, 1)  (1, 3]
ซึ่ง 3 มีค่ำประมำณ 1.73 จึงทำให้ (1.5, 1.6)  Rr  Dr (ข) ผิด Rf คิดได้โดยจัดรูปสมกำรดังนี้
จำก y  3x2  6x  5
x1
 3(x 2  2x  1)  2
 3(x  1)  2
2
49. (ก) ถูก 3 4x  0  4x  3 x1 x1
 3  4  x  3  1 x  7 y  y2  24
 3(x  1)2  y(x  1)  2  0 x1 
6

เงื่อนไขที่เกิดกับ y คือ y2  24 > 0


 (y  24)(y  24) > 0
จำกเส้นจำนวนจะได้ y  (,  24]  [ 24, ) x  2 หำร g(x) มีเศษเหลือ –8 แสดงว่ำ g(2)  4
ซึ่งเรนจ์ที่ได้นี้ ไม่เป็นสับเซตของ R  (5, 5) (ทฤษฎีบทเศษเหลือ)
ดังนั้น 8  4a  10  b  4 .....(2)
แก้ระบบสมกำรได้ a  2 และ b  6
53. (ก) ผิด Rf  (, 1] และ Rg  (0, 1]
 g(x)  x3  2x2  5x  6
ดังนั้น Rg  Rf (ไม่ใช่ Rf  Rg )
และ f(x)  2x2  4x  4
(ข) ผิด g เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง แต่ f ไม่เป็น ดังนั้น (f g)(3)  f(g(3))  f(0)  4
ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง เพรำะมีทั้ง (1, 0) และ (1, 0)

58. สมมติให้ f(x)  Ax2  Bx  C


54. สมมติค่ำ ผ่ำนประตู a บำท จะได้ f(0)  3  0  0  C  3
และค่ำ ใช้บริกำรเครื่องเล่น ครั้งละ b บำท f(2)  3  0  4  7  4A  2B  3  7
.....(1)
ดังนั้นถ้ำเล่น x ครั้ง จะต้องจ่ำย y  a  bx บำท f(2)  3  (4)  4  3  4A  2B  3  3 .....(2)
แก้ระบบสมกำรได้ A  21 และ B  1
ข้อมูล (9, 740)  740  a  9b .....(1)
 f(x)  1 x2  x  3 และ f(3)  9  3  3  10.5
ข้อมูล (13, 980)  980  a  13b .....(2) 2 2
แก้ระบบสมกำรโดย (2)–(1); จะได้ 240  4b
ดังนั้น b  60 และจะได้ a  200
แสดงว่ำ สวนสนุกคิดค่ำ ผ่ำนประตู 200 บำท 59. f(f(f( 1)))  f(f(3)) (กรณีบน)
3
 f(2) (กรณีล่ำ ง)
3
  3 (กรณีบน)
2
55. จำกข้อมูลในโจทย์ ถ้ำคิดรำคำขนมชิ้น ละ 25  x  มีค่ำสัมบูรณ์เท่ำกับ 1.5
บำท ในหนึ่งวันจะขำยได้ 80  3x ชิ้น
“รำยได้  รำคำต่อชิ้น คูณด้วย จำนวนชิ้นที่ขำยได้”
นั่นคือ y  (25  x)(80  3x)  2000  5x  3x2 60. (ก) ผิด f(x)  0
 x 2  g(x)
 200 a  100b  c   600  500  2000  900  x  2  g(x)  x  2  x2 2
x 5
 (x  2)(1  2 1 )  0
หมายเหตุ โจทย์อาจถามต่อไปว่า “ควรตั้งราคาขนมชิ้นละ x 5
 x  2  0 หรือ x2  5  1
ละกี่บาทจึงจะมีรายได้มากที่สุด” นั่นคือให้หาค่า x ที่ทาให้
 x  2 หรือ 6 หรือ  6
เกิด y สูงสุด จะคิดได้โดยอาศัยความรู้เรื่องพาราโบลา
แต่ x   6 ใช้ในรู้ทไม่ได้ (หำค่ำ f(x) ไม่ได้)
ดังนั้น ค่ำ x ได้แก่ 2, 6
56. สมมติ f(x)  x2  ax  b
จำก f(1)  5 จะได้ 1  a  b  5 .....(1) (ข) ผิด D f หำได้จำก x  2 > 0  x > 2
และ g(x) > 0  xx225 > 0  (x(x5)(x
 2)
 5)
>0
และ (f f)(0)  f(f(0))  f(b)  b2  ab  b
โจทย์กำหนด (f f)(0)  35 จะได้ b2  ab  b  35
จำกเส้นจำนวนจะได้  5  x < 2 หรือ x  5
 b (b  a  1)  35  Df  [2, )  (( 5, 2]  ( 5, ))  {2}  ( 5, )
.....(2)
แทน (1) ใน (2) จะได้ b(5)  35  b  7 , a  3
2
 f(x)  x  3x  7 61. จำก f(a  b)  f(a  b)
จะได้ (f f)(2)  f(f(2))  f(5)  17  (a  b)  2(a  b)  5  (a  b)2  2(a  b)  5
2

 a2  2ab  b2  2a  2b  5  a2  2ab  b2  2a  2b  5
 4ab  4b  0  4b(a  1)  0
57. g(1)  0 จะได้ 1 a 5  b  0 .....(1) b  0 หรือ a  1 แต่โจทย์กำหนด a, b  0
ดังนั้น a  1 เท่ำนั้น และจะได้ 5a  5
66. ทดลองแทน x ด้วย 1 x จะได้
1 x
2
62. (f g)(x)  f(g(x))  (x  2) 1  1 x
f( 1  x )  1  x  f(1  x  1  x)  1  x
และ (g f)(x)  g(f(x))  x2  2 1  1 x 1 x 1 x  1 x 1 x
ดังนั้น (a  2)2  a2  2  a2  4a  4  a2  2 1 x
 4a  2  a   1  f(x)  1  x สำหรับจำนวนจริง x  1
2 1 x
 (f  g)(2a  1)  (f  g)(0)
 f(0)  g(0)  0  2  –2 (ก) ผิด เพรำะ (f f)(x)  f(1  x)  x
1 x
1 1  x
แต่ f(1  x)  1  x  1  x  1  x  x
1 x 1  1 x 1 x  1 x
1 x
63. จำก f(x)  mx  c
1 1
จะได้ f(f(x))  m(mx  c)  c  m2x  mc  c (ข) ผิด เพรำะ f(x1)  x1  xx  11
และ f(f(f(x)))  m(m2x  mc  c)  c 1 x
 m3x  m2c  mc  c แต่ f(x)  f(x)  1  x  1 x
1 x 1 x
 (1  x)  (1  x)  4x2
2 2
แต่ f(f(f(x)))  27x  28 (1  x)(1  x) 1x
แสดงว่ำ m3  27  m  3
และ m2c  mc  c  28
 9c  3c  c  28  c  4
67. เนื่องจำก f1(x x 1)  x จึงให้ x  2
x1
(ก) ถูก m c  3  4  1 จะได้ x  2x  2  x  23
(ข) ถูก f(x)  3x  4 เป็นเส้นตรงเฉียงลง  f(2)  2 และ f 1(2)  2
3 3

และเนื่องจำก g1(3 x  1)  x จึงให้ 3


x  1  2
64. สมกำรที่ได้คือ 3  2 3  2x  x จะได้ x  (2)3  1  9
 g(9)  2 และ g1(2)  9
กรณี0 < x  3 จะได้ 3  2(3  2x)  x
2
 4x  3  x  (4x  3)2  x2 ดังนั้น 3(f 1  g1)(2)  3(2  9)  25
3
 (3x  3)(5x  3)  0  x  1 หรือ 3
5

กรณี x> 3 จะได้ 3  2(3  2x)  x


2 68. สมมติ g(3)  a จะได้ g1(a)  3  9
 9  4x  x  (9  4x)2  x2
ดังนั้น g(3)  a  9
 (9  5x)(9  3x)  0  x  9 หรือ 3
5
สมมติ g(2)  b จะได้ g1(b)  2   (4)
คำตอบที่ได้ทั้งสี่ค่ำ ล้วนสอดคล้องกับเงื่อนไขกำรถอดค่ำ ดังนั้น g(2)  b  4
สัมบูรณ์ในกรณีนั้นๆ แสดงว่ำสมกำรนี้มี 4 คำตอบ และ
ผลบวกคำตอบเท่ำกับ 1  53  59  3  32  6.4  f 1(g(3)  g(2))  f 1(9  4)  f 1(5)
5
แต่ f(4)  2(4)  3  5 ดังนั้น f 1(5)  4

65. ในที่นี้ a และ f(a) ไม่ใช่ –1


a1  1 69. (f  g)(1)  (f g)(1)  (g f)(1)
จึงได้ว่ำ (f f)(a)  aa11  a  1  a  1   a1
a  1 a  1  f(g(1))  g(f(1))
1
a 1  f(3)  g(1)  11  3  14
ดังนั้นจะได้สมกำร  a1  11  22
 a  2  1  ( 2  1)2  3  2 2  0.17
21 f(x)  3
70. จำก g(x) จะได้ f(x)  3 g(x)   6x
6  9
ค่ำของ (f g)(3)  f(g(3))  f(23)   2/3
และจำก f(1)   61  6 ดังนั้น f1(6)  1 ต้องแก้ฟังก์ชันให้อยู่ในรูป x จริงๆ คือ g(x)  2 3x4x
ทำให้ (g f1)(6)  g(f1(6))  g(1)  21  2 และ f(x)  x3  x2  2x ตามลาดับ เนื่องจากข้อสอบ
 (g f 1)(6)  (f g)(3)  (2)  (9)  7
ถามค่าดิฟและอินทิเกรต (เนื้อหาแคลคูลัส ม.6)

71. (g f)(x)  3(f(x))  1  3(2x  5)  1  6x  14


76. จำก g1(x)  3x  1 จะได้ g(3x  1)  x
แทนตัวแปร x ด้วย x31
จำก (f 1 g1)(a)  2  (g f)1(a)  2 จะได้ g(3(x31)  1)  x31  g(x)  x31
 (g f)(2)  a
จะได้ a  6(2)  14  2 จำก (f g)(x)  2x 3 จะได้ f(x31)  2x  3
2
 (f g)(a )  f(g(4))  f(11)  27 แทนตัวแปร x ด้วย 3x  1
จะได้ f((3x 31) 1)  2(3x  1)  3  f(x)  6x  1
และ f1(x)  x61
72. แทนค่ำ x  a
จะได้ f1(g(a))  8a4a  f 1(3)  8  4a .....(1) (ก) ถูก 2(f 1 g)(3x  1)  2 f 1(x)  x 1  g(x)  2
5 a 5 3 3
(ข) ถูก (g1 (f1 g))(x)  1 g1(f x  1(  ))1 xg 4( )
3 18
f 1(3) x 2  3  x  7
หำค่ำ โดยให้ x4  x 4  1  x 10  f 1(x)  3
6 6 2
 f(7)  3  f 1(3)  7
หมายเหตุ การที่เราทราบว่าควรแทนตัวแปร x ด้วย x31
แทนใน (1) จะได้ 7  8  4a a  9
a 5 นั้น สามารถคิดได้โดยสมมติ A  3x  1 แล้วย้ายข้าง
เป็น x  A31 นี่คือรูปแบบที่ต้องการ
73. เนื่องจำก g( 6)  ( 6)2  2  8
ดังนั้น g1(8)  6
77. จำก h(2x  3)  6 f(x)  17
และจะได้ (f g1)(8)  f( 6) แทนค่ำ x  3 จะได้ h(3)  6 f(3)  17 .....(1)
หำได้โดยแทน x ด้วย –4
นั่นคือ f( 6)  3  2(4)2  35 หำค่ำ f(3) จำก (g f)(x)  2x  7
แทนค่ำ x  3 จะได้ g(f(3))  2(3)  7  1
นั่นคือ f(3)  g1(1) .....(2)
74. g(f(x))  x ต้องกำรหำค่ำ g(51) หำค่ำ g1(1) จำก g(x 2 1)  x  4
ทำได้โดยหำค่ำ x ที่ทำให้เกิด f(x)  51 นั่นคือ g1(x  4)  x 2 1
ให้ 2  1 จะได้ x 2 แสดงว่ำ f(2)  1
แทนค่ำ x  5 จะได้ g1(1)  52 1  2 .....(3)
3x  4 5 5
จำก (1), (2), (3) จะสรุปได้ว่ำ h(3)  6(2)  17  5
 แทน x ด้วย 2 ลงใน g f
จะได้ g(f(2))  2  g(51)  2
78. (ก) ผิด จำก f(x  5)  2x  3
แทนค่ำ x  4 จะได้ f(1)  8  3  11
75. f(g(x))  27x3  45x2  18x ต้องกำรหำค่ำ f(1)
ทำได้โดยหำค่ำ x ที่ทำให้เกิด g(x)  1 และจำก g(x  4)  x3  2x2  x
แทนค่ำ x  3 จะได้ g(1)  27  18  3  48
ให้ 3x  2  1 x  1 แสดงว่ำ g(1)  1
จะได้
 f(g(1))  f(1)  27  45  18  0  (f  g)(1)  f(1)  g(1)  37
และ (g f)(1)  g(f(1))  g(0)  2
(ข) ถูก หำค่ำ a ที่ทำให้ (f g)(a)  9
หมายเหตุ ในข้อสอบจริง ข้อ 31.–32.  f(g(a))  9  g(a)  f 1(9)
 (h g)(5)  h(g(5))  h(3)  4
แทนค่ำ x  3 ลงใน f 1(2x  3) ที่ให้มำ
จะได้ f 1(9)  3  5  2
 หำค่ำ a ที่ท ำให้ g(a)  2 โดยให้ x3  2x2  x 2
83. จำก 2 f(2  x)  x f(x)  x2 .....(1)
 (x2  1)(x  2)  0  x 2
ทดลองแทน x ด้วย 2  x จะได้
แสดงว่ำ g(2  4)  2  g(6)  2 2 f(x)  (2  x)f(2  x)  (2  x)2 .....(2)
 มีค่ำ a ที่สอดคล้องสมกำร คือ a  6
ใช้เมทริกซ์ช่วยแก้ระบบสมกำร โดยมอง f(2  x) เป็น a
2 
และ f(x) เป็น b จะได้ x22 2x  ba   x 2

(2  x) 
   
79. จำก (g1 f 1)(1)  1 2
a  x x  2 x (กฎของครำเมอร์)
จะได้ f 1(1)  g(1)  1  (f(g(1)) .....(1) (2 x)2 2 x 2 2

 2x  x(x  2)  x 2 2x  4x  x
ซึ่งกำรที่ f(x)  1 จะเกิดจำก 2 2 3 2
4  x(x  2) x  2x  4
x3  3x2  3x  1  (x  1)3  0  x  1 เท่ำนั้น
แสดงว่ำ g(1) จากสมการ (1) ต้องมีค่ำเป็น –1 แสดงว่ำ f(2  x)  x และจะได้ f(x)  2  x
30 30
  (f(x)  x)   (2)  20 (2)  40
ดังนั้น a(1)  1  1  a  2 x  11 x  11

นั่นคือ g(x)  2x  1 หมายเหตุ การหาค่าของซิกม่า (ผลรวม)


และได้คำตอบเป็น (f g)(2)  f(5)  215 อาศัยความรู้จ ากเรื่องลาดับ-อนุกรม และเรื่องสถิติ

80. สมมติว่ำมีจำนวนจริง a ซึ่งทำให้ f(a)  5 x1  1


84. จำก f1(x)  x  1 , f2(x)  x  1   x1
x1 x1  1
ลองแทนค่ำ x  a ลงในสมกำร x1
จะได้ f(f(a))  a(5  f(a))  3  x1  1
f3(x)   1  x   x  1
 f(5)  a(5  5)  3  3  x1  1 1  x x1

 x1  1
และ f4(x)  x  1  x
 x1  1
81. ให้สมกำรในโจทย์เป็น (1) และ (2) ตำมลำดับ x1
ดังนั้น f5(x)  f(x),
1
f6(x)  f2(x), f7(x)  f3(x), ...
นำสองสมกำรมำบวกกันแล้วหำรด้วย 3 (วนซ้ำ 4 แบบ)
จะได้ (g f)(x)  (g f)(x  1)  6x2  14
นำไปลบออกจำก (2) ได้เป็น (g f)(x)  3x2  3x  7 (ก) ผิด f2557(2)  f(1 2)  31  3
(ข) ถูก f2557(x)  f2014(x)  f(x) 1
 f2(x)
หำ g(x) ได้จำก (g f)(x)  3x2  3x  7
 x  1  x1  (x  1)(x)  (x  1)  x2  1
2
จัดรูปได้เป็น g(x2  x  3)  3(x2  x  3)  2 x1 (x  1)(x) x x
 g(x)  3x  2 และจะได้ g(4)  10

85. จำกสมกำรในโจทย์ แทนค่ำตัวแปร x ด้วย 0


82. (g(x)  3)  (h(x)  4)  4 จะได้ f(g(y))  y  25  f1(y  25)  g(y)
 g(x)  h(x)  3 .....(1) แล้วแทนค่ำตัวแปร y ด้วย x  25
จะได้ f 1(x)  g(x  25) .....(1)
[(g(x))2  9]  [(h(x))2  16]  6x  10
 (g(x))2  (h(x))2  6x  3 .....(2) จำกสมกำรในโจทย์ ถ้ำให้ A  x  g(0)
จะได้ f(A)  f(x  g(0))  3x  25
แทน (1) ใน (2); g(x)  h(x)  6x3 3  2x  1 .....(3)  3(A  g(0))  25
แก้ระบบสมกำร (1), (3) จะได้ g(x)  x  2  f(x)  3x  3g(0)  25
และ h(x)  1  x f 1(x) 
x  25  3g(0)
 x  25  g(0)
และ 3 3
.....(2)
และ 1  2  3  (1)(2)(3) (n  3)
เนื่องจำก (1) = (2) ดังนั้น f(n) ที่มำกที่สุดเท่ำกับ 3
จึงได้ g(x  25)  x 325  g(0)  g(x)  x  g(0)
3

(ก) ผิด (g f)(x)  f(x)  g(0) 89. จัดรูปสมกำรได้เป็น y  3  210


3
3x  3g(0)  25 x 1
  g(0)  x  25 2
 (y  3)(x  1)  10
3 3
(ข) ผิด g(32  f(5))  32  f(5)  g(0)
โจทย์กำหนด x และ y เป็นจำนวนเต็ม แสดงว่ำ
3 y  3 และ x2  1 อำจเป็น  1,  2,  5,  10 เท่ำ นั้น
32  3(5)  3g(0)  25
  g(0)  24
3
ทดลองแทนค่ำเพื่อหำ x, y ที่เป็นจำนวนเต็มทั้งคู่
จะได้ผลที่สอดคล้องดังนี้
86. f(2)  f(1  1)  f(1)  2(1)(1)  f(1) x2  1 y3 (x, y)
 323  8
1 –10 (0, 7)
f(3)  f(2  1)  f(2)  2(2)(1)  f(1)
2 –5 (1, 2),(1, 2)
 8  4  3  15
f(4)  f(2  2)  f(2)  2(2)(2)  f(2) 5 –2 (2, 1),(2, 1)

 8  8  8  24 10 –1 (3, 2),(3, 2)
f(8)  f(4  4)  f(4)  2(4)(4)  f(4)
 Dr  {3, 2, 1, 0, 1, 2, 3} Rr  {7, 2, 1, 2}
 24  32  24  80
จึงได้ Dr  Rr  {2, 1, 2} มีสมำชิก 3 ตัว
 f(11)  f(8  3)  f(8)  2(8)(3)  f(3)
 80  48  15  143
หมายเหตุ จากการสังเกตผลลัพธ์ จะสรุปได้ว่า 90. f(4, 4)  f(3, 4)  f(3, 3)
ในข้อนี้ f(x)  (x)(x  2) ทุกๆ จ านวนนับ x  [f(2, 4)  f(2, 3)]  [f(2, 3)  f(2, 2)]
 [f(1, 4)  f(1, 3)]  2[f(1, 3)  f(1, 2)]  [f(1, 2)  f(1, 1)]
 f(1, 4)  3 f(1, 3)  3 f(1, 2)  f(1, 1)
87. จำก f(2x)  3 f(x)  4
แทนค่ำได้เป็น 109  26  3(15)  3 f(1, 2)  8
จะได้ f(2)  3 f(1)  4  3(2)  4  10
30
 f(1, 2)   10
f(4)  3 f(2)  4  3(10)  4  34 3
f(8)  3 f(4)  4  3(34)  4  106

และจำก f(x  2)  f(x)  2x  8 91. จำกเงื่อนไขบน


จะได้ f(3)  f(1)  2(1)  8  2  2  8  12 f(0, 0)  2 , f(0, 1)  3 , f(0, 2)  4 , ฯลฯ
f(5)  f(3)  2(3)  8  16  6  8  26
f(7)  f(5)  2(5)  8  26  10  8  44 จำกเงื่อนไขกลำง
f(9)  f(7)  2(7)  8  44  14  8  64 f(1, 0)  f(0, 1)  3 , f(2, 0)  f(1, 1) ฯลฯ
ดังนั้น f(8)  f(9)  106  64  170 จำกเงื่อนไขล่ำง
f(1, 1)  f(0, f(1, 0))  f(0, 3)  5
f(1, 2)  f(0, f(1, 1))  f(0, 5)  7

88. กำรที่ f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งและทั่วถึงภำยในเซต f(1, 3)  f(0, f(1, 2))  f(0, 7)  9 ฯลฯ


จำนวนนับ หมำยควำมว่ำ f มีค่ำเป็นจำนวนนับใดๆ ตั้งแต่ และ f(2, 1)  f(1, f(1, 1))  f(1, 5)  13
1, 2, 3, ... ครบทุกจำนวน (สลับกันได้ แต่ต้องไม่ซ้ำกัน)  f(1, 3)  f(2, 1)  9  13  22

เรำต้องกำรหำจำนวนนับใดๆ n จำนวน ที่มีผลบวกเท่ำกับ


ผลคูณ จะพบว่ำเป็นไปได้ 2 กรณี ได้แก่
11 (n  1)
แนวข้อสอบจริง บทที่ 6 เมทริกซ์
0 a  b 3 d 1  0 a 
1. ถ้า a, b, c, d เป็นจานวนเต็มที่สอดคล้องสมการ  1 1 c 0   1 2b   1 1 [P53A]
     
แล้ว ค่าของ ad  bc เท่ากับเท่าใด

 2a b  3  9 2a  2a b
2. ถ้า     c   2 c  [P53B]
d  3 4  3 3d 3 d
แล้ว ค่าของ 2a  2b  2c  2d เท่ากับเท่าใด

 3 0   1 5
3. ถ้า A และ B เป็นเมทริกซ์ซึ่ง A  2B    และ 2A  B    [P52B]
 5 4  5 2
แล้ว ค่าของ c11  c12  c21  c22 เมื่อ C  (AB)1 เท่ากับเท่าใด

 1 1 a b
4. กาหนดให้ A   และ B   [P53C]
1 1 
b c 
 4 1
ถ้า ABA 1    แล้ว ค่าของ ac  b เท่ากับเท่าใด
 1 0 

a b 
5. กาหนดให้ A    เมื่อ a, b เป็นจานวนจริง [P54B]
 1 1
และ B เป็นเมทริกซ์มิติ 2  2 ที่ทาให้ A2 B  2I และ AB  2A1  A
โดยที่ I เป็นเมทริกซ์เอกลักษณ์การคูณ ค่าของ b  2a เท่ากับเท่าใด

6. ถ้า A และ B เป็นเมทริกซ์จัตุรัสมิติเดียวกัน โดยที่ A, B, A  B และ A 1  B1 [P57A]


เป็นเมทริกซ์ไม่เอกฐาน แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) (A  B)1  B1(A1  B1)1A1 (ข) (A1  B1)1  B(A  B) A

 0 1  2 0  1 1
7. กาหนดให้ A    , B   1 1  และ C    [P53B]
 1 0    0 2 
ค่าของ det(AC2  CtB  2Bt ) เท่ากับเท่าใด

4 2
 8 4   1 0 3  
8. กาหนดให้ A เป็นเมทริกซ์ที่ทาให้  6 5  3X  2 1 2   1 3  [P53C]
    3 1 
 
ค่าของ det(2Xt(X  Xt)) เท่ากับเท่าใด

6 1  10 5
9. ถ้า A และ B เป็นเมทริกซ์ซึ่ง A  3B    และ 3A  B    [P53A]
5 5 7 9
แล้ว ค่าของ det(A 1B3) เท่ากับเท่าใด
2 a  x y   3 4 
10. ให้ a, b, x, y, z, w เป็นจานวนจริง และ A  
b  2  , B   z w  , C   1 2  [P55A]
     
ถ้า A2  7I และ AB  2C แล้ว ค่าของ det( 2B1) เท่ากับเท่าใด

1 x 
11. กาหนดให้ x เป็นจานวนเต็มลบที่ทาให้ A    มีค่าดีเทอร์มนิ ันต์เท่ากับ 4 [P54A]
x 3x 
ถ้า B เป็นเมทริกซ์มิติ 2  2 โดยที่ AB  A 1B  3I
แล้ว det(B) มีค่าเท่ากับเท่าใด

 a 2  a 
12. ถ้า A    เมื่อ a เป็นจานวนจริง [S55]
2  a a 
แล้ว det [(A  6 I)(A  3 I)(A  2 I)] มีค่าเท่ากับเท่าใด

6 a 
13. กาหนดให้ A    โดย a และ b เป็นจานวนจริงซึง่ ab  0 [P57B]
b 1
และเมทริกซ์ A สอดคล้องกับสมการ 2(A  3I)1  2I  A
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) ab  10 (ข) det(3 A1AtA2)  144

 1 0
14. กาหนดให้ A   , B เป็นเมทริกซ์มิติ 2  2 [P57A]
 2 1
และ x เป็นจานวนจริงที่ทาให้ det(xI  A2)  0 ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) det(xI  A)  0 (ข) det(xI  A2  2B)  4 det(Bt)

15. กาหนดให้ A เป็นเมทริกซ์มิติ 2  2 และ det(A)  3 [P52B]


ถ้า A  4I เป็นเมทริกซ์เอกฐาน แล้ว ค่าของ det(A  2I) เท่ากับเท่าใด

16. ถ้า A เป็นเมทริกซ์มิติ 2  2 โดยที่ det(A)  m ไม่เท่ากับศูนย์ [P53B]


และ det(mA  mA1)  0
แล้ว ค่าของ det(mA  mA1) เท่ากับเท่าใด

 1 2 x 
17. กาหนดให้ A   2 y 1  โดยที่ x, y เป็นจานวนจริง [P52A]
 1 2 2
ถ้า C31(A)  14 และ C32(A)  5 แล้ว det(A) มีค่าเท่ากับเท่าใด

 1 3 5
18. ให้ A  2 0 2  และ det(2A1)  2 ค่าของ x เท่ากับเท่าใด [P52C]
x3
 x 0 0
 1 2 1
19. ให้ x เป็นผลบวกของจานวนจริง a ทั้งหมดที่ทาให้ 0 2 a  เป็นเมทริกซ์เอกฐาน [P56]
 
 1 a 3 
 1 x 
ถ้า A    แล้ว ค่าของ det((A1)t)1 เท่ากับเท่าใด
 x 1

 3 2 2 
20. กาหนดให้ A, B, C เป็นเมทริกซ์มิติ 33 โดยที่ A   1 1 1 , [P55B]
 0 2 1
det(B)  0 และ det(B1CBt)  3 ดังนั้น det(CACt) มีค่าเท่ากับเท่าใด

  4 3 a 
21. กาหนดให้ A, B เป็นเมทริกซ์มิติ 33 โดยที่ A   0 1 b  และ det(B)  3 [P56]
 1 2 5
ถ้า 4B  AB  3I เมื่อ I เป็นเมทริกซ์เอกลักษณ์การคูณ แล้ว ค่าของ 2a  2b เท่ากับเท่าใด

22. กาหนดให้ A, B, C เป็นเมทริกซ์มิติ 33 ที่มีสมาชิกทุกตัวเป็นจานวนจริง [P55A]


a b c   g h i 
  A2Ct   2a 2b 2c 
โดยที่ det(A 1)  2 , B3  2I , B  d e f  และ
g h i   3d 3e 3f 
ค่าของ det(C) เท่ากับเท่าใด

23. กาหนดให้สมาชิกของทุกเมทริกซ์เป็นจานวนจริง ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P57B]


0 a 0
(ก) ถ้า A  0 0 b  โดยที่ abc  2 แล้ว det(A2  A  I)  1
 c 0 0
a a a   7 a1 7 a2 7 a3 
 1 2 3  
(ข) ถ้า A  b1 b2 b3  และ B   3b1 3b2 3b3 
c c c  c1 3b17a1 c2 3b27a2 c3 3b37a3 
 1 2 3  
โดยที่ det(A)  2 แล้ว det(B)  42

24. กาหนดให้ A เป็นเมทริกซ์ไม่เอกฐานมิติ 3  3 [P55B]


ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) ถ้า A2  4A แล้ว det(A)  4 (ข) det(adj(A))  (det(A))2

 1 3 1 
25. กาหนดให้ A   0 2x 0 และ det(I  2A 1)  0 เมื่อ x เป็นจานวนเต็มบวก [P54B]
 0 0 x 
ให้หาค่าของ det( 1 (4I  At)A1)
2
 1 2 3 
26. กาหนดให้ A  0 5 1 [P52C]
4 2 2 
สมาชิกในแถวที่ 3 หลักที่ 2 ของ A 1 มีค่าเท่ากับเท่าใด

 1 3 0 
27. กาหนดให้ A t   1 2 1 [P52A]
 2 0 1 
สมาชิกในตาแหน่ง 13 (แถวที่ 1 หลักที่ 3) ของ A 1 มีค่าเท่ากับเท่าใด

28. กาหนดให้ A  aij 


 
เป็นเมทริกซ์มิติ 33 ซึ่ง det(A)  0 [S57]
 5 1 1 
ถ้า Mij(A) เป็นไมเนอร์ของ aij โดยที่ M (A)   3 4 2 
 ij   
 2 1 3
และ A1  bij 
 
แล้ว b211  b23b32 มีค่าเท่ากับเท่าใด

29. กาหนดให้ A เป็นเมทริกซ์มิติ 33 ที่ทาให้ AB1  C1 , AB2  C2 , AB3  C3 [S55]


2  1 3   1 0  0
โดยที่ B1  2 , B2  0  , B3   1  , C 1  0  , C2   1  , C3  0
 1  3 2  0  0   1 
แล้ว det(3A) มีค่าเท่ากับเท่าใด

 2 0 1   0 1 4  4  x 
30. ให้ A   1 2 1  , B   2 0 1  , C  5  และ X   y  [P52C]
 0 1 2  1 1 0  6   z 
p 
ถ้า AX  C และ (2A  B) X   q แล้ว pqr มีค่าเท่ากับเท่าใด
 r 

31. กาหนดให้ a, b, c เป็นจานวนจริง [S57]


 1 3 a   1 3 2
 4 2 b 0 2 7 
ถ้า     โดยการดาเนินการตามแถว R2  2R3
 2 0 c   2 0 3
แล้ว abc มีค่าเท่ากับเท่าใด

32. กาหนดให้ x, y, z เป็นจานวนจริงที่สอดคล้องกับระบบสมการ [P52A]


x  y  3z  2 , 2x  y  2z  6 , x  y  z  0
ค่าของ xyz เท่ากับเท่าใด

33. กาหนดให้ x, y, z เป็นจานวนจริงที่สอดคล้องกับระบบสมการ [P52B]


2x  2y  z  3 , x  3y  z  10 , x  y  z  4
2 3 4
ค่าของ x  y  z เท่ากับเท่าใด
34. ถ้า x, y, z เป็นจานวนจริงที่สอดคล้องกับระบบสมการ [S55]
x  2y  3z  a , 2x  y  2z  b , 3x  2y  z  c

3 2 1
โดยที่ 4 2 4  6 แล้ว 1 มีค่าเท่ากับเท่าใด
x
a b c

35. ถ้า x, y, z เป็นจานวนจริงที่สอดคล้องกับระบบสมการ [S56]


x  2y  3z  a , x  4z  b , 2x  5y  z  c
 1 2 3 a  1 2 3 1
   
และ  1 0 4 b  0 1 3 4 แล้ว c มีค่าเท่ากับเท่าใด
2 5 1 c  0 0 1 2 

36. กาหนดระบบสมการ [S56]


4x  3y  3z  40 , 3x  y  z  15 , x  y  z  13
ถ้า S  {(a, b, c) | a, b, c เป็นจานวนเต็ม ในช่วง [18, 18 ] ที่เป็นคาตอบของระบบสมการ }
แล้ว จานวนสมาชิกของเซต S เท่ากับเท่าใด
เฉลยวิธีคิด บทที่ 6   1  3 1  1 1
 
2  5 1   1 1

  1  2 4
 
2  4 6 
1. ผลคูณในตาแหน่งต่างๆ จะทาให้เกิดสมการดังนี้   1 2 
 
ตาแหน่ง 11; ac  1  a  c1  2 3
ตาแหน่ง 21; b  c  2b  b  c  ac  b  (1)(3)  2  5
ตาแหน่ง 12; 0  ad  1
ตาแหน่ง 22; 3  a  2b  3  a  2c  c1  2c
 c2  3c  1  0  (2c  1)(c  1)  0 5. จาก AB  2A1  A
โจทย์กาหนดให้ a, b, c, d เป็นจานวนเต็ม c  1 นา A คูณทั้งสองข้าง จะได้ A2B  2I  A2
จะได้ b  1 , a  1, d  1  2I  2I  A2  A2  4I
นั่นคือ ad  bc  1  1  2 a b a b   4 0 
นั่นคือ 1 1  1 1  0 4 
   

 a  b ab  b   4 0 
 2   
2. ผลบวกในตาแหน่งต่างๆ จะทาให้เกิดสมการดังนี้ a1 b1 0 4 
ตาแหน่ง 11; 2a  9  2  2a  2a  9  a  1 และ b  3 ดังนั้น b  2a  5
ตาแหน่ง 12; b  3  2a  2b  b  2a  3  6
ตาแหน่ง 22; 4  3d  2d  d  4
ตาแหน่ง 21; d  3  3c  2  3c  3c  d  3  1 6. (ก) ถูก เพราะอินเวอร์สของฝั่งขวามือ
c 0
คือ (B1(A1  B1)1A1)1  A(A1  B1)B
 2a  2b  2c  2d  9  26  20  24
 A A1B  AB1B  IB  AI  B  A
 9  64  1  16  90
(ข) ผิด เพราะอินเวอร์สของฝั่งขวามือ
คือ (B(A  B)A)1  A1(A  B)1B1
3. นา 2 คูณสมการ (1) จะได้ 2A  4B   6 0 
  ไม่สามารถคูณแจกแจงเข้าในวงเล็บได้
 10 8

5B   5 5 
 
แล้วลบออกจากสมการ (2) จะได้
15 10 
AC2   0 1   1 1  1 1
   
7.
 B   1 1
 
และ A   3 0   2B   1 2 
     1 0 0 2  0 2 
 3 2  5 4  1 0
  0 2  1 1   0 4
    
 1 1  0 2   1 3
AB   1 2  1 1  5 3
    
จะได้  det(AB)  2
C tB   1 0  2 0   2 0 2Bt  4 2
      
 1 0   3 2  1 1 และ
 1 2   1 1   4 2  0 2 
 C  (AB)1  1  1 3   1/2 3/2
   
 AC2  C tB  2Bt   6 2

2  1 5   1/2 5/2 
 5 7 
จะได้ c11  c12  c21  c22  21  23  21  52  1 จะได้ det(AC2  CtB  2Bt)  42  10  52

 4 1 4 2
4. ให้  1 0   C สมการในโจทย์คือ ABA1  C
3X   1 0 3  1 3    8 4 
 
  8.
2 1 2  3 1   6 5
จะได้ AB  CA  B  A 1C A  

  5 5   8 4   3 9
     
A 1   1  1 1
 
ซึ่ง 2  1 1  15 1   4 5 9 6 

X   1 3  X t   1 3
   
B   1  1 1  4 1  1 1
    จะได้
ดังนั้น 2  1 1  1 0   1 1 3 2   3 2 

 X  X t  2 0 
 
0 4
 det(2X t(X  X t))  (2)2 X X  X t  (6  4)(3  4)(2  4)  4
 (4)(11)(8)  352
13. จากสมการ 2(A  3I)1  2I  A
นา A  3I คูณทั้งสองข้าง
3A  9B  18 3 
 
9. นา 3 คูณสมการ (1); จะได้ 2(I)  (2I  A)(A  3I)
15 15
 2I  2A  6I  A2  3A
8B  8 8   B   1 1
   
แล้วลบด้วย (2);  A2  5A  4I  0  (A  4I)(A  I)  0
8 24  1 3 

ดังนั้น A  6 1   3  1 1  3 2


      นั่นคือ 2b a5 5b a2  00 00
    
5 5  1 3  2 4 
|B|3 3
จะได้ det(A 1B3)   (3 1)  –4 (ก) ผิด พิจารณาผลคูณที่ตาแหน่ง 11 หรือ 22
|A| 12 4
จะได้สมการ 10  ab  0 แสดงว่า ab  10
(ข) ถูก เนื่องจาก det(A)  6  ab  4

A  2 a  2 a   4  ab 0 
    
det(3A A A )  (32) 1 A A
2 2
10. จาก จะได้ 1 t 2
b 2 b 2  0 4  ab |A|

A2  7I  7 0
  2
โจทย์กาหนด แสดงว่า ab  3 9 A  9(16)  144
0 7 
และจะได้ det(A)  4  ab  7

A2   1 0  1 0   1 0  I
จาก AB  2C จะได้ A B  22 C     
14.
 2 1  2 1 0 1 
 (7) B  (4)(2)  B  8
7 ดังนั้น det(xI  A2)  det(xI  I)
 det( 2B1)  ( 2)2  2(7) 
|B| 8
1.75  x 1 0  (x  1)2
0 x 1
โจทย์กาหนดให้มีค่า เท่ากับ 0 จึงได้ x 1

11. det(A)  3x  x2  4 (ก) ถูก det(xI  A)  det(I  A)  2 0  0


2 0
2
 x  3x  4  0  (x  4)(x  1)  0
(ข) ผิด เนื่องจาก xI  A2  I  I  0
โจทย์กาหนด x เป็นจานวนเต็มลบคือ x  1 เท่านั้น ดังนั้น det(xI  A2  2B)  det(2B)
จะได้ A  11 31   A 1   41 13 11  (2)2 det(B)  4 det(B)  4 det(Bt)
   

 A  A 1  1  1 3 
 
4  3 11
A  a b 
 
15. สมมติ
 c d
จาก AB  A1B  3I จะได้ (A  A1)(B)  3I
จาก det(A)  3  ad  bc  3
 A  A1 B  3I  ( 1)2(20) B  (3)2
4 จาก det(A  4I)  0  (a  4)(d  4)  bc  0
 det(B)   36  –7.2  ad  bc  4a  4d  16  0
5
 3  4a  4d  16  0  4a  4d  19

ดังนั้น det(A  2I)  (a  2)(d  2)  bc


A  kI   a k 2  a 
   ad  bc  2a  2d  4
12. พิจารณา
 2  a a k   3  (2a  2d)  4  3  ( 19)  4  16.5
2
จะได้ det(A  kI)  (k2  a2)  (4  a2)  k2  4

ดังนั้น det [(A  6I)(A  3I)(A  2I)]


A  a c 
 
16. ให้ ดังนั้น ad  bc  m
b d จะได้det(A)  1  4  5
 det(A1)   1  det(A1)t   1
และ 1  d b 
A 1  m  mA 1   d b 
  5 5
 c a 
   c a   det((A1)t)1  –5

 mA  mA 1  ma  d mb b 
 
mc  c md a 
โจทย์กาหนดให้มีค่า det เป็น 0 20. จาก det(B1CBt)  3
จะได้ (ma  d)(md  a)  (mb  b)(mc  c)  0 1 C B  3 นั่นคือ det(C) 
จะได้ |B| 3
 m2ad  ma2  md2  ad  m2bc  2mbc  bc  0 และในข้อนี้ det(A)  3  4  2  6  3
 m2(ad  bc)  m(a2  d2  2bc)  (ad  bc)  0
 det(CACt)  C A C  (3)(3)(3)  27
 m3  m(a2  d2  2ad  2m)  m  0
 m3  m(a  d)2  2m2  m  0
 m(m2  2m  1  (a  d)2)  0
21. จาก 4B  AB  3I
 (4I  A)B  3I
 m((m  1)2  (a  d)2)  0
แต่ m  0  4I  A B  3 I  4I  A  27  9
3
3
จึงสรุปได้ว่า m  1  0  m  1 และ a  d  0 0 3 a
(ต้องเป็น 0 ทั้งคู่ เนื่องจากพจน์กาลังสองไม่มีทางติดลบ) แต่เนื่องจาก det(4I  A)  0 3 b   3a  3b
1 2 1

ต้องการหา det(mA  mA1)   3a  3b  9  ab  3


 2a  2b  6
 ma  d mb b  a  d 2b
mc  c md a 2c d a

 (a  d)(d  a)  4bc  2ad  a2  d2  4bc


 2ad  a2  d2  4(ad  1) 1
22. จาก det(A1)  det(A)  2 จะได้ det(A)  1
2
  (a2  2ad  d2)  4  (a  d)2  4  4 3 3 3
จาก B  2I  B  2 I  8 จะได้ det(B)  2
หาค่า det(A2Ct) ได้โดยพิจารณาวิธีดาเนินการตามแถว
17. C31(A)  2 x  2  xy  14
ว่ามีการกระทาใดบ้างกับ B นั่นคือ มีการคูณแต่ละแถว
y 1 ด้วย –1, 2, –3 และมีการสลับแถว 2 ครั้ง
C32(A)   1 x  1  2x  5
2 1 จะได้det(A2Ct)  (1)(2)(3) det(B)  (6)(2)  12
ดังนั้น x  3 และ y  4  det(C)  12  12  48
det(A2) 1/4

หาค่า det(A) จาก a31C31  a32C32  a33C33


จะได้ det(A)  1(14)  2(5)  2( 4  4)  –12
23. (ก) ถูก
0 a 0 0 a 0 0 a 0  1 0 0
A2  A  I  0 0 b  0 0 b   0 0 b   0 1 0 
23  8  c 0 0  c 0 0  c 0 0 0 0 1 
18. det(A)  6x ดังนั้น det(2A1)  6x 6x
      
8  2
จะได้สมการเป็น 6x  0 0 ab  0 a 0  1 0 0
x 3  bc 0 0   0 0 b   0 1 0
 8x  24  12x  x   24  6  0 ac 0   c 0 0 0 0 1 
     
4
ดังนั้น x  6  1 a ab 
 bc 1 b 
 c ac 1 
 
 det(A2  A  I)  1  abc  (abc)2  abc  abc  abc
19. เมทริกซ์เอกฐาน แสดงว่า “det เท่ากับ 0”  1 2  4 2 2 2  1
2  a2  6  2a  0  a2  2a  8  0
 (a  4)(a  2)  0  a  4 หรือ –2 (ข) ผิด หาค่า det(B) ได้โดยพิจารณาวิธีดาเนินการ
 x  4  (2)  2 ตามแถว ว่ามีการกระทาใดบ้างกับ A นั่นคือ มีการคูณแต่
ละแถวด้วย 7, 3 (ขั้นตอนนี้ det เปลี่ยน) จากนั้นนาแถว หาได้จาก adj13(A)  C31(A)  M31(A)
det(A) det(A) det(A)
ที่ 1 และ 2 ไปบวกลบไว้กับแถวที่ 3 (det ไม่เปลี่ยน)
ดังนั้น ถ้า det(A)  2 จะได้ det(B)  2(7)(3)  42 โดยในข้อนี้ M31(A)  21 02  4
และ det(A)   3  2  6  1
24. (ก) ผิด จาก A2  4A จะได้ A2  4A ดังนั้นคาตอบคือ 41  4
2
 A2  43 A  A  64 A  0
 A ( A  64)  0  A  0
หรือ 64
5 1 1 
แต่โจทย์กาหนด A เป็นเมทริกซ์ไม่เอกฐาน 28. จากไมเนอร์ที่กาหนด จะได้ C(A)   3 4 2
ดังนั้น det(A)  64 เท่านั้น  2 1 3 
 
5 3 2
adj(A) และ adj(A)  (C(A))t   1 4 1 
(ข) ถูก จาก  A 1 จะได้ adj(A)  A  A1
det(A)  1 2 3 
 
3 1 2
 adj(A)  A  A 1  A  A  A
ซึ่งคานวณได้ adj(A)  50  A 2 (พิสูจน์ในข้อ 24.)
แต่โจทย์กาหนด A  0 จึงได้ A   50 เท่านั้น
25. เนื่องจาก (I  2A1)(A)  A  2I 5 3 2
adj(A) 1
โดยที่ det(I  2A1)  0 ดังนั้น det(A  2I)  0 ด้วย  B  A 1    1 4 1 
det(A)  50  1 2 3 
 
3 3 1
 0 2x 2 0  0  (3)(2x  2)(x  2)  0 จะได้ b211  b23b32  ( 5 )2  ( 1 )( 2 )
50 50 50
0 0 x 2
 27  0.54
โจทย์กาหนด x เป็นจานวนเต็มบวก จึงได้ x  2 เท่านั้น 50

และได้ det(A)  (1)(2x)(x)  2x2  8


  2  1
หาค่า det( 1 (4I  At) A1)  det( 1 (At  4I)(A1)) 29. โจทย์กาหนด  A  2  0 ,
2 2
   1 0
 ( 1)3  A  4I  1     
2 |A|
   1 0    3 0
 ( 1)[(1  4)(4  4)(2  4)]( 1)  A  0   1   A   1   0
8 8
   3 0
และ   2  1
 (5)(8)(2)  5  1.25          
(8)(8) 4
  2 1 3  1 0 0
นามาประกอบกันได้  A  2 0 1   0 1 0  I
   1 3 2 0 0 1 
    
26. สมาชิกตาแหน่ง 32 ของ A 1
2 1 3 1
หาได้จาก adj32(A)  C23(A) 
det(A) det(A)
M23(A)
det(A)
แสดงว่า A  2 0 1 
 1 3 2
 
โดยในข้อนี้ M23(A)  1 2  10  det(3A)  33 A  27( 1)  3
4 2 9
และ det(A)  10  8  60  2  40
10  0.25
ดังนั้นคาตอบคือ 40
30. หา X จาก A1C หรือใช้กฎของคราเมอร์ดังนี้
40 1 2 0 1
x  5 2 1  1 2 1  124 165  1
6 12 0 12 28 1
1  1 2
27. A  3 2 0
  จาก 2x  z  4 จะได้ z  2
 0 1 1 
และจาก y  2z  6 จะได้ y  2
สมาชิกตาแหน่ง 13 ของ A 1
ต้องการหา (2A  B) X  2AX  BX  2C  BX
 8   0 1 4  1  8  6 4 ดังนั้น x  (3)  (18)  1 และ 1 6
6 x 
 10   2 0 1   2   10  0  10
12  1 1 0  2  12 3 9
          
 p  q  r  4  10  9  23
35. เขียนระบบสมการเป็นเมทริกซ์ได้ AX  B
1 2 3  x  a 
โดย A   1 0 4 , X  y  และ B  b 
2 5 1   z  c 
31. การดาเนินการตามแถว R2  2R3 แสดงว่าแถวที่ 1    
และ 3 ไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้น a  2 และ c  3
ข้อมูลที่โจทย์ให้มาเป็น “การดาเนินการตามแถวเพื่อแก้
พิจารณาสมาชิกแถวที่ 2 ถูกลบด้วยสองเท่าของแถวที่ 3 ระบบสมการเชิงเส้น ” ในลักษณะ A B   I X 
จะได้ b  2c  7  b  (6)  7  b  1 ซึ่งยังไม่เสร็จกระบวนการ เราจึงดาเนินการต่อได้ดังนี้
 a  b  c  2  1  3  2
 1 2 3 a  1 2 3 1
จาก A B   1 0 4 b 0 1 3 4
  2 5 1 c   
  0 0 1 2 
32. สัมประสิทธิ์ที่ให้มาในข้อนี้สามารถแก้ได้ด้วยวิธี  1 2 0 5
ตั้งบวกลบกันตามปกติ ไม่จาเป็นต้องใช้เมทริกซ์ เข้าช่วย 0 1 0 2 R1  3R3
0 0 1 2  R2  3R3
(1)+(3); 2 z  2  z  1  
 1 0 0 1 
แทนค่าลงใน (1) และ (2) จะได้ 0 1 0 2 R  2R I X 
0 0 1 2  1 2 
x  y  1 และ 2x  y  4 ตามลาดับ  

แก้ระบบสมการได้ x  1 และ y  2 แสดงว่าคาตอบของระบบสมการ ได้แก่ x  1 ,


 xyz  2 y  2 , z  2 และจะได้ c  2  10  2  10

หมายเหตุ ถ้าไม่ต้องการดาเนินการตามแถว สามารถ


แปลงแถวที่ 2 และ 3 ของเมทริกซ์กลับเป็นสมการ ได้แก่
33. สัมประสิทธิ์ที่ให้มาในข้อนี้สามารถแก้ได้ด้วยวิธี y  3z  4 และ z  2 เพื่อแก้ระบบสมการต่อก็ไ ด้
ตั้งบวกลบกันตามปกติ ไม่จาเป็นต้องใช้เมทริกซ์ เข้าช่วย
(2)+(3); 2 y  6  y  3
แทนค่าลงใน (1) และ (2) จะได้ 36. จากสมการที่ (2) และ (3) จะได้ x  1 และ
2x  z  3 และ x  z  1 ตามลาดับ y  z  12 ซึ่งพบว่า สอดคล้องกับสมการที่ (1) ด้วย และ
แก้ระบบสมการได้ x  2 และ z  1 ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมที่จะแก้ระบบสมการได้มากกว่านี้แล้ว
2 3 4 แสดงว่าระบบสมการนี้มีคาตอบหลายชุด
x  y  z  1 1 4  4
พิจารณาจานวนเต็มในช่วง [18, 18 ] จะได้คาตอบเป็น
(1, 6, 18) , (1, 5, 17) , (1, 4, 16) , ..., (1, 18, 6)
a 2 3 1 2 3 รวม 25 คาตอบ นั่นคือสมาชิกของ S มีทั้งหมด 25 ตัว
34. จากกฎของคราเมอร์ x  b 1 2  2 1 2
c 2 1 3 2 1

3 2 1
หา det ได้จากข้อมูลที่กาหนดให้ 4 2 4  6
a b c
ทรานสโพส (det ไม่เปลี่ยน) และสลับหลัก (det ติดลบ)
a 4 3
ได้เป็น b 2 2  6
c 4 1

a 2 3
นา 1 คูณหลักที่สอง ได้เป็น b 1 2  6( 1)  3
2 2
c 2 1

You might also like