Professional Documents
Culture Documents
(R5) Hi-Speed Math 3 Mockup 6 บท (ส.ค.2559) (ยังไม่ตีพิมพ์)
(R5) Hi-Speed Math 3 Mockup 6 บท (ส.ค.2559) (ยังไม่ตีพิมพ์)
5. เมื่อกำหนดแผนภำพของเซตดังรูป A C [O56]
ให้แรเงำบริเวณที่แทนเซต (A B)' C B
C
7. ให้เขียนแผนภำพแรเงำแทนเซต ((C A) (C B)) ((A C) (A B C)) [O54]
15. กำหนดให้ A {, {}, {, {}}} และ B P(A) {, {}} [P53B]
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) n(B) 6 (ข) {, {}, {{}}} B
26. ให้ A และ B เป็นเซต โดยที่จำนวนสมำชิกของ P(A B) และ P(A B) เท่ำกับ [P54B]
256 และ 16 ตำมลำดับ ถ้ำจำนวนสมำชิกของ P(A) เป็น 4 เท่ำของจำนวนสมำชิกของ P(B)
แล้ว จำนวนสมำชิกของ P(B A) เท่ำกับเท่ำใด
41. ให้ A, B, C เป็นเซตใดๆ ถ้ำ n(A) n(B) n(C) 185 และ n(A B C) 89 [P53C]
แล้ว n(A B C) มีค่ำไม่น้อยกว่ำเท่ำใด
20. วิธีที่ 1
โจทย์กำหนด ก ข ค 34 คน 25. n(A) 4 , n(B) 5 , n(A B) 6
ก ข ค ง แสดงว่ำ n(A B) 4 5 6 3
แสดงว่ำ ง 40 34 6 คน
และโจทย์กำหนด ค ง 16 คน ผัก เนื้อ หำ n(P(A) P(B)) ได้จำก
แสดงว่ำ ค 16 6 10 คน n(P(A)) n(P(B)) n(P(A) P(B))
2. ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O52]
(ก) มีจานวนตรรกยะที่มากที่สุดที่น้อยกว่า 1
(ข) มีจานวนอตรรกยะที่มากที่สุดที่น้อยกว่า 1
3. ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O56]
(ก) 0.1010010001, 1.22222... และ 1.010010001... มีจานวนตรรกยะ 1 จานวน
(ข) 22
7
, 4 และ 3 มีจานวนตรรกยะ 1 จานวน
3 , 27 3 และ 3 3 มีจานวนตรรกยะ 1 จานวน
(ค) 11
5. ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O52]
(ก) จานวนตรรกยะสองจานวนที่ต่างกัน ลบกันแล้วได้จานวนตรรกยะเสมอ
(ข) จานวนอตรรกยะสองจานวนที่ต่างกัน ลบกันแล้วได้จานวนอตรรกยะเสมอ
6. ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O52]
(ก) อินเวอร์สการบวกของ a คือจานวน b ที่ทาให้ a b b a 0
(ข) อินเวอร์สการคูณของ a คือจานวน b ที่ทาให้ a b b a 1
60. กาหนดให้ Sn (31 , 2) (24 , 3) (53 , 4) ... (nn2 , n 1) เมื่อ n เป็นจานวนนับใดๆ [P52C]
ให้หาค่าของ n ที่น้อยที่สุดที่ทาให้ Sn (699 799 499
, 999)
4 3 2
61. ให้ f(x) x 33x 2 a2 x 7 เมื่อ a, b เป็นจานวนเต็ม [P54A]
x b x 5
ถ้า A {(a, b) | f(1) 0 } และ B {(a, b) | a2 2ab b2 < 1}
แล้ว จานวนสมาชิกของ A B เท่ากับเท่าใด
76. ถ้าพหุนาม P(x) และ Q(x) ดีกรี 2014 สอดคล้องกับเงื่อนไข P(n) Q(n) [P52A]
ทุกๆ n 1, 2, 3, ..., 2013 และ P(2014) 543 Q(2014)
แล้ว ค่าของ P(0) ต่างจาก Q(0) เท่ากับเท่าใด
80. ถ้า m เป็น ห.ร.ม. ของ 481 และ 555 และ n เป็น ห.ร.ม. ของ 510 และ 555 [P52C]
แล้ว m n มีค่าเท่ากับเท่าใด
81. ถ้า m และ n เป็นจานวนเต็มบวกซึ่งมี ค.ร.น. เท่ากับ 450 [S57]
และ m n 5 แล้ว m 2n มีค่าเท่ากับเท่าใด
101. ให้ 4a8 และ 1b3 เป็นจานวนสามหลัก โดยที่ 4a8 1b3 295 [P54A]
ถ้า 4a8 หารด้วย 9 ลงตัว แล้ว ค่าของ a b เท่ากับเท่าใด
(ข) เป็นจานวนอตรรกยะ (ทศนิยมไม่ซ้า) ทั้งหมด (ค) ผิด เพราะ x(y ) (xy)z เสมอไป
( 227
เป็นจานวนอตรรกยะเพราะสองจานวนนี้เป็น
ค่าประมาณของกัน มีค่าต่างกันเล็กน้อย ลบกันไม่เป็น 0)
9. (ก) ถูก (a 1) (a 1) 1 (a)(a) 1 a2
3
(ค) จานวนตรรกยะได้แ ก่ 11 เท่านั้น เพราะเป็นเศษส่วน และ (a a) 1 1 (a 1)(a 1) 1 1 a2
ของจานวนเต็ม อีกสองจานวนเป็นจานวนอตรรกยะเพราะ
มีค่าเป็นทศนิยมไม่ซ้า (ข) ผิด (a 1) (a 1) 1 (a 2)(a) 1 a2 2a
แต่ (a a) 2a 1 1 (a 1)(a 1) 2a 1
ดังนั้น (ก) (ข) ผิด และ (ค) ถูก 3 a2 2a
5. จานวนเต็มหรือเศษส่วนของจานวนเต็มใดๆ เมื่อลบกัน
แล้วผลลัพธ์ยังคงเป็นจานวนเต็มหรือเศษส่วนของจานวน
เต็มอยู่เสมอ ดังนั้น (ก) ถูก
10. จากการพิจารณา จะทราบว่า เป็นการดาเนินการที่ ดังนั้น (0 1) 1 c 1 a/ 3 1
(3 0) 9a 9a 27
ให้ผลลัพธ์เป็นค่าที่มากกว่า และ เป็นการดาเนินการที่
ให้ผลลัพธ์เป็นค่าที่น้อยกว่า ส่วนกรณีที่ค่าเท่ากัน ก็จะให้
ผลลัพธ์เป็นค่านั้นๆ
14. สมมติครูสูง x ซม. จะได้นักเรียนสูง x 27 ซม.
(ก) ถูก เพราะ x y กับ y x จะได้ค่าที่น้อยกว่า
(หรือเท่ากัน) ออกมา ทั้งสองคนสูงรวมกันไม่เกิน 325 ซม.
เขียนเป็นอสมการได้ x (x 27) < 325
(ข) ถูก เพราะทั้ง x (y z) กับ (x y) z จะได้ค่าที่ 2x < 352 x < 176
มากที่สุดในบรรดา x, y, z ออกมา แสดงว่าครูมีส่วนสูงได้มากที่สุด 176 เซนติเมตร
(ค) ถูก สมมติว่า y < z
กรณี x < y จะได้ x (y) (y) (z) y y
กรณี y < x < z จะได้ x (y) (x) (z) x x
15. สมมติรับพิมพ์เอกสารวันละ x หน้า
กรณี x > z จะได้ x (y) (x) (x) x x โดยมีกาไรหน้า ละ 18 3 15 บาท
พบว่าข้อความเป็นจริงทุกกรณี ดังนั้น เมื่อหักค่าเช่า ร้านจะเหลือเป็นค่าแรง
วันละ 15x 80 บาท
11. จาก 1 1 1 5 6 ต้องการค่าแรงอย่างน้อยวันละ 800 บาท
และ 11(1 1 1) 1121 21 1 2 2(6) 12
เขียนเป็นอสมการได้ 15x 80 > 800 x > 58.67
แสดงว่าต้องรับพิมพ์เอกสารอย่างน้อยวันละ 59 หน้ำ
จะได้ 2 1 2 1 1 2 3 3(12) 36
2 (2 1) 2 3 3
3 2 32 2 3 5 5 (36) 90
3 (3 2) 35 5 2 16. สมมติที่ดินมีความกว้าง x เมตร
5 3 5 3 3 5 8 8 (90) 240 จะได้ความยาวเป็น 2x 2 เมตร
5 (5 3) 5 8 8 3
เนื่องจากพื้นที่เท่ากับ 84 ตารางเมตร
ก็แสดงว่า 120 (5 8) 120 240 จึงได้สมการ (x)(2x 2) 84
จาก 120 120 120 5 125 2x2 2x 84 0 2(x 7)(x 6) 0
และ 120120 120
(120 120)
120 120
120 240
120 1
240 2
แต่ x ไม่สามารถติดลบได้ ดังนั้น x 6 เมตร
120 240 2(125) 250 แสดงว่าที่ดินกว้าง 6 เมตร และยาว 14 เมตร
ความยาวของรั้ว (เส้น รอบรูป ) จึงเท่ากับ 40 เมตร
แก้ระบบสมการ พบว่าคาตอบมีได้มากมายหลายชุด 2a 2
ในรูป (a, b, c) (a, 7a6 3 , a 3 3) 8 288 8 12 2 46 2
2 2
แสดงว่าด้านกว้างของสี่เหลี่ยมยาว 4 6 2 นิ้ว (ไม่ 21. จาก (p 1)2 64 จะได้ p1 8 หรือ –8
สามารถติดลบได้) และด้านยาวยาว 9 6 2 นิ้ว ดังนั้น p 9 หรือ –7
ซึ่งรากนี้จะเป็นจานวนจริงเมื่อภายในรู้ทไม่ติดลบ
วิธีที่ 2 จากผลเฉลย x 23
..นั่นคือ m2 8 > 0 (m 8)(m 8) > 0
เราอาจเขียนพหุนามในรูป (3x 2)(mx n)
แล้วเทียบสัมประสิทธิ์ของผลคูณกับ 3x2 bx 8
จะทราบว่า m 1 , n 4 ทันที 8 8
ดังนั้น อีกผลเฉลยของสมการก็คือ –4
จะได้เซตของจานวนจริง m คือ (, 8] [ 8, )
1 2 1 –5 2 + – + – +
2 3 –2
2 3 –2
–3 –3/2 0 2
จะได้ (x 1)(2x2 3x 2) 0 จานวนเต็มที่สอดคล้อง ได้แก่ –3, –2, 1, 2
(x 1)(x 2)(2x 1) 0 รวม 4 จำนวน
เซตคาตอบคือ {1, 2, 1} มีผลบวกเป็น 1
2 2
37. ให้ x2 A
33. จากการหารสังเคราะห์ จะได้อสมการเป็น (A 4)(A 2) < 5
–1 8 18 7 –3 แจกแจงได้ A2 2A 8 5 < 0 (A 3)(A 1) < 0
–8 –10 3 1 < A < 3 ก็แสดงว่า 1 < x2 < 3
8 10 –3
จะได้ (x 1)(8x2 10x 3) 0 ซึ่งค่า x ที่สอดคล้อง ได้แก่ 3 <x< 3
(x 1)(4x 1)(2x 3) 0 ดังนั้น a2 b2 ( 3)2 ( 3)2 6
รากของสมการได้แก่ 3 , 1, 1
2 4
+ – + – +
–2 –1 –1/2 2 45. (ก) ผิด เช่น a 1 , b 2 , c 3
จานวนเต็มที่ไม่อยู่ใน S ได้แก่ –2, –1, 1, 2 จะได้ ab c 0 แต่ a bc 0
รวม 4 จำนวน (ข) ถูก เนื่องจากเราทราบว่า ( a b)2 > 0 เสมอ
จะแจกแจงได้เป็น a 2 ab b > 0 a b > 2 ab
ซึ่งค่าของ 2 ab 3 ab เสมออยู่แล้ว ข้อนี้จึงถูก
40. (ก) ผิด ในกรณีที่ a 0
เช่น a 0 , b 1 , c 2 จะได้ ab ac แต่ b c
(ข) ผิด เช่น a 2 , b 0 , c 1 46. (ก) ผิด เช่น x 10
จะได้ a b c แต่ ab bc (ข) ผิด เช่น x 4
คาตอบคือ ข้อ 5. (ค) ถูก แยกอธิบายได้ 2 กรณีดังนี้
๏ กรณี 0 < x < 3 จะได้ว่า x x มีค่าเป็นบวกหรือ
ศูนย์
และคูณกันได้ผลลัพธ์ไม่เกิน 9 แน่นอน
41. (ก) ผิด เช่น a 2 , b 1
๏ กรณี x 0 จะได้ว่า x x มีค่าติดลบ
จะได้ a b แต่ a2 b2
ซึ่งไม่ว่าจะติดลบเท่าใดก็ย่อมมีค่าน้อยกว่า 9 เช่นกัน
(ข) ผิด เช่น a 0 , b 3
(ง) ผิด เช่น x 4
จะได้ a2 b2 แต่ a b
(ค) ผิด เช่น a 2 , b 1 , c 5
จะได้ ac bc แต่ a b
(ง) ถูก จาก a b เมื่อเรานา a ซึ่งในที่นี้เป็นจานวน 47. ในข้อนี้ไม่จาเป็นต้องทราบค่าประมาณของ sin 50
ติดลบไปคูณทั้งสองข้างของอสมการ ย่อมเกิดการพลิก ขอเพียงทราบว่า ค่า sin ของมุมใดๆ (ระหว่าง 0° กับ
เครื่องหมายเป็น a2 ab เสมอ 90°) มีค่าเป็นทศนิยม 0.กว่าๆ (ไม่ถึง 1) ก็เพียงพอแล้ว
จากนั้นเปรียบเทียบค่ามากน้อยทีละคู่ ดังนี้
๏ x กับ x2
42. (ก) ถูก ถ้า a < b โดยที่ ab 0 จานวนบวกที่มีค่า ไม่ถึง 1 เมื่อยกกาลังสองย่อมมีค่า
(ไม่มีทางเป็น 0 เพราะ a, b 0 ) ลดลงเสมอ ดังนั้น x2 x
a < b 1 < a1
จะได้ ab ab b ๏ x กับ 1 x x
(ข) ผิด ในกรณีที่ a และ b เป็นค่าติดลบทั้งคู่ จานวนบวก x ใดๆ ถูกหารด้วย 1 x ซึ่งมากกว่า 1
เช่น a b 2 จะได้ ab 4 2 a ผลหารย่อมมีค่าลดลงจากเดิมเสมอ ดังนั้น 1 x x x
(ถ้าจะให้ถูก ต้องเขียนเป็น ab a ) ๏ x2 กับ 1 x2x2
x2 ก็เป็นจานวนบวกที่มีค่าไม่ถึง 1 เช่นกัน
43. (ก) ผิด เช่น a 1 , b 2 ด้วยเหตุผลเดียวกันจึงสรุปได้ว่า 1 x2x2 x2
จะได้ a b แต่ a b ดังนั้น (ก) ผิด และ (ข) ถูก
(ข) ผิด เช่น a 1 , b 2
จะได้ a b แต่ a3 b3
48. โจทย์กาหนด p q .....(1)
และ r s .....(2) นั่นคือ s r .....(3)
44. (ก) ถูก เพราะเราทราบว่า b 0 และ c2 0
เสมอ (ในข้อนี้ไม่เป็น 0 เพราะจะทาให้ a b c3 0 ซึ่ง ดังนั้น (ก) ถูก p r q s เสมอ .....มาจาก (1)+(2)
ผิดเงื่อนไข) และเมื่อนาสองค่านี้มาหารออกจากอสมการ และ (ง) ถูก p s q r เสมอ .....มาจาก (1)+(3)
จะพบว่า a c 0 เสมอเช่นกัน
ส่วน (ข) และ (ค) ผิด
(ข) ผิด เช่น a c 1 , b 1
ยกตัวอย่างเช่น 3 4 และ 0 2 จานวนเต็มที่อยู่ในช่วงคาตอบนี้ได้แก่ –1, 0, 1, 2, …, 9
แต่ 3 2 4 0 และ 3 0 4 2 รวมทั้งสิ้น 11 จำนวน
96. เนื่องจากผลบวก
92. จาก xy 2x 3y 19 จะได้ (a b) (a c) (a d) (a e) (b c) ... (d e)
x(y 2) 3(y 2) 19 6 (x 3)(y 2) 13
4 (a b c d e)
แต่ x 3 กับ y 2 ต้องเป็นจานวนเต็ม มีค่าเท่ากับ 24 27 29 ... 45 340
จะเกิดได้ 4 กรณี คือ ดังนั้น a b c d e 340
4
85
x 3 13 , y 2 1 x 3 13 , y 2 1 แต่ a b 24 และ d e 45 อย่างแน่นอน
x 3 1 , y 2 13 x 3 1 , y 2 13 c 85 24 45 16
102. 368
42
8 เศษ 32 ดังนั้น a 8 107. ab bc ca ac cb ba
และ 326
5 เศษ 2 ดังนั้น b 5 , c 2 (10a b) (10b c) (10c a) ... (10b a)
22(a b c)
จะได้ a b c 8 5 2 11
ดังนั้น จานวน abc ต้องเป็นพหุคูณของ 22 .....(1)
และเนื่องจากจานวน ab, bc, ca, ..., ba แต่ละจานวนมี
ค่าไม่เกิน 99 จึงทาให้ abc มีค่าไม่ถึง 600 .....(2)
จากข้อสรุป (1) และ (2) เราจึงพิจารณาพหุคูณของ 22
ที่ไม่ถึง 600 และสอดคล้องกับ 22(a b c) abc
22 27 594 แต่ 27 5 9 4
22 26 572 แต่ 26 5 7 2
พบว่า 22 18 396 และ 18 3 9 6 พอดี
นอกจากนั้น 22 12 264 และ 22 6 132 ก็
สอดคล้องเงื่อนไขเช่นกัน จึงได้จานวน abc เป็น 396,
264, 132 ทาให้ a b c ทั้งหมดเท่ากับ 36
6 ? 5
8 3 8 6 5x
5 x x 9
6
โดยการให้เหตุผลแบบอุปนัย c b 2a มีค่าเท่ากับเท่าใด
33. กาหนดให้เอกภพสัมพัทธ์คือ {{a, b}, {a, c}, {b, c}} ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด [P52A]
(ก) xy [ x y ] (ข) xy [ x y U ]
(ค) xy [ y x และ y x ]
(ข) ถูก เพราะ ~ x [ P(x) ] x [ ~P(x) ] (ข) ผิด x [ x > 2 และ 2 < x 2 ] เป็นเท็จ
และ x [ ~ Q(x) ] ~ x [ Q(x) ] เพราะไม่มี x ใดที่สอดคล้องกับประโยคในวงเล็บ
x [ x 2 2 < x 2 ] เป็นเท็จ
เพราะมี x บางค่าที่ทาให้ประโยคในวงเล็บเป็นเท็จ
(T F) เช่น x 3
ดังนั้น ประพจน์ในข้อนี้มีค่าเป็น F F T
27. Q(x) ; x 1 3 x 1 (x 1)2 (3x 3)2 30. (ก) ผิด สมการ x2 y y2 x จะเป็นจริง
(x 1 3x 3)(x 1 3x 3) 0 เมื่อ y มีค่าเท่ากับ x ดังนั้น สาหรับทุกค่า x จะหาค่า y
(2x 4)(4x 2) 0 (x 2)(2x 1) 0 ที่สอดคล้องได้เสมอ ประพจน์แรกจึงเป็นจริง
จากเส้นจานวนได้ช่วงคาตอบ x 2 หรือ x 21 แต่สมการ x 2x ไม่มีคาตอบที่เป็นจานวนจริง
(ยืนยันได้จากกราฟ y x และ y 2x ไม่ตัดกัน)
(ก) ถูก ถ้า U (3, 1) จะได้ x [Q(x)] เป็นจริง ดังนั้น ประพจน์หลังจึงเป็นเท็จ
เพราะมี x บางตัวเช่น x 2.5 สอดคล้องกับ Q(x)
ดังนั้น x [P(x)] x [Q(x)] ? T T (ข) ผิด นิเสธของ ( ) คือ ( )
ดังนั้น นิเสธของประพจน์ที่กาหนดให้จะต้องเป็น
(ข) ถูก เพราะพบค่า x บางค่าที่ทาให้ P(x) Q(x) เป็น x x [ x > 0 y 0 xy > 0 ]
จริง เช่น เมื่อ x 3 จะได้ P(x) เป็น 34 < 32
1 < 1 ซึ่งจริง และ x 3 นี้ท าให้ Q(x)
นั่นคือ 81 9
เป็นจริงด้วย (ดังที่ได้แก้อสมการไว้แล้ว) 31. (ก) ถูก เช่น x 0 , y 0 จะทาให้ข้อความ
y < 0 เป็นจริง ประพจน์นี้จึงเป็นจริง
กรณี x2 4 0 (นั่นคือ 0 x 2 )
จะได้อสมการ x2 4 > 2x 5 x2 2x 9 < 0 32. (ก) ผิด x2 2xy y2 > 10xy x2
พบว่าเป็นจริงเสมอทุกค่า x ในกรณีนี้เช่นกัน y2 > 8xy (ตัด y ทั้งสองข้างได้ เพราะมีค่า เป็นบวก)
y
y > 8x x >8
(ข) ถูก ไม่มี x, y คู่ใดที่สอดคล้อง ดังนั้นประพจน์ในข้อนี้เป็นเท็จ
กรณี x2 5x 6 > 0 (นั่นคือ x > 3 , 0 x < 2)
จะได้อสมการ x2 5x 6 x2 8x 7 x 1 (ข) ผิด สมมติว่า y 1
13
พบว่า เป็นจริงเสมอ จะได้ x x 1 > 0 1 > 0 ซึ่งเป็นจริงเสมอ
ไม่ว่า x จะมีค่าเท่าใด ดังนั้นประพจน์ในข้อนี้เป็นจริง
กรณี x2 5x 6 0 (นั่นคือ 2 x 3 )
จะได้อสมการ x2 5x 6 x2 8x 7
2x2 3x 13 0
33. (ก) ถูก เพราะไม่มี x กับ y คู่ใด
พบว่า เป็นจริงเสมอทุกค่า x ในกรณีนี้เช่นกัน ที่ทาให้ x y
(ข) ผิด เพราะไม่มี x กับ y คู่ใดที่ทาให้ xy U
29. (ก) ผิด ประพจน์เป็นจริง เพราะมี x บางค่าที่ใช้ y (เช่น {a, b} {a, c} {a, b, c} U )
ได้ครบทุกตัว นั่นคือ x 1 จะได้ y 1, 0, 1
สอดคล้องกับอสมการ x y > 0 ทั้งหมด (ค) ผิด เพราะไม่มี x กับ y คู่ใดที่สอดคล้องกับ
“ x y และ y x ” เลย (x กับ y ที่ให้มา ไม่มีคู่ใดที่
(ข) ผิด ประพจน์เป็นจริง เพราะ x ทุกตัวจะมี y ที่ เป็นสับเซตกัน ยกเว้นตัวมันเอง)
สามารถใช้คู่กันได้ เช่น (1, 1) (0, 0) (1, 1)
34. ข้อนี้เกินขอบเขต O-NET เพราะไม่ใช่ “การให้ (ก) ถูก สามารถจัดได้ 2 แบบ วนกลับทิศ กัน
เหตุผล” แต่เป็น “การอ้างเหตุผล” ซึ่งอยู่ในเนื้อหา PAT 1 1
คือ 4 2 และ 2 4
(ก) ผิด ข้อนี้ไม่สมเหตุสมผล เพราะเมื่อเหตุเป็นจริง
พร้อมกันทั้งสองข้อ ผลที่ให้มาอาจเป็นจริงหรือเท็จก็ได้ 3 6 6 3
5 5
(นั่นคือ “แดดร้อนและอานวยไปว่ายน้า” ก็ไม่ขัดแย้งกับ
เหตุที่ให้มา) (ข) ถูก ทั้งสองแบบจะได้ 3 ตรงข้ามกับ 2 เสมอ
(ข) ถูก ข้อนี้สมเหตุสมผล เพราะเมื่อเหตุเป็นจริงพร้อม
กันทั้งสองข้อ ผลที่ให้มาจะเป็นจริงตามไปด้วยเสมอ 38. พิจารณาหลักที่สาม (หลัก 2 5
กลาง) เลขที่หายไปคือ 3, 4 a 1 4
แต่ในแถวที่สองมี 4 อยู่แล้ว
35. (ก) ถูก เขียนเป็นอันดับจากคะแนนมากไปน้อยได้ ดังนั้น a 3 และ b 4
2 5
ดังนี้ 1. สมชาย 2. สมศรีหรือสมสมร 3. สมใจ c 3 1 d 2
4. สมศรีหรือสมสมร 5. สมศักดิ์ พิจารณาแถวที่สี่ เลขที่หายไป x b
คือ 4, 5 แต่ในหลักที่สี่มี 5 อยู่แล้ว
(ข) ผิด ถ้าสมใจได้อันดับ 1 สมชายจะได้อันดับ 3
นอกนั้นสมชายจะได้อันดับ 1 เสมอ ดังนั้น d 4 , c 5
ดังนั้นสมชายได้อันดับ 1 ถึง 4 ครั้ง 1 4 2 5 3
จากนั้นใช้หลักการเดียวกันนี้ 2 5 3 1 4
พิจารณาหลักที่สี่ แถวที่สอง และ 4 2 5 3 1
แถว-หลักอื่นๆ ตามลาดับขั้น
36. (ก) ถูก วิธียืนเข้าแถวเป็นดังนี้ จนกระทั่งเติมจานวนได้ครบทุก 5 3 1 4 2
B, D, A, (EหรือF), C, (EหรือF) ช่อง จะทราบว่า x 3 x 1 4 2 5
(ข) ผิด มีวิธียืนเข้าแถว 4 วิธี ดังนี้
B, D, A, E, C, F B, D, A, F, C, E
E, C, D, A, F, B F, C, D, A, E, B 39. จากรูป
คิดได้โดยวางตาแหน่ง B กับ C ก่อน 9 a b c x d e f 3
ตามด้วย D, A และ E, F
a b c 20 และ 9 a b 20 ดังนั้น c 9
d e f 20 และ e f 3 20 ดังนั้น d 3
37. กาหนดหมายเลขลงในรูป c x d 20 9 x 3 20 x 8
ตามข้อมูลที่ให้มา ทีละข้อๆ 1
2
8. เส้นตรงเส้นหนึ่งผ่ำนจุดกำเนิดและจุดยอดของพำรำโบลำ y2 6y 4x 5 0 [P52A]
ถ้ำเส้นตรงนี้ตัดกับไดเรคตริกซ์ของพำรำโบลำที่จุด (a, b) แล้ว ค่ำของ b a เท่ำกับเท่ำใด
2
23. วงรีรูปหนึ่งมีสมกำรเป็น (x 94) (y25
2)
2
1 [S56]
ถ้ำ O คือจุดกำเนิด, F1 และ F2 คือจุดโฟกัสของวงรี โดยที่ OF1 OF2
แล้ว ระยะทำงจำกจุด F2 ไปยังเส้นตรงที่ผ่ำนจุด F1 และ (1, 2) เท่ำกับเท่ำใด
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) จุดยอดของ H กับ E อยู่ที่เดียวกัน และแกนสังยุคของ H ยำวเท่ำกับแกนโทของ E
(ข) จุดยอดจุดหนึ่งของ E อยู่บนกรำฟของ P
ค่ำของ 3a b 12 2 10
4. (ก) ผิด mAB 1300 31 ดังนั้น mAC 3
จะได้สมกำรเส้นตรงเป็น y 3x
7. จัดรูปหำพำรำโบลำ; y2 4(3) x
(ข) ถูก สมมติ C มีพิกัด (x, 3x) เป็นพำรำโบลำเปิดซ้ำย จุดยอด (0, 0) จุดโฟกัส (3, 0)
จะหำได้โดยระยะ BC 10 ดังนั้นจึงหำระยะจำก (3, 0) ไปยัง 4x 3y 5 0
|4(3)05| 17
จะได้เท่ำกับ
5
3.4 หน่วย วงกลมรัศ มี 3 หน่วย จุดศูนย์กลำงอยู่ที่ (3, 4)
42 32
ระยะจำก (3, 4) ไปยังเส้นตรง 12x 5y 10 0
เท่ำกับ |12(3) 25(4)2 10| 26
13
2 หน่วย
8. จัดรูปพำรำโบลำ; y2 6y 9 4x 5 9 12 5
2
(y 3) 4x 4 (y 3)2 4(1)(x 1)
ไม่เท่ำกับรัศ มีวงกลม แสดงว่ำเส้นตรงไม่สัมผัสวงกลม
9. พำรำโบลำเปิดขวำ c 2
มีสมกำรเป็น y2 4(2)(x 2) y2 8x 16 12. จัดรูปวงกลม;
(x2 4x 4) (y2 6y 9) 9 4 9
แก้ระบบสมกำรหำจุดตัด (A และ B) ได้โดย
(x 2)2 (y 3)2 22
แทนค่ำ y x ลงในสมกำรพำรำโบลำ
จะได้ (x)2 8x 16 x2 8x 16 0 วงกลมมีจุดศูนย์กลำง (2, 3) สัมผัสแกน Y ที่ (0, 3)
x 8 64 64 4 4 2 จะได้พำรำโบลำมีจุดโฟกัส F(2, 3)
2
ดังนั้นจุด A และ B คือ (4 4 2, 4 4 2) และจุดยอด V (0, 3) แสดงว่ำ เป็นพำรำโบลำเปิดขวำ
c 2 และควำมยำวเลตัสเรคตัม (AB) 4c 8
และ (4 4 2, 4 4 2) ตำมลำดับ
ABV 1 (c)(4c) 1 (2)(8)
2 2
ระยะ AB (8 2) (8 2) พื้นที่ 2 2
2 (8 2) 16 หน่วย 8 ตารางหน่วย
mAB mAC 1
10. AB ตั้งฉำกกับ AC แสดงว่ำ 13. แก้ระบบสมกำรหำจุดตัด (P และ Q)
( a 4)(8 a) 1 โดยแทน y 2 x ลงในสมกำรวงกลม
4 3
2
a 12a 20 0 (a 10)(a 2) 0 จะได้ x2 (2 x)2 4x 6(2 x) 4 0
แต่ a 6 ดังนั้น a 2 เท่ำนั้น x2 4 4x x2 4x 12 6x 4 0
สมกำรเส้นตรง L คือ y 2 2(x 1) y 2x 2(x2 7x 10) 0 2(x 5)(x 2) 0
ดังนั้น x 5 หรือ 2
นำไปแก้ระบบสมกำรร่วมกับพำรำโบลำ y2 bx b แสดงว่ำจุด P และ Q คือจุด (5, 3) และ (2, 0)
จะได้ (2x)2 bx b 4x2 bx b 0
2
x b b 16b เขียนพำรำโบลำที่มีแกน x
8
เป็นแกนสมมำตร และผ่ำน
กรำฟตัดกัน 1 จุด (สัมผัสกัน) แสดงว่ำภำยในรู้ทเป็น 0 2 จุดนี้ได้ดังรูป
นั่นคือ b2 16b 0 b (b 16) 0
b 0 หรือ 16 แต่ถ้ำ b 0 จะไม่เป็นพำรำโบลำ สมกำรคือ y2 4 c(x 2)
b 16 แทนค่ำ (5, 3) จะได้ (3)2 4c(3) c 9 3
12 4
ดังนั้นจุดโฟกัสคือ (11
4
, 0)
และ a 11 4
2.75
11. (ก) ผิด ในที่นี้แก้ระบบสมกำรเพื่อหำจุดตัดได้ยุ่งยำก
จึงใช้วิธีจัดรูปหำส่วนประกอบของวงกลมแทน ดังนี้
(x2 6x 9) (y2 8y 16) 16 9 16
14. จัดรูปพำรำโบลำ; (y2 4x 4) 2x 7 4
(x 3)2 (y 4)2 32
(y 2)2 2x 3 4( 1)(x 3)
2 2
พำรำโบลำเปิดซ้ำย จุดยอด ( 3 , 2) c 1
2 2
ดังนั้นจุดโฟกัสอยู่ที่ (2, 2)
จะได้ระยะจำก (h, 0) ไปยังเส้นตรง เท่ำกับรัศ มี
สมมติศ ูนย์กลำงวงกลมคือ (h, k) นั่นคือ |0 23h 23| h 2 3h 3 5(h 2)
4 3
จำกควำมชันเส้นสัมผัส 43 แต่ h 2 จึงถอดค่ำสัมบูรณ์ได้ 3h 3 5h 10
จะได้ควำมชันรัศ มีที่เชื่อม (h, k) กับ (1, 1) เป็น 43 h 6.5
นั่นคือ 43 kh 11 4h 3k 1 .....(1) ดังนั้น r 4.5 และ a 11
แต่รัศ มี (h, k) ไปยัง (2, 2) กับ (1, 1) ต้องยำวเท่ำกัน
จึงได้ (h 2)2 (k 2)2 (h 1)2 (k 1)2
h2 4h 4 k2 4k 4 h2 2h 1 k2 2k 1 18. วงกลม (x 4)2 y2 ( 20)2
6h 2k 6 k 3h 3 .....(2) และเส้นตรง 2y x 6 0
มีกรำฟดังรูป
แก้ระบบสมกำรได้ผลเป็น (h, k) (2, 3)
จึงได้รัศ มีเท่ำกับ 5 หน่วย และสมกำรวงกลมคือ
(x 2)2 (y 3)2 52 x2 y2 4x 6y 12 0 สมกำร L2 อยู่ในรูป 2y x C 0
DE F 24 (12) 36 (เพรำะ L2 ขนำนกับ L1 )
หำค่ำ C ได้จำกระยะ 20 หน่วย
|0 4 C|
20 4 C 10
22 12
15. สมมติจุด C มีพิกัดเป็น (a, 2 a) C 6 หรือ 14
17. สมกำรเส้นตรงคือ
y 3 (x 1) 4y 3x 3 0 20. หำรัศ มีวงกลมได้จำก
4
สมมติศ ูนย์กลำงวงกลมอยู่ที่ (h, 0) ระยะระหว่ำง (1, 2) และ 2x y 1 0
ดังรูป (ทำให้มีรัศ มี h 2 ) นั่นคือ r |2(1)22(2)
12
1|
5 5 หน่วย
5
สมกำรวงกลมคือ (x 1)2 (y 2)2 ( 5)2 23. วงรีแนวตั้ง มีจุดศูนย์กลำงเป็น C(4, 2)
2 2
x 2x 1 y 4y 4 5 และระยะโฟกัส c 25 9 4
x2 y2 2x 4y 0
แสดงว่ำจุดโฟกัสได้แก่ F(4,
1
6) และ F2(4, 2)
ระยะระหว่ำ ง A กับเส้นตรงที่กำหนด
แทนค่ำ (1, 6) ลงไป ได้ 68 41 1 ซึ่งเป็นจริง
เท่ำกับ |3(2) 24(3)2 3| 15
5
3 หน่วย
แสดงว่ำ จุดนี้อยู่บนวงรี
3 4
2( 5 2) 10 8
3.162 2.828 0.33
40. จัดรูปไฮเพอร์โบลำ;
43. y2 x2 1
มีกรำฟเป็นรูปวงกลมรัศ มี 1 หน่วย
y x a เป็นเส้นตรงควำมชัน 1 ตัดแกน Y ที่ (0, a)
จำกรูป คำนวณ a ได้จำกสำมเหลี่ยมหน้ำจั่วมุมฉำก
นั่นคือ a 12 12 2
เส้นตรงที่ตัดวงกลม 2 จุด
จะต้องมีค่ำ a ในช่วง ( 2, 2)
y2 x2 1 มีกรำฟเป็นรูปไฮเพอร์โบลำมุมฉำก
เส้นกำกับมีควำมชัน เป็น 1 และ –1
y bx เป็นเส้นตรงควำมชัน b ผ่ำ นจุด (0, 0)
เส้นตรงที่ตัดไฮเพอร์โบลำ
จะต้องมีค่ำ b ในช่วง [1, 1]
ค่ำของ a21 a22 b21 b22 2 2 1 1 6
6. ถ้ำ r1 {(1, 2),(0, 1),(1, 2),(2, 3),(3, 4)} และ r2 {(x, y) | y 1 x } [O49]
แล้ว n(r1 r2) เท่ำกับเท่ำใด
t0 X t0 X
a a
(ค) nY t (ง) nY
t
+t +t
ac a a
ca
n n
ton0 X ton 0 X
+as as+
+ +
n+c n+c
t t
+to +o t
12. กำหนดให้ Acsa {7, 77}ac c a
ac [O52]
ควำมสัมพันธ์oภn+ ำยใน A แต่ no ละแบบต่อไปนี้เป็นฟังก์ชัน ถูกหรือผิsด no
o+ n
(ก) เท่ำs+กับ s (ข) ไม่เท่ำsกับ+ s
(ค) หำรลงตั + +
+c ว (ง) หำรไม่+ลงตั c ว
+ +
o o c
c
13. กำหนดควำมสั s ม พั น ธ์ r {(a, b) A B | a ไปหาร b ลงตั ว } s [O50]
o o
ถ้ำ A {2, 5,+7} แล้ว เซต B ในแต่ละข้อต่อไปนี้ทำให้ r เป็นฟัง+ก์ชัน ถูกหรื อผิด
s s
(ก) {0, 5, 14} (ข) {7, 10, 14}
(ค) {4, 5, 10}
+
(ง) {4, 7, 25}
+
14. ถ้ำ f {(1, 2),(2, 5),(3, 4),(4, 1),(5, 0)} แล้ว f(5) f(1) มีค่ำเท่ำใด [O49]
Y
15. กำหนดกรำฟของฟังก์ชัน f เป็นดังรูป [O53]
ค่ำของ 3 f(3) 2 f(2) f(0) เท่ำกับเท่ำใด 2
O X
–2
16. ถ้ำ f(x 2) 2x 1 แล้ว ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด [O54]
2 2
(ก) f(8) 14 (ข) f(x ) 2x 1
19. ถ้ำ A และ B เป็นเซตที่มีสมำชิก 5 และ 6 ตัว ตำมลำดับ และ n(A B) 8 [P56]
แล้ว ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) ควำมสัมพันธ์ภำยใน A B มี 64 แบบ
(ข) ควำมสัมพันธ์จำก A B ไป B A มี 64 แบบ
+ + ac a+
42. ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
no n [P53C]
(ก) {(x,y) R R | x y 2 } เป็นฟังก์ชัน
(ข) {(x,y) R R | x y 2 และ xy > 0 } เป็นฟังก์ช+ัน s
2 2
c+ +
43. ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด o [P54A]
(ก) {(x, y) R R | x4
9y 2
5 4x 6y 2
} เป็นฟังก์ชัน c
(ข) {(x, y) R R | x 6y 3 4x 9y } เป็นฟังก์ชัน s
4 2 2
+ o
44. ให้หำผลบวกของกำลังสองจำนวนทั้งหมด s [O52]
x
ที่ไม่อยู่ในโดเมนของฟังก์ชัน y x 4x 3x 1
2 3 x 1 2
+
45. กำหนดให้ f(x) 4 2x และ g(x) 1 x 3 [O53]
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) Df Rg R (ข) Dg Rf R
f(x) 3x 6x 5
2
52. ให้ f เป็นฟังก์ชันภำยในเซตจำนวนจริง โดยที่ x1
[P57A]
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) โดเมนของ f คือ R {1} (ข) เรนจ์ของ f เป็นสับเซตของ R (5, 5)
1 , |x| 1
59. ให้ f เป็นฟังก์ชันจำก R ไป R โดยที่ f(x) 1 x [P56]
x 1, |x| > 1
ค่ำสัมบูรณ์ของ f(f(f( 1))) เท่ำกับเท่ำใด
3
x 1 , x 1
65. ให้ f เป็นฟังก์ชันจำก R ไป R โดยที่f(x) x 1 [P54B]
1, x 1
ถ้ำ a เป็นจำนวนจริงที่ทำให้ (f f)(a) 1 2
1 2
แล้ว ให้หำค่ำประมำณของ a เป็นทศนิยมสองตำแหน่ง
4 X
(ข) ถูก เพรำะ –2 1 หมายเหตุ กราฟตัววีหงาย มุมฉาก จุดยอดอยู่ที่ (a, b)
บริเวณทำงซ้ำยของ –2 f(1 5) จะมีสมการรูปทั่วไปเป็น y x a b เราสามารถ
–9
จะมีกรำฟอยู่เหนือแกน X แทนค่า (a, b) (0, 1) ได้ทันที
(ง) ผิด เพรำะทำงซ้ำยของ –1 เป็นกรำฟที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ทำงขวำของ –1 นั้นกรำฟลดลงก่อนแล้วจึงค่อยสูงขึ้น 36. แทนค่ำ y 0 ลงในสมกำรเพื่อหำจุดตัดแกน X
ดังนั้น x 1 5 และ x 1 5 ซึ่งเป็นค่ำที่อยู่
ห่ำงจำก x 1 เป็นระยะเท่ำกัน จึงมีค่ำ y ไม่เท่ำกัน (ก) ผิด จำก 0 2 x2 x2 2
โดยทำงฝั่งลบจะมีค่ำ y มำกกว่ำ ไม่มีคำตอบที่เป็นจำนวนจริง แสดงว่ำกรำฟไม่ตัดแกน X
(ข) ถูก จำก 0 x 3 x 3 หรือ 3
พบว่ำตัดแกน X เป็นจำนวน 2 จุด
32. กรำฟ f(x) เป็นพำรำโบลำคว่ำ (ค่ำ a ติดลบ)
b 4k
จุดสูงสุดเกิดที่ x 2a (ค) ผิด จำก 0 x 4 x 4
2
แต่โจทย์กำหนดเส้นสมมำตรเป็น x 1 แสดงว่ำ ณ พบว่ำตัดแกน X เป็นจำนวน 1 จุด
จุดสูงสุดนั้นย่อมมีค่ำ x 1 ..จึงได้ 42k 1 (ง) ผิด จำก 0 (1/5)x
ดังนั้น k 2 และจะทรำบ f(x) x2 2x 4 ไม่มีคำตอบที่เป็นจำนวนจริง แสดงว่ำกรำฟไม่ตัดแกน X
(หรือพิจำรณำจำกกรำฟเอกซ์โพเนนเชียล แบบปกติที่ ไม่มี
หำค่ำสูงสุดของ f ได้จำก f(1) (1)2 2(1) 4 5 กำรเลื่อนแกน จะเห็นได้ว่ำไม่ตัดแกน X)
แสดงว่ำ f มีค่ำสูงสุดเท่ำกับ 5
กรณี 2 < x 2 0 จะได้ f(x) (, 21 ] 16 < y < 9 9 < y < 9 Rr [9, 9]
ดังนั้น Rf (, 21 ] (0, ) ดังนั้น Dr Rr [2, 9]
a2 2ab b2 2a 2b 5 a2 2ab b2 2a 2b 5
4ab 4b 0 4b(a 1) 0
57. g(1) 0 จะได้ 1 a 5 b 0 .....(1) b 0 หรือ a 1 แต่โจทย์กำหนด a, b 0
ดังนั้น a 1 เท่ำนั้น และจะได้ 5a 5
66. ทดลองแทน x ด้วย 1 x จะได้
1 x
2
62. (f g)(x) f(g(x)) (x 2) 1 1 x
f( 1 x ) 1 x f(1 x 1 x) 1 x
และ (g f)(x) g(f(x)) x2 2 1 1 x 1 x 1 x 1 x 1 x
ดังนั้น (a 2)2 a2 2 a2 4a 4 a2 2 1 x
4a 2 a 1 f(x) 1 x สำหรับจำนวนจริง x 1
2 1 x
(f g)(2a 1) (f g)(0)
f(0) g(0) 0 2 –2 (ก) ผิด เพรำะ (f f)(x) f(1 x) x
1 x
1 1 x
แต่ f(1 x) 1 x 1 x 1 x x
1 x 1 1 x 1 x 1 x
1 x
63. จำก f(x) mx c
1 1
จะได้ f(f(x)) m(mx c) c m2x mc c (ข) ผิด เพรำะ f(x1) x1 xx 11
และ f(f(f(x))) m(m2x mc c) c 1 x
m3x m2c mc c แต่ f(x) f(x) 1 x 1 x
1 x 1 x
(1 x) (1 x) 4x2
2 2
แต่ f(f(f(x))) 27x 28 (1 x)(1 x) 1x
แสดงว่ำ m3 27 m 3
และ m2c mc c 28
9c 3c c 28 c 4
67. เนื่องจำก f1(x x 1) x จึงให้ x 2
x1
(ก) ถูก m c 3 4 1 จะได้ x 2x 2 x 23
(ข) ถูก f(x) 3x 4 เป็นเส้นตรงเฉียงลง f(2) 2 และ f 1(2) 2
3 3
2x x(x 2) x 2 2x 4x x
ซึ่งกำรที่ f(x) 1 จะเกิดจำก 2 2 3 2
4 x(x 2) x 2x 4
x3 3x2 3x 1 (x 1)3 0 x 1 เท่ำนั้น
แสดงว่ำ g(1) จากสมการ (1) ต้องมีค่ำเป็น –1 แสดงว่ำ f(2 x) x และจะได้ f(x) 2 x
30 30
(f(x) x) (2) 20 (2) 40
ดังนั้น a(1) 1 1 a 2 x 11 x 11
x1 1
และ f4(x) x 1 x
x1 1
81. ให้สมกำรในโจทย์เป็น (1) และ (2) ตำมลำดับ x1
ดังนั้น f5(x) f(x),
1
f6(x) f2(x), f7(x) f3(x), ...
นำสองสมกำรมำบวกกันแล้วหำรด้วย 3 (วนซ้ำ 4 แบบ)
จะได้ (g f)(x) (g f)(x 1) 6x2 14
นำไปลบออกจำก (2) ได้เป็น (g f)(x) 3x2 3x 7 (ก) ผิด f2557(2) f(1 2) 31 3
(ข) ถูก f2557(x) f2014(x) f(x) 1
f2(x)
หำ g(x) ได้จำก (g f)(x) 3x2 3x 7
x 1 x1 (x 1)(x) (x 1) x2 1
2
จัดรูปได้เป็น g(x2 x 3) 3(x2 x 3) 2 x1 (x 1)(x) x x
g(x) 3x 2 และจะได้ g(4) 10
8 8 8 24 10 –1 (3, 2),(3, 2)
f(8) f(4 4) f(4) 2(4)(4) f(4)
Dr {3, 2, 1, 0, 1, 2, 3} Rr {7, 2, 1, 2}
24 32 24 80
จึงได้ Dr Rr {2, 1, 2} มีสมำชิก 3 ตัว
f(11) f(8 3) f(8) 2(8)(3) f(3)
80 48 15 143
หมายเหตุ จากการสังเกตผลลัพธ์ จะสรุปได้ว่า 90. f(4, 4) f(3, 4) f(3, 3)
ในข้อนี้ f(x) (x)(x 2) ทุกๆ จ านวนนับ x [f(2, 4) f(2, 3)] [f(2, 3) f(2, 2)]
[f(1, 4) f(1, 3)] 2[f(1, 3) f(1, 2)] [f(1, 2) f(1, 1)]
f(1, 4) 3 f(1, 3) 3 f(1, 2) f(1, 1)
87. จำก f(2x) 3 f(x) 4
แทนค่ำได้เป็น 109 26 3(15) 3 f(1, 2) 8
จะได้ f(2) 3 f(1) 4 3(2) 4 10
30
f(1, 2) 10
f(4) 3 f(2) 4 3(10) 4 34 3
f(8) 3 f(4) 4 3(34) 4 106
2a b 3 9 2a 2a b
2. ถ้า c 2 c [P53B]
d 3 4 3 3d 3 d
แล้ว ค่าของ 2a 2b 2c 2d เท่ากับเท่าใด
3 0 1 5
3. ถ้า A และ B เป็นเมทริกซ์ซึ่ง A 2B และ 2A B [P52B]
5 4 5 2
แล้ว ค่าของ c11 c12 c21 c22 เมื่อ C (AB)1 เท่ากับเท่าใด
1 1 a b
4. กาหนดให้ A และ B [P53C]
1 1
b c
4 1
ถ้า ABA 1 แล้ว ค่าของ ac b เท่ากับเท่าใด
1 0
a b
5. กาหนดให้ A เมื่อ a, b เป็นจานวนจริง [P54B]
1 1
และ B เป็นเมทริกซ์มิติ 2 2 ที่ทาให้ A2 B 2I และ AB 2A1 A
โดยที่ I เป็นเมทริกซ์เอกลักษณ์การคูณ ค่าของ b 2a เท่ากับเท่าใด
0 1 2 0 1 1
7. กาหนดให้ A , B 1 1 และ C [P53B]
1 0 0 2
ค่าของ det(AC2 CtB 2Bt ) เท่ากับเท่าใด
4 2
8 4 1 0 3
8. กาหนดให้ A เป็นเมทริกซ์ที่ทาให้ 6 5 3X 2 1 2 1 3 [P53C]
3 1
ค่าของ det(2Xt(X Xt)) เท่ากับเท่าใด
6 1 10 5
9. ถ้า A และ B เป็นเมทริกซ์ซึ่ง A 3B และ 3A B [P53A]
5 5 7 9
แล้ว ค่าของ det(A 1B3) เท่ากับเท่าใด
2 a x y 3 4
10. ให้ a, b, x, y, z, w เป็นจานวนจริง และ A
b 2 , B z w , C 1 2 [P55A]
ถ้า A2 7I และ AB 2C แล้ว ค่าของ det( 2B1) เท่ากับเท่าใด
1 x
11. กาหนดให้ x เป็นจานวนเต็มลบที่ทาให้ A มีค่าดีเทอร์มนิ ันต์เท่ากับ 4 [P54A]
x 3x
ถ้า B เป็นเมทริกซ์มิติ 2 2 โดยที่ AB A 1B 3I
แล้ว det(B) มีค่าเท่ากับเท่าใด
a 2 a
12. ถ้า A เมื่อ a เป็นจานวนจริง [S55]
2 a a
แล้ว det [(A 6 I)(A 3 I)(A 2 I)] มีค่าเท่ากับเท่าใด
6 a
13. กาหนดให้ A โดย a และ b เป็นจานวนจริงซึง่ ab 0 [P57B]
b 1
และเมทริกซ์ A สอดคล้องกับสมการ 2(A 3I)1 2I A
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) ab 10 (ข) det(3 A1AtA2) 144
1 0
14. กาหนดให้ A , B เป็นเมทริกซ์มิติ 2 2 [P57A]
2 1
และ x เป็นจานวนจริงที่ทาให้ det(xI A2) 0 ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(ก) det(xI A) 0 (ข) det(xI A2 2B) 4 det(Bt)
1 2 x
17. กาหนดให้ A 2 y 1 โดยที่ x, y เป็นจานวนจริง [P52A]
1 2 2
ถ้า C31(A) 14 และ C32(A) 5 แล้ว det(A) มีค่าเท่ากับเท่าใด
1 3 5
18. ให้ A 2 0 2 และ det(2A1) 2 ค่าของ x เท่ากับเท่าใด [P52C]
x3
x 0 0
1 2 1
19. ให้ x เป็นผลบวกของจานวนจริง a ทั้งหมดที่ทาให้ 0 2 a เป็นเมทริกซ์เอกฐาน [P56]
1 a 3
1 x
ถ้า A แล้ว ค่าของ det((A1)t)1 เท่ากับเท่าใด
x 1
3 2 2
20. กาหนดให้ A, B, C เป็นเมทริกซ์มิติ 33 โดยที่ A 1 1 1 , [P55B]
0 2 1
det(B) 0 และ det(B1CBt) 3 ดังนั้น det(CACt) มีค่าเท่ากับเท่าใด
4 3 a
21. กาหนดให้ A, B เป็นเมทริกซ์มิติ 33 โดยที่ A 0 1 b และ det(B) 3 [P56]
1 2 5
ถ้า 4B AB 3I เมื่อ I เป็นเมทริกซ์เอกลักษณ์การคูณ แล้ว ค่าของ 2a 2b เท่ากับเท่าใด
1 3 1
25. กาหนดให้ A 0 2x 0 และ det(I 2A 1) 0 เมื่อ x เป็นจานวนเต็มบวก [P54B]
0 0 x
ให้หาค่าของ det( 1 (4I At)A1)
2
1 2 3
26. กาหนดให้ A 0 5 1 [P52C]
4 2 2
สมาชิกในแถวที่ 3 หลักที่ 2 ของ A 1 มีค่าเท่ากับเท่าใด
1 3 0
27. กาหนดให้ A t 1 2 1 [P52A]
2 0 1
สมาชิกในตาแหน่ง 13 (แถวที่ 1 หลักที่ 3) ของ A 1 มีค่าเท่ากับเท่าใด
2 0 1 0 1 4 4 x
30. ให้ A 1 2 1 , B 2 0 1 , C 5 และ X y [P52C]
0 1 2 1 1 0 6 z
p
ถ้า AX C และ (2A B) X q แล้ว pqr มีค่าเท่ากับเท่าใด
r
3 2 1
โดยที่ 4 2 4 6 แล้ว 1 มีค่าเท่ากับเท่าใด
x
a b c
a b ab b 4 0
2
2. ผลบวกในตาแหน่งต่างๆ จะทาให้เกิดสมการดังนี้ a1 b1 0 4
ตาแหน่ง 11; 2a 9 2 2a 2a 9 a 1 และ b 3 ดังนั้น b 2a 5
ตาแหน่ง 12; b 3 2a 2b b 2a 3 6
ตาแหน่ง 22; 4 3d 2d d 4
ตาแหน่ง 21; d 3 3c 2 3c 3c d 3 1 6. (ก) ถูก เพราะอินเวอร์สของฝั่งขวามือ
c 0
คือ (B1(A1 B1)1A1)1 A(A1 B1)B
2a 2b 2c 2d 9 26 20 24
A A1B AB1B IB AI B A
9 64 1 16 90
(ข) ผิด เพราะอินเวอร์สของฝั่งขวามือ
คือ (B(A B)A)1 A1(A B)1B1
3. นา 2 คูณสมการ (1) จะได้ 2A 4B 6 0
ไม่สามารถคูณแจกแจงเข้าในวงเล็บได้
10 8
5B 5 5
แล้วลบออกจากสมการ (2) จะได้
15 10
AC2 0 1 1 1 1 1
7.
B 1 1
และ A 3 0 2B 1 2
1 0 0 2 0 2
3 2 5 4 1 0
0 2 1 1 0 4
1 1 0 2 1 3
AB 1 2 1 1 5 3
จะได้ det(AB) 2
C tB 1 0 2 0 2 0 2Bt 4 2
1 0 3 2 1 1 และ
1 2 1 1 4 2 0 2
C (AB)1 1 1 3 1/2 3/2
AC2 C tB 2Bt 6 2
2 1 5 1/2 5/2
5 7
จะได้ c11 c12 c21 c22 21 23 21 52 1 จะได้ det(AC2 CtB 2Bt) 42 10 52
4 1 4 2
4. ให้ 1 0 C สมการในโจทย์คือ ABA1 C
3X 1 0 3 1 3 8 4
8.
2 1 2 3 1 6 5
จะได้ AB CA B A 1C A
5 5 8 4 3 9
A 1 1 1 1
ซึ่ง 2 1 1 15 1 4 5 9 6
X 1 3 X t 1 3
B 1 1 1 4 1 1 1
จะได้
ดังนั้น 2 1 1 1 0 1 1 3 2 3 2
X X t 2 0
0 4
det(2X t(X X t)) (2)2 X X X t (6 4)(3 4)(2 4) 4
(4)(11)(8) 352
13. จากสมการ 2(A 3I)1 2I A
นา A 3I คูณทั้งสองข้าง
3A 9B 18 3
9. นา 3 คูณสมการ (1); จะได้ 2(I) (2I A)(A 3I)
15 15
2I 2A 6I A2 3A
8B 8 8 B 1 1
แล้วลบด้วย (2); A2 5A 4I 0 (A 4I)(A I) 0
8 24 1 3
A 2 a 2 a 4 ab 0
det(3A A A ) (32) 1 A A
2 2
10. จาก จะได้ 1 t 2
b 2 b 2 0 4 ab |A|
A2 7I 7 0
2
โจทย์กาหนด แสดงว่า ab 3 9 A 9(16) 144
0 7
และจะได้ det(A) 4 ab 7
A2 1 0 1 0 1 0 I
จาก AB 2C จะได้ A B 22 C
14.
2 1 2 1 0 1
(7) B (4)(2) B 8
7 ดังนั้น det(xI A2) det(xI I)
det( 2B1) ( 2)2 2(7)
|B| 8
1.75 x 1 0 (x 1)2
0 x 1
โจทย์กาหนดให้มีค่า เท่ากับ 0 จึงได้ x 1
A A 1 1 1 3
4 3 11
A a b
15. สมมติ
c d
จาก AB A1B 3I จะได้ (A A1)(B) 3I
จาก det(A) 3 ad bc 3
A A1 B 3I ( 1)2(20) B (3)2
4 จาก det(A 4I) 0 (a 4)(d 4) bc 0
det(B) 36 –7.2 ad bc 4a 4d 16 0
5
3 4a 4d 16 0 4a 4d 19
mA mA 1 ma d mb b
mc c md a
โจทย์กาหนดให้มีค่า det เป็น 0 20. จาก det(B1CBt) 3
จะได้ (ma d)(md a) (mb b)(mc c) 0 1 C B 3 นั่นคือ det(C)
จะได้ |B| 3
m2ad ma2 md2 ad m2bc 2mbc bc 0 และในข้อนี้ det(A) 3 4 2 6 3
m2(ad bc) m(a2 d2 2bc) (ad bc) 0
det(CACt) C A C (3)(3)(3) 27
m3 m(a2 d2 2ad 2m) m 0
m3 m(a d)2 2m2 m 0
m(m2 2m 1 (a d)2) 0
21. จาก 4B AB 3I
(4I A)B 3I
m((m 1)2 (a d)2) 0
แต่ m 0 4I A B 3 I 4I A 27 9
3
3
จึงสรุปได้ว่า m 1 0 m 1 และ a d 0 0 3 a
(ต้องเป็น 0 ทั้งคู่ เนื่องจากพจน์กาลังสองไม่มีทางติดลบ) แต่เนื่องจาก det(4I A) 0 3 b 3a 3b
1 2 1
3 2 1
หา det ได้จากข้อมูลที่กาหนดให้ 4 2 4 6
a b c
ทรานสโพส (det ไม่เปลี่ยน) และสลับหลัก (det ติดลบ)
a 4 3
ได้เป็น b 2 2 6
c 4 1
a 2 3
นา 1 คูณหลักที่สอง ได้เป็น b 1 2 6( 1) 3
2 2
c 2 1