Professional Documents
Culture Documents
กำแพงกันดินB6235505
กำแพงกันดินB6235505
จัดทำโดย
นายธิตินันท์ เสรีผล
B6235505
เสนอ
อาจารย์ ดร.อภิชาติ สุดดีพงษ์
บทนำ
โครงสร้างกันดินถูกสร้างเพือ่ ป้องกัน การเคลือ่ นตัวของดิน การประยุกต์ใช้ โครงสร้างกันดินในงาน
วิศวกรรรมมีมากมาย อาทิเช่น งานดินถม งานดินขุด งานสะพาน และโครงสร้างกันน้ำท่วม โครงสร้างกันดิน
ส่วนมากจะเป็น กำแพงกันดินที่สร้างจากคอนกรีต
Project 2 การออกแบบกำแพงกันดิน Cantilever wall ให้มีเสถียรภาพโดยใช้ความสูง Y ตามที่กำหนด
4
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
กำแพงกันดิน
เสถียรภาพของกำแพงกันดินชนิดนี้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของตัวมันเอง กำแพงกันดินชนิดนี้จึงถูก
เรียกว่า Gravity wall ในกรณีที่กำแพงกันดินมีความสูงมาก แรงดันดินด้านข้างมีแนวโน้มที่จะทำให้
กำแพงกั น ดิ น พลิ ก คว่ ำ (Overturning) เพื ่ อ ความประหยั ด อาจเลื อ กใช้ ก ำแพงกั น ดิ น ชนิ ด
Cantilever wall ซึ่งมี ส่วนฐานยื่นออกมาอยู่ใต้ดินถม น้ำหนักของดินถมที่อยู่เหนือฐานนี้จะช่วย
ป้องกันการพลิกคว่ำ
รูปที่ 3 ลักษณะของฐานรากกำแพงกันดิน
6
1. การวิบัติของกำแพงกันดิน
การออกแบบกำแพงกันดินต้องคำนึงถึงสิ่งสำคัญสองประการดังนี้
1) กำแพงต้องมีเสถียรภาพภายนอก (External stability) ซึ่งหมายความว่ากำแพงกันดิน
ต้องตั้ง ดิ่งในตำแหน่งเดิม
2) กำแพงกันดินต้องมีเสถียรภาพภายใน โดยต้องความสามารถต้านความเค้นที่เกิดขึ้นภายใน
โครงสร้างโดยปราศจากการพังทลาย
2. การวิเคราะห์เสถียรภาพภายนอกของกำแพงกันดิน
วิธีการออกแบบกำแพงกันดินต้านการวิบัติ ภายนอก คือ การสมมติขนาดและรูปร่างของ
กำแพง กันดินและทำการตรวจสอบเสถียรภาพของกำแพง ถ้าพบว่าเสถียรภาพของก๋าแพงกันดินมีค่า
หรือไม่ เพียงพอ ก็ทำการเปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่างใหม่ และทำการตรวจสอบอีกครั้ง ขั้นตอนนี้
จะถูกทำซ้ำๆ จนกระทั่งพบว่ากำแพงกันดินที่ออกแบบม เสถียรภาพเพียงพอต่อการใช้งาน
การออกแบบเป็นการตรวจสอบเสถียรภาพของการเคลื่อนตัวในสามทิศทางนี้ เพื่อให้ได้
อัตราส่วน ปลอดภัยที่เหมาะสม การตรวจสอบการเคลื่อนตัวในแนวนอนและการพลิกคว่ำอาศัย
หลักการความสถิตย์ (Law of statics) สำหรับการตรวจสอบการเคลื่อนตัวในแนวดิ่งนั้นอาศัยทฤษฎี
กำลังรับแรงแบกทานของดิน (Bearing capacity theory)
เมื่อ ∑ 𝑣 = 𝑊1 + 𝑊2 +. … . +𝑊5 + 𝑃𝑣
ถ้าในการออกแบบพบว่ากำแพงกันดินแบบฐาน เรียบ (Flat-bottomed wall) มีอัตราส่วน
ปลอดภัยไม่ เป็นไปตามที่ต้องการ อาจทำการสร้างตัวต้านทานการลื่น ไถลที่เรียกว่า Key ที่ฐานของ
กำแพงกันดิน ดินด้านหน้า ของ Key ทำหน้าที่ต้านทานการลื่นไถลในฐานะของ ความดันทีสภาวะ
Passive ดังแสดงโดยโซน BC แต่ อย่างไรก็ตาม ดินด้านหน้าของ Key อาจจะหายไป เนื่องจากการ
กัดเซาะ ดังนั้น ตัว Key นี้จะมีประสิทธิผล อย่างมากถ้าถูกสร้างใต้ดินแข็งหรือหิน
8
ที่ใช้ในการวิเคราะห์เสถียรภาพของกำแพงกันดินควรไม่น้อยกว่าค่าที่แสดง
กรณี อัตราส่วน หมายเหตุ ห้างอิง
ปลอดภัย
การลื่นไถล 1.5 สําหรับกรณีที่ไม่พิจารณาความหินด้านข้างที่สภาวะ Passive Goodman and Karol (1968)
ที่ด้านหน้า ของกำแพงกันดิน
2. 0 สําหรับกรณีที่พิจารณาความหินด้านข้างที่สภาวะ Passive ที่ Goodman and Karol (1968)
ด้านหน้า ของกำแพงกันดิน
การพลิกคว่ำ 1.5 สําหรับ Backfill ที่เป็นดินเม็ดหยาบ
2.0 สําหรับ Backfill ที่เป็นดินเม็ดละเอียด Teng (1962)
วิบัติแบบกำลังรับ 3.0
แบกทาน
การคำนวณหาค่า
Type A ที่ 1.5 เมตร
กำหนดฐานรากและกำแพงกันดิน: ด้านสั้น= 0.3 m ; ด้านยาว= 1.2 m ; ความหนากำแพง= 0.2 m
; ความหนาฐานราก= 0.2 m ; ความยาว= 1.5 m
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการลื่นไหล
น้ำหนักบรรทุกที่กรทะบนฐานรากมีค่าดังนี้
W1 = 0.3x0.3x20KN/m3 = 1.8KN/m
W2 = 0.2x0.3x24KN/m3 = 1.44KN/m
W3 = 0.2x1.7x24KN/m3 = 8.16KN/m
W4 = 1.2x1.8x20KN/m3 = 43.2KN/m
𝑊𝑞 = 20𝐾𝑁/𝑚
11
แรงเสียดทานใต้ฐานราก
𝑆 = ∑ 𝑊 𝑥𝑡𝑎𝑛∅
= (1.8 + 1.44 + 8.16 + 43.2 + 20) tan 30°
= 45.37973KN/m
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการลื่นไหล
45.37973
𝐹𝑆𝑠 = = 1.70174 > 1.5OK
26.667
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการพลิกคว่ำ
โมเมนต์ที่ก่อให้เกิดการพลิกคว่ำ
𝐻 2
𝑀𝑜 = 𝑃𝑎 𝑥 = 26.667 ∗ ( ) = 17.778𝐾𝑁/𝑚
3 3
โมเมนต์ต้านการพลิกคว่ำ
𝐴𝐷
𝑀𝑟 = 𝑊1 𝑥1 𝑊2 𝑥2 𝑊3 𝑥3 𝑊4 𝑥4 𝑊5 𝑥5 + 𝑃𝑝 𝑥
3
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการพลิกคว่ำ
82.952
𝐹𝑆𝑂 = 17.778 = 4.8 > 1.5𝑂𝐾
ตัวแปรกำลังรับแรงแบกทานของ Vesic
30°
𝑁𝑞 = 𝑒 𝜋 tan(30°) 𝑡𝑎𝑛2 (45° + ) =18.41478
2
12
𝑁𝛾 = 2(−1)𝑡𝑎𝑛30° =23.743
กำลังรับแรงแบกทานประลัยสุทธิของดินฐานรากเท่ากับ
1
𝑞𝑢(𝑛𝑒𝑡) = 𝑞 ′ (𝑁𝑞 − 1) + 𝛾′𝐵′𝑁𝛾
2
1
𝑞𝑢(𝑛𝑒𝑡) = (10) + × 20 × 10 × 1.658377 × 23.743 = 577.9052𝑘𝑃𝑎
2
แรงแบกทานประลัยสุทธิ
𝑄𝑢 = 577.9052 × 1.658377 = 958.3847𝑘𝑁/m
อัตราสวนปลอดภัยต้านการวิบัติเนื่องจากกำลังรับแรงแบกทาน
577.9052
𝐹𝑆 = => 3𝑜𝑘
78.6
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการลื่นไหล
น้ำหนักบรรทุกที่กรทะบนฐานรากมีค่าดังนี้
W1 = 0.25x0.35x20KN/m3 = 1.75KN/m
W2 = 0.5x0.25x24KN/m3 = 3KN/m
W3 = 0.75x2.2x24KN/m3 = 39.6KN/m
W4 = 1.35x2x20KN/m3 = 27KN/m
𝑊5 = 20𝐾𝑁/𝑚
แรงเสียดทานใต้ฐานราก
𝑆 = ∑ 𝑊 𝑥𝑡𝑎𝑛∅ = 66.88603
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการลื่นไหล
66.88603
𝐹𝑆𝑠 = = 1.536138 > 1.5OK
43.54167
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการพลิกคว่ำ
โมเมนต์ที่ก่อให้เกิดการพลิกคว่ำ
𝐻
𝑀𝑜 = 𝑃𝑎 𝑥 = (43.54167𝑥0.9166) = 39.91319𝐾𝑁/𝑚
3
โมเมนต์ต้านการพลิกคว่ำ
𝐴𝐷
𝑀𝑟 = 𝑊1 𝑥1 𝑊2 𝑥2 𝑊3 𝑥3 𝑊4 𝑥4 𝑊5 𝑥5 + 𝑃𝑝 𝑥
3
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการพลิกคว่ำ
166.2288
𝐹𝑆𝑂 = = 4.164757 > 1.5𝑂𝐾
39.91319
14
ความเค้นที่เกิดขึ้นที่ฐานของกำแพงกันดินสามารถหาได้ดังนี้
ตัวแปรกำลังรับแรงแบกทานของ Vesic
30°
𝑁𝑞 = 𝑒 𝜋 tan(30°) 𝑡𝑎𝑛2 (45° + ) = 18.41478
2
𝑁𝛾 = 2(−1)𝑡𝑎𝑛30° = 23.74353
กำลังรับแรงแบกทานประลัยสุทธิของดินฐานรากเท่ากับ
1
𝑞𝑢(𝑛𝑒𝑡) = 𝑞 ′ (𝑁𝑞 − 1) + 𝛾′𝐵′𝑁𝛾
2
1
𝑞𝑢(𝑛𝑒𝑡) = (10) + × 20 × 2.180674 × 23.74353 × 18.41478
2
= 701.917𝑘𝑃𝑎
แรงแบกทานประลัยสุทธิ
𝑄𝑢 = 701.917 × 2.180674 = 1530.652𝑘𝑁/m
อัตราสวนปลอดภัยต้านการวิบัติเนื่องจากกำลังรับแรงแบกทาน
1530.652
𝐹𝑆 = = 13.21236 > 3𝑜𝑘
115.85
15
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการลื่นไหล
น้ำหนักบรรทุกที่กรทะบนฐานรากมีค่าดังนี้
W1 = 0.2x0.75x20KN/m3 = 3KN/m
W2 = 0.3x0.2x24KN/m3 = 1.44KN/m
W3 = 0.3x2.8x24KN/m3 = 20.16KN/m
W4 = 1.75x3.2x20KN/m3 = 112KN/m
𝑊5 = 35𝐾𝑁/𝑚
แรงเสียดทานใต้ฐานราก
16
𝑆 = ∑ 𝑊 𝑥𝑡𝑎𝑛∅ = 99.07331
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการลื่นไหล
99.07331
𝐹𝑆𝑠 = 64.16667 = 1.544 > 1.5OK
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการพลิกคว่ำ
โมเมนต์ที่ก่อให้เกิดการพลิกคว่ำ
𝐻
𝑀𝑜 = 𝑃𝑎 𝑥 = (64.16667𝑥0.667) = 74.86111𝐾𝑁/𝑚
3
โมเมนต์ต้านการพลิกคว่ำ
𝐴𝐷
𝑀𝑟 = 𝑊1 𝑥1 𝑊2 𝑥2 𝑊3 𝑥3 𝑊4 𝑥4 𝑊5 𝑥5 + 𝑃𝑝 𝑥
3
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการพลิกคว่ำ
314.87
𝐹𝑆𝑂 = = 4.206056 > 1.5𝑂𝐾
74.86111
ตัวแปรกำลังรับแรงแบกทานของ Vesic
30°
𝑁𝑞 = 𝑒 𝜋 tan(30°) 𝑡𝑎𝑛2 (45° + ) =18.41478
2
17
𝑁𝛾 = 2(−1)𝑡𝑎𝑛30° =23.74353
กำลังรับแรงแบกทานประลัยสุทธิของดินฐานรากเท่ากับ
1
𝑞𝑢(𝑛𝑒𝑡) = 𝑞 ′ (𝑁𝑞 − 1) + 𝛾′𝐵′𝑁𝛾
2
1
𝑞𝑢(𝑛𝑒𝑡) = (10) + × 20 × 2.797306 × 23.74353 × 18.41478
2
= 848.3272𝑘𝑃𝑎
แรงแบกทานประลัยสุทธิ
𝑄𝑢 = 848.3272 × 2.797306 = 2373.031𝑘𝑁/m
อัตราสวนปลอดภัยต้านการวิบัติเนื่องจากกำลังรับแรงแบกทาน
2373.031
𝐹𝑆 = = 13.82 > 3𝑜𝑘
171.6
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการลื่นไหล
น้ำหนักบรรทุกที่กรทะบนฐานรากมีค่าดังนี้
W1 = 0.2x0.725x20KN/m3 = 2.9KN/m
W2 = 0.3x0.2x24KN/m3 = 1.44KN/m
W3 = 0.3x3.525x24KN/m3 = 25.38KN/m
W4 = 2.5x3.95x20KN/m3 = 42KN/m
𝑊5 = 50𝐾𝑁/𝑚
แรงเสียดทานใต้ฐานราก
𝑆 = ∑ 𝑊 𝑥𝑡𝑎𝑛∅ = 160.053
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการลื่นไหล
160.053
𝐹𝑆𝑠 = 88.54167 = 1.807658 > 1.5OK
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการพลิกคว่ำ
โมเมนต์ที่ก่อให้เกิดการพลิกคว่ำ
𝐻
𝑀𝑜 = 𝑃𝑎 𝑥 = (88.54167𝑥0.667) = 125.434𝐾𝑁/𝑚
3
โมเมนต์ต้านการพลิกคว่ำ
𝐴𝐷
𝑀𝑟 = 𝑊1 𝑥1 𝑊2 𝑥2 𝑊3 𝑥3 𝑊4 𝑥4 𝑊5 𝑥5 + 𝑃𝑝 𝑥
3
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการพลิกคว่ำ
611.356
𝐹𝑆𝑂 = = 4.873925 > 1.5𝑂𝐾
125.434
ตำแหน่งของแรงลัพธ์ R ที่วัดจากจุด A
∑ 𝑀𝐴 ∑ 𝑀𝑟 − ∑ 𝑀𝑜
𝑥̅ = =
∑𝑉 ∑𝑉
611.356−125.434
𝑥̅ = ( ) = 1.7528
277.22
𝐵 3.525 𝐵
𝑒 = − 𝑥̅ = − 1.7528 = 0.009661 < = 0.383𝑂𝐾
2 2 6
ตัวแปรกำลังรับแรงแบกทานของ Vesic
30°
𝑁𝑞 = 𝑒 𝜋 tan(30°) 𝑡𝑎𝑛2 (45° + ) = 18.41478
2
𝑁𝛾 = 2(−1)𝑡𝑎𝑛30° = 23.74353
กำลังรับแรงแบกทานประลัยสุทธิของดินฐานรากเท่ากับ
1
𝑞𝑢(𝑛𝑒𝑡) = 𝑞 ′ (𝑁𝑞 − 1) + 𝛾′𝐵′𝑁𝛾
2
1
𝑞𝑢(𝑛𝑒𝑡) = (10) + × 20 × 18.41478 × 3.505679 × 23.74353
2
= 1016.52𝑘𝑃𝑎
แรงแบกทานประลัยสุทธิ
𝑄𝑢 = 1016.52 × 3.505679 = 3563.59𝑘𝑁/𝑚
อัตราสวนปลอดภัยต้านการวิบัติเนื่องจากกำลังรับแรงแบกทาน
3563.59
𝐹𝑆 = = 12.85 > 3𝑜𝑘
277.22
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการลื่นไหล
น้ำหนักบรรทุกที่กรทะบนฐานรากมีค่าดังนี้
W1 = 0.2x0.8x20KN/m3 = 3.2KN/m
W2 = 0.3x0.2x24KN/m3 = 1.44KN/m
W3 = 0.3x3.6x24KN/m3 = 25.96KN/m
W4 = 2.5x4.7x20KN/m3 = 235KN/m
𝑊5 = 50𝐾𝑁/𝑚
แรงเสียดทานใต้ฐานราก
𝑆 = ∑ 𝑊 𝑥𝑡𝑎𝑛∅ = 182.1887
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการลื่นไหล
182.1887
𝐹𝑆𝑠 = 166.6667 = 1.561617 > 1.5OK
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการพลิกคว่ำ
โมเมนต์ที่ก่อให้เกิดการพลิกคว่ำ
𝐻
𝑀𝑜 = 𝑃𝑎 𝑥 = (116.6667𝑥0.667) = 194.4444𝐾𝑁/𝑚
3
โมเมนต์ต้านการพลิกคว่ำ
21
𝐴𝐷
𝑀𝑟 = 𝑊1 𝑥1 𝑊2 𝑥2 𝑊3 𝑥3 𝑊4 𝑥4 𝑊5 𝑥5 + 𝑃𝑝 𝑥
3
อัตราส่วนปลอดภัยต้านการพลิกคว่ำ
720.304
𝐹𝑆𝑂 = = 3.704421 > 1.5𝑂𝐾
194.4444
ตัวแปรกำลังรับแรงแบกทานของ Vesic
30°
𝑁𝑞 = 𝑒 𝜋 tan(30°) 𝑡𝑎𝑛2 (45° + ) = 18.41478
2
𝑁𝛾 = 2(−1)𝑡𝑎𝑛30° = 23.74353
กำลังรับแรงแบกทานประลัยสุทธิของดินฐานรากเท่ากับ
1
𝑞𝑢(𝑛𝑒𝑡) = 𝑞 ′ (𝑁𝑞 − 1) + 𝛾′𝐵′𝑁𝛾
2
1
𝑞𝑢(𝑛𝑒𝑡) = (10) + × 20 × 18.41478 × 3.332866 × 23.74353
2
= 975.4879𝑘𝑃𝑎
แรงแบกทานประลัยสุทธิ
𝑄𝑢 = 975.4879 × 3.332866 = 3251.17𝑘𝑁/𝑚
อัตราสวนปลอดภัยต้านการวิบัติเนื่องจากกำลังรับแรงแบกทาน
3251.17
𝐹𝑆 = = 10.30286 > 3𝑜𝑘
315.56
22
บทสรุป
จากการคานวณจะเห็นได้ว่าต้องเพิ่มขนาดของ retaining wall ในปั ญหานีจ้ ะทาการออกแบบ แต่ละ type ให้มีขนาด
เพิ่มขึน้ ตามความสูงของกาแพงกันดิน เพื่อที่ตอ้ งการจะได้คา่ FS ให้มากกว่าที่กาหนด เพื่อไม่ให้เกิดการเคลื่อนที่ของ
กาแพงกันดินด้วย Gravity wall หรือ Cantilever wall ให้ผ่าน อัตราส่วนความปลอดภัยต้านการลื่นไถล ต้านการพลิก
คว่า
23
เอกสารอ้างอิง
ข้อมูลอ้างอิง : http://eng.sut.ac.th/ce/oldce/Suksun/Chapter6.pdf