Professional Documents
Culture Documents
ผลของการเดินและการเดินพร้อมการออกกำลังกายด้วยแรงต้านที่บ้าน
ผลของการเดินและการเดินพร้อมการออกกำลังกายด้วยแรงต้านที่บ้าน
บทคัดย่ อ
ความเป็ นมาของปั ญหา
ผู้สงู วัยหลายคนประสบปั ญหากับโรคกล้ ามเนื ้อลีบฝ่ อและการเพิ่มขึ ้นของไขมันในกล้ ามเนื ้อ
สัดส่วนของไขมันและเนื ้อเยื่อเกี่ยวพันภายในกล้ ามเนื ้อลายสามารถประมาณได้ ด้วยภาพจากการตรวจ
วินิจฉัยโรคด้ วยคลื่นเสียงความถี่สงู (อัลตราซาวด์) ในระบบ B-mode โดยอาศัยความเข้ มของสัญญาณ
เสียงสะท้ อน (Echo intensity หรื อ EI) ความเข้ มของสัญญาณเสียงสะท้ อน (EI) ใช้ ในการคำนวณหาดัชนี
ของระดับคุณภาพกล้ ามเนื ้อ การเดิน การออกกำลังกายด้ วยแรงต้ านที่บ้าน และการปฏิบตั ิทงสองอย่
ั้ างนัน้
ได้ รับการพิจารณาแล้ วว่ามีความง่ายและผู้สงู วัยสามารถปฏิบตั ิได้ จริ ง จุดประสงค์ของงานวิจยั นี ้เพื่อวัดผล
จากการเดินและการเดินพร้ อมออกกำลังกายด้ วยแรงต้ านที่บ้านที่มีตอ่ ระดับคถณภาพกล้ ามเนื ้อของผู้สงู
วัย
กระบวนการการวิจยั
ผู้เข้ าร่วมการวิจยั 31 คน เดินเพียงอย่างเดียว (กลุม่ เดิน; อายุ 72±5 ปี ) และผู้เข้ าร่วมการวิจยั อีก
33 คน เดินและออกกำลังกายด้ วยแรงต้ านที่บ้าน (กลุม่ เดินและออกกำลังกาย; อายุ 73±6 ปี ) การวิจยั นี ้
เป็ นการวิจยั กลุม่ ทดลองแบบไม่มีการสุม่ และไม่มีกลุม่ ควบคุม ผู้เข้ าร่วมการวิจยั ทุกคนจะต้ องเดิน 2 หรื อ 3
เซทต่อสัปดาห์ เป็ นระยะเวลา 10 สัปดาห์ (1 เซท: เดินอย่างต่อเนื่อง 30 นาที) นอกจากนี ้กลุม่ เดินและออก
กำลังกายจะต้ องออกกำลังกายด้ วยแรงต้ านโดยใช้ น้ำหนักตัว ความเข้ มของสัญญาณเสียงสะท้ อน (EI) ใช้
เป็ นตัววัดดัชนีของระดับคุณภาพกล้ ามเนื ้อ โดยสังเกตจากภาพกล้ ามเนื ้อเรกตัส ฟี เมอร์ ริส (rectus
femoris) และกล้ ามเนื ้อวาสตัส แลเธอรัลลิส (vastus lateralis) บริ เวณต้ นขา จากการตรวจวินิจฉัยโรคด้ วย
คลื่นเสียงความถี่สงู (อัลตราซาวด์) ในระบบ B-mode คณะผู้จดั ทำได้ ทำการหาค่าเฉลี่ยพารามิเตอร์ เพื่อ
หาค่าความเข้ มของสัญญาณเสียงสะท้ อน (EI) ของกล้ ามเนื ้อกลุม่ ควอดริ เซ็บ ฟี เมอร์ ริส (Quadriceps
femoris หรื อ QF) และผู้เข้ าร่วมการววิจยั จะได้ รับการทดสอบสมรรถภาพทางกาย 5 อย่าง ได้ แก่ sit-up,
supine-up, sit-to-stand, 5-m maximal walk และ 6-min walk
ผลการวิจัย
ค่าความเข้ มของสัญญาณเสียงสะท้ อนของกล้ ามเนื ้อกลุม่ ควอดริ เซ็บ ฟี เมอร์ ริส (QF EI) ของทัง้
สองกลุม่ ลดลงอย่างมีนยั สำคัญหลังจากการฝึ ก (กลุม่ เดิน ลดจาก 69.9±7.4 a.u. เป็ น 61.7±7.0 a.u.,
กลุม่ เดินและฝึ กด้ วยแรงต้ าน ลดจาก 64.0±9.5 a.u. เป็ น 51.1±10.0 a.u.; P<0.05) ซึง่ แสดงให้ เห็นถึง
ระดับคุณภาพของกล้ ามเนื ้อที่ปรับตัวดีขึ ้น ความเข้ มของสัญญาณเสียงสะท้ อนของกล้ ามเนื ้อกลุม่ ควอดริ
เซ็บ ฟี เมอร์ ริส (QF EI) ของกลุม่ เดินและออกกำลังกายลดลงมากกว่ากลุม่ เดินเพียงอย่างเดียว การทดสอบ
สรรถภาพร่างกายโดยการ sit-up ของทังสองกลุ ้ ม่ และการ sit-to-stand และ 5-min maximal walk ของ
กลุม่ เดินเพียงอย่างเดียวพัฒนามากขึ ้นอย่างเห็นได้ ชดั
สรุ ปผลการวิจัย
จากผลการวิจยั แสดงให้ เห็นว่าการเข้ ารับการออกกำลังกายส่งผลต่อการลดลงของค่าความเข้ ม
ของสัญญาณเสียงสะท้ อน (EI) ของกล้ ามเนื ้อต้ นขาบางส่วน ยิ่งไปกว่านันการออกกำลั
้ งกายด้ วยแรงต้ านที่
บ้ านเพิ่มจากการเดินเพียงอย่างเดียวส่งผลให้ คา่ ความเข้ มของสัญญาณเสียงสะท้ อน (EI) ลดลงมากกว่า
เดิม
คำสำคัญ
- ความเข้ มของสัญญาณเสียงสะท้ อน (Echo intensity หรื อ EI)
- การออกกำลังกายด้ วยแรงต้ านที่บ้าน (Home-based resistance training)
- ระดับของกล้ ามเนื ้อ (Muscle quality)
- การเดิน (Walking)
- การบันทึกด้ วยคลื่นเสียงความถี่สงู หรื ออัลตราซาวด์ (Ultrasonography)
กระบวนการการวิจยั
การออกแบบการทดลองและกระบวนการการวิจัย
การวิจยั นี ้เป็ นส่วนหนึง่ ของวิชาการส่งเสริ มสุขภาพสำหรับอาสาสมัคร ที่จงั หวัดนาโงย่า (Nagoya
City) ตังแต่
้ ปีค.ศ.2014 ถึงปี ค.ศ.2015 ผู้เข้ าร่วมการวิจยั ทุกคนทราบข่าวสารการวิจยั นี ้จากนิตยาสาร
ประชาสัมพันธ์หรื อเว็บไซต์ จากนันพวกเขาก็
้ ทำการสมัครเป็ นผู้เข้ าร่วมงานวิจยั นี ้ด้ วยความสมัครใจของ
ตนเอง วิชานี ้ประกอบด้ วยภาคการแนะนำเบื ้องต้ น (สัปดาห์ที่ 1) ภาคการตรวจวัด (สัปดาห์ที่ 2 และ 12)
การบรรยายเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ (สัปดาห์ที่ 4, 6, 8 และ 10) และการนำเสนอผลจากการตรวจวัด
(สัปดาห์ที่ 13) คณะผู้จดั ทำนัดพบกับผู้เข้ าร่วมการวิจยั อย่างน้ อยหนึง่ ครัง้ ต่อทุก 2 สัปดาห์ การนัดพบครัง้
แรกคณะผู้จดั ทำกล่าวถึงจุดประสงค์และความสำคัญของการวิจยั อธิบายกระบวนการการทดลองทังหมด ้
รวมถึงขันตอนการฝึ
้ กที่เฉพาะเจาะจงและเทคนิคการตรวจวัดต่าง ๆ
การตรวจวัดโดยอัลตราซาวด์
ความหนาของไขมันใต้ ผิวหนัง, ความหนาของกล้ ามเนื ้อ, และความเข้ มของสัญญาณเสียงสะท้ อน
(EI) ของต้ นขาวัดได้ จากการอัลตราซาวด์ เช่นเดียวกับในการศึกษาก่อนหน้ านี ้ของคณะผู้จดั ทำ คณะผู้จดั
ทำอัลตราซาวด์ผ้ เู ข้ าร่วมงานวิจยั หลังจากพัก 15 นาที เพื่อหลีกเลี่ยงผลจากการเปลี่ยนแปลงของของเหลว
ในร่างกายที่เกิดจากการเกร็งของกล้ ามเนื ้อ โดยผู้เข้ าร่วมต้ องนอนลงบนเตียงในท่าหงาย เหยียดขาตรง เรา
ตรวจวัดส่วนหน้ าและด้ านข้ างของต้ นขาขวาที่ตอ่ กับจุดกึ่งกลางระหว่างกระดูกต้ นขา greater trochanter
และ lateral condyle ใช้ เครื่ องตรวจวินิจฉัยโรคด้ วยคลื่นเสียงความถี่สงู (อัลตราซาวด์) ระบบ B-mode
(LOGIQ e, บริษัทจีอี เฮลท์แคร์ , ดูลทู , รัฐจอร์ เจีย, ประเทศสหรัฐอเมริ กา) ที่มาพร้ อมกับ linear array
probe ซึง่ มีความยาว 3.8 ซม. ความถี่คลื่น 8–10 เมกะเฮิร์ต เพื่อหาภาพกล้ ามเนื ้อ (รูปที่ 1) ด้ วยด้ วยข้ อมูล
พารามิเตอร์ ตอ่ ไปนี ้: ความถี่คลื่น 10 MHz, gain 70 dB, ความลึก 4.0 ถึง 6.0 ซม., จุดโฟกัส 1 (ด้ านบน
ของภาพ) ความลึกถูกกำหนดโดยขึ ้นอยูก่ บั ผู้เข้ าร่วมแต่ละคน โดยทัว่ ไปมากสุด 6.0 ซม. และตังอยู ้ ใ่ น
ระดับเดียวกันก่อนและหลังระยะเวลาการออกกำลังกาย เจลที่ละลายน้ำได้ ถกู ทาลงบนหัวสแกนของ
probe และต้ องใช้ ความระมัดระวังเป็ นอย่างมากในการตรวจเพื่อป้องกันการเสียรูปของกล้ ามเนื ้อ ภาพ
จากการแสกนของกล้ ามเนื ้อแต่ละส่วนถูกจัดเก็บในรูปแบบ DICOM จากนันส่ ้ งต่อไปยังเครื่ องคอมพิวเตอร์
ซอฟต์แวร์ ImageJ (สถาบันสุขภาพแห่งชาติ, เบเทสดา, รัฐแมรี่ แลนด์, ประเทศสหรัฐอเมริ กา, เวอร์ ชนั่
1.46) ถูกใช้ สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ความหนาของไขมันใต้ ผวิ หนังสามารถระบุได้ จากระยะห่างระหว่าง
ชันหนั
้ งแท้ (dermis) กับชันบนสุ้ ดของเวนทรัล ฟาสเซีย (ventral fascia) ความหนาของกล้ ามเนื ้อ (MT)
เรกตัส ฟี เมอร์ ริส (rectus femoris) และกล้ ามเนื ้อวาสตัส แลเธอรัลลิส (vastus lateralis) หาได้ จากระยะ
ห่างระหว่างขอบเนื ้อเยื่อใต้ ผิวหนัง (subcutaneous fascia) กับกระดูกต้ นขา (femur) ความหนาของไขมัน
ที่สะสมอยูใ่ ต้ ผิวหนัง (SFT QF) และความหนาของกล้ ามเนื ้อ (MT QF) ของของกล้ ามเนื ้อกลุม่ ควอดริ เซ็บ
ฟี เมอร์ ริส (QF) สามารถคำนวณได้ จากสมการต่อไปนี ้
ความหนาของไขมั นใต้ ผิ วหนั งของกล้ ามเนื ้ อต้ นขาด้ านหน้ า+ความหนาของไขมั นใต้ ผิ วหนั งของกล้ ามเนื ้ อต้ นขาด้ านข้
¿
2
ความหนาของกล้ ามเนื ้ อ ( MT QF )
ความหนาของกล้ ามเนื ้ อเรกตั ส ฟี เมอร์ ริ ส ( RF ) +วาสตั ส อิ นเตอร์ มี เดี ยส ( VI )+วาสตั ส แลเธอรั ลลิ ส ( VL) +วาสตั ส อิ
¿
4
EI QF
ค่ าความเข้ มสั ญญาณเสี ยงสะท้ อนในกล้ ามเนื ้ อเรกตั ส ฟี เมอร์ ริ ส ( EI RF ) +ในกล้ ามเนื ้ อวาสตั ส แลเธอรั ลลิ ส (EI VL)
¿
2
การทดสอบสมรรถภาพทางกาย
ผู้เข้ าร่วมการวิจยั ทำการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย 5 อย่าง ได้ แก่ sit-up, supine-up,
sit-to-stand, 5-m maximal walk และ 6-min walk ในโรงยิม คณะผู้จดั ทำเลือกการทดสอบสมรรถภาพ
ร่างกายนี ้เพราะทัง้ 5 แบบถูกใช้ หลายครัง้ ในงานวิจยั อื่นในฐานะดัชนีความแข็งแรงของกล้ ามเนื ้อขาและ
การค้ นพบของงานวิจยั หลายชิ ้นก็แสดงให้ เห็นว่าความเข้ มสัญญาณเสียงสะท้ อน (EI) เกี่ยวข้ องกับความ
สามารถในการทำงานของกล้ ามเนื ้อและความคล่องตัว ในการทดสอบ sit-up ผู้เข้ าร่วมนอนหงาย เข่างอ
ประมาณ 80° เท้ าราบกับพื ้น ผู้เข้ าร่วมทำการซิทอัพให้ มากที่สดุ เท่าที่จะทำได้ เป็ นเวลา 30 วินาทีโดยมีแขน
ไขว้ กนั ที่บนหน้ าอก ผู้ตรวจการสอบช่วยกดเท้ าของผู้เข้ าร่วมให้ ราบกับพื ้นระหว่างการทดสอบ การทดสอบ
supine-up มีการจับเวลาที่ผ้ เู ข้ าร่วมปฏิบตั ิเร็ วที่สดุ เท่าที่จะทำได้ โดยใช้ รูปแบบใดก็ได้ ที่ผ้ เู ข้ าร่วมต้ องการ
การทดสอบ sit-to-stand มีการจับเวลาที่ใช้ ในการนัง่ และยืนขึ ้นจากเก้ าอี ้ 10 ครัง้ เร็ วที่สดุ เท่าที่จะทำได้
โดยไขว้ อขนไว้ บนหน้ าอก ความสูงของเก้ าอี ้คือ 40 ซม. จากพื ้น การทดสอบ 5-in maximal walk เทปสี่
เส้ นจะถูกแปะขนานกันบนพื ้น ที่ระยะ 1 ม., 6 ม. และ 7 ม. (เส้ นชัย) จากเส้ นเริ่ มต้ น (0 ม.) ผู้เข้ าร่วมเดิน
จากเส้ นเริ่ มต้ นไปจนถึงเส้ นชัย ผู้ตรวจการสอบกำหนดเวลาระหว่างเส้ น 1 ม. และ 6 ม. ในขณะที่เดินไป
พร้ อมกับผู้เข้ าร่วม การทดสอบ 6-min walk มีการวัดระยะทางที่ผ้ เู ข้ าร่วมเดินได้ ในระยะเวลา 6 นาที ใน
สนามวงกลม 108 ม. มาร์ คเกอร์ ถกู วางไว้ ตามเส้ นทางทุก ๆ 6 เมตรเพื่อเป็ นจุดสังเกตและผู้ตรวจการสอบ
นับจำนวนรอบเดินครบ คณะผู้จดั พูดให้ กำลังใจผู้เข้ าร่วมเพื่อให้ เกิดความพยายามอย่างเต็มที่ การ
ทดสอบ sit-up, sit-to-stand และ 6-min walk ทำการทดสอบเพียงครัง้ เดียว การทดสอบ supine-up และ
5-min maximum walk ทำการทดสอบสองครัง้ และนำผลลัพธ์ที่ดีที่สดุ มาใช้ ในการวิเคราะห์ ค่า ICC (ICC,
2.1) สำหรับการทดสอบสมรรถภาพทางกาย มีความน่าเชื่อถือในระดับปานกลางจนถึงมีความน่าเชื่อถือ
ค่อนข้ างมาก (supine up, 0.85; sit-to-stand, 0.74; 5-m maximal walk, 0.65; 6-min walk, 0.77; P <
0.05) MDC มีคา่ 1.15 สำหรับ supine up, 0.34 สำหรับ sit-to-stand, 0.21 สำหรับ 5-m maximal walk 5
ม. และ 25.92 สำหรับ 6-min walk ค่า ICC และ MDC วัดจากผู้สงู วัย 20 คนที่ได้ รับคัดเลือกจากชุมชน
เดียวกัน พวกเขาได้ รับการยืนยันว่ามีอายุและค่าดัชนีมวลกายตรงกับผู้เข้ าร่วมงานวิจยั นี ้ และได้ รับคำ
แนะนำในการทำการทดสอบสมรรถภาพทางกาย 5 อย่างนี ้สองครัง้ ตามขันตอนเดี ้ ยวกันเพื่อยืนยันความ
น่าเชื่อถือของการทดสอบซ้ำ
การวิเคราะห์ ทางสถิติ
ค่าทังหมดในงานวิ
้ จยั นี ้มีรูปแบบเป็ น ค่าเฉลี่ย±ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความ
แปรปรวนสองทาง (เวลา×กลุม่ ) และการตรวจวัดค่าซ้ำ ๆ ถูกนำมาใช้ เปรี ยบเทียบความหนาของไขมันใต้
ผิวหนัง ความหนาของกล้ ามเนื ้อ ความเข้ มสัญญาณเสียงสะท้ อน (EI) และพารามิเตอร์ การทำงานของ
กล้ ามเนื ้อ การทดสอบ Bonferroni post-hoc ถูกใช้ เพื่อระบุความแตกต่าง การทำ t-test ของศึกษาโดย
ไม่มีการจับคู่ ใช้ เพื่อเปรี ยบเทียบความแปรปรวนในการเปลี่ยนแปลงเปอร์ เซ็นต์ของความหนาไขมันใต้
ผิวหนัง ความหนาของกล้ ามเนื ้อ และความเข้ มสัญญาณเสียงสะท้ อน (EI) ระหว่างทังสองกลุ ้ ม่ ค่า
สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์ สนั (Pearson’s product-moment correlation coefficients) ถูกนำมาใช้
เพื่อกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงเปอร์ เซ็นต์ กำหนดระดับนัยสำคัญที่ P <0.05 การ
วิเคราะห์ทางสถิติทงหมดดำเนิ
ั้ นการโดยใช้ สถิติ IBM SPSS (เวอร์ ชนั่ 22.0 J; IBM ญี่ปน, ุ่ โตเกียว, ญี่ปน)
ุ่
ผลการวิจัย
ทังสองกลุ
้ ม่ บรรลุเป้าหมายความถี่ในการเดิน (กลุม่ เดิน: 2.8±1.6 ครัง้ ต่อสัปดาห์, กลุม่ เดินพร้ อมฝึ กด้ วย
แรงต้ าน: 3.0±2.0 ครัง้ ต่อสัปดาห์) ผู้เข้ าร่วมกลุม่ เดินพร้ อมฝึ กด้ วยแรงต้ านได้ ทำการออกกำลังกายด้ วยแรง
ต้ านที่บ้าน โดยมีคา่ เฉลี่ย 5.1±2.8 ครัง้ ต่อสัปดาห์ ผู้เข้ าร่วมได้ เดินประมาณ 11,000 ก้ าวในวันออกกำลัง
กายด้ วยการเดิน (กลุม่ เดิน: 11,473±2,683 ก้ าว, กลุม่ เดินพร้ อมฝึ กด้ วยแรงต้ าน: 11,035±2,324 ก้ าว)
จำนวนก้ าวในวันที่ไม่ได้ ออกกำลังกายด้ วยการเดินนันต่ำกว่ ้ าวันฝึ กเป็ นอย่างมาก (กลุม่ เดิน: 7,969±2,034
ก้ าว, กลุม่ เดินพร้ อมฝึ กด้ วยแรงต้ าน: 7,498±2,180 ขันตอน)
้ จำนวนก้ าวโดยเฉลี่ยต่อวันในช่วงระยะเวลา
การออกกำลังกาย 10 สัปดาห์คือ 9,117±2,360 ก้ าวสำหรับกลุม่ เดินเพียงอย่างเดียว และ 9,306±2,417
ก้ าวสำหรับกลุม่ เดินพร้ อมฝึ กด้ วยแรงต้ าน ซึง่ ค่าทังสองนี
้ ้มาได้ แตกต่างกันมากนัก
ความเข้ มสัญญาณเสียงสะท้ อน (EI) ของกล้ ามเนื ้อ เรกตัส ฟี เมอร์ ริส (RF), กล้ ามเนื ้อวาสตัส แลเธอรัลลิส
(VL) และควอดริเซ็บ ฟี เมอร์ ริส (QF) ลดลงอย่างเห็นได้ ชดั เมื่อเทียบกับก่อนการเข้ ารับการออกกำลังกาย
ความหนาของกล้ ามเนื ้อเรกตัส ฟี เมอร์ ริส (RF) เพิ่มขึ ้นในกลุม่ เดินพร้ อมฝึ กด้ วยแรงต้ าน ในขณะที่ความ
หนาของกล้ ามเนื ้อเรกตัส ฟี เมอร์ ริส (RF) และกล้ ามเนื ้อวาสตัส อินเตอร์ มีเดียสด้ านข้ าง (lateral VI) ลดลง
อย่างมีนยั สำคัญในกลุม่ เดินเพยงอย่างเดียวหลังจากเข้ ารับการออกกำลังกาย ความหนาของไขมันที่สะสม
อยูใ่ ต้ ผิวหนัง (SFT QF) ลดลงอย่างมากในกลุม่ เดินพร้ อมฝึ กด้ วยแรงต้ านหลังจากเข้ ารับการออกกำลังกาย
(P < 0.05) การเปลี่ยนแปลงเปอร์ เซ็นต์ของความหนาของกล้ ามเนื ้อและความเข้ มสัญญาณสะท้ อน (EI)
แสดงอยูใ่ นตารางที่ 1 การเปลี่ยนแปลงเปอร์ เซนต์ของความหนาของกล้ ามเนื ้อเรกตัส ฟี เมอร์ ริส , กล้ ามเนื ้อ
วาสตัส อินเตอร์ มีเดียสด้ านหน้ า, และความหนาของกล้ ามเนื ้อ (MT QF), ความเข้ มสัญญาณเสียงสะท้ อน
ของกล้ ามเนื ้อวาสตัส แลเธอรัลลิส (EI VL) และควอดริ เซ็บ ฟี เมอร์ ริส (EI QF) ระหว่างทังสองกลุ
้ ม่ มีคา่ ต่าง
กันมากอย่างชัดเจน