You are on page 1of 11

ตอนที่ 1 ข้อสอบปรนัย 20 ข้อให้ทำทุกข้อ (10 คะแนน)

ให้ นนร.เขียนคำตอบในกระดาษคำตอบ
ตอนที่ 2 ข้อสอบแบบเขียนอธิบายคำ 5 ข้อ (10 คะแนน)ให้ นนร.เขียนคำตอบในกระดาษคำตอบตอนที่ 2
ตอนที่ 3 ข้อสอบอัตนัย 1 ข้อ (10 คะแนน)

ขอบเขตเนื้อหาของข้อสอบ
-ภาพรวมในบริบทของ Deglobalization

Deglobalization เป็นกระบวนการที่พบเพียงในบริบททางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มในการลดความเชื่อมโยงและการร่วมมือระหว่าง
ประเทศ โดยทั่วไปแล้วเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสากล และความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการเชื่อมโยงทาง
เศรษฐกิจระหว่างประเทศทีส่ ูงเกินไป องค์ประกอบสำคัญของ Deglobalization อาจเป็นการลดการค้าระหว่างประเทศ การเพิกถอน
การลงทุนต่างประเทศ การส่งออกสินค้าและการนำเข้าที่มีข้อจำกัดมากขึ้น และการเสริมสร้างนโยบายการพัฒนาภายในประเทศ
-ประเด็นสําคัญจากงานมอบ (การบ้านในกลุ่มของตนเอง)

ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้เป็นหนึ่งในประเด็นทางภูมิศาสตร์และการเมืองที่สำคัญในภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีหลายประเด็นที่เกี่ ยวข้องกับการ


ขัดแย้งในพื้นที่ดังนี้:

1. สิทธิทางทะเล: ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการขัดแย้งในทะเลจีนใต้คือสิทธิทางทะเลและการรักษาความมั่ นคงในพื้นที่น้ำทะเลที่มีความสำคัญทาง


ภูมิศาสตร์ ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาขอบเขตของเขตเศรษฐกิจพิเศษ การออกแบบเส้นแบ่งแยกในทะเล เขตอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปกป้อง
สิทธิของประเทศในพื้นที่น้ำทะเล ที่อาจมีผลกระทบต่อเสรีภาพทางทะเลและการควบคุมทรัพยากรทางทะเล
2. การขุดค้นทรัพยากรธรรมชาติ: พื้นที่ในทะเลจีนใต้มีการขุดค้นทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ เช่น น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ประเด็นในการขัดแย้ งอาจ
เกี่ยวข้องกับสิทธิของประเทศในการใช้งานและการแบ่งปันทรัพยากรเหล่านี้
3. การทดสอบทางทหาร: ประเด็นอื่นที่สำคัญคือการทดสอบทางทหารในทะเลจีนใต้ ประเทศในภูมิภาคมีการเพิ่มประสบการณ์การทดสอบทางทหารใน
พื้นที่น้ำทะเลที่ขัดแย้งกันอย่างต่อเนื่อง เช่น การทดสอบทางทหารในเกาะสิริกิกุ และการระดมกำลังทหารของประเทศในพื้นที่
4. การสืบทอดทางการเมือง: ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการขัดแย้งในทะเลจีนใต้คือการสืบทอดทางการเมืองในพื้นที่ อาจเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิใน
การครอบครองและควบคุมเกาะ หรือการอ้างสิทธิในการเป็นเจ้าของพื้นที่ทางทะเลในเขตกั้นการขาเข้า -ออกของทะเล

เป็นที่รู้จักกันว่ามีข้อยังคงทีย่ ังไม่สามารถแก้ไขได้ และอาจทำให้เกิดความไม่สันติสำหรับทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


รัสเซีย-ยูเครน
- ภูมิหลังความสัมพันธ์ (ความสําคัญ)

ตอบ ภูมิหลังความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีความสำคัญในเขตภูมิศาสตร์ทางทหารและการเมืองของภูมิภาคยุโรป สำหรับภูมิหลังนี้นั้น สามารถ


อธิบายได้ดังนี้:

ความสัมพันธ์ประวัติศาสตร์: รัสเซียและยูเครนเป็นประเทศสองประเทศที่มีความสัมพันธ์ประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ในอดีต ยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นสหภาพของ


ประเทศต่าง ๆ ในยุคสงครามเย็น หลังจากสงครามเย็นสิ้นสุด รัสเซียและยูเครนเป็นประเทศอิสระแยกกัน แต่มีความผูกพันทางเศรษฐกิจ การค้า และการสัมพันธ์ทางการทูต

การขัดแย้งทางทหาร: ในปี 2014 รัสเซียได้ดำเนินการรุกเข้าไปในเขตแคราฟท์ในยูเครน และยังเกิดการปะทุอาวุธในภาคตะวันออกของยูเครน การกระทำเหล่านี้ได้เกิดความขัดแย้ง


ทางทหารระหว่างสองประเทศ และส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนเสียอย่างมาก

ความขัดแย้งทางการเมือง: รัสเซียและยูเครนมีความขัดแย้งทางการเมืองในหลายเรื่อง รวมถึงความขัดแย้งในการมอบอำนาจในเขตแคราฟท์และภาคตะวันออกของยูเครน การเข้า


ข่ายในการเลือกตั้งและการเมืองภายในยูเครนก็เป็นแหล่งขุดเจาะความขัดแย้ง

ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนเป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและเป็นระเบียบ อย่างไรก็ตาม สองประเทศยังคงมีการค้าและการสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกันอย่างต่อเนื่อง และประเทศ


ยูเครนยังคงเป็นตลาดสำคัญสำหรับการส่งออกของรัสเซีย การสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยังมีผลกระทบในภูมิภาคยุโรปโดยรวม และมีผลกระทบต่อ ระบบการเมืองและเศรษฐกิจใน
ยูเครน

- เหตุการณ์ทั่วไปของสงคราม

ตอบ สงครามรัสเซียและยูเครนไม่ได้เกิดขึ้นในรูปแบบของสงครามทัว่ ไปที่มีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ แต่มคี วามขัดแย้งและการชุมนุมกันระหว่างสองฝ่าย โดยเฉพาะใน


บริเวณแคราฟท์และภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งเกิดเหตุการณ์หลักต่อไปนี้:

การรุกล้ำแคราฟท์: เมื่อปี 2014 รัสเซียรุกล้ำแคราฟท์ซึ่งเป็นเขตดินแดนระหว่างรัสเซียและยูเครน การรุกล้ำนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ยูเครนเปิดใจกับตะวันตกและได้ดำเนินการให้แคราฟท์


เข้ารวมกับยูเครน รัสเซียไม่ยอมรับและรุกล้ำเขตดินแดนนี้ ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งทางทหารและการคุกคามระหว่างสองฝ่าย

การให้การสนับสนุนทางทหาร: รัสเซียถือว่ามีการให้การสนับสนุนทางทหารแก่กลุ่มก separatist ในยูเครน ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการทหารและการต่อต้านกันระหว่างรัสเซียและ


ยูเครน

การเข้าข่ายในการเลือกตั้ง: รัสเซียถูกกล่าวหาว่ามีการเข้าข่ายและควบคุมกระบวนการเลือกตั้งในยูเครน ซึ่งเกิดความขัดแย้งทางการเมือ งและการประท้วงต่อสู้

เหตุการณ์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน และส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของความเสียหายและความตึงเครียดระหว่างสองฝ่ายในยุโรปทางตะวันออก

- ปัจจัยความตึงเครียด (ข้อตกลง)

ตอบ

- สิ่งที่เห็นจากวิกฤติการปะทะกันของมหาอํานาจ - บทเรียนที่ได้รับ (การรับมือกับผลของสงคราม)


ตอบ สิ่งที่เห็นได้จากการปะทะกันของประเทศมหาอำนาจนั้น ส่งผลต่อหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการขาดเสถียรภาพของเศรษฐกิจ ที่เห็นได้ชัดเลยในประเทศ
ไทยคือการ เกิดอัตราเงินเฟ้อเป็นจำนวนที่สูงกว่าปกติ เนื่องจากสงครามโดยตรง คือ มีการขึ้นราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เนื่องจากรัสเซียนั้นเป็นประเทศที่
ส่งออกน้ำมันลำดับต้นๆของโลก ราคาน้ำมันสูงย่อมทำให้อุตสหกรรมหลายๆอย่าง ที่ต้องพึ่งพาการใข้น้ำมันโดนผลกระทบไปด้วย และการขึ้นราคตา
น้ำมันที่เป็นปัจจัยหลักนั้น ย่อมทำให้สินค้าต่างๆ มีราคาที่สูงขึ้น และทำให้ส่งผลต่อการขึ้นเปอร์เซ็นของอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน สิ่งที่ควรรับมือคือการ
ลดอัตราดอกเบี้ยลง และสนับสนุนด้านการกระตุ้นของเศรษฐกิจให้เติบโต และเน้นให้พึ่งพาสินค้าภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ เพื่อคงความเสถียรภาพ
ด้านการค้า และเศรษฐกิจ

อินโดแปซิฟิก
- ข้อเรียกร้องของสหรัฐหลังสงคราม

ตอบ หลังจากสงครามอันโดแปซิก (เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและเวียตนามในช่วง 1955-1975) สหรัฐอเมริกาได้มีข้อเรียกร้องหลายประการเพื่อรับมือกับสถานการณ์หลังสงคราม


ดังนี้:

การเพิ่มการสนับสนุนเศรษฐกิจ: สหรัฐอเมริกาต้องการเพิ่มการสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศ เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองและลดความยากลำบากทางเศรษฐกิจหลังจากสงคราม


โดยการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมและส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็กและกลาง

การสร้างความสามัคคีภายในสังคม: สหรัฐอเมริกาต้องการสร้างความสามัคคีและความเอื้ออำนวยในสังคม ดังนั้นจึงมีการสนับสนุนการเสริมสร้างความเสมอภาคและสิทธิมนุษยชน


รวมถึงการส่งเสริมความเป็นเลิศในการศึกษาและสาธารณสุข

การสร้างสันติภาพในภูมิภาค: สหรัฐอเมริกาหวังว่าจะสร้างสันติภาพในภูมิภาคโดยการสนับสนุนความมั่นคงและความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มี


ความสำคัญเช่นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยุโรปตะวันออก

การลดการแพร่ระบาดของอาวุธนิวเคลียร์: สหรัฐอเมริกาต้องการลดการแพร่ระบาดของอาวุธนิวเคลียร์ทั้งในระดับชั้นนำและระดับทั่วโลก และสนับสนุนการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์


เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

ข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์หลังสงครามอันโดแปซิกของสหรัฐอเมริกาในการจัดการกับผลกระทบของสงครามและสร้างสภาพแวดล้ อมที่เป็นประโยชน์ต่ออเมริกาและ
สังคมรอบข้าง

- หน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐ
ตอบ หน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาที่เกี่ยวข้องกับอินโดแปซิกฟิกได้แก่:

กองทัพสหรัฐอเมริกา (United States Armed Forces): กองทัพสหรัฐเป็นหน่วยงานทางทหารที่มีหน้าที่รักษาความมั่นคงและป้องกันการรุกรานทางทหาร โดยสามารถมี


การปฏิบัติงานหรือฝึกอบรมร่วมกับประเทศในเขตอินโดแปซิกฟิกที่เป็นเครื่องสำอางค์ในการรักษาความมั่นคงในพื้นที่ดังกล่าว

บริษัทไฟฟ้าและโครงข่ายสื่อสารสหรัฐอเมริกา (United States Power and Communications Companies): บริษัทในกลุ่มนี้รับผิดชอบในการสร้างและดูแลระบบ


พลังงานไฟฟ้าและสื่อสารในภูมิภาคอินโดแปซิกฟิก เช่น การสร้างและดูแลโครงข่ายไฟฟ้า การสื่อสารทางโทรคมนาคม และการพัฒนาระบบสารสนเทศในพื้นที่นั้น

หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐที่เกี่ยวข้องกับนโยบายต่างประเทศ: หน่วยงานอื่น ๆ ในรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เช่น กระทรวงการต่างประเทศ (Department of State) และ


หน่วยงานสำนักงานคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Council) ก็มีหน้าที่ตดิ ตามและจัดการนโยบายต่างประเทศในเขตอินโดแปซิกฟิกเพื่อรักษา
ความมั่นคงและความปลอดภัยของสหรัฐอเมริกา

หน่วยงานเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของสหรัฐอเมริกาในเขตอินโดแปซิกฟิก โดยการดำเนินงานร่วมกับพันธมิตรภูมิภาค
รักษาความสัมพันธ์ทางทหารและทางการเมือง และให้การสนับสนุนในกระบวนการด้านความมั่นคงในพื้นที่ดังกล่าว

- โครงสร้างการปกครองของจีน
ตอบ โครงสร้างการปกครองของจีนเป็นระบบที่ซับซ้อนและมีองค์ประกอบหลายองค์ประกอบ ดังนี้:
รัฐบาลกลาง: รัฐบาลกลางของจีนมีองค์ประกอบหลายส่วนที่รวมถึง ศาลักษณ์สูงสุด, รัฐสภาชาวและคณะกรรมการเผยแพร่และราชการ. ศาลักษณ์สูงสุดคือองค์กร
สูงสุดที่รบั ผิดชอบในการดำเนินการและตัดสินในเรื่องของนโยบายสำคัญ รัฐสภาชาวและคณะกรรมการเผยแพร่และราชการเป็นองค์กรที่มีสมาชิกจากพื้นที่ต่าง ๆ และ
เขตเทศบาล มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบายทั่วไป และดำเนินการตามระเบียบของรัฐบาลกลาง

รัฐบาลท้องถิ่น: จีนมีระบบรัฐบาลท้องถิ่นหลายระดับ โดยรัฐบาลท้องถิ่นจะประกอบด้วยจังหวัด ที่รับผิดชอบในการบริหารจัดการในพื้นที่ที่กว้างขวาง รั ฐบาลท้องถิ่นมี


อำนาจในการตัดสินในเรื่องของการพัฒนาเศรษฐกิจ การบริหารจัดการท้องถิ่น และการดูแลประชากรในพื้นที่นั้น รัฐบาลท้องถิ่นมีหน่วยงานต่าง ๆ เช่น เทศบาล
จังหวัด องค์กรการศึกษา และหน่วยงานด้านการอุตสาหกรรม

พรรคคอมมิวนิสต์จีน: พรรคคอมมิวนิสต์จีน (Chinese Communist Party) เป็นพรรคการเมืองที่เป็นฐานสำคัญของระบบการปกครองในจีน พรรคมีอำนาจและบทบาท


สำคัญในการตัดสินใจทางการเมือง และมีสมาชิกที่มีอิทธิพลทางการเมือง สมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือบุคคลที่มีอำนาจในการดำเนินการและการตัดสินใจใน
ระดับท้องถิ่นและระดับกลาง

กองทัพปราการจีน: กองทัพปราการจีน (People's Liberation Army) เป็นกองทัพปราการของจีน มีส่วนรับผิดชอบในการป้องกันความมั่นคงของประเทศ รวมถึงการ


ปกครองดินแดนและทะเลทรายของจีน กองทัพปราการจีนเป็นกองทัพที่มีกำลังทหารมากที่สุดในโลก

นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีบทบาทในการปกครองและดูแลความมั่นคงของจีน อาทิ เช่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ การศึกษา การสื่อสาร และปัญหา


สังคม

- ยุทธศาสตร์ป้องกันตนเองของจีน

ตอบ ยุทธศาสตร์ป้องกันตนเองของจีนเน้นการปรับปรุงและเสริมสร้างกำลังทหารและความมั่นคงทางรัฐบาล เพื่อรักษาความปลอดภัยและป้องกันการรุกรานต่อประเทศจีน โดยมี


แนวทางและยุทธศาสตร์ที่สำคัญดังนี้:

การพัฒนากำลังทหาร: จีนมุ่งเน้นการพัฒนาและเสริมสร้างกำลังทหารให้มีความสามารถที่แข็งแกร่งและทันสมัย เพื่อให้สามารถป้องกันการรุกรานและสงคราม โดยรวมถึงการพัฒนา


อาวุธที่ทันสมัย เทคโนโลยีทางทหาร และการฝึกอบรมทหาร

การสร้างความมั่นคงทางการเมือง: จีนมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงในระบบการเมืองของประเทศ โดยการควบคุมและกำกับกิจการทางการเมืองให้มีความเข้มแข็ง การบริหารจัดการ


การเมือง และการป้องกันการรัฐประหารหรือการปะทะกันภายในประเทศ

การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ: จีนมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและทนทาน เพื่อรับสู้กับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น และให้ประชาชนมีความมั่งคัง่ และความ


เจริญก้าวหน้า

การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์และเทคโนโลยี: จีนมุ่งพัฒนาและปรับตัวให้สามารถเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ และเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อความ


มั่นคงของประเทศ เช่น การควบคุมทางสารสนเทศ การป้องกันการรัฐประหารทางไซเบอร์ และการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง

การสร้างภูมิคุ้มกันทางการทูตและการระดมกำลัง: จีนมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศอื่น โดยการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางการทูตและการระดมกำลัง หรือการ


สร้างสัมพันธภาพทางทหารกับประเทศอื่นเพื่อเสริมความมั่นคงของตนในระดับสากล
ยุทธศาสตร์เหล่านี้ช่วยให้จีนมีความสามารถในการป้องกันตนเอง รักษาความมั่นคง และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการเป็นผู้นำในทวี ปเอเชีย อย่างไรก็ตาม มุ่งหวังว่าจะมี
การสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นสัญญาณบวกและสร้างความมั่งคัง่ สำหรับภูมิภาคทัง้ ในเอเชียและในระดับสากลในอนาคต

- ข้อจํากัดของญี่ปุ่น
ตอบ ญี่ปุ่นมีข้อจำกัดบางอย่างในการก่อตั้งและพัฒนาฐานะในอินโดแปซิกฟิก ซึ่งสามารถอธิบายได้ดงั นี้:
ข้อจำกัดทางทรัพยากร: ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขาดแหล่งทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ เช่น น้ำมัน แร่ธาตุ และพื้นที่อุทยานธรรมชาติที่กว้างขวาง การสืบทอดและการทำงานในอินโดแปซิก
ฟิกจึงต้องพบกับข้อจำกัดในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้

ปัญหาการค้าและการลงทุน: ญี่ปุ่นมีการแข่งขันทางเศรษฐกิจจากประเทศอื่นในการค้าและการลงทุนในอินโดแปซิกฟิก นับตั้งแต่ปี 2010 จีนกลายเป็นพันธมิตรค้าที่สำคัญของ


อินโดนีเซีย ส่งผลให้ญี่ปุ่นต้องพบกับการแข่งขันอย่างรุนแรงในตลาดในภูมิภาคนี้

ปัญหาการสร้างความไว้วางใจ: ข้อผูกมัดทางประวัติศาสตร์ระหว่างญี่ปุ่นและอินโดนีเซียเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครัง้ ที่สอง ได้สร้างความไม่ไว้วางใจและความ


ขัดแย้งทางทิศทางระหว่างสองประเทศ ญี่ปุ่นต้องรับมือกับการสร้างความไว้วางใจในการเข้าถึงตลาดและการทำธุรกิจในอินโดแปซิกฟิก

ปัญหาการเข้าถึงตลาดและภูมิภาค: อินโดแปซิกฟิกเป็นภูมิภาคที่มีความยากลำบากในการเข้าถึงตลาดและสร้างฐานลูกค้า เนื่องจากปัญหาทางภูมิภาค เช่น ระยะทางที่ไกล ทางการ


ขนส่งที่ยากลำบาก และการเข้าถึงสถานทีท่ ี่ซับซ้อนในภูมิภาคนี้

ปัญหาทางนโยบายและความแตกต่างทางวัฒนธรรม: ญี่ปุ่นและอินโดนีเซียมีความแตกต่างทางวัฒนธรรม และการทำธุรกิจที่แตกต่างกัน ญี่ปุ่นต้องรับมือกับปัญหาทางนโยบายและ


การปรับตัวทางวัฒนธรรมเพื่อให้สอดคล้องกับอินโดแปซิกฟิก

การจัดการกับข้อจำกัดเหล่านี้อาจใช้วิธีการอย่างรอบคอบในการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนานวัต กรรมทางเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้าง


ความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาคนี้

จีน -ไต้หวัน
- ประธานาธิบดี & ยุทธศาสตร์ความมั่นคงของไต้หวัน

ประธานาธิบดีและยุทธศาสตร์ความมั่นคงของไต้หวันมีลักษณะดังนี้:

1. ประธานาธิบดีไต้หวัน: ประธานาธิบดีของไต้หวันเป็นผู้นำที่เลือกโดยประชาชนผ่านการเลือกตั้ง การเป็นประธานาธิบดีของไต้หวั นเสมอเป็นตำแหน่งที่มี


อิสระและเสถียรภาพ เนื่องจากสภาการเมืองและระบบกฎหมายทีม่ ีอยู่ในไต้หวัน
2. ยุทธศาสตร์ความมั่นคงของไต้หวัน: ยุทธศาสตร์ความมั่นคงของไต้หวันมุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในด้านการป้องกันตนเอง โดยคำนึ งถึง
สถานการณ์ทางทหาร การรักษาความสัมพันธ์กับประเทศอื่น การเสริมสร้างพลังงานที่เอกชน การสนับสนุนเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เสถียร และการ
สร้างความมั่นคงทางทหารในเขตแดน
3. ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา: ไต้หวันมีความสัมพันธ์อันเข้มแข็งกับสหรัฐอเมริกา เป็นเพื่อนบ้านที่ใหญ่และพันธมิตรกันในหลายด้าน เช่ น การความ
มั่นคงทางทหาร การค้าและการลงทุน การสนับสนุนทางการทูต และการก่อสร้างความเข้มแกร่งในด้านเศรษฐกิจและการป้องกันทางภูมิศาสตร์
4. ความสัมพันธ์กับจีน: ไต้หวันและจีนมีความขัดแย้งทางการเมืองและด้านประวัติศาสตร์ เนื่องจากการบังคับการเผชิญหน้ากันระหว่างกองทัพคู่ แข่ง และมี
การเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับความเอื้อเฟื้อของจีนต่อไต้หวัน ในขณะเดียวกัน ไต้หวันก็ต้องคำนึงถึงความสำคัญของความสัม พันธ์เศรษฐกิจ
กับจีน โดยรักษาความสมดุลและการควบคุมในด้านเศรษฐกิจ และการเสริมสร้างความเข้มแกร่งในด้านป้องกันทางทหาร

- ผลกระทบของสถานการณ์

สถานการณ์ระหว่างจีนและไต้หวันมีผลกระทบทั้งในด้านการเมือง การเศรษฐกิจ และความมั่นคงทั้งในภาครัฐและเอกชน ดังนี้:

1. การเมือง: สถานการณ์การเมืองระหว่างจีนและไต้หวันเป็นที่ซับซ้อนและซึ่งขัดแย้งกันอย่างรุนแรง จีนยังยืนยันสิทธิทไี่ ม่อ่อนน้อมในการครอบครอง


ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรจีน ในขณะเดียวกัน ไต้หวันมุ่งความเป็นอิสระทางการเมืองและยืนยันตนเป็นประเทศในตัวเอง สถานการณ์นี้ส่งผลให้
เกิดความขัดแย้งและความไม่แน่นอนในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสองประเทศ และเพิ่มความเสีย่ งในเรื่องของความเป็นอิสระทางการเมืองในไต้ หวัน
2. เศรษฐกิจ: การขัดแย้งระหว่างจีนและไต้หวันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งสองฝ่าย การเศรษฐกิจในไต้หวันได้รับประโยชน์จากการพัฒนาและการลงทุ น
จากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางการเมืองและความขัดแย้งระหว่างประเทศส่งผลให้มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ เช่น การลดลงของการ
ลงทุนและการค้า รวมถึงการเสี่ยงในการซื้อขายทางการเงินและการประกันภัย
3. ความมั่นคง: สถานการณ์ระหว่างจีนและไต้หวันมีผลกระทบต่อความมั่นคงทั้งในภาครัฐและเอกชน จีนมีการเพิ่มสภาวะขัดแย้งทางทหารและการเข้ ากั้น
ทางการทหารต่อไต้หวัน ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงทางทหารและความไม่แน่นอนในภูมภิ าค ในขณะเดียวกัน ไต้หวันกำลังเสริมสร้างความ
ต้านทานทางทหารและความมั่นคงทางทหารเพื่อรักษาความสมดุลกำลังทหารในการเผชิญหน้ากับจีน

การขัดแย้งระหว่างจีนและไต้หวันมีผลกระทบให้เกิดความไม่แน่นอนและเสี่ยงต่อความมั่นคงทัง้ ในภาครัฐและเอกชน จึงมี ความสำคัญที่จะคงสภาพ


ความสัมพันธ์และแก้ไขขัดแย้งในทางที่สามารถทำให้เกิดความสงบและความมั่นคงระหว่างประเทศสองประเทศได้

- เงื่อนไขสําคัญในการปกป้องไต้หวัน

เงื่อนไขสำคัญในการปกป้องไต้หวันได้แก่:

1. สัญญาฉบับกำหนดความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา: ไต้หวันได้รับการสนับสนุนทางทหารและการป้องกันจากสหรัฐอเมริกาผ่านการลงนามสัญญาที่กำหนด
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ซึง่ เป็นเงื่อนไขสำคัญในการปกป้องและความมั่นคงของไต้หวัน
2. การเสริมสร้างกำลังทหาร: ไต้หวันมีการเสริมสร้างกำลังทหารเพื่อความปลอดภัยและการป้องกันตน การพัฒนาและการอัพเกรดกำลังทหารเป็นส่วน
สำคัญในการปกป้องไต้หวัน ซึ่งรวมถึงการพัฒนาการรบกวนทางทหารและสามารถตอบสนองต่อการขัดขวางจากฝ่ายตรงข้ามได้
3. ความร่วมมือกับเพื่อนบ้านภูมิภาค: ไต้หวันมีการค้นหาความร่วมมือกับเพื่อนบ้านภูมิภาคที่สนับสนุนการปกป้องและความมั่นคงของตน สัญญาณการ
สร้างพันธมิตรทางทหาร และการร่วมกันฝึกอบรมทางทหารเป็นต้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการตอบสนองต่อภัยคุกคามทางทหาร
4. การรักษาความสัมพันธ์กับจีน: ไต้หวันมีการยังยืนต่อต้านความขัดแย้งทางทหารและการเพิ่มกำลั งทหารของจีน และพยายามรักษาความสมดุลทางทหาร
ในการเผชิญหน้ากับจีน การรักษาความสัมพันธ์กับจีนเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องไต้หวันและความมั่นคงของมัน
5. การสร้างความต้านทานทางเศรษฐกิจ: ไต้หวันมีการสร้างความต้านทานทางเศรษฐกิจเพื่อปกป้องตนเอง ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง
และหาทางเพิ่มความสามารถในการเผชิญหน้ากับความขัดขวางทางเศรษฐกิจจากด้านนอก

เงื่อนไขเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องไต้หวันและความมั่นคงของมัน อย่างไรก็ตาม สภาวะการเมืองและสถานการณ์ภูมิภาคอาจมีผลกระทบต่ อการ


ปกป้องไต้หวันได้ จึงจำเป็นต้องปรับปรุงและปรับทิศทางนโยบายการปกป้องตนเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลีย่ นแปลงอยู่เสมอ

- นโยบายสําคัญของจีน (ต่อสถานการณ์จีนกับไต้หวัน)

นโยบายสำคัญของจีนต่อสถานการณ์กับไต้หวันสามารถสรุปได้ดังนี้:

1. นโยบาย "หนึ่งจีน" (One China Policy): จีนมีนโยบายทีย่ ืนยันว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนและมีเป้าหมายในการรวมไต้หวันกับจีนในอนาคต นโยบาย


นี้ถือเป็นหลักการสำคัญในนโยบายต่อไต้หวันของจีน
2. การใช้การเสริมสร้างกำลังทหาร: จีนมีนโยบายที่เน้นการเสริมสร้างกำลังทหารเพื่อความมั่นคงและการปกป้องด้านทหาร ซึ่งรวมถึงการพัฒนา
ความสามารถในการรบกวนทางทหารและการเข้ากั้นทางทหารต่อไต้หวัน
3. การเสริมสร้างความสัมพันธ์เศรษฐกิจ: จีนมีนโยบายในการสร้างความสัมพันธ์เศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อไต้หวัน ซึ่งรวมถึงการเพิ่มการค้าและการลงทุน
กับไต้หวันเพื่อสร้างความขึ้นชื่อและการมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจต่อไต้หวัน
4. การผลักดันการยุติธรรมธรรมการเผชิญหน้ากับไต้หวัน: จีนมีนโยบายที่กำหนดให้ไต้หวันยุติธรรมธรรมการเผชิญหน้ากับจีน และต้องยอมรับหลั กการใน
การแก้ไขขัดแย้งทางการทหารและการเคลื่อนไหวทางทหารผ่านทางการเจรจาและการประสานความร่วมมือ
5. การใช้เครื่องมือทางการด้านเศรษฐกิจและการทางการทูต: จีนมีนโยบายที่ใช้เครื่องมือทางการด้านเศรษฐกิจและการทางการทูตในการกดดันไต้ห วันให้
ยอมรับนโยบายและเป้าหมายของจีน
6. การควบคุมข้อมูลและการตรวจสอบสื่อ: จีนมีนโยบายที่เน้นการควบคุมข้อมูลและการตรวจสอบสื่อเพื่อควบคุมการกระจายข่าวสารเกี่ยวกับไต้หวัน ซึ่ง
เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายความระมัดระวังในการสื่อสารเกี่ยวกับไต้หวัน

การดำเนินนโยบายเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความต้องการของจีนต่อไต้หวัน อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายของจีนต่อไต้หวันมีผลกระทบต่อ


ความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย และสามารถเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ทางการเมืองและทางทหารได้ในอนาคต

อินเดีย-ปากีสถาน
- พรรคการเมืองของอินเดียและปากีสถาน

อินเดีย: ในอินเดีย ระบบการเมืองเป็นระบบประชาธิปไตยพรรคแบบพลีทคี ซึ่งมีหลายพรรคการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในการเมืองของประเทศ องค์กร


การเมืองสำคัญที่อยู่ในตลาดการเมืองอินเดียรวมถึง:

1. พรรคคงรักษาการเมืองแบบคองเรส (Bharatiya Janata Party - BJP): เป็นพรรคการเมืองที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศอินเดียในปัจจุบัน มีการ


สนับสนุนจากกลุ่มนักพุทธ, ฮินดู, และซิกข์ พรรคคงรักษาการเมืองแบบคองเรสเน้นการเสริมสร้างอิทธิพลทางศาสนาและความเอกลักษณ์ชาติ
2. พรรคคองรีสส์ (Indian National Congress - INC): เป็นพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศอินเดีย มีบทบาทสำคัญในการสร้างรัฐแห่งอินเดีย พรรค
คองรีสส์เน้นการแทนกลุ่มชาติในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน
ปากีสถาน: ในปากีสถาน เป็นระบบการเมืองแบบสาธารณรัฐ ปากีสถานมีหลายพรรคการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในการเมืองของประเทศ องค์กรการเมือง
สำคัญที่อยู่ในตลาดการเมืองปากีสถานรวมถึง:

1. พรรคปากีสถานเปิด (Pakistan Tehreek-e-Insaf - PTI): เป็นพรรคการเมืองที่เก่งกาจในประเด็นการต่อต้านปฏิกิริยาอิสลามและการต่อต้านการทุจริต


ทางการเมือง มีนาย Imran Khan เป็นผู้นำพรรค ในการเข้าสู่อำเภอการเมืองประเทศในปี 2018 พรรคได้รับความสนับสนุนในระดับชาติ
2. พรรคประชาธิปไตยปากีสถาน (Pakistan Peoples Party - PPP): เป็นพรรคการเมืองที่สำคัญในปากีสถาน มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งปากีสถานใน
อดีต พรรคเน้นในการสนับสนุนความเสมอภาคและสิทธิประชาชนต่อไป

อย่างไรก็ตาม การเมืองในทั้งสองประเทศอินเดียและปากีสถานเป็นภาพที่ซับซ้อนและมีประชากรที่หลากหลาย มีหลายพรรคการเมืองที่มีอิทธิพลและ


แนวคิดที่แตกต่างกัน การดำเนินงานของรัฐบาลและนโยบายการเมืองขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งและสภาวะทางการเมืองในแต่ละช่วงเวลา

- ต้นเหตุความขัดแย้งและภาพรวมของสถานการณ์

สถานการณ์การขัดแย้งระหว่างประเทศอินเดียและปากีสถานมีต้นเหตุที่ซับซ้อนและหลากหลาย ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้:

1. ปัญหาด้านชายแดน: สาเหตุหลักของการขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานเกิดจากปัญหาด้านชายแดน ทั้งสองประเทศมีข้อพิพาทเกี่ยวกับชายแดน


สองฝั่ง ภูมภิ าคชายแดนของจัมมู และแม่น้ำอินดัส ซึ่งเป็นพื้นที่ถูกโครงสร้างเป็นอันดับก่อนหน้าการแบ่งแยกประเทศในปี 1947
2. การแย่งชิงอำนาจภายใน: ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานเกี่ยวข้องกับการแย่งชิงอำนาจภายในประเทศ ทั้งสองประเทศมีพื้นฐานสังคมที่
ซับซ้อน ที่มีผู้คนจากกลุ่มชาติและศาสนาที่แตกต่างกัน การแย่งชิงอำนาจและความแตกแยกนี้อาจส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชากรและพรรค
การเมืองในทั้งสองประเทศ
3. ปัญหาการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย: ปากีสถานถูกกลุ่มก่อการร้ายเช่น กลุ่มนักกีฬาสกีตอง และกลุ่มผู้ก่อการร้ายอื่น ๆ ในอินเดียต่อสู้เพื่อความปลอดภัย
และความเสถียรภาพ อินเดียอาจมองว่าปากีสถานไม่ได้จัดการกับกลุ่มก่อการร้ายให้เพียงพอ
4. การแต่งตั้งกระทรวงภาคใต้ในอินเดีย: ปากีสถานมีความไม่พอใจต่อการแต่งตั้งกระทรวงภาคใต้ของอินเดีย ที่รวมถึงรัฐบาลตั้งตั้งกระทรวงเขตดิเวล็ลิ ที่
ปากีสถานยังมีการอ้างอิงว่าเป็นส่วนหนึง่ ของปากีสถาน

ภาพรวมของสถานการณ์ในการขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานเป็นแนวโน้มที่ซับซ้อนและอ่อนแอ การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องใช้การเจรจาและการ
ต่อรองระหว่างทั้งสองฝ่ายเพื่อหาความสอดคล้องและความเข้าใจร่วมกัน
1. One silk one road

"One Belt, One Road" (OBOR) หรื อที่เรี ยกว่า "Belt and Road Initiative" (BRI) เป็ นแนวคิดและแผนการพัฒนา
ทางเศรษฐกิจและการอาณัติภาพของประเทศจีนที่ถูกเสนอในปี ค.ศ. 2013 โดยประธานาธิบดีจีน เสว่งซีหลี่ ความหมายของ "One Belt,
One Road" คือการสร้างทางขนส่ งทางบกและทางทะเลที่เชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคเอเชียและยุโรป เพื่อสร้างพืน้ ที่การค้าและการลงทุนที่
เชื่อมโยงระหว่างประเทศในภูมิภาคดังกล่าวให้เกิดความร่ วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจร่ วมกัน

โครงการนี้รวมถึงการสร้างทางหลวงทางบก (Belt) ที่เชื่อมโยงเส้นทางค้าข้ามทวีปในเอเชีย และการสร้างเส้นทางทางทะเล (Road) ที่เชื่อมโยง


เส้นทางค้าผ่านทางทะเลระหว่างภูมิภาคเอเชียกับยุโรป โดยมีการลงทุนในโครงสร้างพืน้ ฐาน เช่น เส้นทางรถไฟ ท่าเรื อ และโครงการพลังงาน มุ่งเน้น
ในการสร้างทางเชื่อมโยงระหว่างประเทศ การสร้างพื้นที่การค้าและการลงทุนทีย่ งั่ ยืน การส่ งเสริ มความร่ วมมือระหว่างประเทศ และการเพิ่มขีด
ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของจีนในภูมิภาคนี้

2. จีนเดี่ยว

"One China" หมายถึงนโยบายทางการทูตและการเมืองทีไ่ ด้รับการยอมรับทัว่ ไปว่า ประเทศจีนเดียวเป็ นประเทศเดียวที่มีฐานะประเทศชาติใน


การดาเนินราชการและการติดต่อกับชุมชนระหว่างประเทศ นโยบาย "One China" มีพื้นฐานในการรับรองของสหประชาชาติและส่ วนใหญ่
ประเทศทัว่ โลก ซึ่งรับรองว่ามีอย่างเดียวที่มีรฐั บาลในประเทศจีน คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน (People's Republic of China:
PRC) ในบริ บทนี้ จีนเหนือเป็ นส่ วนหนึ่งของประเทศจีน ซึ่งมีรัฐบาลในรู ปแบบของสาธารณรัฐประชาชนจีนเดียวเช่นกัน

นโยบาย "One China" ได้รับการยอมรับโดยสถานการณ์ระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน โดยไต้หวันถือว่าเป็ นส่ วนหนึ่งของประเทศจีน


แต่ก็มีระบบการปกครองแยกต่างหาก เนื่องจากนโยบายนี้ หลายประเทศทัว่ โลกจึงไม่ได้รับรองไต้หวันเป็ นประเทศหนึ่งเต็มรู ปแบบ และไม่ได้เปิ ด
สถานทูตอยู่ในไต้หวัน นอกจากนี้ ส่ วนใหญ่ประเทศยังไม่ส่งกาลังกองทัพหรื อมีความสัมพันธ์ทางการทูตทางกันเองกับไต้หวัน เพือ่ รักษาการเอาชนะ
อุตสาหกรรมส่ วนใหญ่ของจีนที่มีอิทธิพลในภูมิภาค

3. VUCA WORLD and BANI WORLD

. VUCA และ BANI เป็ นสองคาแสดงสถานการณ์หรื อแนวโน้มทางเศรษฐกิจและสังคมที่ใช้ในการวิเคราะห์และอธิบายสภาวะที่เปลี่ยนแปลง


อย่างรวดเร็ วในโลกปัจจุบนั โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสภาวะที่เคยเป็ นที่นิยมในอดีต.

1. VUCA (Volatility, Uncertainty, Complexity, Ambiguity): VUCA เป็ นสัญลักษณ์ที่ใช้ในการอธิบายสภาวะที่


เกิดขึ้นในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ ว ส่ วนประกอบของ VUCA ประกอบด้วย:
• Volatility (ความแปรปรวน): การเปลี่ยนแปลงทีไ่ ม่คาดคิดและรวดเร็ วในสภาวะเศรษฐกิจและสังคม ตัวอย่างเช่นการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี
การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรื อการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผูบ้ ริ โภค.
• Uncertainty (ความไม่แน่นอน): สภาวะที่มีความผิดปกติและความไม่แน่นอน มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในตลาด สภาพเศรษฐกิจ หรื อการ
เปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า.
• Complexity (ความซับซ้อน): สภาวะที่มีความซับซ้อนและความยากในการเข้าใจ เช่น โครงสร้างองค์กรที่ซับซ้อน และเครื อข่ายที่เชื่อมโยงกัน
อย่างซับซ้อน.
• Ambiguity (ความกากวม): สภาวะที่มีความกากวมและข้อมูลที่ไม่ชดั เจน ทาให้สร้างความสับสนและความไม่เเน่ใจในการตัดสิ นใจ.
2. BANI (Brittle, Anxious, Nonlinear, Incomprehensible): BANI เป็ นสัญลักษณ์ที่ใช้ในการอธิบายสภาวะที่เกิดขึ้น
ในโลกที่เปลีย่ นแปลงอย่างรวดเร็ วและทาให้ส่ิ งรอบตัวเปลี่ยนไป ส่ วนประกอบของ BANI ประกอบด้วย:
• Brittle (ที่เปราะบาง): การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอาจทาให้ระบบหรื อสถานการณ์เปราะและแย่งชิงร่ องรอยได้ง่าย.
• Anxious (ความวิตกกังวล): สภาวะที่ทาให้ผคู ้ นรู ้สึกกังวลหรื อไม่มน ่ั ใจเนื่องจากความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ ว.
• Nonlinear (ไม่เชิงเส้น): การเปลีย่ นแปลงไม่เป็ นไปตามแบบแผนที่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า และมีความซับซ้อนที่ไม่สามารถควบคุมได้
ในทางเดียว.
• Incomprehensible (ความที่ไม่เข้าใจได้): สภาวะที่มีความซับซ้อนและไม่เข้าใจได้ ทาให้เกิดความสับสนและความไม่เเน่ใจในการ
วิเคราะห์และตัดสิ นใจ.

ทั้ง VUCA และ BANI เป็ นแนวคิดที่ช่วยให้เข้าใจและเตรี ยมตัวในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ วและซับซ้อนในโลกปัจจุบนั


4. FOIP : free and open indo-pacific

FOIP (Free and Open Indo-Pacific) คือแนวคิดและการเข้ามาเล่น perภาคของสหรัฐฯ ที่เน้นการสร้างพืน้ ที่ในเอเชีย-แปซิฟิก


ที่เสรี และเปิ ดกว้าง โดยมุ่งหวังให้ประเทศในภูมิภาคสามารถเลือกตัดสิ นใจเอง และอิสระในการเลือกคู่คา้ และพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการรั กษา
ความปลอดภัย เพื่อสนับสนุนความเจริ ญของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและสร้างสภาวะที่มนั่ คงและเจริ ญรุ่ งเรื องในบริ เวณนี้.

FOIP จะมีเป้าหมายในการสนับสนุนกฎหมายนานาชาติ ระบบคู่คา้ ทางเศรษฐกิจที่เป็ นธรรม การควบคุมทางทหารที่มีความโปร่ งใสและไม่


เอื้ออานวยต่อการเจริ ญของภูมิภาค ความร่ วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ทนั สมัย การสนับสนุนสิ ทธิมนุษยชนและความเสมอภาค
ในการเข้าถึงทรัพยากรทางทะเล การสร้างความร่ วมมือในการรักษาความปลอดภัยทางทะเล การช่วยเหลือภัยพิบตั ิและการป้องกันการเผชิญกับความ
ตายในทะเล และการสนับสนุนความเป็ นมาตรฐานของการปฏิบตั ิที่ถูกต้องในการดาเนินธุรกิจทางทะเลในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก.

5.pivot to east asia

"Pivot to East Asia" หมายถึงการย้ายความสาคัญและความสนใจของสหรัฐฯจากภูมิภาคยุโรปและตะวันตก มายังภูมิภาค


เอเชีย-แปซิฟิก เพื่อสนับสนุนความมัน่ คงและส่งเสริ มความสัมพันธ์กบั ประเทศในภูมิภาค เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
6. หลักความเป็นศูนย์กลางของอาเซียน (ASEAN Centrality)

หลักความเป็ นศูนย์กลางของอาเซียน (ASEAN Centrality) เป็ นหลักการทางการเมืองและการดาเนินงานของสมาคมชาติใน


ภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) ที่ให้ความสาคัญและอานาจในการนาร่ องและสร้างความร่ วมมือในภูมิภาค หลักความเป็ นศูนย์กลาง
นี้กาหนดให้อาเซียนเป็ นผูเ้ ล็งเห็นและมีบทบาทสาคัญในการกาหนดนโยบายและการตัดสินใจที่ส่งผลต่อภูมิภาคอาเซียน โดยให้
ความสาคัญกับความเป็ นศูนย์กลางในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็ นกลางสาหรับการพูดคุยและการแก้ไขข้อขัดแย้งทาง
ภูมิศาสตร์และทางการเมืองในภูมิภาคนี้

You might also like