You are on page 1of 107

Page | 1

พระไตรปิ ฎกเล่มที ๑๐ พระสุตต ันตปิ ฎกเล่มที ๒


ทีฆนิกาย มหาวรรค
๓. มหาปรินพ
ิ พานสูตร (๑๖)

[๖๗] ข ้าพเจ ้าได ้สดับมาอย่างนี-


สมัยหนึง พระผู ้มีพระภาคประทับบนภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนคร
ราชคฤห์ ก็สมัยนั น พระเจ ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบต
ุ ร
ทรงปรารถนาจะเสด็จไปปราบแคว ้นวัชช ี ท ้าวเธอรับสังอย่างนีว่า ก็เราจัก
ี ู ้มีฤทธิมาก
ตัดพวกเจ ้าวัชชผ มีอานุภาพมาก อย่างนีๆ จักให ้แคว ้นวัชช ี
พินาศถึงความวอดวาย ลําดับนั น ท ้าวเธอตรัสเรียกวัสสการพราหมณ์
อํามาตย์ผู ้ใหญ่ในมคธรัฐมาตรัสสังว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านจงไปเฝ้ าพระผู ้มี
พระภาคถึงทีประทับ ครันแล ้วจงถวายบังคมพระบาททังสองของพระผู ้มี
ี รเกล ้าตามคําของเรา ทูลถามถึงอาพาธน ้อย พระโรคเบา
พระภาคด ้วยเศย
บาง ความกระปรีกระเปร่า พระกําลัง การประทับ
่ ําราญว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ พระเจ ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่าอชาต
อยูส
ศัตรูเวเทหีบต
ุ ร ขอถวายบังคมพระบาททังสองของพระผู ้มีพระภาคด ้วย
ี รเกล ้า ทูลถามถึงอาพาธน ้อย พระโรคเบาบาง ความกระปรีกระเปร่าพระ
เศย
่ ําราญ และจงทูลอย่างนีว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ พระ
กําลัง การประทับอยูส
เจ ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบต
ุ ร ปรารถนาจะเสด็จไปปราบ
แคว ้นวัชช ี ท ้าวเธอรับสงอย่
ั ี ู ้มีฤทธิมาก มี
างนีว่า ก็เราจักตัดพวกเจ ้าวัชชผ
ี น
อานุภาพมากอย่างนีๆ จักให ้แคว ้นวัชชพ ิ าศถึงความวอดวาย ดังนี และ
Page | 2

พระผู ้มีพระภาคทรงพยากรณ์แก่ทา่ นอย่างไร ท่านพึงจําข ้อนันมาบอกเรา


พระตถาคตทังหลายย่อมไม่ตรัสคําทีไม่จริงเลย ฯ
วัสสการพราหมณ์ อํามาตย์ผู ้ใหญ่ในมคธรัฐ รับพระราชดํารัสของ
พระเจ ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบต
ุ ร แล ้วเทียมยานทีดีๆ
ขึนยานออกจากพระนครราชคฤห์ตรงไปยังภูเขาคิชฌกูฏ จนสุดภูมป
ิ ระเทศ
เท่าทียานจะไปได ้ จึงลงจากยานเดินเข ้าไปเฝ้ าพระผู ้มีพระภาคถึงทีประทับ
ครันเข ้าไปเฝ้ าแล ้วได ้ปราศรัยกับพระผู ้มีพระภาค ครันผ่านการปราศรัยพอ
ให ้ระลึกถึงกันไปแล ้วจึงนั ง ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง ครันวัสสการพราหมณ์
อํามาตย์ผู ้ใหญ่ในมคธรัฐนั ง
เรียบร ้อยแล ้วทูลว่า ข ้าแต่พระโคดมผู ้เจริญ พระเจ ้าแผ่นดินมคธ พระนาม
ว่าอชาตศัตรู เวเทหีบต
ุ ร ขอถวายบังคมพระบาททังสองของท่านพระโคดม
ี รเกล ้า
ด ้วยเศย ทูลถามถึงอาพาธน ้อย พระโรคเบาบาง ความ
กระปรีกระเปร่า ่ ําราญ
พระกําลังการประทับอยูส ข ้าแต่พระโคดมผู ้เจริญ
พระเจ ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบต
ุ ร ทรงปรารถนาจะ
เสด็จไปปราบแคว ้นวัชช ี ท ้าวเธอรับสัง
ี ู ้มีฤทธิมาก มีอานุภาพมากอย่างนีๆ จัก
อย่างนีว่า ก็เราจักตัดพวกเจ ้าวัชชผ
ี น
ให ้แคว ้นวัชชพ ิ าศถึงความวอดวาย ฯ

[๖๘] ก็สมัยนัน ท่านพระอานนท์ ยืนถวายอยูง่ านพัดพระผู ้มีพระ


ภาคอยู่ ณ เบืองพระปฤษฎางค์ ลําดับนัน พระผู ้มีพระภาครับสังกะท่านพระ
ี มันประชุมกัน
อานนท์วา่ ดูกรอานนท์ เธอได ้ยินมาอย่างไร พวกเจ ้าวัชชห
เนืองๆ หรือ ฯ
Page | 3

ท่านพระอานนท์ทล
ู ว่า ข ้าพระองค์ได ้ยินมาอย่างนั น พระเจ ้าข ้า ฯ
ี ักหมันประชุมกันเนืองๆ อยูเ่ พียงใด
ดูกรอานนท์ พวกเจ ้าวัชชจ

พึงหวังได ้ซงความเจริ ื เพียงนั น ฯ
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
ี ร ้อมเพรียงกัน
ดูกรอานนท์ เธอได ้ยินมาอย่างไร พวกเจ ้าวัชชพ
ประชุมพร ้อมเพรียงกันเลิกประชุม ี งึ
และพร ้อมเพรียงกันทํากิจทีเจ ้าวัชชพ
กระทําหรือ ฯ
ข ้าพระองค์ได ้ยินมาอย่างนั น พระเจ ้าข ้า ฯ
ดูกรอานนท์ ี ักพร ้อมเพรียงกันประชุม
พวกเจ ้าวัชชจ จักพร ้อม
เพรียงกันเลิกประชุม ี งึ กระทําอยู่
และจักพร ้อมเพรียงกันทํากิจทีเจ ้าวัชชพ

เพียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ ื
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอมเพี
ยงนั น ฯ
ดูกรอานนท์ เธอได ้ยินมาอย่างไร พวกเจ ้าวัชชไี ม่ได ้บัญญัตส ิ
ิ งที
ิ ได ้บัญญัตไิ ว ้แล ้ว สมาทานประพฤติอยูใ่ นวัชช ี
มิได ้บัญญัตไิ ว ้ ไม่ถอนสงที
ธรรมของเก่าตามทีบัญญัตไิ ว ้แล ้วหรือ ฯ
ข ้าพระองค์ได ้ยินมาอย่างนั น พระเจ ้าข ้า ฯ
ี ักไม่บัญญัตส
ดูกรอานนท์ พวกเจ ้าวัชชจ ิ มิได ้บัญญัตไิ ว ้ จักไม่
ิ งที
ิ ได ้บัญญัตไิ ว ้แล ้ว
ถอนสงที จักสมาทานประพฤติอยูใ่ นวัชชธี รรมของเก่า

ตามทีบัญญัตไิ ว ้แล ้วอยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ
ญอย่างเดียว ไม่ม ี
ื เพียงนั น ฯ
เสอม
ี ก
ดูกรอานนท์ เธอได ้ยินมาอย่างไร พวกเจ ้าวัชชส ั การเคารพนับ
ถือบูชาท่านทีเป็ นผู ้ใหญ่ของพวกเจ ้าวัชช ี ื งถ ้อยคําของท่าน
และเชอฟั
เหล่านั นหรือ ฯ
ข ้าพระองค์ได ้ยินมาอย่างนั น พระเจ ้าข ้า ฯ
Page | 4

ี ั กส ก
ดูกรอานนท์ พวกเจ ้าวัชชจ ั การะเคารพนับถือบูชาท่านทีเป็ น
ผู ้ใหญ่ของพวกเจ ้าวัชช ี และจักเชอฟั
ื งถ ้อยคําของท่านเหล่านั นอยูเ่ พียงใด

พึงหวังได ้ซงความเจริ ื เพียงนั น ฯ
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
ดูกรอานนท์ เธอได ้ยินมาอย่างไร พวกเจ ้าวัชชไี ม่ฉุดคร่าขืนใจ
สตรีหรือกุมารีในสกุลให ้อยูร่ ว่ มด ้วยหรือ ฯ
ข ้าพระองค์ได ้ยินมาอย่างนั น พระเจ ้าข ้า ฯ
ดูกรอานนท์ ี ักไม่ฉุดคร่าขืนใจสตรีหรือกุมารีใน
พวกเจ ้าวัชชจ

สกุล ให ้อยู่ร่วมด ้วยอยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ
ญอย่างเดียว ไม่ม ี
ื เพียงนั น ฯ
เสอม
ี ก
ดูกรอานนท์ เธอได ้ยินมาอย่างไร พวกเจ ้าวัชชส ั การะเคารพ
นับถือบูชาเจดียข ี ังภายในภายนอก
์ องพวกเจ ้าวัชชท และไม่ปล่อยให ้

ธรรมิกพลี ทีเคยให ้ทีเคยกระทํา แก่เจดียเ์ หล่านั นเสอมทรามไปหรื
อฯ
ข ้าพระองค์ได ้ยินมาอย่างนั น พระเจ ้าข ้า ฯ
ี ักสก
ดูกรอานนท์ พวกเจ ้าวัชชจ ั การะ เคารพ นับถือ บูชาเจดีย ์
ี ังภายในภายนอก และจักไม่ปล่อยให ้ธรรมิกพลี ทีเคยให ้
ของพวกเจ ้าวัชชท
ื เ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงึ
ทีเคยกระทํา แก่เจดียเ์ หล่านั น เสอมทรามไปอยู
ื เพียงนัน ฯ
ความเจริญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
ี ัดแจงไว ้ดีแล ้ว
ดูกรอานนท์ เธอได ้ยินมาอย่างไร พวกเจ ้าวัชชจ

ซงความอารั กขาป้ องกันคุ ้มครองอันเป็ นธรรมในพระอรหันต์ทังหลาย ด ้วย
ตังใจว่าไฉนหนอ พระอรหันต์ทยั ่ ว่นแคว ้นและทีมาแล ้ว
ี งมิได ้มา พึงมาสูแ
พึงอยูเ่ ป็ นผาสุกในแว่นแคว ้น ดังนีหรือ ฯ
ข ้าพระองค์ได ้ยินมาอย่างนั น พระเจ ้าข ้า ฯ
Page | 5

ี ักจัดแจงไว ้ดีแล ้ว ซงความอารั


ดูกรอานนท์ พวกเจ ้าวัชชจ ึ กขา
ป้ องกันคุ ้มครองอันเป็ นธรรม ในพระอรหันต์ทังหลาย ด ้วยตังใจว่า ไฉนหนอ
พระอรหันต์ทยั ่ ว่นแคว ้น และทีมาแล ้ว พึงอยูเ่ ป็ นผาสุกใน
ี งมิได ้มา พึงมาสูแ

แว่นแคว ้นดังนี อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ ื
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
เพียงนั น ฯ

[๖๙] ลําดับนัน พระผู ้มีพระภาครับสังกะวัสสการพราหมณ์


อํามาตย์ผู ้ใหญ่ในมคธรัฐว่า ดูกรพราหมณ์ สมัยหนึง เราอยูท
่ สารั
ี นททเจดีย ์
เขตเมืองเวสาลีนี ณ ทีนันเราได ้แสดงอปริหานิยธรรมทัง ๗ นี แก่พวกเจ ้า
วัชช ี ก็อปริหานิยธรรมทัง ๗ นี จักตังอยูใ่ นพวกเจ ้าวัชช ี และพวกเจ ้าวัชชจ
ี ัก

สนใจในอปริหานิยธรรมทัง ๗ นี อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ
ญอย่าง

เดียว ไม่มเี สอมเพี
ยงนั น ฯ
เมือพระผู ้มีพระภาคตรัสอย่างนีแล ้ว วัสสการพราหมณ์ อํามาตย์
ผู ้ใหญ่ในมคธรัฐได ้ทูลว่า ข ้าแต่พระโคดมผู ้เจริญ ี า
พวกเจ ้าวัชชม

ประกอบด ้วยอปริหานิยธรรม แม ้ข ้อหนึงๆ ก็ยังหวังได ้ซงความเจริ
ญอย่าง
ื จะป่ วยกล่าวไปไยถึงอปริหานิยธรรมทัง ๗ ข ้อเล่า พระเจ ้า
เดียว ไม่มเี สอม
แผ่นดินมคธ พระนามว่าอชาตศัตรูเวเทหีบต
ุ ร ไม่ควรกระทําการรบกับเจ ้า
วัชช ี นอกจากจะปรองดอง นอกจากจะยุให ้แตกกันเป็ นพวก ข ้าแต่พระโค
ดมผู ้เจริญ ข ้าพเจ ้ามีกจิ มาก มีกรณียะมากจะขอลาไปในบัดนี พระผู ้มีพระ
ภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านย่อมทราบกาลอันควรในบัดนีเถิด ลําดับนั น

วัสสการพราหมณ์ อํามาตย์ผู ้ใหญ่ในมคธรัฐ ชนชมยิ
นดีพระภาษิต ของพระ
ผู ้มีพระภาค ลุกจากอาสนะหลีกไปแล ้ว ฯ
Page | 6

[๗๐] ครังนั น เมือวัสสการพราหมณ์อํามาตย์ผู ้ใหญ่ในมคธรัฐ


หลีกไปไม่นาน พระผู ้มีพระภาครับสังกะท่านพระอานนท์วา่ ดูกรอานนท์

เธอจงไปจงสงให ้ภิกษุ ทก ึ
ุ รูปซงอยู
อ ่ าศัยพระนครราชคฤห์ ให ้มาประชุมกัน
ในอุปัฏฐานศาลาท่านพระอานนท์รับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว สัง
ให ้ภิกษุ ทก ึ
ุ รูปซงอยู
อ ่ าศัยพระนครราชคฤห์ให ้ประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา
แล ้วจึงเข ้าไปเฝ้ าพระผู ้มีพระภาคถึงทีประทับ ครันเข ้าไปเฝ้ าแล ้ว ถวาย
บังคมพระผู ้มีพระภาคแล ้วยืนอยู่ ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง ครันท่านพระ
อานนท์นังเรียบร ้อยแล ้วได ้ทูลว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญภิกษุ สงฆ์ประชุมกัน
แล ้ว ขอพระองค์ทรงทราบกาลอันควรในบัดนีเถิด ฯ
ลําดับนัน พระผู ้มีพระภาคทรงลุกจากอาสนะ เสด็จเข ้าไปยังอุปัฏ

ฐานศาลา แล ้วประทับนั งบนอาสนะทีปูลาดไว ้ ครันประทับนังแล ้ว รับสงกะ
ภิกษุ ทงหลายว่
ั า ดูกรภิกษุ ทังหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรมทัง ๗ แก่
พวกเธอพวกเธอจงฟั ง จงใสใ่ จให ้ดี เราจักกล่าว ภิกษุ เหล่านั นทูลรับพระ
ดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว พระผู ้มีพระภาคได ้ตรัสว่า
๑. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักหมันประชุมกันเนืองๆ อยู่
เพียงใด

พึงหวังได ้ซงความเจริ ื
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอมเพี
ยงนัน ฯ
๒. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักพร ้อมเพรียงกันประชุม จัก
พร ้อม
เพรียงกันเลิกประชุม และจักพร ้อมเพรียงชว่ ยกันทํากิจทีสงฆ์พงึ กระทํา อยู่
เพียงใด

พึงหวังได ้ซงความเจริ ื เพียงนั น ฯ
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
Page | 7

๓. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักไม่บัญญัตส ิ มิได ้บัญญัตไิ ว ้


ิ งที
ิ ได ้บัญญัตไิ ว ้แล ้ว
แล ้วจักไม่ถอนสงที ิ ขาบท
จักสมาทานประพฤติอยูใ่ นสก

ทังหลายตามทีได ้บัญญัตไิ ว ้แล ้ว อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ
ญอย่าง

เดียว ไม่มเี สอมเพี
ยงนั น ฯ
๔. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักสักการะ เคารพ นับถือ บูชา
ภิกษุ ผู ้เป็ นเถระ ผู ้รัตตัญ ู บวชนาน เป็ นสังฆบิดร เป็ นสังฆปริณายก และ
ื งถ ้อยคําของท่านเหล่านันอยูเ่ พียงใด
จักเชอฟั ึ
พึงหวังได ้ซงความเจริ


อย่างเดียว ไม่มเี สอมเพี
ยงนั น ฯ
๕. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักไม่ลอ
ุ ํานาจแก่ตัณหาอันจะ
ึ งเกิดขึนแล ้ว อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ
ก่อให ้เกิดภพใหม่ซงบั ึ ญ

อย่างเดียว ไม่มเี สอมเพี
ยงนั น ฯ
๖. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักเป็ นผู ้ยินดีในเสนาสนะป่ า อยู่

เพียงใดพึงหวังได ้ซงความเจริ ื เพียงนั น ฯ
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
๗. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักเข ้าไปตังสติไว ้ในภายในว่า
ี เป็ นทีรักทียังมิได ้มา
ไฉนหนอเพือนพรหมจรรย์ผู ้มีศล พึงมาเถิดและที

มาแล ้ว พึงอยูเ่ ป็ นผาสุกดังนี อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ
ญอย่าง
ื เพียงนั น ฯ
เดียว ไม่มเี สอม
ดูกรภิกษุ ทังหลาย อปริหานิยธรรม ทัง ๗ นี จักตังอยูใ่ นหมูภ
่ ก
ิ ษุ
และหมูภ
่ ก
ิ ษุ จักสนใจในอปริหานิยธรรม ทัง ๗ นี อยูเ่ พียงใด หมูภ
่ ก
ิ ษุ พงึ

หวังได ้ซงความเจริ ื เพียงนั น ฯ
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
Page | 8

[๗๑] ดูกรภิกษุ ทังหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗ อีก


หมวดหนึงแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟั ง จงใสใ่ จให ้ดี เราจักกล่าว ภิกษุ
เหล่านั น ทูลรับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว พระผู ้มีพระภาคได ้ตรัส
ว่า
๑. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักไม่เป็ นผู ้ชอบการงาน ไม่ยน
ิ ดี

แล ้วในการงาน ไม่ประกอบตามซงความเป็ นผู ้ชอบการงาน อยูเ่ พียงใด พึง

หวังได ้ซงความเจริ ื เพียงนั น ฯ
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
๒. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักไม่เป็ นผู ้ชอบการคุย ไม่ยน
ิ ดี

แล ้วในการคุย ไม่ประกอบตามซงความเป็ นผู ้ชอบการคุย อยูเ่ พียงใด พึง

หวังได ้ซงความเจริ ื เพียงนั น ฯ
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
๓. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักไม่เป็ นผู ้ชอบการนอนหลับ
ไม่ยน
ิ ดีแล ้วในการนอนหลับ ึ
ไม่ประกอบตามซงความเป็ นผู ้ชอบการนอน

หลับ อยูเ่ พียงใดพึงหวังได ้ซงความเจริ ื เพียงนั น ฯ
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
๔. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักไม่เป็ นผู ้ชอบคลุกคลีด ้วยหมู่
ไม่ยน
ิ ดีแล ้วในความคลุกคลีด ้วยหมู่ ึ
ไม่ประกอบตามซงความเป็ นผู ้ชอบ

ความคลุกคลีด ้วยหมู่ อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ
ญอย่างเดียว ไม่ม ี
ื เพียงนั น ฯ
เสอม
๕. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักไม่เป็ นผู ้มีความปรารถนา
ุ ํานาจแก่ความปรารถนาอันลามก อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงึ
ลามก ไม่ลอ
ื เพียงนัน ฯ
ความเจริญอย่างเดียวไม่มเี สอม
๖. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักเป็ นผู ้ไม่มม ิ รชวั ไม่มส
ี ต ี หาย
ั คบคนชวั อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ
ชวไม่ ึ ื
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
Page | 9

เพียงนั น ฯ
๗. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักไม่ถงึ ความนอนใจในระหว่าง

เพราะการบรรลุคุณวิเศษเพียงขันตํา อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ

ื เพียงนัน ฯ
อย่างเดียวไม่มเี สอม
ดูกรภิกษุ ทังหลาย อปริหานิยธรรม ทัง ๗ นี จักตังอยูใ่ นหมูภ
่ ก
ิ ษุ
และหมูภ ิ ษุ จักสนใจในอปริหานิยธรรม ทัง ๗ นี อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงึ
่ ก
ื เพียงนัน ฯ
ความเจริญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
[๗๒] ดูกรภิกษุ ทังหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗ อีก
หมวดหนึงแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟั ง จงใสใ่ จให ้ดี เราจักกล่าว ภิกษุ
เหล่านั นทูลรับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว พระผู ้มีพระภาคได ้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุ ทังหลาย
๑. พวกภิกษุ จักเป็ นผู ้มีศรัทธา... ๒. ...มีใจประกอบด ้วยหิร.ิ .. ๓. ...มี
โอตตัปปะ... ๔. ...เป็ นพหูสต
ู ร... ๕. ...ปรารภความเพียร... ๖. ...มีสติตัง
มัน...

๗. พวกภิกษุ จักเป็ นผู ้มีปัญญา อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ
ญอย่าง
ื เพียงนั น ฯ
เดียวไม่มเี สอม
ดูกรภิกษุ ทังหลาย อปริหานิยธรรม ทัง ๗ นี จักตังอยูใ่ นหมูภ
่ ก
ิ ษุ
และหมูภ ิ ษุ จักสนใจในอปริหานิยธรรม ทัง ๗ นี อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงึ
่ ก
ื เพียงนัน ฯ
ความเจริญอย่างเดียว ไม่มเี สอม

[๗๓] ดูกรภิกษุ ทังหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗ อีกหมวด


หนึงแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟั ง จงใสใ่ จให ้ดี เราจักกล่าว ภิกษุ เหล่านั นทูล
Page | 10

รับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว พระผู ้มีพระภาคได ้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ


ทังหลาย
ั โพชฌงค์....,
๑. พวกภิกษุ จักเจริญสติสม
ั โพชฌงค์....
๒. ...ธรรมวิจยสม
๓. ...วิรย ั โพชฌงค์...
ิ สม
๔. ...ปี ตส ั โพชฌงค์...
ิ ม
๕. ...ปั สสัทธิสม
ั โพชฌงค์...
ั โพชฌงค์...
๖. ...สมาธิสม
ั โพชฌงค์ อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงความ
๗. พวกภิกษุ จักเจริญอุเบกขาสม ึ
ื เพียงนั น ฯ
เจริญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
ดูกรภิกษุ ทังหลาย อปริหานิยธรรม ทัง ๗ นี จักตังอยูใ่ นหมูภ
่ ก
ิ ษุ
และหมูภ ิ ษุ จักสนใจในอปริหานิยธรรม ทัง ๗ นี อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงึ
่ ก
ื เพียงนัน ฯ
ความเจริญอย่างเดียว ไม่มเี สอม

[๗๔] ดูกรภิกษุ ทังหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗ อีก


หมวดหนึงแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟั ง จงใสใ่ จให ้ดี เราจักกล่าว ภิกษุ
เหล่านั นทูลรับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว พระผู ้มีพระภาคได ้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุ ทังหลาย
ั ญา...
๑. พวกภิกษุ จักเจริญอนิจจสญ
ั ญา...
๒. ...อนัตตสญ
ั ญา...
๓. ...อสุภสญ
ั ญา...
๔. ...อาทีนวสญ
Page | 11

ั ญา
๕. ...ปหานสญ
๖. ...วิราคสัญญา...
ั ญา อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ
๗. พวกภิกษุ จักเจริญนิโรธสญ ึ ญ
ื เพียงนัน ฯ
อย่างเดียวไม่มเี สอม
ดูกรภิกษุ ทังหลาย อปริหานิยธรรมทัง ๗ นี จักตังอยูใ่ นหมูภ
่ ก
ิ ษุ
และหมูภ ิ ษุ จักสนใจในอปริหานิยธรรมทัง ๗ นี อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงึ
่ ก
ื เพียงนัน ฯ
ความเจริญอย่างเดียว ไม่มเี สอม

[๗๕] ดูกรภิกษุ ทังหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๖ อีก


หมวดหนึงแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟั ง จงใสใ่ จให ้ดี ภิกษุ เหล่านันทูลรับพระ
ดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว พระผู ้มีพระภาคได ้ตรัสว่า
๑. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักเข ้าไปตังกายกรรม
ประกอบด ้วยเมตตา ในเพือนพรหมจรรย์ทังหลาย ทังในทีแจ ้งและทีลับ อยู่

เพียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ ื เพียงนั น ฯ
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
๒. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักเข ้าไปตังวจีกรรม
ประกอบด ้วยเมตตาในเพือนพรหมจรรย์ทังหลาย ทังในทีแจ ้งและทีลับ อยู่

เพียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ ื เพียงนั น ฯ
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
๓. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักเข ้าไปตังมโนกรรม
ประกอบด ้วยเมตตาในเพือนพรหมจรรย์ทังหลาย ทังในทีแจ ้งและทีลับ อยู่

เพียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ ื เพียงนั น ฯ
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
๔. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักเป็ นผู ้แบ่งปั นลาภอันเป็ น
ธรรม ทีได ้มาโดยธรรม โดยทีสุดแม ้มาตรว่าอาหารอันนับเนืองในบาตร คือ
Page | 12

ี ทังหลาย อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้


เฉลียกันบริโภคกับเพือนพรหมจรรย์ผู ้มีศล

ซงความเจริ ื เพียงนั น ฯ
ญอย่างเดียวไม่มเี สอม
๕. ดูกรภิกษุ ทังหลาย ี เสมอกันกับเพือน
พวกภิกษุ จักมีศล
ี อันไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ดา่ ง
พรหมจรรย์ทังหลาย ทังในทีแจ ้งและทีลับ ในศล
ไม่พร ้อยเป็ นไทย อันวิญ ช
ู นสรรเสริญแล ้ว อันตัณหาทิฐไิ ม่ลบ
ู คลําแล ้ว

เป็ นไปเพือสมาธิอยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงความเจริ ื
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
เพียงนั น ฯ
๖. ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ จักเป็ นผู ้มีทฐ
ิ เิ สมอกันกับเพือน
พรหมจรรย์ทังหลาย ทังในทีแจ ้งและทีลับ ในทิฐอ
ิ ันประเสริฐนํ าออกไป
จากทุกข์ นํ าผู ้ปฏิบัตต ิ กข์โดยชอบ อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้
ิ ามเพือความสนทุ

ซงความเจริ ื เพียงนั น ฯ
ญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
ดูกรภิกษุ ทังหลาย อปริหานิยธรรมทัง ๖ นี จักตังอยูใ่ นหมูภ
่ ก
ิ ษุ
และหมูภ ิ ษุ จักสนใจในอปริหานิยธรรมทัง ๖ นี อยูเ่ พียงใด พึงหวังได ้ซงึ
่ ก
ื เพียงนัน ฯ
ความเจริญอย่างเดียว ไม่มเี สอม
ได ้ยินว่า พระผู ้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระ
นครราชคฤห์แม ้นัน ทรงกระทําธรรมีกถาอันนีแหละเป็ นอันมากแก่พวกภิกษุ
ี อย่างนีสมาธิ อย่างนีปั ญญา สมาธิอันศล
ว่า อย่างนีศล ี อบรมแล ้ว ย่อมมีผล
ใหญ่ มีอานิสงสใ์ หญ่ ปั ญญาอันสมาธิอบรมแล ้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส ์
ใหญ่ จิตอันปั ญญาอบรมแล ้ว ย่อมหลุดพ ้นอาสวะโดยชอบ คือกามาสวะ
ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ
Page | 13

[๗๖] ครังนั น พระผู ้มีพระภาคประทับอยูต


่ ามความพอพระทัยใน
พระนครราชคฤห์ แล ้วตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสังว่า ดูกรอานนท์ มา
ไปกันเถิดเราจักไปยังอัมพลัฏฐิกา ท่านพระอานนท์ทล
ู รับพระดํารัสของ
พระผู ้มีพระภาคแล ้วลําดับนั น พระผู ้มีพระภาคพร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์หมูใ่ หญ่
เสด็จถึงอัมพลัฏฐิกาแล ้วได ้ยินว่า พระผู ้มีพระภาคเสด็จประทับ ณ พระ
ตําหนักหลวงในอัมพลัฏฐิกาแม ้นั นทรงกระทําธรรมีกถาอันนีแหละเป็ นอัน
ี อย่างนีสมาธิอย่างนีปั ญญา สมาธิอันศล
มากแก่พวกภิกษุ วา่ อย่างนีศล ี
อบรมแล ้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงสใ์ หญ่ ปั ญญาอันสมาธิอบรมแล ้ว ย่อมมี
ผลใหญ่ มีอานิสงสใ์ หญ่ จิตอันปั ญญาอบรมแล ้ว ย่อมหลุดพ ้นจากอาสวะ
โดยชอบ คือกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ

[๗๗] ครังนั น พระผู ้มีพระภาคประทับอยูต


่ ามความพอพระทัยใน
อัมพลัฏฐิกา แล ้วตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสังว่า ดูกรอานนท์ มาไป
กันเถิดเราจักไปยังบ ้านนาฬันทคาม ท่านพระอานนท์ทล
ู รับพระดํารัสของ
พระผู ้มีพระภาคแล ้ว ลําดับนั น พระผู ้มีพระภาคพร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์หมูใ่ หญ่
เสด็จถึงบ ้านนาฬันทคามแล ้ว ได ้ยินว่า พระผู ้มีพระภาคประทับอยูใ่ นปา
วาทิกอัมพวัน ในบ ้านนาฬันทคามนัน ครังนั น ท่านพระสารีบต
ุ รเข ้าไปเฝ้ า
พระผู ้มีพระภาคถึงทีประทับ ครันเข ้าไปเฝ้ าแล ้วถวายบังคมพระผู ้มีพระภาค
นัง ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง เมือท่านพระสารีบต
ุ รนังเรียบร ้อยแล ้วกราบทูลว่า
ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ข ้าพระองค์เลือมใสในพระผู ้มีพระภาคอย่างนีว่า

สมณะหรือพราหมณ์ผู ้อืนซงจะรู ั โพธิ
้เกินไปกว่าพระผู ้มีพระภาคในทางสม
ญาณมิได ้มีแล ้ว จักไม่ม ี และไม่มอ
ี ยูใ่ นบัดนี ฯ
Page | 14

ุ ร เธอกล่าวอาสภิวาจาอันยิงนี เธอถือเอาสว่ นเดียว


พ. ดูกรสารีบต
ี นาทว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ข ้าพระองค์เลือมใสในพระผู ้มีพระ
บันลือสห
ภาคอย่างนีว่า ึ
สมณะหรือพราหมณ์ผู ้อืนซงจะรู ้เกินไปกว่าพระผู ้มีพระภาค
ั โพธิญาณมิได ้มีแล ้ว จักไม่ม ี และไม่มอ
ในทางพระสม ี ยูใ่ นบัดนี ดูกรสารี
บุตร ั มาสัมพุทธเจ ้าทุกพระองค์ซงได
พระผู ้มีพระภาคอรหันตสม ึ ้มีแล ้วใน

อดีตกาล อันเธอกําหนดซงใจด ี
้วยใจแล ้วรู ้ว่า พระผู ้มีพระภาคเหล่านั น มีศล
อย่างนีแล ้ว แม ้เพราะเหตุนมี
ี ธรรมอย่างนีแล ้ว มีปัญญาอย่างนีแล ้ว มีวห
ิ าร
ธรรมอย่างนีแล ้ว มีวม
ิ ต
ุ ติอย่างนีแล ้ว แม ้เพราะเหตุนี ดังนีหรือ ฯ
่ ย่างนัน พระเจ ้าข ้า ฯ
ส. มิใชอ
ดูกรสารีบต
ุ ร ั มาสม
ก็พระผู ้มีพระภาคอรหันตสม ั พุทธเจ ้าทุก
ึ กมีในอนาคตกาล อันเธอกําหนดซงใจด
พระองค์ ซงจั ึ ้วยใจแล ้วรู ้ว่า พระผู ้มี
ี อย่างนี แม ้เพราะเหตุนี มีธรรมอย่างนี มี
พระภาคเหล่านั นจักเป็ นผู ้มีศล
ปั ญญาอย่างนี มีวห
ิ ารธรรมอย่างนี มีวม
ิ ต
ุ ติอย่างนี แม ้เพราะเหตุนี ดังนีหรือ

่ ย่างนั น พระเจ ้าข ้า ฯ
มิใชอ
ดูกรสารีบต ั มาสม
ุ ร ก็เราผู ้เป็ นอรหันตสม ั พุทธเจ ้าในบัดนี อันเธอ

กําหนดซงใจด ี อย่างนี แม ้เพราะเหตุนี มี
้วยใจแล ้วรู ้ว่า พระผู ้มีพระภาคมีศล
ธรรมอย่างนีมีปัญญาอย่างนี มีวห
ิ ารธรรมอย่างนี มีวม
ิ ต
ุ ติอย่างนี แม ้เพราะ
เหตุนี ดังนีหรือ ฯ
่ ย่างนั น พระเจ ้าข ้า ฯ
มิใชอ
ดูกรสารีบต
ุ ร ก็ในเรืองนี เธอไม่มญ ึ
ี าณเพือกําหนดรู ้ซงในใจพระ
ั มาสม
อรหันตสม ั พุทธเจ ้าทังในอดีต อนาคต และปั จจุบัน เมือเป็ นเชน
่ นั น
Page | 15

ในบัดนีอย่างไรเล่า เธอจึงได ้กล่าวอาสภิวาจาอันยิงนี เธอถือเอาสว่ นเดียว


ี นาทว่า
บันลือสห
ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ข ้าพระองค์เลือมใสในพระผู ้มีพระภาคอย่างนีว่า

สมณะหรือพราหมณ์ผู ้อืนซงจะรู ้เกินไปกว่าพระผู ้มีพระภาคในทางพระ
ั โพธิญาณ มิได ้มีแล ้วจักไม่ม ี และไม่มอ
สม ี ยูใ่ นบัดนี ฯ
ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ข ้าพระองค์ไม่มญ ึ
ี าณเพือกําหนดรู ้ซงใจใน
ั มาสัมพุทธเจ ้าทังในอดีต อนาคต และปั จจุบัน แต่ว่า ข ้า
พระอรหันตสม
พระองค์รู ้แนวธรรม ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ปั จจันตนครของพระราชามีประตู
่ งเดียว คนเฝ้ าประตูพระ
มันคง มีกําแพงและเสาระเนียดมันคง มีประตูชอ
นครนั น เป็ นคนฉลาดเฉียบแหลมมีปัญญา ห ้ามคนทีไม่รู ้จัก ปล่อยคนทีรู ้จัก
ให ้เข ้าไปได ้ เขาเดินตรวจดูหนทางตามลําดับโดยรอบพระนครนั น ไม่เห็นที
่ งกําแพง
หัวประจบแห่งกําแพงหรือชอ โดยทีสุดแม ้เพียงแมวลอดออกได ้
ึ ว่า สต
เขาพึงมีความรู ้สก ั ว์ทตั
ี วโตทุกชนิดจะเข ้าออกนครนี ย่อมเข ้าออก
โดยประตูนี แม ้ฉันใด แนวแห่งธรรม
ก็ฉันนั นเหมือนกัน ข ้าพระองค์รู ้ว่า พระผู ้มีพระภาคอรหันตสัมมาสม
ั พุทธเจ ้า
ึ นเครืองเศร ้า
ทีได ้มีแล ้วในอดีตกาลทุกพระองค์ ทรงละนิวรณ์ทัง ๕ ซงเป็
หมองแห่งจิต กระทําปั ญญาให ้ทุรพล มีพระทัยตังมันดีแล ้ว ในสติปัฏฐาน
ั มาสัมโพธิ
๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็ นจริง ตรัสรู ้พระอนุตรสม
ญาณแล ้ว ั มาสัมพุทธเจ ้าทีจักมีในอนาคต
แม ้พระผู ้มีพระภาคอรหันตสม
ึ นเครืองเศร ้าหมองแห่งจิต กระทํา
กาลทุกพระองค์ จักทรงละนิวรณ์ ๕ ซงเป็
ปั ญญาให ้ทุรพล มีพระทัยตังมันดีแล ้วในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์
ั มาสม
๗ ตามความเป็ นจริง จักตรัสรู ้พระอนุตรสม ั โพธิญาณ พระผู ้มีพระภาค
Page | 16

ั มาสม
อรหันตสม ั พุทธเจ ้าในบัดนีก็ทรงละนิวรณ์ ๕ ซงเป็
ึ นเครืองเศร ้าหมอง
แห่งจิต กระทําปั ญญาให ้ทุรพล มีพระทัยตังมันดีแล ้วในสติปัฏฐาน ๔ ทรง
ั มาสัมโพธิญาณ ฯ
เจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็ นจริงตรัสรู ้พระอนุตรสม
ได ้ยินว่า พระผู ้มีพระภาคประทับอยูใ่ นปาวาทิกอัมพวัน ในบ ้าน
นาฬันทาแม ้นัน ทรงกระทําธรรมีกถานีแหละเป็ นอันมากแก่พวกภิกษุ วา่
ี อย่างนีสมาธิ อย่างนีปั ญญา สมาธิอันศล
อย่างนีศล ี อบรมแล ้ว ย่อมมีผล
ใหญ่ มีอานิสงสใ์ หญ่ปัญญาอันสมาธิอบรมแล ้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส ์
ใหญ่ จิตอันปั ญญาอบรมแล ้วย่อมหลุดพ ้นจากอาสวะโดยชอบ คือกามาสวะ
ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ

[๗๘] ลําดับนั น พระผู ้มีพระภาคประทับอยูต


่ ามความพอพระทัย
ในบ ้านนาฬันทคาม แล ้วตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสังว่า ดูกรอานนท์
มาไปกันเถิดเราจักไปยังปาฏลิคาม ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดํารัสของ
พระผู ้มีพระภาคแล ้วลําดับนั นพระผู ้มีพระภาคพร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์หมูใ่ หญ่
เสด็จถึงปาฏลิคามแล ้วพวกอุบาสกชาวปาฏลิคามได ้สดับข่าวว่า พระผู ้มี
พระภาคเสด็จถึงปาฏลิคามแล ้วจึงพากันเข ้าไปเฝ้ าพระผู ้มีพระภาคถึงที
ประทับ ครันเข ้าไปเฝ้ าแล ้วถวายบังคมพระผู ้มีพระภาค นั ง ณ ทีควรสว่ นข ้าง
หนึง ครันพวกอุบาสกชาวปาฏลิคามนั งเรียบร ้อยแล ้ว จึงกราบทูลว่า ข ้าแต่
พระองค์ผู ้เจริญ ขอพระผู ้มีพระภาคจงทรงรับเรือนสําหรับพักของพวกข ้า
พระองค์เถิด พระผู ้มีพระภาคทรงรับด ้วยดุษณีภาพ
Page | 17

ลําดับนั น พวกอุบาสกชาวปาฏลิคามทราบการทรงรับของพระผู ้มีพระภาค


แล ้วจึงลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู ้มีพระภาค กระทําประทักษิณกลับไป
ยังเรือนสําหรับพัก ครันเข ้าไปแล ้วปูลาดเรือนสําหรับพักอย่างเรียบร ้อยทัว
ทุกแห่ง แต่งตังอาสนะ ตังหม ้อนํ าไว ้ ตามประทีปไว ้แล ้ว จึงกลับเข ้าไปเฝ้ า
พระผู ้มีพระภาคถึงทีประทับ ครันเข ้าไปเฝ้ าแล ้วถวายบังคมพระผู ้มีพระภาค
ยืนอยู่ ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง ครันพวกอุบาสกชาวปาฏลิคามยืนเรียบร ้อย
แล ้ว จึงกราบทูลพระผู ้มีพระภาคว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ พวกข ้าพระองค์ปู
ลาดเรือนสําหรับพักอย่างเรียบร ้อยทัวทุกแห่งแล ้ว แต่งตังอาสนะไว ้ ตัง
หม ้อนํ าไว ้ ตามประทีปไว ้แล ้ว ขอพระผู ้มีพระภาคจงทรงทราบกาลอันควร
ในบัดนีเถิด ฯ
ครังนัน เวลาเชา้ พระผู ้มีพระภาคทรงนุ่งแล ้ว ทรงถือบาตรและ
จีวรพร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์เสด็จไปยังเรือนสําหรับพัก ครันเสด็จเข ้าไปแล ้ว
ทรงล ้างพระบาทแล ้ว เสด็จเข ้าไปยังเรือนสําหรับพัก ประทับนังพิงเสา
กลาง บ่ายพระพักตร์ไปทางบูรพทิศ ฝ่ ายภิกษุ สงฆ์ล ้างเท ้าแล ้วเข ้าไปยัง
เรือนสําหรับพัก นั งพิงฝาด ้านหลังบ่ายหน ้าไปทางบูรพทิศแวดล ้อมพระผู ้มี
พระภาค สว่ นพวกอุบาสกชาวปาฏลิคามล ้างเท ้าแล ้ว เข ้าไปยังเรือนสําหรับ
พัก นังพิงฝาด ้านหน ้า บ่ายหน ้าไปทางปั จฉิมทิศแวดล ้อมพระผู ้มีพระภาค ฯ

[๗๙] ลําดับนั น พระผู ้มีพระภาครับสังกะพวกอุบาสกชาวปาฏลิ


คามว่าดูกรคฤหบดีทังหลาย ี วิบัตข
โทษแห่งศล ี
ิ องคนทุศล ๕ ประการ
เหล่านี ๕ ประการเป็ นไฉน ฯ
ี มีศล
ดูกรคฤหบดีทังหลาย คนทุศล ี วิบัตแ
ิ ล ้วในโลกนี ย่อมเข ้าถึง
Page | 18


ความเสอมแห่
งโภคะอย่างใหญ่อันมีความประมาทเป็ นเหตุ อันนีเป็ นโทษ
ี วิบัตข
ข ้อทีหนึง แห่งศล ี ฯ
ิ องคนทุศล
อีกข ้อหนึง กิตติศัพท์อันชวของคนทุ
ั ศลี ี วิบัตแ
มีศล ิ ล ้วย่อม
ี วิบัตข
กระฉ่อนไปอันนีเป็ นโทษข ้อทีสองแห่งศล ี ฯ
ิ องคนทุศล
ี มีศล
อีกข ้อหนึง คนทุศล ี วิบัตแ ่ ริษัทใดๆ คือ
ิ ล ้ว จะเข ้าไปสูบ
ขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คฤหบดีบริษัท หรือสมณบริษัท ย่อมครัน
ี วิบัตข
คร ้าม เก ้อเขินอันนีเป็ นโทษข ้อทีสามแห่งศล ี ฯ
ิ องคนทุศล
ี มีศล
อีกข ้อหนึง คนทุศล ี วิบัตแ
ิ ล ้ว ย่อมหลงกระทํากาละ อันนี
ี งศล
เป็ นโทษข ้อทีสแห่ ี วิบัตข ี ฯ
ิ องคนทุศล
ี มีศล
อีกข ้อหนึง คนทุศล ี วิบัตแ
ิ ล ้ว เบืองหน ้าแต่ตายเพราะกาย
แตกย่อมเข ้าถึงอบาย ทุคติ วินบ ี วิบัต ิ
ิ าต นรก อันนีเป็ นโทษข ้อทีห ้าแห่งศล
ี ฯ
ของคนทุศล
ี วิบัตข
ดูกรคฤหบดีทังหลาย โทษแห่งศล ี ๕ ประการ
ิ องคนทุศล
เหล่านีแล ฯ

์ ห่งศล
[๘๐] ดูกรคฤหบดีทังหลาย อานิสงสแ ี สมบัตข ี
ิ องคนมีศล
๕ ประการเหล่านี ๕ ประการเป็ นไฉน
ี ถึงพร ้อมแล ้วด ้วยศล
ดูกรคฤหบดีทังหลาย คนมีศล ี ย่อมได ้รับ
์ ้อทีหนึง
กองโภคะใหญ่ อันมีความไม่ประมาทเป็ นเหตุ อันนีเป็ นอานิสงสข
ี สมบัตข
แห่งศล ี ฯ
ิ องคนมีศล
อีกข ้อหนึง กิตติศัพท์อันงามของคนมีศล
ี ถึงพร ้อมแล ้วด ้วยศล

ย่อม
Page | 19

์ ้อทีสอง แห่งศล
ขจรไป อันนีเป็ นอานิสงสข ี สมบัตข ี ฯ
ิ องคนมีศล
ี ถึงพร ้อมแล ้วด ้วยศล
อีกข ้อหนึง คนมีศล ี จะเข ้าไปสูบ
่ ริษัทใดๆ
คือขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คฤหบดีบริษัท หรือสมณบริษัท ย่อม
์ ้อทีสาม แห่งศล
องอาจไม่เก ้อเขิน อันนีเป็ นอานิสงสข ี สมบัตข ี ฯ
ิ องคนมีศล
ี ถึงพร ้อมแล ้วด ้วยศล
อีกข ้อหนึง คนมีศล ี ย่อมไม่หลงทํากาละ
์ ้อทีส ี แห่งศล
อันนีเป็ นอานิสงสข ี สมบัตข ี ฯ
ิ องคนมีศล
ี ถึงพร ้อมแล ้วด ้วยศล
อีกข ้อหนึง คนมีศล ี เบืองหน ้าแต่ตายเพราะ
์ ้อทีห ้า แห่งศล
กายแตก ย่อมเข ้าถึงสุคติโลกสวรรค์ อันนีเป็ นอานิสงสข ี
สมบัตข ี ฯ
ิ องคนมีศล
ดูกรคฤหบดีทังหลาย ์ ห่งศล
อานิสงสแ ี สมบัตข ี
ิ องคนมีศล ๕
ประการเหล่านีแล ฯ

[๘๑] ครังนั น พระผู ้มีพระภาคทรงยังพวกอุบาสกชาวปาฏลิคาม


ให ้เห็นแจ ้ง ให ้สมาทาน ให ้อาจหาญ ให ้รืนเริงด ้วยธรรมีกถาตลอดราตรี
แล ้ว ทรงสง่ ไปด ้วยพระดํารัสว่า
ดูกรคฤหบดีทังหลาย ราตรีสว่างแล ้ว พวกท่านจงทราบกาลอัน
ควรในบัดนีเถิด พวกอุบาสกชาวปาฏลิคามทูลรับพระดํารัสของพระผู ้มีพระ
ภาคแล ้วลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู ้มีพระภาคกระทําประทักษิณหลีก
ไปแล ้ว ลําดับนั นเมืออุบาสกชาวปาฏลิคามหลีกไปแล ้วไม่นาน พระผู ้มีพระ
่ ญ
ภาคเสด็จเข ้าไปสูส ุ ญาคารแล ้ว ฯ

[๘๒] ก็สมัยนัน สุนธ


ี ะ และวัสสการะ อํามาตย์ผู ้ใหญ่ในมคธรัฐ
Page | 20

สร ้างเมืองในปาฏลิคามเพือป้ องกันพวกเจ ้าวัชช ี ก็สมัยนั นเทวดาเป็ นอัน


มากนับเป็ นพันๆ หวงแหนทีในปาฏลิคาม เทวดาผู ้มีศักดิใหญ่หวงแหนทีใน
สว่ นใด จิตของพระราชาและราชมหาอํามาตย์ผู ้มีศักดิใหญ่ ก็น ้อมไปเพือจะ
สร ้างนิเวศน์ในสว่ นนันเทวดาชนกลางหวงแหนที
ั ในสว่ นใด จิตของ

พระราชาและพระราชมหาอํามาตย์ชนกลาง ก็น ้อมไปเพือสร ้างนิเวศน์ใน
สว่ นนัน ั าหวงแหนทีในสว่ นใดจิตของพระราชาและราชมหา
เทวดาชนตํ
ั า ก็น ้อมไปเพือสร ้างนิเวศน์ในสว่ นนันพระผู ้มีพระภาคได ้ทรง
อํามาตย์ชนตํ
เห็นเทวดาเหล่านั นนับเป็ นพันๆ หวงแหนทีในปาฏลิคามด ้วยทิพยจักษุ อัน
บริสท
ุ ธิ ล่วงจักษุ ของมนุษย์ ฯ
ลําดับนัน พระผู ้มีพระภาคเสด็จลุกขึนในเวลาปั จจุสสมัยแห่ง
ราตรี ตรัสเรียกพระอานนท์มารับสังว่า ดูกรอานนท์ ใครหนอจะสร ้างเมืองใน
ปาฏลิคาม ฯ
อ. ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ สุนีธะและวัสสการะอํามาตย์ผู ้ใหญ่ใน
มคธรัฐจะสร ้างเมืองปาฏลิคาม เพือป้ องกันพวกเจ ้าวัชช ี ฯ
ดูกรอานนท์ สุนีธะและวัสสการะอํามาตย์ผู ้ใหญ่ในมคธรัฐจะสร ้าง
เมืองในปาฏลิคาม เพือป้ องกันพวกเจ ้าวัชช ี ก็เปรียบเหมือนท ้าวสก
ั กะทรง
ปรึกษากับพวกเทวดาชันดาวดึงส ์ ในทีนี เราได ้เห็นเทวดาเป็ นอันมาก
นับเป็ นพันๆหวงแหนทีในปาฏลิคามด ้วยทิพยจักษุ อันบริสท
ุ ธิ ล่วงจักษุ ของ
มนุษย์ เทวดาผู ้มีศักดิใหญ่หวงแหนทีในสว่ นใด จิตของพระราชาและราช
มหาอํามาตย์ผู ้มีศักดิใหญ่ก็น ้อมไปเพือสร ้างนิเวศน์ในสว่ นนั น ั
เทวดาชน
กลางหวงแหนทีในสว่ นใด จิตของพระราชาและราชมหาอํามาตย์ชันกลาง
ก็น ้อมไปเพือสร ้างนิเวศน์ในสว่ นนั นเทวดาชนตํ
ั าหวงแหนทีในสว่ นใด จิต
Page | 21

ั าก็น ้อมไปเพือสร ้างนิเวศน์ในสว่ น


ของพระราชาและราชมหาอํามาตย์ชนตํ
นัน ดูกรอานนท์ ทีนีจักเป็ นทีอยูอ
่ ันประเสริฐเป็ นทางค ้าขาย เป็ นนครอันเลิศ
ื า
ชอว่ ปาฏลีบต
ุ ร เป็ นทีแก ้ห่อภัณฑะ นครปาฏลีบต
ุ รจักมีอันตราย ๓
ประการ คือ ไฟ นํ า หรือการยุให ้แตกพวก ฯ

[๘๓] ครังนั น สุนธ


ี ะและวัสสการะ อํามาตย์ผู ้ใหญ่ในมคธรัฐ เข ้า
ไปเฝ้ าพระผู ้มีพระภาคถึงทีประทับ ครันเข ้าไปเฝ้ าแล ้วได ้ปราศรัยกับพระผู ้
มีพระภาคครันผ่านการปราศรัยพอให ้ระลึกถึงกันไปแล ้วได ้ยืนอยู่ ณ ทีควร
สว่ นข ้างหนึง แล ้วได ้กราบทูลว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ขอท่านพระโคดม
พร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์จงทรงรับภัตของข ้าพระองค์เพือเสวยในวันนี พระผู ้มี
พระภาคทรงรับด ้วยดุษณีภาพลําดับนัน สุนีธะและวัสสการะอํามาตย์ผู ้ใหญ่
ในมคธรัฐ ทราบว่าพระผู ้มีพระภาคทรงรับแล ้ว จึงเข ้าไปยังทีพักของตนๆ
ครันแล ้วจัดแต่งของเคียวของฉั นอันประณีตในทีพักของตนๆ แล ้วให ้ทูล
เวลาแด่พระผู ้มีพระภาคว่า ข ้าแต่ทา่ นพระโคดมผู ้เจริญ ได ้เวลาแล ้ว
ภัตตาหารสําเร็จแล ้ว ฯ
ครังนัน เวลาเชา้ พระผู ้มีพระภาคทรงนุ่งแล ้ว ทรงถือบาตรและ
จีวรพร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์เสด็จเข ้าไปยังทีพักของสุนีธะและวัสสการะ
อํามาตย์ผู ้ใหญ่ในมคธรัฐ ประทับนั งบนอาสนะทีเขาจัดถวาย สุนธ
ี ะและวัส
สการะอํามาตย์ผู ้ใหญ่ในมคธรัฐ อังคาสภิกษุ สงฆ์มพ
ี ระพุทธเจ ้าเป็ นประมุข
ให ้อิมหนํ า เพียงพอด ้วยของเคียวของฉั นอันประณีต ด ้วยมือของตนๆ ครัน
พระผู ้มีพระภาคเสวยเสร็จวางพระหัตถ์จากบาตรแล ้ว สุนธ
ี ะและวัสสการะ
ถืออาสนะตํา นังเฝ้ าอยู่ ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง เมือสุนีธะและวัสสการะ
Page | 22

อํามาตย์ผู ้ใหญ่ในมคธรัฐ นั งเฝ้ าอยูอ


่ ย่างนีแล ้ว พระผู ้มีพระภาคทรง
อนุโมทนาด ้วยคาถาเหล่านี ความว่า

[๘๔] บัณฑิตยชาติสําเร็จการอยูใ่ นประเทศใด ื


ย่อมเชอ
ิ ท่าน
เชญ ี ผู ้สํารวมแล ้วประพฤติพรหมจรรย์ ให ้บริโภคในประเทศ
ผู ้มีศล
นัน ได ้อุทศ
ิ ทักษิณาทานให ้แก่เทวดาทีมีอยู่ ณ ทีนัน เทวดา
เหล่านั นได ้รับบูชาแล ้วย่อมบูชาตอบเขาได ้รับความนับถือ แล ้วย่อมนับถือ
ตอบเขาแต่นันย่อมอนุเคราะห์เขา เหมือน มารดาอนุเคราะห์บต ึ ด
ุ รซงเกิ
แต่อกฉะนัน บุรษ
ุ ผู ้อันเทวดาอนุเคราะห์แล ้ว ย่อมเห็นความเจริญทุกเมือ ฯ

[๘๕] ครังนั น พระผู ้มีพระภาคทรงอนุโมทนากะสุนธ


ี ะและวัสสกา
ระ อํามาตย์ผู ้ใหญ่ในมคธรัฐด ้วยพระคาถาเหล่านีแล ้ว เสด็จลุกจากอาสนะ
หลีกไปแล ้วก็สมัยนัน สุนธ
ี ะและวัสสการะอํามาตย์ผู ้ใหญ่ในมคธรัฐ ต่าง
ตามเสด็จพระผู ้มีพระภาคไปเบืองพระปฤษฎางค์ด ้วยคิดว่า วันนีพระสมณ
โคดมจักเสด็จออกทางประตูใด ประตูนันจักมีนามว่าประตูโคดม จักเสด็จ
ข ้ามแม่นําคงคาทางท่าใดท่านั นจักมีนามว่าท่าโคดม ครังนั น พระผู ้มีพระ
ภาคเสด็จออกทางประตูใด ประตูนันได ้นามว่าประตูโคดมแล ้ว ลําดับนัน
พระผู ้มีพระภาคเสด็จไปยังแม่นําคงคาแล ้ว ก็สมัยนัน แม่นําคงคาเต็มเปี ยม
เสมอฝั ง กาดืมกินได ้ พวกมนุษย์ผู ้ประสงค์จะข ้ามฟาก บางพวก เทียวหา
เรือ บางพวกเทียวหาแพ บางพวกผูกทุน
่ ครังนั นพระผู ้มีพระภาคกับภิกษุ
สงฆ์ทรงหายไป ณ ทีฝั งนีแห่งแม่นําคงคา ไปปรากฏตนทีฝั งโน ้น เหมือน
บุรษ
ุ ผู ้มีกําลังเหยียดแขนทีคู ้ไว ้ หรือคู ้แขนทีเหยียดออกแล ้ว
Page | 23

ฉะนัน พระผู ้มีพระภาคได ้ทอดพระเนตรมนุษย์เหล่านัน ผู ้ประสงค์จะข ้าม


ฟากบางพวกเทียวหาเรือ บางพวกเทียวหาแพ บางพวกผูกทุ่นอยู่ พระองค์
ทรงทราบเนือความนีแล ้ว ทรงเปล่งพระอุทานนีในเวลานันว่า
เหล่าชนทีจะข ้ามสระ คือ ตัณหาอันเวิงว ้าง ต ้องสร ้างสะพาน
คือ (อริยมรรค) พ ้นเปื อกตม ก็และขณะทีชนกําลังผูก
ทุน
่ อยู่ หมูช
่ นผู ้มีปัญญา ข ้ามได ้แล ้ว ฯ

จบภาณวารทีหนึง ฯ

[๘๖] ครังนั น พระผู ้มีพระภาค ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสัง


ว่าดูกรอานนท์ มาไปกันเถิด เราจักไปโกฏิคาม ท่านพระอานนท์ทล
ู รับพระ
ดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว ลําดับนั น พระผู ้มีพระภาคพร ้อมด ้วยภิกษุ
สงฆ์หมูใ่ หญ่เสด็จถึงโกฏิคามแล ้ว ได ้ยินว่า พระผู ้มีพระภาคประทับอยู่ ณ
โกฏิคามนั น ณ ทีนัน พระผู ้มีพระภาครับสังกะภิกษุ ทังหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทังหลาย เพราะไม่รู ้แจ ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ เราและพวกเธอจึงเร่รอ
่ น

ท่องเทียวไปสนกาลนานอย่ ั
างนีเพราะไม่รู ้แจ ้งแทงตลอดอริยสจ ๔ เป็ น
ไฉน เพราะไม่รู ้แจ ้งแทงตลอดทุกขอริยสัจเราและพวกเธอจึงเร่รอ
่ น
ท่องเทียวไปตลอดกาลนานอย่างนี เพราะไม่รู ้แจ ้งแทงตลอด ทุกขสมุทัย
ั ... ทุกขนิโรธอริยสจ
อริยสจ ั ... ทุกขนิโรธคามินป ั
ี ฏิปทาอริยสจ
เราและพวกเธอจึงเร่รอ ิ
่ นท่องเทียวไปสนกาลนานอย่
างนี ฯ
Page | 24

ดูกรภิกษุ ทังหลาย ั
เราได ้รู ้แจ ้งแทงตลอดทุกขอริยสจ ทุกข
สมุทัยอริยสัจทุกขนิโรธอริยสจ
ั ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสจ
ั แล ้ว ตัณหา
ี แล ้ว ตัณหาอันจะนํ าไปสูภ
ในภพ เราถอนเสย ่ พสนแล
ิ ้ว บัดนี ภพใหม่ไม่ม ี ฯ
พระผู ้มีพระภาคผู ้สุคตศาสดาครันได ้ตรัสไวยากรณ์ภาษิตนีจบลง
แล ้ว จึงได ้ตรัสคาถาประพันธ์ตอ
่ ไปอีกว่า
[๘๗] เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามเป็ นจริง เราและพวกเธอ

จึงท่องเทียวไปในชาตินันๆ สนกาลนาน
เราได ้เห็นอริยสัจ ๔ เหล่านั นแล ้ว
่ พเสย
เราถอนตัณหาอันจะนํ าไปสูภ ี ได ้แล ้ว
มูลแห่งทุกข์เราตัดได ้ขาดแล ้ว บัดนี ภพใหม่ไม่ม ี ดังนี

[๘๘] ได ้ยินว่า พระผู ้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โกฏิคามแม ้นั น
ี อย่างนี
ทรงกระทําธรรมีกถานีแหละเป็ นอันมากแก่พวกภิกษุ วา่ อย่างนีศล
ี อบรมแล ้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงสใ์ หญ่
สมาธิ อย่างนีปั ญญา สมาธิอันศล
ปั ญญาอันสมาธิอบรมแล ้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงสใ์ หญ่ จิตอันปั ญญา
อบรมแล ้ว ย่อมหลุดพ ้นจากอาสวะโดยชอบ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชา
สวะ ฯ
[๘๙] ครังนั น พระผู ้มีพระภาคประทับอยูต
่ ามความพอพระทัยใน
โกฏิคามแล ้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสังว่า ดูกรอานนท์ มาไปกัน
เถิด เราจักไปยังนาทิกคาม ท่านพระอานนท์ทล
ู รับพระดํารัสของพระผู ้มี
พระภาคแล ้ว ลําดับนั นพระผู ้มีพระภาคพร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์หมูใ่ หญ่ เสด็จ
ถึงนาทิกคามแล ้ว ได ้ยินว่า
Page | 25

ึ อด ้วยอิฐทีนาทิกคามนั น
พระผู ้มีพระภาคประทับในทีพักซงก่ ท่านพระ
อานนท์เข ้าไปเฝ้ าพระผู ้มีพระภาคถึงทีประทับ ครันเข ้าไปเฝ้ าแล ้วถวาย
บังคมพระผู ้มีพระภาค นั ง ณทีควรสว่ นข ้างหนึง ครันท่านพระอานนท์นัง
เรียบร ้อยแล ้วได ้กราบทูลพระผู ้มีพระภาคว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ภิกษุ
นามว่าสาฬหะ มรณภาพแล ้วในนาทิกคามคติและภพเบืองหน ้าของเธอเป็ น
ไฉน ภิกษุ ณีนามว่า นั นทา มรณภาพแล ้วในนาทิกคาม คติและภพเบืองหน ้า
ของเธอเป็ นไฉน
ิ า
อุบาสกนามว่า สุทัตตะ ... อุบาสก
นามว่า สุชาดา ...
อุบาสกนามว่า กกุธะ ...
ิ พะ ... อุบาสก
อุบาสกนามว่า การฬม
นามว่า นิกฏะ ...
อุบาสกนามว่า กฏิสสหะ ... อุบาสกนามว่า ตุฏฐะ ... อุบาสก
นามว่า สันตุฏฐะ ... อุบาสกนามว่า ภฏะ ... อุบาสกนามว่า สุภฏะ ทํากาละ
แล ้วในนาทิกคาม คติและภพเบืองหน ้าของเขาเป็ นไฉน ฯ
พระผู ้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอานนท์ ภิกษุ นามว่าสาฬหะ

กระทําให ้แจ ้งซงเจโตวิ
มตุ ติ ปั ญญาวิมต
ุ ติ อันหาอาสวะมิได ้ เพราะอาสวะ

สนไป ด ้วยปั ญญาอันยิงของตนเองในปั จจุบน
ั เข ้าถึงอยู่ ภิกษุ ณีนามว่า นัน
ทา เพราะสังโยชน์เบืองตํา ๕ สนไป
ิ เป็ นโอปปาติกะ ปรินพ
ิ พานในภพนั น มี
อันไม่กลับมาจากโลกนันเป็ นธรรมดา อุบาสกนามว่า สุทัตตะ เพราะ
สงั โยชน์ ๓ สนไป
ิ และเพราะ
Page | 26

ราคะ โทสะ โมหะเบาบาง เป็ นพระสกทาคามี กลับมายังโลกนีคราวเดียว


ิ านามว่า สุชาดา เพราะสังโยชน์ ๓
เท่านั นแล ้วจักทําทีสุดแห่งทุกข์ อุบาสก

สนไป เป็ นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกตําเป็ นธรรมดา เป็ นผู ้เทียง มีอันจะตรัสรู ้
ในภายหน ้าอุบาสกนามว่า กกุธะ เพราะสงั โยชน์เบืองตํา ๕ สนไป
ิ เป็ น
โอปปาติกะ ปรินพ
ิ พานในภพนั น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั นเป็ นธรรมดา

อุบาสกนามว่า การฬมพะ ...อุบาสกนามว่า นิกฏะ ... อุบาสกนามว่า กฏิสส
ั ตุฏฐะ ... อุบาสกนามว่า
หะ ... อุบาสกนามว่า ตุฏฐะ ...อุบาสกนามว่า สน
ภฏะ ... อุบาสกนามว่า สุภฏะ เพราะสงั โยชน์เบืองตํา ๕ สนไป
ิ เป็ น
โอปปาติกะ ปรินพ
ิ พานในภพนั น มีอันไม่กลับมาจากโลกนันเป็ นธรรมดา ฯ
ดูกรอานนท์ พวกอุบาสกในนาทิกคาม อีก ๕๐ คน กระทํากาละ
แล ้วเพราะสังโยชน์เบืองตํา ๕ สนไป
ิ เป็ นโอปปาติกะ ปรินพ
ิ พานในภพนั น
มีอันไม่กลับมาจากโลกนั นเป็ นธรรมดา พวกอุบาสกในนาทิกคาม ๙๖ คน
ทํากาละแล ้วเพราะสงั โยชน์ ๓ สนไป
ิ และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง
เป็ นพระสกทาคามีกลับมายังโลกนีคราวเดียวเท่านั น แล ้วจักทําทีสุดแห่ง
ทุกข์ พวกอุบาสกในนาทิกคาม๕๑๐ คน ทํากาละแล ้ว เพราะสงั โยชน์ ๓ สน

ไป เป็ นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกตําเป็ นธรรมดา เป็ นผู ้เทียง มีอันจะตรัสรู ้ใน
ภายหน ้า ฯ
ดูกรอานนท์ ข ้อทีผู ้เกิดมาเป็ นมนุษย์แล ้วจะพึงทํากาละนั นไม่
อัศจรรย์เมือผู ้นันๆ ทํากาละแล ้ว พวกเธอจักเข ้าไปเฝ้ าพระตถาคต แล ้วทูล
ถามเนือความนัน อันนีเป็ นความลําบากแก่พระตถาคต เพราะฉะนั น เราจัก

แสดงธรรมปริยายชอธรรมาทาส สําหรับทีจะให ้อริยสาวกผู ้ประกอบแล ้ว

เมือจํานงอยู่ พึงพยากรณ์ตนด ้วยตนเองได ้ว่า เรามีนรกสนแล ้ว มีกําเนิด
Page | 27

แห่งสัตว์ดริ ัจฉานสนแล
ิ ้ว มีเปรตวิสัยสนแล
ิ ้ว มีอบาย ทุคติ วินบ ิ
ิ าต สนแล ้ว
เราเป็ นพระโสดาบัน มีอันไม่
ตกตําเป็ นธรรมดา เป็ นผู ้เทียง มีอันจะตรัสรู ้ในภายหน ้าดังนี ก็ธรรมปริยาย
ื าธรรมาทาส นั น เป็ นไฉน ดูกรอานนท์ อริยสาวกในธรรมวินัยนี เป็ นผู ้
ชอว่
ประกอบด ้วยความเลือมใสอันไม่หวันไหวในพระพุทธเจ ้าว่า แม ้เพราะเหตุ
นีๆ พระผู ้มีพระภาคพระองค์นัน เป็ นพระอรหันต์ ตรัสรู ้เองโดยชอบ ถึงพร ้อม

ด ้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล ้ว ทรงรู ้แจ ้งซงโลก เป็ นสารถีฝึกบุรุษที
ควรฝึ กไม่มผ
ี ู ้อืนยิงไปกว่า เป็ นพระศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทังหลาย
เป็ นผู ้เบิกบานแล ้ว เป็ นผู ้จําแนกพระธรรม ดังนี เป็ นผู ้ประกอบด ้วยความ
เลือมใส อันไม่หวันไหวในพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู ้มีพระภาคตรัสดี
แล ้ว อันผู ้ปฏิบัตพ
ิ งึ เห็นเองไม่ประกอบด ้วยกาล ควรเรียกให ้มาดู ควรน ้อม
เข ้ามาในตน อันวิญ ช
ู นพึงรู ้เฉพาะตน ดังนี เป็ นผู ้ประกอบด ้วยความ
เลือมใส อันไม่หวันไหว ในพระสงฆ์วา่
พระสงฆ์สาวกของพระผู ้มีพระภาคเป็ นผู ้ปฏิบัตด
ิ แ
ี ล ้ว เป็ นผู ้ปฏิบัตต
ิ รง เป็ น
ผู ้ปฏิบัตเิ ป็ นธรรม เป็ นผู ้ปฏิบัตช
ิ อบ คือคูบ ุ ส ี บุรษ
่ รุ ษ ุ บุคคลแปด นีพระสงฆ์
สาวกของพระผู ้มีพระภาค เป็ นผู ้ควรของคํานับ เป็ นผู ้ควรแก่ทักษิณา เป็ นผู ้
ควรทําอัญชลีเป็ นนาบุญของโลกไม่มน
ี าบุญอืนยิงกว่า ดังนี เป็ นผู ้
ี อันพระอริยะใคร่แล ้ว อันไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ดา่ ง ไม่พร ้อย
ประกอบด ้วยศล
เป็ นไทย อันวิญ ช
ู นสรรเสริญแล ้ว อันตัณหาและทิฐไิ ม่ลบ
ู คลําแล ้ว
เป็ นไปเพือสมาธิ ฯ
ื าธรรมาทาส สําหรับทีจะ
ดูกรอานนท์ อันนีแลคือธรรมปริยายชอว่
ให ้อริยสาวกผู ้ประกอบแล ้ว เมือจํานงอยู่ พึงพยากรณ์ตนด ้วยตนเองได ้ว่า
Page | 28


เรามีนรกสนแล ั ว์ดริ ัจฉานสนแล
้ว มีกําเนิดแห่งสต ิ ้ว มีเปรตวิสัยสนแล
ิ ้ว มี
อบาย ทุคติวน
ิ บ ิ
ิ าต สนแล ้ว เราเป็ นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกตําเป็ นธรรมดา
เป็ นผู ้เทียงมีอันจะตรัสรู ้ในภายหน ้า ฯ
ได ้ยินว่า ึ อด ้วยอิฐในนาทิก
พระผู ้มีพระภาคประทับในทีพักซงก่
คามนั นทรงกระทําธรรมีกถานีแหละเป็ นอันมากแก่พวกภิกษุ ว่า ี
อย่างนีศล
ี อบรมแล ้วย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส ์
อย่างนีสมาธิอย่างนีปั ญญา สมาธิอันศล
ใหญ่ ปั ญญาอันสมาธิอบรมแล ้วย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงสใ์ หญ่ จิตอัน
ปั ญญาอบรมแล ้ว ย่อมหลุดพ ้นจากอาสวะโดยชอบ คือ กามาสวะ ภวาสวะ
อวิชชาสวะ ฯ

[๙๐] ครังนั น พระผู ้มีพระภาคประทับอยูต


่ ามความพอพระทัยใน
นาทิกคามแล ้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสังว่า ดูกรอานนท์ มาไปกัน
เถิด เราจักไปยังเมืองเวสาลี ท่านพระอานนท์ทล
ู รับพระดํารัสของพระผู ้มี
พระภาคแล ้ว ลําดับนั นพระผู ้มีพระภาคพร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์หมูใ่ หญ่เสด็จถึง
เมืองเวสาลีแล ้ว ได ้ยินว่าพระผู ้มีพระภาคประทับในอัมพปาลีวัน เขตเมืองเว
สาลีนัน ณ ทีนัน พระผู ้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ ทังหลายมารับสังว่า ดูกร
ั ปชญ
ภิกษุ ทังหลาย ภิกษุ ควรเป็ นผู ้มีสติสม ั ญะอยู่ นีเป็ นอนุสาสนีของเรา
สําหรับเธอ ดูกรภิกษุ ทังหลาย อย่างไรเล่าภิกษุ จงึ จะชอว่
ื าเป็ นผู ้มีสติ ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ พิจารณาเห็นเวทนาใน
เวทนาอยู่ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่เป็ นผู ้มี
ั ปชญ
เพียร มีสม ั ญะ มีสติ พึงกําจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอย่างนีแล
Page | 29

ื าเป็ นผู ้มีสติ ดูกรภิกษุ ทังหลาย อย่างไรเล่า ภิกษุ จงึ จะชอว่


ภิกษุ จงึ จะชอว่ ื า
ั ปชญ
เป็ นผู ้ประกอบด ้วยสม ั ญะ ภิกษุ ในธรรมวินัยนี เป็ นผู ้กระทําความรู ้ตัวใน
การก ้าวในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการคู ้เข ้า ในการเหยียดออก
ในการทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ในการฉัน การดืม การเคียว การลิม ในการ
ึ ตัวในการเดิน การยืน การนั ง การ
ถ่ายอุจจาระปั สสาวะ ย่อมทําความรู ้สก
ื า เป็ นผู ้ประกอบด ้วย
หลับการตืน การพูด การนิง อย่างนีแล ภิกษุ จงึ จะชอว่
ั ปชญ
สม ั ญะดูกรภิกษุ ทังหลาย ั ปชญ
ภิกษุ ควรเป็ นผู ้มีสติสม ั ญะอยู่ นีเป็ น
อนุสาสนีของเราสําหรับเธอ ฯ

[๙๑] นางอัมพปาลีคณิกา ได ้ทราบข่าวว่า พระผู ้มีพระภาคเสด็จ


ถึงเมืองเวสาลี ประทับอยู่ ณ อัมพวันของเรา เขตเมืองเวสาลี ครังนั น นาง

อัมพปาลีคณิกาสงให ้จัดยานทีดีๆ แล ้ว ขึนยานออกจากเมืองเวสาลีตรงไป
ยังอารามของตน จนตลอดภูมป
ิ ระเทศเท่าทียานจะไปได ้ ลงจากยานเดิน
เข ้าไปเฝ้ าพระผู ้มีพระภาคถึงทีประทับ ครันแล ้วถวายบังคมพระผู ้มีพระภาค
นัง ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง พระผู ้มีพระภาคทรงยังนางอัมพปาลีคณิกาผู ้นั ง
ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึงให ้เห็นแจ ้ง ให ้สมาทานให ้อาจหาญ ให ้รืนเริงด ้วยธร
รมีกถา นางอัมพปาลีคณิกา อันพระผู ้มีพระภาคทรงให ้เห็นแจ ้ง ให ้สมาทาน
ให ้อาจหาญ ให ้รืนเริงด ้วยธรรมีกถาแล ้ว ได ้กราบทูลพระผู ้มีพระภาคว่า ข ้า
แต่พระองค์ผู ้เจริญ ขอพระผู ้มีพระภาคพร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์จงทรงรับภัต
ของหม่อมฉั นในวันพรุง่ นี พระผู ้มีพระภาคทรงรับด ้วยดุษณีภาพ ลําดับ
นัน นางอัมพปาลีคณิกาทราบว่า พระผู ้มีพระภาคทรงรับแล ้ว จึงลุกจาก
อาสนะถวายบังคมพระผู ้มีพระภาคกระทําประทักษิณหลีกไปแล ้ว ฯ
Page | 30

[๙๒] พวกเจ ้าลิจฉวี เมืองเวสาลี ได ้ทราบข่าวว่า พระผู ้มีพระภาค


เสด็จถึงเมืองเวสาลี ประทับอยู่ ณ อัมพปาลีวันเขตเมืองเวสาลี ครังนั น พวก
เจ ้าลิจฉวีรับสังให ้จัดยานทีดีๆ แล ้วเสด็จขึนยานออกจากเมืองเวสาลีไป
แล ้ว ในพวกเจ ้าลิจฉวีนัน บางพวก เขียวล ้วน คือมีวรรณะเขียว มีผ ้าเขียว มี
เครืองประดับเขียวบางพวกเหลืองล ้วน คือมีวรรณะเหลือง มีผ ้าเหลือง มี
เครืองประดับเหลืองบางพวกแดงล ้วน คือมีวรรณะแดง มีผ ้าแดง มี
เครืองประดับแดง บางพวกขาวล ้วน คือมีวรรณะขาว มีผ ้าขาว มี
เครืองประดับขาว ครังนั น นางอัมพปาลีคณิกาให ้เพลารถกระทบเพลารถ
ล ้อรถกระทบล ้อรถ แอกกระทบแอก ของพวกเจ ้าลิจฉวีหนุ่มๆ พวกเจ ้าลิจ
ฉวีได ้พูดกะนางอัมพปาลีคณิกาว่า แน่ะนางอัมพปาลี เหตุไรท่านจึงให ้
เพลารถกระทบเพลารถ ล ้อรถกระทบล ้อรถ แอกกระทบแอก ของพวกเจ ้า
ลิจฉวีหนุ่มๆ ฯ
อ. ข ้าแต่ลก
ู เจ ้า จริงอย่างนั น หม่อมฉั นทูลนิมนต์พระผู ้มีพระภาค
พร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์ให ้ทรงรับภัตในวันพรุ่งนี ฯ
ล. แน่ะนางอัมพปาลี เจ ้าจงให ้ภัตนีโดยราคาแสนหนึงเถิด ฯ
ข ้าแต่ลก
ู เจ ้า ก็พวกท่านจักให ้เมืองเวสาลีพร ้อมทังชนบทแก่
หม่อมฉั นแม ้อย่างนัน หม่อมฉั นก็จักไม่ให ้ภัตอันใหญ่ได ้ ฯ
ลําดับนัน พวกเจ ้าลิจฉวีปรบนิวมือว่า ดูกรท่านทังหลาย นางอัม
พปาลีชนะพวกเราแล ้วหนอ พวกเราถูกนางอัมพปาลีลวงแล ้วหนอ จึงพวก
เจ ้าลิจฉวีได ้ไปยังอัมพปาลีวันแล ้ว พระผู ้มีพระภาคได ้ทรงเห็นพวกเจ ้าลิจ
ฉวีมาแต่ไกล ครันแล ้วจึงรับสังกะพวกภิกษุ วา่ ดูกรภิกษุ ทังหลาย พวกภิกษุ
Page | 31

ั งส ์ จงดูพวกเจ ้าลิจฉวี จงจ ้องดูหมูเ่ จ ้า


ทียังไม่เคยเห็นพวกเทวดาชนดาวดึ
ั งส ์ ฯ
ลิจฉวี จงนํ าเข ้าไปเปรียบหมูเ่ จ ้าลิจฉวี ให ้เหมือนกับเทวดาชนดาวดึ
ลําดับนัน พวกเจ ้าลิจฉวีไปด ้วยยานจนสุดภูมป
ิ ระเทศทียานจะไป
ได ้ลงจากยานเดินเข ้าไปเฝ้ าพระผู ้มีพระภาคจนถึงทีประทับ ครันเข ้าไปเฝ้ า
แล ้วจึงถวายบังคมพระผู ้มีพระภาค นั ง ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง เมือพวกเจ ้า
ลิจฉวีนังเรียบร ้อยแล ้วพระผู ้มีพระภาคทรงยังพวกเจ ้าลิจฉวีเหล่านั น ให ้เห็น
แจ ้ง ให ้สมาทาน ให ้อาจหาญให ้รืนเริงด ้วยธรรมีกถา ครังนันแล พวกเจ ้าลิจ
ฉวีอันพระผู ้มีพระภาคทรงให ้เห็นแจ ้งให ้สมาทาน ให ้อาจหาญ ให ้รืนเริง
ด ้วยธรรมีกถาแล ้ว ได ้กราบทูลพระผู ้มีพระภาคว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ขอ
พระผู ้มีพระภาคพร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์จงทรงรับภัต ของพวกข ้าพระองค์ในวัน
พรุง่ นี พระผู ้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพวกเจ ้าลิจฉวี เราได ้รับภัตของนาง
ี แล ้ว ลําดับนั น พวกเจ ้าลิจฉวีปรบนิวมือว่า
อัมพปาลีคณิกาไว ้ในวันพรุ่งนีเสย
นางอัมพปาลีคณิกาชนะพวกเราแล ้วหนอ พวกเราถูกนางอัมพปาลีคณิกา

ลวงแล ้วหนอ พวกเจ ้าลิจฉวีชนชมยิ
นดีภาษิตของพระผู ้มีพระภาคแล ้วลุก
จากอาสนะ ถวายบังคมพระผู ้มีพระภาค กระทําประทักษิณหลีกไปแล ้ว ฯ
ครังนัน นางอัมพปาลีคณิกา ให ้ตระเตรียมของเคียวของฉั นอัน
ประณีตในอารามของตนคืนยังรุ่ง เสร็จแล ้วสังให ้กราบทูลภัตกาลแด่พระผู ้
มีพระภาคว่าข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ได ้เวลาแล ้ว ภัตตาหารสําเร็จแล ้ว ฯ
ลําดับนัน เวลาเชา้ พระผู ้มีพระภาคทรงนุ่งแล ้ว ทรงถือบาตรและ
จีวรพร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์ ั
เสด็จไปยังทีพักชวคราวของนางอั มพปาลีคณิกา
ประทับนั งบนอาสนะทีเขาจัดถวาย นางอัมพปาลีคณิกา อังคาสภิกษุ สงฆ์ม ี
พระพุทธเจ ้าเป็ นประมุข ให ้อิมหนํ าเพียงพอด ้วยของเคียวของฉั นอัน
Page | 32

ประณีตด ้วยมือของตน ครันพระผู ้มีพระภาคเสวยเสร็จ วางพระหัตถ์จาก


บาตรแล ้ว นางอัมพปาลีคณิกาถืออาสนะตํานังเฝ้ าอยู่ ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง
แล ้วได ้กราบทูลพระผู ้มีพระภาคว่าข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ หม่อมฉั นขอมอบ
อารามนีแด่ภก
ิ ษุ สงฆ์มพ
ี ระพุทธเจ ้าเป็ นประมุข พระผู ้มีพระภาคทรงรับ
อารามแล ้ว ทรงยังนางอัมพปาลีคณิกาให ้เห็นแจ ้งให ้สมาทาน ให ้อาจหาญ
ให ้รืนเริง ด ้วยธรรมีกถา เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไปแล ้ว ฯ
ได ้ยินว่า พระผู ้มีพระภาคประทับ ณ อัมพปาลีวัน เขตเมืองเวสาลี
ี อย่าง
นันทรงกระทําธรรมีกถานีแหละเป็ นอันมากแก่พวกภิกษุ วา่ อย่างนีศล
ี อบรมแล ้วย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงสใ์ หญ่
นีสมาธิอย่างนีปั ญญา สมาธิอันศล
ปั ญญาอันสมาธิอบรมแล ้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงสใ์ หญ่ จิตอันปั ญญา
อบรมแล ้ว ย่อมหลุดพ ้นจากอาสวะโดยชอบ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชา
สวะ ฯ
[๙๓] ครันนั น พระผู ้มีพระภาคประทับอยูต
่ ามความพอพระทัยใน
อัมพปาลีวันแล ้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสังว่า ดูกรอานนท์ มาไป
กันเถิดเราจักไปยังบ ้านเวฬุวคาม ท่านพระอานนท์ทล
ู รับพระดํารัสของพระ
ผู ้มีพระภาคแล ้วพระผู ้มีพระภาคพร ้อมภิกษุ สงฆ์หมูใ่ หญ่เสด็จถึงบ ้านเวฬุว
คามแล ้ว ได ้ยินว่าพระผู ้มีพระภาคเสด็จประทับอยูใ่ นบ ้านเวฬุวคามนั น ณ ที
นัน พระผู ้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ ทังหลายมารับสังว่า มาเถิดภิกษุ
ทังหลาย พวกเธอจงจําพรรษารอบเมืองเวสาลี ตามทีเป็ นมิตรกัน ตามที
เคยเห็นกัน ตามทีเคยคบกันเถิด สว่ นเราจะจําพรรษาในบ ้านเวฬุวคามนี
แหละ พวกภิกษุ ทล
ู รับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว จําพรรษารอบ
Page | 33

เมืองเวสาลีตามทีเป็ นมิตรกัน ตามทีเคยเห็นกัน ตามทีเคยคบกัน สว่ นพระผู ้


มีพระภาคทรงจําพรรษาในบ ้านเวฬุวคามนั นแหละ
ครังนั นเมือพระผู ้มีพระภาคทรงจํ าพรรษาแล ้ว ทรงประชวรอย่างหนัก เกิด
เวทนาอย่างร ้ายแรงถึงใกล ้จะปรินพ
ิ พาน ได ้ยินว่า ณ ทีนัน พระผู ้มีพระภาค
ั ปชญ
ทรงมีพระสติสม ั ญะอดกลัน ไม่พรันพรึง ทรงพระดําริวา่ การทีเราจะไม่
บอกภิกษุ ผู ้อุปัฏฐาก ไม่อําลาภิกษุ สงฆ์ปรินพ ี นั น ไม่สมควรแก่เรา
ิ พานเสย
้ ยรขับไล่อาพาธนี ดํารงชวี ต
เลย ถ ้ากระไร เราพึงใชความเพี ิ สงั ขารอยูเ่ ถิด ฯ


ลําดับนัน พระผู ้มีพระภาคทรงใชความเพี
ยรขับไล่อาพาธนัน ทรง
ดํารงชวี ต
ิ สังขารอยู่แล ้ว อาพาธของพระองค์สงบไปแล ้ว พระผู ้มีพระภาค
ทรงหายประชวร คือหายจากความเป็ นคนไข ้ไม่นาน เสด็จออกจากวิหารไป
ประทับนั งบนอาสนะทีภิกษุ จัดถวายไว ้ทีเงาวิหาร ฯ
ครังนัน ท่านพระอานนท์เข ้าไปเฝ้ าพระผู ้มีพระภาคถึงทีประทับ
ครันเข ้าไปเฝ้ าแล ้วถวายบังคมพระผู ้มีพระภาค นั ง ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง
ครันท่านพระอานนท์นังเรียบร ้อยแล ้ว ได ้กราบทูลพระผู ้มีพระภาคว่า ข ้าแต่
พระองค์ผู ้เจริญข ้าพระองค์เห็นความสําราญของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว ข ้า
พระองค์เห็นความอดทนของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว ก็แต่วา่ เพราะการ
ประชวรของพระผู ้มีพระภาค กายของข ้าพระองค์ประหนึงจะงอมระงมไป
แม ้ทิศทังหลายก็ไม่ปรากฏแก่ข ้าพระองค์ แม ้ธรรมทังหลายก็ไม่แจ่มแจ ้ง
แก่ข ้าพระองค์ ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ก็แต่วา่ ข ้าพระองค์มามีความเบาใจอยู่
หน่อยหนึงว่า พระผู ้มีพระภาคจักยังไม่เสด็จปรินพ
ิ พาน จนกว่าจะได ้ทรง
ปรารภภิกษุ สงฆ์ แล ้วตรัสพระพุทธพจน์อย่างใดอย่างหนึง ฯ
Page | 34

พระผู ้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ภิกษุ สงฆ์ยังจะหวังอะไรใน


เราเล่าธรรมอันเราได ้แสดงแล ้ว กระทําไม่ให ้มีในมีนอก กํามืออาจารย์ใน
ธรรมทังหลายมิได ้มีแก่ตถาคต ผู ้ใดจะพึงคิดอย่างนีว่า เราจักบริหารภิกษุ
ิ ชูเราดังนี ผู ้นันจะพึงปรารภภิกษุ สงฆ์แล ้วกล่าว
สงฆ์ หรือว่าภิกษุ สงฆ์จะเชด
คําอย่างใดอย่างหนึงเป็ นแน่ดก
ู รอานนท์ ตถาคตมิได ้มีความดําริอย่างนีว่า
ิ ชูเรา ตถาคตจักปรารภภิกษุ
เราจักบริหารภิกษุ สงฆ์ หรือว่าภิกษุ สงฆ์จักเชด
สงฆ์แล ้ว กล่าวคําอย่างใดอย่างหนึงในคราวหนึง ดูกรอานนท์ บัดนี เราแก่
เฒ่าเป็ นผู ้ใหญ่ลว่ งกาลผ่านวัยมาโดยลําดับแล ้ว วัยของเราเป็ นมาถึง ๘๐ ปี

แล ้ว เกวียนเก่ายังจะใชไปได ่ มแซมด ้วยไม ้ไผ่ แม ้ฉั นใด กาย
้ เพราะการซอ
่ มแซม
ของตถาคต ฉันนั นเหมือนกัน ยังเป็ นไปได ้ก็คล ้ายกับเกวียนเก่าทีซอ
ด ้วยไม ้ไผ่ ฯ
ดูกรอานนท์ สมัยใด ตถาคตเข ้าถึงเจโตสมาธิ อันไม่มน
ี ม
ิ ต

ึ มต
เพราะไม่ทําไว ้ในใจซงนิ ิ ทังปวง เพราะดับเวทนาบางเหล่าแล ้วอยู่ สมัย
นัน กายของตถาคตย่อมผาสุก เพราะฉะนั น พวกเธอจงมีตนเป็ นเกาะ มีตน
่ ส
เป็ นทีพึง มิใชม ิ นเป็ นทีพึง คือจงมีธรรมเป็ นเกาะ มีธรรมเป็ นทีพึง มิใชม
ี งอื ่ ี
ิ นเป็ นทีพึงอยูเ่ ถิด ฯ
สงอื
ื า มีตนเป็ นเกาะ มีตนเป็ น
ดูกรอานนท์ อย่างไรเล่า ภิกษุ จงึ จะชอว่
่ ส
ทีพึงมิใชม ิ นเป็ นทีพึง คือจงมีธรรมเป็ นเกาะ มีธรรมเป็ นทีพึง มิใชม
ี งอื ่ ส
ี งิ
อืนเป็ นทีพึงอยู่ ภิกษุ ในธรรมวินัยนี ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ พิจารณาเห็น
ั ปชญ
ธรรมในธรรมอยู่ เป็ นผู ้มีเพียร มีสม ั ญะ มีสติ พึงกําจัดอภิชฌาและ
โทมนัสในโลก อย่างนีแล
Page | 35

ื า มีตนเป็ นเกาะ มีตนเป็ นทีพึง มิใชม


อานนท์ ภิกษุ จงึ จะชอว่ ่ ส ิ นเป็ นทีพึง
ี งอื
่ ส
คือมีธรรมเป็ นเกาะ มีธรรมเป็ นทีพึง มิใชม ิ นเป็ นทีพึงอยู่ ดูกรอานนท์
ี งอื
ผู ้ใดผู ้หนึงในบัดนีก็ด ี โดยทีเราล่วงไปแล ้วก็ด ี จักเป็ นผู ้มีตนเป็ นเกาะ มีตน
่ ส
เป็ นทีพึง มิใชม ิ นเป็ นทีพึง คือ มีธรรมเป็ นเกาะ มีธรรมเป็ นทีพึง มิใชม
ี งอื ่ ี
ิ นเป็ นทีพึงอยู่
สงอื ภิกษุ ของเราทีเป็ นผู ้ใคร่ตอ ึ ษาจักปรากฏอยูใ่ น
่ การศก
ความเป็ นยอดยิง ฯ
จบคามกัณฑ์ในมหาปรินพ
ิ พานสูตร ฯ
จบภาณวารทีสอง ฯ

[๙๔] ครังนั น เวลาเชา้ พระผู ้มีพระภาคทรงนุ่งแล ้ว ทรงถือบาตร


และจีวรเสด็จเข ้าไปบิณฑบาตยังเมืองเวสาลี ครันเสด็จเทียวบิณฑบาต
แล ้ว เวลาปั จฉาภัตเสด็จกลับจากบิณฑบาตแล ้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์
มารับสังว่าดูกรอานนท์ เธอจงถือเอาผ ้านิสท
ี นะไป เราจักเข ้าไปยังปาวาล
เจดีย ์ เพือพักผ่อนตอนกลางวัน ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดํารัสของพระผู ้
ี นะตามเสด็จพระผู ้มีพระภาคไปทางเบืองพระ
มีพระภาคแล ้ว ถือเอาผ ้านิสท
ปฤษฎางค์ ฯ
ลําดับนัน พระผู ้มีพระภาคเสด็จเข ้าไปยังปาวาลเจดีย ์ ครันเสด็จ
เข ้าไปแล ้วประทับนังบนอาสนะทีท่านพระอานนท์ปล
ู าดถวาย ฝ่ ายท่านพระ
อานนท์ถวายบังคมพระผู ้มีพระภาคแล ้ว นั ง ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง ครันท่าน
พระอานนท์นังเรียบร ้อยแล ้ว พระผู ้มีพระภาคได ้รับสังกะท่านว่า ดูกร
ั ตัมพเจดีย ์ พหุ
อานนท์ เมืองเวสาลีน่ารืนรมย์ อุเทนเจดีย ์ โคตมเจดีย ์ สต
ปุตตเจดีย ์ สารันทเจดียป
์ าวาลเจดีย ์ ต่างน่ารืนรมย์ อิทธิบาททัง ๔ อันผู ้ใด
Page | 36

ผู ้หนึงเจริญแล ้ว กระทําให ้มากแล ้ว กระทําให ้เป็ นดุจยาน กระทําให ้เป็ นดุจ



พืน ให ้ตังมันแล ้ว สงสมแล ้วปรารภดีแล ้ว ผู ้นันเมือจํานงอยู่ พึงดํารงอยูไ่ ด ้
ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป ดูกรอานนท์ อิทธิบาททัง ๔ ตถาคตเจริญแล ้ว
กระทําให ้มากแล ้ว กระทําให ้เป็ นดุจยาน กระทําให ้เป็ นดุจพืน ให ้ตังมันแล ้ว

สงสมแล ้ว ปรารภดีแล ้ว ตถาคตนัน เมือจํานงอยู่ จะพึงดํารงอยูไ
่ ด ้ตลอดกัป
หรือเกินกว่ากัป แม ้เมือพระผู ้มีพระภาคทรงกระทํานิมต
ิ อันหยาบ โอภาสอัน
หยาบอย่างนี ท่านพระอานนท์ก็มอ
ิ าจรู ้ทัน จึงมิได ้ทูลวิงวอนพระผู ้มีพระ
ภาคว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ขอพระผู ้มีพระภาคจงทรงดํารงอยูต
่ ลอดกัป
ขอพระสุคตจงทรงดํารงอยูต
่ ลอดกัป เพือประโยชน์ของชนเป็ นอันมาก เพือ
ความสุขของชนเป็ นอันมาก เพืออนุเคราะห์โลก เพือประโยชน์ เพือเกือกูล
เพือความสุขของเทวดา และมนุษย์ทังหลาย

ดังนี เพราะถูกมารเข ้าดลใจแล ้ว แม ้ครังที ๒ พระผู ้มีพระภาคก็รับสังกะท่าน


พระอานนท์ ฯลฯ แม ้ครังที ๓ พระผู ้มีพระภาคก็รับสังกะท่านพระอานนท์
ฯลฯ
ท่านพระอานนท์ก็มอ
ิ าจรู ้ทัน ... เพราะถูกมารเข ้าดลใจแล ้ว ฯ

ลําดับนัน พระผู ้มีพระภาครับสงกะท่
านพระอานนท์วา่ เธอจงไป
เถิดอานนท์ เธอรู ้กาลอันควรในบัดนี ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดํารัสของ
พระผู ้มีพระภาคแล ้ว ลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู ้มีพระภาค กระทํา
ประทักษิณแล ้วไปนัง ณ โคนไม ้แห่งหนึงในทีไม่ไกล ฯ
Page | 37

[๙๕] ครังนั น มารผู ้มีบาป เมือท่านพระอานนท์หลีกไปแล ้วไม่


นานเข ้าไปเฝ้ าพระผู ้มีพระภาคถึงทีประทับ ครันเข ้าไปเฝ้ าแล ้ว ยืนอยู่ ณ ที
ควรสว่ นข ้างหนึง มารผู ้มีบาปยืนเรียบร ้อยแล ้ว ได ้กราบทูลว่า ข ้าแต่
พระองค์ผู ้เจริญ ขอพระผู ้มีพระภาคจงปรินพ
ิ พานในบัดนีเถิด ขอพระสุคตจง
ปรินพ
ิ พานในบัดนีเถิดบัดนี เป็ นเวลาปรินพ
ิ พานของพระผู ้มีพระภาค ก็พระ
ผู ้มีพระภาคได ้ตรัสพระวาจานีไว ้ว่า ดูกรมารผู ้มีบาป ภิกษุ ผู ้เป็ นสาวกของ
เราจักยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได ้รับแนะนํ า ไม่แกล ้วกล ้า ไม่เป็ นพหูสต
ู ไม่
ทรงธรรม ไม่ปฏิบัตธิ รรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัตช
ิ อบ ไม่ประพฤติตาม
ธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล ้ว ยังบอก แสดง บัญญัต ิ แต่งตัง เปิ ดเผย
จําแนก กระทําให ้ง่ายไม่ได ้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริยข
์ ม
่ ขีปรัปวาทที
บังเกิดขึนให ้เรียบร ้อยโดยสหธรรมไม่ได ้ เพียงใดเราจักยังไม่ปรินพ
ิ พาน
เพียงนั น ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ก็บัดนี ภิกษุ ผู ้เป็ นสาวกของพระผู ้มีพระภาค
เป็ นผู ้เฉียบแหลมแล ้ว ได ้รับแนะนํ าแล ้ว แกล ้วกล ้า เป็ นพหูสต
ู ทรงธรรม
ปฏิบัตธิ รรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัตช
ิ อบ ประพฤติตามธรรมเรียนกับอาจารย์
ของตนแล ้ว บอก แสดง บัญญัต ิ แต่งตัง เปิ ดเผย จําแนกกระทําให ้ง่ายได ้
แสดงธรรมมีปาฏิหาริยข
์ ม
่ ขีปรัปวาททีบังเกิดขึนให ้เรียบร ้อยโดยสหธรรม
ได ้ ฯ
ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ขอพระผู ้มีพระภาคจงปรินพ
ิ พานในบัดนี
เถิด ขอพระสุคตจงปรินพ
ิ พานในบัดนีเถิด บัดนี เป็ นเวลาปรินพ
ิ พานของ
พระผู ้มีพระภาคก็พระผู ้มีพระภาคได ้ตรัสพระวาจานีไว ้ว่า ดูกรมารผู ้มีบาป
ภิกษุ ณผ
ี ู ้สาวิกาของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ... ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ก็
Page | 38

บัดนี ภิกษุ ณผ
ี ู ้สาวิกาของพระผู ้มีพระภาคเป็ นผู ้เฉียบแหลมแล ้ว ... แสดง
ธรรมมีปาฏิหาริยข
์ ม
่ ขีปรัปวาททีบังเกิดขึนให ้เรียบร ้อยโดยสหธรรมได ้ ฯ
ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ขอพระผู ้มีพระภาคจงปรินพ
ิ พานในบัดนี
เถิด ขอพระสุคตจงปรินพ
ิ พานในบัดนีเถิด บัดนี เป็ นเวลาปรินพ
ิ พานของ
พระผู ้มีพระภาคก็พระผู ้มีพระภาคได ้ตรัสพระวาจานีไว ้ว่า ดูกรมารผู ้มีบาป
อุบาสกผู ้เป็ นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ... ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ก็
บัดนี อุบาสกผู ้เป็ นสาวกของพระผู ้มีพระภาคเป็ นผู ้เฉียบแหลมแล ้ว ...
แสดงธรรมมีปาฏิหาริยข
์ ม
่ ขีปรัปวาททีบังเกิดขึนให ้เรียบร ้อยโดยสหธรรม
ได ้ ฯ
ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ขอพระผู ้มีพระภาคจงปรินพ
ิ พานในบัดนี
เถิด ขอพระสุคตจงปรินพ
ิ พานในบัดนีเถิด บัดนี เป็ นเวลาปรินพ
ิ พานของ
พระผู ้มีพระภาคก็พระผู ้มีพระภาคได ้ตรัสพระวาจานีไว ้ว่า ดูกรมารผู ้มีบาป
ิ าผู ้เป็ นสาวิกาของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ... ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ
อุบาสก
ก็บัดนี ิ าผู ้เป็ นสาวิกาของพระผู ้มีพระภาค
อุบาสก เป็ นผู ้เฉียบแหลมแล ้ว
ได ้รับแนะนํ าแล ้ว แกล ้วกล ้าเป็ นพหูสต
ู ทรงธรรม ปฏิบัตธิ รรมสมควรแก่
ธรรม ปฏิบัตช
ิ อบ ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล ้ว บอก
แสดง บัญญัต ิ แต่งตัง เปิ ดเผยจําแนก กระทําให ้ง่ายได ้ แสดงธรรม มี
ปาฏิหาริยข
์ ม
่ ขีปรัปวาททีบังเกิดขึนให ้เรียบร ้อยโดยสหธรรมได ้ ฯ
ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ขอพระผู ้มีพระภาคจงปรินพ
ิ พานในบัดนี
เถิด ขอพระสุคตจงปรินพ
ิ พานในบัดนีเถิด บัดนี เป็ นเวลาปรินพ
ิ พานของ
พระผู ้มีพระภาค
Page | 39

ก็พระผู ้มีพระภาคได ้ตรัสพระวาจานีไว ้ว่า ดูกรมารผู ้มีบาป พรหมจรรย์ของ


เรานีจักยังไม่สมบูรณ์ กว ้างขวาง แพร่หลาย รู ้กันโดยมาก เป็ นปึ กแผ่น
จนกระทังพวกเทวดาและมนุษย์ประกาศได ้ดีแล ้ว เพียงใด เราจักยังไม่
ปรินพ
ิ พานเพียงนั นข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ก็บัดนี พรหมจรรย์ของพระผู ้มี
พระภาคนีสมบูรณ์แล ้วกว ้างขวาง แพร่หลาย รู ้กันโดยมาก เป็ นปึ กแผ่น
จนกระทังพวกเทวดาและมนุษย์ประกาศได ้ดีแล ้ว ขอพระผู ้มีพระภาคจง
ปรินพ
ิ พานในบัดนีเถิด ขอพระสุคตจงปรินพ
ิ พานในบัดนีเถิด บัดนี เป็ นเวลา
ปรินพ
ิ พานของพระผู ้มีพระภาค ฯ
เมือมารกราบทูลอย่างนีแล ้ว พระผู ้มีพระภาคได ้ตรัสตอบว่า ดูกร
มารผู ้มีบาป ท่านจงมีความขวนขวายน ้อยเถิด ความปรินพ
ิ พานแห่งตถาคต

จักมีไม่ชาโดยล่
วงไปอีกสามเดือนแต่นี ตถาคตก็จักปรินพ
ิ พาน ลําดับนั น
ั ปชญ
พระผู ้มีพระภาคทรงมีพระสติสม ั ญะทรงปลงอายุสังขาร ณ ปาวาล
เจดีย ์ และเมือพระผู ้มีพระภาคทรงปลงอายุสังขารแล ้ว ได ้เกิดแผ่นดินไหว
ใหญ่ และขนพองสยองเกล ้าน่าพึงกลัว ทังกลองทิพย์ก็บันลือลัน พระผู ้มี
พระภาคทรงทราบเนือความนันแล ้ว
ทรงเปล่งพระอุทานนีในเวลานั นว่า
[๙๖] มุนป ี ได ้แล ้วซงกรรมที
ี ลงเสย ึ ั
ชงได ้

และกรรมทีชงไม่ ได ้ อันเป็ นเหตุสมภพ
เป็ นเครืองปรุงแต่งภพ และได ้ยินดีในภายใน
มีจต ี เหมือนนักรบ
ิ ตังมัน ทําลายกิเลสทีเกิดในตนเสย
ทําลายเกราะฉะนั น ฯ
Page | 40

[๙๗] ครังนั น พระอานนท์ได ้มีความคิดอย่างนีว่า น่าอัศจรรย์จริง


หนอเหตุไม่เคยมีมามีขน
ึ แผ่นดินใหญ่นไหวได
ี ้ แผ่นดินใหญ่นีไหวได ้จริงๆ
ความขนพองสยองเกล ้าน่าพึงกลัว ทังกลองทิพย์ก็บันลือลัน อะไรหนอเป็ น
เหตุอะไรหนอเป็ นปั จจัยสําหรับให ้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
ลําดับนัน ท่านพระอานนท์เข ้าไปเฝ้ าพระผู ้มีพระภาคถึงทีประทับ
ครันเข ้าไปเฝ้ าแล ้ว ถวายบังคมพระผู ้มีพระภาคแล ้ว นั ง ณ ทีควรสว่ นข ้าง
หนึง ครันท่านพระอานนท์นังเรียบร ้อยแล ้วได ้กราบทูลว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้
เจริญ น่าอัศจรรย์เหตุไม่เคยมีมามีขน
ึ แผ่นดินใหญ่นไหวได
ี ้ แผ่นดินใหญ่นี
ไหวได ้จริงๆ ความขนพองสยองเกล ้าน่าพึงกลัว ทังกลองทิพย์ก็บันลือลัน
อะไรหนอเป็ นเหตุอะไรหนอเป็ นปั จจัย สําหรับให ้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ

[๙๘] พระผู ้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพระอานนท์ เหตุ ๘


ประการ
ปั จจัย ๘ ประการเหล่านีแล เพือให ้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ๘ ประการเป็ น
ไฉน ฯ
ดูกรอานนท์ มหาปฐพีนีตังอยูบ
่ นนํ า นํ าตังอยูบ
่ นลม ลมตังอยูบ
่ น
อากาศสมัยทีลมใหญ่พัด เมือลมใหญ่พัดอยูย
่ อ
่ มยังนํ าให ้ไหว นํ าไหวแล ้ว
ย่อมยังแผ่นดินให ้ไหว อันนีเป็ นเหตุ เป็ นปั จจัยข ้อทีหนึง เพือให ้
แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
อีกประการหนึง สมณะหรือพราหมณ์ผู ้มีฤทธิ ถึงความเป็ นผู ้
ชํานาญในทางจิต หรือว่าเทวดาผู ้มีฤทธิมาก มีอานุภาพมาก เขาเจริญปฐวี
ั ญาเพียงเล็กน ้อย เจริญอาโปสัญญาอย่างแรงกล ้า เขาย่อมยังแผ่นดินนี
สญ
Page | 41

ให ้สะเทือนสะท ้านหวันไหวได ้ อันนีเป็ นปั จจัยข ้อทีสอง เพือให ้แผ่นดินไหว


ใหญ่ปรากฏ ฯ
อีกประการหนึง เมือใด พระโพธิสัตว์จุตจ ั สต
ิ ากชนดุ ิ มี
ั ปชญ
สติสม ั ญะลงสูพ
่ ระครรภ์พระมารดา เมือนัน แผ่นดินนีย่อมสะเทือน
สะท ้านหวันไหว อันนีเป็ นเหตุเป็ นปั จจัยข ้อทีสาม เพือให ้แผ่นดินไหวใหญ่
ปรากฏ ฯ
อีกประการหนึง เมือใด พระโพธิสัตว์มส
ี ติสัมปชญ
ั ญะ ประสูตจ
ิ าก
พระครรภ์พระมารดา เมือนัน แผ่นดินนีย่อมสะเทือนสะท ้านหวันไหว อันนี
เป็ นเหตุเป็ นปั จจัยข ้อทีส ี เพือให ้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
ั มาสม
อีกประการหนึง เมือใด พระตถาคตตรัสรู ้พระอนุตรสม ั โพธิ
ญาณเมือนัน แผ่นดินนีย่อมสะเทือนสะท ้านหวันไหว อันนีเป็ นเหตุเป็ น
ปั จจัยข ้อทีห ้าเพือให ้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
อีกประการหนึง เมือใด พระตถาคตให ้อนุตรธรรมจักรเป็ นไป เมือ
นันแผ่นดินนีย่อมสะเทือนสะท ้านหวันไหว อันนีเป็ นเหตุเป็ นปั จจัยข ้อทีหก
เพือให ้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
ั ปชญ
อีกประการหนึง เมือใด พระตถาคตมีพระสติสม ั ญะ ทรงปลง
อายุสังขาร เมือนัน แผ่นดินนีย่อมสะเทือนสะท ้านหวันไหว อันนีเป็ นเหตุ
เป็ นปั จจัยข ้อทีเจ็ด เพือให ้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
อีกประการหนึง เมือใด พระตถาคตปรินพ
ิ พานด ้วยอนุปาทิเสสนิ
พพานธาตุ เมือนัน แผ่นดินนีย่อมสะเทือนสะท ้านหวันไหว อันนีเป็ นเหตุเป็ น
ปั จจัยข ้อทีแปด เพือให ้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
ดูกรอานนท์ เหตุ ๘ ประการ ปั จจัย ๘ ประการ เหล่านีแล เพือให ้
Page | 42

แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ

[๙๙] ดูกรอานนท์ บริษัท ๘ พวกเหล่านีแล ๘ พวกเป็ นไฉน คือ


ิ บ
ขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คฤหบดีบริษัท สมณบริษัท จาตุมหาราชก
ริษัทดาวดึงสบริษัท มารบริษัท พรหมบริษัท ฯ
ดูกรอานนท์ เรายังจําได ้ว่า เราเข ้าไปยังขัตติยบริษัทหลายร ้อย
ครัง ทังเราเคยนังเคยปราศรัย เคยเข ้าสนทนาในขัตติยบริษัทนั น วรรณะ
่ ใด ของเราก็เป็ นเชน
ของพวกนันเป็ นเชน ่ นั น เสย
ี งของพวกนั นเป็ นเชน
่ ใด
่ นั นเรายังพวกนันให ้เห็นแจ ้ง ให ้สมาทาน ให ้อาจหาญ ให ้
ของเราก็เป็ นเชน
รืนเริงด ้วยธรรมีกถาเมือเราพูดอยูก
่ ็ไม่มใี ครรู ้ว่า ผู ้นีคือใครหนอพูดอยู่ จะ
เป็ นเทวดาหรือมนุษย์ครันเรายังพวกนันให ้เห็นแจ ้ง ให ้สมาทาน ให ้อาจ
หาญ ให ้รืนเริงด ้วยธรรมีกถาแล ้วหายไป เมือเราหายไปแล ้ว ก็ไม่มใี ครรู ้ว่า
ผู ้นีคือใครหนอ หายไปแล ้วจะเป็ นเทวดาหรือมนุษย์ ดูกรอานนท์ เรายังจํา
ได ้ว่า เราเข ้าไปยังพราหมณบริษัทหลายร ้อยครัง ... คฤหบดีบริษัทหลาย
ร ้อยครัง ... สมณบริษัทหลายร ้อยครัง ...
ิ บริษัทหลายร ้อยครัง ... ดาวดึงสบริษัทหลายร ้อยครัง ... มาร
จาตุมหาราชก
บริษัท
หลายร ้อยครัง ... พรหมบริษัทหลายร ้อยครัง ... ทังเราเคยนัง เคยปราศรัย
่ ใด ของเราก็
เคยเข ้าสนทนาในพรหมบริษัทนั น วรรณะของพวกนั นเป็ นเชน
่ นัน เสย
เป็ นเชน ี งของพวกนั นเป็ นเชน
่ ไร ของเราก็เป็ นเชน
่ นั น เรายังพวกนั น
ให ้
Page | 43

เห็นแจ ้ง ให ้สมาทาน ให ้อาจหาญ ให ้รืนเริงด ้วยธรรมีกถา เมือเราพูดอยูก


่ ็
ไม่มใี ครรู ้ว่า ผู ้นีคือใครหนอพูดอยู่ จะเป็ นเทวดาหรือมนุษย์ ครันเรายังพวก

นันให ้เห็นแจ ้ง ให ้สมาทาน ใชอาจหาญ ให ้รืนเริงด ้วยธรรมีกถาแล ้วหายไป
เมือเราหายไปแล ้ว ก็ไม่มใี ครรู ้ว่า ผู ้นีคือใครหนอ หายไปแล ้ว จะเป็ นเทวดา
หรือมนุษย์ดก
ู รอานนท์ บริษัท ๘ เหล่านีแล ฯ

[๑๐๐] ดูกรอานนท์ อภิภายตนะ ๘ ประการ เหล่านีแล ๘ ประการ


เป็ นไฉน คือ ผู ้หนึงมีความสําคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกทีเล็กซงมี

ผิวพรรณดีและมีผวิ พรรณทราม ครอบงํารูปเหล่านั นแล ้ว มีความสําคัญ
อย่างนีว่า เรารู ้เราเห็น อันนี เป็ นอภิภายตนะข ้อทีหนึง ฯ
ผู ้หนึงมีความสําคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกทีใหญ่ ึ
ซงมี
ผิวพรรณดีและมีผวิ พรรณทราม ครอบงํารูปเหล่านั นแล ้วมีความสําคัญอย่าง
นีว่า เรารู ้เราเห็น อันนี เป็ นอภิภายตนะข ้อทีสอง ฯ
ผู ้หนึงมีความสําคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกทีเล็ก ซงมี

ผิวพรรณดีและมีผวิ พรรณทราม ครอบงํารูปเหล่านั นแล ้ว มีความสําคัญ
อย่างนีว่า เรารู ้เราเห็น อันนี เป็ นอภิภายตนะข ้อทีสาม ฯ
ผู ้หนึงมีความสําคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกทีใหญ่ ซงมี

ผิวพรรณดีและมีผวิ พรรณทราม ครอบงํารูปเหล่านั นแล ้ว มีความสําคัญ
อย่างนีว่า เรารู ้เราเห็น อันนี เป็ นอภิภายตนะข ้อทีส ี ฯ
ผู ้หนึงมีความสําคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอก อันเขียว มี
วรรณะเขียว เขียวล ้วน มีรัศมีเขียว ดอกผักตบอันเขียว มีวรรณะเขียว เขียว
ล ้วนมีรัศมีเขียว หรือว่าผ ้าทีกําเนิดในเมืองพาราณส ี มีสว่ นทังสองเกลียง
Page | 44

เขียว มีวรรณะเขียว เขียวล ้วน มีรัศมีเขียว แม ้ฉั นใด ผู ้หนึงมีความสําคัญใน


อรูปภายในเห็นรูปภายนอกอันเขียว มีวรรณะเขียว เขียวล ้วน มีรัศมีเขียว ฉั น
นันเหมือนกัน ครอบงํารูปเหล่านั นแล ้ว มีความสําคัญว่า เรารู ้ เราเห็น อันนี
เป็ นอภิภายตนะข ้อทีห ้า ฯ
ผู ้หนึงมีความสําคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันเหลือง มี
วรรณะเหลือง เหลืองล ้วน มีรัศมีเหลือง ดอกกรรณิการ์อันเหลือง มีวรรณะ
เหลืองเหลืองล ้วน มีรัศมีเหลือง หรือว่าผ ้าทีกําเนิดในเมืองพาราณส ี มีสว่ น
ทังสองเกลียงเหลือง มีวรรณะเหลือง เหลืองล ้วน มีรัศมีเหลือง แม ้ฉันใด ผู ้
หนึงมีความสําคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันเหลือง มีวรรณะเหลือง
เหลืองล ้วน มีรัศมีเหลือง ฉั นนั นเหมือนกัน ครอบงํารูปเหล่านั นแล ้ว มีความ
สําคัญอย่างนีว่า เรารู ้ เราเห็น อันนี เป็ นอภิภายตนะข ้อทีหก ฯ
ผู ้หนึงมีความสําคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันแดง มี
วรรณะแดงแดงล ้วน มีรัศมีแดง ดอกหงอนไก่อันแดง มีวรรณะแดง แดงล ้วน
ี ส
มีรัศมีแดงหรือว่าผ ้าทีกําเนิดในเมืองพาราณสม ี ว่ นทังสองเกลียงแดง มี
วรรณะแดง แดงล ้วนมีรัศมีแดง แม ้ฉันใด ผู ้หนึงมีความสําคัญในอรูปภายใน
เห็นรูปภายนอกอันแดงมีวรรณะแดง แดงล ้วน มีรัศมีแดง ฉันนั นเหมือนกัน
ครอบงํารูปเหล่านั นแล ้วมีความสําคัญอย่างนีว่า เรารู ้ เราเห็น อันนี เป็ นอภิ
ภายตนะข ้อทีเจ็ด ฯ
ผู ้หนึงมีความสําคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกอันขาว มี
วรรณะขาวขาวล ้วน มีรัศมีขาว ดาวประกายพฤกษ์อันขาว มีวรรณะขาว ขาว
ี ส
ล ้วน มีรัศมีขาวหรือว่าผ ้าทีกําเนิดในเมืองพาราณสม ี ว่ นทังสองเกลียงขาว
มีวรรณะขาว ขาวล ้วนมีรัศมีขาว แม ้ฉั นใด ผู ้หนึงมีความสําคัญในอรูป
Page | 45

ภายใน เห็นรูปภายนอกอันขาวมีวรรณะขาว ขาวล ้วน มีรัศมีขาว ฉั นนั น


เหมือนกัน ครอบงํารูปเหล่านั นแล ้ว
มีความสําคัญอย่างนีว่า เรารู ้ เราเห็น อันนี เป็ นอภิภายตนะข ้อทีแปด ฯ

ดูกรอานนท์ อภิภายตนะ ๘ ประการ เหล่านีแล ฯ

[๑๐๑] ดูกรอานนท์ วิโมกข์ ๘ ประการเหล่านีแล ๘ ประการ เป็ น


ไฉน คือ
ภิกษุ เห็นรูป อันนีเป็ นวิโมกข์ข ้อทีหนึง ฯ
ี วามสําคัญในอรูปภายใน
ภิกษุ มค เห็นรูปภายนอก อันนีเป็ น
วิโมกข์ข ้อทีสอง ฯ
ิ งาม อันนี เป็ นวิโมกข์ข ้อทีสาม ฯ
ภิกษุ น ้อมใจไปว่า สงนี
ี ซงรู
เพราะล่วงเสย ึ ปส ญ
ั ญาโดยประการทังปวง เพราะปฏิฆ
ั ญาดับไปเพราะไม่ใสใ่ จ
สญ ึ
ซงนานั ั ญา
ตตสญ ภิกษุ เข ้าถึงอากาสานัญ
ิ ารว่าอากาศหาทีสุดมิได ้ ดังนี อยู่ อันนีเป็ นวิโมกข์ข ้อทีส ี
จายตนะด ้วยมนสก

ี ซงอากาสานั
เพราะล่วงเสย ึ ญจายตนะโดยประการทังปวง ภิกษุ
ิ ารว่า วิญญาณหาทีสุดมิได ้ ดังนี อยู่
เข ้าถึงวิญญาณั ญจายตนะด ้วยมนสก
อันนีเป็ นวิโมกข์ข ้อทีห ้า ฯ
ี ซงวิ
เพราะล่วงเสย ึ ญญาณั ญจายตนะโดยประการทังปวง ภิกษุ
ิ ารว่า น ้อยหนึงไม่ม ี ดังนี อยู่ อันนีเป็ น
เข ้าถึงอากิญจัญญายตนะด ้วยมนสก
วิโมกข์ข ้อทีหก ฯ
Page | 46

ี ซงอากิ
เพราะล่วงเสย ึ ญจัญญายตนะโดยประการทังปวง ภิกษุ
ั ญานาสัญญายตนะอยู่ อันนีเป็ นวิโมกข์ข ้อทีเจ็ด ฯ
เข ้าถึงเนวสญ
ี ซงเนวส
เพราะล่วงเสย ึ ั ญานาสญ
ญ ั ญายตนะ โดยประการทั งปวง
ั ญาเวทยิตนิโรธอยู่ อันนีเป็ นวิโมกข์ข ้อทีแปด ฯ
ภิกษุ เข ้าถึงสญ
ดูกรอานนท์ วิโมกข์ ๘ ประการเหล่านีแล ฯ

[๑๐๒] ดูกรอานนท์ สมัยหนึง เราแรกตรัสรู ้ พักอยูท


่ ต
ี ้นไม ้
อชปาลนิโครธแทบฝั งแม่นําเนรัญชรา ในอุรเุ วลาประเทศ ครังนั น มารผู ้มี
บาปได ้เข ้าไปหาเราถึงทีอยู่ ครันเข ้าไปหาแล ้วยืนอยู่ ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง
ครันมารผู ้มีบาปยืนเรียบร ้อยแล ้วได ้กล่าวกะเราว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ขอ
พระผู ้มีพระภาคจงปรินพ
ิ พานในบัดนีเถิด ขอพระสุคตจงปรินพ
ิ พานในบัดนี
เถิด บัดนีเป็ นเวลาปรินพ
ิ พานของพระผู ้มีพระภาค เมือมารกล่าวอย่างนีแล ้ว
เราได ้ตอบว่า ดูกรมารผู ้มีบาป ภิกษุ ผู ้เป็ นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบ
แหลม ไม่ได ้รับแนะนํ า ไม่แกล ้วกล ้า ไม่เป็ นพหูสต
ู ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัต ิ
ธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัตช
ิ อบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์
ของตนแล ้ว ยังบอก แสดงบัญญัต ิ แต่งตัง เปิ ดเผย จําแนก กระทําให ้ง่าย
ไม่ได ้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริยข
์ ม
่ ขีปรัปวาททีบังเกิดขึนให ้เรียบร ้อยโดย
สหธรรมไม่ได ้ เพียงใด เราจักยังไม่ปรินพ
ิ พานเพียงนัน ฯ
ดูกรมารผู ้มีบาป ภิกษุ ณีผู ้เป็ นสาวิกาของเรา จักยังไม่เฉียบ
แหลม ...เพียงใด เราจักยังไม่ปรินพ
ิ พานเพียงนั น ฯ
ดูกรมารผู ้มีบาป อุบาสกผู ้เป็ นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม
...เพียงใด เราจักยังไม่ปรินพ
ิ พานเพียงนั น ฯ
Page | 47

ดูกรมารผู ้มีบาป ิ าผู ้เป็ นสาวิกาของเรา


อุบาสก จักยังไม่เฉียบ
แหลม ...เพียงใด เราจักยังไม่ปรินพ
ิ พานเพียงนั น ฯ
ดูกรมารผู ้มีบาป พรหมจรรย์ของเรานีจักยังไม่สมบูรณ์ กว ้างขวาง
แพร่หลาย รู ้กันโดยมาก เป็ นปึ กแผ่น จนกระทังเทวดามนุษย์ประกาศได ้ดี
แล ้ว….เพียงใด เราจักไม่ปรินพ
ิ พานเพียงนั น
ดูกรอานนท์ วันนีเมือกีนีเอง มารผู ้มีบาปได ้เข ้ามาหาเราทีปาวาล
์ รันเข ้ามาหาแล ้วยืนอยู่ ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง มารผู ้มีบาปครันยืน
เจดียค
เรียบร ้อยแล ้วได ้กล่าวกะเราว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ขอพระผู ้มีพระภาคจง
ปรินพ
ิ พานในบัดนีเถิด ขอพระสุคตจงปรินพ
ิ พานในบัดนีเถิด บัดนี เป็ นเวลา
ปรินพ
ิ พานของพระผู ้มีพระภาค ก็พระผู ้มีพระภาคได ้ตรัสพระวาจานีไว ้ว่า
ดูกรมารผู ้มีบาปภิกษุ ผู ้เป็ นสาวกของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด ...
ภิกษุ ณผ
ี ู ้เป็ นสาวิกาของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด ... อุบาสกผู ้
ิ าผู ้เป็ นสาวิกา
เป็ นสาวกของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด ... อุบาสก
ของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ...เพียงใด ... พรหมจรรย์ของเรานีจักยังไม่
สมบูรณ์ กว ้างขวาง แพร่หลาย รู ้กันโดยมาก เป็ นปึ กแผ่น จนกระทังเทวดา
และมนุษย์ประกาศได ้ดีแล ้วเพียงใด เราจักยังไม่ปรินพ
ิ พานเพียงนั น ข ้าแต่
พระองค์ผู ้เจริญ ก็บัดนี พรหมจรรย์ของพระผู ้มีพระภาคสมบูรณ์แล ้ว
กว ้างขวาง แพร่หลาย รู ้กันโดยมาก เป็ นปึ กแผ่น
จนกระทังเทวดาและมนุษย์ประกาศได ้ดีแล ้ว ขอพระผู ้มีพระภาคจง
ปรินพ
ิ พานในบัดนีเถิด ขอพระสุคตจงปรินพ
ิ พานในบัดนีเถิด บัดนี เป็ นเวลา
ปรินพ
ิ พานของพระผู ้มีพระภาค ฯ
Page | 48

ดูกรอานนท์ เมือมารกล่าวอย่างนีแล ้ว เราได ้ตอบว่า ดูกรมารผู ้มี


บาปท่านจงมีความขวนขวายน ้อยเถิด ความปรินพ
ิ พานแห่งตถาคตจักมีไม่
ชา้ โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี ตถาคตก็จักปรินพ
ิ พาน ดูกรอานนท์ วันนี
เมือกีนีตถาคตมีสติสัมปชญ
ั ญะปลงอายุสงั ขารแล ้ว ทีปาวาลเจดีย ์ ฯ
เมือพระผู ้มีพระภาคตรัสอย่างนีแล ้ว ท่านพระอานนท์ได ้กราบทูล
ว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ขอพระผู ้มีพระภาคจงทรงดํารงอยูต
่ ลอดกัป ขอ
พระสุคตจงทรงดํารงอยูต
่ ลอดกัป เพือประโยชน์ของชนเป็ นอันมาก เพือ
ความสุขของชนเป็ นอันมาก เพืออนุเคราะห์โลก เพือประโยชน์ เพือเกือกูล
เพือความสุขของเทวดาและมนุษย์ทังหลาย พระผู ้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร
อานนท์ เวลานีอย่าเลยอย่าวิงวอนตถาคตเลย บัดนีมิใชเ่ วลาทีจะวิงวอน
ตถาคต แม ้ครังทีสอง ... แม ้ครังทีสาม ... ท่านพระอานนท์ ก็ได ้กราบทูลว่า
ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ขอพระผู ้มีพระภาคจงทรงดํารงอยูต
่ ลอดกัป ขอพระ
สุคตจงทรงดํารงอยูต
่ ลอดกัป เพือประโยชน์ของชนเป็ นอันมาก เพือ
ความสุขของชนเป็ นอันมาก เพืออนุเคราะห์โลก
เพือประโยชน์ เพือเกือกูล เพือความสุขของเทวดาและมนุษย์ทังหลาย ฯ

ดูกรอานนท์ เธอเชอความตรั สรู ้ของตถาคตหรือ ฯ
ื ฯ
ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ข ้าพระองค์เชอ
ื ไฉนเธอจึงแค่นได ้ตถาคตถึงสามครังเล่า ฯ
ดูกรอานนท์ เมือเชอ
ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ข ้าพระองค์ได ้ฟั งมาได ้รับมา เฉพาะพระ
พักตร์พระผู ้มีพระภาคว่า ดูกรอานนท์ อิทธิบาททัง ๔ อันผู ้ใดผู ้หนึงเจริญ
แล ้ว กระทําให ้มากแล ้ว กระทําให ้เป็ นดุจยาน กระทําให ้เป็ นดุจพืน ให ้ตัง
มันแล ้ว อบรมแล ้ว ปรารภดีแล ้ว ผู ้นั น เมือจํานงอยู่ พึงดํารงอยู่ได ้ตลอดกัป
Page | 49

หรือเกินกว่ากัปดูกรอานนท์ อิทธิบาททัง ๔ ตถาคตเจริญแล ้ว กระทําให ้


มากแล ้ว กระทําให ้เป็ นดุจยาน กระทําให ้เป็ นดุจพืน ให ้ตังมันแล ้ว อบรม
แล ้ว ปรารภดีแล ้วตถาคตนัน เมือจํานงอยู่ จะพึงดํารงอยูไ
่ ด ้ตลอดกัป หรือ
เกินกว่ากัป ฯ

ดูกรอานนท์ เธอเชอหรื
อฯ
ื ฯ
ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ข ้าพระองค์เชอ
ดูกรอานนท์ เพราะฉะนั น เรืองนีเป็ นความผิดพลาดของเธอผู ้
เดียวเพราะว่า เมือตถาคตทํานิมต
ิ อันหยาบ ทําโอภาสอันหยาบอย่างนี เธอ
มิอาจรู ้ทันจึงมิได ้วิงวอนตถาคตว่า ขอพระผู ้มีพระภาคจงทรงดํารงอยูต
่ ลอด
กัป ขอพระสุคตจงทรงดํารงอยูต
่ ลอดกัป เพือประโยชน์ของชนเป็ นอันมาก
เพือความสุขของชนเป็ นอันมาก เพืออนุเคราะห์โลก เพือประโยชน์ เพือ
เกือกูล เพือความสุขของเทวดาและมนุษย์ทังหลาย ถ ้าเธอวิงวอนตถาคต
ี สองครังเท่านัน ครันครังทีสาม ตถาคตพึง
ตถาคตจะพึงห ้ามวาจา เธอเสย
รับ เพราะฉะนั นแหละ อานนท์เรืองนีจึงเป็ นความผิดพลาดของเธอผู ้เดียว ฯ

[๑๐๓] ดูกรอานนท์ สมัยหนึง เราอยูท


่ ภู
ี เขาคิชฌกูฏ เขตพระ
นครราชคฤห์ ณ ทีนัน เราเรียกเธอมาบอกว่า ดูกรอานนท์ พระนครราชคฤห์
น่ารืนรมย์ ภูเขาคิชฌกูฏ น่ารืนรมย์ อิทธิบาททัง ๔ อันผู ้ใดผู ้หนึงเจริญแล ้ว
กระทําให ้มากแล ้ว กระทําให ้เป็ นดุจยาน กระทําให ้เป็ นดุจพืน ให ้ตังมัน
แล ้วอบรมแล ้ว ปรารภดีแล ้ว ผู ้นั น เมือจํานงอยู่ พึงดํารงอยูไ
่ ด ้ตลอดกัป
หรือเกินกว่ากัป ดูกรอานนท์ อิทธิบาททัง ๔ ตถาคตเจริญแล ้ว กระทําให ้
มากแล ้วกระทําให ้เป็ นดุจยาน กระทําให ้เป็ นดุจพืน ให ้ตังมันแล ้ว อบรมแล ้ว
Page | 50

ปรารภดีแล ้ว ตถาคตนัน เมือจํานงอยู่ จะพึงดํารงอยูไ่ ด ้ตลอดกัป หรือเกิน


กว่ากัป เมือตถาคตทํานิมต
ิ อันหยาบ โอภาสอันหยาบอย่างนี เธอมิอาจรู ้ทัน
จึงมิได ้วิงวอนตถาคตว่า ขอพระผู ้มีพระภาคจงทรงดํารงอยูต
่ ลอดกัป ขอ
พระสุคตจงทรงดํารงอยูต
่ ลอดกัป เพือประโยชน์ของชนเป็ นอันมาก เพือ
ความสุขของชนเป็ นอันมากเพืออนุเคราะห์โลก เพือประโยชน์ เพือเกือกูล
เพือความสุข ของเทวดาและมนุษย์ทังหลาย ถ ้าเธอวิงวอนตถาคต ตถาคต
ี สองครังเท่านั น
จะพึงห ้ามวาจาเธอเสย ครันครังทีสาม ตถาคตพึงรับ
เพราะฉะนั นแหละ อานนท์ เรืองนีจึงเป็ นความผิดพลาดของเธอผู ้เดียว ฯ

[๑๐๔] ดูกรอานนท์ สมัยหนึง เราอยูท


่ โคตมนิ
ี โครธ เขตพระนคร
ราชคฤห์นัน ... เราอยูท
่ เหวเป็
ี นทีทิงโจร เขตพระนครราชคฤห์นัน ... เราอยู่
ั ตบรรณคูหา ข ้างภูเขาเวภารบรรพต เขตพระนครราชคฤห์นัน ... เรา
ทีถําสต
อยูท
่ กาฬศ
ี ิ า ข ้างภูเขาอิสค
ล ิ ล
ิ ิ เขตพระนครราชคฤห์นัน ... เราอยูท
่ เงื ื
ี อมชอ
ั ปโสณฑิกณ สต
สป ี วัน เขตพระนครราชคฤห์นัน ... เราอยูท
่ ตโปทาราม
ี เขต
พระนครราชคฤห์นัน ... เราอยูท
่ เวฬุ
ี วันกลันทกนิวาปสถาน เขตพระนครรา
ชคฤห์นัน ... เราอยูท ี วี กัมพวัน เขตพระนครราชคฤห์นัน ... เราอยูท
่ ช ่ มั
ี ทท
กุจฉิมฤคทายวัน เขตพระนครราชคฤห์นัน ณ ทีนัน เราเรียกเธอมาบอกว่า
ดูกรอานนท์ พระนครราชคฤห์
ั ตบรรณ
น่ารืนรมย์ ภูเขาคิชฌกูฏน่ารืนรมณ์ โคตมนิโครธ เหวทีทิงโจร ถําสต
ิ าข ้างภูเขาอิสค
คูหาข ้างภูเขาเวภารบรรพต กาฬศล ิ ล ื า สป
ิ ิ เงือมชอว่ ั ปโสณ
ี วันตโปทาราม เวฬุวันกลันทกวิวาปสถาน ชวี กัมพวัน มัททกุจฉิมฤค
ฑิกสต
ทายวันต่างน่ารืนรมย์ อิทธิบาททัง ๔ อันผู ้ใดผู ้หนึงเจริญแล ้ว กระทําให ้
Page | 51

มากแล ้ว กระทําให ้เป็ นดุจยาน กระทําให ้เป็ นดุจพืน ให ้ตังมันแล ้ว อบรม


แล ้ว ปรารภดีแล ้วผู ้นัน เมือจํานงอยู่ พึงดํารงอยูไ่ ด ้ตลอดกัป หรือเกินกว่า
กัป ดูกรอานนท์อท
ิ ธิบาททัง ๔ ตถาคตเจริญแล ้ว กระทําให ้มากแล ้ว
กระทําให ้เป็ นดุจยานกระทําให ้เป็ นดุจพืน ให ้ตังมันแล ้ว อบรมแล ้ว ปรารภดี
แล ้ว ตถาคตนั นเมือจํานงอยู่ พึงดํารงอยูไ
่ ด ้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป เมือ
ตถาคตทํานิมต
ิ อันหยาบทําโอภาสอันหยาบอย่างนี เธอมิอาจรู ้ทัน จึงมิได ้
วิงวอนตถาคตว่า ขอพระผู ้มีพระภาคจงทรงดํารงอยูต
่ ลอดกัป ขอพระสุคต
จงทรงดํารงอยูต
่ ลอดกัป เพือประโยชน์ของชนเป็ นอันมาก เพือความสุข
ของชนเป็ นอันมาก เพืออนุเคราะห์โลก เพือประโยชน์ เพือเกือกูล เพือ
ความสุข ของเทวดาและมนุษย์ทังหลาย ถ ้าเธอวิงวอนตถาคต ตถาคตจะ

พึงห ้ามวาจาเธอเสย สองครังเท่านัน ครันครังทีสามตถาคตพึงรับ
เพราะฉะนั นแหละ อานนท์ เรืองนี เป็ นความผิดพลาดของเธอผู ้เดียว ฯ

[๑๐๕] ดูกรอานนท์ สมัยหนึง เราอยูท


่ อุ
ี เทนเจดีย ์ เขตเมืองเว
สาลีนเอง
ี ณ ทีนัน เราเรียกเธอมาบอกว่า ดูกรอานนท์ เมืองเวสาลีน่ารืนรมย์
อุเทนเจดียน
์ ่ารืนรมย์ อิทธิบาททัง ๔ อันผู ้ใดผู ้หนึงเจริญแล ้ว กระทําให ้
มากแล ้วกระทําให ้เป็ นดุจยาน กระทําให ้เป็ นดุจพืน ให ้ตังมันแล ้ว อบรมแล ้ว
ปรารภดีแล ้วผู ้นัน เมือจํานงอยู่ พึงดํารงอยูไ
่ ด ้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป
ดูกรอานนท์อท
ิ ธิบาททัง ๔ ตถาคตเจริญแล ้ว กระทําให ้มากแล ้ว กระทําให ้
เป็ นดุจยานกระทําให ้เป็ นดุจพืน ให ้ตังมันแล ้ว อบรมแล ้ว ปรารภดีแล ้ว
ตถาคตนันเมือจํานงอยู่ พึงดํารงอยู่ได ้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป เมือ
ตถาคตกระทํานิมต
ิ อันหยาบ ทําโอภาสอันหยาบอย่างนี เธอมิอาจรู ้ทัน จึง
Page | 52

มิได ้วิงวอนตถาคตว่าขอพระผู ้มีพระภาค จงทรงดํารงอยูต


่ ลอดกัป ขอพระ
สุคตจงทรงดํารงอยูต
่ ลอดกัปเพือประโยชน์ของชนเป็ นอันมาก เพือ
ความสุขของชนเป็ นอันมาก เพืออนุเคราะห์โลก เพือประโยชน์ เพือเกือกูล
เพือความสุข ของเทวดาและมนุษย์ทังหลายถ ้าเธอวิงวอนตถาคต ตถาคต
ี สองครังเท่านัน
จะพึงห ้ามวาจาเธอเสย ครันครังทีสามตถาคตพึงรับ
เพราะฉะนั นแหละ อานนท์ เรืองนี เป็ นความผิดพลาดของเธอผู ้เดียว ฯ

[๑๐๖] ดูกรอานนท์ สมัยหนึง เราอยูท


่ โคตมกเจดี
ี ย ์ เขตเมืองเว
สาลีนเอง
ี ... เราอยูท
่ ส ั ตัมพเจดีย ์ เขตเมืองเวสาลีนีเอง ... เราอยูท
ี ต ่ พหุ

ปุตตเจดียเ์ ขตเมืองเวสาลีนีเอง ... เราอยูท
่ สารั
ี นททเจดีย ์ เขตเมืองเวสาลีนี
เอง ... วันนีเมือกีนีเอง เราบอกเธอทีปาวาลเจดียว์ า่ ดูกรอานนท์ เมืองเว
ั ตัมพเจดีย ์ พหุปต
สาลีน่ารืนรมย์ อุเทนเจดีย ์ โคตมกเจดีย ์ สต ุ ตเจดีย ์ สารัน
ททเจดีย ์ ปาวาลเจดียต
์ า่ งน่ารืนรมย์ อิทธิบาททัง ๔ อันผู ้ใดผู ้หนึงเจริญ
แล ้ว กระทําให ้มากแล ้วกระทําให ้เป็ นดุจยาน กระทําให ้เป็ นดุจพืน ให ้ตังมัน
แล ้ว อบรมแล ้ว ปรารภดีแล ้วผู ้นัน เมือจํานงอยู่ พึงดํารงอยูไ
่ ด ้ตลอดกัป
หรือเกินกว่ากัป ดูกรอานนท์อท
ิ ธิบาททัง ๔ ตถาคตเจริญแล ้ว กระทําให ้
มากแล ้ว กระทําให ้เป็ นดุจยานกระทําให ้เป็ นดุจพืน ให ้ตังมันแล ้ว อบรมแล ้ว
ปรารภดีแล ้ว ตถาคตนันเมือจํานงอยู่ พึงดํารงอยูไ่ ด ้ตลอดกัป หรือเกินกว่า
กัป เมือตถาคตกระทํานิมต
ิ อันหยาบ ทําโอภาสอันหยาบอย่างนี เธอมิอาจ
รู ้ทัน จึงมิได ้วิงวอนตถาคตว่าขอพระผู ้มีพระภาคจงทรงดํารงอยูต
่ ลอดกัป
ขอพระสุคตจงทรงดํารงอยูต
่ ลอดกัปเพือประโยชน์ของชนเป็ นอันมาก เพือ
ความสุขของชนเป็ นอันมาก เพืออนุเคราะห์โลก เพือประโยชน์ เพือเกือกูล
Page | 53

เพือความสุขของเทวดาและมนุษย์ทังหลายถ ้าเธอวิงวอนตถาคต ตถาคต


ี สองครังเท่านัน
จะพึงห ้ามวาจาเธอเสย
ครันครังทีสามตถาคตพึงรับ เพราะฉะนั นแหละ อานนท์ เรืองนี เป็ นความ
ผิดพลาดของเธอผู ้เดียว ฯ
่ รือว่า ความเป็ น
ดูกรอานนท์ เราได ้บอกเธอไว ้ก่อนแล ้วไม่ใชห
ิ ต ้อง
ต่างๆความพลัดพราก ความเป็ นอย่างอืนจากของรักของชอบใจทังสน
มี เพราะฉะนั นจะพึงได ้ในของรักของชอบใจนีแต่ทไหน
ี ิ
สงใดเกิ
ดแล ้ว มี
แล ้ว ปั จจัยปรุงแต่งแล ้ว มีความทําลายเป็ นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสงิ
่ านะจะมีได ้ ก็สงใดที
นัน อย่าทําลายไปเลยดังนี มิใชฐ ิ ตถาคตสละแล ้ว คาย
แล ้ว ปล่อยแล ้ว ละแล ้ววางแล ้ว อายุสังขารตถาคตปลงแล ้ว วาจาทีตถาคต
ิ พานแห่งตถาคตจักมีไม่ชา้ โดยล่วงไป
กล่าวไว ้โดยเด็ดขาดว่า ความปรินพ
อีกสามเดือนแต่นี ตถาคตก็จักปรินพ ิ น
ิ พาน อันตถาคตจะกลับคืนยังสงนั
เพราะเหตุแห่งชวี ต ่ านะทีจะมีได ้ มาไปกันเถิดอานนท์ เราจักเข ้า
ิ ดังนี มิใชฐ
ไปยังกูฏาคารสาลาป่ ามหาวัน ท่านพระอานนท์รับพระดํารัสของพระผู ้มีพระ
ภาคแล ้ว ลําดับนัน พระผู ้มีพระภาคพร ้อมด ้วยท่านพระอานนท์เสด็จเข ้าไป

ยังกูฏาคารสาลาป่ ามหาวัน ครันแล ้ว รับสงกะท่
านพระอานนท์วา่ ไปเถิด
ุ รูปเท่าทีอาศัยเมืองเวสาลีอยู่ มาประชุมทีอุปัฏ
อานนท์ เธอจงให ้ภิกษุ ทก
ฐานศาลา ท่านพระอานนท์ทล
ู รับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว จึงให ้
ุ รูปเท่าทีอาศัยเมืองเวสาลีอยู่ มาประชุมทีอุปัฏฐานศาลา
ภิกษุ ทก
แล ้วจึงเข ้าไปเฝ้ าพระผู ้มีพระภาคถึงทีประทับ ครันเข ้าไปเฝ้ าแล ้ว ถวาย
บังคมพระผู ้มีพระภาคแล ้ว ยืนอยู่ ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง ครันท่านพระ
Page | 54

อานนท์ยน
ื เรียบร ้อยแล ้วได ้กราบทูลว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ภิกษุ สงฆ์
ประชุมกันแล ้ว ขอพระผู ้มีพระภาคทรงทราบกาลอันควรในบัดนีเถิด ฯ

[๑๐๗] ครังนั น พระผู ้มีพระภาคเสด็จเข ้าไปยังอุปัฏฐานศาลา


ประทับนั งบนอาสนะทีเขาจัดถวาย ครันพระผู ้มีพระภาคประทับนั งแล ้วรับสัง
กะภิกษุ ทังหลายว่า ดูกรภิกษุ ทังหลาย ธรรมเหล่าใดทีเราแสดงแล ้วด ้วย
่ งเสพ พึงให ้เจริญ พึง
ปั ญญาอันยิง ธรรมเหล่านั น พวกเธอเรียนแล ้ว พึงซอ
กระทําให ้มากด ้วยดีโดยประการทีพรหมจรรย์นจะพึ
ี งยังยืน ดํารงอยูไ่ ด ้นาน
เพือประโยชน์ของชนเป็ นอันมาก เพือความสุขของชนเป็ นอันมาก เพือ
อนุเคราะห์โลก เพือประโยชน์เพือเกือกูล เพือความสุขของเทวดาและ
มนุษย์ทังหลาย ก็ธรรมทีเราแสดงแล ้วด ้วยปั ญญาอันยิง ... เหล่านั นเป็ น
ั มัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย ์ ๕ พละ ๕
ไฉน คือสติปัฏฐาน ๔ สม
โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ดูกรภิกษุ ทังหลาย ธรรมเหล่านีแลทีเรา
แสดงแล ้วด ้วยปั ญญาอันยิง ... ฯ
ลําดับนัน พระผู ้มีพระภาคตรัสเตือนภิกษุ ทังหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทังหลายบัดนีเราขอเตือนพวกเธอ สังขารทังหลายมีความเสอมเป็
ื น
ธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให ้ถึงพร ้อม ความปรินพ
ิ พานแห่ง
ตถาคต จักมีในไม่ชา้ โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี ตถาคตก็จักปรินพ
ิ พาน

พระผู ้มีพระภาคผู ้สุคตศาสดา ครันได ้ตรัสไวยากรณภาษิตนีแล ้ว
จึงได ้ตรัสคาถาประพันธ์ตอ
่ ไปอีกว่า
Page | 55

[๑๐๘] คนเหล่าใด ทังเด็กทังผู ้ใหญ่ ทังพาลทังบัณฑิต ทัง


มังมี ทังขัดสน ล ้วนมีความตายเป็ นเบืองหน ้า ภาชนะดินทีนายชา่ ง
หม ้อกระทําแล ้ว ทังเล็กทังใหญ่ ทังสุกทังดิบ ทุกชนิด มีความแตกเป็ น
ทีสุด ฉั นใด ชวี ต ั ว์ทังหลายก็ฉันนั น ฯ
ิ ของสต
พระศาสดาได ้ตรัสคาถาประพันธ์ตอ
่ ไปอีกว่า
วัยของเรา แก่หง่อมแล ้ว ชวี ต
ิ ของเราเป็ นของน ้อย เราจักละ
พวกเธอไป เรากระทําทีพึงแก่ตนแล ้ว ดูกรภิกษุ ทังหลาย
ี อันดีเถิด จงเป็ นผู ้
พวกเธอจงเป็ นผู ้ไม่ประมาท มีสติ มีศล มี
ความดําริตังมันดีแล ้ว ตามรักษาจิตของตนเถิด ผู ้ใด จักเป็ นผู ้
ไม่ประมาท อยูใ่ นธรรมวินัยนี ผู ้นั นจักละชาติสงสาร แล ้วกระทําทีสุด
แห่งทุกข์ได ้ ดังนี ฯ

จบภาณวารทีสาม ฯ

[๑๐๙] ครังนั น เวลาเชา้ พระผู ้มีพระภาคทรงนุ่งแล ้ว ทรงถือ


บาตรและจีวร เสด็จเข ้าไปยังเมืองเวสาลีเพือบิณฑบาต เสด็จเทียว
บิณฑบาตในเมืองเวสาลีแล ้ว เวลาปั จฉาภัต เสด็จกลับจากบิณฑบาต
ทอดพระเนตรเมืองเวสาลีเป็ นนาคาวโลก แล ้วรับสังกะท่านพระอานนท์วา่
ดูกรอานนท์ การเห็นเมืองเวสาลีของตถาคตครังนี จักเป็ นครังสุดท ้าย มา
ไปกันเถิดอานนท์ เราจักไปยังบ ้านภัณฑคาม ท่านพระอานนท์ทล
ู รับพระ
ดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว ลําดับนั นพระผู ้มีพระภาคพร ้อมด ้วยภิกษุ
สงฆ์หมูใ่ หญ่เสด็จถึงบ ้านภัณฑคามแล ้ว ได ้ยินว่าพระผู ้มีพระภาคประทับอยู่
Page | 56

ณ บ ้านภัณฑคามนั น ณ ทีนันแล พระผู ้มีพระภาครับสังกะภิกษุ ทังหลายว่า


ดูกรภิกษุ ทังหลาย เพราะไม่รู ้แจ ้ง แทงตลอดธรรม ๔ ประการ
เราและพวกเธอจึงเร่รอ ิ
่ นท่องเทียวไปสนกาลนานอย่
างนี ๔ ประการเป็ น
ี อันเป็ นอริยะ
ไฉนเพราะไม่รู ้แจ ้งแทงตลอดศล เราและพวกเธอจึงเร่รอ
่ น

ท่องเทียวไปสนกาลนาน เพราะไม่รู ้แจ ้งแทงตลอดสมาธิอันเป็ นอริยะ ...
ปั ญญาอันเป็ นอริยะ ...วิมต
ุ ติอันเป็ นอริยะ เราและพวกเธอจึงเร่รอ
่ น

ท่องเทียวไปสนกาลนานอย่
างนี ฯ
ดูกรภิกษุ ทังหลาย ี อันเป็ นอริยะสมาธิ
เราได ้รู ้แจ ้งแทงตลอดศล
อันเป็ นอริยะ ปั ญญาอันเป็ นอริยะ วิมต
ุ ติอันเป็ นอริยะแล ้ว ตัณหาในภพเรา
ี แล ้วตัณหาอันจะนํ าไปสูภ
ถอนเสย ่ พสนแล
ิ ้ว บัดนีภพใหม่ไม่ม ี ฯ
พระผู ้มีพระภาคผู ้สุคตศาสดา ครันได ้ตรัสไวยากรณภาษิตนีแล ้ว
จึงได ้ตรัสคาถาประพันธ์ตอ
่ ไปอีกว่า

[๑๑๐] ี สมาธิ ปั ญญา และวิมต


ธรรมเหล่านี คือ ศล ุ ติ
อันยอดเยียม อันพระโคดมผู ้มียศตรัสรู ้แล ้ว ดังนั น
พระพุทธเจ ้า จึงตรัสบอกธรรมแก่ภก
ิ ษุ ทังหลาย เพือความรู ้ยิง พระ
ศาสดา ึ สุดแห่งทุกข์ มีพระจักษุ ปรินพ
ผู ้กระทําซงที ิ พานแล ้ว ฯ

[๑๑๑] ได ้ยินว่า พระผู ้มีพระภาคเมือประทับ ณ บ ้านภัณฑคามนั น


ี อย่างนี
ทรงกระทําธรรมีกถานีแหละเป็ นอันมากแก่พวกภิกษุ วา่ อย่างนีศล
ี อบรมแล ้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงสใ์ หญ่
สมาธิอย่างนีปั ญญา สมาธิอันศล
ปั ญญา
Page | 57

อันสมาธิอบรมแล ้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงสใ์ หญ่ จิตอันปั ญญาอบรมแล ้ว


ย่อมหลุดพ ้นจากอาสวะโดยชอบ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ

[๑๑๒] ครังนั น พระผู ้มีพระภาคประทับอยูต


่ ามความพอพระทัย
ในบ ้านภัณฑคามแล ้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสังว่า มาไปกันเถิด
ั พุคาม และโภคนคร ท่าน
อานนท์ เราจักไปยังบ ้านหัตถีคาม อัมพคาม ชม
พระอานนท์ทูลรับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว ฯ
ลําดับนัน พระผู ้มีพระภาคพร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์หมูใ่ หญ่เสด็จถึง
โภคนครแล ้ว ได ้ยินว่า พระผู ้มีพระภาคประทับ ณ อานันทเจดีย ์ ในโภคนคร
นัน ณ ทีนันพระผู ้มีพระภาครับสังกะภิกษุ ทังหลายว่า ดูกรภิกษุ ทังหลาย เรา
จักแสดงมหาประเทศ ๔ เหล่านี พวกเธอจงฟั ง จงใสใ่ จให ้ดี เราจักกล่าว
ภิกษุ เหล่านั นทูลรับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว พระผู ้มีพระภาคได ้
ตรัสดังต่อไปนี

[๑๑๓] ดูกรภิกษุ ทังหลาย ภิกษุ ในธรรมวินัยนีพึงกล่าวอย่างนีว่า


อาวุโสข ้อนีข ้าพเจ ้าได ้ฟั งมา ได ้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู ้มีพระภาคว่า นี

เป็ นธรรมนีเป็ นวินัย นีเป็ นคําสงสอนของพระศาสดา ื
ดังนี พวกเธอไม่พงึ ชน
ชมไม่พงึ คัดค ้านคํากล่าวของภิกษุ นัน ครันแล ้วพึงเรียนบทและพยัญชนะ
เหล่านั นให ้ดี แล ้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ ้าสอบสวน
ในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัยลงในพระสูตรไม่ได ้ เทียบเคียงในพระ
่ ําของพระผู ้มีพระภาคแน่นอน
วินัยไม่ได ้ พึงถึงความตกลงในข ้อนีว่านีมิใชค
และภิกษุ นจํ
ี ามาผิดแล ้ว ดังนัน พวกเธอพึง
Page | 58

ี ถ ้าเมือสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงใน


ทิงคํากล่าวนันเสย
พระสูตรได ้ เทียบเคียงในพระวินัยได ้ พึงถึงความตกลงในข ้อนีว่า นีเป็ นคํา

สงสอนของพระผู ้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุ นีจํามาถูกต ้องแล ้ว ดูกรภิกษุ
ทังหลายพวกเธอพึงทรงจํามหาประเทศข ้อทีหนึงนีไว ้ ฯ

[๑๑๔] ดูกรภิกษุ ทังหลาย ก็ภก


ิ ษุ ในธรรมวินัยนี พึงกล่าวอย่างนี
ว่าสงฆ์พร ้อมทังพระเถระ พร ้อมทังปาโมกข์ อยูใ่ นอาวาสโน ้น ข ้าพเจ ้าได ้

ฟั งมาได ้รับมาเฉพาะหน ้าสงฆ์นันว่า นีเป็ นธรรม นีเป็ นวินัย นีเป็ นคําสงสอน

ของพระศาสดา ดังนี พวกเธอไม่พงึ ชนชมไม่
พงึ คัดค ้านคํากล่าวของภิกษุ
นัน ครันแล ้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั นให ้ดี แล ้วสอบสวนในพระ
สูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ ้าเมือสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระ
วินัย ลงในพระสูตรไม่ได ้ ลงในพระวินัยไม่ได ้ พึงถึงความตกลงในข ้อนีว่า นี
่ ําสงสอนของพระผู
มิใชค ั ้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุ สงฆ์นันจํามาผิดแล ้ว
ดังนัน ี
พวกเธอพึงทิงคํากล่าวนันเสย ถ ้าเมือสอบสวนในพระสูตร
เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได ้ เทียบเคียงในพระวินัยได ้ พึงถึง
ความตกลงในข ้อนีว่า ั
นีเป็ นคําสงสอนของพระผู ้มีพระภาคแน่นอน และ
ภิกษุ สงฆ์นันจํามาถูกต ้องแล ้ว ดูกรภิกษุ ทังหลายพวกเธอพึงทรงจํามหา
ประเทศข ้อทีสองนีไว ้ ฯ

[๑๑๕] ดูกรภิกษุ ทังหลาย ก็ภก


ิ ษุ ในธรรมวินัยนี พึงกล่าวอย่างนี
ว่า ภิกษุ ผู ้เป็ นเถระมากรูปอยูใ่ นอาวาสโน ้น เป็ นพหูสต
ู มีอาคมอันมาถึงแล ้ว
เป็ นผู ้ทรงธรรมทรงวินัย ทรงมาติกา ข ้าพเจ ้าได ้ฟั งมา ได ้รับมาเฉพาะหน ้า
Page | 59

พระเถระเหล่านันว่า นีเป็ นธรรม นีเป็ นวินัย นีเป็ นคําสังสอนของพระศาสดา



ดังนี พวกเธอไม่พงึ ชนชม ไม่พงึ คัดค ้านคํากล่าวของภิกษุ นัน ครันแล ้ว พึง
เรียนบทและพยัญชนะเหล่านั นให ้ดีแล ้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงใน
พระวินัย ถ ้าเมือสอบสวนในพระสูตรเทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตร
่ ําสังสอนของ
ไม่ได ้ ลงในพระวินัยไม่ได ้ พึงถึงความตกลงในข ้อนีว่านีมิใชค
พระผู ้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระเหล่านั นมาผิดแล ้ว ดังนั น พวกเธอพึง
ี ถ ้าเมือสอบสวนในพระสูตรเทียบเคียงในพระวินัย ลงใน
ทิงคํากล่าวนันเสย
พระสูตรได ้ เทียบเคียงในพระวินัยได ้ พึงถึงความตกลงในข ้อนีว่า นีเป็ นคํา
ของพระผู ้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระเหล่านั น จํามาถูกต ้องแล ้ว ดูกร
ภิกษุ ทังหลาย พวกเธอพึงทรงจํามหาประเทศข ้อทีสามนีไว ้ ฯ

[๑๑๖] ดูกรภิกษุ ทังหลาย ก็ภก


ิ ษุ ในธรรมวินัยนี พึงกล่าวอย่างนี
ว่า ภิกษุ ผู ้เป็ นเถระอยูใ่ นอาวาสโน ้น เป็ นพหูสต
ู มีอาคมอันมาถึงแล ้ว เป็ นผู ้
ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข ้าพเจ ้าได ้ฟั งมา ได ้รับมาเฉพาะหน ้าพระ

เถระนันว่า นีเป็ นธรรมนีเป็ นวินัย นีเป็ นคําสงสอนของพระศาสดา ดังนี พวก

เธอไม่พงึ ชนชม ไม่พงึ คัดค ้านคํากล่าวของภิกษุ นัน ครันแล ้ว พึงเรียนบท
และพยัญชนะเหล่านันให ้ดี แล ้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย
ถ ้าเมือสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได ้ ลง
ในพระวินัยไม่ได ้ ่ ําสงสอนของพระผู
พึงถึงความตกลงในข ้อนีว่านีมิใชค ั ้มี
พระภาคแน่นอน และพระเถระนั นจํามาผิดแล ้ว ดังนัน
ี ถ ้าเมือสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงใน
พวกเธอพึงทิงคํากล่าวนั นเสย
พระวินัย
Page | 60

ลงในพระสูตรได ้ เทียบเคียงในพระวินัยได ้ พึงถึงความตกลงในข ้อนีว่า นี


เป็ นคําของพระผู ้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระนั นจํามาถูกต ้องแล ้ว ดูกร
ี ไว ้
ภิกษุ ทังหลายพวกเธอพึงทรงจํามหาประเทศข ้อทีสนี ฯ ดูกรภิกษุ
ทังหลาย พวกเธอพึงทรงจํามหาประเทศทัง ๔ เหล่านีไว ้ ฉะนีแล ฯ
ได ้ยินว่า พระผู ้มีพระภาคประทับ ณ อานันทเจดียใ์ นโภคนครนั น
ี อย่างนี
ทรงกระทําธรรมีกถานีแหละเป็ นอันมากแก่พวกภิกษุ วา่ อย่างนีศล
สมาธิ อย่างนี ี อบรมแล ้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส ์
ปั ญญา สมาธิอันศล
ใหญ่ ปั ญญาอันสมาธิอบรมแล ้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงสใ์ หญ่ จิตอัน
ปั ญญาอบรมแล ้ว ย่อมหลุดพ ้นจากอาสวะโดยชอบ คือ กามาสวะ ภวาสวะ
อวิชชาสวะ ฯ

[๑๑๗] ครังนั น พระผู ้มีพระภาคประทับอยูใ่ นโภคนครตามความ


พอพระทัยแล ้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสังว่า ดูกรอานนท์ มาไปกัน
เถิด เราจักไปยังเมืองปาวา ท่านพระอานนท์ทล
ู รับพระดํารัสของพระผู ้มี
พระภาคแล ้ว ลําดับนั นพระผู ้มีพระภาคพร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์หมูใ่ หญ่ เสด็จ
ถึงเมืองปาวาแล ้ว ได ้ยินว่าพระผู ้มีพระภาคประทับ ณ อัมพวันของนายจุนท
กัมมารบุตร ในเมืองปาวานั น ฯ
ครังนัน นายจุนทกัมมารบุตรได ้สดับข่าวว่า พระผู ้มีพระภาคเสด็จ
ถึงเมืองปาวา ประทับอยู่ ณ อัมพวันของเราในเมืองปาวา จึงเข ้าไปเฝ้ าพระ
ผู ้มีพระภาคถึงทีประทับ ครันเข ้าไปเฝ้ าแล ้ว ถวายบังคมพระผู ้มีพระภาค นั ง
ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง ครันนายจุนทกัมมารบุตรนั งเรียบร ้อยแล ้ว พระผู ้มีพระ
ภาคทรงให ้เห็นแจ ้งให ้สมาทาน ให ้อาจหาญ ให ้รืนเริงด ้วยธรรมีกถา ลําดับ
Page | 61

นัน นายจุนทกัมมารบุตรอันพระผู ้มีพระภาคให ้เห็นแจ ้ง ให ้สมาทาน ให ้อาจ


หาญ ให ้รืนเริงด ้วยธรรมีกถาแล ้วได ้กราบทูลพระผู ้มีพระภาคว่า ข ้าแต่
พระองค์ผู ้เจริญ ขอพระผู ้มีพระภาคพร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์ จงทรงรับภัตของ
ข ้าพระองค์ เพือเสวยในวันพรุ่งนี พระผู ้มีพระภาคทรงรับด ้วยดุษณีภาพ ฯ
ลําดับนัน นายจุนทกัมมารบุตรทราบว่า พระผู ้มีพระภาคทรงรับ
แล ้วลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู ้มีพระภาค กระทําประทักษิ ณ หลีกไป
แล ้ว นายจุนทกัมมารบุตรให ้ตระเตรียมของเคียวของฉั นอันประณีต และ
๑-
สุกรมัททวะ เป็ นอันมาก
ในนิเวศน์ของตน โดยล่วงราตรีนันไป ให ้กราบทูลกาลแด่พระผู ้มีพระภาค
ว่าข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ได ้เวลาแล ้ว ภัตตาหารสําเร็จแล ้ว ฯ
ครังนัน เวลาเชา้ พระผู ้มีพระภาคทรงนุ่งแล ้ว ทรงถือบาตรและ
จีวรพร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์เสด็จเข ้าไปยังนิเวศน์ของนายจุนทกัมมารบุตร
ประทับนั งบนอาสนะทีเขาจัดถวาย ครันพระผู ้มีพระภาคประทับนั งแล ้วรับสัง
กะนายจุนทกัมมารบุตรว่า ดูกรนายจุนทะ ท่านจงอังคาสเราด ้วยสุกรมัททวะ
ทีท่านตระเตรียมไว ้จงอังคาสภิกษุ สงฆ์ด ้วยของเคียวของฉั น อย่างอืนที
ท่านตระเตรียมไว ้ นายจุนทกัมมารบุตรทูลรับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาค
แล ้ว จึงอังคาสพระผู ้มีพระภาคด ้วยสุกรมัททวะทีตนตระเตรียมไว ้ อังคาส
ภิกษุ สงฆ์ด ้วยของเคียวของฉั นอย่างอืน
ทีตนตระเตรียมไว ้ ลําดับนั น พระผู ้มีพระภาครับสังกะนายจุนทกัมมารบุตร
ี ในหลุม เรายังไม่
ว่า ดูกรนายจุนทะ ท่านจงฝั งสุกรมัททวะทียังเหลือเสย
เห็นบุคคลในโลก
Page | 62


@๑. เป็ นชออาหารชนิ ึ งด ้วยเห็ดอย่างหนึงซงเห็
ดหนึง ซงปรุ ึ ดชนิดนั นหมู
ชอบกิน
พร ้อมทังเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมูส ั ว์พร ้อมทังสมณพราหมณ์
่ ต
เทวดาและ
ึ โภคสุกรมัททวะนั นแล ้ว
มนุษย์ซงบริ จะพึงให ้ย่อยไปด ้วยดีได ้นอกจาก
ตถาคต นายจุนทกัมมารบุตรทูลรับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว จึงฝั ง
ี ในหลุม แล ้วเข ้าไปเฝ้ าพระผู ้มีพระภาค ครันเข ้า
สุกรมัททวะทียังเหลือเสย
ไปเฝ้ าแล ้วถวายบังคมนั ง ณทีควรสว่ นข ้างหนึง พระผู ้มีพระภาคยังนายจุนท
กัมมารบุตรผู ้นั งเรียบร ้อยแล ้วให ้เห็นแจ ้ง ให ้สมาทาน ให ้อาจหาญ ให ้รืนเริง
ด ้วยธรรมีกถา แล ้วเสด็จลุกจากอาสนะเสด็จหลีกไป ฯ
ลําดับนัน เมือพระผู ้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของนายจุนท
กัมมารบุตรแล ้วก็เกิดอาพาธอย่างร ้ายแรง มีเวทนากล ้าเกิดแต่การประชวร
ลงพระโลหิต ใกล ้จะนิพพาน ได ้ยินว่า พระผู ้มีพระภาคทรงมีพระ
ั ปชญ
สติสม ั ญะ ทรงอดกลันเวทนาเหล่านั นไว ้ มิได ้ทรงพรันพรึง ตรัสเรียก
ั า มาไปกันเถิดอานนท์ เราจักไปยังเมืองกุสน
ท่านพระอานนท์มารับสงว่ ิ ารา
ท่านพระอานนท์ทล
ู รับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว ฯ

[๑๑๘] ข ้าพเจ ้าได ้ฟั งมาว่า พระผู ้มีพระภาคทรงพระปรีชา


เสวยภัตตาหารของนายจุนทกัมมารบุตรแล ้ว ทรงพระประชวรอย่าง
หนัก ใกล ้จะนิพพาน เมือพระศาสดาเสวยสุกรมัททวะแล ้ว
การประชวรอย่างหนักได ้บังเกิดขึน พระผู ้มีพระภาคลงพระบังคน
ิ ารา ดังนี ฯ
ได ้ตรัสว่าเราจะไปยังเมืองกุสน
Page | 63

(คาถาเหล่านี พระสังคีตก
ิ าจารย์ทังหลายกล่าวไว ้ในเวลาทํา
สงั คายนา)

[๑๑๙] ครังนั น พระผู ้มีพระภาคเสด็จแวะจากหนทาง แล ้วเสด็จเข ้า


ั านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ เธอจงชว่ ยปู
ไปยังโคนไม ้ต ้นหนึง รับสงกะท่
ผ ้าสังฆาฏิซอนกั
้ ี นให
นเป็ นสช ั ้เรา เราเหน็ ดเหนือยนั ก จักนัง ท่านพระ
ู รับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว ปูผ ้าสังฆาฏิซอนกั
อานนท์ทล ้ นเป็ นส ี
ั พระผู ้มีพระภาคประทับนั งบนอาสนะทีพระอานนท์ปถ
ชน ู วายแล ้ว ครันพระ

ผู ้มีพระภาคประทับนังแล ้ว จึงรับสงกะท่
านพระอานนท์วา่ ดูกรอานนท์ เธอ
จงชว่ ยนํ านํ ามาให ้เรา เราระหาย จักดืมนํ าเมือพระผู ้มีพระภาคตรัสอย่างนี
แล ้ว ท่านพระอานนท์ได ้กราบทูลว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ เมือกีนี เกวียน
ประมาณ ๕๐๐ เล่ม ข ้ามไปแล ้วนํ านันน ้อย ถูกล ้อเกวียนบดแล ้ว ขุน
่ มัวไหล
ไปอยู่ แม่นํากกุธานทีนอยู
ี ไ ่ ม่ไกล มีนําใสจืด เย็น ขาวมีทา่ ราบเรียบ น่า
รืนรมย์ พระผู ้มีพระภาคจักทรงดืมนํ าในแม่นํานี และจักทรงสรงสนาน
พระองค์ แม ้ครังทีสอง พระผู ้มีพระภาคก็ยังรับสังกะท่านพระอานนท์วา่ ดูกร
อานนท์ เธอจงชว่ ยนํ านํ าดืม มาให ้เรา เราระหาย จักดืมนํ า แม ้ครังทีสอง
ท่านพระอานนท์ก็ได ้กราบทูลว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ เมือกีนี เกวียน
ประมาณ ๕๐๐ เล่ม ข ้ามไปแล ้วนํ านั นน ้อยถูกล ้อเกวียนบดแล ้ว ขุน
่ มัวไหล
ไปอยู่ แม่นํากกุธานทีนอยู
ี ไ ่ ม่ไกล มีนําใส จืด เย็น ขาว มีทา่ ราบเรียบ น่า
รืนรมย์ พระผู ้มีพระภาคจักทรงดืมนํ าในแม่นํานี แล ้วจักทรงสรงสนาน
พระองค์
Page | 64

แม ้ครังทีสามพระผู ้มีพระภาคก็ยังรับสังกะท่านพระอานนท์วา่ ดูกรอานนท์


เธอจงชว่ ยนํ านํ ามาให ้เรา เราระหาย จักดืมนํ า ท่านพระอานนท์ทล
ู รับพระ
ดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้วถือบาตรไปยังแม่นํานัน ครังนั น แม่นํานันถูก
ล ้อเกวียนบดแล ้ว มีนําน ้อยขุน
่ มัวไหลไปอยู่ เมือท่านพระอานนท์เข ้าไป
ใกล ้ก็ใสสะอาด ไม่ขน
ุ่ มัวไหลไปอยู่ ท่านพระอานนท์ ได ้มีความดําริวา่ น่า
อัศจรรย์หนอเหตุไม่เคยเป็ นมาเป็ นแล ้ว ความทีพระตถาคตเป็ นผู ้มีฤทธิมาก
มีอานุภาพมาก แม่นํานีถูกล ้อเกวียนบดแล ้ว มีนําน ้อยขุน
่ มัว ไหลไปอยู่ เมือ
เราเข ้าไปใกล ้กลับใสสะอาด ไม่ขน
ุ่ มัว ไหลไปอยู่ ฯ
ท่านพระอานนท์ตักนํ ามาด ้วยบาตรแล ้ว เข ้าไปเฝ้ าพระผู ้มีพระ
ภาคถึงทีประทับ ครันเข ้าไปเฝ้ าแล ้วได ้กราบทูลว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ
น่าอัศจรรย์เหตุไม่เคยเป็ นมาเป็ นแล ้ว ความทีพระตถาคตเป็ นผู ้มีฤทธิมาก
มีอานุภาพมากเมือกีนี แม่นํานันถูกล ้อเกวียนบดแล ้ว มีนําน ้อยขุน
่ มัวไหลไป
อยู่ เมือข ้าพระองค์เข ้าไปใกล ้ กลับใสสะอาด ไม่ขน
ุ่ มัว ไหลไปแล ้ว ขอพระ
ผู ้มีพระภาคจงเสวยนํ าเถิด ขอพระสุคตจงเสวยนํ าเถิด ลําดับนัน พระผู ้มีพระ
ภาคเสวยนํ าแล ้ว ฯ

[๑๒๐] ก็สมัยนัน โอรสเจ ้ามัลละนามว่า ปุกกุสะ เป็ นสาวกของ


ิ ารา เดินทางไกลไปยังเมือง
อาฬารดาบสกาลามโคตร ออกจากเมืองกุสน
ปาวาปุกกุสมัลลบุตรได ้เห็นพระผู ้มีพระภาคประทับอยูท
่ โคนไม
ี ้ต ้นหนึง จึง
เข ้าไปเฝ้ าพระผู ้มีพระภาคถึงทีประทับ ครันเข ้าไปเฝ้ าแล ้วถวายบังคมพระผู ้
มีพระภาคแล ้วนั งณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง เมือโอรสเจ ้ามัลละนามว่า ปุกกุสะ
นังเรียบร ้อยแล ้ว
Page | 65

ได ้กราบทูลว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล ้ว พวก


ิ ย่อมอยูด
บรรพชต ่ ้วยวิหารธรรมอันสงบหนอ เรืองเคยมีมาแล ้ว อาฬารดาบส
กาลามโคตรเดินทางไกล แวะออกจากหนทางนั งพักกลางวันทีโคนไม ้ต ้น
หนึง ในทีไม่ไกลครังนั น เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ได ้ผ่านอาฬารดาบสกา
ลามโคตร ติดกันไปบุรษ ึ นทางตามหลังหมูเ่ กวียนมา เข ้าไป
ุ คนหนึงซงเดิ
หาอาฬารดาบส กาลามโคตรถึงทีพัก ครันเข ้าไปหาแล ้วถามท่านอาฬา
รดาบสกาลามโคตรว่า ข ้าแต่ทา่ นผู ้เจริญท่านได ้เห็นเกวียนประมาณ ๕๐๐
เล่มผ่านไปบ ้างหรือ ฯ
อ. ท่านผู ้มีอายุ เรามิได ้เห็น ฯ
ี งหรือ ฯ
บ. ก็ทา่ นไม่ได ้ยินเสย
เราไม่ได ้ยิน ฯ
ท่านหลับหรือ ฯ
เรามิได ้หลับ ฯ
ั ญาอยูห
ท่านยังมีสญ ่ รือ ฯ
อย่างนัน ท่านผู ้มีอายุ ฯ
ั ญา ตืนอยู่ ไม่ได ้เห็นเกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ซงึ
ท่านยังมีสญ
ี ง ก็ผ ้าของท่านเปรอะเปื อนไปด ้วยธุลบ
ผ่านติดๆ กันไป และไม่ได ้ยินเสย ี ้าง
หรือ ฯ
อย่างนัน ท่านผู ้มีอายุ ฯ
ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ลําดับนัน บุรุษนันได ้มีความคิดอย่างนีว่า
ิ ย่อมอยูด
น่าอัศจรรย์หนอ เหตุไม่เคยมีมามีแล ้ว พวกบรรพชต ่ ้วยวิหารธรรม
อันสงบหนอ
Page | 66

ั ญาตืนอยู่ ไม่ได ้เห็นเกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ซงผ่


ดังทีท่านผู ้ยังมีสญ ึ าน
ี ง บุรษ
ติดๆกันไป และไม่ได ้ยินเสย ุ นั นประกาศความเลือมใสอย่างยิง ใน
อาฬารดาบสกาลามโคตรแล ้วหลีกไป ฯ
พระผู ้มีพระภาคตรัสถามปุกกุสมัลลบุตรว่า ดูกรปุกกุสะ ท่านจะ
สําคัญความข ้อนันเป็ นไฉน ผู ้ยังมีสัญญาตืนอยู่ ไม่เห็นเกวียนประมาณ
ึ านติดๆ กันไป และไม่ได ้ยินเสย
๕๐๐ เล่ม ซงผ่ ี งอย่างหนึง ผู ้ทียังมีสัญญา
ตืนอยู่ เมือฝนกําลังตกตกอย่างหนั ก ฟ้ าลันอยู่ ฟ้ าผ่าอยู่ มิได ้เห็น และ
ี ง อย่างหนึง ทังสองอย่างนี อย่างไหนจะทําได ้ยากกว่ากัน
ไม่ได ้ยินเสย
หรือให ้เกิดขึนได ้ยากกว่ากัน ปุกกุสมัลลบุตรกราบทูลว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้
เจริญ เกวียน ๕๐๐ เล่ม ๖๐๐ เล่ม ๗๐๐ เล่ม ๘๐๐ เล่ม ๙๐๐ เล่ม ๑,๐๐๐
เล่ม ฯลฯ ๑๐๐,๐๐๐ เล่ม จักกระทําอะไรได ้ ผู ้ทียังมี
ั ญาตืนอยู่ เมือฝนกําลังตก ตกอย่างหนัก ฟ้ าลันอยู่ ฟ้ าผ่าอยู่ มิได ้เห็น
สญ
ี ง อย่างนีแหละ ทําได ้ยากกว่า และให ้เกิดขึนได ้ยากกว่า ฯ
และไม่ได ้ยินเสย

[๑๒๑] ดูกรปุกกุสะ สมัยหนึง เราอยูใ่ นโรงกระเดืองในเมืองอาตุ


มาสมัยนั น เมือฝนกําลังตก ตกอย่างหนัก ฟ้ าลันอยู่ ฟ้ าผ่าอยู่ ชาวนาสองพี
ี วถูกสายฟ้ าฟาด ในทีใกล ้โรงกระเดือง ลําดับนัน หมู่
น ้องและโคพลิพัทสตั
มหาชนในเมืองอาตุมา พากันออกมา แล ้วเข ้าไปหาชาวนาสองพีน ้องนัน
ี ว
และโคพลิพัทสตั ึ กสายฟ้ าฟาด
ซงถู สมัยนันเราออกจากโรงกระเดือง
จงกรมอยูใ่ นทีแจ ้งใกล ้ประตูโรงกระเดือง ครังนั น บุรษ
ุ คนหนึง ออกมาจาก
หมูม
่ หาชนนัน เข ้ามาหาเราครันเข ้ามาหาแล ้ว อภิวาทเราแล ้วยืนอยู่ ณ ที
Page | 67

ควรสว่ นข ้างหนึงเราได ้กล่าวกะบุรษ


ุ นั นว่า ดูกรท่านผู ้มีอายุ หมูม
่ หาชนนัน
ประชุมกันทําไมหนอ ฯ
บ. ข ้าแต่ทา่ นผู ้เจริญ เมือกีนี เมือฝนกําลังตก ตกอย่างหนัก ฟ้ า
ลันอยูฟ ี วถูกสายฟ้ าฟาด หมู่
่ ้ าผ่าอยู่ ชาวนาสองพีน ้อง และโคพลิพัทสตั
มหาชนประชุมกัน เพราะเหตุนี ก็ทา่ นอยูใ่ นทีไหนเล่า ฯ
เราอยูใ่ นทีนีเอง ฯ
ก็ทา่ นไม่เห็นหรือ ฯ
เราไม่ได ้เห็น ฯ
ี งหรือ ฯ
ก็ทา่ นไม่ได ้ยินเสย
เราไม่ได ้ยิน ฯ
ก็ทา่ นหลับหรือ ฯ
เราไม่ได ้หลับ ฯ
ั ญาหรือ ฯ
ก็ทา่ นยังมีสญ
อย่างนัน ท่านผู ้มีอายุ ฯ
ั ญาตืนอยู่ เมือฝนกําลังตก ตกอย่างหนั ก ฟ้ าลันอยู่
ก็ทา่ นยังมีสญ
ี งหรือ ฯ
ฟ้ าผ่าอยู่ ไม่ได ้เห็น และ ไม่ได ้ยินเสย
อย่างนัน ท่านผู ้มีอายุ ฯ
ดูกรปุกกุสะ ลําดับนั น บุรษ
ุ นั นได ้มีความคิดอย่างนีว่า น่าอัศจรรย์
ิ ย่อมอยูด
หนอเหตุไม่เคยมีมามีแล ้ว พวกบรรพชต ่ ้วยวิหารธรรมอันสงบหนอ
ั ญาตืนอยู่
ดังทีท่านผู ้ยังมีสญ เมือฝนกําลังตก ตกอย่างหนัก ฟ้ าลันอยู่
ี งบุรษ
ฟ้ าผ่าอยู่ ไม่ได ้เห็น และไม่ได ้ยินเสย ุ นั นประกาศความเลือมใสอย่าง
ยิงในเรา กระทําประทักษิณแล ้วหลีกไป ฯ
Page | 68

เมือพระผู ้มีพระภาคตรัสอย่างนีแล ้ว ปุกกุสมัลลบุตรได ้กราบทูล


พระผู ้มีพระภาคว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ข ้าพระองค์โปรยความเลือมใสใน
ี ในแม่นํามีกระแสอัน
อาฬารดาบสกาลามโคตร ลงในพายุใหญ่ หรือลอยเสย
ี ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ภาษิ ตของพระองค์แจ่มแจ ้งนัก ข ้าแต่พระองค์
เชยว
ผู ้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที
่ งประทีปในทีมืดด ้วยคิด
ควํา เปิ ดของทีปิ ด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือสอ
ว่า ผู ้มีจักษุ จักเห็นรูป ดังนีฉั นใด พระผู ้มีพระภาคทรงประกาศพระธรรมโดย
อเนกปริยาย ฉั นนั นเหมือนกันข ้าพระองค์นขอถึ
ี งพระผู ้มีพระภาคพระธรรม
และพระภิกษุ สงฆ์วา่ เป็ นสรณะ ขอ
พระผู ้มีพระภาคจงทรงจําข ้าพระองค์วา่ เป็ นอุบาสก ผู ้ถึงสรณะตลอดชวี ต

ตังแต่วันนีเป็ นต ้นไป ฯ
ลําดับนัน ปุกกุสมัลลบุตรสังบุรษ
ุ คนหนึงว่า ดูกรพนาย ท่านจง
ชว่ ยนํ าคูผ ี ังทองสงิ คี ซงเป็
่ ้าเนือละเอียดมีสด ึ นผ ้าทรงของเรามา บุรษ
ุ นั น
รับคําปุกกุสมัลลบุตรแล ้ว นํ าคูผ ี ังทองสงิ คี ซงเป็
่ ้าเนือละเอียดมีสด ึ นผ ้าทรง
ของเขามาแล ้ว ปุกกุสมัลลบุตร จึงน ้อมคูผ ี ังทองสงิ คี ซงึ
่ ้าเนือละเอียดมีสด
เป็ นผ ้าทรงนัน เข ้าไปถวายแด่พระผู ้มีพระภาคว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ คู่
ี ังทองสงิ คีนีเป็ นผ ้าทรง
ผ ้าเนือละเอียดมีสด ขอพระผู ้มีพระภาคจงอาศัย
ความอนุเคราะห์ ทรงรับคูผ
่ ้านั นของข ้าพระองค์เถิด พระผู ้มีพระภาคตรัสว่า
่ นันท่านจงให ้เราครองผืนหนึง ให ้อานนท์ครองผืนหนึง
ดูกรปุกกุสะ ถ ้าเชน
ปุกกุสมัลลบุตรรับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว ยังพระผู ้มีพระภาคให ้
ทรงครองผืนหนึง ให ้ท่านพระอานนท์ครองผืนหนึง
Page | 69

พระผู ้มีพระภาคทรงยังปุกกุสมัลลบุตรให ้เห็นแจ ้ง ให ้สมาทาน ให ้อาจหาญ


ให ้รืนเริงด ้วยธรรมีกถาแล ้ว ปุกกุสมัลลบุตร อันพระผู ้มีพระภาคทรงให ้เห็น
แจ ้งให ้สมาทาน ให ้อาจหาญ ให ้รืนเริง ด ้วยธรรมีกถาแล ้วลุกจากอาสนะ
ถวายบังคมพระผู ้มีพระภาค กระทําประทักษิณแล ้วหลีกไป ฯ

[๑๒๒] ครังนั น ท่านพระอานนท์ เมือปุกกุสมัลลบุตรหลีกไปแล ้ว


ไม่นาน ได ้น ้อมคูผ ี ังทองสงิ คี ซงเป็
่ ้าเนือละเอียดมีสด ึ นผ ้าทรงนันเข ้าไปสู่
พระกายของพระผู ้มีพระภาค ่ ระกาย
ผ ้าทีท่านพระอานนท์น ้อมเข ้าไปสูพ
ของพระผู ้มีพระภาคนัน ย่อมปรากฏดังถ่านไฟทีปราศจากเปลวฉะนั น ท่าน
พระอานนท์ได ้กราบทูลพระผู ้มีพระภาคว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ น่า
อัศจรรย์ เหตุไม่เคยมีมามีแล ้วพระฉวีวรรณของพระตถาคตบริสท
ุ ธิผุดผ่อง
ยิงนั ก คูผ ี ังทองสงิ คีซงเป็
่ ้าเนือละเอียดมีสด ึ นผ ้าทรงนี ข ้าพระองค์น ้อมเข ้า
่ ระกายของพระผู ้มีพระภาค ย่อมปรากฏดังถ่านไฟทีปราศจากเปลว ฯ
ไปสูพ
พระผู ้มีพระภาคตรัสว่า ข ้อนีเป็ นอย่างนัน อานนท์ ในกาลทังสอง
กายของตถาคตย่อมบริสท
ุ ธิ ฉวีวรรณผุดผ่องยิงนัก ในกาลทังสองเป็ นไฉน
คือในราตรีทตถาคตตรั
ี ั มาสม
สรู ้อนุตตรสม ั โพธิญาณ ๑ ในราตรีทตถาคต

ปรินพ
ิ พานด ้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑ ในกาลทังสองนีแล กายของ
ตถาคตย่อมบริสท
ุ ธิฉวีวรรณผุดผ่องยิงนั ก ดูกรอานนท์ ในปั จฉิมยามแห่ง
ราตรีวันนีแล ความปรินพ
ิ พานของตถาคตจักมีในระหว่างไม ้สาละทังคู่ ใน
สาลวันอันเป็ นทีแวะพักของมัลลกษั ตริยท ิ ารา มาไป
์ ังหลาย ในเมืองกุสน
กันเถิด อานนท์ เราจักไปยังแม่นํากกุธานที ท่านพระอานนท์ทล
ู รับพระ
ดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว ฯ
Page | 70

[๑๒๓] ี ังทองสงิ คีเข ้าไปถวาย


ปุกกุสะนํ าผ ้าเนือละเอียดมีสด
พระศาสดาทรงครองคูผ
่ ้านั นแล ้ว มีพระวรรณดังทอง งดงามแล ้ว ฯ

[๑๒๔] ครังนั น พระผู ้มีพระภาคพร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์หมูใ่ หญ่


่ ม่นํากกุธานที ทรงสรงแล ้ว
เสด็จไปยังแม่นํากกุธานที ครันแล ้วเสด็จลงสูแ
เสวยแล ้ว เสด็จขึน เสด็จไปยังอัมพวัน ตรัสเรียกท่านพระจุนทกะมารับสังว่า
ดูกรจุนทกะ เธอจงชว่ ยปูผ ้าสังฆาฏิซอนกั
้ ี นให
นเป็ นสช ั ้เรา เราเหน็ ดเหนือย
นัก จักนอนพัก ท่านพระจุนทกะทูลรับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว ปู
ผ ้าสังฆาฏิซอนกั
้ ี น
นเป็ นสช ั ลําดับนั น พระผู ้มีพระภาคทรงสําเร็จสห
ี ไสยา
โดยพระปรัสเบืองขวา ้
ทรงซอนพระบาทเหลื
อมพระบาทมีพระ
ั ปชญ
สติสม ั ญะ ทรงมนสก
ิ ารอุฏฐานสัญญา สว่ นท่านพระจุนทกะนั งเฝ้ าอยู่
เบืองพระพักตร์ของพระผู ้มีพระภาคในทีนันแหละ ฯ

[๑๒๕] พระพุทธเจ ้าผู ้ศาสดา ผู ้พระตถาคต หาผู ้เปรียบมิได ้


ในโลก ทรงเหน็ดเหนือย เสด็จถึงแม่นํากกุธานที มีนําใส จืด สะอาด
เสด็จลงแล ้วทรงสรงและเสวยนํ าแล ้วอันหมูภ
่ ก
ิ ษุ แวดล ้อม
เสด็จไปในท่ามกลาง พระผู ้มีพระภาคผู ้ศาสดาทรงแสวงหาคุณ
อันยิงใหญ่ ทรงเป็ นไปในธรรมนีเสด็จถึงอัมพวันแล ้ว รับสัง
กะภิกษุ นามว่าจุนทกะว่า เธอจงชว่ ยปูผ ้าสังฆาฏิซอนกั
้ นเป็ น
ี นให
สช ั ้เรา เราจะนอน พระจุนทกะนั น อันพระผู ้มีพระภาคผู ้
อบรม พระองค์ทรงเตือนแล ้ว รีบปูผ ้าสังฆาฏิพับเป็ นสช
ี น

Page | 71

ถวาย พระศาสดาทรงบรรทมแล ้ว หายเหน็ดเหนือย ฝ่ าย


พระจุนทกะนั งเฝ้ าอยูเ่ ฉพาะพระพักตร์ในทีนัน ฯ

[๑๒๖] ครังนั น พระผู ้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มา


ั าดูกรอานนท์
รับสงว่ บางทีใครๆ จะทําความร ้อนใจให ้เกิดแก่นายจุนท
่ าภของท่าน ท่านได ้ไม่ดแ
กัมมารบุตรว่าดูกรนายจุนทะ มิใชล ี ล ้ว ทีพระ
ตถาคตเสวยบิณฑบาตของท่านเป็ นครังสุดท ้ายเสด็จปรินพ
ิ พานแล ้ว ดังนี
เธอพึงชว่ ยบรรเทาความร ้อนใจของนายจุนทกัมมารบุตรเสย
ี อย่างนีว่า ดูกร
นายจุนทะ เป็ นลาภของท่าน ท่านได ้ดีแล ้ว ทีพระตถาคตเสวยบิณฑบาต
ของท่านเป็ นครังสุดท ้าย เสด็จปรินพ
ิ พานแล ้ว เรืองนีเราได ้ฟั งมา ได ้รับมา
เฉพาะพระพักตร์พระผู ้มีพระภาคว่า บิณฑบาตสองคราวนี มีผลเสมอๆ กัน มี
วิบากเสมอๆ กัน มีผลใหญ่กว่า มีอานิสงสใ์ หญ่กว่าบิณฑบาตอืนๆ ยิงนัก
บิณฑบาตสองคราวเป็ นไฉน คือ ตถาคตเสวยบิณฑบาตใดแล ้ว ตรัสรู ้
ั มาสม
อนุตตรสม ั โพธิญาณ อย่างหนึง ตถาคตเสวยบิณฑบาตใดแล ้ว เสด็จ
ปรินพ
ิ พานด ้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุอย่างหนึง บิณฑบาตสองคราวนี มี
ิ ากเสมอๆ กัน มีผลใหญ่กว่า มีอานิสงสใ์ หญ่กว่า
ผลเสมอๆ กัน มีวบ
บิณฑบาตอืนๆ ยิงนัก กรรมทีนายจุนทกัมมารบุตรก่อสร ้างแล ้ว เป็ นไปเพือ
อายุ ... เป็ นไปเพือวรรณะ ... เป็ นไปเพือความสุข ... เป็ นไปเพือยศ ...
เป็ นไปเพือสวรรค์ ... เป็ นไปเพือความเป็ นใหญ่ยงิ ดูกรอานนท์ เธอพึงชว่ ย
ี ด ้วยประการฉะนี ฯ
บรรเทาความร ้อนใจของนายจุนทกัมมารบุตร เสย
ลําดับนัน พระผู ้มีพระภาคทรงทราบความนั นแล ้ว ทรงเปล่งพระ
อุทานนีในเวลานั นว่า
Page | 72

[๑๒๗] บุญย่อมเจริญแก่ผู ้ให ้ ่ แก่ผู ้สํารวมอยู่


เวรย่อมไม่กอ
คนฉลาดเทียว ย่อมละกรรมอันลามก เขาดับแล ้วเพราะราคะ โทสะ โมหะ

สนไป ฯ
จบภาณวารทีส ี ฯ

[๑๒๘] ครังนัน พระผู ้มีพระภาคสังกะท่านพระอานนท์วา่ ดูกร


อานนท์มาไปกันเถิด ิ ารา
เราจักไปยังฝั งโน ้นแห่งแม่นําหิรัญวดีเมืองกุสน
และสาลวันอันเป็ นทีแวะพักแห่งพวกเจ ้ามัลละ ท่านพระอานนท์ทล
ู รับพระ
ดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว ลําดับนั นพระผู ้มีพระภาคพร ้อมด ้วยภิกษุ
ิ ารา และสาล
สงฆ์หมูใ่ หญ่ เสด็จไปยังฝั งโน ้นแห่งแม่นําหิรัญวดี เมืองกุสน

วันอันเป็ นทีแวะพักแห่งพวกเจ ้ามัลละ ครันแล ้วรับสงกะท่
านพระอานนท์วา่
ดูกรอานนท์ เธอจงชว่ ยตังเตียงให ้เรา หันศรี ษะไปทางทิศอุดร ระหว่างไม ้
สาละทังคู่ เราเหน็ ดเหนือยแล ้ว จักนอน ท่านพระอานนท์ทล
ู รับพระดํารัส
ของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว ี รไปทางทิศอุดรระหว่างไม ้
ตังเตียงหันพระเศย
สาละทังคู่ พระผู ้มีพระภาคทรงสําเร็จสห
ี ไสยาโดยพระปรัสเบืองขวา ทรง

ซอนพระบาทเหลื ั ปชญ
อมพระบาท มีพระสติสม ั ญะ ฯ

[๑๒๙] สมัยนั น ไม ้สาละทังคู่ เผล็ดดอกสะพรังนอกฤดูกาล


ดอกไม ้เหล่านันร่วงหล่นโปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคตเพือบูชา
แม ้ดอกมณฑารพอันเป็ นของทิพย์ก็ตกลงมาจากอากาศ ดอกมณฑารพ
เหล่านั น ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคตเพือบูชา แม ้จุณ
แห่งจันทน์อันเป็ นของทิพย์ ก็ตกลงมาจากอากาศ จุณแห่งจันทน์เหล่านั น
Page | 73

ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคตเพือบูชา ดนตรีอันเป็ น
ทิพย์เล่าก็ประโคมอยูใ่ นอากาศ เพือบูชาพระตถาคต แม ้สงั คีตอันเป็ นทิพย์
ก็เป็ นไปในอากาศ เพือบูชาพระตถาคต ฯ
ครังนัน พระผู ้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสังว่า
ดูกรอานนท์ไม ้สาละทังคู่ เผล็ดดอกบานสะพรังนอกฤดูกาล ร่วงหล่นโปรย
ปรายลงยังสรีระของตถาคตเพือบูชา แม ้ดอกมณฑารพอันเป็ นของทิพย์ ก็
ตกลงมาจากอากาศ ดอกมณฑารพเหล่านั น ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังสรีระ
ของตถาคตเพือบูชา แม ้จุณแห่งจันทน์อันเป็ นของทิพย์ ก็ตกลงมาจาก
อากาศ จุณแห่งจันทน์เหล่านัน ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังสรีระของตถาคต
เพือบูชา ดนตรีอันเป็ นทิพย์เล่าก็ประโคมอยูใ่ นอากาศ เพือบูชาตถาคต แม ้
สงั คีตอันเป็ นทิพย์ก็เป็ นไปในอากาศเพือบูชาตถาคตดูกรอานนท์ ตถาคต
ื าอันบริษัทสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน ้อมด ้วยเครืองสักการะ
จะชอว่
ิ าก็
ประมาณเท่านีหามิได ้ ผู ้ใดแล จะเป็ นภิกษุ ภิกษุ ณี อุบาสกหรืออุบาสก
ตาม เป็ นผู ้ปฏิบัตธิ รรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัตช
ิ อบ ปฏิบัตต
ิ ามธรรมอยู่ ผู ้นั น
ื าสก
ย่อมชอว่ ั การะ เคารพ นับถือ บูชาตถาคตด ้วยการบูชาอย่างยอดเพราะ
เหตุนันแหละอานนท์ พวกเธอพึงสําเหนียกอย่างนีว่า เราจักเป็ นผู ้ปฏิบัต ิ
ธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัตช
ิ อบ ประพฤติตามธรรมอยู่ ดังนี ฯ

[๑๓๐] สมัยนัน ท่านพระอุปวาณะยืนถวายงานพัดพระผู ้มีพระ


ภาคเฉพาะพระพักตร์ ครังนั น พระผู ้มีพระภาคทรงขับท่านพระอุปวาณะว่า
ดูกรภิกษุ เธอจงหลีกไป อย่ายืนตรงหน ้าเรา ท่านพระอานนท์ได ้มีความดําริ
ิ พระผู ้มีพระภาคมาชานาน
ว่า ท่านอุปวาณะรูปนีเป็ นอุปัฏฐากอยูใ่ กล ้ชด ้ ก็
Page | 74

่ นัน
และเมือเป็ นเชน ในกาลครังสุดท ้าย พระผู ้มีพระภาคทรงขับท่านอุป
วาณะว่า ดูกรภิกษุ เธอจงหลีกไปอย่ายืนตรงหน ้าเรา ดังนี อะไรหนอเป็ น
เหตุ อะไรหนอเป็ นปั จจัย ให ้พระผู ้มีพระภาคทรงขับท่านอุปวาณะว่า ดูกร
ภิกษุ เธอจงหลีกไป อย่ายืนตรงหน ้าเราลําดับนั น ท่านพระอานนท์ได ้กราบ
ทูลพระผู ้มีพระภาคว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญท่านอุปวาณะรูปนี เป็ น
ิ พระผู ้มีพระภาคมาชานาน
อุปัฏฐากอยูใ่ กล ้ชด ้ ่ นัน
ก็แลเมือเป็ นเชน ใน
กาลครังสุดท ้าย พระผู ้มีพระภาคยังทรงขับท่านอุปวาณะว่า ดูกรภิกษุ เธอ
จงหลีกไป อย่ายืนตรงหน ้าเรา ดังนี อะไรหนอเป็ นเหตุ อะไรหนอเป็ นปั จจัย
ให ้พระผู ้มีพระภาคทรงขับท่านอุปวาณะว่า ดูกรภิกษุ เธอจงหลีกไปอย่ายืน
ตรงหน ้าเรา ฯ
พระผู ้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอานนท์ เทวดาในหมืนโลกธาตุ
ิ ารา สาลวัน อันเป็ นที
มาประชุมกันโดยมาก เพือจะเห็นตถาคต เมืองกุสน
แวะพักแห่งพวกเจ ้ามัลละเพียงเท่าใด โดยรอบถึง ๑๒ โยชน์ ตลอดทีเพียง
เท่านี จะหาประเทศแม ้มาตรว่าเป็ นทีจรดลงแห่งปลายขนทราย อันเทวดาผู ้
มีศักดิใหญ่ไม่ถก
ู ต ้องแล ้วมิได ้มี พวกเทวดายกโทษอยูว่ ่า พวกเรามาแต่ท ี
ั มาสม
ไกลเพือจะเห็นพระตถาคตพระตถาคตอรหันตสม ั พุทธเจ ้า จะเสด็จ
อุบัตใิ นโลก ในบางครังบางคราว ในปั จฉิมยามแห่งราตรีในวันนีแหละ พระ
ตถาคตจักปรินพ ิ ษุ ผู ้มีศักดิใหญ่รป
ิ พาน ก็ภก ู นี ยืนบังอยูเ่ บืองพระพักตร์พระ
ผู ้มีพระภาค พวกเราไม่ได ้เห็นพระตถาคตในกาลเป็ นครังสุดท ้าย ฯ
อ. ข ้าแต่องค์ผู ้เจริญ ก็พวกเทวดาเป็ นอย่างไร กระทําไว ้ในใจ
เป็ นไฉน ฯ
Page | 75

มีอยู่ อานนท์ เทวดาบางพวกสําคัญอากาศว่าเป็ นแผ่นดิน สยาย


ผมประคองแขนทังสองครําครวญอยู่ ล ้มลงกลิงเกลือกไปมา ดุจมีเท ้าอัน
ขาดแล ้วรําพันว่า พระผู ้มีพระภาคจะเสด็จปรินพ ี เร็วนัก พระองค์ผู ้มี
ิ พานเสย
พระจักษุ ในโลก ี เร็วนั ก
จักอันตรธานเสย ดังนี เทวดาบางพวกสําคัญ
แผ่นดินว่าเป็ นแผ่นดินสยายผมประคองแขนทังสองครําครวญอยู่ ล ้มลง
กลิงเกลือกไปมา ดุจมีเท ้าอันขาดแล ้ว รําพันว่า พระผู ้มีพระภาคจักเสด็จ
ปรินพ ี เร็วนั ก พระสุคตจักเสด็จปรินพ
ิ พานเสย ี เร็วนัก พระองค์ผู ้มี
ิ พานเสย
ี เร็วนัก ดังนีสว่ นเทวดาพวกทีปราศจาก
พระจักษุ ในโลก จักอันตรธานเสย
ั ปชญ
ราคะแล ้ว มีสติสม ั ญะ อดกลัน โดยธรรมสังเวชว่า สงั ขารทังหลายไม่
เทียง เพราะฉะนัน เหล่าสัตว์จะพึงได ้ในสงั ขารนีแต่ทไหน
ี ฯ

[๑๓๑] ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ เมือก่อน พวกภิกษุ ผู ้อยู่จําพรรษา


ในทิศทังหลายย่อมมาเพือเฝ้ าพระตถาคต พวกข ้าพระองค์ยอ
่ มได ้เห็น ได ้
เข ้าไปนั งใกล ้ภิกษุ เหล่านันผู ้ให ้เจริญใจ ก็โดยกาลล่วงไปแห่งพระผู ้มีพระ
ภาค พวกข ้าพระองค์จักไม่ได ้เห็น ไม่ได ้เข ้าไปนั งใกล ้ พวกภิกษุ ผู ้ให ้เจริญ
ใจ ฯ
ดูกรอานนท์ สงั เวชนียสถาน ๔ แห่งเหล่านี เป็ นทีควรเห็นของ
กุลบุตรผู ้มีศรัทธา สงั เวชนียสถาน ๔ แห่ง เป็ นไฉน คือ
๑. สังเวชนียสถานอันเป็ นทีควรเห็นของกุลบุตรผู ้มีศรัทธาด ้วย
มาตามระลึกว่า พระตถาคตประสูตใิ นทีนี ฯ
๒. สงั เวชนียสถานอันเป็ นทีควรเห็นของกุลบุตรผู ้มีศรัทธาด ้วย
ั มาสม
มาตามระลึกว่า พระตถาคตตรัสรู ้พระอนุตตรสม ั โพธิญาณในทีนี ฯ
Page | 76

๓. สงั เวชนียสถานอันเป็ นทีควรเห็นของกุลบุตรผู ้มีศรัทธาด ้วย


มาตามระลึกว่า พระตถาคตทรงยังอนุตตรธรรมจักรให ้เป็ นไปในทีนี ฯ
๔. สังเวชนียสถานอันเป็ นทีควรเห็นของกุลบุตรผู ้มีศรัทธาด ้วย
มาตามระลึกว่า พระตถาคตเสด็จปรินพ
ิ พานแล ้วด ้วยอนุปาทิเสสนิพพาน
ธาตุ ในทีนีสังเวชนียสถาน ๔ แห่งนีแล เป็ นทีควรเห็นของกุลบุตรผู ้มี
ศรัทธา ฯ
ิ า จักมาด ้วยความเชอ
ดูกรอานนท์ ภิกษุ ภิกษุ ณี อุบาสก อุบาสก ื
ว่าพระตถาคตประสูตใิ นทีนีก็ด ี ั มาสม
พระตถาคตตรัสรู ้พระอนุตตรสม ั โพธิ
ญาณในทีนีก็ด ี พระตถาคตทรงยังอนุตรธรรมจักรให ้เป็ นไปในทีนีก็ด ี พระ
ตถาคตเสด็จปรินพ
ิ พานแล ้วด ้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในทีนีก็ด ี ก็ชน
เหล่าใดเหล่าหนึง เทียวจาริกไปยังเจดีย ์ มีจต
ิ เลือมใสแล ้ว จักทํากาละลง
ชนเหล่านั นทังหมดเบืองหน ้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข ้าถึงสุคติโลก
สวรรค์ ฯ

[๑๓๒] ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ พวกข ้าพระองค์จะพึงปฏิบัตใิ น


มาตุคามอย่างไร ฯ
การไม่เห็น อานนท์ ฯ
ข ้าแต่พระผู ้มีพระภาค เมือการเห็นมีอยู่ จะพึงปฏิบัตอ
ิ ย่างไร ฯ
การไม่เจรจา อานนท์ ฯ
ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ เมือต ้องเจรจา จะพึงปฏิบัตอ
ิ ย่างไร ฯ
พึงตังสติไว ้ อานนท์ ฯ
[๑๓๓] ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ พวกข ้าพระองค์ จะพึงปฏิบัตใิ น
Page | 77

พระสรีระของพระตถาคตอย่างไร ฯ
ดูกรอานนท์ พวกเธอจงอย่าขวนขวาย เพือบูชาสรีระตถาคตเลย
ื ต่อพยายามในประโยชน์ของตนๆ
จงสบ เถิด จงเป็ นผู ้ไม่ประมาทใน
ประโยชน์ของตนๆ มีความเพียร มีตนอันสง่ ไปแล ้วอยูเ่ ถิด กษั ตริยผ
์ ู ้เป็ น
บัณฑิตก็ด ี พราหมณ์ผู ้เป็ นบัณฑิตก็ด ี คฤหบดีผู ้เป็ นบัณฑิตก็ด ี ผู ้เลือมใสยิง
ในตถาคตมีอยู่ เขาทังหลายจักกระทําการบูชาสรีระตถาคต ฯ
ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ก็เขาทังหลาย จะพึงปฏิบัตใิ นพระสรีระ
ของตถาคตอย่างไร ฯ
ดูกรอานนท์ พึงปฏิบัตใิ นสรีระตถาคต เหมือนทีเขาปฏิบัตใิ นพระ
สรีระพระเจ ้าจักรพรรดิ ฯ
ข ้าแด่พระองค์ผู ้เจริญ ก็เขาปฏิบัตใิ นพระสรีระพระเจ ้าจักรพรรดิ
อย่างไร ฯ
ดูกรอานนท์ เขาห่อพระสรีระพระเจ ้าจักรพรรดิด ้วยผ ้าใหม่แล ้ว
ั ด ้วยสําลีแล ้วห่อด ้วยผ ้าใหม่ โดยอุบายนี ห่อพระสรีระพระจักรพรรดิด ้วย
ซบ
ิ พระสรีระลงในรางเหล็กอันเต็มด ้วยนํ ามัน ครอบด ้วย
ผ ้า ๕๐๐ คู่ แล ้วเชญ
รางเหล็กอืน แล ้วกระทําจิตกาธารด ้วยไม ้หอมล ้วน ถวายพระเพลิงพระสรีระ
พระเจ ้าจักรพรรดิ สร ้างสถูปของพระเจ ้าจักรพรรดิไว ้ทีหนทางใหญ่ ๔
แพร่ง เขาปฏิบัตใิ นพระสรีระพระเจ ้าจักรพรรดิ ด ้วยประการฉะนีแล พวก
กษั ตริยผ
์ ู ้เป็ นบัณฑิตเป็ นต ้น พึงปฏิบัตใิ นสรีระตถาคตเหมือนทีเขาปฏิบัต ิ
พระสรีระพระเจ ้าจักรพรรดิ พึงสร ้างสถูปของตถาคตไว ้ทีหนทางใหญ่ ๔

แพร่ง ชนเหล่าใดจักยกขึนซงมาลั ยของหอมหรือจุณจักอภิวาท หรือจักยัง
Page | 78

่ นั น จักเป็ นไปเพือประโยชน์เกือกูล
จิตให ้เลือมใสในสถูปนั น การกระทําเชน

เพือความสุข แก่ชนเหล่านั นสนกาลนาน ฯ

[๑๓๔] ดูกรอานนท์ ถูปารหบุคคล ๔ จําพวก ถูปารหบุคคล ๔


ั มาสม
จําพวกเป็ นไฉน คือ พระตถาคตอรหันตสม ั พุทธเจ ้า เป็ นถูปารหบุคคล
ั พุทธเจ ้า เป็ นถูปารหบุคคลจําพวกหนึง สาวก
จําพวกหนึง พระปั จเจกสม
ของพระตถาคตเป็ นถูปารหบุคคลจําพวกหนึง พระเจ ้าจักรพรรดิ เป็ นถูปารห
บุคคลจําพวกหนึง ฯ
ดูกรอานนท์ เพราะอาศัยอํานาจประโยชน์อะไร พระตถาคต
ั มาสม
อรหันตสม ั พุทธเจ ้าจึงเป็ นถูปารหบุคคล ชนเป็ นอันมาก ยังจิตให ้
เลือมใสว่า ั มาสม
นีเป็ นสถูปของพระผู ้มีพระภาคอรหันตสม ั พุทธเจ ้า
พระองค์นัน พวกเขายังจิตให ้เลือมใสในสถูปนั นแล ้ว เบืองหน ้าแต่ตาย
เพราะกายแตก ย่อมเข ้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะอาศัยอํานาจประโยชน์ข ้อ
ั มาสม
นีแล พระตถาคตอรหันตสม ั พุทธเจ ้าจึงเป็ นถูปารหบุคคล ฯ
ดูกรอานนท์ เพราะอาศัยอํานาจประโยชน์อะไร พระปั จเจกสม

พุทธเจ ้าจึงเป็ นถูปารหบุคคล ชนเป็ นอันมากยังจิตให ้เลือมใสว่า นีเป็ นสถูป
ั พุทธเจ ้านัน
ของพระปั จเจกสม พวกเขายังจิตให ้เลือมใสในสถูปนั นแล ้ว
เบืองหน ้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข ้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะอาศัย
อํานาจประโยชน์ข ้อนีแล พระปั จเจกสัมพุทธเจ ้าจึงเป็ นถูปารหบุคคล ฯ
ดูกรอานนท์ เพราะอาศัยอํานาจประโยชน์อะไร สาวกของพระ
ตถาคตจึงเป็ นถูปารหบุคคล ชนเป็ นอันมากยังจิตให ้เลือมใสว่า นีเป็ นสถูป
ั มาสม
ของสาวกของพระผู ้มีพระภาคอรหันตสม ั พุทธเจ ้าพระองค์นัน พวก
Page | 79

เขายังจิตให ้เลือมใสในสถูปนั นแล ้ว เบืองหน ้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อม


เข ้าถึงสุคติโลกสวรรค์เพราะอาศัยอํานาจประโยชน์ข ้อนีแล สาวกของพระ
ตถาคตจึงเป็ นถูปารหบุคคล ฯ
ดูกรอานนท์ เพราะอาศัยอํานาจประโยชน์อะไร พระเจ ้าจักรพรรดิ
จึงเป็ นถูปารหบุคคล ชนเป็ นอันมากยังจิตให ้เลือมใสว่า นีเป็ นสถูปของพระ
ธรรมราชาผู ้ทรงธรรมนัน พวกเขายังจิตให ้เลือมใสในสถูปนั นแล ้ว เบือง
หน ้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข ้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะอาศัยอํานาจ
ประโยชน์ข ้อนีแลพระเจ ้าจักรพรรดิจงึ เป็ นถูปารหบุคคล ดูกรอานนท์ ถู
ปารหบุคคล ๔ จําพวกนีแล ฯ

[๑๓๕] ครังนั น ท่านพระอานนท์เข ้าไปสูว่ ห


ิ ารยืนเหนียวไม ้คัน
ทวยร ้องไห ้อยูว่ า่ เรายังเป็ นเสขบุคคลมีกจิ ทีจะต ้องทําอยู่ แต่พระศาสดา
ึ นผู ้อนุเคราะห์เรา ก็จักปรินพ
ของเรา ซงเป็ ี ลําดับนั น พระผู ้มีพระ
ิ พานเสย

ภาครับสงถามพวกภิ
กษุ วา่ ดูกรภิกษุ ทังหลาย อานนท์ไปไหน พวกภิกษุ
กราบทูลว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ท่านอานนท์นัน เข ้าไปสูว่ ห
ิ ารยืนเหนียว
ไม ้คันทวยร ้องไห ้อยูว่ า่ เรายังเป็ นเสขบุคคล มีกจิ ทีจะต ้องทําอยู่ แต่พระ
ึ นผู ้อนุเคราะห์เรา ก็จักปรินพ
ศาสดาของเรา ซงเป็ ี พระผู ้มีพระภาค
ิ พานเสย

จึงรับสงกะภิ
กษุ รป
ู หนึงว่าเธอจงไปเถิดภิกษุ จงบอกอานนท์ตามคําของเรา

ว่า ท่านอานนท์ พระศาสดารับสงหาท่
าน ภิกษุ นันทูลรับพระดํารัสของพระ
ผู ้มีพระภาคแล ้ว เข ้าไปหาท่านพระอานนท์ถงึ ทีใกล ้ ครันเข ้าไปหาแล ้วบอก
ว่า ท่านอานนท์ พระศาสดารับสังหาท่าน ท่านพระอานนท์รับคําภิกษุ นัน
Page | 80

แล ้ว เข ้าไปเฝ้ าพระผู ้มีพระภาคถึงทีประทับ ครันเข ้าไปเฝ้ าแล ้ว ถวายบังคม


พระผู ้มีพระภาค แล ้วนั ง ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง ฯ
ครันท่านพระอานนท์นังเรียบร ้อยแล ้ว พระผู ้มีพระภาครับสังกะ
ท่านว่าอย่าเลย อานนท์ เธออย่าเศร ้าโศก รําไรไปเลย เราได ้บอกไว ้ก่อน
่ รือว่า ความเป็ นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็ นอย่างอืนจาก
แล ้วไม่ใชห
ิ ้องมี เพราะฉะนั น จะพึงได ้ในของรักของชอบใจ
ของรักของชอบใจทังสนต
นีแต่ทไหน
ี ิ
สงใดเกิ
ดแล ้ว มีแล ้ว ปั จจัยปรุงแต่งแล ้ว มีความทําลายเป็ น
ิ นอย่าทําลายไปเลย ดังนี มิใชฐ
ธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสงนั ่ านะทีจะมี
ได ้ ดูกรอานนท์ เธอได ้อุปัฏฐากตถาคตด ้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
ึ นประโยชน์เกือกูล เป็ นความสุข ไม่มส
อันประกอบด ้วยเมตตา ซงเป็ ี อง หา

ประมาณมิได ้มาชานาน เธอได ้กระทําบุญไว ้แล ้ว อานนท์ จงประกอบความ
เพียรเถิด เธอจักเป็ นผู ้ไม่มอ
ี าสวะโดยฉับพลัน ฯ
ลําดับนัน พระผู ้มีพระภาครับสังกะภิกษุ ทังหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทังหลาย
ั มาสัมพุทธเจ ้าทังหลายใด ได ้มีแล ้วในอดีตกาล ภิกษุ ผู ้เป็ น
พระอรหันตสม
อุปัฏฐากของพระผู ้มีพระภาคทังหลายนันอย่างยิง ก็เพียงนีเท่านั น คือ
เหมือนอานนท์ของเรา พระอรหันตสัมมาสม
ั พุทธเจ ้าทังหลายใด จักมีใน
อนาคตกาลภิกษุ ผู ้เป็ นอุปัฏฐากของพระผู ้มีพระภาคทังหลายนั น อย่างยิงก็
เพียงนีเท่านั น คือเหมือนอานนท์ของเรา อานนท์เป็ นบัณฑิต ย่อมรู ้ว่า นี
เป็ นกาลเพือจะเข ้าเฝ้ าพระตถาคต นีเป็ นกาลของพวกภิกษุ นีเป็ นกาลของ
ิ า นีเป็ น
พวกภิกษุ ณี นีเป็ นกาลของพวกอุบาสก นีเป็ นกาลของพวกอุบาสก
Page | 81

กาลของพระราชา นีเป็ นกาลของราชมหาอํามาตย์ นีเป็ นกาลของพวก


เดียรถีย ์ นีเป็ นกาลของพวกสาวกเดียรถีย ์ ฯ

[๑๓๖] ดูกรภิกษุ ทังหลาย อัพภูตธรรมอันน่าอัศจรรย์ ๔ ประการ


นี มีอยูใ่ นอานนท์ อัพภูตธรรม ๔ ประการ เป็ นไฉน ดูกรภิกษุ ทังหลาย ถ ้า
ภิกษุ บริษัทเข ้าไปเพือจะเห็นอานนท์ ด ้วยการทีได ้เห็น ภิกษุ บริษัทนั นย่อม
ยินดี ถ ้าอานนท์แสดงธรรมในภิกษุ บริษัทนั น แม ้ด ้วยการแสดงธรรม ภิกษุ
บริษัทนั นก็ยน
ิ ดี ภิกษุ บริษัทยังไม่อมเลย
ิ อานนท์ยอ
่ มนิงไปในเวลานั น ถ ้า
ภิกษุ ณบ ิ าบริษัทเข ้าไปเพือจะเห็นอานนท์
ี ริษัท ...อุบาสกบริษัท ... อุบาสก
ิ าบริษัทนั นย่อมยินดี
ด ้วยการทีได ้เห็นอุบาสก ถ ้าอานนท์แสดงธรรมใน
ิ าบริษัทนัน แม ้ด ้วยการแสดง อุบาสก
อุบาสก ิ าบริษัทนั นก็ยน ิ า
ิ ดี อุบาสก
บริษัทยังไม่อมเลย
ิ อานนท์ยอ
่ มนิงไปในเวลานัน ดูกรภิกษุ ทังหลาย อัพภูต
ธรรมอันน่าอัศจรรย์ ๔ ประการนีแลมีอยูใ่ นอานนท์ ฯ
ดูกรภิกษุ ทังหลาย อัพภูตธรรมน่าอัศจรรย์ ๔ ประการนี มีอยูใ่ น
พระเจ ้าจักรพรรดิ ถ ้าขัตติยบริษัทเข ้าไปเฝ้ าพระเจ ้าจักรพรรดิ ด ้วยการทีได ้
เฝ้ า ขัตติยบริษัทนั นย่อมยินดี ถ ้าพระเจ ้าจักรพรรดิมพ
ี ระราชดํารัสในขัตติย
บริษัทนั น แม ้ด ้วยพระราชดํารัส ขัตติยบริษัทนั นก็ยน
ิ ดี ขัตติยบริษัทยังไม่
อิมเลย พระเจ ้าจักรพรรดิยอ
่ มทรงนิงไปในเวลานั น ถ ้าพราหมณ์บริษัท ...
คฤหบดีบริษัท ... สมณบริษัทเข ้าไปเฝ้ าพระเจ ้าจักรพรรดิ ด ้วยการทีได ้เฝ้ า
สมณบริษัทนั นย่อมยินดี ถ ้าพระเจ ้าจักรพรรดิมพ
ี ระราชดํารัสในสมณบริษัท
นัน แม ้ด ้วยพระราชดํารัส สมณบริษัทนั นก็ยน
ิ ดี สมณบริษัทยังไม่อมเลย

พระเจ ้าจักรพรรดิยอ
่ มทรงนิงไปใน
Page | 82

เวลานัน ฯ
ดูกรภิกษุ ทังหลาย อัพภูตธรรมอันน่าอัศจรรย์ ๔ ประการ มีอยูใ่ น
อานนท์ ฉั นนันเหมือนกัน ถ ้าภิกษุ บริษัทเข ้าไปเพือจะเห็นอานนท์ ด ้วยการ
ทีได ้เห็น ภิกษุ บริษัทนั นย่อมยินดี ถ ้าอานนท์แสดงธรรมในภิกษุ บริษัทนั น
แม ้ด ้วยการแสดง ภิกษุ บริษัทนั นย่อมยินดี ภิกษุ บริษัทยังไม่อมเลย
ิ อานนท์
ิ าบริษัท
ย่อมนิงไปในเวลานัน ถ ้าภิกษุ ณีบริษัท ... อุบาสกบริษัท ... อุบาสก
ิ าบริษัทนั น ย่อมยินดี ถ ้า
เข ้าไปเพือจะเห็นอานนท์ ด ้วยการทีได ้เห็น อุบาสก
ิ าบริษัทนั น แม ้ด ้วยการแสดง อุบาสก
อานนท์แสดงธรรมในอุบาสก ิ าบริษัท
นันก็ยน
ิ ดีอบ ิ าบริษัทยังไม่อมเลย
ุ าสก ิ อานนท์ยอ
่ มนิงไปในเวลานั น ดูกร
ภิกษุ ทังหลายอัพภูตธรรมอันน่าอัศจรรย์ ๔ ประการนีแล มีอยูใ่ นอานนท์ ฯ

[๑๓๗] เมือพระผู ้มีพระภาคตรัสอย่างนีแล ้ว ท่านพระอานนท์ได ้


กราบทูลว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ พระผู ้มีพระภาคอย่าเสด็จปรินพ
ิ พานใน
เมืองเล็กเมืองดอน กิงเมืองนีเลย นครใหญ่เหล่าอืนมีอยู่ คือ เมืองจัมปา
ั พี เมืองพาราณส ี ขอพระ
เมืองราชคฤห์เมืองสาวัตถี เมืองสาเกต เมืองโกสม
ผู ้มีพระภาคเสด็จปรินพ
ิ พานในเมืองเหล่านีเถิด กษั ตริยม
์ หาศาล พราหมณ์
มหาศาล คฤหบดีมหาศาลทีเลือมใสอย่างยิงในพระตถาคต มีอยูม
่ ากใน
เมืองเหล่านี ท่านเหล่านันจักกระทําการบูชาพระสรีระของพระตถาคต ฯ
พระผู ้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอานนท์ เธออย่าได ้กล่าวอย่างนี
เธออย่าได ้กล่าวอย่างนีว่า เมืองเล็ก เมืองดอน กิงเมืองดังนีเลย ดูกร
อานนท์แต่ปางก่อน มีพระเจ ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่ามหาสุทัสสนะ ผู ้ทรง
ธรรม เป็ นพระราชาโดยธรรม เป็ นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็ น
Page | 83

ขอบเขต ทรงชนะแล ้ว มีราชอาณาจักรมันคง สมบูรณ์ด ้วยแก ้ว ๗ ประการ


ิ ารานีมีนามว่า กุสาวดี เป็ นราชธานีของพระเจ ้ามหาสุทัสสนะ โดย
เมืองกุสน
ยาวด ้านทิศบูรพาและทิศประจิม ๑๒ โยชน์ โดยกว ้างด ้านทิศทักษิ ณและ
ทิศอุดร ๗ โยชน์ กุสาวดีราชธานีเป็ นเมืองทีมังคังรุ่งเรือง มีชนมาก มนุษย์
หนาแน่น และมีภก
ิ ษาหาได ้ง่าย ดูกรอานนท์ อาลกมันทาราชธานีแห่งเทพ
เจ ้าทังหลาย เป็ นเมืองทีมังคังรุง่ เรือง มีชนมาก ยักษ์ หนาแน่น และมีภก
ิ ษา
หาได ้ง่าย แม ้ฉั นใด กุสาวดีราชธานีก็ฉันนั นเหมือนกัน เป็ นเมืองทีมังคัง
รุง่ เรือง มีชนมาก มนุษย์หนาแน่นและมีภก
ิ ษาหาได ้ง่าย กุสาวดีราชธานี
ี งทัง ๑๐ ประการ ทังกลางวันและกลางคืน คือ เสย
มิได ้เงียบจากเสย ี งชาง

ี งม ้า เสย
เสย ี งรถ เสย
ี งกลอง เสย
ี งตะโพนเสย
ี งพิณ เสย
ี งขับร ้อง เสย
ี ง
ี งประโคม และเสย
กังสดาล เสย ี งเป็ นที ๑๐ ว่าท่านทังหลายจงบริโภค จง
ิ ารา แล ้วบอกแก่
ดืม จงเคียวกิน จงไปเถิดอานนท์ เธอจงเข ้าไปในเมืองกุสน
ิ าราว่า
พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน ิ ฐะทังหลายพระตถาคตจัก
ดูกรวาสฏ
ปรินพ
ิ พานในปั จฉิมยามแห่งราตรีในวันนี พวกท่านจงรีบออกไปกัน
เถิดๆ พวกท่านอย่าได ้มีความร ้อนใจในภายหลังว่า พระตถาคตได ้
ปรินพ
ิ พานในคามเขตของพวกเรา พวกเราไม่ได ้เฝ้ าพระตถาคตในกาลครัง
สุดท ้าย ท่านพระอานนท์ทล
ู รับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว นุ่งแล ้ว
ิ าราลําพังผู ้เดียว สมัยนั น พวกเจ ้ามัลละ
ถือบาตรและจีวรเข ้าไปในเมืองกุสน
ิ ารา ประชุมกันอยูท
เมืองกุสน ่ ส ั ฐาคารด ้วยกรณียกิจบางอย่าง ลําดับนั น
ี ณ
ั ฐาคารของพวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน
ท่านพระอานนท์เข ้าไปยังสณ ิ ารา ครัน
แล ้วได ้บอกแก่พวกเจ ้ามัลละเมือง
Page | 84

ิ าราว่า ดูกรวาสฏ
กุสน ิ ฐะทังหลาย พระตถาคตจักเสด็จปรินพ
ิ พานในปั จฉิม
ยามแห่งราตรีในวันนี พวกท่านจงรีบออกไปเถิดๆ พวกท่านอย่าได ้มีความ
ร ้อนใจในภายหลังว่า พระตถาคตได ้ปรินพ
ิ พานในคามเขตของพวกเรา พวก
เราไม่ได ้เฝ้ าพระตถาคตในกาลเป็ นครังสุดท ้าย พวกเจ ้ามัลละกับโอรส
สุณส
ิ าและปชาบดีได ้สดับคํานีของท่านพระอานนท์แล ้ว ี
เป็ นทุกข์เสย
พระทัย เปี ยมไปด ้วยความทุกข์ใจ บางพวกสยายพระเกศา ประคองหัตถ์ทัง
สองครําครวญอยู่ ล ้มลงกลิงเกลือกไปมา ดุจมีบาทอันขาดแล ้ว ทรงรําพัน
ว่า พระผู ้มีพระภาคจักเสด็จปรินพ ี เร็วนัก
ิ พานเสย พระสุคตจักเสด็จ
ปรินพ ี เร็วนั ก พระองค์ผู ้มีพระจักษุ ในโลกจักอันตรธานเสย
ิ พานเสย ี เร็วนัก ฯ
ครังนัน พวกเจ ้ามัลละกับโอรส สุณส ี
ิ า ปชาบดี เป็ นทุกข์เส ย
พระทัยเปี ยมไปด ้วยความทุกข์ใจ เสด็จเข ้าไปยังสาลวันอันเป็ นทีแวะพัก
ของเจ ้ามัลละทังหลาย เสด็จเข ้าไปหาท่านพระอานนท์ ท่านพระอานนท์ได ้
มีความดําริวา่ ิ าราถวายบังคมพระผู ้มี
ถ ้าเราจักให ้พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน
พระภาคทีละองค์ๆ ิ าราจักมิได ้ถวายบังคมพระผู ้มี
พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน
ี ถ ้ากระไร เราควรจะจัดให ้พวกเจ ้ามัลละ
พระภาคทัวกัน ราตรีนีจักสว่างเสย
ิ าราถวายบังคมพระผู ้มีพระภาคโดยลําดับสกุลๆ ด ้วยกราบทูลว่า
เมืองกุสน
ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ เจ ้ามัลละมีนามอย่างนีพร ้อมด ้วยโอรส ชายา บริษัท
ี ร
และอํามาตย์ ขอถวายบังคมพระบาททังสองของพระผู ้มีพระภาคด ้วยเศย
เกล ้า ฯ
ลําดับนัน ิ ารา
ท่านพระอานนท์จัดให ้พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน
ถวายบังคมพระผู ้มีพระภาคโดยลําดับสกุล ด ้วยกราบทูลว่า ข ้าแต่พระองค์
ผู ้เจริญ เจ ้ามัลละมีนามอย่างนี พร ้อมด ้วยโอรส ชายา บริษัท และอํามาตย์
Page | 85

ี รเกล ้า
ขอถวายบังคมพระบาททังสองของพระผู ้มีพระภาคด ้วยเศย โดย
่ นี ท่านพระอานนท์ ยังพวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน
อุบายเชน ิ ารา ให ้ถวายบังคม
พระผู ้มีพระภาคเสร็จโดยปฐมยามเท่านั น ฯ

[๑๓๘] ก็สมัยนั น ปริพาชกนามว่า สุภัททะ อาศัยอยูใ่ นเมืองกุส ิ


นาราสุภัททปริพาชกได ้สดับว่า พระสมณโคดมจักปรินพ
ิ พานในปั จฉิมยาม
แห่งราตรีในวันนีแหละ สุภัททปริพาชกได ้มีความคิดอย่างนีว่า ก็เราสดับ
ึ นอาจารย์และปาจารย์กล่าวอยูว่ า่
ถ ้อยคําของพวกปริพาชกผู ้เฒ่าผู ้แก่ ซงเป็
ั มาสม
พระตถาคตอรหันตสม ั พุทธเจ ้าจะอุบัตใิ นโลก ในบางครังบางคราว
พระสมณโคดมจักปรินพ
ิ พานในปั จฉิมยามแห่งราตรีในวันนีแหละ อนึง
ธรรมอันเป็ นทีสงสัยนีซงบั
ึ งเกิดขึนแก่เราก็มอ
ี ยู่ เราเลือมใสในพระสมณโค
ดมอย่างนีว่า พระสมณโคดมย่อมสามารถจะแสดงธรรมแก่เรา โดยประการ
ทีเราจะพึงละธรรมอันเป็ นทีสงสัยนีได ้ ฯ
ลําดับนัน สุภัททปริพาชกเข ้าไปยังสาลวันอันเป็ นทีแวะพักของ
พวกเจ ้ามัลละ เข ้าไปหาท่านพระอานนท์ ครันแล ้วได ้กล่าวว่า ข ้าแต่ทา่ น
อานนท์ข ้าพเจ ้าได ้สดับถ ้อยคําของพวกปริพาชกผู ้เฒ่าผู ้แก่ ึ น
ซงเป็
อาจารย์และปาจารย์กล่าวอยูว่ า่ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ ้าจะ
อุบัตใิ นโลก ในบางครัง
บางคราว พระสมณโคดมจักปรินพ
ิ พานในปั จฉิมยามแห่งราตรีในวันนีแหละ
ั นี ซงบั
อนึง ธรรมอันเป็ นทีสงสย ึ งเกิดขึนแก่ข ้าพเจ ้าก็มอ
ี ยู่ ข ้าพเจ ้าเลือมใส
ในพระสมณโคดมอย่างนีว่า พระสมณโคดมย่อมสามารถจะแสดงธรรมแก่
ข ้าพเจ ้าโดยประการทีข ้าพเจ ้าจะพึงละธรรมอันเป็ นทีสงสัยนีได ้ ข ้าแต่ท่าน
Page | 86

อานนท์ ขอโอกาสเถิด ข ้าพเจ ้าควรได ้เฝ้ าพระสมณโคดม เมือสุภัทท


ปริพาชกกล่าวอย่างนีแล ้วท่านพระอานนท์ได ้กล่าวตอบสุภัททปริพาชกว่า
อย่าเลย สุภัททะ ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคตเลย พระผู ้มีพระภาคทรง
ลําบากแล ้ว แม ้ครังทีสอง สุภัททปริพาชก ... แม ้ครังทีสาม สุภัททปริพาชก
ก็ได ้กล่าวว่า ข ้าแต่ทา่ นอานนท์
ข ้าพเจ ้าได ้สดับถ ้อยคําของพวกปริพาชกผู ้เฒ่าผู ้แก่ ึ นอาจารย์และ
ซงเป็
ั มาสม
ปาจารย์กล่าวอยู่ว่า พระตถาคตอรหันตสม ั พุทธเจ ้าจะอุบัตใิ นโลก ใน
บางครังบางคราว พระสมณโคดมจักปรินพ
ิ พานในปั จฉิมยามแห่งราตรีใน
วันนีแหละอนึง ธรรมเป็ นทีสงสัยนี ซงบั
ึ งเกิดขึนแก่ข ้าพเจ ้าก็มอ
ี ยู่ ข ้าพเจ ้า
เลือมใสในพระสมณโคดมอย่างนีว่า พระสมณโคดมย่อมสามารถจะแสดง
ธรรมแก่ข ้าพเจ ้าโดยประการทีข ้าพเจ ้าจะพึงละธรรมอันเป็ นทีสงสัยนีได ้ ข ้า
แต่ทา่ นพระอานนท์ขอโอกาสเถิด ข ้าพเจ ้าควรได ้เฝ้ าพระสมณโคดม แม ้
ครังทีสาม ท่านพระอานนท์ก็ได ้กล่าวตอบสุภัททปริพาชกว่า อย่าเลย สุภัท
ทะ ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคตเลย พระผู ้มีพระภาคทรงลําบากแล ้ว
พระผู ้มีพระภาคทรงได ้ยินถ ้อยคําท่าน
พระอานนท์เจรจากับสุภัททปริพาชก จึงตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั ง
ว่า อย่าเลยอานนท์ เธออย่าห ้ามสุภัททะ สุภัททะจงได ้เฝ้ าตถาคต สุภัททะ
จักถามปั ญหาอย่างใดอย่างหนึงกะเรา จักมุง่ เพือความรู ้ ่ งุ่ ความ
มิใชม
เบียดเบียน อนึง เราอันสุภท
ั ทะถามแล ้ว จักพยากรณ์ข ้อความอันใดแก่สภ
ุ ัท
ทะนัน สุภัททะจักรู ้ทัวถึงข ้อความนันโดยฉั บพลันทีเดียว ฯ
ลําดับนัน ท่านพระอานนท์ได ้บอกสุภัททปริพาชกว่า ไปเถิดสุภัท
ทะพระผู ้มีพระภาคทรงทําโอกาสแก่ท่าน สุภัททปริพาชกเข ้าไปเฝ้ าพระผู ้มี
Page | 87

พระภาคถึงทีประทับ ครันเข ้าไปเฝ้ าแล ้วได ้ปราศรัยกับพระผู ้มีพระภาค ครัน


ผ่านการปราศรัยพอให ้ระลึกถึงกันไปแล ้ว จึงนั ง ณ ทีควรสว่ นข ้างหนึง แล ้ว
ได ้กราบทูลว่า ข ้าแต่พระโคดมผู ้เจริญ สมณพราหมณ์เหล่านีใด เป็ นเจ ้าหมู่
เจ ้าคณะ เป็ นคณาจารย์มช ื
ี อเส ี ง มียศ เป็ นเจ ้าลัทธิ ชนเป็ นอันมาก สมมติ

ิ เกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สญ
ว่าเป็ นคนดี คือบูรณกัสสปมักขลิโคสาล อชต ั
ั เวลัฏฐบุตร นิครณฐนาฏบุตรสมณพราหมณ์เหล่านั นทังหมด ได ้ตรัสรู ้
ชย
ตามปฏิญญาของตนๆ หรือว่าทังหมดไม่ได ้ตรัสรู ้ หรือว่าบางพวกไม่ได ้ตรัส
รู ้ ฯ

พระผู ้มีพระภาคตรัสตอบว่า อย่าเลย สุภัททะ ทีข ้อถามนั นงดเสย
เถิดดูกรสุภัททะ เราจักแสดงธรรมแก่ทา่ น ท่านจงตังใจฟั งธรรมนัน จงใสใ่ จ
ให ้ดีเราจักกล่าว สุภัททปริพาชกทูลรับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว
พระผู ้มีพระภาคได ้ตรัสว่า ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยใด ไม่มอ
ี ริยมรรค
ประกอบด ้วยองค์ ๘ในธรรมวินัยนั น ไม่มส
ี มณะที ๑ สมณะที ๒ สมณะที ๓
หรือสมณะที ๔ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด ้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัย
นัน มีสมณะที ๑ ที ๒ ที ๓ หรือที ๔ ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี มีอริยมรรค
ประกอบด ้วย
องค์ ๘ ในธรรมวินัยนีเท่านัน มีสมณะที ๑ ที ๒ ที ๓ หรือที ๔ ลัทธิอนๆ

ว่างจากสมณะผู ้รู ้ทัวถึง ก็ภก
ิ ษุ เหล่านีพึงอยูโ่ ดยชอบ โลกจะไม่พงึ ว่างจาก
พระอรหันต์ทังหลาย ฯ

[๑๓๙] ดูกรสุภัททะ เราโดยวัยได ้ ๒๙ ปี บวชแล ้ว ตามแสวงหา


ว่า อะไรเป็ นกุศล ตังแต่เราบวชแล ้ว นับได ้ ๕๑ ปี แม ้สมณะผู ้
Page | 88

เป็ นไปในประเทศแห่งธรรมเป็ นเครืองนํ าออก ไม่มใี นภายนอก


แต่ธรรมวินัยนี ฯ
สมณะที ๒ สมณะที ๓ หรือสมณะที ๔ ก็มไิ ด ้มี ลัทธิอนว่
ื างจาก
สมณะผู ้รู ้ทัวถึง ก็ภก
ิ ษุ เหล่านีพึงอยูโ่ ดยชอบ โลกไม่พงึ ว่างจากพระอรหันต์
ทังหลาย ฯ

[๑๔๐] เมือพระผู ้มีพระภาคตรัสอย่างนีแล ้ว สุภัททปริพาชก ได ้


กราบทูลว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ ้งนั ก ข ้าแต่
พระองค์ผู ้เจริญภาษิตของพระองค์แจ่มแจ ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงาย
่ งประทีปในทีมืด
ของทีควํา เปิ ดของทีปิ ดบอกทางแก่คนหลงทาง หรือสอ
ด ้วยคิดว่า ผู ้มีจักษุ จักเห็นรูปดังนี ฉั นใด พระผู ้มีพระภาคทรงประกาศพระ
ธรรมโดยอเนกปริยาย ฉั นนั น เหมือนกัน ข ้าพระองค์นี ขอถึงพระผู ้มีพระ
ภาคพระธรรมและพระภิกษุ สงฆ์ว่าเป็ นสรณะข ้าพระองค์พงึ ได ้บรรพชา พึง
ได ้อุปสมบทในสํานั กของพระผู ้มีพระภาค ฯ
พระผู ้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสุภัททะ ผู ้ใดเคยเป็ นอัญญเดียรถีย ์
หวังบรรพชาหวังอุปสมบท ในธรรมวินัยนี ผู ้นั นต ้องอยูป ี อน เมือ
่ ริวาสสเดื
ี อน ภิกษุ ทังหลายเต็มใจแล ้ว จึงให ้บรรพชา ให ้อุปสมบท เพือความ
ล่วงสเดื
เป็ นภิกษุ ก็แต่วา่ เรารู ้ความต่างแห่งบุคคลในข ้อนี ฯ
สุภัททปริพาชกกราบทูลว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ หากผู ้ทีเคย
เป็ นอัญญเดียรถีย ์ หวังบรรพชา หวังอุปสมบทในพระธรรมวินัยนี จะต ้องอยู่
ี อน
ปริวาสสเดื
Page | 89

ี อน ภิกษุ ทังหลายเต็มใจแล ้ว จึงให ้บรรพชา ให ้อุปสมบท เพือ


เมือล่วงสเดื
ความเป็ นภิกษุ ไซร ้ ข ้าพระองค์จักอยูป ี เมือล่วงสปีี ภิกษุ ทังหลาย
่ ริวาสสปี
เต็มใจแล ้วจึงให ้บรรพชา ให ้อุปสมบทเถิด ฯ
ลําดับนัน ั า
พระผู ้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสงว่
่ นัน เธอจงให ้สุภัททปริพาชกบวชเถิด ท่านพระอานนท์
ดูกรอานนท์ถ ้าเชน
ทูลรับพระดํารัสของพระผู ้มีพระภาคแล ้ว สุภัททปริพาชกได ้กล่าวกะท่าน
พระอานนท์วา่ ดูกรท่านอานนท์ ผู ้มีอายุ เป็ นลาภของท่าน ท่านได ้ดีแล ้ว ที
ิ าภิเษก ในทีเฉพาะพระพักตร์ในพระ
พระศาสดาทรงอภิเษกด ้วยอันเตวาสก
ศาสนานี สุภัททปริพาชกได ้บรรพชา อุปสมบทในสํานักพระผู ้มีพระภาค ก็
ท่านสุภัททปริพาชกได ้บรรพชาอุปสมบทแล ้วไม่นาน
่ ต่ผู ้เดียว เป็ นผู ้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนสง่ ไปแล ้วอยู่
หลีกออกไปอยูแ

ไม่ชานานนั ึ สุดพรหมจรรย์ ไม่มธ
ก ก็ทําให ้แจ ้งซงที ี รรมอืนยิงกว่า ทีกุลบุตร
ิ โดยชอบ ด ้วย
ทังหลายผู ้มีความต ้องการ ออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชต
ปั ญญาอันยิง ด ้วยตนเองในปั จจุบัน เข ้าถึงอยู่ ั ว่าชาติสนแล
รู ้ชด ิ ้ว
พรหมจรรย์อยูจ
่ บแล ้ว กิจทีควรทําทําเสร็จแล ้ว กิจอืนเพือความเป็ นอย่างนี
มิได ้มี ท่านสุภัททะได ้เป็ นอรหันต์รป
ู หนึง ในจํานวนพระอรหันต์ทังหลาย
ั ขิสาวกองค์สด
ท่านเป็ นสก ุ ท ้ายของพระผู ้มีพระภาค ฯ

จบภาณวารทีห ้า

[๑๔๑] ครังนั น พระผู ้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มา


ั า
รับสงว่
Page | 90

ดูกรอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนีว่า ปาพจน์มพ


ี ระศาสดา
ล่วงแล ้วพระศาสดาของพวกเราไม่ม ี ก็ข ้อนี พวกเธอไม่พงึ เห็นอย่างนั น
ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล ้ว บัญญัตแ
ิ ล ้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอัน
นัน จักเป็ นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ดูกรอานนท์ บัดนี
พวกภิกษุ ยังเรียกกันและกันด ้วยวาทะว่า อาวุโส ฉันใด โดยกาลล่วงไปแห่ง

เรา ไม่ควรเรียกกันฉันนัน ภิกษุ ผู ้แก่กว่า พึงเรียกภิกษุ ผู ้อ่อนกว่า โดยชอ
หรือโคตร หรือโดยวาทะว่าอาวุโส แต่ภก
ิ ษุ ผู ้อ่อนกว่าพึงเรียกภิกษุ ผู ้แก่กว่า
ว่า ภันเต หรืออายัสมา ดูกรอานนท์โดยกาลล่วงไปแห่งเรา สงฆ์จํานงอยู่ ก็
ิ ขาบทเล็กน ้อยเสย
จงถอนสก ี บ ้างได ้ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา พึงลงพรหม
ทัณฑ์แก่ฉันนภิกษุ ท่านพระอานนท์กราบทูลถามว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ
ก็พรหมทัณฑ์เป็ นไฉน พระผู ้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอานนท์ฉันนภิกษุ
พึงพูดได ้ตามทีตนปรารถนา ภิกษุ ทังหลายไม่พงึ ว่า ไม่พงึ กล่าว ไม่พงึ

สงสอน ฯ
[๑๔๒] ลําดับนั น พระผู ้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ ทังหลายมา
ั าดูกรภิกษุ ทังหลาย ความสงสัยเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม
รับสงว่
พระสงฆ์ ในมรรค หรือในข ้อปฏิบัต ิ จะพึงมีบ ้างแก่ภก
ิ ษุ แม ้รูปหนึง พวกเธอ
จงถามเถิดอย่าได ้มีความร ้อนใจภายหลังว่า พระศาสดาอยูเ่ ฉพาะหน ้าเรา
แล ้ว ยังมิอาจทูลถามพระผู ้มีพระภาคในทีเฉพาะพระพักตร์ เมือพระผู ้มีพระ
ภาคตรัสอย่างนีแล ้วภิกษุ เหล่านั นพากันนิง แม ้ครังทีสอง ... แม ้ครังทีสาม
พระผู ้มีพระภาครับสังกะภิกษุ ทังหลายว่า ดูกรภิกษุ ทังหลาย ความสงสัย
เคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในมรรค หรือในข ้อปฏิบัตจิ ะ
Page | 91

พึงมีบ ้างแก่ภก
ิ ษุ แม ้รูปหนึง พวกเธอจงถามเถิด อย่าได ้มีความร ้อนใจใน
ภายหลังว่า พระศาสดาอยูเ่ ฉพาะหน ้าเรา
แล ้ว เรายังมิอาจทูลถามพระผู ้มีพระภาคในทีเฉพาะพระพักตร์ แม ้ครังที
สามภิกษุ เหล่านั น ก็พากันนิง ฯ
ลําดับนัน พระผู ้มีพระภาครับสังกะภิกษุ ทังหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทังหลายบางทีพวกเธอไม่ถาม แม ้เพราะความเคารพในพระศาสดา แม ้
ภิกษุ ผู ้เป็ นสหายก็จงบอกแก่ภก
ิ ษุ ผู ้สหายเถิด เมือพระผู ้มีพระภาคตรัส
อย่างนีแล ้ว ภิกษุ พวกนั นพากันนิง ลําดับนั น ท่านพระอานนท์ได ้กราบทูล
พระผู ้มีพระภาคว่า ข ้าแต่พระองค์ผู ้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล ้ว ข ้า
พระองค์เลือมใสในภิกษุ สงฆ์อย่างนีว่าความสงสัยเคลือบแคลงในพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ ในมรรค หรือในข ้อปฏิบัต ิ มิได ้มีแก่ภก
ิ ษุ แม ้รูปหนึง ใน
ภิกษุ สงฆ์นี พระผู ้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ เธอพูดเพราะความเลือมใส
ั เคลือบแคลงในพระพุทธ พระ
ตถาคตหยังรู ้ในข ้อนีเหมือนกันว่า ความสงสย
ธรรม พระสงฆ์ ในมรรค หรือในข ้อปฏิบัต ิ มิได ้มีแก่ภก
ิ ษุ แม ้รูปหนึง ในภิกษุ
สงฆ์นี บรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปนี ภิกษุ รป
ู ทีตําทีสุดก็เป็ นโสดาบัน มีอันไม่
ตกตําเป็ นธรรมดา เป็ นผู ้เทียงมีอันจะตรัสรู ้ในภายหน ้า ฯ


[๑๔๓] ลําดับนั น พระผู ้มีพระภาครับสงกะภิ
กษุ ทังหลายว่า ดูกร
ภิกษุ ทงหลาย
ั บัดนี เราขอเตือนพวกเธอว่า สงั ขารทังหลายมีความเสอมไป

เป็ นธรรมดาพวกเธอจงยังความไม่ประมาทให ้ถึงพร ้อมเถิด ฯ
นีเป็ นพระปั จฉิมวาจาของพระตถาคต ฯ
Page | 92

[๑๔๔] ลําดับนั น พระผู ้มีพระภาคทรงเข ้าปฐมฌานออกจาก


ปฐมฌานแล ้ว ทรงเข ้าทุตย
ิ ฌาน ออกจากทุตย
ิ ฌานแล ้ว ทรงเข ้าตติยฌาน
ออกจากตติยฌานแล ้ว ทรงเข ้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล ้ว ทรง
เข ้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนสมาบัตแ
ิ ล ้ว ทรงเข ้า
วิญญาณั ญจายตนะ ออกจากวิญญาณั ญจายตนสมาบัตแ
ิ ล ้ว ทรงเข ้าอา
กิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัตแ ั ญา
ิ ล ้ว ทรงเข ้าเนวสญ
ั ญายตนะ
นาสญ ั ญานาสญ
ออกจากเนวสญ ั ญายตนสมาบัตแ
ิ ล ้ว ทรงเข ้า
ั ญาเวทยิตนิโรธ ฯ
สญ
ครังนัน ท่านพระอานนท์ได ้กล่าวถามท่านพระอนุรุทธะว่าพระผู ้มี
พระภาคเสด็จปรินพ
ิ พานแล ้วหรือ ท่านพระอนุรท
ุ ธะตอบว่าอานนท์ผู ้มีอายุ
พระผู ้มีพระภาคยังไม่เสด็จปรินพ ั ญาเวทยิตนิโรธ ฯ
ิ พาน ทรงเข ้าสญ
ลําดับนัน ั ญาเวทยิตนิโรธสมาบัต ิ
พระผู ้มีพระภาคออกจากสญ
แล ้ว ทรงเข ้าเนวสัญญานาสญ
ั ญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสญ
ั ญายตน
สมาบัตแ
ิ ล ้ว ทรงเข ้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัต ิ
แล ้ว ทรงเข ้าวิญญาณั ญจายตนะ ออกจากวิญญาณั ญจายตนสมาบัตแ
ิ ล ้ว
ทรงเข ้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนสมาบัตแ
ิ ล ้ว ทรง
เข ้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล ้วทรงเข ้าตติยฌาน ออกจากตติย
ฌานแล ้ว ทรงเข ้าทุตย
ิ ฌาน ออกจากทุตย
ิ ฌานแล ้ว ทรงเข ้าปฐมฌาน ออก
จากปฐมฌานแล ้ว ทรงเข ้าทุตย
ิ ฌาน ออกจากทุตย
ิ ฌานแล ้ว ทรงเข ้าตติย
ฌาน ออกจากตติยฌานแล ้ว ทรงเข ้าจตุตถฌาน พระผู ้มีพระภาคออกจาก
จตุตถฌานแล ้ว เสด็จปรินพ
ิ พานในลําดับ (แห่งการพิจารณาองค์จตุตถ
ฌานนัน) ฯ
Page | 93

[๑๔๕] เมือพระผู ้มีพระภาคเสด็จปรินพ


ิ พานแล ้ว พร ้อมกับการ
เสด็จปรินพ
ิ พาน ได ้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ เกิดความขนพองสยองเกล ้าน่า
พึงกลัว ทังกลองทิพย์ก็บันลือขึน ฯ

[๑๔๖] เมือพระผู ้มีพระภาคเสด็จปรินพ


ิ พานแล ้ว พร ้อมกับการ
เสด็จปรินพ
ิ พาน ท ้าวสหัมบดีพรหมได ้กล่าวคาถานี ความว่า
ั ว์ทังหลายทังปวง
สต จักต ้องทอดทิงร่างกายไว ้ในโลก แต่พระตถาคตผู ้
่ นั น หาบุคคลจะเปรียบเทียบมิได ้ใน
เป็ นศาสดาเชน โลก
ั พุทธเจ ้า ทรงมีพระกําลัง ยังเสด็จปรินพ
เป็ นพระสม ิ พาน ฯ

[๑๔๗] เมือพระผู ้มีพระภาคเสด็จปรินพ


ิ พานแล ้ว พร ้อมกับการ
ิ พาน ท ้าวสักกะจอมเทพ ได ้ตรัสพระคาถานีความว่า
เสด็จปรินพ
สงั ขารทังหลายไม่เทียงหนอ มีความเกิดขึนและเสอม

ไปเป็ น ธรรมดา บังเกิดขึนแล ้ว ย่อมดับไป ความเข ้าไปสงบสังขาร
เหล่านั น เป็ นสุข ฯ

[๑๔๘] เมือพระผู ้มีพระภาคเสด็จปรินพ


ิ พานแล ้ว พร ้อมกับการ
เสด็จ
ปรินพ
ิ พาน ท่านพระอนุรท
ุ ธะ ได ้กล่าวคาถาเหล่านีความว่า
ลมอัสสาสะปั สสาสะของพระมุนีผู ้มีพระทัยตังมัน คงที
ไม่ ั ติ ทรงทํากาละ มิได ้มีแล ้ว
หวันไหว ทรงปรารภสน
พระองค์ มีพระทัยไม่หดหู่ ทรงอดกลันเวทนาได ้แล ้ว
Page | 94

ความพ ้นแห่งจิต ได ้มีแล ้ว เหมือนดวงประทีปดับไป


ฉะนัน ฯ
[๑๔๙] เมือพระผู ้มีพระภาคเสด็จปรินพ
ิ พานแล ้ว พร ้อมกับการ
เสด็จปรินพ
ิ พาน ท่านพระอานนท์ได ้กล่าวคาถานี ความว่า
ั พุทธเจ ้าผู ้ประกอบด ้วยอาการอันประเสริฐ
เมือพระสม
ทังปวงเสด็จ ปรินพ
ิ พานแล ้ว ในครังนั นได ้เกิดความอัศจรรย์น่าพึงกลัว
และ เกิดความขนพองสยองเกล ้า ฯ

[๑๕๐] เมือพระผู ้มีพระภาคเสด็จปรินพ


ิ พานแล ้ว บรรดาภิกษุ
ทังหลายนัน ภิกษุ เหล่าใด ยังมีราคะไม่ไปปราศแล ้ว ภิกษุ เหล่านั น บาง
พวกประคองแขนทังสองครําครวญอยู่ ล ้มลงกลิงเกลือกไปมาดุจมีเท ้าอัน
ขาดแล ้ว รําพันว่าพระผู ้มีพระภาคเสด็จปรินพ ี เร็วนัก พระสุคตเสด็จ
ิ พานเสย
ปรินพ ี เร็วนั กพระองค์ผู ้มีพระจักษุ ในโลก อันตรธานเสย
ิ พานเสย ี เร็วนัก สว่ น
ั ปชญ
ภิกษุ เหล่าใดทีมีราคะไปปราศแล ้วภิกษุ เหล่านั นมีสติสม ั ญะอดกลัน
โดยธรรมสังเวชว่า สงั ขารทังหลายไม่เทียงหนอ เพราะฉะนั น เหล่าสัตว์จะ
พึงได ้ในสังขารนีแต่ทไหน
ี ฯ

[๑๕๑] ครังนั น ท่านพระอนุรท


ุ ธะเตือนภิกษุ ทังหลายว่า อย่าเลย
อาวุโสทังหลาย พวกท่านอย่าเศร ้าโศก อย่ารําไรไปเลย เรืองนีพระผู ้มีพระ
ภาค
่ รือว่า ความเป็ นต่างๆ ความพลัดพราก ความ
ตรัสบอกไว ้ก่อนแล ้วไม่ใชห
ิ ้องมี เพราะฉะนั น จะพึงได ้ใน
เป็ นอย่างอืนจากของรักของชอบใจทังสนต
Page | 95

ของรักของชอบใจนีแต่ทไหน
ี ิ
สงใดเกิ
ดแล ้วมีแล ้วปั จจัยปรุงแต่งแล ้ว มี
ิ นอย่าทําลายไปเลย ดังนี
ความทําลายเป็ นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสงนั
่ านะทีจะมีได ้ดูกรอาวุโสทังหลาย พวกเทวดาพากันยกโทษอยู่ ท่าน
มิใชฐ
พระอานนท์ถามว่า ท่านอนุรท
ุ ธะ พวกเทวดาเป็ นอย่างไร กระทําไว ้ในใจ
เป็ นไฉน ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า มีอยู่ อานนท์ผู ้มีอายุ เทวดาบางพวก
สําคัญอากาศว่าเป็ นแผ่นดิน สยายผมประคองแขนทังสองครําครวญอยู่ ล ้ม
ลงกลิงเกลือกไปมาดุจมีเท ้าอันขาดแล ้วรําพันว่า พระผู ้มีพระภาคเสด็จ
ปรินพ ี เร็วนั ก พระสุคตเสด็จปรินพ
ิ พานเสย ี เร็วนัก พระองค์ผู ้มีพระ
ิ พานเสย
ี เร็วนัก ดังนี เทวดาบางพวกสําคัญแผ่นดินว่าเป็ น
จักษุ ในโลก อันตรธานเสย
แผ่นดินสยายผมประคองแขนทังสองครําครวญอยู่ ล ้มลงกลิงเกลือกไปมา
ดุจมีเท ้าอันขาดแล ้ว รําพันว่า พระผู ้มีพระภาคเสด็จปรินพ
ิ พาน
ี เร็วนั ก พระสุคตเสด็จปรินพ
เสย ี เร็วนัก พระองค์ผู ้มีพระจักษุ ในโลก
ิ พานเสย
ี เร็วนั ก ดังนี สว่ นเทวดาทีปราศจากราคะแล ้ว มีสติสัมปชญ
อันตรธานเสย ั ญะ
อดกลันโดยธรรมสังเวชว่า สังขารทังหลายไม่เทียง เพราะฉะนั น เหล่าสต
ั ว์
จะพึงได ้ในสังขารนีแต่ทไหน
ี ฯ
ครังนัน ท่านพระอนุรุทธะและท่านพระอานนท์ ยังกาลให ้ล่วงไป
ด ้วยธรรมีกถาตลอดราตรีทยั ่ ัน ลําดับนั น ท่านพระอนุรุทธะสัง
ี งเหลืออยูน
ิ ารา
ท่านพระอานนท์ว่า ไปเถิด อานนท์ผู ้มีอายุ ท่านจงเข ้าไปเมืองกุสน
ิ าราว่า ดูกรวาสฏ
บอกแก่พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน ิ ฐะทังหลาย พระผู ้มีพระ
ภาคเสด็จปรินพ
ิ พานแล ้ว ขอพวกท่านจงทราบกาลอันควรในบัดนีเถิด ท่าน
พระอานนท์รับคําท่านพระอนุรท
ุ ธะแล ้ว ้ ่งแล ้วถือบาตรและจีวร
เวลาเชานุ
ิ าราลําพังผู ้เดียว ฯ
เข ้าไปเมืองกุสน
Page | 96

[๑๕๒] สมัยนัน ิ าราประชุมกันอยูท


พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน ่ ี
ั ฐาคารด ้วยเรืองปรินพ
สณ ิ พานนั นอย่างเดียว ลําดับนัน ท่านพระอานนท์ เข ้า
ไปยังสัณฐาคารของพวกเจ ้ามัลละเมืองกุส น
ิ ารา ครันเข ้าไปแล ้ว ได ้บอกแก่
ิ าราว่า ดูกรวาสฏ
พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน ิ ฐะทังหลาย พระผู ้มีพระภาคเสด็จ
ปรินพ
ิ พานแล ้ว ขอท่านทังหลายจงทราบกาลอันควรในบัดนีเถิด พวกเจ ้า
มัลละกับโอรส สุณส
ิ าและประชาบดี ได ้ทรงสดับคํานีของท่านพระอานนท์
ี พระทัย เปี ยมไปด ้วยความทุกข์ในใจ บางพวกสยายพระ
แล ้ว เป็ นทุกข์เสย
เกศา ประคองหัตถ์ทังสองครําครวญอยูล
่ ้มลงกลิงเกลือกไปมา ดุจมีบาท
อันขาดแล ้ว ทรงรํ าพันว่า พระผู ้มีพระภาคเสด็จปรินพ ี เร็วนั ก พระ
ิ พานเสย
สุคตเสด็จปรินพ ี เร็วนั ก พระองค์ผู ้มีพระจักษุ ในโลกอันตรธานเสย
ิ พานเสย ี
ิ าราตรัสสังพวกบุรษ
เร็วนัก ดังนี ลําดับนัน พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน ุ ว่า ดูกร
พนาย ถ ้าอย่างนัน พวกท่านจงเตรียมของหอมมาลัยและเครือง
ิ าราไว ้ให ้พร ้อมเถิด พวกเจ ้ามัลละเมืองกุส ิ
ดนตรีทังปวง บรรดามีในกรุงกุสน
นาราทรงถือเอาของหอมมาลัยและเครืองดนตรีทังปวงกับผ ้า ๕๐๐ คู่ เสด็จ
เข ้าไปยังสาลวันอันเป็ นทีแวะพักแห่งพวกเจ ้ามัลละ และเสด็จเข ้าไปถึงพระ
สรีระพระผู ้มีพระภาค ครันเข ้าไปถึงแล ้วสักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระ
สรีระพระผู ้มีพระภาคด ้วยการฟ้ อนรํา ขับร ้อง ประโคม มาลัยและของหอม
ดาดเพดานผ ้า ตกแต่งโรงมณฑล ยังวันนั นให ้ล่วงไปด ้วยประการฉะนี
ิ าราได ้มีความดําริวา่ การถวายพระเพลิง
ลําดับนั น พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน
ี แล ้ว
พระสรีระพระผู ้มีพระภาคในวันนีพลบคําเสย พรุ่งนีเราจักถวายพระ
ิ าราสก
เพลิงพระสรีระพระผู ้มีพระภาค พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน ั การะ เคารพ
นับถือ บูชา พระสรีระพระผู ้มีพระภาคด ้วยการฟ้ อนรํา ขับร ้อง ประโคม มาลัย
Page | 97

และของหอม ดาดเพดานผ ้า ตกแต่งโรงมณฑล ยังวันทีสอง ทีสาม ทีส ี ที


ห ้า ทีหก ให ้ล่วงไป ครันถึงวันทีเจ็ด
ิ าราได ้มีความดําริวา่ เราสักการะ เคารพ นับถือ บูชา
พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน
พระสรีระพระผู ้มีพระภาค ด ้วยการฟ้ อนรํา ขับร ้อง ประโคม มาลัยและของ
ิ ไปทางทิศทักษิณแห่งพระนคร
หอมจักเชญ ิ ไปภายนอกพระนคร
แล ้วเชญ
ถวายพระเพลิงพระสรีระพระผู ้มีพระภาคทางทิศทักษิณแห่งพระนครเถิด ฯ

[๑๕๓] สมัยนัน มัลลปาโมกข์ ๘ องค์ สระสรงเกล ้าแล ้วทรง


นุ่งผ ้าใหม่ด ้วยตังพระทัยว่า เราจักยกพระสรีระพระผู ้มีพระภาค ก็มอ
ิ าจจะ
ิ าราได ้ถามท่านพระอนุรท
ยกขึนได ้ ลําดับนั นพวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน ุ ธะว่า
ข ้าแต่ทา่ นอนุรุทธะ อะไรหนอเป็ นเหตุ อะไรหนอเป็ นปั จจัย ให ้มัลล
ปาโมกข์ ๘ องค์นี ผู ้สระสรงเกล ้าแล ้วทรงนุ่งผ ้าใหม่ ด ้วยตังใจว่า เราจักยก
พระสรีระพระผู ้มีพระภาคก็มอ
ิ าจยกขึนได ้ ฯ
ิ ฐะทังหลาย ความประสงค์ของพวกท่านอย่างหนึง
อ. ดูกรวาสฏ
ของพวกเทวดาอย่างหนึง ฯ
ม. ข ้าแต่ทา่ นผู ้เจริญ ก็ความประสงค์ของพวกเทวดาเป็ นอย่างไร

ิ ฐะทังหลาย ความประสงค์ของพวกท่านว่า เราสก
ดูกรวาสฏ ั การะ
เคารพนับถือ บูชาพระสรีระพระผู ้มีพระภาค ด ้วยการฟ้ อนรํา ขับร ้อง
ิ ไปทางทิศทักษิณแห่งพระนคร แล ้ว
ประโคม มาลัยและของหอม จักเชญ
ิ ไปภายนอกพระนครถวายพระเพลิงพระสรีระพระผู ้มีพระภาคทางทิศ
เชญ
ทักษิ ณแห่งพระนคร ความประสงค์
Page | 98

ของพวกเทวดาว่า เราสักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระพระผู ้มีพระภาค



ด ้วยการฟ้ อนรํา ขับร ้อง ประโคม มาลัยและของหอมอันเป็ นทิพย์ จักเชญ
่ ระนครโดยทวารทิศอุดร เชญ
ไปทางทิศอุดรแห่งพระนคร แล ้วเข ้าไปสูพ ิ ไป
ท่ามกลางพระนคร แล ้วออกโดยทวารทิศบูรพา แล ้วถวายพระเพลิงพระ
สรีระพระผู ้มีพระภาค ทีมกุฏพันธนเจดียข
์ องพวกเจ ้ามัลละ ทางทิศบูรพา
แห่งพระนคร ฯ
ข ้าแต่ทา่ นผู ้เจริญ ขอให ้เป็ นไปตามความประสงค์ของพวก
เทวดาเถิด ฯ
สมัยนัน ิ าราเดียรดาษไปด ้วยดอกมณฑารพโดยถ่อง
เมืองกุสน
แถวประมาณแค่เข่า จนตลอดทีต่อแห่งเรือน บ่อของโสโครกและกอง
หยากเยือ ิ าราสักการะ
ครังนั นพวกเทวดาและพวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน
เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระพระผู ้มีพระภาค ด ้วยการฟ้ อนรํา ขับร ้อง

ประโคม มาลัยและของหอม ทังทีเป็ นของทิพย์ ทังทีเป็ นของมนุษย์ เชญ
่ ระนครโดยทวารทิศอุดร เชญ
ไปทางทิศอุดรแห่งพระนคร แล ้วเข ้าไปสูพ ิ ไป
ท่ามกลางพระนคร แล ้วออกโดยทวารทิศบูรพาแล ้ววางพระสรีระพระผู ้มี
พระภาค ณ มกุฏพันธนเจดียข
์ องพวกเจ ้ามัลละ ทางทิศบูรพาแห่งพระนคร
ิ าราได ้ถามท่านพระอานนท์วา่
ลําดับนั น พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน
ข ้าแต่ทา่ นพระอานนท์ พวกข ้าพเจ ้าจะปฏิบัตอ
ิ ย่างไรในพระสรีระพระผู ้มี
พระภาค ฯ
อ. ิ ฐะทังหลาย
ดูกรวาสฏ พวกท่านพึงปฏิบัตใิ นพระสรีระพระ
ตถาคตเหมือนทีเขาปฏิบัตใิ นพระสรีระพระเจ ้าจักรพรรดิฉะนัน ฯ
Page | 99

ข ้าแต่ทา่ นอานนท์ ก็เขาปฏิบัตใิ นพระสรีระพระเจ ้าจักรพรรดิ


อย่างไร ฯ
ิ ฐะทังหลาย
ดูกรวาสฏ เขาห่อพระสรีระพระเจ ้าจักรพรรดิด ้วยผ ้า
ั ด ้วยสําลี แล ้วห่อด ้วยผ ้าใหม่ โดยอุบายนี ห่อพระสรีระพระเจ ้า
ใหม่ แล ้วซบ
จักรพรรดิด ้วยผ ้า ๕๐๐ คูแ ิ พระสรีระลงในรางเหล็กอันเต็มด ้วย
่ ล ้ว เชญ
นํ ามัน ครอบด ้วย
รางเหล็กอืน แล ้วกระทําจิตกาธารด ้วยไม ้หอมล ้วน ถวายพระเพลิงพระสรีระ
พระเจ ้าจักรพรรดิแล ้ว สร ้างสถูปของพระเจ ้าจักรพรรดิไว ้ทีหนทางใหญ่ ๔
แพร่งเขาปฏิบัตใิ นพระสรีระพระเจ ้าจักรพรรดิด ้วยประการฉะนีแล พวกท่าน
พึงปฏิบัตใิ นพระสรีระพระตถาคต เหมือนทีเขาปฏิบัตใิ นพระเจ ้าจักรพรรดิ
พึงสร ้างสถูปของพระตถาคตไว ้ทีหนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ชนเหล่าใดจัก

ยกขึนซงมาลั ยของหอมหรือจุณ จักอภิวาท หรือจักยังจิตให ้เลือมใสในพระ
่ นั นจักเป็ นไปเพือประโยชน์เกือกูล เพือความสุข แก่
สถูปนัน การกระทําเชน

ชนเหล่านั นสนกาลนาน ฯ
ลําดับนัน ิ าราตรัสสังพวกบุรษ
พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน ุ ว่า ดูกร
พนายถ ้าอย่างนัน พวกท่านจงเตรียมสําลีไว ้ให ้พร ้อมเถิด พวกเจ ้ามัลละ
ิ าราห่อพระสรีระพระผู ้มีพระภาคด ้วยผ ้าใหม่ แล ้วซบ
เมืองกุสน ั ด ้วยสําลี แล ้ว
ห่อด ้วยผ ้าใหม่โดยอุบายนี ห่อพระสรีระพระผู ้มีพระภาคด ้วยผ ้า ๕๐๐ คู่ แล ้ว
ิ ลงในรางเหล็กอันเต็มด ้วยนํ ามัน ครอบด ้วยรางเหล็กอืน แล ้วกระทํา
เชญ
ิ พระสรีระพระผู ้มีพระภาคขึนสู่
จิตกาธารด ้วยไม ้หอมล ้วนแล ้วจึงเชญ
จิตกาธาร ฯ
Page | 100

[๑๕๔] สมัยนัน ท่านพระมหากัสสปพร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์หมูใ่ หญ่


ประมาณ ๕๐๐ รูป เดินทางไกลจากเมืองปาวามาสูเ่ มืองกุสน
ิ ารา ลําดับนั น
ท่านพระมหากัสสปแวะออกจากทางแล ้วนั งพักทีโคนต ้นไม ้ต ้นหนึง ฯ
สมัยนัน อาชวี กคนหนึง ถือดอกมณฑารพในเมืองกุสน
ิ ารา เดิน
ทางไกลมาสูเ่ มืองปาวา ท่านพระมหากัสสปได ้เห็นอาชวี กนั นมาแต่ไกล จึง
ถามอาชวี กนันว่าดูกรผู ้มีอายุ ท่านยังทราบข่าวพระศาสดาของเราบ ้างหรือ
อาชวี กตอบว่า อย่างนั นผู ้มีอายุ เราทราบอยู่ พระสมณโคดมปรินพ ี
ิ พานเสย
แล ้ว ได ้ ๗ วันเข ้าวันนี ดอกมณฑารพนีเราถือมาจากทีนัน บรรดาภิกษุ
เหล่านั น ภิกษุ เหล่าใด ยังไม่ปราศจากราคะ ภิกษุ เหล่านั น บางพวกประคอง
แขนทังสองครําครวญอยู่ ล ้มลงกลิงเกลือกไปมาดุจมีเท ้าอันขาดแล ้ว
รําพันว่า พระผู ้มีพระภาคเสด็จปรินพ ี เร็วนักพระสุคตเสด็จ
ิ พานเสย
ปรินพ ี เร็วนั ก พระองค์ผู ้มีพระจักษุ ในโลก อันตรธาน
ิ พานเสย
ี เร็วนั ก ดังนี สว่ นภิกษุ เหล่าใด ปราศจากราคะแล ้ว ภิกษุ เหล่านั น มีสติ
เสย
ั ปชญ
สม ั ญะ อดกลันด ้วยธรรมสังเวชว่า สังขารทังหลายไม่เทียง
เพราะฉะนั นเหล่าสัตว์จะพึงได ้ในสังขารนีแต่ทไหน
ี ฯ

ิ ผู ้บวชเมือแก่ นามว่าสุภัททะ นั งอยูใ่ น


[๑๕๕] สมัยนัน บรรพชต
ิ ได ้กล่าวกะภิกษุ ทังหลายว่า อย่า
บริษัทนันด ้วย ครังนัน สุภัททวุฒบรรพชต
เลยอาวุโสพวกท่านอย่าเศร ้าโศก อย่ารํ าไรไปเลย พวกเราพ ้นดีแล ้ว ด ้วยว่า
ิ ควรแก่เธอ สงนี
พระมหาสมณะนั นเบียดเบียนพวกเราอยูว่ ่า สงนี ิ ไม่ควรแก่

เธอ ก็บัดนี พวกเราปรารถนาสงใด ิ น ไม่ปรารถนาสงใด
ก็จักกระทําสงนั ิ ก็
ิ นฯ
จักไม่กระทําสงนั
Page | 101

ลําดับนัน ท่านพระมหากัสสปเตือนภิกษุ ทังหลายว่า อย่าเลย


อาวุโสพวกท่านอย่าเศร ้าโศก อย่ารําไรไปเลย พระผู ้มีพระภาคได ้ตรัสสอน
่ รือว่า ความเป็ นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็ น
ไว ้อย่างนีก่อนแล ้วไม่ใชห
ิ ต ้องมี เพราะฉะนั น จะพึงได ้ในของ
อย่างอืนจากของรักของชอบใจทังสน
รักของชอบใจนีแต่ทไหน
ี ิ
สงใดเกิ
ดแล ้ว มีแล ้ว ปั จจัยปรุงแต่งแล ้ว มีความ
ิ นอย่าทําลายไปเลย ดังนี มิใช่
ทําลายเป็ นธรรมดาการปรารถนาว่า ขอสงนั
ฐานะทีจะมีได ้ ฯ

[๑๕๖] สมัยนัน มัลลปาโมกข์ ๔ องค์ สระสรงเกล ้าแล ้วทรงนุ่ง


ผ ้าใหม่ด ้วยตังใจว่า เราจักยังไฟให ้ติดจิตกาธารของพระผู ้มีพระภาค ก็ม ิ
อาจให ้ติดได ้ลําดับนัน ิ าราได ้ถามท่านพระอนุรุ
พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน
ทธะว่า ข ้าแต่ทา่ นอนุรท
ุ ธะ อะไรหนอเป็ นเหตุ อะไรหนอเป็ นปั จจัย ที
ให ้มัลลปาโมกข์ทัง ๔ องค์นีผู ้สระสรงเกล ้าแล ้ว ทรงนุ่งผ ้าใหม่ ด ้วยตังใจว่า
เราจักยังไฟให ้ติดจิตกาธาร
ก็มอ
ิ าจให ้ติดได ้ ฯ
ิ ฐะทังหลาย ความประสงค์ของพวกท่านอย่างหนึง
อ. ดูกรวาสฏ
ของพวกเทวดาอย่างหนึง ฯ
ข ้าแต่ทา่ นผู ้เจริญ ก็ความประสงค์ของพวกเทวดาเป็ นอย่างไร ฯ
ิ ฐะทังหลาย ความประสงค์ของพวกเทวดาว่า ท่านพระ
ดูกรวาสฏ
มหากัสสปนี พร ้อมด ้วยภิกษุ สงฆ์หมูใ่ หญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เดินทางไกล
จากเมืองปาวามาสูเ่ มืองกุสน
ิ ารา จิตกาธารของพระผู ้มีพระภาคจักยังไม่ลก

Page | 102

โพลงขึน จนกว่าท่านพระมหากัสสปจะถวายบังคมพระบาททั งสองของพระ


ผู ้มีพระภาคด ้วยมือของตน ฯ
ข ้าแต่ทา่ นผู ้เจริญ ขอให ้เป็ นไปตามความประสงค์ของพวก
เทวดาเถิด ฯ
ครังนัน ท่านพระมหากัสสปเข ้าไปถึงมกุฏพันธนเจดียข
์ องพวก
ิ ารา และถึงจิตกาธารของพระผู ้มีพระภาค ครันแล ้ว
เจ ้ามัลละในเมืองกุสน
กระทําจีวรเฉวียงบ่าข ้างหนึง ประนมอัญชลี กระทําประทักษิณจิตกาธาร ๓
รอบ แล ้วเปิ ดทางพระบาทถวายบังคมพระบาททังสองของพระผู ้มีพระภาค
ี รเกล ้า แม ้ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั น ก็กระทําจีวรเฉวียงบ่าข ้างหนึง
ด ้วยเศย
ประนมอัญชลี กระทําประทักษิณ ๓ รอบแล ้วถวายบังคมพระบาททังสอง
ี รเกล ้า เมือท่านพระมหากัสสปและภิกษุ ๕๐๐
ของพระผู ้มีพระภาคด ้วยเศย
รูปนันถวายบังคมแล ้ว จิตกาธารของพระผู ้มีพระภาคก็โพลง
ขึนเอง เมือพระสรีระของพระผู ้มีพระภาคถูกเพลิงไหม ้อยู่ พระอวัยวะสว่ นใด
ิ า เถ ้า เขม่า
คือ พระฉวี พระจัมมะ พระมังสะ พระนหารู หรือพระลสก
แห่งพระอวัยวะสว่ นนัน มิได ้ปรากฏเลย เหลืออยูแ
่ ต่พระสรีระอย่างเดียว
เมือเนยใสและนํ ามันถูกไฟไหม ้อยู่ เถ ้า เขม่า มิได ้ปรากฏ ฉันใด เมือพระ
สรีระของพระผู ้มีพระภาคถูกเพลิงไหม ้อยู่ พระอวัยวะสว่ นใด คือ พระฉวี
ิ า เถ ้า เขม่าแห่งพระอวัยวะสว่ น
พระจัมมะพระมังสะ พระนหารู หรือพระลสก
นัน มิได ้ปรากฏเลย เหลืออยูแ
่ ต่พระสรีระอย่างเดียวฉั นนั นเหมือนกัน และ
บรรดาผ ้า ๕๐๐ คูเ่ หล่านัน ไฟไหม ้เพียง ๒ ผืนเท่านั น คือ ผืนในทีสุด กับ
ผืนนอก เมือพระสรีระพระผู ้มีพระภาคถูกไฟไหม ้แล ้ว ท่อนํ าก็ไหลหลังมา
จากอากาศดับจิตกาธารของพระผู ้มีพระภาค นํ าพุ่งขึนแม ้จากไม ้สาละ ดับ
Page | 103

ิ ารา ดับจิตกาธารของ
จิตกาธารของพระผู ้มีพระภาคพวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน
พระผู ้มีพระภาคด ้วยนํ าหอมล ้วนๆ
ลําดับนั น ิ ารากระทําสต
พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน ั ติบัญชรในสัณฐาคารแวด
ั การะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระพระผู ้มีพระภาค
ล ้อมด ้วยธนูปราการ สก
ตลอดเจ็ดวันด ้วยการฟ้ อนรํา ด ้วยการขับ ด ้วยการประโคม ด ้วยพวงมาลัย ฯ

[๑๕๗] พระเจ ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหี


บุตรได ้ทรงสดับข่าวว่า พระผู ้มีพระภาคเสด็จปรินพ ิ าราจึง
ิ พานในเมืองกุสน
ทรงสง่ ทูตไปหาพวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน
ิ าราว่า พระผู ้มีพระภาคเป็ นกษั ตริย ์
แม ้เราก็เป็ นกษั ตริย ์ เราควรจะได ้สว่ นพระสรีระพระผู ้มีพระภาคบ ้าง จักได ้
กระทําพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู ้มีพระภาค พวกกษั ตริยล
์ จ
ิ ฉวี
เมืองเวสาลีทราบข่าวว่า พระผู ้มีพระภาคเสด็จปรินพ ิ ารา
ิ พานในเมืองกุสน
จึงสง่ ทูตไปหาพวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน
ิ าราว่าพระผู ้มีพระภาคเป็ นกษั ตริย ์
แม ้เราก็เป็ นกษั ตริย ์ เราควรได ้สว่ นพระสรีระพระผู ้มีพระภาคบ ้าง แม ้พวกเรา
ก็จักได ้ทําพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู ้มีพระภาคพวกกษั ตริย ์
ศากยะเมืองกบิลพัสดุ ์ ... พระผู ้มีพระภาคเป็ นพระญาติอันประเสริฐ
ของพวกเรา ... พวกกษั ตริยถ
์ ล
ู เี มืองอัลกัปปะ ... พระผู ้มีพระภาคเป็ น
กษั ตริยแ
์ ม ้เราก็เป็ นกษั ตริย ์ ... พวกกษั ตริยโ์ กลิยะเมืองรามคาม ... พระผู ้มี
พระภาคเป็ นกษั ตริย ์ แม ้เราก็เป็ นกษั ตริย ์ ... พราหมณ์ผู ้ครองเมืองเวฏฐทีป
กะ ... พระผู ้มีพระภาคเป็ นกษั ตริย ์ แม ้เราก็เป็ นพราหมณ์ ... พวกกษั ตริย ์
มัลละเมืองปาวา ได ้ทรงสดับข่าวว่า พระผู ้มีพระภาคเสด็จปรินพ
ิ พานใน
ิ ารา จึงทรงสง่ ทูต
เมืองกุสน
Page | 104

ิ าราว่า พระผู ้มีพระภาคเป็ นกษั ตริย ์ แม ้เราก็


ไปหาพวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน
เป็ นกษั ตริยเ์ ราควรจะได ้สว่ นพระสรีระพระผู ้มีพระภาคบ ้าง จักได ้กระทําพระ
สถูปและการฉลองพระสรีระพระผู ้มีพระภาค เมือกษั ตริยแ
์ ละพราหมณ์วา่ มา
ิ าราได ้ตรัสตอบหมูค
ดังนีแล ้ว พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน ่ ณะเหล่านั นว่า พระผู ้
ิ พานในคามเขตของพวกเรา พวกเราจักไม่ให ้สว่ นพระ
มีพระภาคเสด็จปรินพ
สรีระพระผู ้มีพระภาค ฯ
ิ าราตรัสอย่างนีแล ้ว โทณ
[๑๕๘] เมือพวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน
พราหมณ์ได ้พูดกะหมูค
่ ณะเหล่านันว่า ดูกรท่านผู ้เจริญทังหลาย ขอ
พวกท่านจงฟั งคําอันเอกของข ้าพเจ ้า
พระพุทธเจ ้าของเราทังหลาย เป็ นผู ้กล่าวสรรเสริญขันติ การ
ั ประหารกันเพราะสว่ นพระสรีระของพระพุทธเจ ้าผู ้เป็ น
จะสม
่ นี ไม่ดเี ลย ขอเราทังหลายทังปวง จงยินยอม
อุดมบุคคลเชน
พร ้อมใจยินดีแบ่งพระสรีระออกเป็ น ๘ สว่ นเถิด ขอพระสถูป
จงแพร่หลายไปในทิศทังหลาย ชนผู ้เลือมใสต่อพระพุทธเจ ้า
ผู ้มีพระจักษุ มอ
ี ยูม
่ าก ฯ

[๑๕๙] หมูค ่ นั นขอ


่ ณะเหล่านันตอบว่า ข ้าแต่พราหมณ์ ถ ้าเชน
ท่านนันแหละจงแบ่งพระสรีระพระผู ้มีพระภาคออกเป็ น ๘ สว่ นเท่าๆ กัน ให ้
เรียบร ้อยเถิด โทณพราหมณ์รับคําของหมูค
่ ณะเหล่านั นแล ้ว แบ่งพระสรีระ
พระผู ้มีพระภาคออกเป็ น ๘ สว่ นเท่ากันเรียบร ้อย จึงกล่าวกะหมูค
่ ณะ
เหล่านั นว่า ดูกรท่านผู ้เจริญทังหลาย ขอพวกท่านจงให ้ตุมพะนีแก่ข ้าพเจ ้า
เถิด ข ้าพเจ ้าจักกระทําพระสถูป
Page | 105

และกระทําการฉลองตุมพะบ ้าง ทูตเหล่านั นได ้ให ้ตุมพะแก่โทณพราหมณ์



[๑๖๐] พวกเจ ้าโมริยะเมืองปิ ปผลิวัน ได ้สดับข่าวว่า พระผู ้มีพระ
ภาคเสด็จปรินพ ิ ารา จึงสง่ ทูตไปหาพวกเจ ้ามัลละเมืองกุส ิ
ิ พานในเมืองกุสน
นาราว่าพระผู ้มีพระภาคเป็ นกษั ตริย ์ แม ้เราก็เป็ นกษั ตริย ์ เราควรจะได ้สว่ น
พระสรีระพระผู ้มีพระภาคบ ้าง จักได ้กระทําพระสถูปและการฉลองพระสรีระ
ิ าราตอบว่า
พระผู ้มีพระภาคพวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน สว่ นพระสรีระพระผู ้มี
ี แล ้ว พวกท่านจงนํ าพระอังคารไปแต่ทนี
พระภาคไม่ม ี เราได ้แบ่งกันเสย ี เถิด
พวกทูตนั น นํ าพระอังคารไปจากทีนันแล ้ว ฯ

[๑๖๑] ครังนั น พระเจ ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่า อชาตศัตรู เวเท


หีบต
ุ รได ้กระทําพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู ้มีพระภาค ในพระนคร
ราชคฤห์พวกกษั ตริยล
์ จ
ิ ฉวีเมืองเวสาลี ก็ได ้กระทําพระสถูปและการฉลอง
พระสรีระพระผู ้มีพระภาคในเมืองเวสาลี พวกกษั ตริยศ
์ ากยะเมืองกบิลพัสดุ์
ก็ได ้กระทําพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู ้มีพระภาคในเมือง
กบิลพัสดุ์ พวกกษั ตริยถ
์ ล
ู เี มืองอัลกัปปะ ก็ได ้กระทําพระสถูปและการฉลอง
พระสรีระพระผู ้มีพระภาคในเมืองอัลกัปปะ พวกกษั ตริยโ์ กลิยะเมืองรามคาม
ก็ได ้กระทําพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู ้มีพระภาคในเมืองรามคาม
พราหมณ์ผู ้ครองเมืองเวฏฐทีปกะ ก็ได ้กระทําพระสถูป และการฉลองพระ
สรีระพระผู ้มีพระภาคในเมืองเวฏฐทีปกะ พวกเจ ้ามัลละเมืองปาวา ก็ได ้
กระทําพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู ้มีพระภาค
Page | 106

ในเมืองปาวา ิ ารา
พวกเจ ้ามัลละเมืองกุสน ก็ได ้กระทําพระสถูปและการ
ิ ารา โทณพราหมณ์ ก็ได ้กระทํา
ฉลองพระสรีระพระผู ้มีพระภาคในเมืองกุสน
สถูปและการฉลองตุมพะ พวกกษั ตริยโ์ มริยะเมืองปิ ปผลิวัน ก็ได ้กระทําพระ
สถูปและการฉลองพระอังคารในเมืองปิ ปผลิวัน ฯ
พระสถูปบรรจุพระสรีระมีแปดแห่ง เป็ นเก ้าแห่งทังสถูปบรรจุตม

ิ แห่งทังพระสถูปบรรจุพระอังคาร ด ้วยประการฉะนี การแจกพระ
พะเป็ นสบ
่ นี เป็ นแบบอย่างมาแล ้ว ฯ
ธาตุและการก่อพระสถูปเชน

[๑๖๒] พระสรีระของพระพุทธเจ ้าผู ้มีพระจักษุ แปดทะนาน


เจ็ดทะนาน บูชากันอยูใ่ นชมพูทวีป สว่ นพระสรีระอีกทะนาน
หนึงของพระพุทธเจ ้า ผู ้เป็ นบุรษ
ุ ทีประเสริฐอันสูงสุด พวก
นาคราชบูชากันอยูใ่ นรามคาม พระเขียวองค์หนึงเทวดา
ู าแล ้ว สว่ นอีกองค์หนึง บูชากันอยูใ่ นคันธาร
ชาวไตรทิพย์บช
บุรี อีกองค์หนึงบูชากันอยูใ่ นแคว ้นของพระเจ ้ากาลิงคะ อีก
องค์หนึง พระยานาคบูชากันอยู่ ฯ
ด ้วยพระเดชแห่งพระสรีระพระพุทธเจ ้า นั นแหละ
ื า ทรงไว ้ซงแก
แผ่นดินนีชอว่ ึ ้วประดับแล ้วด ้วยนักพรตผู ้
ื า
ประเสริฐทีสุด พระสรีระของพระพุทธเจ ้าผู ้มีจักษุ นี ชอว่
ั การะๆ สก
อันเขาผู ้สก ั การะดีแล ้ว พระพุทธเจ ้าพระองค์ใด
อันจอมเทพจอมนาคและจอมนระบูชาแล ้ว อันจอมมนุษย์ผู ้
ประเสริฐสุดบูชาแล ้วเหมือนกัน ขอท่านทังหลายจงประนม
มือถวายบังคมพระสรีระนั นๆ ของพระพุทธเจ ้าพระองค์นัน
Page | 107

พระพุทธเจ ้าทังหลายหาได ้ยากโดยร ้อยแห่งกัป ฯ


พระทนต์ ๔๐ องค์ บริบรู ณ์ พระเกศา และ
พระโลมาทังหมด พวกเทวดานํ าไปองค์ละองค์ๆ โดยนํ า
ต่อๆ กันไปในจักรวาล ดังนีแล ฯ

จบมหาปรินพ
ิ พานสูตร ที ๓

You might also like