Professional Documents
Culture Documents
รายงานฉบับเต็ม4
รายงานฉบับเต็ม4
นางสาวชลิศวรา ระฤทธิ ์
นางสาวพิชญา กุมารสิทธิ ์
นายศุภณัฐ เชษฐบุรี
ข
วิทยานิพนธ์นเี ้ ป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร
ปริญญาวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล
คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ปี การศึกษา 2562
การศึกษาสภาวะสูญเสียแรงยกของอากาศยานไร้คนขับ
นางสาวชลิศวรา ระฤทธิ ์
นางสาวพิชญา กุมารสิทธิ ์
นายศุภณัฐ เชษฐบุรี
วิทยานิพนธ์นเี ้ ป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร
ปริญญาวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล
คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ปี การศึกษา 2562
คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์
ค
…………………………………………. ประธาน
กรรมการวิทยานิพนธ์
(รศ. ดร.ชวิน จันทรเสนาวงศ์)
…………………………………………. กรรมการ
(ดร.ดนัย เผ่าหฤหรรษ์)
…………………………………………. กรรมการ
(ดร.กำธร เสพย์ธรรม)
ลิขสิทธิข์ องมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ข
หัวข้อวิทยานิพนธ์ การศึกษาสภาวะสูญเสียแรงยกของ
อากาศยานไร้คนขับ
หน่วยกิต 5
ผู้เขียน นางสาวชลิศวรา ระฤทธิ ์
นางสาวพิชญา กุมารสิทธิ ์
นายศุภณัฐ เชษฐบุรี
อาจารย์ที่ปรึกษา รศ. ดร.ชวิน จันทรเสนาวงศ์
ระดับการศึกษา วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต
ภาควิชา วิศวกรรมเครื่องกล
คณะ วิศวกรรมศาสตร์
ปี การศึกษา 2562
บทคัดย่อ
โครงงานนีเ้ ป็ นการศึกษาแนวทางในการลงจอดของอากาศยานไร้คน
ขับแบบปี กตรึงในสภาวะสูญเสียแรงยก โดยใช้ตัวแปรมุมแพนหาง
แนวระดับในการปรับอากาศยาน ให้เข้าสู่สภาวะสูญเสียแรงยกและ
วิเคราะห์ผลโดยวัดมุมในการร่อน ความเร็วในการร่อน และค่ามุม
ปะทะของอากาศยานไร้คนขับ โครงงานนีไ้ ด้ออกแบบและสร้าง
เครื่องบินให้มีความยาวปี ก 2.0 เมตร ความยาวคอร์ดปี ก 0.3 เมตร
ความยาวลำตัว 1.4 เมตร และมีน้ำหนักพร้อมบิน 3.1 กิโลกรัม หลัง
จากจากการทดสอบความแข็งแรงของปี ก ทำการทดลองบินพื้นฐาน
และปรับแต่งจนสามารถบินได้อย่างมีสเถียรภาพแล้ว จึงทำการ
ทดลอง โดยทำการทดลองที่การปรับมุมแพนหางแยวระดับไปที่ 15
องศา, 25 องศา และ 35 องศา ตามลำดับ อย่างละ 3 ครัง้ ขณะ
ค
Abstract
กิตติกรรมประกาศ
งานวิจัยนีเ้ ป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาในหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร
บัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล ผู้วิจัยได้รับความอนุเคราะห์
จากบุคคลหลายฝ่ าย รวมทัง้ เอกสาร ตำราที่ใช้ ประกอบการศึกษา
ค้นคว้าอ้างอิง จนทำให้เกิดแนวคิดและขอบเขตในการวิจัย
ช่วยเหลือในด้านอุปกรณ์และเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกเกี่ยวกับ
งานวิจัยตลอดจนงานวิจัยสำเร็จลงด้วยความเรียบร้อย
สารบัญ
บ ท ค ัด ย ่อ ภ า ษ า ไ ท ย
ข
บ ท ค ัด ย ่อ ภ า ษ า อ ัง ก ฤ ษ
ค
ก ิต ต ิก ร ร ม ป ร ะ ก า ศ
ง
ช
ร า ย ก า ร ต า ร า ง
ช
ร า ย ก า ร ร ูป ป ร ะ ก อ บ
ซ
ร า ย ก า ร ส ัญ ล ัก ษ ณ ์
ญ
บ ท ท ี่ 1 บ ท น ำ
1
1.2 ว ัต ถ ุป ร ะ ส ง ค ์ข อ ง ง า น ว ิจ ัย
2
1.3 ข อ บ เ ข ต ข อ ง ง า น ว ิจ ัย
2
1.4 ป ร ะ โ ย ช น ์ท ี่ค า ด ว ่า จ ะ ไ ด ้ร ับ
2
1.5 ข น
ั ้ ต อ น ก า ร ด ำ เ น ิน ง า น
3
บ ท ท ี่ 2 ท ฤ ษ ฎ ีท ี่เ ก ี่ย ว ข ้อ ง
6
2.1 ก า ร เ ร ีย ก ช ่ อ
ื ม ุม ส ำ ห ร ับ เ ค ร ่ อ
ื ง บ ิน
6
บ ท ท ี่ 3 ก า ร อ อ ก แ บ บ ง า น ว ิจ ัย แ ล ะ ว ิธ ีก า ร ท ด ล อ ง
12
3.1 ว ัส ด ุแ ล ะ อ ุป ก ร ณ ์ท ี่ใ ช ้ใ น ก า ร ส ร ้า ง อ า ก า ศ ย า น
12
3.2 โปรแกรม Mission Planner ซอฟต์แ วร์ส ำหรับ บัน ทึก ข้อ มูล
การบิน 13
3.3 ก า ร อ อ ก แ บ บ
13
3.4 ว ิธ ีก า ร ท ด ล อ ง
13
บ ท ท ี่ 4 ก า ร ค ำ น ว ณ
14
4.1 ข น
ั้ ต อ น ก า ร ค ำ น ว ณ
14
สารบัญ (ต่อ)
4.2 ผ ล ก า ร ค ำ น ว ณ อ อ ก แ บ บ ข น า ด
14
บ ท ท ี่ 5 ผ ล ก า ร ท ด ล อ ง
19
ฌ
5.2 ผ ล ก า ร ท ด ล อ ง ข อ ง อ า ก า ศ ย า น
20
บ ท ท ี่ 6 ส ร ุป ผ ล ก า ร ท ด ล อ ง
25
เ อ ก ส า ร อ ้า ง อ ิง
27
ภาคผนวก
ภ า ค ผ น ว ก ก
29
ภ า ค ผ น ว ก ข
32
ภ า ค ผ น ว ก ค
43
ภ า ค ผ น ว ก ง
44
ญ
รายการตาราง
รายการรูปประกอบ
รูปที่ ค. 16 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความสูงกับเวลา 52
รูปที่ ค.17 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วกับเวลา 52
รูปที่ ค.18 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Angle of attack กับ
เวลา 53
รูปที่ ค.19 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความสูงกับเวลา 53
รูปที่ ค.20 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วกับเวลา 54
รูปที่ ค. 21 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Angle of attack กับ
เวลา 54
รูปที่ ค.22 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความสูงกับเวลา 55
รูปที่ ค.23 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วกับเวลา 55
รูปที่ ค.24 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Angle of attack กับ
เวลา 56
รายการสัญลักษณ์
C HT ระยะคอร์ดของแพนหางแนวระดับ
l HT ระยะจากจุดศูนย์ถ่วงถึงระยะ 25% ของC HT
SVT พื้นที่ฉายของแพนหางแนวดิ่ง
V VT อัตราส่วนปริมาตรแพนหางแนวดิ่ง (vertical tail
volume ratio)
C VT ระยะคอร์ดของแพนหางแนวดิ่ง
l VT ระยะจากจุดศูนย์ถ่วงถึง ระยะ 25% ของ C VT
บทที่ 1 บทนำ
1.1 ที่มาและความสำคัญของงานวิจัย
ในปั จจุบันมีการนำเอาอากาศยานไร้คนขับหรืออากาศยานชนิดที่ไม่มี
มนุษย์ประจำอยู่บนตัวอากาศยาน (unmanned aerial vehicle :
UAV) มาใช้งานอย่างแพร่หลายทัง้ ในด้านการสำรวจ เกษตรกรรม การ
แพทย์ และการคมนาคม ซึ่งหลายหน่วยงานทัง้ ภาครัฐและเอกชนได้มี
การพัฒนาอากาศยานไร้คนขับในด้านต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง [1] เนื่อง
มาจากอากาศยานไร้คนขับมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา [1] ส่งผลให้
ประหยัดค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติภารกิจและการซ่อมบำรุง อีกทัง้ ยัง
สามารถใช้ระบบอัตโนมัติในการบินปฏิบัติภารกิจบางประการที่มีความ
เสี่ยงและมีความซับซ้อน
โดยทั่วไปอากาศยานไร้คนขับแบบปี กตรึง (fixed-wing) หรือเรียกกัน
ง่ายๆ ว่าแบบเครื่องบิน (airplane) มักถูกนำไปใช้ในภารกิจการบิน
สำรวจหรือติดตามเป้ าหมายที่สนใจซึ่งต้องบินเป็ นเวลานานหรือระยะ
ทางไกล แต่บางครัง้ พื้นที่ปฏิบัติภารกิจไม่มีรันเวย์รองรับ และผู้บงั คับ
จะต้องสามารถการนำอากาศยานบินขึน
้ และลงจอดได้ในระยะทางสัน
้ ๆ
อีกทัง้ ยังเต็มไปด้วยต้นไม้ สิ่งก่อสร้างและสิง่ กีดขวางอื่นๆ จึงต้องอาศัย
2
1.2 วัตถุประสงค์ของงานวิจัย
โครงงานนีเ้ ป็ นการวิจัยสภาวะการสูญเสียแรงยกของอากาศยานไร้คน
ขับแบบเครื่องบิน โดยใช้ข้อมูลตัวแปรสภาวะการบิน (flight condition
variables) ตัวแปรแพนหางแนวระดับ (elevator deflection) และคัน
เร่ง (throttle) พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะการบินกับการ
ควบคุม เพื่อนำไปใช้เป็ นแนวทางในการควบคุมเครื่องบินให้เข้าสู่สภาวะ
การสูญเสียแรงยก (stall) และการควบคุมการทรงตัวให้อยู่ในสภาวะ
3
1.3 ขอบเขตของงานวิจัย
โครงงานนีจ
้ ะทำการเก็บข้อมูลจากการบินทดสอบแล้วนำมาวิเคราะห์
โดยมีขอบเขตงานวิจัยดังนี ้
1. สร้างอากาศยานไร้คนขับแบบเครื่องบิน โดยมีน้ำหนัก 3.5 kg เพื่อ
ความสะดวกในการเคลื่อนย้ายและหาสถานที่บินทดสอบ
2. ติดตัง้ ระบบวัดและบันทึกข้อมูลการบิน ได้แก่ มุมปะทะ (angle of
attack) ความเร็วสัมพัทธ์กับอากาศ (airspeed) มุมเอียงตัว (attitude)
ตำแหน่ง (GPS coordinate) การควบคุมแพนบังคับ และคันเร่ง
3. ทำการบินทดสอบโดยนักบินเป็ นผู้บังคับ โดยพยายามเปลี่ยนแปลง
มุมแพนหางแนวระดับให้เข้าสู่สภาวะการสูญเสียแรงยก
4. นำความเร็วสัมพัทธ์กับอากาศ ระยะทางแนวดิ่ง ระยะทางแนวนอน
และมุมแพนหางแนวระดับ จากการบินทดสอบมาวิเคราะห์เพื่อ
พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างความชันในการร่อนลง และความ
ปลอดภัยของอากาศยาน เพื่อวิเคราะห์หาความชันในการร่อนลงที่ดี
ที่สุด เพื่อให้อากาศยานลงจอดด้วยรันเวย์ที่สน
ั ้ ที่สุด
1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. มีฐานข้อมูลของอากาศยานเพื่อนำไปสร้างอากาศยานไร้คนขับที่
สามารถร่อนลงจอดภายใต้สภาวะการสูญเสียแรงยกได้
4
2. มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีการบินของอากาศยานและการ
ออกแบบอากาศยาน
3. มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาวะการสูญเสียแรงยกของ
อากาศยานแบบเครื่องบินเพื่อนำความรู้ไปพัฒนาขัน
้ ตอนการควบคุมที่
ทำให้อากาศยานสามารถทรงตัวอยู่ได้ในสภาวะสูญเสียแรงยกได้
1.5 ขัน
้ ตอนการดำเนินงาน
1. ศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอากาศยานไร้คนขับและ
เลือกงานวิจัยที่เหมาะสมเพื่อนำไปใช้อ้างอิงการสร้างอากาศยานไร้คน
ขับแบบเครื่องบิน
2. เลือกรูปแบบอากาศยาน และชนิดของแพนอากาศ เพื่อใช้เป็ นต้น
แบบในการสร้างอากาศยานไร้คนขับ
3. เขียนแบบจำลองอากาศยานสามมิติ ด้วยโปรแกรม Solidworks
และสร้างแบบจำลองอากาศยาน
4. นำแบบจำลองอากาศยาน ไปบินทดสอบทำการบินทดสอบโดย
นักบินเป็ นผู้บังคับ โดยพยายามเปลี่ยนแปลงมุมปะทะให้เข้าสู่สภาวะ
การสูญเสียแรงยก
5. บันทึกข้อมูลการบิน ได้แก่ มุมปะทะ (angle of attack) ความเร็ว
สัมพัทธ์กับอากาศ (airspeed) มุมเอียงตัว (attitude) ตำแหน่ง (GPS
coordinate) การควบคุมแพนบังคับ และคันเร่ง
6. วิเคราะห์และสรุปผลการทดลอง
5
7. จัดทำรูปเล่มรายงานและนำเสนอ
1.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1.6.1 Analysis of deep stall landing for UAV [2]
บทความนีไ้ ด้ทำการศึกษาวิธีลงจอดแบบการสูญเสียแรงยกแบบท้ายลำ
ห้อย (deep stall landing) ซึ่งเป็ นการลงจอดที่ใช้ประโยชน์จากความ
สัมพันธ์ระหว่างแรงยกกับมุมปะทะ (angle of attack) ในสภาวะสูญ
เสียแรงยก (stall) ทำให้เส้นทางการลดระดับความสูงมีความชัน
มากกว่าการร่อนลงแบบปกติจึงใช้ระยะทางในการลงจอดสัน
้ ลง โดยใน
บทความนี ้ แบ่งการศึกษาออกเป็ น 2 ขัน
้ ตอน คือ 1. numerical
flight simulation 2. ทดสอบด้วยการบินจริง (flight test) โดยใช้
แพนอากาศ NACA0012 แล้วนำข้อมูลจากการบินมาเปรียบเทียบกับผล
ที่ได้จากการ simulation เพื่อแสดงให้เห็นว่าการลงจอดแบบ Deep
stall สามารถทำได้จริง
ในการศึกษานีไ้ ด้ทำการจำลองการบินด้วยโปรแกรม
MATLAB/Simulink ซึง่ จะพิจารณาที่ระนาบตามยาว (longitudinal
plane) เท่านัน
้ โดยใช้แพนอากาศ NACA0012 ในการวิเคราะห์ แล้ว
เก็บค่าแรงยก แรงต้าน และโมเมนต์
ด้วยจะยะทางที่สน
ั ้ ลงได้ แต่ควรปรับปรุงการเคลื่อนที่แนวขวาง
(latitudinal notion) ต่อไปในอนาคต
ในการศึกษาเกี่ยวกับอากาศยานไร้คนขับนัน
้ จะต้องมีความรู้พ้น
ื ฐาน
เกี่ยวกับอากาศยาน ซึ่งบทนีจ
้ ะกล่าวถึง การเรียกชื่อมุมและการ
เคลื่อนที่ในแนวแกนต่างๆของเครื่องบิน สมการการเคลื่อนที่ การ
คำนวณมุมปะทะ และการเกิดสภาวะสูญเสียแรงยกของอากาศยาน
2.1 การเรียกชื่อมุมสำหรับเครื่องบิน
กำหนดให้จุดกำเนิดคือ CG ของอากาศยาน เราจะเรียกแกน x คือแกน
ที่มีทิศพุ่งไปข้างหน้าตามการเคลื่อนที่ของเครื่องบิน แกน y จะมีทิศ
เดียวกันกับปี กและตัง้ ฉากกับแกน x ส่วนแกน z เกิดจากการคูณกันของ
เวกเตอร์แกน y และ x มีทิศพุ่งขึน
้
elevat
rudder
ailero
รูปที่ 2.3 ภาพแสดง Angle of attack, pitch angle และ flight path
angle [4]
α =θ−arc tan ( V )
V Vertical
+α Initial
(2.1)
เมื่อเปิ ดมุมปะทะเพิ่มขึน
้ แรงยกก็จะเพิ่มตาม ในขณะเดียวกัน
เมื่อเพิ่มมุมปะทะขึน
้ เรื่อย ๆ จะมีตำแหน่งหนึ่งที่ให้ค่าสูงสุดของแรงยก
9
เมื่อเปิ ดมุมปะทะให้โตขึน
้ มากไปกว่านีแ
้ รงยกจะลดลง ปรากฏการณ์ตรง
จุดนี ้ คือ การสูญเสียแรงยก (Stalling point) คำนีใ้ นภาษาไทยมักเรียก
ว่า “ร่วงหล่น” มีหลายปั จจัยที่ทำให้เกิดการสูญเสียแรงยก สิ่งหนึ่งคือ
การเปิ ดมุมปะทะมากทำให้จุดอากาศหยุดนิ่ง เคลื่อนที่ต่ำลงมาเรื่อย ๆ
การไหลของกระแสอากาศผ่านผิวแพนอากาศด้านบน มีระยะทางเพิ่ม
ขึน
้ ความหนืดของอากาศและแรงเสียดทานเริ่มส่งผล ทำให้อัตราการ
เปลี่ยนแปลงความดัน (Pressure gradient) บริเวณใกล้กับผิวของแพน
อากาศมีค่ามากขึน
้ (มีการเปลี่ยนค่าของความดันอากาศอย่างรวดเร็ว
หรือเปลี่ยนมากในระยะทางสัน
้ ๆ) คือ ความดันลดลงอย่างรวดเร็วเกิน
ไป เมื่อเทียบกับระยะทาง และอากาศที่ไหลมีโมเมนตัมไม่เพียงพอ ซึ่งไม่
ต้องการให้เกิดขึน
้ (Adverse pressure gradient) เพราะทำให้เกิดการ
ไหลแยกตัว ผลจากการเปิ ดมุมปะทะที่สูงเกินไป จุดศูนย์กลางความดัน
จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าคือชายหน้าของแพนอากาศ ในขณะที่อัตราการ
เปลี่ยนแปลงความดันมีมากขึน
้
มีปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็ นการเปลี่ยนแปลงความดันที่เป็ นไป
อย่างรวดเร็ว ความหนืดของอากาศ แรงเสียดทานระหว่างอากาศกับผิว
ของแพนอากาศ อากาศซึ่งกำลังไหลไปตามผิวของแพนอากาศเกิดการ
ไหลแยกตัว (Separate) จากผิวของแพนอากาศ ณ จุดหนึ่ง ซึ่งอยู่ด้าน
บนดังในรูปที่ 2.4 ไม่มีการไหลของกระแสอากาศ ไหลเรียบไปตามผนัง
หรือผิวของแพนอากาศด้านบน มีแต่การไหลหมุนวน (Wake) ของ
อากาศในบริเวณที่มีการแยกตัว ปรากฏการณ์นส
ี ้ ่งผลให้แรงยกลดลง
และแรงต้านจากความดันเพิ่มขึน
้ อย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ในลักษณะนี ้
บอกได้ว่าเป็ นสภาวะสูญเสียแรงยก
10
Separation
Wake
สำหรับแพนอากาศที่ได้ผ่านการทดลองเพื่อหาคุณสมบัติมาแล้ว
เราสามารถบอกได้ว่าเปิ ดมุมปะทะเท่าไหร่จึงจะทำให้เกิดสภาวะสูญเสีย
แรงยก การ Plot ค่าระหว่างมุมปะทะกับสัมประสิทธิแ์ รงยก ดังรูปที่
2.6 จะเห็นว่าการเพิ่มขึน
้ ของแรงยก เป็ นไปตามการเปิ ดมุมปะทะ
ค่าแรงยกมากสุดก่อนถึงมุม stall และเมื่อมุมปะทะเท่ากับมุม stall
แรงยกจะเริ่มตกลงอย่างรวดเร็ว มุมปะทะที่การสูญเสียแรงยกเกิดขึน
้ นี ้
ขึน
้ อยู่กับชนิดของแพนอากาศ
3.1 วัสดุและอุปกรณ์ทใ
ี่ ช้ในการสร้างอากาศยาน
3.1.1 แผ่น Plaswood ขนาดความหนา 3 mm ใช้สำหรับสร้างลำตัว
3
3.1.2 โฟม EPS ความหนาแน่น 2 lb./ft ใช้สำหรับการสร้างปี กรูป
ทรง Airfoil
3.1.3 Filament Tape เสริมความแข็งแรงของตัวอากาศยาน
3.1.4 แผ่นอะลูมิเนียมรูปตัว L หนา 1 mm. ใช้สำหรับช่วยเสริมความ
แข็งแรงของปี กและแพนหาง
3.1.5 แท่งอะลูมิเนียมกลวง ขนาด outer diameter 22 mm. inner
diameter 21 mm. ยาว 646 mm. จำนวน 1 แท่ง ใช้สำหรับช่วย
เสริมความแข็งแรงของลำตัวระหว่างทำการบิน
3.1.6 Fr Sky X8R 2.4G 16CH SBUS Smart Port Telemetry
Receiver ตัวรับสัญญาณ และส่งสัญญาณไปยังอุปกรณ์ควบคุมต่างๆ
3.1.7 Emax Motor : GT3520/05
3.1.8 ใบพัดไฟเบอร์
3.1.9 Servo Motor จำนวน 4 ตัว
13
3.3 การออกแบบ
แสดงการเขียนแบบในภาคผนวก ง ทัง้ นีอ
้ ากาศยานใช้แพนอากาศแบบ
NACA 2.5411 (NACA2.411-il) และแพนหางแนวระดับแบบ Flat
bottom airfoil เนื่องจากมีค่า Cl/Cd ratio สูง และง่ายต่อการตัดขึน
้
รูปปี ก
3.4 วิธก
ี ารทดลอง
ทำการทดสอบโดยการปรับมุมแพนหางแนวระดับให้เป็ น 15, 25 และ
35 องศา มีขน
ั ้ ตอนการทดลองดังนี ้
1. ทดสอบการบินของอากาศยานโดยบินที่สภาวะปกติความเร็วคงที่ 15
m/s ระดับความสูง 60 m เหนือระดับน้ำทะเล
2. เมื่อบินที่สภาวะปกติได้แล้วให้เตรียมนำอากาศยานร่อนลง โดยลด
ความเร็วอากาศยานลงเป็ น 10 m/s ที่ระดับความสูง 60 m เหนือ
ระดับน้ำทะเล จากนัน
้ ปรับมุมแพนหางแนวระดับ (elevator) ให้เป็ น
15 องศา พร้อมกับปล่อยคันเร่ง (throttle)
3. ปรับมุมแพนหางแนวระดับค้างไว้ จนอากาศยานสามารถกลับเข้าสู่
สภาวะสมดุลใหม่ได้อีกครัง้
4. บันทึกความเร็ว (airspeed) มุมปะทะ พิกัดการเคลื่อนที่ของ
อากาศยานแนวดิ่งและแนวนอน เพื่อนำไปเขียนกราฟความสัมพันธ์
ระหว่าง ความเร็วกับเวลา มุมปะทะกับเวลา และ ระยะทางแนวดิ่งและ
แนวนอน
5. ทำซ้ำตัง้ แต่ข้อ 1. ถึงข้อ 4. โดยเปลี่ยนมุมแพนหางแนวระดับเป็ น 25
และ 35 องศา ตามลำดับ
15
3.5 ตัวแปรที่เกี่ยวข้องในการทดลอง
ในการนำอากาศยานไร้นักบิน ขึน
้ บินทดสอบจริงและทำการทดลองเพื่อ
ศึกษาสภาวะสูญเสียแรงยกจะมีตัวแปรที่เกี่ยวข้องดังนี ้
ตัวแปรต้น – Angle of Attack และ มุมแพนหางแนวระดับ ซึ่งส่งผล
ต่อการบินของอากาศยานในการเข้าสู่สภาวะสูญเสียแรงยกและ
ความเร็วของอากาศยาน
ตัวแปรตาม – ความเร็วอากาศยานในสภาวะสูญเสียแรงยก, พิกัดการ
เคลื่อนที่แนวดิ่งและแนวระดับ
ตัวแปรควบคุม – อากาศยานใช้ลำเดียวกันในการทดลอง ทัง้ นี ้
อากาศยานใช้แพนอากาศแบบ
NACA 2.5411 (NACA2.411-il) และแพนหางแนวระดับแบบ Flat
plate
บทที่ 4 การคำนวณ
ในบทนีจ
้ ะกล่าวถึงการคำนวณออกแบบตัวลำอากาศยานให้มามารถใช้
สำหรับการบินทดสอบในสภาวะปกติและสภาวะสูญเสียแรงยก
ประกอบด้วยขัน
้ ตอนในการคำนวนแสดงในข้อ 4.1 ดังนี ้
4.1 ขัน
้ ตอนการคำนวณ
(1) กำหนดขอบเขตของเครื่องบิน โดยกำหนดให้เครื่องบินมีมวล 3.5 kg
และ ความกว้างปี ก (Span)
2 m โดยทำการคำนวณที่การบินที่สภาวะความสูง 60 m เหนือ
ระดับน้ำทะเล
16
4.2 ผลการคำนวณออกแบบขนาด
4.2.1 เลือกรูปแบบปี ก
17
design
design point
หาความเร็วที่ใช้ในการบินที่สภาวะไร้ความเร่งเมื่อบินที่ความสูง 60 m
เหนือระดับน้ำทะเล
4.2.2 คำนวณหาขนาดของมอเตอร์
สภาวะที่ใช้แรงมอเตอร์สูงสุดคือการ take off ในแนวดิ่งด้วยความเร่ง
เป็ นศูนย์ และละเว้นแรงต้านเนื่องจากมีค่าน้อยมาก (แสดง FBD ใน
ภาคผนวก ข)
สมการการเคลื่อนที่ Tsinθ+ Lsinθ−mg−Dsinθ=m a y
จะได้ว่า T =mg
T =3.102 ×9.81=30.43 N
4.2.3 ออกแบบแผ่นเสริมความแข็งแรงของปี ก
ออกแบบแผ่นเสริมความแข็งแรงที่สามารถรองรับ Bending Moment
ที่เกิดขึน
้ ขณะเครื่องบินทำการบิน โดยให้แกนปี ก (wing spar) จาก
19
L=32.028 N
แรงยกที่กระทำบริเวณปลายแผ่นอะลูมิเนียมเสริมความแข็งแรงของปี ก
(16.014 × 2)−(16.014 x 1.914 )
L= = 0.689 N
2
เมื่อนำค่าที่ได้ไปเขียน Bending Moment Diagram จะได้ว่า
Moment สูงสุดที่กระทำกับเพลาบริเวณ จุด A และจุด B จะเท่ากับ
(แสดงในภาคผนวก ข)
20
∑ M A =√ 7.2132+ 02=7.213 N . m
∑ M B=√ 7.2132 +02=7.213 N . m
C 310 Mpa 6 −3
ซึ่ง = =42.978 ×10 m
I 7.213 N . m
−10 4
For L shape; I =7.781 ×10 m
C 4.371 ×10−3 m 6 −3
= =5.618 x 10 m
I 7.781× 10−10 m4
ใช้ขน
ั ้ ตอนการคำนวณแบบเดียวกันกับตำแหน่งเสริมความแข็งแรงและ
สภาวะการบินอื่นๆ ได้แก่ แกนเสริมความแข็งแรงปี กที่สภาวะสูญเสีย
แรงยก (Stall) ลำตัวเครื่องบินที่ใช้เพลากลวงในการเสริมความแข็งแรง
และแพนหางแนวระดับที่ใช้แผ่นอลูมิเนียม Cross section รูปตัว L
สรุปผลการคำนวณดังตารางที่ 4.1
22
4.2.6 การคำนวณพื้นที่แพนหางแนวระดับและแพนหางแนว
ดิ่ง
4.2.6.1 การคำนวณพื้นที่แพนหางแนวระดับ
ในการการคำนวณพื้นที่แพนหางแนวระดับตัวแปรที่จะใช้ใน
การคำนวณมีดังนี ้
V HT C S
จากสูตร Volume coefficient[11] S HT =
l HT
(0.6)(0.298 m)(0.596 m2 )
S HT =
(0.847 m2 )
S HT =0.126 m2
23
ดังนัน
้ จะได้พ้น
ื ที่แพนหางแนวระดับเท่ากับ 0.126 ตารางเมตร ซึ่ง
อากาศยานมีพ้น
ื ที่เท่ากับ 0.127 ตารางเมตร
4.2.6.2 การคำนวณแพนหางแนวดิ่ง
V VT b s
จากสูตร Volume coefficient[11] SVT =
l VT
2
SVT =0.056 m
ดังนัน
้ จะได้พ้น
ื ที่แพนหางแนวดิ่งเท่ากับ 0.056 ตารางเมตร ซึง่
อากาศยานมีพ้น
ื ที่เท่ากับ 0.0561 ตารางเมตร
บทที่ 5 ผลการทดลอง
ในบทนีจ
้ ะกล่าวถึงผลการทดสอบอากาศยานอันได้แก่ การ
ทดสอบความแข็งแรงปี กอากาศยาน และการทดสอบบินจริงตามที่ได้
ออกแบบการทดลองไว้
5.2 ผลการทดลองของอากาศยาน
5.2.1 ผลการทดสอบการบิน
0
0 f(x) 5= − 2.40925265871375
10 15 20
x + (s) 25 30
3.85699585753135 35 40
-10 time
-20
R² = 0.995219732145602
alt (m) -30
-40
-50
-60
-70
-80
-90
จากกราฟแสดงถึงอากาศยานไร้คนขับบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและ
ปรับ Elevator ที่ 15 องศา
อากาศยานจะร่อนด้วยอัตราการสูญเสียความสูง 2.41 m/s คำนวณ
จากความชันของกราฟ โดยทำมุมในการร่อนเทากับ 12.80 องศา
12
11.5
11 Average airspeed [Y
VALUE] m/s
airspeed (m/s)
10.5
10
9.5
8.5
8
0 5 10 15 20 25 30 35 40
time (s)
23
จากกราฟ จะพบว่าเมื่ออากาศยานบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและ
ปรับ Elevator ที่ 15 องศา อากาศยานจะร่อนด้วยความเร็วที่ไม่คงที่
และมีการเคลื่อนที่ขน
ึ ้ และลง และมีความเร็วเฉลี่ยเท่ากับ 10.602 m/s
35
30
1 period
25
aoa (deg)
20
15
10
0
0 5 10 15 20 25 30 35 40
time (s)
จากกราฟ จะพบว่าเมื่ออากาศยานบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและ
ปรับ Elevator ที่ 15 องศาอากาศยานจะร่อนด้วย angle of attack ที่
ไม่คงที่ ลักษณะเหมือนกราฟของฟั งก์ชัน sine ซึง่ ความถี่ในการเชิดหน้า
ขึน
้ และลงของอากาศยานเท่ากับ 0.167 Hz ซึ่งคำนวณมาจากค่าเฉลี่ย
ของส่วนกลับของคาบ
24
5.2.2 ตารางสรุปผลการทดสอบ
ตารางที่ 5.1 สรุปผลการทดสอบ
ความเร็ว อัตราการ ความถี่
ในการบิน สูญเสีย
มุมในการ ของ AOA
ร่อน ความสูง ร่อน(องศา (Hz)
การทดลอง (m/s) (m/s) )
มุม Trim Elevator 15 19.321 0.167
5.2.3 กราฟแสดงประสิทธิภาพในการร่อนที่มุมต่างๆ
26
28 25_3 , 28.787
24
มุมในการร่อน(องศา)
20 15_2 , 20.309 25_1 , 20.103
15_1 , 19.321
25_2 , 18.325
16 35_2 16.271
19
35_1 , 17.630
มุมในการร่อนจากความเร็ว
17
15
[X
เฉลี่ย(องศา)
13 VALUE]_1 , 35_2 , 13.269
25_2 , 12.395
11 12.803
15_2 , 11.034 25_3 , 11.277
9
15_3 , 9.501
25_1 , 8.463 35_3 , 8.462
7
5
10 15 20 25 30 35 40
มุม trim elevator(องศา)
จากกราฟแสดงมุมในการร่อนของอากาศยาน ที่คำนวณมากจาก
ความเร็วในการร่อน และ อัตราการสูญเสียความสูงของอากาศยาน ที่
การปรับมุม elevator ของอากาศยานที่มุม 15,25,35 องศา โดยจะ
เห็นได้ว่าที่ การปรับมุม elevator ของอากาศยานไปที่ 35 องศาจะได้
มุมในการร่อนมากที่สุด โดยจะมีมุมการร่อนเฉลี่ยของ การทดลองปรับ
มุม elevator ของอากาศยานไปที่มุม 35 องศาทัง้ สามครัง้ เท่ากับ
13.120 องศา มีความเร็วในการร่อนเฉลี่ยเท่ากับ 8.950 m/s และ มุม
การร่อนเฉลี่ยของการทดลองปรับมุม elevator ของอากาศยานไปที่มุม
15 องศา สามครัง้ เท่ากับ 11.113 องศา มีความเร็วในการร่อนเฉลี่ย
10.480 m/s และที่มุมการร่อนเฉลี่ยของการทดลองปรับมุม elevator
28
บทที่ 6 สรุปผลการทดลอง
จากการทดลองพบว่าเมื่อทำการเปิ ดมุม Elevator ไปที่มุม
15 องศา, 25 องศา และ 35 องศา จะทำให้เครื่องบินมีมุม Angle of
attack ที่เพิ่มมากขึน
้ จนกระทั่งมุม Angle of attack เข้าสู่มุม stall
และทำให้เครื่องบินศูนย์เสียแรงยกและทำการเก็บค่า Trajectory ของ
เครื่องบินเพื่อคำนวณมุมในการร่อนลงของเครื่องบิน มีผลทดสอบดัง
ตาราง
3 3 3
ค่าเฉลี่ย 17.092 ค่าเฉลี่ย 22.405 ค่าเฉลี่ย 12.059
จากการบินทดสอบ พบว่าอากาศยานที่ใช้ในการบินทดสอบมีความแข็ง
แรงที่จะใช้ในบินทดสอบเนื่อง การคำนวณความแข็งของปี กและลำตัว
30
ข้อเสนอแนะ
จากการทดลองหามุมในการร่อนของอากาศยานที่สภาวะศูนย์เสียแรง
ยก พบว่า หากมีเวลามากกว่านีเ้ ราจะทำการทดลองซ้ำในส่วนของปรับ
มุม Elevator ไปที่ 15 องศา, 25 องศา และ 35 องศา เพื่อเก็บผลการ
ทดลองให้มากขึน
้ จนกระทั่งข้อมูลที่ได้มีแนวโน้มที่ชัดเจน และสามารถ
อธิบายความชันในการร่อนของอากาศยานที่สภาวะสูญเสียแรงยกได้
ชัดเจนขึน
้ และจากการทดลองหามุมในการร่อนของอากาศยานที่
สภาวะศูนย์เสียแรงยก ผลการทดลองพบว่า การเปิ ดมุม Elevator ไปที่
25 องศาส่งผลให้ อากาศยานมีมุมในการร่อนลงมากที่สุด อย่างไรก็ตาม
ยังมีอีกหลายส่วนของสภาวะที่ยังไม่ได้พิจารณาเช่น การเคลื่อนที่ในแนว
แกน latitudinal stability ขณะลงจอดในสภาวะศูนย์เสียแรงยก หรือ
แรงกระแทกที่เกินขึน
้ กับตัวเครื่องบินขณะลงจอดในสภาวะศูนย์เสียแรง
ยก ซึ่งการศึกษาในส่วนต่างๆ เหล่านีย
้ ังเป็ นหัวข้อที่จะต้องทำการศึกษา
กันต่อไปในอนาคต เพื่อพัฒนาการลงจอดในสภาวะศูนย์เสียแรงยกให้มี
ประสิทธิภาพมากที่สุด
เอกสารอ้างอิง
12. Justin W., Hikaru O., Bharath G., Inderjit C., 2018, Basic
Understanding of Airfoil
Characteristics at Low Reynolds Numbers , University
of Maryland.
13. National Aeronautics and Space Administration, Forces
in a Climb [Online],
Available:
https://www.grc.nasa.gov/WWW/K-12/airplane/climb.html
[2020 March 29].
14. ABC flying, Emax Motor : GT3520/05-925kV [Online],
Available :
http://www.abcflying.com/store/product/view/
Emax_Motor_:_GT3520_05_925KV-28110156-th.html
[2020 January 4]
ภาคผนวก ก
แพนอากาศ NACA 2.5411 (NACA 2411-il)
X
Y 30
1.00000
0.00000
0.99730
0.00059
0.98918
0.00235
0.97578
0.00520
0.95720 1. รูปร่างแพนอากาศ NACA 2.5411 (NACA 2411-
0.00906 il) [10]
0.93365
0.01380 รูปที่ ก.1 รูปร่างแพนอากาศ NACA 2.5411 [10]
0.90535
0.01927
ตารางที่ ก.1 พิกัดรูปร่างแพนอากาศ NACA
0.87260
2.5411 [10]
X X
0.02532
Y Y
0.83577
0.24745 0.25255 -
0.03175
0.07588 0.03291
0.79520
0.20292 0.29842 -
0.03839
0.07193 0.03165
0.75138
0.16175 0.34642 -
0.04506
0.06659 0.03005
0.70475
0.12448 0.39612 -
0.05158
0.06006 0.02830
0.65583
0.09148 0.44740 -
0.05777
0.05253 0.02637
0.06317 0.49933 -
31
CL
Angle of attack
รูปที่ ก.2 ความสัมพันธ์ระหว่างสัมประสิทธิแ์ รงยกกับมุมปะทะ
ภาคผนวก ข
การคำนวณออกแบบ
33
Free A B
body
y (m)
deflection
x (m)
0.028
34
y (m)
deflection
x (m)
1.914
0.042
36
y (m)
deflection
x (m)
0.35
0.735 x
10-3
37
Free
ที่เกิดขึน
้ กับแกนเสริมความแข็งแรงแพนหางแนว
body
ระดับ
38
y (m)
deflection
0.625 x (m)
0.006
1.คำนวณความแข็งแรงของปี กที่สภาวะสูญเสียแรงยก
เลือกคำนวณที่จุดที่ทำให้เกิดแรงยกสูงสุดนั่นคือ C L =1.27 และ α =13.25 ˚
จะได้ L=47.693 N
39
Distributed Load
47.693 N
L= = 23.847 N /m
2m
แรงยกที่กระทำบริเวณปลายแผ่นอะลูมิเนียมเสริมความแข็งแรงของปี ก
(23.847× 2)−(23.847 x 1.914 )
L= =1.025 N
2
C
=28.869 x 106 m−3
I
−3
C 4.371 ×10 m 6 −3
= =5.618 x 10 m
I 7.781× 10 m
−10 4
จากการทำ Superposition
2.การออกแบบเพลาลำตัว
ออกแบบเพลาลำตัวให้สามารถรองรับ Bending moment และ shear
stress ที่เกิดขึน
้ โดยวัสดุแกนเพลาเลือกใช้อะลูมิเนียมเนื่องจากมีน้ำ
หนักเบา ทนต่อความร้อน การกัดกร่อน และทนต่อการแตกหัก
คำนวณแรงยกที่เกิดจากแพนหางแนวระดับ กำหนดให้แพนหางหลัง
เป็ น Flat plate ที่มุมปะทะ 13.25 องศา จะมีสัมประสิทธิแ์ รงยกเป็ น
0.6 [12]
จาก L= ( 12 ρ V ) S
2
proj CL
π 4 4
for Hollow circle : I= ( D −d )
64
π
I=
64
( ( 22 ×10−3) −( 21×10−3 ) )=1.953 ×10−9 m4
4 4
−3
c (11 ×10 )m 6 −3
= =5.632×10 m
I 1.953 ×10 m
−9 4
SF=8.706
จากการทำ Superposition
3.การออกแบบแผ่นเสริมความแข็งแรงแพนหางแนวระดับ
ออกแบบเพลาลำตัวให้สามารถรองรับ Bending moment และ shear
stress ที่เกิดขึน
้ โดยวัสดุเสริมความแข็งแรง เลือกใช้แผ่นอะลูมิเนียมรูป
ทรงตัว L ขนาดกว้าง 10 mm ยาว 35.3 m หนา 1 mm
แรงยกที่กระทำบริเวณปลายแผ่นอะลูมิเนียม
ขณะเครื่องบินบินที่ความเร็ว 15 เมตรต่อวินาที
Mc
จาก σ=
I
C σ
= × SF
I M
C 310 Mpa
= =714.286 ×10 6 m−3
I 0.434 N . m
−10 4
For L shape; I=1.800 ×10 m
−3
C 2.868 ×10 m 6 −3
= =15.933 x 10 m
I 1.8× 10 m
−10 4
c
จะเห็นได้ว่า ค่า I จาก แผ่นอะลูมิเนียมที่เลือกมีค่าน้อยกว่าค่ามากที่สุด
ที่เป็ นไปได้ ทำให้เพลา ดังกล่าวสามารถรับภาระได้โดยที่มี Safety
Factor เท่ากับ 44.831
คำนวณหา Deflection ที่เกิดขึน
้ บนแท่งแสริมความแข็งแรง
จากการทำ Superposition
4. ภาพแสดงตัวแปรต่างๆที่ใช้คำนวณแพนหางแนวระดับ
5. แผนภาพแสดงแรงที่กระทำต่อเครื่องบินและสมการการเคลื่อนที่
ในขณะไต่ระดับ (climb) [13]
46
1. ผลการทดสอบการบินที่มุมแพนหางแนวระดับเป็ น 15 องศา
0
0 f(x) = −5 2.02476761953326
10 15 x + 0.688483610615108
20 25 30 35
-10
R² = 0.996458231678232
-20
alt (m)
-30
-40
-50
-60
-70
time (s)
จากกราฟพบว่าเมื่ออากาศยานไร้คนขับบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและปรับ
Elevator ที่ 15 องศา อากาศยานจะร่อนด้วยอัตราการสูญเสียความสูง
2.02 12 5
11.5
airspeed (m/s)
11
10.5
10
9.5
8.5
0 5 10 15 20 25 30 35
time (s)
25
20
aoa (deg)
15
10
0
0 5 10 15 20 25 30 35
time (s)
จากกราฟ จะพบว่าเมื่ออากาศยานบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและปรับ
Elevator ที่ 15 องศาอากาศยานจะร่อนด้วย angle of attack ที่ไม่
คงที่ ลักษณะเหมือนกราฟของฟั งก์ชัน sine ซึ่งความถี่ในการเชิดหน้า
ขึน
้ และลงของอากาศยานเท่ากับ 0.167 Hz
0
0 f(x) =
5 − 1.74943305800217
10 15 20 x25 30 35 40
+ 1.18385485123011 45 50
-10
R² = 0.995642726697404
-20
-30
alt (m)
-40
-50
-60
-70
-80
time (m)
จากกราฟพบว่าเมื่ออากาศยานไร้คนขับบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและปรับ
Elevator ที่ 15 องศา
อากาศยานจะร่อนด้วยอัตราการสูญเสียความสูง 1.749 m/s โดยทำมุม
ในการร่อนเทากับ 9.501 องศา
12.5
รูป 12
ที่
ค. 11.5
5
airspeed (m/s)
11
10.5
10
9.5
9
8.5
8
0 5 10 15 20 25 30 35 40 45 50
time (s)
กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วกับเวลา
ของอากาศยานไร้คนขับที่ Elevator ทำมุม 15 องศา ครัง้ ที่ 3
จากกราฟ จะพบว่าเมื่ออากาศยานบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและปรับ
Elevator ที่ 15 องศา อากาศยานจะร่อนด้วยความเร็วที่ไม่คงที่ และมี
การเคลื่อนที่ขน
ึ ้ และลง ลักษณะเหมือนกราฟของฟั งก์ชัน sine โดยมี
ความถี่เท่ากับ 0.125 Hz และมีความเร็วเฉลี่ยเท่ากับ 10.453 m/s
48
25
20
aoa (deg) 15
10
0
0 5 10 15 20 25 30 35 40 45 50
time (s)
2. ผลการทดสอบการบินที่มุมแพนหางแนวระดับเป็ น 25 องศา
0 time (s)
0 5 10 15 20 25 30 35 40 45
-30
-40
-50
-60
11
airspeed (m/s)
10
6
0 5 10 15 20 25 30 35 40 45
time (s)
25
20
aoa (deg) 15
10
0
0 5 10 15 20 25 30 35 40 45
time (s)
-30
-40
-50
-60
-70
จากกราฟพบว่าเมื่ออากาศยานไร้คนขับบินร่อนโดยไม่มีแรงขับ
และปรับ Elevator ที่ 25 องศา อากาศยานจะร่อนด้วยอัตราการสูญ
12
11.5
11
airspeed (m/s)
10.5
10
9.5
9
8.5
8
7.5
7
0 5 10 15 20 25 30 35
time (s)
จากกราฟ จะพบว่าเมื่ออากาศยานบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและ
ปรับ Elevator ที่ 25 องศา อากาศยานจะร่อนด้วยความเร็วที่ไม่คงที่
และมีการเคลื่อนที่ขน
ึ ้ และลง ลักษณะเหมือนกราฟของฟั งก์ชัน sine
โดยมีความถี่เท่ากับ 0.250 Hz และมีความเร็วเฉลี่ยเท่ากับ 9.712 m/s
52
40
30
aoa (deg)
20
10
0
0 5 10 15 20 25 30 35
จากกราฟ จะพบว่าเมื่ออากาศยานบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและ
ปรับ Elevator ที่ 25 องศาอากาศยานจะร่อนด้วย angle of attack ที่
ไม่คงที่ ลักษณะเหมือนกราฟของฟั งก์ชัน sine ซึง่ ความถี่ในการเชิดหน้า
ขึน
้ และลงของอากาศยานเท่ากับ 0.217 Hz
time (s)
0
0 5 10 15 20 25 30 35 40 45
-10 f(x) = − 1.8680059049426 x − 3.50028686528429
-20 R² = 0.991036821788549
-30
alt (m)
-40
-50
-60
-70
-80
-90
จากกราฟ จะพบว่าเมื่ออากาศยานไร้คนขับบินร่อนโดยไม่มีแรง
ขับและปรับ Elevator ที่ 25 องศา อากาศยานจะร่อนด้วยอัตราการ
12
สูญ
11
10
airspeed [m/s]
6
0 5 10 15 20 25 30 35 40 45
time[s]
จากกราฟ จะพบว่าเมื่ออากาศยานบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและ
ปรับ Elevator ที่ 25 องศา อากาศยานจะร่อนด้วยความเร็วที่ไม่คงที่
และมีกาเคลื่อนที่ขน
ึ ้ และลง ลักษณะเหมือนกราฟของฟั งก์ชัน sine โดย
มีความถี่เท่ากับ 0.226 Hz.และมีความเร็วเฉลี่ยเท่ากับ 9.368 m/s
54
35
30
25
aoa (deg)
20
15
10
0
0 5 10 15 20 25 30 35 40 45
time (s)
จากกราฟ จะพบว่าเมื่ออากาศยานบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและ
ปรับ Elevator ที่ 25 องศาอากาศยานจะร่อนด้วย angle of attack ที่
ไม่คงที่ ลักษณะเหมือนกราฟของฟั งก์ชัน sine ซึง่ ความถี่ในการเชิดหน้า
ขึน
้ และลงของอากาศยานเท่ากับ 0.182 Hz
55
3. ผลการทดสอบการบินที่มุมแพนหางแนวระดับเป็ น 35 องศา
5
time (s)
0 f(x) = − 2.7152487273153 x + 2.18310397716157
0 2 4 6 8 10 12 14
-5 R² = 0.988144573924988
-10
Alt (m)
-15
-20
-25
-30
-35
รูปที่ ค. 16 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความสูงกับเวลา
ของอากาศยานไร้คนขับที่ Elevator ทำมุม 35 องศา ครัง้ ที่ 1
จากกราฟ จะพบว่าเมื่ออากาศยานไร้คนขับบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและ
ปรับ Elevator ที่ 35 องศา อากาศยานจะร่อนด้วยอัตราการสูญเสีย
ความสูง 2.715 m/s โดยทำมุมในการร่อนเท่ากับ 17.630 องศา
56
14
12
airspeed (m/s)
10
0
0 2 4 6 8 10 12 14
time (s)
จากกราฟ จะพบว่าเมื่ออากาศยานบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและ
ปรับ Elevator ที่ 35 องศา อากาศยานจะร่อนด้วยความเร็วที่ไม่คงที่
และมีการเคลื่อนที่ขน
ึ ้ และลง ลักษณะเหมือนกราฟของฟั งก์ชัน sine
โดยมีความถี่เท่ากับ 0.238 Hz.และมีความเร็วเฉลี่ยเท่ากับ 8.544 m/s
50
40
30
aoa (deg)
20
10
0
0 2 4 6 8 10 12 14
-10
time (s)
-20
-30
57
จากกราฟ จะพบว่าเมื่ออากาศยานบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและ
ปรับ Elevator ที่ 35 องศาอากาศยานจะร่อนด้วย angle of attack ที่
ไม่คงที่ ลักษณะเหมือนกราฟของฟั งก์ชัน sine ซึง่ ความถี่ในการเชิดหน้า
ขึน
้ และลงของอากาศยานเท่ากับ 0.25 Hz
10
time (s)
0 f(x) = − 2.12669133985325 x + 6.1662403819529
0 5 10 15 20 25 30
R² = 0.984044465752749
-10
Alt (m)
-20
-30
-40
-50
-60
14
12
10
airspeed (m/s)
8
0
0 5 10 15 20 25 30
time (s)
จากกราฟ จะพบว่าเมื่ออากาศยานบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและ
ปรับ Elevator ที่ 35 องศา อากาศยานจะร่อนด้วยความเร็วที่ไม่คงที่
60
50
40
30
aoa (deg)
20
10
0
0 5 10 15 20 25 30
-10
-20
time S)
และมีการเคลื่อนที่ขน
ึ ้ และลง ลักษณะเหมือนกราฟของฟั งก์ชัน sine
โดยมีความถี่เท่ากับ 0.249 Hz.และมีความเร็วเฉลี่ยเท่ากับ 9.018 m/s
รูปที่ ค. 21 กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Angle of attack กับ
เวลา
59
5
0
0 f(x) = −51.38159303860224
10 x + 1.68355481251973
15 time (s)
20 25 30 35
-5
R² = 0.963538770196893
-10
-15
Alt (m)
-20
-25
-30
-35
-40
-45
จากกราฟ จะพบว่าเมื่ออากาศยานไร้คนขับบินร่อนโดยไม่มีแรง
ขับและปรับ Elevator ที่ 35 องศา อากาศยานจะร่อนด้วยอัตราการ
สูญเสียความสูง 1.382 m/s โดยทำมุมในการร่อนเทากับ 8.462 องศา
60
14
12
airspeed (m/s)
10
0
0 5 10 15 20 25 30 35
time (s)
จากกราฟ จะพบว่าเมื่ออากาศยานบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและ
ปรับ Elevator ที่ 35 องศา อากาศยานจะร่อนด้วยความเร็วที่ไม่คงที่
และมีกาเคลื่อนที่ขน
ึ ้ และลง ลักษณะเหมือนกราฟของฟั งก์ชัน sine โดย
มีความถี่เท่ากับ 0.218 Hz.และมีความเร็วเฉลี่ยเท่ากับ 9.286 m/s
50
40
30
aoa (deg)
20
10
0
0 5 10 15 20 25 30 35
-10
-20
time (s)
61
จากกราฟ จะพบว่าเมื่ออากาศยานบินร่อนโดยไม่มีแรงขับและ
ปรับ Elevator ที่ 35 องศาอากาศยานจะร่อนด้วย angle of attack ที่
ไม่คงที่ ลักษณะเหมือนกราฟของฟั งก์ชัน sine ซึง่ ความถี่ในการเชิดหน้า
ขึน
้ และลงของอากาศยานเท่ากับ 0.245 Hz
ภาคผนวก ง
การเขียนแบบ