Professional Documents
Culture Documents
รศ.ดร.วันชัย พลเมืองดี
มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิวิท
ทยาเขตพะเยา
ยาเขตพะเยา
ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ
National Library of Thailand Catatoging in Publication Data
มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา
ธรรมประยุกต์ พะเยา : สำนัก, ๒๕๖๓. หน้า. ๑๔๓
๑. ธรรมประยุกต์ ๑ ชื่อเรื่อง
ISBN 978-974-364-954-7
สงวนลิขสิทธิ์
ผู้จัดพิมพ์และเจ้าของ
วันชัย พลเมืองดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตพะเยา ๕๖๖ หมู่ ที่ ๒, ตำบลแม่กา อำเภอเมืองพะเยา
พะเยา ๕๖๐๐๐ โทรศัพท์ : 0840403560
แบบปกและรูปเล่ม
วันชัย พลเมืองดี Tel : 084-0403-560
E-mail : chaibaibou@hotmail.com
พิมพ์ที่ : นครนิวส์การพิมพ์ 737/2 ถนนพหลโยธิน ตำบลเวียน อำเภอเมืองพะเยา
จังหวัดพะเยา 56000 โทรศัพท์ 0-5443-1089
อีเมล์ np_prss07@yahoo.com
คำนำ
วันชัย พลเมืองดี
๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๓
สารบัญ
เรืื่อง หน้า
บทที่ ๑ ความหมายธรรมประยุกต์ ๑
ความหมาย ๑
ธรรมในฐานะบิดาแห่งศาสตร์ทั้งปวง ๔
บทที่ ๒ ชีวิตคืออะไร ๑๒
ชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร ๑๒
พระพุทธศาสนามีทฤษฏีการมีชีวิตของมนุษย์อย่างไร ๑๓
ชีวิตในครรภ์ดำรงอยู่ได้อย่างอย่างไร ๑๙
ชีวิตคือ อะไรในทัศนะของพระพุทธศาสนา ๒๐
บทที่ ๓ ธรรมชาติของชีวิต ๒๘
ชีวิตคือกฎธรรมชาติแห่งไตรลักษณะ ๒๙
ประโยชน์ของการเรียนรู้เรื่องไตรลักษณ์ ๓๐
ธรรมชาติชีวิตในปฏิจจสมุปบาท ๓๑
ธรรมชาติเหตุผลความจริงของชีวิต ๓๗
บทที่ ๔ มนุษย์ต้องการอะไรและมีเป้าหมายสูสสุดของชีวิตอย่างไร ๔๕
มนุษย์ต้องการอะไร ๔๕
เป้าหมายของชีวิต ๔๗
สารบัญ(ต่อ)
เรืื่อง หน้า
เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ๕๑
ภาวการณ์ดำเนินชีวิตที่จะบรรลุเป้าหมายสูงสุด ๖๔
บทที่ ๕ การดำเนินชีวิตแบบชาวพุทธ ๖๗
การดำเนินชีวิตตามแนวสิงคาลกสูตร ๖๗
การดำเนินชีวิตชาวพุทธแบบมงคล ๓๘ ๗๑
บทที่ ๖ จริยศาสตร์ ๑๐๒
บทนำ ๑๐๒
ความหมาย ๑๐๒
จริยธรรมในพระพุทธศาสนา ๑๐๕
ระดับขั้นของจริยธรรมในพระพุทธศาสนา ๑๐๖
บทที่ ๑
ความหมาย
ความหมาย
๒ ขุ.จู.๓๐/๖๗๓/๓๓๓; ๗๕๕/๓๘๙.
๓ สํ.ส. ๑๕/๓๘๐/๑๒๖
๔ วินย.4/13/18; สํ.ม.๑๙/๙๔๒,๙๔๔/๒๘๐.
๕ โลกธรรม ๘ ได้แก่ ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อยศ สรรเสริญ ติเตียน สุข ทุกข์.
ธรรมประยุกต์ ๓
ข) ไม่ถูกความยึดติดถือมั่นบีบคั้นจิต ให้ผิดหวังโศกเศร้า มีจิตโล่งโปร่ง
เบาเป็นอิสระ
ค) สดชื่น เบิกบานใจ ไม่ขุ่นมัวเศร้าหมอง ผ่องใส ไร้ทุกข์ มีความสุขที่แท้
ง) รู้เท่าทัน และทำการตรงตามเหตุปัจจัย ชีวิตหมดจดสดใส เป็นอยู่ด้วย
ปัญญา
"ความมี จ ิ ต ใจที ่ ห ลุ ด พ้ น จากกิ เ ลสและความทุ ก ข์ ท ั ้ ง ปวง บรรลุ ภ าวะ
ที ่ เ รี ย กสั ้ น ๆว่ า นิ พ พาน ซึ ่ ง เป็ น อิ ส รภาพ สั น ติ และความสุ ข อย่ า งสู ง สุ ด
ที ่ เ กิ ด จากความรู ้ แ จ้ ง หยั ่ ง เห็ น ความจริ ง แท้ ข องโลกและชี ว ิ ต มี จ ิ ต ใจมั ่ น คง
ไม่ ห วั ่ น ไหวไปตามโลกธรรม คื อ ความผั น ผวนปรวนแปร เปลี ่ ย นแปลง
ของสิ ่ ง ทั ้ ง หลาย ปลอดโปร่ ง ผ่ อ งใสเบิ ก บานเป็ น สุ ข และสะอาดบริ ส ุ ท ธิ์
ได้ตลอดทุกเวลา มีชีวิตที่เป็นอยู่ด้วยปัญญาอย่างแท้จริง"
ถ้าบรรลุจุดหมายชีวิตถึงขั้นที่ ๒ ขึ้นไป เรียกว่าเป็น “บัณฑิต” จุดหมาย
๓ ขั้นนี้ พึงปฏิบัติให้สำเร็จครบ ๓ ด้าน คือ
ด้านที่ ๑ อัตตัตถะ จุดหมายเพื่อตน หรือ ประโยชน์ตน คือ ประโยชน์ ๓
ขั้นข้างต้น ซึ่งพึงทำให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง หรือ พัฒนาชีวิตของตนขึ้นไปให้ได้ให้ถึง
ด้านที่ ๒ ปรัตถะ จุดหมายเพื่อผู้อื่น หรือ ประโยชน์ผู้อื่ น คือ ประโยชน์
๓ ขั้นข้างต้น ซึ่งพึงช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้ ให้ถึงด้วยการชักนำสนับสนุนให้เขา
พัฒนาชีวิตของตนขึ้นไปตามลำดับ
ด้านที่ ๓ อุภยัตถะ จุดหมายร่วมกัน หรือ ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือ
ประโยชน์สุขและความดีงามร่วมกันของชุมชนหรือสังคม รวมทั้งสภาพแวดล้อม
และปัจจัยต่างๆ ซึ่งพึงช่วยกันสร้างสรรค์บำรุงรักษา เพื่อเกื้อหนุนให้ทั้งตน และ
ผู้อื่นก้าวไปสู่จุดหมาย ๓ ขั้นข้างต้น
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติ
ทั้งเพื่อประโยชน์ตน และเพื่อประโยชน์ผู้อื่น กล่าวคือภิกษุ
๑. ทั้งเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยพฤติกรรมดี (ศีล) ด้วยตนเอง และชักนำผู้อื่น
ในการทำพฤติกรรมดี (ศีล) ให้ถึงพร้อม,
๒. ทั้งเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยจิตที่ฝึกดี (สมาธิ) ด้วยตนเอง และชักนำผู้อื่น
ในการทำภาวะจิตที่ฝึกดี (สมาธิ) ให้ถึงพร้อม,
๓. ทั้งเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาด้วยตนเอง และชักนำผู้อื่นในการทำ
ปัญญาให้ถึงพร้อม,
๔. ทั้งเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความมีจิตใจเป็นอิสระ (วิมุตติ) ด้วยตนเอง
และชักนำผู้อื่นในการทำความมีจิตใจเป็นอิสระ (วิมุตติ) ให้ถึงพร้อม,
ธรรมประยุกต์ ๔
๕. ทั้งเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความหยั่งรู้หยั่งเห็นในวิมุตติด้วยตนเอง และ
ชักนำผู้อื่นในการทำวิมุตติให้ถึงพร้อม;
ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติทั้งเพื่อประโยชน์
ตนและเพื่อประโยชน์ผู้อื่น๖"
ฉะนั้น จุดมุ่งหมายแห่งการดำเนินชีวิตของมนุษย์เกิ ดมามีจุดมุ่งหมายที่
แตกต่างกัน ความแตกต่างจุดมุ่งหมายของแต่ละบุคคลก็จะขึ้นอยู่ปัจจัยหลายๆ
ด้านที่จะบรรลุจุดหมายที่ต้องการ
ธรรมในฐานะบิดาแห่งศาสตร์ทั้งปวง
พระพุทธศาสนามีคำสอนที่เรียกรวมว่าธรรมเป็นตัวบทที่สำคัญ และธรรม
นี้ก็ถือได้ว่าธรรมเป็นบิดาแห่งศาสตร์ทั้งปวงดังต่อไปนี้
ธรรมเป็นจริยศาสตร์ Ethics ด้วยเหตุผลของจริยศาสตร์และธรรม
เป็นเรื่องที ่ ว่ าด้วยความประพฤติอ ัน ดี งามเพื ่อที่จะนำไปสู ่ค วามสงบสุ ข เป็น
ศาสตร์หรือวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาถึงเป้าหมายสูงสุดของมนุษย์เราว่าคืออะไร
อะไรควรทำหรือไม่ควรทำเพื่อจะได้ไปถึงเป้าหมายสูงสุดนั้น และจะใช้เกณฑ์อะไร
มาตัดสินว่า สิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี ดังนั้น เป้าหมายของชีวิต คือ ตัวที่จะกำหนดการ
กระทำของมนุษย์ว่าจะเป็นไปในแนวทางใด และเป้ าหมายชีวิตของมนุษย์แต่ละคน
นั้นก็แตกต่างกันออกไปหลายแนวคิด เมื่อปฏิบัติตามศีลธรรมแล้วก็จะก่อให้เกิด
สิ่งที่เรียกว่า คุณธรรม คือ เป็นคนดี มีความกตัญญูกตเวที มีความสามัคคี
เป็นต้น
ธรรมเป็นธรรมศาสตร์ หรือ ศีลธรรม (Moral) เป็ น ศาสตร์ ท ี ่ ว ่ า ด้ วย
ทฤษฏีข้อปฏิบัติที่ไปสู่ความเจริญ กฎระเบียบแบบแผนต่างๆที่จะนำความสงบสุข
มาให้ การวางกฎศีลเป็นแม่บทของการกำหนดกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อความสงบสุข
ของหมู่คณะ
ธรรมเป็ น สั จ ธรรม (Truth) คื อ กล่ า วถึ ง ความจริ ง ที ่ ล ึ ก ซึ ้ ง เร้ น ลั บ
นอกเหนือไปกว่าที่คนธรรมดาสามัญจะเห็นได้ ส่วนนี้ก็ได้แก่ ความรู้เรื่ องความ
ว่างเปล่าของสรรพสิ่งทั้งปวง (สุญญตา), เรื่องความไม่เที่ยง (อนิจจัง), ความ
เป็นทุกข์ (ทุกขัง), ความไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) หรือเรื่องการเปิดเผยว่าทุกข์เป็น
อย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ความดับสนิทของทุกข์เป็นอย่างไร และวิธี
๖ องฺ.ปญฺจก.๒๒/๒๐/๑๕
ธรรมประยุกต์ ๕
ปฏิ บ ั ต ิ ใ ห้ ถ ึ ง ความดั บ ทุ ก ข์ เ ป็ น อย่ า งไร ในฐานะเป็ น ความจริ ง อั น เด็ ด ขาดที่
เปลี่ยนแปลงไม่ได้ (อริยสัจจ์) ซึ่งทุกคนควรจะต้องรู้ นี้เรียกว่าพุทธศาสนาในฐานะ
เป็นสัจจธรรม.
ธรรมเป็นศาสนา (Religion) คือธรรมเป็นที่พึงทางใจของคน ครั้งเมื่อใด
ความอ่อนแอของสภาวะจิตเราเกิดขึ้ น หรือความอ่อนแอของใจเกิดเมื่อนั่นเราจะ
ต้องการที่พึงทางใจ ธรรมจึงเป็นตัวระเบียบปฏิบัติ ซึ่งได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา
กระทั่งผลที่เกิดขึ้นคือความหลุดพ้น และปัญญาที่รู้เห็นความหลุดพ้น ว่าเมื่อใคร
ปฏิบัติแล้วจะหลุดพ้นไปจากความทุกข์ได้จริง
ธรรมเป็นจิตวิทยา (Psychology) เช่นคัมภีร์พระไตรปิฎกภาคสุดท้าย
กล่าวบรรยายถึงลักษณะของจิตไว้กว้างขวางอย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด เป็นที่งงงัน
และสนใจแก่นักศึกษาทางจิตแม้แห่งยุคปัจจุบัน เป็นความรู้ทางจิตวิทยาที่จะอวด
ได้ว่าแยบคายหรือลึกลับกว่าความรู้ทางจิตวิทยาของโลกปัจจุบันไปเสียอีก
ธรรมเป็นปรัชญา (Philosophy) คือสิ่งที่ทดลองไม่ได้ ยังต้องอาศัยการ
คำนึงคำนวณไปตามหลักแห่งการใช้เหตุผลแห่งการคำนึงคำนวณระบอบหนึ่ง แต่
ถ้าเห็นแจ้งประจักษ์ได้ด้วยตา หรือด้วยการพิสูจน์ทดลองตามทางวัตถุ หรือแม้
เห็นชัดด้วย "ตาใน" คือญาณจักษุก็ตาม เรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ (Science) ได้
ความรู้อันลึกซึ้งเช่นสุญญตาย่อมเป็นปรัชญาสำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุธรรมไป
พลางก่อน แต่จะกลายเป็นวิทยาศาสตร์ทันทีสำหรับผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว เช่น พระ
อรหันต์ เพราะท่านได้เห็นแจ้งประจักษ์แล้วด้วยจิตใจของท่านเองไม่ต้องคำนึง
คำนวณตามเหตุผล
ธรรมเป็นตรรกวิทยา (Logic) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่โยกโคลงที่สุด ก็มีมาก
ด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะในพวกพระอภิธรรมบางคัมภีร์ เช่น คัมภีร์กถาวัตถุ
เป็นต้น
ธรรมเป็นศิลปะ (Art) ซึ่งในที่นี้หมายถึงศิลปะแห่งการครองชีวิต คือ เป็น
การกระทำที่แยบคายสุขุม ในการที่จะมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์ให้น่าดูน่าชมน่าเลื่อมใส
น่าบูชาเป็นที่จับอกจับใจแก่คนทั้งหลาย จนคนอื่นพอใจทำตามเราด้วยความ
สมัครใจไม่ต้องแข่งขันกันเราจะมี ความงดงามในเบื้องต้น ด้วยศีลบริสุทธิ์ : มี
ความงดงามในท่ามกลาง ด้วยการมีจิตใจสงบเย็น เหมาะสมที่จะทำงานในด้านจิต
: มีความงดงามในเบื้องปลาย ด้วยความสมบูรณ์แห่งปัญญา คือรู้แจ้งสิ่งทั้งปวง
ว่าอะไรเป็นอะไร จนไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นเพราะสิ่งทั้งปวงนั้น เมื่อใครมีชีวิตอยู่
ธรรมประยุกต์ ๖
ด้วยความงาม ๓ ประการ เช่นนี้แล้ว ถือว่าเป็นผู้มีศิลปะแห่งการดำรงชีวิตอย่าง
สูงสุด ชาวตะวันตกหันมาสนใจพุทธศาสนา ในฐานะเป็นศิลปะแห่งชีวิตโดยนัยนี้
เป็นอันมาก และกล่าวขวัญกันมากกว่าแง่อื่นๆ
การเข้าถึงตัวแท้ของพระพุทธศาสนา จนถึงกับนำมาใช้เป็นแบบแห่งการ
ครองชีวิตได้นั้น ทำให้เกิด ความบันเทิงรื่น เริงตามทางของธรรม ไม่หงอยเหงาไม่
น่าเบื่อหน่าย หรือหวาดกลัวดังกล่าวกันอยู่ว่า ถ้าละกิเลสกันเสียแล้วชีวิตนี้จะแห้ง
แล้งไม่มีรสชาติอะไรเลย หรือถ้าปราศจากตัณหาต่างๆ โดยสิ้นเชิงแล้วคนเราจะ
ทำอะไรไม่ได้ หรือไม่คิดทำอะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่โดยที่แท้แล้ว ผู้ดำรงชีวิต อยู่
อย่างถูกต้อง ตามศิลปะแห่งการครองชีวิตของพระพุทธเจ้านั้น คือผู้มีชัยชนะอยู่
เหนือสิ่งทั้งปวงที่เข้ามาแวดล้อมตน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์บุคคลสิ่งของหรืออะไรก็ตาม
จะเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และทางใจก็ตาม ย่อมจะเข้ามาในฐานะผู้แพ้ ไม่
อาจจะทำให้เกิดความมืดมัว สกปรก เร่าร้อนให้แก่ผู้นั้นได้ อากัปกิริยาที่เป็นฝ่าย
ชนะอารมณ์ทั้งปวงนี้ ย่อมเป็นที่บันเทิงเริงรื่นอย่างแท้จริง ; และนี่คือข้อที่ควรถือ
เป็นศิลปะในพุทธศาสนา
ธรรมเป็นวิทยาศาสตร์ (Science) โดยส่วนเดียว เพราะพิสูจน์ได้ชัดแจ้ง
ด้วยความรู้สึกภายในของผู้ที่มีสติปัญ ญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอริยสัจจ์เป็น
ต้น ถ้าผู้ใดมีสติปัญญาสนใจศึกษาค้นคว้าแล้วจะมีเหตุผลแสดงอยู่ในลักษณะที่
เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่มืดมัวเป็นปรัชญาเหมือนอย่างบางเรื่อง สำหรับบุคคลผู้บชู า
วั ฒ นธรรม ก็ จ ะพบว่ า มี ค ำสอนในพระพุ ท ธศาสนาหลายข้ อ ที ่ ต รงกั บ หลั ก
วัฒนธรรมสากล และมีคำสอนอีกมาก ที่เป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธโดยเฉพาะ
ซึ่งดีกว่าสูงกว่าวัฒนธรรมสากลอย่างมากมาย ธรรมตัวแท้ ไม่ใช่หนังสือ ไม่ใช่
คัมภีร์ ไม่ใช่เสียงบอกเล่าตามพระไตรปิฎก หรือตัวพิธีรีตองต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ตัวแท้
ของพระพุทธศาสนา ตัวแท้ต้องเป็น ตัวการปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ ชนิดที่จะ
ทำลายกิเลสให้ร่อยหรอหรือหมดสิ้นไปในที่สุด ไม่จำเป็นต้องเนื่องด้วยหนังสือ
ด้วยตำรา ไม่ต้องอาศัยพิธีรีตองหรือสิ่งภายนอก เช่นผีสางเทวดา แต่ต้องเนื่อง
ด้วยกายวาจาใจโดยตรง คือจะต้องบากบั่นกำจั ดกิ เ ลสให้ หมดสิ ้น ไป จนเกิ ด
ความรู้แจ่มแจ้ง สามารถทำอะไรให้ ถูกต้องได้ด้วยตนเอง ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้น
ตั้งแต่ต้นจนอวสาน นี่แหละคือตัวแท้ของพระพุทธศาสนา ในส่วนที่เราจะต้อง
เข้าถึงให้จงได้ อย่าได้ไปหลงยึดเอาเนื้องอกที่หุ้มห่อพระพุทธศาสนา มาถือว่าเป็น
ตัวพระพุทธศาสนากันเลย๗
๗ พุทธทาส.๒๕๒๕.
ธรรมประยุกต์ ๗
สิ่งที่น่าสนใจ และที่ต้องข้อน่าสังเกตก็คือ ธรรม มักจะหมายถึงคำสั่งสอน ๘
ของพระพุทธเจ้า สมัยพุทธกาลพระพุทธองค์ทรงสอนธรรมนักศาสนาเชื่อว่า
พระองค์ใช้ภาษาบาลีในการสั่ งสอน และการสั่งสอนนั้น ก็ เป็นแบบ มุขปาฐะ ๙
ต่อมาพระอัครสาวกสารีบุตรก็ได้ทูลพระพุทธเจ้ารวมรวมธรรมของพระพุทธ
องค์ให้เป็นหมวดหมู่ เป็นกลุ่ม เป็นเรื่องๆ ไป พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสสรรเสริญ
จนกระทั้ง หลังพุทธปรินิพพานคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้ก็รับการสังคายนา
คือ การรวบรวมพระธรรมวินัย พระอภิธรรมเป็นกลุ่มแล้วได้มีการจารึกคำสั่ง
สอนของพระพุทธเจ้าลงในแผ่นใบลานในสมัยต่อมา ซึ่งปัจจุ บัน เรามักเรียกรวม
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่าพระไตรปิฎก ภาษาบาลี ว่า ติปิฎก (อ่านว่า ติ+
ปิ +ตะ+กะ) แปลว่ า ตะกร้ า ๓ ใบ ซึ ่ ง หมายถึ ง ตะกร้ า ที ่ บ รรจุ ค ำสั ่ ง สอนของ
พระพุทธเจ้า ๓ ส่วน ใหญ่ ได้แก่
๑. พระวินัยปิฎก ประมวลพุทธพจน์หมวดพระวินัย คือพุทธบัญญัติ
เกี่ยวกับความประพฤติความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและการดำเนินกิจการต่าง ๆ
ของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์แบ่งเป็น ๕ คัมภีร์ (เรียกย่อหรือหัวใจว่า อา ปา ม
จุ ป)เล่ม ๑ ถึง เล่ม ๘ ได้แก่
๑. อาทิกัมมิกะ หรือ ปาราชิก ว่าด้วยสิกขาบทที่เกี่ยวกับอาบัติหนัก
ของฝ่ายภิกษุสงฆ์ตั้งแต่ปาราชิกถึงอนิยต
๒. ปาจิตตีย์ ว่าด้วยสิกขาบทที่ เกี่ ยวกับอาบัติเบา ตั้งแต่นิสสัค คิ ย
ปาจิตตีย์ถึงเสขิยะรวมตลอดทั้งภิกขุนีวิภังค์ทั้งหมด
๓. มหาวรรค ว่าด้วยสิกขาบทนอกปาฏิโมกข์ตอนต้น ๑๐ ขันธกะหรือ
๑๐ ตอน
๔. จุลวรรค ว่าด้วยสิกขาบทนอกปาฏิโมกข์ตอนปลาย ๑๒ ขันธกะ
๕. ปริวาร คัมภีร์ประกอบหรือคู่มือบรรจุคำถามคำตอบสำหรับซ้อม
ความรู้พระวินัย พระวินัยปิฎกนี้ แบ่งอีกแบบหนึ่งเป็น ๕ คัมภีร์เหมือนกัน (จัด ๒
ข้อในแบบต้นนั้นใหม่)คือ
๘ คำสั่ง คือ ข้อกฎระเบียบข้อบังคับที่จะต้องพึงปฏิบัติ คำสอน คือคำสอนที่ไม่ใช่ข้อบังคับเป็นการแสดงเหตุและผลของ
การประพฤติ และผลจากการปฏิบัตธิ รรมนั้นๆ
๙ การสอนปากต่อปาก คือการต่อพุทธพจน์ นัน่ หมายถึงการที่อาจารย์ผู้สอนจะสอนหัวข้อบทหนึ่งๆ ให้ลูกศิษย์ แล้วลูก
ศิษย์ก็จะนำเอาไปท่องจำให้ขึ้นใจ ครัน้ เมื่อท่องได้ขึ้นใจก็จะมาท่องให้อาจารย์ฟัง เมื่ออาจารย์ฟังแล้วเห็นว่าลูกศิษย์ท่องได้
ถูกต้องก็จะ สอนอีกบทหนึ่ง แล้วก็ให้ลูกศิษย์นำไปท่องจำอีก ได้แล้วก็มาทอดสอบ อย่างนี้ เรื่อยไป
ธรรมประยุกต์ ๘
๑. มหาวิ ภ ั งค์ หรื อ ภิ ก ขุ ว ิ ภั ง ค์ ว่ า ด้ ว ยสิ ก ขาบทในปาฏิ โ มกข์ (ศีล
๒๒๗ ข้อ) ฝ่ายภิกษุสงฆ์
๒. ภิกขุนีวิภังค์ ว่าด้วยสิก ขาบทในปาฏิโมกข์ (ศีล ๓๑๑ ข้อ ) ฝ่าย
ภิกษุณีสงฆ์
๓. มหาวรรค
๔.จุลวรรค
๕. ปริวาร
บางทีท่านจัดให้ย่นย่อเข้าอีก แบ่งพระวินัยปิฎกเป็น ๓ หมวด คือ
๑. วิภังค์ ว่าด้วยสิกขาบทในปาฏิโมกข์ทั้งฝ่ายภิกษุสงฆ์และฝ่ายภิกษุณี
สงฆ์ (คือรวมข้อ ๑ และ ๒ ข้างต้นทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน)
๒. ขันธกะ ว่าด้วยสิกขาบทนอกปาฏิโมกข์ทั้ง ๒๒ ขันธกะหรือ ๒๒ บท
ตอน (คือรวมข้อ ๓ และ ๔ เข้าด้วยกัน)
๓. ปริวาร คัมภีร์ประกอบ (คือข้อ ๕ ข้างบน)
๒. พระสุตตันตปิฎก ประมวลพุทธพจน์หมวดพระสูตร คือ พระธรรม
เทศนาคำบรรยายธรรมต่างๆที่ตรัสให้เหมาะกับบุคคลและโอกาสตลอดจนบท
ประพันธ์ เรื่องเล่าและเรื่องราวทั้งหลายที่เป็นชั้นเดิมในพระพุทธศาสนา แบ่งเป็น
๕ นิกาย (เรียกย่อหรือหัวใจว่า ที ม สํ อํ ขุ) เล่มที่ ๙ ถึง เล่มที่ ๓๓ ได้แก่
๑. ทีฆนิกาย ชุมนุมพระสูตรที่มีขนาดยาว ๓๔ สูตร
๒. มัชฌิมนิกาย ชุมนุมพระสูตรที่มีความยาวปานกลาง ๑๕๒ สูตร
๓. สังยุตตนิกาย ชุมนุมพระสูตรที่จัดรวมเข้าเป็นกลุ่ม ๆ เรียกว่าสั ง
ยุตต์ ตามเรื่องที่เนื่องกัน หรือตามหัวข้อหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องรวม ๕๖ สัง
ยุตต์ มี ๗,๗๖๒ สูตร
ธรรมประยุกต์ ๙
๔. อังคุตตรนิกาย ชุมนุมพระสูตรที่จัดรวมเข้าเป็นหมวด ๆ เรียกว่า
นิบาตตามลำดับจำนวนหัวข้อธรรม รวม ๑๑ นิบาต หรือ ๑๑ หมวดธรรมมี
๙,๕๕๗ สูตร
๕. ขุททกนิกาย ชุมนุมพระสูตรคาถาภาษิตคำอธิบาย และเรื่องราว
เบ็ดเตล็ดที่จัดเข้าในสี่นิกายแรกไม่ได้มี ๑๕ คัมภีร์
๓. พระอภิธรรมปิฎก ประมวลพระพุทธพจน์หมวดพระอภิธรรม คือ
หลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วน ๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคลหรือเหตุการณ์
แบ่งเป็น ๗ คัมภีร์ (เรียกย่อหรือหัวใจว่า สํ วิ ธา ปุ ก ย ป) เล่มที่ ๓๔ ถึง เล่มที่
๔๕ คือ
๑. สังคณี หรือ ธัมมสังคณี รวมข้อธรรมเข้าเป็นหมวดหมู่แล้วอธิบาย
ทีละประเภท
๒. วิภังค์ ยกหมวดธรรมสำคัญ ๆ ขึ้นตั้งเป็นหัวเรื่องแล้วแยกแยะออก
อธิบายชี้แจงวินิจฉัยโดยละเอียด
๓. ธาตุกถา สงเคราะห์ข้อธรรมต่าง ๆ เข้าในขันธ์อายตนะ ธาตุ
๔. ปุคคลบัญญัติ บัญญัติความหมายของบุคคลประเภทต่างๆ ตาม
คุณธรรมที่มีอยู่ในบุคคลนั้นๆ
๕. กถาวัตถุ แถลงและวินิจฉัยทัศนะของนิกายต่างๆ สมัยสังคายนาครั้ง
ที่ ๓
๖. ยมก ยกหัวข้อธรรมขึ้นวินิจฉัยด้วยวิธีถามตอบ โดยตั้งคำถามย้อน
กันเป็นคู่ๆ
๗. ปัฏฐาน หรือมหาปกรณ์ อธิบายปัจจัย ๒๔ แสดงความสัมพันธ์
เนื่องอาศัยกันแห่งธรรมทั้งหลายโดยพิสดาร พระไตรปิฎกที่พิมพ์ด้วยอักษรไทย
ท่านจัดแบ่งเป็น ๔๕ เล่ม
พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า พระไตรปิฎกมีเนื้อความทั้งหมด ๘๔,๐๐๐
พระธรรมขันธ์แบ่งเป็น พระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระสุตตันตปิฎก
๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และพระอภิธรรมปิกฎ ๔๒, ๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ธรรมประยุกต์ ๑๐
องเสร็จแล้วเมื่อทำอัตตัตถะ(ประโยชน์ของตน) แล้วก็ไม่ต้องห่วงใยเรื่อง
ของตัวสามารถทำปรัตถะ (ประโยชน์ของผู้อื่น) ได้เต็มที่จะดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่
ด้วยปรหิต ปฏิบัติ(การปฏิบัติเพื่อประโยชน์แห่งตนสืบไป ๑๐ เมื่อมีความพร้อมเป็น
ฐานอยู่อย่างนี้แล้ว พระอรหันต์จึงสามารถมีคุณลักษณะเป็นสรรพมิตร (เป็น
มิตรกับทุกคน) สรรพสขะ(เป็นเพื่อนกับทุกคน) และสัพพภูตานุกรรมปกะ(หวังดี
ต่อสรรพสัตว์)๑๑ ได้อย่างแท้จริง
ชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร
นักชีววิทยา ให้หลักเกี่ยวกับการกำเนิดชีวิตว่าเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยไข่
(Ovum) ของฝ่ายมารดา ได้รับการผสมกับตัวอสุจิ (Sperm) จึงจะกำเนิดชีวิตดังจัก
แสดงระบบและการเกิดชีวิตดังต่อไป
๑. วงจรการตกไข่ (The Woman's Monthly Cycle)
ก. หญิงจะต้องมีภาวะเจริญเติบโตมีอายุที่จะถึงวัยพร้อมผสมคือในแต่ละ
เดือน เมื่อถึงวันที่ ๑๔ ของรอบเดือน จะมีไข่สุก ๑ ฟองถูกปล่อยออกจากรังไข่ข้างใด
1 พุทธทาส. ภาษาคนภาษาธรรม.
ธรรมประยุกต์ ๑๒
พระพุทธศาสนามีทฤษฏีการมีชีวิตของมนุษย์ อย่างไร
การเริ่มต้นของชีวิตทางพุทธปรัชญาเรียกว่า โยนิ คือ กำเนิด และคำว่า
ชาติ คือการเกิดทั้ง ๒ คำมีความหมายต่างกัน คือ โยนิ หมายถึงกำเนิด แบบ หรือ
ชนิดการเกิด2 ส่วนคำว่า ชาติ ความหมายกว้างออกไปอีก คือหมายถึง การเกิด ,
ชนิด, เหล่า และปวงชนแห่งชาติเดียวกัน ในมหาสีหนาทสูตรพระพุทธองค์ทรงตรัส
แก่พระสารีบุตรถึงเรื่อง โยนิ ว่า “ ดูก่อนสารีบุตร กำเนิด ๔ เหล่านี้แล ๔ ประการ
เป็นไฉน ? คือ อัณฑชะกำเนิด ๑ ชลาพุชะกำเนิด ๑ สังเสทชะกำเนิด ๑ และ
โอปปติกะกำเนิด ๑ ก็อัณฑชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์เหล่านั้นใดชำแรกเปลือกแห่ง
ฟ้องไข่เกิดนี้เราเรียกว่า อัณฑชะกำเนิด.......ชลาพุชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลาย
เหล่านั้นใดชำแรก ลำไส้ ไส้(มดลูก) เกิดนี้เราเรียกว่า ชลาพุชะกำเนิด ......สังเสทชะ
กำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นใดเกิดในปาลเน่าในขนมบูด ในเถ้าไคล(ของ
สกปรก) นี้เราเรียกว่า สังเสทชะกำเนิด.....โอปปาติกะกำเนิดเป็นไฉน เทวดา สัตว์
นรก มนุษย์บางจำพวกและเปรตอสุรกายนี้เราเรียกว่า โอปปาติกะกำเนิด....”
ส่วนในอภิธรรมได้อธิบายกำเนิดไว้อย่างนี้คือ
อย่างไรก็ตาม การกล่าวถึงกำเนิดดังกล่าวข้างต้นก็ปรากฏในพระ
อรรถกถาและฏีกาจารย์สมัยต่อมาได้อธิบายถึงกำเนิดดังกล่ า วไว้
เหมื อ นว่ า ทั ้ ง มนุ ษ ย์ เทวดา สั ต ว์ เปตร อสุ ร กาย ฯลฯ ล้ ว นแล้ ว
สามารถเกิดในกำเนิดทั้ง ๔ แทบทั้ งสิ้น เพราะได้มีการอธิบายตัวอย่าง
การกำเนิดหรือที่มาของสัตว์ต่างๆไว้เป็นตัวอย่างบ้าง แต่ก็เป็นที่
ยอมรับกันมากในเวลานี้ก็คือ กำเนิด ๔ ได้แก่
๑. ชลาพุชกำเนิด สิ่งมีชีวิตเหล่าใดที่อาศัยมดลูกเกิด เช่น คน
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นต้น
๒. อัณฑชกำเนิด คือสิ่งมีชีวิตเหล่าใดที่อาศัยฟองไข่เกิด เช่น มด
ปลา ไก่ เป็ด ฯลฯ
๓. สังเสชกำเนิด คือสิ่งมีชีวิตเหล่าใดที่อาศัยน้ำ ที่เปียกชื้นบูดเน่า
เช่น หนอน ดอกบัว เชื้อรา เห็ด เป็นต้น
๔. โอปปาติกกำเนิด คือสิ่งชีวิตเหล่าใดที่เกิดด้วยการผุดขึ้นเอง
เช่น พรหม พระเจ้า เทวดา เปตร อสุรกาย เป็นต้น
ในมหาตัณหาสังขยสูตรว่ามนุษย์เกิดขึ้นได้อาศัยปัจจัย ๓ จึงทำให้เกิดจุดกำเนิดของ
ชีวิต คือ
๑. บิดามารดาได้ร่วมหลับนอนร่วมกัน
๒. บิดามารดานั้นถึงวัยเจริญพันธ์
๓. มีวิญญาณมาปฏิสนธิ3
ดั ง พุ ท ธพจน์ ว่ า “ ดู ก ่ อ นภิ ก ษุ ท ั ้ง หลาย เพราะความประชุม พร้อ มแห่ ง ปั จจั ย ๓
ประการ ความเกิดแห่งทารกจึงมีในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดารอยู่ร่วม แต่มารดาไม่มี
ระดู และทารกที่จะเกิดยังไม่มีปรากฏ ความเกิดแห่งทารกยังไม่มีก่อน ในสัตว์โลกนี้
มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน มารดามีระดูแต่สัตว์ที่จะเกิดยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก
ยังไม่มีก่อน ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเมื่อใดมารดาบิดาอยู่ร่วมกัน มารดามีระดูด้วย และ
ทารกที่จะมาเกิด (ปฏิสนธิวิญญาณ) ก็มีปรากฏด้วย เพราะความประชุมพร้อมแห่ง
ปัจจัยทั้ง ๓ ประการความเกิดแห่งทารกจึงมี4........”
3 ม.มู.๑๒/๔๕๒/๒๘๗.
4 กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง. เล่ม ๑๒ ข้อ ๔๕๒.หน้า ๓๔๒.
ธรรมประยุกต์ ๑๗
พุทธพจน์ที่อ้างมานี้เป็นที่ยอมรับของนักชีววิทยา ในพุทธปรัชญายังได้กล่าวต่อไป
อีกว่าสิ่งที่เป็นมูลเหตุเป็นต้นเค้าเป็นแดนเกิดเป็นปัจจัยแห่งนามรูป ก็คือ “วิญญาณ”
วิญญาณนั้นก็คือ ปฏิสนธิวิญญาณที่ทำหน้าที่จุติจากร่างที่เป็นโอปปาติกะและมาถือ
ปฏิสนธิในครรภ์มารดา ในส่วนที่แคบที่สุดคือ มดลูก ฉะนั้นเมื่อพูดว่า ถือปฏิสนธิใน
ครรภ์มารดาจึงหมายถึงมาปฏิสนธิในไข่ที่ผสมเชื้อไว้แล้ว จากนั้นจึงจะมีร่องรอยของ
ความเป็นคนปรากฏ โดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่า ปัญจสาขา มีอาการครบ ๓๒
บริบูรณ์ ปฏิสนธิวิญญาณที่ทำหน้าที่ปฏิสนธินี้เอง เมื่อปฏิสนธิแล้วก็ดับไปเป็นปัจจัย
ให้เกิดภวังคจิตญาณดวงใหม่ ซึ่งค่อยทำหน้าที่สร้างและจัดระเบียบไข่ที่ผสมเชื้อมีที่มี
ร่องรอยแห่งความเป็นคนอยู่แล้วให้เจริญเติบโตต่อไป จากสาเหตุที่กล่าวมาพอสรุป
ได้ว่าในตัวเราก่อให้เกิดเป็นคน ย่อมอาศัยด้วย วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดชีวิตส่วน
หนึ่ง นั่นเอง
หลังจากที่ทราบกระบวนการเกิดเฉพาะวิญญาณ โดยละเอียดแล้ว ต่อไปก็จะเป็น
กระบวนการเติบโตของมนุษย์ที่อยู่ในครรภ์ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอินทกสูตร
มี ๕ ลำดับขั้นในแต่ละสัปดาห์5 ดังนี้
๑. กลละ เป็ น น้ ำ ใส มี ล ั ก ษณะเป็ น เมื อ ก เป็ น จุ ด เริ ่ ม ต้ น แห่ ง การ
เจริญเติบโต
๒. อัพพุทะ มีลักษณะเป็นเมือกที่ขุ่นข้น
๓. เปสิ มีลักษณะแดงบางระเรือ
๔. ฆนะ มีลักษณะเป็นก้อนค่อยๆ แข็งตัวขึ้น
๕. ปัญจสาขา มีลักษณะเป็นปุ่ม ๕ ปุ่มศีรษะ ๑ ปุ่ม ปุ่มแขน ๒ ปุ่มขา ๒
จากนั้นก็จะพัฒนาไปสู่การเป็นรูปร่างจนมีผม ขน เล็บ เป็นต้นตามลำดับดัง
พระบาลีว่า
ปฐมํ กลลํ โหติ กลลา โหติ อพฺพุทํ
อพฺพุทา ชายเต เปสิ เปสิ นิพฺพตฺตตี ฆโน
ฆนา ปสาขา ชายนฺติ เกสา โลมา นขาปิ จ6
ชีวิตคือ อะไรในทัศนะของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนากล่าวว่า ชีวิต คือ หน่วยรวม ตัวสภาวะ หรือ ธาตุที่มาประชุม
ประกอบเข้าด้วยกัน ของ รูป และ นาม โดยส่วนรูปนั้นประกอบด้วยธาตุดิน ธาตุไฟ
ธาตุน้ำ ธาตุลม และส่วนนาม ประกอบด้วย เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ที่
เรียกว่า ขันธ์ ๕ หรือ เบญจขันธ์10 (The Five Aggregates) ซึ่งสามารถอธิบายได้
ว่า ชีวิตคือหน่วยรวมของขันธ์ ๕ ไม่มีชีวิตอื่นใดที่นอกเหนือไปจากขันธ์ ๕ เพราะ
อาศัยขันธ์ ๕ นี้เองจึงบัญญัติเรียกว่า “สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา” ถือได้ว่าขันธ์ ๕
เป็นโครงสร้างของสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา และองค์ประกอบของชีวิตนี้ เอง มีชื่อ
เรียกไปตามหน้าที่ที่แตกต่างกัน และมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
ชีวิตคือ องค์ประกอบของขันธ์11 ๕ ได้แก่
๑.รู ป (Corporeality) ได้ แ ก่ ส ่ ว นประกอบฝ่ า ยรู ป ธรรมทั ้ ง หมด ร่ า งกาย และ
พฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย หรือสสารและพลังงานวัตถุ พร้อมทั้งคุณสมบัติและ
พฤติกรรมต่างๆ ของสสาร พลังงานเหล่านั้นหรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธาตุ ๔
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นต้น รูปขันธ์แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ได้แก่
ก. มหาภูตรูป12 รูปใหญ่หรือ รูปหลัก หรือรูปต้นเดิมที่ใหญ่ๆ โตๆ รูปอาศัย
หรือรูปแฝงอยู่ในรูปใหญ่นั้น มหาภูตรูป ประกอบด้วยธาตุ ๔ ได้แก่ ปฐวีธาตุ
ธาตุดิน๑ อาโปธาตุ ธาตุน้ำ๑ วาโยธาตุ ธาตุลม๑ เตโชธาตุ ธาตุไฟ๑
ค. เวทนา ๕ ได้แก่
๑) สุขินทรีย์ สุขสบายทางกาย
๒) ทุกขอินทรีย์ ความทุกข์กาย
๓) โสมนัสอินทรีย์ สุขใจ
๔) โทมนัสอินทรีย์ ทุกข์ใจ
๕) อุเบกขาอินทรีย์ ความรู้สึกเฉยๆ
ง. เวทนา ๖ ได้แก่
๑) จักขุสัมผัสสชา
๒) โสตสัมผัสสชา
๓) ฆานสัมผัสสชา
๔) ชิวหาสัมผัสสชา
๕) กายสัมผัสสชา
๖) มโนผัสสชา
๓. สั ญ ญา 15 (Perception) ได้ แ ก่ ก ารจำกำหนดได้ หรื อ หมายรู ้ คื อ
กำหนดรู้อาการเครื่องหมายต่างๆ อันเป็นเหตุให้จำอารมณ์ เป็นลักษณะ ทรวดทรง
สี สัณฐาน ชื่อเรียก ตลอดจน สมบัติบัญญัติต่างๆ ๖ ประการ ได้แก่
๑. รูปสัญญา ความจำรูปได้ ว่ากลม เหลี่ยม ดำแดง เขียว ขาว เล็ก โต เป็น
ต้น
๒. สัททสัญญา ความจำเสียงได้ ว่าดัง เบา แหลม ทุ้ม สูง ต่ำ เป็นต้น
๓. คันธสัญญา ความจำกลิ่นได้ว่า หอม เหม็น ฉุน เป็นต้น
๔. รสสัญญา ความจำรสได้ว่า หวานเปรี้ยว ขม เค็ม จืด เผ็ด เป็นต้น
๕. โผฐัพพสัญญา ความจำสิ่งสัมผัสกายได้ว่าอ่อนแข็ง ละเอียดหยาบ เป็นต้น
๖. ธัมมสัญญา ความจำเรื่องราวต่าง ๆ หรือมโนภาพได้ ว่าน่าเกียจ งาม
เที่ยง
ไม่เที่ยง เป็นต้น
๔. สั ง ขาร (Mental Formation หรื อ Volitional Activities) ได้ แ ก่
องค์ประกอบ หรือคุณสมบัติต่างๆ ของจิตที่มีเจตนาเป็นตัวนำซึ่งแต่งจิตให้ดี หรือ
ชั่ว หรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึก นึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย
15 ที.ปา.๑๑/๓๐๙/๒๕๕; อง.ฉกก.๒๒/๓๓๔/๔๖๑.
ธรรมประยุกต์ ๒๔
๒. ทิฏฐิ ความเห็นผิด
๓. มานะ ความถือตัว
๔. โทสะ ความคิดประทุษร้าย
๕. อิสสา ความริษยา
๖. มัจฉริยะ ความตระหนี่
๗. กุกกุจจะ ความเดือดร้อนใจ
๘. ถีนะ ความหดหู่
๙. มิทธะ ความง่วงเหงา
๑๐. วิจิกิจฉา ความคลางแคลงสงสัย
ค. โสภณเจตสิก ๒๕ คือ เจตสิกฝ่ายดี ซึ่งเกิดขึ้นกับจิตที่เป็นกุศลและอัพ
ยากฤตแบ่งเป็น ๒ ดังนี้
๑) โสภณสาธารณเจตสิก มี ๑๙
๑. สัทธา ความเชื่อ
๒. สติ ความระลึกได้, ความสำนึกพร้อมอยู่
๓. หิริ ความละอายต่อบาป
๔. โอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาป
๕. อโลภะ ความไม่อยากได้อารมณ์
๖. อโทสะ ความไม่คิดประทุษร้าย
๗. ตัตรมัชฌัตตตา ความเป็นกลางในอารมณ์นั้นๆ
๘. กายปัสสัทธิ ความสงบแห่งกองเจตสิก
๙. เจตตปัสสัทธิ ความสงบแห่งจิต
๑๐. กายลทุตา ความเบาแห่งกองเจตสิก
๑๑.จิตตมุทุตา ความอ่อนหรือนุ่มนวลแห่งจิต
๑๒. กายกัมมัญญตา ความควรแก่การงานแห่งกองเจตสิก
๑๓. จิตกัมมัญยตา ความควรแก่การงานแห่งจิต
๑๔. กายปาคุญญตา ความคล่องแคล่วแห่งกาองเจตสิก
๑๕. จิตตปาคุญญตา ความคล่องแคล่วแห่งจิต
๑๖. กายุชุกตา ความซื่อตรงแห่งกองเจตสิก
๑๗. จิตตุชุกตา ความซื่อตรงแห่งจิต
๒) ปกิณณกโสภณเจตสิก มี ๖ คือ
ธรรมประยุกต์ ๒๖
๑. สัมมาวาจา เจรจาชอบ
๒. สัมมากัมมันตะ การทำชอบ
๓. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ
๔. กรุณา ความสงสารสัตว์ผู้ถึงทุกข์
๕. มุทิตา ความยินดีต่อสัตว์ผู้ได้สุข
๖. ปัญญินทรีย์ หรือ อโมหะความรู้เข้าใจ ไม่หลง16
๕. วิญญาณ (Consciousness) แปลว่า ความรู้แจ้ง คือ รู้แจ้งในอารมณ์
ได้แก่ ความรู้แจ้งทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ คือ การได้ยิน ได้กลิ่น การรู้รส การรู้
สัมผัสทางกาย และการรู้อารมณ์ทางใจ เรียกว่า วิญญาณ ๖ ได้แก่
๑) จักขุวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางตา คือรู้รูปด้วยตา
๒) โสตวิญญาณ ความรู้อามรณ์ทางหู คือ รู้เสียงด้วยหู
๓) ฆานวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางจมูก คือ รู้กลิ่นด้วยจมูก
๔) ชิวหาวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น คือ รู้รสด้วยลิ้น
๕) กายวิญญาณ ความรู้อามรณ์ทางกาย คือ รู้โผฏฐัพพะด้วยกาย รู้สึก
สัมผัส
๖) มโนวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางใจ คือ ธรรมรมณ์ด้วยใจ รู้ความนึก
คิด
ในแนวอภิธรรม ถือว่า วิญญาณ คือ จิต มีทั้งหมด ๘๙ ดวง แบ่งออกเป็น
๒ คือ
๑. จำแนกตามภูมิหรือระดับของจิต จัดเป็นกามาวจรจิต ๕๔ รูปหาวจร
จิต ๑๕
อรูปาวจรจิต ๑๒ โลกุตรจิต ๘
๒. จำแนกตามคุณสมบัติจัดเป็นอกุศลจิต ๑๒ กุศลจิต ๒๑ วิบากจิต ๓๖
กิริยา ๒๐ ดังนั้น องค์ประกอบของขันธ์ ๕ ที่อาศัยเกี่ยวเนื่องกันและกัน
รูปขันธ์เป็นส่วนกาย นามขันธ์ เป็นส่วนใจ หรือเรียกว่า กายกับ ใจ จึงจะ
เป็นชีวิต โดยกาย และ ใจจะทำงาสนประสานสอดคล้องสมดุลกัน ชีวิตจึง
จะอยู่ด้วยดี การไม่สมดุลของนาม และรูป เช่น มี ดวงตา แต่ไม่สามารถ
มองเห็นได้ มีหู แต่ไม่สามารถได้ยิน เป็นต้น และความไม่สอดคล้องของ
16 สังคห.๗.
ธรรมประยุกต์ ๒๗
17 ม.มู. ๑๒/๒๔๘/๒๒๕.
บทที่ ๓
ธรรมชาติของชีวิต
ในโลกใบนี้มีสรรพสิ่งเกิดขึ้น และดำเนินตลอดเวลา มนุษย์เราก็เฉกเช่นกันที่
กำลังดำเนินไปตามวิถีของมัน มนุษย์เองเป็นส่วนเสี้ยวหนึ่งขององค์ประกอบของ
ธรรมชาติในโลกใบนี้ ที่สำคัญก็คือสิ่งที่อยู่ในโลกใบนี้ ๑. เป็นธรรมชาติ ๒. เกิดขึ้น
ดำเนินไปสลายไปตามกฎธรรมชาติ ๓.สรรพสิ่งจะต้องดำเนินชีวิต เพื่อความดำรง
อยู่ของเผ่าพันธุ์อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ ซึ่งในบทนี้เราจะศึกษาธรรมชาติของ
ชีวิตกันต่อไป
ธรรมชาติของชีวิต
ชีวิต คือองค์ประกอบของกองขันธ์ ๕ ดังได้กล่าวมาแล้ว เมื่อชีวิตมีก็จะเข้า
สู่กระแส แห่งธรรมชาติของชีวิต ชีวิตที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่ สุดท้ายก็จะสลายเป็น
ธรรมชาติ ข องชี ว ิ ต ในทางพระพุ ท ธศาสนาถื อ ว่ า ธรรมชาติ ข องชี ว ิ ต คื อ ชี วิ ต มี
ธรรมชาติอยู่ภายใต้หลักของ ไตรลักษณ์ (The Three Characters of Existence)
ดังพุทธพจน์ที่แสดงไว้ว่า1 “ตถาคตทั้งหลายจะอุบัติหรือไม่ก็ตามธาตุนั้นก็ยังคงมีอยู่
เป็นธรรมฐิติเป็นธรรมนิยามว่า
๑. สังขาร2ทั้งปวง ไม่เที่ยง
๒. สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์
๓. ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา
ตถาคตตรั สรู ้ เข้ า ถึ ง หลั ก นี ้ แ ล้ ว จึ ง บอกแสดงวางเป็ น แบบตั ้ง เป็นหลัก
เปิดเผยแจกแจงทำให้เข้าใจง่าย “สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง....สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ....
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา3.......”
ธรรมชาติของชีวิตดังกล่าวนี้ ในขณะเดียวกันก็จะดำเนินไปตามกฎของธรรมชาติ
แห่ง ไตรลักษณ์ หรือบางครั้งมักจะใช้คำว่า สามัญญลักษณะ แปลว่า ลักษณะที่ทิ้งไป
หรือเสมอกัน เหมือนกันแก่สิ่งทั้งปวง ไตรลักษณะ ๓ ดังกล่าวอธิบายได้ดังนี้
๑. อนิจฺจตา(Impermanence) เรียกตามภาษาบาลีว่า อนิจฺจ หรือ อะ+
นิจ+จะ ภาษาไทยนิยมใช้คำว่า อนิจจัง เรียกเป็นคำศัพท์ตามภาษาบาลีว่า อนิจฺจตา
ลักษณะที่แสดงถึงความไม่เที่ยง เรียกเต็มศัพท์ว่า อนิจจลักษณะ ความไม่เที่ยง
ความไม่คงที่ ความไม่ยั่งยืน ภาวะที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไป
๒. ทุกฺขตา (Stress and Confict) เรียกตามศัพท์บาลี ทุกฺขตา (ทุก+ขะ+
ตา) ภาษาไทยนิยมเรียกว่า ทุกขัง ลักษณะที่แสดงถึงความเป็นทุกข์ เรียกเป็นศัพท์ว่า
ทุกข์ลักษณะ หมายถึงความเป็นทุกข์ ภาวะที่ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัว
ภาวะที่กดดัน ฝืน และขัดแย้งอยู่ในตัว เพราะปัจจัยที่ปรุงแต่งให้มีสภาพเป็นอย่างนั้น
เปลี่ยนแปลงไป จะทำให้คงอยู่สภาพนั้นไม่ได้ ภาวะที่ไม่สมบูรณ์มีความบกพร่องอยู่ใน
ตัวไม่มีความสมยากแท้จริงหรือความพึงพอใจเต็มที่แก่ผู้อยาก ตัวตัณหา และ
ก่อให้เกิดทุกข์แก่ผู้เข้าไป อยากเข้าไปยึดด้วยตัณหาอุปาทาน
๓. อนตฺตา (Soullessness หรือ Non-Self) เป็นศัพท์บาลี อนตฺตา อ่าน
(อะ-นัด-ตา) ซึ่งลักษณะที่แสดงถึงความเป็นไม่มีตัวตน บุคคล เรา เขา สัพพสิ่งทั้ง
ปวงล้วนบัญญัติขึ้นเท่านั้น เรียกเป็นคำศัพท์ว่า อนัตตลักษณะ
ชีวิตคือกฎธรรมชาติแห่งไตรลักษณะ
ชีวิตคือกฎธรรมชาติแห่งไตรลักษณะที่ว่า คือ ธรรมชาติของชีวิตดั งที่
กล่าวว่าธรรมชาติของชีวิตคือ ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
...เป็นอนัตตาคือเป็นกฎธรรมชาติ เพราะไม่สามารถทำความปรารถนาต้องการให้
เป็นอย่างนั้น มิให้เป็นอย่างนี้ชีวิตหรือขันธ์ ๕ เป็นไปในความเสื่อม อาพาธ ไม่มั่นคง
ไม่เที่ยงแท้(อนิจจตา) เมื่อมันเป็นไปไม่สมความต้องการ ความปรารถนา มันจึงเป็น
ทุกข์(ทุกขตา) ความเป็นทุกข์เป็นสิ่งที่มิต้องการ ไม่ปรารถนา ห้ามมิให้เกิดมิให้เป็น
ไม่ได้ ห้ามมิให้ขันธ์ ๕ เสื่อม เช่น ไม่ให้ ตาพร่าฟาง ให้ผิวเต่งตึง ฯลฯ เมื่อมิอาจเป็น
เช่นที่ต้องการ ที่ปรารถนานั่ นก็แสดงว่า มันไม่ใช่อยู่ภายใต้อำนาจของเรา เมื่อมอง
ด้วยปัญญาจึงเห็นว่า นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา(อนัตตา) ดังพุทธจน์ที่
ตรัสว่า4 “สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ , สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ‘ยทนิจฺจํ ตํ
4 พระราชวรมุน(ี ประยุตทธ์ ปยุตโต). พุทธธรรม. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์รุ่งวัฒนา. ๒๕๒๖.หน้า๗๐/๒๗.
ธรรมประยุกต์ ๓๐
คำไวพจน์ของปฏิจจสมุปบาท
๑.อิทัปปัจจยตา (ภาวะที่มีอย่างนี้ ๆ เป็นปัจจัย/specific conditionality)
๒. ธรรมนิ ย าม (ความเป็ น ไปอั น แน่ น อนแห่ ง ธรรมดา, กฎธรรมชาติ /
Orderliness of nature, National law)
๓. ภวจักร (วงล้อแห่งภพ/the Round of Existence)
๔.สังสารจักร (วงล้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลก/the Wheel of
Rebirth)
๕.วัฏฏจักร (วงล้อแห่งการเวียนเกิดเวียนตาย/Cycle of Rebirth)
๖.ไตรวัฎฎ์ (วงวน ๓) วงจร ๓ ส่วนของปฏิจจสมุปบาท ซึ่งหมุนเวียนสืบ
ทอดต่อ ๆ กันไป ทำให้เกิดวงจรแห่งทุกข์ ได้แก่ กิเลส กรรม และวิบาก
องค์ประกอบของ ปฏิจสมุปบาท ๑๒ ได้แก่
๑. อวิชชา (Ignorance) คือความไม่รู้ ไม่รู้ตามความเป็นจริงการไม่ใช้
ปัญญา ความไม่รู้ตามความเป็นจริงไม่รู้ในอริยสัจจ์ ๔ ไม่รู้ในความทุกข์ของจิต ไม่รู้
ในเหตุให้เกิดแห่งความทุกข์ ไม่รู้ในการดับทุกข์ ไม่รู้ในปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์
อวิชชาเป็นจิตที่ไม่รู้จิตในจิต เพราะความไม่รู้หรืออวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร
๒.สังขาร (Karma-formations) การคิดปรุงแต่ง เจตน์จำนง จิตนิสัย
และทุกสิ่งที่จิตได้สั่งสม อบรมไว้ การปรุงแต่งของจิตให้เกิดหน้าที่ ทางกาย - เรียก
กายสังขาร ได้แก่ ธรรมชาติที่ปรุงแต่งร่างกายให้เกิดลมหายใจเข้าออก ทางวาจา -
เรียกวจีสังขาร ได้แก่ ธรรมชาติที่ปรุงแต่งวาจาให้เกิดวิตกวิจาร ทางใจ - เรียกจิต
สังขาร ได้แก่ ธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิตให้เกิดสัญญา เวทนา สุข ทุกข์ทางใจ สภาพที่
ปรุงแต่งผลแห่งการ กระทำของบุคคล, เจตนาที่เป็นตัว การในการทำกรรม มี ๓
อย่างคือ ๑. ปุญญาภิสังขาร อภิสังขารที่เป็นบุญ ๒. อปุญญาภิสังขาร อภิสังขารที่
เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญ คือ บาป ๓. อาเนญชาภิสังขาร อภิสังขารที่เป็นอเนญชา คือ
กุศลเจตนาที่เป็นอรูปาวจร ๔; เรียกง่าย ๆ ได้แก่ บุญ บาป ฌาน เพราะการปรุงแต่ง
ของจิตหรือสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ
๓. วิญญาณ (Consciousness) คือ ความรู้ต่อโลกภายนอกการรับรู้ใน
อารมณ์ที่มากระทบในทวารทั้ง ๖ คือ ทางตา - จักขุวิญญาณ ทางเสียง - โสต
วิญญาณ ทางจมูก - ฆานวิญญาณ ทางลิ้น - ชิวหาวิญญาณ ทางกาย - กาย
วิญญาณ ทางใจ - มโนวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
ธรรมประยุกต์ ๓๓
ภาพแสดงวัฎฎจักร แห่งปฏิจจสมุปบาท
ธรรมประยุกต์ ๓๕
อนิสงส์การเรียนรู้ปฏิจจสมุปบาท
๑.รู้สภาวะธรรมของตนเอง สามารถวิเคราะห์หาเหตุและผลได้ตลอดจน
เข้าใจธรรมอื่นดีขึ้น สมดังพุทธพจน์ที่กล่าวว่า "ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่า
เห็นธรรม"
๒.เมื่อเข้าใจกระบวนการเกิดทุกข์แล้ว ย่อมมีความมั่นใจและรู้หนทางแก้ไข
ทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว หรือจะเกิดขึ้นอย่ างได้ผลถูกต้องที่เหตุปัจจัยตรงจุด เหมือนดั่งมี
แผนที่ในมือย่อมไม่หลงทาง หรือถ้าหลงทางก็จะตรวจสอบและ "รู้"ตัวอย่างรวดเร็ว
และเดินทางกลับไปสู่จุดหมายถูก จึงเปรียบประดุจดั่งมีแผนดังกล่าว เพราะมีแก่น
ธรรมอันสูงสุดเป็นบรรทัดฐานให้ตรวจสอบการปฏิบัติ
๓. มีความเข้าใจในมหาสติปัฏฐาน ๔ เองโดยไม่ได้พิจารณาปฏิบัติมาก(แต่
ต้องฝึกสติ และต้องให้มีสติอย่างต่อเนื่อง ปฏิบัติในชีวิตประจําวัน ไม่ใช่เฉพาะเวลานั่ง
สมาธิ)โดยเฉพาะเวทนานุปัสนาเพราะเข้าใจเวทนา และที่ชัดเจนอีกสิ่งคือจิตตานุปัสส
นา เกิดอาการเห็นจิตในจิตดั่งพุทธพจน์ที่กล่าวในจิตตานุปัสนาว่า"จิตมี โมหะ โทสะโล
ภะก็รู้ชัดว่าจิตมี , จิตไม่มี โมหะ โทสะโลภะก็รู้ชัดว่าจิตไม่มี " ตลอดจนเห็น(เข้าใจ)ทั้ง
ภายใน(ตัวเอง)และภายนอก(บุคคลอื่น) เนื่องจากเข้าใจในสภาวธรรมต่างๆ ดีขึ้นทํา
ให้รู้ถึงสภาวะตนเองและบุคคลอื่นเพราะธรรมใดเป็นเหตุ ทําให้เข้าใจตนเองและผู้อื่น
อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงมากขึ้น
๔. กําจัด "วิจิกิจฉา" คือความสงสัยที่มีซ่อนอยู่ลึกๆ หรือความไม่เข้าใจใน
พระธรรมคําสอนให้พ้นทุกข์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมดสิ้น รู้ถึงพุทธ
ประสงค์ในการสั่งสอนสรรพสัตว์
๕. ได้สัมผัส นิโรธ บางส่วน มีอาการเบากายเบาใจอย่างไม่เคยประสบมา
ก่อนโดยไม่ได้ปฏิบัติใดๆเนื่องจากทุกข์หายไปและไม่พอกพูนหรือก่อกวนอาสวะกิเลส
ขึ้นมา เข้าใจคําว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตลอดจนมีความเชื่อมั่น, กําลังจิต, กําลังใจ,
มองเห็นทางสู่จุดหมายปลายทางอันคือ "นิโรธ" ว่าเป็นไปได้ ไม่ใช่สิ่งเพ้อฝันอีกต่อไป
และไม่ใช่เรื่องบุญบารมีเก่า แต่เกิดแต่ก รรมการกระทํ า ที่ มี เ จตนาในปั จ จุ บั น
๖. ไม่เอาเวทนาทั่วๆไป มาก่อเป็นทุกข์โดยไร้สาระ เพราะไม่ทราบเหตุ และ
ความไม่เข้าใจอย่างในอดีต(อวิชชา) เนื่องจากแยกแยะและเข้าใจเวทนาได้อย่างชัดเจน
ขึ้น ทุกข์เกิดจากเหตุนี้มีเป็นจํานวนมากมายจริงๆ เกิดจากความไม่เข้าใจและวาด
ภาพการพ้นทุกข์เป็นแบบเพ้อฝันหรือสีลัพพตุปาทาน คือไม่เข้าใจคํา ว่า "เหตุแห่ง
ทุกข์นั้นมีอยู่ แต่ไม่มีผู้รับผลทุกข์นั้น"
ธรรมประยุกต์ ๓๖
ธรรมชาติเหตุผลความจริงของชีวิต
ชีวิตคนเราในแง่ทางพระพุทธศาสนาสอนเรื่อง ทุกข์ เป็นเรื่องแรกคือให้
รู้จักทุกข์เพราะทุกข์เป็นผลที่มีเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดเรื่องราว ไม่มีมาร พระพุทธเจ้าก็
ไม่เกิด ไม่มีบาป ก็ไม่มี บุญ ไม่มีอกุศล ก็ไม่มีกุศล เป็นต้น เห็นเป็นเหตุ เป็นผลอย่างนี้
ถ้าปัญญาน้อยก็จะเห็นว่ามันเกิดความสลับซับซ้อนในการดำรงชีวิต ความเห็นแก่ตัว
เพื่อประโยชน์ของตนพวกพ้อง ความต้องการทะยานยาก ก่อให้เกิดความเดือดร้อน
ตนเอง เกิดกมาเบียดเบียนผู้อื่น เป็นอยู่ก็ไม่เป็นสุข แต่ถ้าไม่เห็นแก่ตน เสียสละความ
นี้ไม่ทำให้เกิดความทุกข์ ไม่เกิดปัญหา จึงต้องนำคุณธรรมเหล่านั้นมาใส่ใจเพื่อปฏิบัติ
ต่อกันจะได้ไม่ทุกข์ จะได้ไม่เกิดปัญหา นี่คือวิธีการที่จะดับซึ่งความทุกข์ ปัญหา ความ
วุ่นวายของชีวิต ธรรมอันเป็นเหตุเป็นผลเป็นความจริงแก้ทุกข์ได้กฎนี้เรียกว่า กฎ
แห่งธรรมอริยสัจจ์ ๔
ความสำคัญของอริยสัจจ์ ๔
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมอันนี้ที่เรียกว่า อริยสัจจ์ ๔ หรือ จตุราริยสัจ
(จตฺตาริ อริยสจฺจานิ) ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในปฐมเทศนาแก่สหายเก่าของ
พระองค์ คือ ปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนะ (ปัจจุบันเรียกว่าสารนาถ) ใกล้เมืองพารณสี
ธรรมนี้ชื่อได้ว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาที่มีความสำคัญที่สุด ได้แก่
๑. ทุกขสัจ ความจริงของทุกข์ ทุกข์ คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ
ต่างๆ พระพุทธองค์ทรงพบความจริงว่า สรรพสัตว์ทั้งหลาย ล้วนตกอยู่ในความ
ทุกข์ จะเป็นมหาเศรษฐี เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นประธานาธิบดี เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ก็มีทุกข์ทั้งนั้น ต่างแต่เพียงว่าทุกข์มากหรือทุกข์น้อย และมีปัญญาพอที่จะรู้ตัวหรือ
เปล่าเท่านั้น พระองค์ได้ทรงแยกแยะให้เราเห็นว่า ความทุกข์นี้มีถึง ๑๑ ประเภทใหญ่ๆ
ด้วยกัน แบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ ได้แก่
๑. สภาวทุกข์ คือทุกข์ประจำ เป็นความทุกข์ที่ห ลีก เลี่ ยงไม่ไ ด้ เป็น
สภาพธรรมดาของสัตว์ซึ่งเมื่อเกิดแล้วต้องมี ทุกข์ชนิดนี้มี ๓ ประการได้แก่
ก.ชาติ การเกิด
ข. ชรา การแก่
ค.มรณะ การตาย
ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา อย่างมากที่สุดก็บอกได้
เพียงว่า ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์ ส่วนการเกิดกลับถือว่าเป็นสุข เป็น
พรพิเศษที่พระเจ้าทรงประทานมาจากสรวงสวรรค์ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้
ธรรมประยุกต์ ๓๘
7 สํ. ม. ๑๙/๑๖๖๖/๕๒๙
ธรรมประยุกต์ ๓๙
8 สํ. ม. ๑๙/๑๖๖๗/๕๒๙
9 สํ. ม. ๑๙/๑๖๖๘/๕๓๐
10 ทางสายกลาง.
ธรรมประยุกต์ ๔๑
11สํ. ม. ๑๙/๑๖๖๙/๕๓๐
ธรรมประยุกต์ ๔๔
12 อริยมรรคมี องค์ ๘
บทที่ ๔
มนุษย์ต้องการอะไรและมีเป้าหมายสูงสุดของชีวิตอย่างไร
เป้าหมายของชีวิตหรือสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรแสวงหา ปัญหานี้ในทางจริย
ศาสตร์เขาคิดกัน ซึ่งในแต่ละลัทธิต่างก็มีแนวคิดในเรื่องนี้แตกต่างกันออกไป ซึ่ง
มนุ ษ ย์ จ ะบรรลุ เป้า หมายสิ่ ง หนึ ่ง ที่ ต้ องการอยากให้ เ ริ่ มต้น ก็ คื อ คำที ่ ว ่ า มนุ ษย์
ต้องการอะไร ทำไม ต้องขึ้นต้นด้วยคำถามว่า มนุษย์ต้องการอะไร ทั้งนี้เพราะว่าโดย
รากฐานลำดับแรกมนุ ษย์ มี ชี ว ิ ตขึ ้น มาไม่ม ีช ี วิ ต ไหนตั ้ ง จุด มุ ่ ง หมายของชีว ิตไม่มี
เป้าหมายของชีวิต แต่สิ่งแรกคือมนุษย์จะดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ครั้นเมื่อ มีชีวิตที่
อยู่รอดสมบูรณ์แล้วมนุษย์ถึงจะตั้งเป้าหมายถึงจะมีจุดมุ่งหมาย สัญชาตญาณของ
มนุษย์ไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์มากนักในกรณีที่ต้องการอยู่รอดหรือมีชีวิต ดั งนั้นใจ
บทนี้จะศึกษาว่ามนุษย์ต้องการอะไร และมนุษย์มีจุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายสูงสุดคือ
อะไรของชีวิต
มนุษย์ต้องการอะไร
จากการศึ กษาเราพบว่ ามนุษ ย์ มี ความต้ องการการอยู ่ ร อด และขยาย
เผ่ า พั น ธุ ์ เป็น ความต้ องการสูง สุด เพราะความต้อ งการอยู ่ร อดนี ้จ ึง ต้องดิ้นร้น
แสวงหาสิ่งที่เรียกว่าปัจจัยในการที่จะดำรงชีวิตเพื่อให้อยู่รอดซึ่งในที่นี้จะเรียกว่า
ความต้องการปฐมภูมิ ความต้องการดังกล่าวนี้มี ๓ ทางเพื่อความอยู่รอด ได้แก่
๑. ความต้ อ งการทางชี ว วิ ท ยา (Biological Needs) หมายถึ ง ความ
ต้องการอันเกิดจากร่างกาย คนเรามีร่างกายเป็นเสมือนเครื่องจักร เครื่องยนต์ที่
ทำงานเกี่ยวข้องกันอย่างสลับซับซ้อนและต้องการมีปัจจัยต่างเข้ามาบำรุงเลี้ยงส่วน
ต่างๆ มิฉะนั้นเครื่องยนต์ หรือ ชีวิตก็จะดำเนินต่อไปไม่ได้ ความต้องการดังกล่าวนี้
ได้แก่
ก. ความต้องการอาหาร ความต้องนี้ได้รวมเหมาเอาทั้งอาหาร น้ำ
อากาศเพื่อเป็นปัจจัยอันสำคัญที่ขาดไม่ได้ที่จะเลี้ยงร่างกายคนให้ดำรงอยู่
ข. ความต้องการทางเครื่องนุ่งห่ม เพื่อใช้ในการปรับอุณหภูมิของ
ร่างกายต่อสภาพดินฟ้าอากาศ และต่อมาได้กลายมาเป็นใช้เครื่องนุ่งห่มเพื่ อความ
สวยงาม
ธรรมประยุกต์ ๔๖
เป้าหมายของชีวิต
มนุษย์เมื่อมีความพร้อมทางร่างกาย คือสามารถสนองความต้องการทาง
ร่างกายได้สมบูรณ์ได้แล้วคือไม่อดยาก มีปัจจัย ๕ หรือมีความบริบูรณ์ในสิ่งที่ตนเอง
ต้องการบริบูรณ์แล้ว มนุษย์ก็ศึกษา และคิดสิ่งต่อไปเพื่อที่จะตอบคำถามตัวเองว่า
ชีวิตเกิดมามีค่า ประพฤติตนอย่างไรจึงจะมีค่า ชีวิตนี้เกิดมาบรรลุเป้าหมายสูง สุด
หรือไม่ และเป้าหมายสูงสุดของชีวิตคืออะไร เช่นเดียวกันกับนักคิดโบราณได้กล่าวถึง
เป้าหมายสูงสุดของชีวิตมีหลายทฤษฏีดังที่เราจะศึกษาดังต่อไปนี้
๑. กลุ่มสุขนิยม ( Hedonism )คือ กลุ่มที่ถือหลักการที่ว่า ความสุขเป็น
สิ่งที่ดีที่สุดของชีวิต เป็นสิ่งสุดท้าย เป็นเป้าหมายสุดท้ายที่มนุษย์เราควรไปให้ถึง
ความสุขจึงเป็นที่สุดของความต้องการ จุดหมายปลายทางของมนุษย์ คือ การได้มา
ซึ่งความสุขสบาย และสิ่งที่จะได้มาจะต้องได้มาด้วยความทุกข์น้อยที่สุด ความสุขที่
เป็นเป้าหมายของชีวิต คือ ความสุขระยะยาว คงไม่มีใครอยากที่จะมีความสุขแบบ
ชั่วคราวแน่นอน ซึ่งแนวคิดตรงนี้ เ ข้ ากัน ได้ดี กับ หลักการของประสบการณ์ แ ละ
วิ ท ยาศาสตร์ นั ่ น คื อ ยิ ่ ง วิ ท ยาศาสตร์ ท ี ่ ใ ช้ ว ิ ธ ี ก ารแบบประสบการณ์ น ิ ย ม คื อ
ตรวจสอบได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ นั้น มีความเจริญก้าวหน้าไปแค่ไหน มนุษย์เรา
ก็จะยิ่งมีความสุข สะดวกสบายมากแค่นั้น ยิ่ งในสมัยปัจจุบัน วิทยาศาสตร์ก้าวล้ำ
หน้าไปมาก วิถีชีวิตของมนุษย์เรากำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัล ที่ทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่มนุษย์เคยต้อ งออกแรงทำเอง เครื่องมือดิจิทั ลสามารถทำแทนได้หมด ดังนั้ น
ทฤษฎี ส ุ ข นิ ยม จึ งถื อ ว่ า วิ ธ ี ก ารทางวิ ท ยาศาสตร์ จะเป็ น หนทางนำมนุ ษ ย์ ไ ปสู่
ความสุขที่แท้จริงได้ นักจิตวิทยาคนสำคัญอย่าง ซิคมันด์ ฟรอยด์ 2 เห็นว่าความสุข
เป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิตโดยแยกออกเป็น ๒ กลุ่ม
ก. สุ ข นิ ย มส่ ว นตน (Individualistic Hedonism) ถื อ ว่ า ความสุ ข
ตัวเองมีค่ามากที่สุด ซึ่งบุคคลควรแสวงหา
ข. สุขนิยมทั่วไป (Universal Hedonism) ถือว่าความสุขของคนส่วน
ใหญ่มีค่ามาก ที่สุดมนุษย์จึงควรบำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวมให้มากที่สุด พวกนี้
เรียกตัวเองอีก อย่างหนึ่งว่า ประโยชน์นิยม(Utilitarianism)
๒. กลุ่มอสุขนิยม ( Non-hedonism ) ทฤษฎีนี้ตั้งขึ้นเพื่อโต้แย้งกับทฤษฎี
สุขนิยม เพราะเชื่อว่า การที่คนเราสนองความต้องการทางประสาทสัมผัสเพียงอย่าง
เดี ยว แล้ วมนุ ษ ย์ เราจะมีค วามต่า งอะไรไปจากสัต ว์โ ลกอื ่น ๆ เพราะการถื อเอา
2 Aigmund Freud. Civilisation and Its Discontents. In Approaches to Ethics. P.440.
ธรรมประยุกต์ ๔๘
เพราะนั่นทำให้ทัศนคติของเราแคบไปด้วย ซึ่งส่งผลให้การใช้ชีวิตของเรานั้นแคบไป
ด้วย ทางที่ถูก คือ เราต้องมองชีวิตทั้ งในทัศนะทางสุขนิยม , วิมุตินิยม และปัญญา
นิยม จากแนวคิดนี้จึงสรุปได้ว่า สิ่งที่มีค่าและที่มนุษย์ควรแสวงหาเพื่อความเป็น
มนุษย์ที่สมบูรณ์ คือ สิ่งที่สามารถตอบสนองความต้องการของมนุษย์ในทุก ๆ ด้าน
ทั ้ ง ทางร่ า งกายและจิ ต ใจ แต่ ก ็ ต ้ อ งรู ้ จ ั ก ควบคุ ม ความต้ อ งการให้ อ ยู ่ ใ น ระดั บ ที่
พอเหมาะพอดี และเหมาะสมด้วย ไม่เอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง ต้องทำให้สมดุลกัน
จึงจะเป็นการใช้ชีวิตที่รอบคอบมากที่สุด เหมือนเช่น แก้วน้ำแก้วนี้ที่มีปริมานนมใน
แก้วที่พอดี ไม่ล้นและไม่น้อยเกินไป พอดี ๆ นั่นเอง
เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธความคิดข้างบนดังกล่าวแต่พระพุทธศาสนามี
เป้าหมายสูงสุดของตัวเอง คือ นิพพาน แต่การอธิบายและกล่าวถึงนิพพานเป็นเรื่อง
ไม่อยากแต่ก็เป็นเรื่องที่คิดว่าคงรู้ได้เข้าใจได้ แต่สัมผัสได้ บรรลุได้เป็นเรื่องยาก ครั้น
เมื ่ อ ต้ อ งการความรู ้ ค วามเข้ า ใจกั บ คำว่ า นิ พ พาน เป้ า หมายสู ง สุ ด ของ
พระพุ ท ธศาสนาก็ ต ้ อ งอธิ บ ายกั น จากง่ า ยไปสู ่ ย าก หรื อ จากระดั บ ปุ ถ ุ ช นไปสู่
อริยบุคคล ตามวิถีทางดำเนินชีวิตให้บรรลุประโยชน์ที่เป็นจุดมุ่งหมายของชีวิตที่
เรียกว่า อรรถ3 ๓ คือ
๑. ทิฎฐธัมมิกัตถประโยชน์4 ( Virtues conducive to benefits in the
present ) คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน คือ ประโยชน์ที่จะพึงได้รับในภพชาตินี้ ถือว่าเป็น
ประโยชน์ขั้นพื้นฐานในการดำเนินชีวิต มี ๔ อย่าง
ก. อุ ฏ ฐานสั ม ปทา ( Achievement of diligence ) คื อ ความถึ ง
พร้อมด้วยความหมั่น ได้แก่ความขยันในการประกอบอาชีพการงาน “อย่านอนตื่น
สาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่านอนคอยวาสนา”
ข. อารักขสัมปทา ( Achievement of protection ) คือ ความถึง
พร้อมด้วยการ รักษาทรัพย์ที่หามาได้ การเก็บรักษาและการประหยัด หลักธรรมข้อ
นี้ มีจุดมุ่งหมายให้เป็นคนมัธยัสถ์ ( พอดี )
3 ขุ.จู.๓๐/๖๗๓/๓๓๓; ๗๕๕/๓๘๙.
4 องฺ.อฉฐก. ๒๓/๑๔๔/๒๘๙.
ธรรมประยุกต์ ๕๒
5 สํ.ม. ๑๙/๕-๑๒๙/๒-๓๖.
ธรรมประยุกต์ ๕๓
6 พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอดุลยเดช เรื่องความฟุ้งเฟ้อ
ธรรมประยุกต์ ๕๔
7 องฺ.อฏฺฐก.๒๓/๑๔๔/๒๙๒.
8 ที.ปา ๑๑/๒๒๘/๒๓๑/ อภิ.วิ.๓๕/๘๐๔/๔๓๘.
ธรรมประยุกต์ ๕๕
จุดมุ่งหมายของชีวิตในระดับโลกุตระ
ระดับนี้มิใช่วิสัยของโลก เรียกว่า ระดับโลกุตรธรรม คือ สภาวะที่พ้นโลก เป็น
ภาวะที่ดับกิเลส และกองทุกข์ พ้นจากสภาวะความเป็นไปทั้งหลายในโลกเป็นเรื่องของ
พระอริยบุคคลผู้ประเสริฐผู้บรรลุธรรมพิเศษ เป็นสภาวะที่พ้นจากวิธี การรับรู้ทาง
ประสาทสัมผัสธรรมดาของปุถุชน ได้แก่ปรมัตถประโยชน์
พระพุทธศาสนามีจุดมุ่งหมายของชีวิตคือ นิพพาน นิพพาน มาจาก นิ อุป
สรรค์(แปลว่า ออกไป หมดไป ไม่มี เลิ ก) + วาน (แปลว่า พัดไป หรือ เป็นไปบ้าง
9 ผู้ช่วยศาสตราจารย์บุญมี แท่นแก้ว ,จริยธรรมกับชีวิต : ๘ - ๙.
10 องฺ.จตุกฺก.๒๑/๖๒/๙๐.
11 ที.อ.๑/๒๕๓; ม.อ.๒/๑๘๘;องฺ.อ.๑/๑๘๑; ขุทฺทก.อ.๑๕๙;อุ.อ.๒๘๘.
ธรรมประยุกต์ ๕๖
ภาพแสดงสังสารวัฎฎ์
แต่โดยปกติปุถุชนมักจะผูกกิเลส อุปทาน ตัณหาเข้ามาปิดบังจิตใจ แต่ถ้า
จิตใจถูกเปิดมิให้สิ่งใดมาปิดกั้น ครองคลุมก็จะโปร่งโล่งเป็นอิสระแจ่มใส สะอาด สว่าง
สงบ ละเอียดเอน ประณีต ลึกซึ้ง ก็เหมือนกับคุณลักษณะของคำว่ านิพ พานว่า
“นิพพาน อันผู้บรรลุเห็นได้เอง ไม่ขึ้นกับกาล เรียกให้มาดูได้ ควรน้อบน้อมเอามาไว้
อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน14” อย่างไรก็ตามการศึกษาคำว่า “นิพพาน” แม้จะให้ได้คำ
จำกัดความที่กว้างขวางมากแต่ก็สามารถสรุปได้ ๔ ประเภท15 ได้แก่
๑. ความหมายนิพพานแบบปฏิเสธ คือ ความหมายอันแสดงถึง การละ
การจำกัด การเพิกถอนภาวะ ไม่ดีไม่งาม ไม่เกื้อกูล ไม่เป็นประโยชน์ต่าง ที่มีอยู่ใน
วิ ส ั ย ของฝ่ า ยวั ฏ ฏะ เช่ น ว่ า “นิ พ พาน คื อ ความสิ ้ น ราคะ สิ ้ น โทสะ สิ ้ น โมหะ 16”
“นิพพานคือความดับแห่งภพ17” “นิพพานคือ ความสิ้นตัณหา18” “จุดจบของทุกข์19”
เป็นต้น หรือใช้คำเรียกอันแสดงภาวะที่ตรงข้ามกับภาวะฝ่ายวัฎฎะโดยตรง เช่น
อสังขตะ (ไม่ถูกปรุงแต่ง) อชระ(ไม่แก่) อมตะ (ไม่ตาย) เป็นต้น
๒. แบบไวพจน์ หรือเรียกตามคุณภาพ คือ นำเอาคำพูดบางคำที่ใช้พูด
เข้าใจกันอยู่แล้วอันมีความหมายเกี่ยวกับภาวะที่สมบูรณ์หรือดีงามสูงสุดมาใช้ คำ
14 องฺ.ติก. ๒๐/๕๙๘/๒๐๒.
15 พระราชวรมุน(ี ประยุทธ์ ปยุตโต). พุทธธรรม. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์รงุ่ วัฒนา. ๒๕๒๖.หน้า ๒๓๒ - ๒๓๔.
16 สํ.สฬ. ๑๘/๔๙๕/๓๑๐ ; ๕๑๓/๓๒๑.
17 สํ.นิ.๑๖/๒๗๑/๑๔๒.
18 สํ.ข.๑๗/๓๖๗/๒๓๓.
19 สํ.สฬ.๑๘/๘๕/๕๓;ขุ.อุ.๒๕/๑๕๘/๒๐๗;ขุ.อิติ.๒๕/๒๓๑/๒๖๖.
ธรรมประยุกต์ ๕๘
20 ม.ม.๑๒/๓๙๑/๔๒๐.
21 สํ.สฬ.๑๘/๒๘๕/๑๙๘; ขุ.อิติ.๒๕/๒๓๑/๒๖๖.
22 ม.ม.๑๓/๒๕๐/๒๔๖; สํสฬ.๑๘/๘๐๐/๔๘๕.
23 สํงข. ๑๗/๑๙๘/๑๓๒.
24 สํ.สฬ.๑๘/๓๑๖/๒๑๙.
25 สํ.สฬ. ๑๘/๓๔๒/๒๔๖.
26 ขุ.อป.๓๓/๑๕๗/๒๘๒ (อุรมุตฺตมํ).
27 มิลนิ ฺท.๓๔๙.
28 มีแสดไว้อย่างพิสดาร หากผู้สนใจ สามารถศึกษาจากหนังสือพุทธรรมของพระราชวรมุนี(ประยุตต์)
29 พระราชวรมุน(ี ประยุทธ์ ปยุตฺโต).พุทธธรรม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์รุ่งวัฒนา. ๒๕๒๖.หน้า ๒๖๒.
ธรรมประยุกต์ ๕๙
30 นัย.ที.สี.๙/๒๕๐-๒๕๓/๑๙๙-๒๐๐.
ธรรมประยุกต์ ๖๐
คุณสมบัติของพระสกิทาคามี
พระสกิทาคามี คือ บุคคลที่มีคุณสมบัติของพระโสดาบัน + มีความรู้ใน
อริยสัจ ๔ มากขึ้น + สามารถปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้อย่างถูกต้องและ
ครบถ้วนตามสมควร จนสามารถละกิเลส(โลภ โกรธ หลง)และความทุกข์ให้เบาบาง
ลงได้ในระดับหนึ่ง เพราะยังมีความหลง(มีอวิชชา)อยู่. การดับกิเลส(โลภ โกรธ หลง)
ได้หมดจริง ๆ และอย่างต่อเนื่องได้ นั้น ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้นที่จะทำได้ . ใน
ชีวิตประจำวัน การฝึกรักษาจิตใจของท่านให้ตั้งอยู่ในระดับพระสกิทาคามีอย่าง
ต่อเนื่องก็อาจทำได้ โดยการตั้งเจตนา(มีดำริชอบอย่างจริงจัง)ว่า ต่อจากนี้ไป เราจะ
มีความตั้งใจ(มีสติชอบ)และความเพียร(มีความเพียรชอบ)ที่จะศึกษาอริยสัจ ๔ เพื่อ
ดับความหลง และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อ
ดับความโลภและความโกรธให้หมดไปจากจิตใจอย่างสิ้นเชิง
ท่ า นควรฝึ ก ประเมิ น ระดั บ จิ ต ใจของตนเองวั น ละหลายครั ้ ง ว่ า ในขณะ
ปัจจุบันนี้ หรือในนาทีนี้ ในชั่วโมงนี้ ในวันนี้ กิเลส(โลภ โกรธ หลง)เบาบางลงจากเดิม
บ้างหรือไม่. ถ้ากิเลสเบาบางลงไปบ้างแล้ว จิตใจของท่านน่าจะอยู่ที่ระดับจิตใจของ
พระสกิทาคามีได้ชั่วคราว ถ้ากิเลสยังไม่เบาบางลง ก็ให้สอนหรือตักเตือนตนเองว่า
จะละกิเลสอย่างจริงจังต่อไป
การจะเป็ น พระสกิ ท าคามี ไ ด้ น ั ้ น จะต้ อ งผ่ า นการฝึ ก ปฏิ บ ั ต ิ ธ รรมใน
ชี ว ิ ต ประจำวั น ได้ อ ย่ า งถู ก ต้ อ งและครบถ้ ว นตามสมควร จึ ง จะสามารถควบคุ ม
ความคิดให้มีความโลภและความโกรธน้อยลง
คุณสมบัติของพระอนาคามี
พระอนาคามี คือ บุคคลที่มีคุณสมบัติของพระสกิทาคามี + มีความรู้ใน
อริยสัจ ๔ มากขึ้น + สามารถละความคิดกำหนัดยินดีในกามคุณ(กามราคะหรือ
สังโยชน์ข้อที่ ๔)และละความคิดขัดเคืองใจ(ปฏิฆะหรือสังโยชน์ข้อที่ ๕)ได้ หรือละ
สังโยชน์เบื้องต่ำทั้ง ๕ ข้อได้ รายละเอียดของสังโยชน์ ๒ ข้อที่พระอนาคามีต้องละ
เพิ่มขึ้น มีดังนี้ :-.
๑. ความคิดกำหนัดยินดีในกามคุณ (กามราคะหรือสังโยชน์ข้อที่ ๔) คือ
การมีความคิดทะยานอยากในการเสพกามคุณต่าง ๆ (มีตัณหา) ซึ่งเกิดจากการคิด
ด้วยกิเลสด้านความโลภ เช่น การอยากเสพ(อยากรับรู้) รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
ทางกาย ที่เกินความพอเหมาะพอควร จึงทำให้มีความทุกข์ที่เกิดจากความโลภ แต่ไม่
รุนแรงมากนัก การละกามราคะของพระอนาคามีนั้น เป็นการละความกำหนัดยินดีใน
ธรรมประยุกต์ ๖๓
36 องฺทสก. ๒๔/๗๕/๑๔๙.
37 เช่น อภิ.สํ. ๓๔/๖๖๕/๒๖๐.
38 วินย. ๔/๓๒/๓๙; สํ.ส. ๑๕/๔๒๘/๑๕๓.
39 ขุ.เถร. ๒๖/๓๑๘/๓๖๒.
บทที่ ๕
การดำเนินชีวิตแบบชาวพุทธ
ในการดำเนินชีวิตแบบฆราวาสวิสัย ธรรมะของพระพุทธองค์มีจำนวน
มากมายแต่ถ้าหากว่านำตัวอย่างการดำเนินชีวิตตามตัวอย่างพระสูตรก็จะทำผู้
ศึกษาสามารถที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและดำเนินชีวิตได้อย่างมีแบบอย่าง ใน
บทนี้เราจะศึกษาการดำเนินชีวิตแบบชาวพุทธ หรือวิถีพุทธ ตามพระสูตร ๒ พระ
สูตร คือ
๑) สิงคาลกสูตร
๒) มงคลสูตร
การดำเนินชีวิตตามแนวสิงคาลกสูตร
ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
ในเรื่องสิงคาลกสูตรได้กล่าวถึงการดำเนินชีวิตอย่างอริย หรือ อริย พระผู้มีพระ
ภาคประทับ ณ เวฬุวัน ( ป่าไผ่ ) ใกล้กรุงราชคฤห์ เช้าวันหนึ่งเสด็จกรุงราชคฤห์เพื่อ
บิฑบาต ได้ทอดพระเนตรเห็นสิงคลกมาณพมี ผ้าเปียก มีผมเปียก ไหว้ทิศทั้งหกอยู่
ตรัสถาม ทราบว่าเป็นการทำตามคำสั่งของบิดา จึงตรัสว่า ในอริยวินัยไม่พึงไหว้ทิศ
แบบนี้. เมื่อมาณพกราบทูลถามว่า พึงไหว้อย่างไร สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรง
แสดงหลักคำสอนที่เรียกว่า “สิงคาลกะสูตร” คือก่อนที่สิงคาลกะจะไหว้ทิศ ก็ได้ไป
อาบน้ำชำระล้างร่างกาย เตรียมตัวก่อน แล้วจึงมายืนไหว้ แต่การไหว้ทิศในอริย
วินัยก็ทำในทำนองเดียวกัน แต่จะต้องทำเป็นขั้น ๆ ไป คือ ขั้นที่ ๑ จะต้องรักษาชีวิต
ให้สะอาดซึ่งไม่ใช่อยู่ที่การอาบน้ำ ชำระล้างร่างกายใช้สบู่หอมชนิดต่าง ๆ นั่นเป็น
การชำระล้างสิ่งสกปรกโสโครกซึ่งเกิดขึ้นจากปฏิกูลภายใน จากฝุ่นละอองภายนอก
ทำให้ผิวกาย ร่างกาย และทวารของเราสกปรก เราสามารถใช้น้ำชำระล้างได้ แต่
ความชั่วต่าง ๆ ในร่างกายมีถึง ๑๔ อย่าง มีกรรมกิเลส ๔ อย่าง คือการกระทำให้
ชีวิตมัวหมอง เป็นการกระทำที่เสียหาย คือการดำเนินชีวิตหรือความประพฤติที่
เบียดเบียนกัน ๔ ประการ; ไม่ทำกรรมชั่วโดยฐานะ ๔ ; ไม่เสพปากทางแห่งความ
เสื่อมทรัพย์ (โภคานํ อปายมุขานิ ) ๖ ประการ ; เขาปราศจากความชั่ว ๑๔
ดังกล่าวได้แล้ว เป็นผู้ปกปิดทิศ ๖ ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อชัยชนะในโลกทั้งสอง คือโลกนี้
และโลกหน้า, เมื่อตายไปก็จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ธรรมประยุกต์ ๖๗
อะไรคือกรรมกิเลส
กิ เลส คื อ เครื ่ อ งเศร้ า หมอง กรรม คื อ การกระทำ กรรมกิ เ ลส จึ ง
หมายถึง การกระทำที่เศร้าหมอง ๔ ประการ พระพุทธเจ้าตรัสสอนแก่สิงคาลมนพ
ว่า ให้ละเว้นกรรมกิเลสนี้ ได้แก่
๑) ปาณาติบาต การฆ่าสัตว์
๒) อทินนาทาน การลักทรัพย์
๓) กาเมสุมิจฉาจรา การประพฤติผิดในกาม
๔) มุสาวาท การพูดปด
หรือความประพฤติออกนอกทางของธรรม เรียกว่า อคติ ๔ อย่าง คือ
๑) ฉันทาคติ หมายถึง ความลำเอียงเพราะความชอบ
๒) โทสาคติ หมายถึง ความลำเอียงเพราะความชัง
๓) โมหาคติ หมายถึง ความลำเอียงเพราะความเขลา
๔) ภยาคติ หมายถึง ความลำเอียงเพราะความกลัว
ฉะนั้น ชีวิตของแต่ละคนที่เป็นฆราวาสเมื่อเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จะต้องมี
ความรับผิดชอบของตนเอง รับผิดชอบสังคม รับผิดชอบการงาน และในที่สุดก็เป็น
หัวหน้าครอบครัว เป็นหัวหน้าหน่วยงาน เป็นหัวหน้าชุมชน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่
จะต้องรักษาคือความเป็นธรรม ให้ความเป็นธรรมแก่คนอื่นที่อยู่ในความดูแลของตน
หรือว่าให้กลุ่มคนอื่นหรือหมู่ชนนั้นด้วยความสามัคคีเราจะต้องสร้างความสงบสันติ
สุข
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงให้เว้นจากความลำเอียง ๔ อย่างนี้
คือความประพฤติผิดธรรม หรือคลาดเคลื่อนเพราะความชอบ ความชัง ความเขลา
และความกลัว แต่ให้เราตั้งมั่นอยู่ในธรรม สร้างความถูกต้องดีงามและเที่ยงธรรมให้
เกิดขึ้นรวมเป็น ๘ อย่าง
อบายมุข1 ๖
อบาย แปลว่า ความเสื่อม ความฉิบหาย มุข แปลว่า ปาก, หน้าอบายมุข
จึงแปลว่า ปากทางแห่งความเสื่อม เนื่องจากมันเป็น ปากทาง ส่วนตัวความเสื่อม
จริงๆ นั้นอยู่ ปลายทาง เมื่อมองเพียงผิวเผินเราจึงมักยังมองไม่เห็นความเสื่อม แต่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และท่านผู้รู้ทั้งหลายมองเห็น เป็นทางแห่งความเสื่อม หรือ
1 ที.ปา.๑๑/๑๗๘-๑๘๔/๑๙๖-๑๙๘.
ธรรมประยุกต์ ๖๘
ช่องทางแห่งความหมดเปลืองของทรัพย์สินเงินทองในการทำมาหาเลี้ยงชีพ ชีวิต
ของฆราวาสทั้งหลายเรื่องสำคัญก็คือ ต้องสามารถเก็บเงินเก็บทองอยู่ เก็บเป็น และ
เก็บได้ แต่ถ้ามีอบายมุขแล้ว เงินทองก็จะหมดไปได้ นอกจากความเสื่อมทรัพย์สินเงิน
ทองแล้ว ความเสื่อมทางด้านจิตใจก็ทำให้จิตใจของเราไม่อยู่ในหน้าที่การงาน ถ้าอยู่
ในวัยเรียนก็เสียการเรียน ซ้ำร้ายสุ ขภาพก็เสื่อมโทรมด้วย ฉะนั้น จึงควรเว้นใน
อบายมุข คือทางเสื่อม ๖ ประการ ดังนี้
๑. การเป็นนักเลงสุรา เป็นนักดื่ม หมกหมุ่นอยู่กับสุรายาเมา และสิ่งเสพติด
ต่าง ๆ
๒. การเป็ น นั ก เที ่ ย ว เที ่ ย วไม่ เ ป็ น เวลา เที ่ ย วเสเพล เที ่ ย วเรื ่ อ ยเปื ่ อ ย
สมัยก่อนเรียกว่า นักเที่ยวกลางคืน
๓. การเป็นนักบันเทิง หมกหมุ่นอยู่แต่ในเรื่องสนุกสนาน บันเทิงอยู่กับ
สถานที่ สถานเริงรมย์ หาแต่ความสนุกสนานอย่างเดียว มัวเมา และทิ้งการเรียน
การงาน ไม่มีเวลาหาเงินทอง และผลาญทรัพย์สมบัติที่มีอยู่
๔. การเป็นนักเลงการพนัน เป็นข้อที่ผลาญทรัพย์อย่างยิ่ง ดังโบราณ
ท่านว่า ไฟไหม้ยังดีกว่าเล่นการพนัน ไฟไหม้บ้านหมด ที่ดินก็ยังอยู่ แต่ถ้าลองเล่น
การพนันแล้ว แม้แต่ที่ดินก็หมดได้โดยไม่เหลืออะไรเลย
๕. การคบคนชั่วเป็นมิตร คือ คบนักเลงสุรา คบนักเลงการพนัน นักเที่ยว
เสเพลก็พาไปในทางที่ไม่ดี คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหา
ผล
๖. การเกียจคร้านการงาน คือ ไม่เอาใจใส่ในหน้าที่การงาน ดีแต่จะนอนอยู่
สบาย พอมีงานหรือมีเรื่องที่จะต้องทำยากหน่อยก็อ้างโน่นอ้างนี่ และหลบเลี่ยง
เรื่อยไป นี่คืออบายมุข ๖
สรุป กรรมกิเลส การกระทำทำให้เศร้าหมอง มี ๑๖ ประการ ได้แก่ กรรม
กิเลส ๔ อคติ ๔ อบายมุข ๖
ธรรมประยุกต์ ๖๙
ทิศ ๖2
ทิศเบื้องหน้า : ได้แก่ บิดามารดา
บุตรพึงปฏิบัติต่อท่าน ดังนี้ บิ ด ามารดา ย่ อ มอนุ เ คราะห์ ต อบบุ ต ร
๑.ท่านได้เลี้ยงเรามาแล้วเลี้ยงท่าน ดังนี้
ตอบ ๑. ห้ามมิให้ทำความชั่ว
๒.ช่วยกิจของท่าน ๒.ให้ตั้งอยู่ในความดี
๓.ดำรงวงศ์ตระกูล ๓.ให้ศึกษาศิลปะวิทยา
๔. ประพฤติตนให้เป็นผู้สมควรรับ ๔.หาภรรยาสามีที่สมควรให้
ทรัพย์มรดก ๕.มอบทรัพย์ให้ในสมัย
๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศ
ให้ท่าน
ทิศเบื้องขวา : ครู อาจารย์
ศิษย์พึงปฏิบัติต่อท่าน ดังนี้ ครู อาจารย์ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ตอบ ดังนี้
๑.ด้วยลุกขึ้นยืนรับ ๑. แนะนำดี
๒.ด้วยเข้าไปยืนคอยรับใช้ ๒. ให้เรียนดี
๓.ด้วยเชื่อฟัง ๓. บอกศิลปะให้สิ้นเชิง
๔.ด้วยอุปัฏฐาก ๔. ยกย่องให้ปรากฏในหมู่เพื่อนฝูง
๕.ด้วยเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ ๕. ทำความป้องกันทิศทั้งหลาย
จะไปทิศทางไหนก็ไม่อดอยาก
2 ที.ปา ๑๑/๑๙๘-๒๐๔/๒๐๒-๒๐๖.
ธรรมประยุกต์ ๗๐
ทิศเบื้องซ้าย : มิตรสหาย
มิตรพึงปฏิบัติต่อมิตร ดังนี้ มิตรย่อมอนุเคราะห์มิตรตอบ ดังนี้
๑. ด้วยให้ปันสิ่งของ ๑. รักษามิตรผู้ประมาทแล้ว
๒. ด้วยเจรจาถ้อยคำไพเราะ ๒. รักษาทรัพย์ของมิตรผู้ประมาทแล้ว
๓. ด้วยประพฤติประโยชน์ ๓. เมื่อมีภัยเอาเป็นที่พึ่งพำนักได้
๔. ด้วยความเป็นผู้มีตนเสมอ (เสมอต้น ๔. ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ (ยามฉิบหาย)
เสมอปลาย) ๕. นับถือตลอดวงศ์ของมิตร
๕. ด้วยไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความ
เป็นจริง
ทิศเบื้องต่ำ : บ่าว/ลูกจ้าง
นายพึ ง ปฏิ บ ั ต ิ ต ่ อ บ่ า ว/ลู ก จ้ า งดั ง นี้ บ่าว/ลูกจ้างย่อมอนุเคราะห์ตอบนายดังนี้
๑. ด้วยจัดการงานให้ทำตามสมควร ๑.ลุกขึ้นทำงานก่อนนาย
แก่กำลัง ๒.เลิกการงานหลังนาย
๒. ด้วยให้อาหารและรางวัล ๓.ถือเอาแต่ของที่นายให้
๓. ด้วยรักษาพยาบาลในเวลาเจ็บไข้ ๔.ทำการงานให้ดีขึ้น
๔. ด้วยแจกของมีรสแปลกๆดีๆให้กิน ๕.นำคุณของนายไปสรรเสริญในที่ต่างๆ
๕. ด้วยปล่อยให้สมัย(ให้สนุกรื่นเริงเป็น
ครั้งเป็นคราวตามสมควรแก่โอกาส
ทิศเบื้องบน: สมณพราหมณ์
เราพึงปฏิบัติต่อท่าน ดังนี้ สมณพราหมณ์ ย่อมอนุเคราะห์ตอบ ดังนี้
๑.ด้วยกายกรรม คือ ทำอะไรๆ ๑.ห้ามมิให้กระทำชั่ว
ประกอบด้วยเมตตา ๒.ให้ตั้งอยู่ในความดี
๒.ด้วยวจีกรรม คือ ทำอะไรๆ
๓.อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจอันงาม
ประกอบด้วยเมตตา
๓.ด้วยมโนกรรม คือทำอะไร ๆ ๔.ให้ได้ฟังในสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
ประกอบด้วยเมตตา ๕.ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง
๔.ด้วยเป็นผู้ไม่ปิดบังเขา คือ มิได้ ๖.บอกทางสวรรค์ให้
ห้ามไม่ให้เข้าบ้านเรือน
๕.ด้วยให้อามิสทาน (สิ่งของ)
ธรรมประยุกต์ ๗๑
การดำเนินชีวิตชาวพุทธแบบมงคล ๓๘
ที่มาของมงคลสูตร
นานมาแล้วในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติบังเกิดขึ้น ได้มี
การถกเถียงกันในชมพูทวีปว่าอะไรเป็นมงคล ต่างคนต่างก็แสดงสิ่งที่เป็นมงคลตาม
ความเห็นของตน แต่ไม่อาจตกลงกันได้ว่า อะไรแน่เป็นมงคล การถกเถียงกันมิได้
เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์เท่านั้น หากได้ลุกลามไปถึงพวกเทวดาและพรหม ในสรวงสวรรค์
ด้วย ถึงกระนั้นก็ยังหาข้อยุติไม่ได้จวบจนเวลาล่วงไป ๑๒ ปี สมเด็จพระผู้ มีพระ
ภาคเจ้ า คื อ พระพุ ท ธเจ้ า ของเราพระองค์ น ี ้ เ สด็ จ อุ บ ั ต ิ ข ึ ้ น ในโลก พวกเทวดาใน
ดาวดึงส์เทวโลกจึงได้พากันเข้าไปเฝ้าท้าวสักกะเทวราช(พระอินทร์)ผู้เป็นพระราชาใน
ภพดาวดึงส์ทูลถามถึงมงคล ท้าวสักกะตรัสถามว่าท่านทั้งหลายได้ทูลถามเรื่องนี้กับ
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วหรือยัง เมื่อทรงทราบว่ายัง จึงได้ทรงตำหนิว่าพวกท่านได้
ล่วงเลย พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงแสดงมงคลแล้วกลับมาถามเรา เป็นเหมือนทิ้งไฟ
เสีย แล้วมาถือเอาไฟที่ก้นหิ้งห้อย ตรัสแล้วชวนกันไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระวิหารเช
ตวัน ใกล้กรุงสาวัตถีในแคว้นโกศล ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรท้าวสักกะ
ทรงมอบหมายให้เทวดาองค์หนึ่งเป็นผู้ทูลถามเรื่องนี้
ในเวลานั้นเทพเจ้าในหมื่นจักรวาล เนรมิตกายให้ละเอียดมาแออัดประชุม
กัน เพื่อมงคลปัญหาในที่นั้นด้วย จนพระเชตวันสว่างไสวไปทั่วด้วยรัศมีกายของ
เทวดาเหล่านั้น ถึงกระนั้นก็มิอาจบดบังพระรัศมีซึ่ งเปล่งออกจากพระกายของ
พระพุทธเจ้าได้ เทวดาองค์ที่ได้รับมอบหมายให้ทูลถามมงคลปัญหา กับพระพุทธเจ้า
ได้ทูลถามปัญหา แก่พระองค์ พระพุทธเจ้าว่า "เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก
หวังอยู่ซึ่งความสวัสดี ได้พากันคิดสิ่งที่เป็นมงคล(แต่ไม่อาจคิดได้)ขอพระองค์โปรด
ตรัสบอกอุดมมงคล3" ตามลำดับดังนี้
มงคล คื อ เหตุ แ ห่ ง ความสุ ข ความก้ า วหน้ า ในการดำเนิ น ชี ว ิ ต ซึ่ ง
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้พึงปฏิบัติ นำมาจากบทมงคลสูตรที่
พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาที่ถามว่า คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความ
เจริญหรือมี "มงคลชีวิต" ในปัญหาแห่งมงคลที่เหล่าเทวดาสงสัย เป็นเพราะความที่
โลกมนุษย์ได้เกิดการโต้เถียงถึงสิ่งที่เป็นมงคล เพราะสิ่งที่เป็นมงคลจะเป็นสิ่งที่จะชีวิต
๕.ทำให้เป็นที่ยกย่องสรรเสริญของคนทั่วไป
๖.ทำให้มีความสุข ปลอดภัยจากอุปสรรคภัยพาลต่างๆ
๗.ทำให้มีความเจริญก้าวหน้า สามารถตั้งตัวได้เร็ว
๘.ทำให้แม้ละโลกนี้ไปแล้ว ก็ไปสู่สุคติโลกสวรรค์
๙. ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยง่าย
๓) ปูชา จะ ปูชะนียานัง บูชาบุคคลที่ควรบูชาเป็นอุดมมงคล คำว่าบูชานั้น
หมายถึงการแสดงความเคารพนับถือ ก็การบูชานั้นมี ๒ อย่างคือ
อามิสบูชา การบูชาด้วยอามิสคือ สิ่งของเครื่องล่อใจ มีเงินทอง ดอกไม้
ของหอม เป็นต้น
ปฏิบัติบูชา การบูชาด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีการเข้าถึงไตรสรณคมน์
รักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีลอุโบสถ เจริญสมถะและวิปัสสนา การศึกษาพระธรรมวินัย
เป็นต้น
การบูชานั้นเราบูชาบุคคล ๑ บูชาคุณงามความดี ๑ในการบูชาบุคคลนั้น
ท่านแบ่งบุคคลออกเป็น ๓ พวก คือ บุคคลที่สูงด้วยชาติ (ชาติวุฒิ) คือมีกำเนิด
สูง เช่น พระราชา พระราชินี พระโอรส พระธิดา เป็นต้น ๑ บูชาบุคคลที่สูงด้วย
วัย (วัยวุฒ)ิ คือผู้ที่เกิดก่อนเรา เช่น ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ เป็นต้น ๑ บูชาบุคคลที่
สูงด้วยคุณ (คุณวุฒิ) มีครู อาจารย์ ภิกษุ สามเณร พระอริยเจ้าทั้งหลาย พระ
ปัจเจกพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในบุคคล ๓ จำพวกนี้เราสามารถจะบูชาท่าน
ได้ ท ั ้ งอามิ ส บู ช าและปฏิ บ ั ต ิ บ ู ช าส่ ว นการบู ช าคุ ณ งามความดี น ั ้ น หมายถึ งบู ช า
คุณธรรมมีศีล เป็นต้น โดยไม่คำนึงบุคคลที่ประกอบด้วยคุณธรรมเหล่านั้น มีภิกษุ
สามเณร เป็นต้น ว่าเป็นคนเกิดในสกุลต่ำ หรือสกุลสูง อายุน้อยหรือมาก ท่าน
เหล่านั้นสมควรที่เราจะให้ความนับถือบูชาทั้งสิ้น ผู้ที่บูชาบุคคลที่ควรบูชาจึงเป็น
อุดมมงคลประการหนึ่ง
คาถา หมู่ที่ ๒ มองปัจจัยพื้นฐาน มี ๓ มงคลคือ
๔) ปะฏิ ร ู ป ะเทสะวาโส จะ การอยู ่ ใ นประเทศ(ถิ ่ น )ที ่ ส มควร การอยู ่ ใ น
ประเทศที่สมควรเป็นอุดมมงคล คืออยู่ในถิ่นที่สมควร ประเทศที่สมควรนั้น คือ
ประเทศที่เป็นที่อยู่ของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อุบาสกและอุบาสิกาของ
พระพุทธเจ้า ผู้ที่อยู่ในประเทศที่สมควรเหล่านี้ชื่อว่าเป็นอุดมมงคล เพราะเป็นถิ่นที่
ให้ บ ุ ญ กิ ร ิ ยาวั ต ถุ ๑๐ ประการ มี ท านเป็ น ต้ น กั บ เป็ น เหตุ ใ ห้ ไ ด้ อ นุ ต ตริ ยะ ๖
ประการมีทัสสนานุตตริยะ การเห็นที่ยอดเยี่ยม เป็นต้น ผู้ที่อยู่ในประเทศที่สมควร
ธรรมประยุกต์ ๗๔
บรรลุถึงนิพพานได้เร็วขึ้นเมื่อปฏิบัติ
๘. เป็นเกราะป้องกันภัยในวัฏสังสาร หมายถึงในวงจรการเกิด แก่
เจ็บ ตาย หรือที่เรียกว่าเวียนว่ายตายเกิดนั้น บุญจะคุ้มครองให้
ผู้นั้นเกิดในที่ดี อยู่อย่างมีความสุข หรือตายอย่างไม่ทรมาน
ขึ้นอยู่กับกำลังบุญที่สร้างสมมา
การทำบุญนั้นมีหลายวิธีแต่พอสรุปได้สั้นๆดังนี้คือ
๑.การทำทาน5
๒.การรักษาศีล
๓.การเจริญภาวนา
๖) อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ การตั้งตนไว้ชอบ การตั้งตนไว้ชอบ ก็เป็นอุดม
มงคล ผู้ที่ปรารถนาความดีงาม และความสำเร็จในชาตินี้และชาติหน้า มีการเกิดใน
สุคติโลกสวรรค์ และบรรลุมรรค ผล นิพพาน ย่อมตั้งตนไว้ชอบ ประกอบแต่
สุจริตธรรม สัมมาปฏิบัติ มีศรัทธาเลื่อมใส เจริญทาน ศีล ภาวนา อยู่เป็นนิตย์
เพราะฉะนั้นผู้ที่ตั้งตนไว้ชอบ ก็คือผู้ที่ตั้งตนอยู่ในกุศลธรรมทั้งหลายนั่นเอง การตั้ง
ตนไว้ชอบจึงเป็นอุดมมงคลเพราะเป็นเหตุให้พ้นอบาย และสำเร็จมรรค ผล นิพพาน
ดังเรื่องของโจรห้าร้อย ในสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เที่ยวโจรกรรม
ดักปล้นชาวบ้านเลี้ยงชีวิต ต่อมาชนทั้งหลายเป็นอันมากรวมตัวกันจะจับโจร พวก
โจรก็หนีเข้าป่าไป เมื่อเข้าไปในป่าได้พบภิกษุรูปหนึ่ง จึงเข้าไปนมัสการวิงวอนขอให้
ท่านช่วย ภิกษุรูปนั้นก็บอกให้รักษาศีล เพราะศีลเป็นที่พึ่งอันประเสริฐในโลกหน้า
โจรทั้งหมดก็พากันยินดีรับศีลจากภิกษุรูปนั้น แล้วพากันลาไป ชาวบ้านทั้งหลาย
ติดตามมาทัน จึงช่วยกันฆ่า โจรตายหมด ด้วยอานิสงส์แห่งศีลที่พวกโจรรักษา
ตายแล้วได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานทองงดงาม มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็น
บริวาร ได้เสร็จสุขอยู่ในวิมานนั้น นี่ก็เพราะการตั้งตนไว้ในศีล ในเวลาใกล้ตาย
การตั้งตนไว้ชอบ จึงเป็นอุดมมงคลอย่างนี้
คาถาหมู่ที่ ๓ รู้งานดีมีวินัย มี ๔ มงคลคือ
๗)พาหุสัจจัญจะ การสดับตรับฟังมาก การได้สดับตรับฟังมาก เป็นอุดม
มงคล ผู้ที่สดับตรับฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีพระสูตรเป็นต้น เล่าเรียน
ศึกษาพระธรรมวินัย ทรงจำไว้ได้ ชื่อว่าเป็น พหูสูต หรือ พาหุสัจจะ ผู้ที่มีพาหุ
สัจจะมากย่อมละอกุศล เจริญกุศล ละสิ่งที่มีโทษ เจริญสิ่งที่ไม่มีโทษ ทำให้แจ้ง
5 บุญกิริยาวัตถุ ๓ ; ที.ปา ๑๑/๒๒๘/๒๓๐; องฺอฎฺฐก.๒๓/๑๒๖/๒๔๕; ข.อิติ.๒๕/๒๓๘/๒๗๐.
ธรรมประยุกต์ ๗๖
๔.ปัจจะยะปัจจะเวกขะณะ คือการพิจารณาในสิ่งของทั้งหลายถึง
คุณประโยชน์โดยเนื้อแท้ของสิ่งของเหล่านั้นอย่างแท้จริง โดยใช้ เพื่อบริโภค เพื่อ
ประโยชน์ ความอยู่รอด และความเป็นไปของชีวิตเท่านั้น
วิ น ั ย สำหรั บ ฆราวาส หรื อ บุ ค คลทั ่ ว ไป เรี ย กว่ า อาคาริ ย วิ น ั ย มี ด ั ง นี้
(อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ)
๑.ไม่ฆ่าชีวิตคนหรือสัตว์ไม่ว่าน้อยใหญ่
๒.ไม่ลักทรัพย์ยักยอกเงินสิ่งของมาเป็นของตัว
๓.ไม่ประพฤติผิดในกามผิดลูกผิดเมียข่มขืนกระทำชำเรา
๔.ไม่พูดโกหกหลอกลวงให้หลงเชื่อหรือชวนเชื่อ
๕.ไม่พูดส่อเสียดนินทาว่าร้ายยุยงให้คนแตกแยกกัน
๖.ไม่พูดจาหยาบคายให้เป็นที่แสลงหูคนอื่น
๗) ไม่พูดจาไร้สาระ หรือที่เรียกว่าพูดจาเพ้อเจ้อไม่มีสาระ เหตุผล หรือ
ประโยชน์อันใด
๘)ไม่โลภอยากได้ของเขาคือมีความคิดอยากเอาของคนอื่นมาเป็นของเรา
๙)ไม่คิดร้ายผูกใจเจ็บแค้นปองร้ายคนอื่น
๑๐)ไม่เห็นผิดเป็นชอบ เช่น เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีความสำคัญ บุญหรือกรรมไม่
มีจริงเป็นต้น
๑๐. สุ ภ าสิ ต า จะ ยา วาจา วาจาสุ ภ าษิ ต วาจาสุ ภ าษิ ตเป็ นอุดมมงคล
วาจาสุภาษิตคือวาจาที่กล่าวดีแล้ว เป็นวาจาที่เป็นไม่มีโทษ ประกอบด้วยธรรม
เป็นวาจาที่เป็นที่รัก เป็นวาจาจริงไม่เท็จ ไม่ส่อเสียด ไม่เหลวไหล เพ้อเจ้อ
แม้วาจาที่แสดงธรรมแก่ผู้อื่นด้วยมุ่งประโยชน์แก่ผู้ฟัง ก็ชื่อว่าเป็นวาจา
สุภาษิต เพราะเป็นปัจจัยให้ผู้ฟังได้รับความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า อีกทั้งยังอาจ
ให้บรรลุมรรค ผล นิพพาน อีกโสดหนึ่งด้วยคำว่าวาจาอันเป็นสุภาษิตในที่นี้มิได้
หมายถึงเพียงว่าต้องเป็นคำร้อยกรอง ร้อยแก้ว เป็นคำคมบาดใจมีความหมายลึกซึ้ง
เท่านั้น แต่รวมถึงคำพูดที่ดี มีประโยชน์ต่อผู้ฟัง ซึ่งสรุปว่าประกอบด้วยลักษณะดังนี้
๑.ต้องเป็นคำจริง คือข้อมูลที่ถูกต้อง มีหลักฐานอ้างอิงได้ ไม่ได้ปั้นแต่ง
ขึ้นมาพูด
๒.ต้องเป็นคำสุภาพ คือพูดด้วยภาษาที่สุภาพ มีความไพเราะในถ้อยคำ ไม่
มีคำ หยาบโลนหรือคำด่า
ธรรมประยุกต์ ๗๙
การทดแทนพระคุณบิดามารดาท่านสามารถทำได้ดังนี้
ระหว่างเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็เลี้ยงดูท่านเป็นการตอบแทน ช่วยเหลือเป็น
ธุ ร ะเรื ่ อ งการงานให้ ท ่ า น ดำรงวงศ์ ต ระกู ล ให้ ส ื บ ไปไม่ท ำเรื ่ องเสื ่ อ มเสี ย รวมทั้ ง
ประพฤติตนให้ควรแก่การเป็นสืบทอดมรดกจากท่าน ครั้นเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็
ทำบุญอุทิศกุศลให้ท่าน ส่วนการเป็นลูกกตัญญูต่อพ่อแม่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า
ท่านกล่าวว่าไว้ดังนี้
๑.ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือพยายามให้ท่านมี
ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อในเรื่องการทำดี
๒.ถ้ า ท่ า นยั งไม่ ม ี ศ ี ล ให้ ท ่ า นถึ ง พร้ อ มด้ ว ยศี ล คื อ พยายามให้ ท ่ า นเป็น
ผู้รักษาศีล ๕ ให้ได้
๓.ถ้าท่านเป็นคนตระหนี่ ให้ท่านถึงพร้อมด้วยการให้ทาน คือพยายามให้
ท่านรู้จักการให้ด้วยเมตตาโดยไม่หวังผลตอบแทน
๔.ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยปัญญา คือพยายามให้
ท่านหัดนั่งทำสมาธิภาวนาให้ได้
๑๒) ปุตฺตะ สังคะโห การสงเคราะห์บุตรและภรรยาบุตร บุตรมาจากคำ
ว่า ปุตฺต แปลว่า ลูก มีความหมาย ๒ ประการคือ
๑.ผู้ทำสกุลให้บริสุทธิ์
๒.ผู้ยังหทัยของพ่อแม่ให้เต็มอิ่ม
ประเภทของบุตร ประเภทของบุตรแบ่งโดยความดีในตัว ได้เป็น ๓ ชั้น
ดังนี้
๑. อภิชาตบุตร7 คือ บุตรที่ดีมีคุณธรรมสูงกว่าบิดามารดา เป็นบุตร
ชั้นสูง สร้างความเจริญให้แก่วงศ์ตระกูล
๒. อนุชาตบุตร คือ บุตรที่มีคุณธรรมเสมอบิดามารดา เป็นบุตรชั้น
กลาง ไม่สร้างความเจริญให้แก่วงศ์ตระกูล แต่ก็ไม่ทำให้เสื่อมลง
๓. อวชาตบุตร คือ บุตรที่เลวมีคุณธรรมต่ำกว่าพ่อแม่ เป็นบุตรชั้นต่ำ
นำความเสื่อมเสียมาสู่วงศ์ตระกูล การที่เราเป็นพ่อเป็นแม่ของบุตรนั้นมีหน้าที่ที่ต้อง
ให้กับลูกของเราคือ
๑. ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว
๒. ปลูกฝังสนับสนุนให้ทำความดี
7 ขุ.อิติ.๒๕/๒๕๒/๒๗๘.
ธรรมประยุกต์ ๘๑
๓. ให้การศึกษาหาความรู้
๔. ให้ได้คู่ครองที่ดี(ใช้ประสบการณ์ของเราให้คำปรึกษาแก่ลูก
ช่วยดูให้)
๕. มอบทรัพย์ให้ในโอกาสอันควร (การทำพินัยกรรม ก็ถือว่า
เป็นสิ่งถูกต้อง)
๑๓ ทารัสสะ สังคะโห สงเคราะห์ สามีภรรยา ความหมายของสามี –
ภรรยา สามี แปลว่า ผู้เลี้ยง, ผัว ภรรยา แปลว่า คนควรเลี้ยง, เมีย
คำทั้งสองนี้ เป็นคำที่แฝงความหมายอยู่ ในตัว และเป็นคำคู่กัน ผู้ชายที่ได้ชื่อว่า สามี
ก็เพราะเลี้ยงดูภรรยา ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่า ภรรยาก็เพราะทำตัวเป็นคนน่าเลี้ยงเมื่อว่า
ด้วยเรื่องคนที่จะมาเป็นคู่ครองของชาย หรือที่เรียกว่าจะมาเป็นภรรยานั้น ในโลกนี้
ท่านแบ่งลักษณะของภรรยา8 ๗ ประเภทได้แก่
๑. วธกาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยเพชรฆาต เป็นพวกที่มีจิตใจคิดไม่
ดี ชอบทำร้ายชอบด่าทอสาปแช่งคิดฆ่าสามีหรือมีชู้กับชายอื่น
๒.โจรีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยโจร เป็นคนล้างผลาญ สร้างหนี้สิน
หาได้เท่าไรก็ไม่พอ หรือเอาเรื่องในบ้านไปโพทนาให้คนข้างนอกรับรู้ ทำให้เสื่อมเสีย
ชื่อเสียง
๓.อัยยาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยนาย เป็นคนชอบข่มสามีให้อยู่ใน
อำนาจ ไม่ให้เกียรติสามีเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น ชอบสั่งการหรือเอาแต่ใจตัวเอง เห็นสามี
เป็นคนไร้ความสามารถแต่ตัวเองเป็นผู้นำ
๔.มาตาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยแม่ คือผู้ที่มีความรักต่อสามี อย่าง
สุดซึ้ง ไม่เคยทอดทิ้งแม้ยามทุกข์ยากป่วยไข้ไม่ทำให้มีเรื่องสะเทือนใจ
๕.ภคินีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยน้องสาว คือผู้ที่มีความเคารพต่อ
สามีในฐานะพ่อบ้าน แต่ขัดใจกันบ้างตามประสาคนใกล้ชิดกันแล้วก็ให้อภัยกัน โดยไม่
คิดพยาบาทเดินตามแนวทางของสามีต้องพึ่งพาสามี
๖.สขี ภ ริ ย า หมายถึ ง ภรรยาเสมอด้ ว ยเพื ่ อ น ต่ า งคนต่ า งก็ ม ี อ ะไรที่
เหมือนกัน ความสามารถพอกัน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากัน ไม่ค่อยยอมกัน เป็นตัวของ
ตัวเอง แต่ก็รักกันและช่วยเหลือกันโดยต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง
๔.รักษาทรัพย์ให้อย่างดี คือรู้จักรักษาทรัพย์สินไว้ไม่ให้หมดไปด้วยความ
สิ้นเปลือง แต่ก็ไม่ถึงกับตระหนี่
๕.ขยันทำงาน คือไม่เกียจคร้านเอาแต่ออกงาน นอน กิน หรือเที่ยวแต่อย่าง
เดียว ต้องทำงานบ้านด้วย
๑๔) อะนากุลา จะ กัมมันตา การงานไม่อากูลคั่งค้าง ว่าด้วยสาเหตุที่ทำ
ให้งานคั่งค้างนั้นสรุปสาเหตุได้เพราะว่า
๑)ทำงานไม่ถูกกาล
๒)ทำงานไม่ถูกวิธี
๓)ไม่ยอมทำงาน
หลักการทำงานให้เสร็จลุล่วงมีดังนี้.
๑)ฉันทะคือมีความพอใจในงานที่ทำ
๒)วิริยะคือมีความตั้งใจพากเพียรในงานที่ทำ
๓)จิตตะคือมีความเอาใจใส่ในงานที่ทำ
๔) วิมังสา คือมีการคิดพิจารณาทบทวนงานนั้นๆ
คาถาหมู่ที่ ๕ เกื้อหนุนต่อสังคม มี ๔ มงคลคือ
๑๕) ทานัญจะ การให้ทาน แปลว่า การให้ หมายถึงการสละสิ่งของ ของตน
เพื ่ อ ให้ ป ระโยชน์ แ ก่ ผ ู ้ อ ื ่ น ด้ ว ยความเต็ ม ใจการให้ ท าน เป็ น พื ้ น ฐานความดี ข อง
มนุษยชาติ และ เป็นสิ่งที่ขาดเสียมิได้ในการจรรโลงสันติสุข พ่อแม่ถ้าไม่ให้ทาน คือไม่
เลี้ยงดูเรามา เราเองก็ตายเสียตั้งแต่เกิดแล้ว สามีภรรยา หาทรัพย์มาได้ ไม่ปันกันใช้
ก็บ้านแตก ครู อาจารย์ ถ้าไม่ให้ทาน คือ ไม่สั่งสอนถ่ายทอดวิชา ความรู้แก่เรา เราก็
โง่ดักดาน คนเรา ถ้าโกรธแล้ว ไม่ให้อภัยทานกัน โลกนี้ ก็เป็นกลียุค
การให้ทาน คือการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนโดยหมายให้ผู้ได้รับได้พ้นจาก
ทุกข์ แบ่งออกเป็น ๓ อย่างได้แก่
๑) อามิสทาน คือการให้วัตถุ สิ่งของ หรือเงินเป็นทาน
๒) ธรรมทาน คือการสอนให้ธรรมเป็นความรู้เป็นทาน
๓) อภัยทาน คือการให้อภัยในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ดีกับเรา ไม่จองเวร หรือ
พยาบาทกัน การให้ทานที่ถือว่าเป็นความดี และได้บุญมากนั้นจะประกอบด้วยปัจจัย
๓ ประการอันได้แก่
๑) วัตถุบริสุทธิ์ คือเป็นของที่ได้มาโดยสุจริต ไม่ได้ไปยักยอกมา โกงมา
ธรรมประยุกต์ ๘๔
หรือได้มาด้วยวิธีแยบยล
๒) เจตนาบริสุทธิ์ คือมีจิตยินดี ผ่องใสเบิกบาน ไม่รู้สึกเสียดายสิ่งที่ให้
ตั้งแต่ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้
๓) บุคคลบริสุทธิ์ คือให้กับผู้รับที่มีศีลธรรม ตัวผู้ให้เองก็ต้องมีศีลที่
บริสุทธิ์ การให้ทานที่ถือว่าไม่ดี และยังอาจเป็นบาปกรรมถึงเรา
ทางอ้อมอีกด้วยได้แก่
๑. ให้สุรา ยาเสพย์ติด เป็นต้น (ถ้าเขาเมาแล้วขับรถชนตาย เราก็มี
ส่วนบาปด้วย)
๒. ให้อาวุธ (ถ้าอาวุธนั้นถูกเอาไปใช้ประหัตประหาร บาปก็มาถึงเรา
ด้วย)
๓. ให้มหรสพ คือการบันเทิงทุกรูปแบบ
๔. ให้สัตว์เพศตรงข้ามเพื่อผสมพันธุ์ อันนี้รวมถึงการจัดหาสาวๆ ไป
บำเรอผู้มีอำนาจหรือผู้น้อยด้วยเป็นต้น
๕. ให้ภาพลามก หรือสิ่งพิมพ์ลามก เพราะทำให้เกิดความกำหนัด เกิด
กามกำเริบ (เมื่อดูแล้วเกิดไปฉุดคร่า ข่มขืนใคร บาปก็ตกทอดมาถึง
เราด้วย)
๑๖)ธัมมะจะริยา การประพฤติธรรมการประพฤติธรรม คือ การประพฤติ
ตนให้อยู่ใน กรอบของความถูกต้องและความดีทั้งปรับ ปรุงพฤติกรรมของตนให้ดี
สมกับที่เกิดเป็นคน และ ให้มีความเที่ยงธรรม ไม่ลำเอียงการประพฤติธรรม ก็คือการ
ปฏิบัติให้เป็นไป แบ่งออกได้เป็น ๒ อันได้แก่
กายสุจริต คือ
๑.การไม่ฆ่าสัตว์ หมายรวมหมดตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ และมนุษย์
๒.การไม่ ล ั ก ทรั พ ย์ หมายรวมถึ ง การคอรั ป ชั ่ น ไปหลอกลวง ปล้ น จี้
ชาวบ้านด้วย
๓.การไม่ประพฤติผิดในกาม หมายรวมถึงการคบชู้ นอกใจภรรยา และการ
ข่มขืนด้วย
วจีสุจริต คือ
๑. การไม่พูดเท็จคือการพูดแต่ความจริงไม่หลอกลวง
๒. การไม่พูดคำหยาบ คือคำที่ฟังแล้วไม่รื่นหู เกิดความรู้สึกไม่สบายใจรวม
หมด
ธรรมประยุกต์ ๘๕
๓. การไม่พูดจาส่อเสียดการนินทาว่าร้าย
๔. การไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล คือการพูดที่ไม่เป็นสาระ หาประโยชน์อันใด
มิได้
มโนสุจริต คือ
๑.การไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น คือการนึกอยากได้ของเขามาเป็นของเรา
๒.การไม่ ค ิ ด พยาบาทปองร้ า ยผู ้ อ ื ่ น คื อ การนึ ก อยากให้ ค นอื ่ น ประสพ
เคราะห์กรรม คิดจะทำร้ายผู้อื่น
๓.การเห็นชอบ คือมีความเชื่อความเข้าใจในความเป็นจริง ความถูกต้อง
ตามหลักคำสอนตามแนวทางพระพุทธศาสนา
๑๗) ญาตะกานั ญ จะ สั ง คะโห การสงเคราะห์ญ าติ ญาติ แปลว่ า คน
คุ้นเคย คนใกล้ชิด หมายถึงบุคคล ที่คุ้นเคยและวางใจกันได้ มี ๒ ประเภทได้แก่
๑) ญาติทางโลก แบ่งได้เป็น ๒ พวก คือ
ก.ญาติโดยสายโลหิต เช่น ทวด ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา พี่ น้อง
หลาน เหลน ฯลฯ (สำหรับพ่อแม่ ลูก ภรรยา สามี ถือว่าเป็นคนใกล้ชิดเรามากที่สุด
ขอให้กันไว้ต่างหาก เพราะเรามีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านี้ต่างกันออกไป)
ข.ญาติโดยความใกล้ชิดคุ้นเคย เช่น เป็นเพื่อนสนิทสนมกับเราโดยตรง
หรือสนิทสนมกับญาติทางสายโลหิตของเรา
๒) ญาติทางธรรม หมายถึงผู้เป็นญาติเพราะเหตุ ๔ ประการ คือ
ก. เป็นญาติเพราะบวชให้เป็นภิกษุ
ข. เป็นญาติเพราะบวชให้เป็นสามเณร
ค. เป็นญาติเพราะให้มีนิสัย
ง. เป็นญาติเพราะสอนธรรมได้
ลักษณะของญาติที่ควรให้การสงเคราะห์ เมื่ออยู่ในฐานะดังนี้คือ
๑.เมื่อยากจนหาที่พึ่งมิได้
๒.เมื่อขาดทุนทรัพย์ในการค้าขาย
๓.เมื่อขาดยานพาหนะ
๔.เมื่อขาดอุปกรณ์ทำมาหากิน
๕.เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย
ธรรมประยุกต์ ๘๖
๖.เมื่อคราวมีธุระการงาน
๗.เมื่อคราวถูกใส่ความหรือมีคดี
การสงเคราะห์ญาติ ทำได้ทั้งทางธรรมและทางโลกได้แก่
ในทางธรรม ก็ช่วยแนะนำให้ทำบุญกุศล ให้รักษาศีล และทำสมาธิภาวนา
ในทางโลก ก็ได้แก่
๑. ให้ทาน คือการสงเคราะห์เป็นทรัพย์สิน หรือเงินทองเพื่อให้เขาพ้น
จากทุกข์หรือความลำบากตามแต่กำลัง
๒. ใช้ปิยวาจา คือการพูดเจรจาด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน สุภาพ และ
ประกอบไปด้วยความปรารถนาดี
๓.มี อ ั ต ถจริ ย า คื อ การประพฤติ ต นให้ เ ป็ น ประโยชน์ ก ั บ เขา อาจ
ช่วยเหลือด้วยแรงกายกำลังใจหรือด้วยความสามารถที่มี
๔. รู้จักสมานัตตตา9 คือการวางตัวให้เหมาะสม อย่างเสมอต้นเสมอ
ปลาย ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ถือตัว
๑๘) อะนะวัชชานิ กัมมานิ การกระทำการงานที่ไม่มีโทษ งานไม่มีโทษ
หมายถึง งานที่ไม่มีตำหนิ ดี พร้อม ยุติธรรม ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่เบียดเบียนใคร แต่
เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและผู้อื่นงานที่ไม่มีโทษ ประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปนี้
๑.ไม่ผิดกฎหมาย คือทำให้ถูกต้องตามกฎหมายของบ้านเมือง
๒.ไม่ผิดประเพณี คือแบบแผนที่ปฏิบัติกันมาแต่เดิม ควรดำเนินตาม
๓.ไม่ผิดศีล คือข้อห้ามที่บัญญัติไว้ในศีล ๕
๔.ไม่ผิดธรรม คือหลักธรรมทั้งหลายอาทิเช่น การพนัน การหลอกลวง
ส่วนอาชีพต้องห้ามสำหรับพุทธศาสนิกชนได้แก่
๑.การค้าอาวุธ
๒.การค้ามนุษย์
๓.การค้ายาพิษ
๔.การค้ายาเสพย์ติด
๕.การค้าสัตว์เพื่อนำไปฆ่า
คาถาหมู่ที่ ๖ ปฏิบัติธรรมขั้นพื้นฐาน มี ๓ มงคลคือ
๑๙) อาระตี วีระตี ปาปา การงดการเว้นจากบาป คำ ว่าบาป จึงหมายถึง
ความเสียของจิตนั่นเอง คือการ ที่ใจมีคุณภาพต่ำลง ไม่ว่าจะเสียในแง่ไหนก็เรียกว่า
บาปทั้งสิ้นบาปคือสิ่งที่ไม่ดี เสีย ความชั่วที่ติดตัว ซึ่งไม่ควรทำ ท่านว่าสิ่งที่ทำแล้วถือ
ว่าเป็นบาปได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ คือ
๑. ฆ่าสัตว์ ๒. ลักทรัพย์
๓. ประพฤติผิดในกาม ๔. พูดเท็จ
๕. พูดส่อเสียด ๖. พูดคำหยาบ
๗. พูดเพ้อเจ้อ ๘. โลภอยากได้ของเขา
๙. คิดพยาบาทปองร้ายคนอื่น ๑๐. เห็นผิดเป็นชอบ
๒๐) มั ช ชะปานา จะ สั ญ ญะโม การสำรวมจากน้ ำเมาน้ ำ เมา โดยทั ่ วไป
หมายถึงเหล้า แต่ในที่ นี้หมายถึง ของมึนเมาให้โทษทุกชนิด ไม่ว่า จะเป็นน้ำหรือแห้ง
รวมทั้งสิ่งเสพติดทุกชนิด
ดื่ม ในที่นี้หมายถึงการทำให้ซึม ซาบเข้าไปในร่างกาย ไม่ว่าจะโดยวิธี ดื่ม
ดม อัด นัตถุ์ สูบ ฉีด ก็ตาม
สำรวม หมายถึง ระมัดระวัง หรือ เว้น ขาด มีโทษอันได้แก่
๑. ทำให้ เสี ยทรั พ ย์ เพราะต้ อ งนำเงิ น ไปซื ้ อ หา ทั ้ ง ๆ ที ่ เ งิ น จำนวน
เดียวกันนี้ สามารถนำเอาไปใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้มากกว่า
๒. ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท ซึ่งนำไปสู่ความวุ่นวาย เจ็บตัว หรือถึง
แก่ชีวิต และคดีความ เพราะน้ำเมาทำให้ขาดการยับยั้งชั่งใจ
๓. ทำให้เกิดโรค โรคที่เกิดเนื่องมาจากการดื่มสุราล้วนแล้วแต่บั่นทอน
สุขภาพกายจนถึงตายได้เช่น โรคตับแข็ง โรคหัวใจ โรคความดัน
๔. ทำให้เสียชื่อเสียง เมื่อคนเมาไปทำเรื่องไม่ดีเข้าเช่นไปลวนลามสตรี
ปล่อยตัวปล่อยใจ ก็ทำให้วงศ์ตระกูล และหน้าที่การงานเสื่อมเสีย
๕. ทำให้ลืมตัวไม่รู้จักอาย คนเมาทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำสิ่งที่คนมีสติจะไม่
ทำ เช่นแก้ผ้าเดิน หรือนอนในที่สาธารณะเป็นต้น
๖. ทอนกำลังปัญญา ทานแล้วทำให้เซลล์สมองเริ่มเสื่อมลง ก็จะทำให้
สุขภาพและปัญญาเสื่อมถอย ความสามารถโดยรวมก็ด้อยลง
ธรรมประยุกต์ ๘๘
11 องฺปญฺจก.๒๒/๑๑๔/๑๕๖.
12 ข้อ ๕ ที่บอกว่าให้งดเว้นการเสพกาม แต่ข้อ ๖ ให้ยินดีในคู่ของตนนัน้ เพราะว่าการประพฤติพรหมจรรย์ในที่นี้หมายถึง
บุคคลทั่วไปที่อาจมีครอบครัวแล้ว ก็ประพฤติพรหมจรรย์ได้โดยการงดเว้นการร่วมประเวณี เช่นในวันสำคัญๆเป็นต้น..
ธรรมประยุกต์ ๙๗
13 อ้าง แล้ว.
14 อธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนิพพานไว้แต่บทที่ ๔.
ธรรมประยุกต์ ๙๘
15 องฺอฏฺฐก.๒๓/๙๖/๑๕๙.
16 ท่านเรียกว่า อิฎฐารมณ์ คือ ส่วนที่น่าปรารถนา.
17 ท่านเรียกว่า อนิฏฐารมณ์ คือ ส่วนที่ไม่น่าปรารถนา.
ธรรมประยุกต์ ๙๙
เทวะมนุษย์ทั้งหลายการะทำมงคลเช่นนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ปราชัยในที่ทุก
สถาน ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวงนี้คืออุดมมงคลของเทวะมนุษย์เหล่านั้น.
บทที่ ๖
จริยศาสตร์
บทนำ
จริยศาสตร์ เป็นภาษาสันสกฤต มาจากคำว่า จริย + ศาสตร์ แปลว่า ศาสตร์
ที ่ ว ่ า ด้ วยความประพฤติ ตรงกั บ ภาษาละติ น คำว่ า อี ธ อส ( Ethos ) ที ่ ห มายถึง
อุปนิสัย หรือหลักของความประพฤติ ขนบธรรมเนียมที่เป็นความเคยชินจริยศาสตร์
เป็นการศึกษาถึงเป้าหมายสูงสุดของมนุษย์เรา ว่าคืออะไร อะไรควรทำหรือไม่ควรทำ
เพื่อจะได้ไปถึงเป้าหมายสูงสุดนั้น และจะใช้เกณฑ์อะไรมาตัดสินว่า สิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี
จริยศาสตร์ หมายถึง ศาสตร์ที่ว่าด้วยศีลธรรม รวมทั้งกระบวน (Pattern) ข้อ
ประพฤติทางสังคมและทฤษฎีทางศีลธรรมต่าง ๆ เป็นการศึกษากระบวนการการ
กระทำของมนุษย์ในแง่ที่ว่าอะไรดี มีข้อปฏิบัติด้านศีลธรรมเกี่ยวกับพฤติกรรม (
Behavior ) ในข้อที่ว่าอะไรคือ คุณค่าที่ควรบรรลุถึง พฤติกรรมเช่นไรดี อะไรมี
ความหมายต่ อ ชีวิ ต ในด้ า น ศี ล ธรรม จริ ยศาสตร์ ก ็ ว ่า ด้ ว ย สาระแก่ นสารของ
ศีลธรรมกำเนิด และพัฒนาการของศีลธรรมกฎเกณฑ์ซึ่งกำหนมาตราฐานด้าน
ศีลธรรมและลักษณะทางประวัติศาสตร์ ข้อประพฤติอันเป็นบรรทัดฐานและทฤษฎี
จริยธรรมมักแยกกันไม่ออก เพราะการกระทำของปัจเจกชนและสังคมก่อให้เกิด
ความคิดเรื่องจริยธรรม
ความหมายของ จริยศาสตร์
คำว่ า “จริ ย ศาสตร์ ” ไว้ ต ่ า ง ๆ กั น ซึ ่ ง พอจะยกตั ว อย่ า งได้ ด ั ง นี้
เจมส์ เซธ กล่าวว่า “จริยศาสตร์ คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยหลักแห่งความ
ประพฤติ และหลักเกณฑ์แห่งความประพฤติว่า อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ”
แมคเคนซี่ กล่าวว่า “จริยศาสตร์ คือการศึกษาถึงสิ่งที่ถูกและสิ่งดีในการ
กระทำ”
นักเทววิทยา กล่าวว่า “จริยศาสตร์คือ ศาสตร์แห่งความดี มิใช่ศาสตร์แห่ง
ความถูกต้อง กฎต่าง ๆ นั้นมิใช่มีไว้เพื่อประโยชน์ของกฎ แต่มีไว้เพื่อบรรลุถึงความ
ดีต่างหาก”
ธรรมประยุกต์ ๑๐๓
สรุปได้ว่า จริยศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยอุดมคติอันสูงสุดที่มีความสัมพันธ์
อยู่กับชีวิตมนุษย์ จริยศาสตร์กล่าวถึงลักษณะที่ดีหรือเลวแห่งความประพฤติของ
มนุษย์ จริยศาสตร์ศึกษาว่า อะไรควรเว้น อะไรควรทำ อะไรผิด อะไรถูก อะไรดี อะไร
ชั่ว โดยเปรียบเทียบความประพฤตินั้นกับความดีเลิศทั้งหลาย
สรุป จริยศาสตร์ จึงเป็นวิชาที่ว่าด้วยการศึกษา อะไรคือสิ่งที่มนุษย์ความ
ทำความสอดคล้องกับความจริงหรือธรรมชาติ อะไรคือ ความดีสูงสุด อะไรคือ
จุดหมายปลายทางของชีวิต อะไรคือเกณฑ์ตัดสินความดี ความชั่ ว และวิธีการรับ
ผลลัพธ์อะไรสำคัญกว่ากัน..
ความหมายของจริยธรรม
คำว่า จริยธรรม มาจาก จริย + ธรรม จริยะ แปลว่า ความประพฤติ
พฤติกรรม หรือการกระทำ ส่วนคำว่า ธรรมคือสิ่งดีงาม ดังนั้น จริยธรรม จึง
หมายถึงความประพฤติที่จะให้ผู้ประพฤติไม่ตกไปในทางที่ชั่วหรือความประพฤติตาม
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นต้น
แต่ความหมายก็ยังมีอีกกลายท่านได้ให้ความหมายของคำว่า จริยธรรมไว้
เช่น
๑) ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ให้ความหมาย
ของจริยธรรมว่า จริยธรรม น. ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติศีลธรรมกฎศีลธรรม
๒) ท่านศาสตราจารย์ ระวี ภาวิไล ให้ความหมายว่า “จริยธรรม” คือ แนว
ความประพฤติ ก ารปฏิ บ ั ต ิ เ พื ่ อ บรรลุ ส ภาพชี ว ิ ต อั น ทรงคุ ณ ค่ า ที ่ พ ึ ง ประสงค์
๓) ท่านศาสตรจารย์พิทยา สายหู ให้ความหมาย “จริยธรรม” คือ แนว
ความประพฤติ ก ารปฏิ บ ั ต ิ เ พื ่ อ บรรลุ ส ภาพชี ว ิ ต อั น ทรงคุ ณ ค่ า ที ่ พ ึ ง ประสงค์
๔) พระยาอนุมานราชธน ให้ความหมายว่า “จริยธรรม” เป็นเรื่องว่าด้วย
ความประพฤติของคนว่ามีลักษณะที่ควรมิควรเป็นอย่างไร
ศีลธรรม (moral) เป็นศัพท์พระพุทธศาสนา หมายถึง ความประพฤติที่ดี
ที่ชอบ หรือ ธรรมในระดับศีล คำว่าศีลธรรมถ้าพิจารณาจากรากศัพท์ภาษาละติน
Moralis ห ม า ย ถ ึ ง ห ล ั ก ค ว า ม ป ร ะ พ ฤ ต ิ ท ี ่ ด ี ส ำ ห ร ั บ บ ุ ค ค ล พ ึ ง ป ฏ ิ บ ั ติ
คุณธรรม (virtue)คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดีทางความ
พฤติและจิตใจ เช่น ความเป็ นผู้ไม่กล่าวเท็จโดยหวังประโยชน์ส่วนตนเป็นคุณธรรม
ประการหนึ่ง คำว่า คุณ ภาษาบาลีแปลว่า ประเภท, ชนิด ธรรม หมายถึง หลักความ
จริง หลักการในการปฏิบัติ ดังนั้น อาจอธิบายได้ว่า คุณธรรม คือ จริยธรรมที่แยก
ธรรมประยุกต์ ๑๐๔
จริยธรรมในพระพุทธศาสนา
การศึกษาจริ ยธรรม ของพระพุทธศาสนาจำเป็นที่ จะต้ อ ง ศึกษาพุ ท ธ
ประวัติพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์เดิมนามว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติจากพระนางสิริ
มหามายา ก่อนพุทธศักราช ๘๑ ปี1 ในประเทศเนปาล (ปัจจุบัน) ต่อมาได้รับพระนาม
ว่า “ผู้ตรัสรู้” คือ พุทธะ พระผู้เป็นดวงประทีปแห่งเอเชีย ความจริงพระองค์ได้ศึกษา
ในลัทธิต่างๆ หลายลัทธิเมื่อเยาว์วัย อาจจะได้ ความคิดจากลัทธิเหล่านั้นมาบ้าง จึงมี
นักปราชญ์บางท่าน เช่น Harold H. Titus แห่ง Denison University, Granville,
ohio ศาสตราจารย์อาวุโสใน วิชาปรัชญาให้ทรรศนะไว้ว่า พระสิทธัตถะโคตรมะพุทธ
เจ้าไม่ได้มีแผนที่จะตั้งศาสนาใหม่ขึ้นเป็นเพียงปฏิรูปคำสอนในศาสนาฮินดูเสียใหม่ ใน
สมั ย พระองค์ ฉะนั ้ น ในประเทศอิ น เดี ย จึ ง ไม่ ม ี พ ระพุ ท ธศาสนาเหลื อ อยู ่ แ ต่ ไ ด้
แพร่หลายออกจากอินเดียไปยังประเทศศรีลังกา พม่า ไทย ธิเบต จีน มองโกเลีย และ
ญี่ปุ่น ฯลฯ “
พระโคตรมะพุทธเจ้าแม้จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างหรูหรา มีเครื่องบำรุง
ความสุขอย่างมากมาย ยังมีความไม่สุขสบายในชีวิตปรากฏอยู่อย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแก่ ความเจ็บ และ ความตายปรากฏอยู่เนื่องๆ จนกระทั่ง
พระองค์ ม ี พ ระชนมายุ ไ ด้ ๒๙ พรรษา จึ ง ได้ ส ละปราสาทราชวั ง ศรี ภ ริ ยา และ
พระโอรส ในการแสวงหาทางหลุดพ้น ด้ ว ยการทรมานตนเอง อย่างเคร่ งครั ด ที่
เรียกว่า “มหาภิเนษกรมณ์” จนสามารถรู้แจ้งอริยสัจจ์ ๔ สำเร็จเป็นผู้รู้คือ พุทธ
ด้วยพระองค์เอง โดยไม่มีใครเป็นครูอาจารย์ แล้วเสด็จทรงสั่งสอนผู้อื่นให้รู้ตามสม
นามว่า “สัมมาสัมพุทธ” โดยเริ่มตั้งแต่สอนปัจจวัคคีย์2 มี โกณฑัณญะ เป็นต้น และ
ท่านเหล่านั้นก็ได้ตรัสรู้ตามพระพุทธประสงค์
พระพุทธศาสนาก็เหมือนกับต้นไม้ที่ขยายกิ่งก้านสาขาแผ่ไปทั่วโลก ที่มี
พุทธบริษัทยอมรับนับถือไม่ว่าจะนับถือด้วยสายเลือด ที่สืบทอดกันมาเป็นไปโดย
ส่วนมากจากพ่อแม่ และการนับถือโดยใช้ปัญญาในการพิจารณาว่าหลักคำสอนของ
พระพุทธศาสนา สามารถที่จะนำมาใช้ในการดำเนินชี วิต และก่อให้เกิดความสัตติ
1 เริ่มนับพุทธศักราช หลังพุทธปรินพ
ิ พานแล้ว เป็นพุทธศักราชที่ ๑
2 โกณฑัณญะ วัปปะ มหานามะ ภัททิยะ อัสสชิ.
ธรรมประยุกต์ ๑๐๖
๑) สัตว์ที่ถูกระทำนั้นมีชีวิต (หมายถึงก่อนกระทำมีชีวิตหลังกระทำแล้ว
เสียชีวิต
๒) ผู้กระทำรู้แล้วว่าสัตว์ที่ถูกกระทำนั้นมีชีวิต
๓) จิตของผู้กระทำนั้นปรารถนาที่จะฆ่า หรือทำลายให้ตาย
๔) จิตมีความพยายามในการที่จะฆ่าบังเกิดมี (เจตนา)
๕) สัตว์ที่ถูกกระทำนั้นตายด้วยความพยายามนั้น
ศีลธรรม : ข้อที่ ๒ อทินฺนาทานา เวรมณี แปลว่า เจตนางดเว้นจากการลักทรัพย์
จริยธรรม : คือ ไม่ประพฤติในการกระทำอันเกี่ยวเนื่องด้วย โจรกรรม
เช่น ลัก ฉก กรรโชก ปล้น จี้ ฉ้อ หลอกลวง ตระบัด เบียดเบียดบัง สับเปลี่ยน โกง
ลักลอบ ยักยอก ฯลฯ เป็นการไม่ประพฤติในอาชีพที่อนุโลมเพื่อการโจรกรรม เช่น
อุดหนุนโจร ปอกลอกเอาทรัพย์สินผู้อื่น รับสินบนฯลฯ และสุดท้ายไม่ประพฤติใน
กิริยาฉายาโจรกรรม เช่น พลาญ หยิบฉวย เอาของ มารดา บิดา โดยไม่บอก หรือ
หยิบเอาของเพื่อซึ่งมิใช่อาการวิสาสะ เป็นต้น
คุณธรรม : ทำให้ผู้งดเว้นดังกล่าวนั้นได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่ทำมาหาเลี้ยงชีพโดย
สุจริต ทางด้านสังคม ทำให้เกิดความสงบ ไม่เกิดการทำลายกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
ของกันและกัน
เปรียบเทียบเงื่อนไขจริยศาสตร์
๑) ลักด้วยตนเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นลัก
๒) ของที่ลัก ขโมย หรือโกง ฯลฯ มีเจ้าของ
๓) แม้รู้ว่าของนั้นมีเจ้าของแล้วยังจะเอา
๔) มีจิตหรือเจตนาที่จะเอาหรือลัก
๕) ใช้ความพยายาม เช่น วางแผน ที่จะลักของนั้น
๖) ใช้เวทมนต์คาถา ใช้อิทธิฤทธิ์
๗) ได้ของนั้นมาโดยความพยายามนั้นๆ
ธรรมประยุกต์ ๑๐๙
จริยธรรมขั้นกลาง
จริยธรรมขั้นกลาง พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงจริยธรรมขั้นกลางคือขั้นที่
ละเอียดกว่าศีล และมีข้อปฏิบัติมากกว่า ศีล คือ กุศลกรรมบถ3 ๑๐ คำว่า “กุศล
กรรมบถ” ประกอบด้วย กุศล + กรรม + บถ กุศล แปลว่า ดี, ฉลาด กรรม
แปลว่า การกระทำ บถ แปลว่า ทาง รวมความเข้าด้วยกัน หมายถึง ทางแห่งการ
ทำหรือประพฤติความดี ๑๐ ประการ โดยได้แยกความประพฤติหรือจริยะ ๓ ทาง
คือ ทาง กาย เรียกว่า กายสุจริต ๓ ทางวาจา เรียกว่า วาจาสุจริต ๔ และ ใจ
เรียกว่า มโนสุจริต ๓
๑) กายสุจริต4 ๓ คือ การประพฤติดีทางกาย ๓ ได้แก่
๑. ปาณาติ ป าตา เวรมณี เจตนางดเว้ น จากการฆ่ า สั ต ว์
๒. อทิ น าทานา เวรมณี เจตนางดเว้ น จากการลั ก ทรั พ ย์
๓. กาเมสุ มิ จฉาจรารา เวรมณี เจตนางดเว้ นจากการประพฤติผิด
ประเวณี
๒) วจีสุจริต ๔ คือ การประพฤติดีงามทางวาจา ๔ ได้แก่
๔. มุสาวาทา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ
๕. ปิสุณาวาจา เวรมณี เจตนาเว้นจากการพูดส่อเสียด
๖. ผรุสวาจา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการพูดคำหยาบ
๗. สัมผัปปลาปวาจา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
๓) มโนสุจริต ๓ คือการประพฤติดีงามทางใจ ๓ ได้แก่
๘. อนภิชฌา ไม่คิดโลภอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตน
๙. อพยาบาท ไม่คิดพยาบาทปองร้ายผู้อื่น
๑๐.สัมมาทิฏฺฐิ เห็นความถูกต้องตามคลองธรรม
ในการอธิบายจริยธรรมขั้นต้นได้พออธิบายไปแล้วบ้างลำดับต่อไปจะอธิบาย
ศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรมที่ซ้ำกันก็ไม่อธิบายจะอธิบายหัวข้อต่อไป ดังนี้
ปิสุณาวาจา เวรมณี : เจตนาเว้นจากการพูดส่อเสียด
จริยธรรม : ไม่พูดส่อเสียดให้เกิดการแตกแยก
คุณธรรม : เป็นผู้ไม่ทำให้เกิดการแตกแยกความสามัคคี เสียดสีถาก
ถางผู้อื่น และไม่เป็นคนที่ข่มผู้อื่น เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องและ
เชื่อถือ
ผรุสวาจาย เวรมณี : เจตนางดเว้นการพูดคำหยาบ
จริยธรรม : ไม่พูดคำหยาบ ด่า แช่ง ให้กินแหนงแคลงใจผู้อื่น
คุณธรรม : เป็นที่รักแก่ผู้อื่นไม่ทำให้ผู้อื่นได้ผูกพยาบาท โกรธเคือง
และเป็นที่เคารพนับถือแก่มนุษย์และเทวดา คำที่ว่าคำ
หยาบคาย ในพระบาลีได้แสดงเอาไว้ ๑๐ ประการ
ได้แก่
๑) ด่าเกี่ยวกับชาติ เช่น ไอ้ชาติไพร่ ชาติขี้ข้า ชาติยาจก ชาติหิน ชาติ
นักเลง
๒) ด่าเกี่ยวกับนาม เช่น (ชื่อ) ไอ้เปรต ได้งั่ง ไอ้ทุย ฯลฯ
๓) ด่าเกี่ยวกับโคตร เช่น ตระกูล วณิพก พวกไพร่สกุล พวกหัวขโมย ฯลฯ
๔) ด่าเกี่ยวกับงาน (อาชีพ) เช่น คนจับกัง คนขนขยะ ไอ้กุลี ฯลฯ
๕) ด่า เกี่ยวกับศิลปะ เช่น วิชาเช็ดรถ วิชากวาดถนน วิชาขัดรองเท้า ฯลฯ
๖) ด่าเกี่ยวกับโรคภัย เช่น ไอ้โรคเรื้อน ไอ้กุฏฐัง กามโรค โรคประสาท ฯลฯ
๗) ด่าเกี่ยวกับรูปร่าง เช่น ไอ้อ้วน ไอ้ผอม ไอ้แคระ ไอ้เตี้ย ไอ้โย่ง ฯลฯ
๘) ด่าเกี่ยวกับกิเลส เช่น พวกมิจฉาทิฐิ เจ้าโทโส คนตัณหาจัด เฒ่าหัวงู
๙) ด่ า เกี ่ ย วกั บ อาบั ต ิ เช่ น สมี ปราชิ ก สั ง ฆาทิ เ สส ปาจิ ต ตี ย ์ ทุ ก กฎ
๑๐) ด่าเกี่ยวกับคำหยาบต่าง (อักโกสะ) เช่น ไอ้ มึง กู อีก สันดานดิบ ฯลฯ
สัมผัปปลาปวาจาา เวรมณี : เ จ ต น า เ ว ้ น จ า ก ก า ร พ ู ด เ พ ้ อ เ จ้ อ
จริยธรรม : การไม่พูดเพ้อเจ้อ
ธรรมประยุกต์ ๑๑๖