Professional Documents
Culture Documents
Project 15 3 2566 แก้ใหม่
Project 15 3 2566 แก้ใหม่
จัดทำโดย
นายสุระธาดาพงศ์ จำเริญเพิ่มกิจ B6215330
นายภาณุวิชญ์ ชุมจันทร์ B6215668
นางสาวปาณิสรา เป็นซอ B6221447
นางสาวศศิธร ดาวสี B6224387
อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ตติยา ตรงสถิตกุล
กิตติกรรมประกาศ
โครงงานนี้สำเร็จลุล่วงลงได้ เนื่องจากได้รับความช่วยเหลืออย่างดียิ่ง ทั้งด้านวิชาการ เเละด้านการ
ดำเนินงานวิจัย จากบุคคล เเละกลุ่มต่างๆได้เเก่
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ตติยา ตรงสถิตกุล อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ที่ให้คำปรึกษาและคำแนะนำ
เป็นอย่างดีมาโดยตลอดรวม ทั้งช่วยตรวจทานให้คำแนะนำในการแก้ไขข้อบกพร่อง ระหว่างการดำเนินงานให้
คำปรึกษาด้านวิชาการอันเป็นประโยชน์ ข้อคิดต่างๆให้แก่คณะผู้จัดทำโครงงาน จนโครงงานฉบับนี้เสร็จ
สมบูรณ์ คณะผู้จัดทำโครงงานจึงขอ กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้
ขอขอบพระคุณ คุณเกวลิน จิตรโคกกรวด ที่ให้คำปรึกษาด้านวิชาการ ช่วยแก้ปัญหาข้อบกพร่องใน
การทดลอง ให้คำแนะนำและให้กำลังใจ ผู้จัดทำโครงงานมาโดยตลอด และช่วยเหลือการทดลอง ชี้แนวทางการ
ดำเนินงาน
ขอขอบพระคุณ คุณนุชจรี เวชวิริยะกุล เจ้าหน้าที่ห้องปฎิบัติการที่สอนการใช้งานเครื่องมือและ
อุปกรณ์ในห้องปฎิบัติการ และคอยช่วยเหลือข้อมูลและผลวิจัย ที่มีประโยชน์ต่อโครงงานฉบับนี้
ขอขอบคุณมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ที่ให้ทุนการสนับสนุนโครงงาน ท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณ
ครูบาอาจารย์ที่เคารพรักทุกท่าน ที่ได้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ที่ดี ให้แก่คณะผู้จัดทำโครงงาน รวมถึงเจ้าหน้า-
ที่ประจำห้องปฏิบัติการต่างๆที่เกี่ยวข้อง และทางคณะผู้จัดทำโครงงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงงานนี้ จะเป็น
ประโยชน์ต่อผู้มีความสนใจ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทางคณะผู้จัดทำขออภัยมา ณ โอกาสนี้
(คณะผู้จัดทำโครงงาน)
สุระธาดาพงศ์ จำเริญเพิ่มกิจ
ภาณุวิชญ์ ชุมจันทร์
ปาณิสรา เป็นซอ
ศศิธร ดาวสี
ข
บทคัดย่อ
โครงงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ มาเสริมคุณสมบัติการต้านทานเชื้ อ
แบคทีเรีย โดยการทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโนเคลือบลงบนผิวของตาข่ายโฟมยาง ซึ่งทาด้วยแปรงพู่กัน
ทาสี จำนวน 2 ชุด ในการแบ่งแยกสำหรับทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน สำหรับปกป้องผลไม้จากการเกิด
เชื้อแบคทีเรีย ทำการศึกษาโดยใช้ผลฝรั่งเป็นวัสดุตัวทดสอบ ห่อหุ้มกับตาข่ายโฟมยาง 8 รูปแบบ คือ แบบไม่มี
ตาข่ายโฟมยางห่อหุ้ม แบบห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางธรรมชาติปกติ ที่ไม่มีการทาเคลือบสาร แบบห่อหุ้มด้วย
ตาข่ายโฟมยาง ที่ทาสารซิลเวอร์นาโนด้านที่สัมผัสกั บผลฝรั่ง แบบห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์
นาโน ด้านนอกที่ไม่สัมผัสกับผลฝรั่ง แบบห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโน ด้านที่สารสัมผัสกับ
ผลฝรั่งและด้านนอกที่ไม่สัมผัสกับฝรั่ง แบบห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิงค์นาโน ด้านที่สัมผัสกับผลฝรั่ง
แบบห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิงค์นาโน ด้านนอกที่ไม่สัมผัสกับฝรั่ง และ แบบห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟม
ยางที่ทาสารซิงค์นาโนด้านที่ สารสัมผัสกับผลฝรั่งและด้านนอกที่ไม่สัมผัสกับฝรั่ง โดยสารซิลเวอร์นาโนและ
ซิงค์นาโนที่ทาเคลือบบนตาข่ายโฟมยางจะทาด้วยปริมาณ 2.67phr และ 6.96 phr ตามลำดับ ผลการทดสอบ
พบว่าสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน ที่มีฤทธิ์ในการต้านทานเชื้อแบคทีเรีย จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นแปรผัน
ตามระดับปริมาตรของสารที่ทาใส่ เคลือบลงบนผิวของตาข่ายโฟมยาง จากการทดสอบใส่สารซิลเวอร์นาโน
และซิงค์นาโน มีความสามารถในการป้องกั น และต้านทานเชื้อแบคทีเรียได้ ไม่เพียงพอ จึงทำให้ฝรั่งที่ไม่มีการ
ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางสามารถป้องกัน และต้านทานเชื้อแบคทีเรียกับผลฝรั่งได้ดีที่สุด จึงสรุปได้ว่าในการ
เติมสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน โดยวิธีการทาเคลือบลงบนผิวของตาข่ายโฟมยาง จากการทดสอบ ยังมี
ประสิทธิภาพในการต้านทานเชื้อแบคทีเรีย แต่เห็นได้ชัดว่า สารซิลเวอร์นาโนจะมีประสิทธิภาพ ในการ
ต้านทานเชื้อแบคทีเรียที่น้อย เนื่องจากใส่สารดังกล่าวน้อยเกินไป และสารซิงค์นาโน มีประสิทธิภาพในการ
ต้านทานเชื้อแบคทีเรียได้ดี แต่จะมีประสิทธิภาพในการต้านทานเชื้อแบคทีเรียที่มีขีดจำกัด ประสิทธิภาพจะ
ลดลงเรื่อยๆ จนเทียบเท่ากับ ตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ ที่ไม่ได้ทาสารในการต้านทานเชื้อแบคทีเรีย จึงต้องทำ
การมองหาเป็นวิธีใหม่ ได้แก่ การเเช่ตาข่ายโฟมยางลงไปในซิงค์และซิลเวอร์นาโน ให้ สารซึมเข้าไปในเนื้อของ
ตาข่ายโฟมยาง หรือการผสมสารลงไปในเนื้อโฟมยาง ระหว่างผสมในการขึ้นรูปตาข่ายโฟมยาง จึงเป็นเเนวทาง
ใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ สารซิลเวอร์และซิงค์นา เข้าไปสัมผัสกับผิวเนื้อของ ผลไม้ หรือ ผลิตผลสด โดยตรง
ค
สารบัญ
หน้า
กิตติกรรมประกาศ.............................................................................................................. ................................ก
บทคัดย่อ............................................................................................................................................................ข
สารบัญ...............................................................................................................................................................ค
สารบัญตาราง/สารบัญรูปภาพ...........................................................................................................................ฉ
บทที่ 1 บทนำ.....................................................................................................................................................1
1.1 ที่มาของโจทย์ปัญหาวิศวกรรมและแรงจูงใจในการดำเนินโครงงาน...............................................1
1.2 การศึกษางานที่มีผู้ศึกษามาก่อน………………………………………………………………………….................2
1.2.1 ผลของอนุภาคซิลเวอร์นาโนต่อคุณสมบัติทางกายภาพและต้านแบคทีเรีย
ของตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ…………………………………………………………………………...............2
1.2.2 ผลของอนุภาคนาโนซิงค์ออกไซด์ในฐานะตัวเร่งปฏิกิริยา
ต่อคุณสมบัติของยางธรรมชาติ………………………………………………………………………...............3
1.3 สรุปแนวทางการแก้ปัญหา……………………………………………………………………………………..............4
1.4 วัตถุประสงค์ของโครงงาน..............................................................................................................5
1.5 การออกแบบวิธีการแก้ปัญหา.........................................................................................................5
1.6 ผลกระทบด้านกฎหมาย จรรยาบรรณและแนวปฏิบัติ…………………………………………….................5
1.7 ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม..............................................................................................................6
1.8 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ............................................................................................................6
บทที่ 2 ทฤษฎีและพื้นฐานความรู้ที่เกี่ยวข้อง……………………………………………………………………………..............7
2.1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับยางธรรมชาติ…………………………………………………………………………..............7
2.1.1สมบัติทั่วไปของน้ำยางธรรมชาติ............................................................................................7
2.1.2 โครงสร้างเคมียางของน้ำยางธรรมชาติ.................................................................................9
2.1.3 การรักษาสภาพน้ำยางธรรมชาติ.......................................................................................10
2.1.4 น้ำยางข้น............................................................................................................................11
2.2 การผลิตตาข่ายโฟมยางจากน้ำยางธรรมชาติ...............................................................................11
2.2.1 การผลิตตาข่ายโฟมยางแบบดันลอป (Dunlop process)..................................................11
2.2.2 การผลิตยางแบบทาลาเลย์ (Talalay process)..................................................................12
2.3 โฟมพลาสติก (Plastic foam).......................................................................................................13
2.3.1 ประเภทของโฟมจำแนกตามลักษณะของเซลล์..................................................................13
2.3.2 ประเภทของโฟมจำแนกตามลักษณะทางกายภาพ.............................................................13
ง
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
2.4 ลักษณะความรุนแรงทางกายภาพที่เกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง ผัก ผลไม้..................................................14
2.4.1 การกดทับ (compression)………………………………………………………………….....................15
2.4.2 การกระแทก (Impact)……………………………………………………………………….......................16
2.4.3 การสั่นสะเทือน (Vibration)………………………………………………………………........................16
บทที่ 3 เครื่องมือและวิธีการดำเนินโครงงาน...................................................................................................17
3.1 บทนำ............................................................................................................................................17
3.2 วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ดำเนินงานวิจัย..............................................................................17
3.3 สารเคมีและสูตรการผสม..............................................................................................................18
3.4 ขั้นตอนการขึ้นรูปตาข่ายโฟมยางตาข่าย......................................................................................19
3.5 การเคลือบสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโบนผิวตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ.....................................21
3.5.1 ขั้นตอนการซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน..............................................................................22
3.6 การทดสอบคุณสมัติทางกายภาพ.................................................................................................24
3.6.1 ทดสอบความหนาน่นรวม (Bulk Density).........................................................................24
3.6.2 การทดสอบความแข็ง (Hardness Test)............................................................................24
3.6.3 การทดสอบวิเคราะห์ความเสถียรของวัสดุ (Material stability analysis test).................25
3.6.4 ทดสอบดูรายละเอียดโครงสร้างภายนอกและผิวของตาข่ายโฟมยาง..................................26
3.7 ทดสอบคุณสมบัติต้านทานเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial properties).......................................26
3.7.1 การหาคุณสมบัติทางกายภาพและการจำแนกผลฝรั่ง.........................................................27
3.7.2 วิธีการทำบรรจุภัณฑ์ในการทดสอบการต้านทานเชื้อแบคทีเรีย..........................................27
3.8 การประเมินประสิทธิภาพในการต้านทานแบคทีเรียทั้งหมด........................................................28
บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน .................................................................................................................... ............29
4.1 บทนำ ...........................................................................................................................................29
4.2 ตาข่ายโฟมยางที่ผลิตได้................................................................................................................29
4.3 ลักษณะทางกายภาพของตาข่ายโฟมยาง......................................................................................29
4.4 การทดสอบ TGA (Thermogravimetric Analysis)....................................................................31
4.5 ภาพเปรียบเทียบการต้านทานแบคทีเรียที่มีตาข่ายโฟมยางต่างกัน..............................................33
บทที่ 5 ผลลัพธ์และอภิปราย............................................................................................................................44
5.1 สรุปผลของความหนาแน่น(Bulk Density)...................................................................................44
จ
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
5.2 สรุปผลความแข็ง......................................................................................................................... 44
5.3 สรุปผลทางสัญฐานวิทยา............................................................................................................44
5.4 สรุปผลของอุณหภูมิที่ส่งผลต่อคุณสมบัติทางความร้อน..............................................................45
5.5 ผลของคุณสมบัติการต้านทานต่อแบคทีเรีย................................................................................45
อ้างอิง............................................................................................................................................................46
ภาคผนวก......................................................................................................................................................47
ภาคผนวก ก ตัวอย่างการคำนวณ.....................................................................................................47
ภาคผนวก ข กราฟของผลการทดลอง...............................................................................................48
ฉ
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
ตารางที่ 1. แสดงผลปริมาณอนุภาคซิลเวอร์นาโนที่เพิ่มขึ้นต่อการต้านทานแบคทีเรีย E.coli และ S.aureus..2
ตารางที่ 1.2. แสดงการเติบโตของ E.coli ต่อโฟมยางธรรมชาติที่เวลาต่างๆ……………………………………………..4
ตารางที่ 1.3. แสดงการเติบโตของ S.aureus ต่อโฟมยางธรรมชาติที่เวลาต่างๆ………………………………………..4
ตารางที่ 2.1 แสดงองค์ประกอบของน้ำยางธรรมชาติ [3]........................................….......................................8
ตารางที่ 2.2 แสดงชนิดของน้ำยางและระบบการรักษาสภาพน้ำยางข้นที่ผลิตโดยวิธีการปั่น [5]....................10
ตารางที่ 3.1 สารเคมีและสูตรการผสมในการขึ้นรูปตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ..................................................19
ตารางที่ 3.2 ตารางเเสดงวิธีการขึ้นรูปตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ........................................................................................19
ตารางที่ 3.3 ตารางแสดงขั้นตอนการทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน.........................................................23
ตารางที่ 3.4 ตารางแสดงขั้นตอนการทำบรรจุภัณฑ์ในการทดสอบการต้านทานเชื้อแบคทีเรีย.......................27
ตารางที่ 4.1 แสดงค่าความหนาแน่นและความแข็งของชิ้นงาน.......................................................................30
ตารางที่ 4.2 ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของผลฝรั่งที่ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยาง 8 แบบ...................................33
ช
สารบัญรูปภาพ
รูปภาพที่ หน้า
รูปที่ 1.1 (A) ภาพแสดงผลการต้านทานแบคทีเรียของโฟมยางธรรมชาติต่อ S.aureus (B) ภาพแสดงผลการ
ต้ า นทานแบคทีเ รี ย ของโฟมยางธรรมชาติ ก ับ ซิ ล เวิ อ ร์ นาโน0.2 phr ต่ อ S.aureus (C) ภาพแสดงผลการ
ต้านทานแบคทีเรียของโฟมยางธรรมชาติต่อ E.coli (D) ภาพแสดงผลการต้านทานแบคทีเรียของโฟมยาง
ธรรมชาติกับซิลเวิอร์นาโน0.2 phr ต่อ E.coli…………………………………………………………………………………………2
รูปที1่ .2 (a) ภาพการวิเคราะห์ธาตุภายในตาข่ายยางธรรมชาติด้วย EDS (b) การแสดงการกระจายตัวของ
อนุภาคซิลเวอร์นาโนภายในตาข่ายยางธรรมชาติ…………………………………………………………………………………….3
รูปที่ 1.3 (B) ปริมาณซิงค์นาโนที่ 2 phr, (C) ปริมาณซิงค์ไมโครที่ 4 phr, (D) ปริมาณซิงค์นาโนที่ 4phr..…….4
รูปที่ 2.1 สูตรโครงสร้างของน้ำยางธรรมชาติ.....................................................................................................9
รูปที่ 2.2 ขั้นตอนกระบวนการผลิตโฟมยางแบบดันลอป.................................................................................12
รูปที่ 2.3 ขั้นตอนกระบวนการผลิตโฟมยางแบบทาลาเลย์...............................................................................12
รูปที่ 2.4 สัณฐานโครงสร้างของโฟม (ก) เซลล์เปิด (ข) เซลล์ปิด…………………………………................……………13
รูปที่ 2.5 ตัวอย่างสัณฐานของโฟมบางชนิด (ก) ชนิดยืดหยุ่น (ข) ชนิดแข็ง………………………………..................14
รูปที่ 2.6 การทดสอบการตอบสนองของวัสดุเมื่อมีแรงกด (compression force) มากระทำ........................15
รูปที่ 2.7 Modulus of Toughness ของวัสดุเหนียว (a) และวัสดุเปราะ (b).................................................16
รูปที่ 2.8 ความสั่นสะเทือน Vibration.............................................................................................................16
รูปที่ 3.1 การทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโนเคลือบผิวตาข่ายโฟมยางตามลำดับ......................................22
รูปที่ 3.2 ทดสอบวิเคราะห์ความเสถียรของวัสดุ (TGA)...................................................................................25
รูปที่ 3.3 แสดงรูปแบบต่างๆของตาข่ายโฟมยางธรรมชาติและตาข่ายโฟมยางที่เคลือบสาร............................27
รูปที่ 4.1 ผิวหน้าของตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน.......................................................30
รูปที่ 4.2 กราฟการเปรียบเทียบการเปลื่ยนแปลงน้ำหนักและอุณหภูมิ............................................................32
รูปที่ 4.3 กราฟการเปรียบเทียบอัตราการสูญเสียมวลเทียบกับอุณหภูมิ..........................................................32
ซ
คำอธิบายสัญลักษณ์และคำย่อ
NRLF Silver In = ตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโนด้านที่สัมผัสกับผลฝรั่ง
NRLF Silver Out = ตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโนด้านนอกที่ไม่สัมผัสกับผลฝรั่ง
NRLF Silver In-Out = ตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโนด้านที่สารสัมผัสกับผลฝรั่งและด้านอกที่
ไม่สัมผัส
NRLF Zinc In = ตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิงค์นาโนด้านที่สัมผัสกับผลฝรั่ง
NRLF Zinc Out = ตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิงค์นาโนด้านนอกที่ไม่สัมผัสกับฝรั่ง
NRLF Zinc In-Out = ตาข่ายโฟมยางที่มีการทาซิงค์นาโนด้านที่สารสัมผัสกับผลฝรั่งและด้านนอกที่
ไม่สัมผัส
NRLF - Control = ตาข่ายโฟมยาง
NRLF - None = แบบไม่มีตาข่ายโฟมยางห่อหุ้ม
NR = ยางธรรมชาติ
ZnO = นาโนซิงค์ออกไซด์
ZMBT = ซิงก์เมอร์แคพโตเบนโซไทเอโซล
ZDEM = ซิงค์ไดเอทธิลไดไธโอคาร์บาเมต
DPG = ไดโพรไพลีนไกล
SSF = โซเดียมซิลิโคฟลูออไรด์
TEM = กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบทรานสมิสชัน
SEM = เทคนิคจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบสแกนนิง
EDS = เป็นการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีด้วยสเปกโทรเมตรีรังสีเอกซ์
แบบกระจายพลังงาน
TGA = เทคนิคการวิเคราะห์ทางความร้อน
RPM = จำนวนรอบในหนึ่งนาทีเป็นหน่วยของความเร็วในการหมุน
Phr = หน่วยการผสมยางโดยคิดสัดส่วนปริมาณสารต่างๆ เมื่อเทียบกับยาง 100 ส่วน
(โดยน้ำหนัก
1
บทที่ 1
บทนำ
1.1 ที่มาของโจทย์ปัญหาวิศวกรรมและแรงจูงใจในการดำเนินโครงงาน (Motivation)
ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรที่สมบูรณ์อีกแห่งหนึ่งของโลก ในเเต่ล่ะปีมีผลผลิตมากมายหลาย
ประเภท ซึ่งปัจจุบันสินค้าเกษตรไม่ได้มุ่งเพื่อบริโภคภายในประเทศเพียงอย่างเดียว ยังมีการส่งออกไปตล าด
ต่างประเทศ ทั้งนี้เพราะเกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามปรับปรุง และพัฒนาคุณภาพของ
ผลผลิตให้ได้มาตรฐาน ตรงกับความต้องการของตลาดส่งออกมากขึ้น ในทางด้านการขนส่งจะต้องมีตัววัสดุกัน
กระเเทกเพื่อไม่ให้ผลผลิตเกิดความเสีย หาย ในปัจจุบันได้มีการผลิตโฟมกันกระแทกมาจากพอลิสไตรีน
(Polystyrene) ที่ถูกนำมาผ่านกระบวนการเพื่อผลิตเป็นโฟมที่มีรูปร่างเป็นตาข่าย เพื่อใช้ในการเป็นวัสดุกัน
กระแทกเพื่อนำมากห่อหุ้มผลไม้ โฟมตาข่ายเป็นวัสดุบรรจุภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่ช่วยป้องกันแรงกระแทกต่างๆ ที่
เกิดขึ้นกับผลไม้ตาข่ายโฟมยางจะสามารถป้องกันแรงกระแทกได้ดีกว่า การใช้กระดาษและฟาง เนื่องจากตา
ข่ายโฟมยางสามารถดูดซับแรงกระแทกได้ดี และตาข่ายโฟมยางยังเป็นตัวช่วยดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภค
เนื่องจากผู้บริโภคมีทัศนคติว่าผลไม้ที่ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยาง ต้องเป็นผลไม้ทไี่ ด้มีการคัดเลือกมาอย่างดี
ในปัจจุบันกลุ่มประเทศยุโรปได้มีการประกาศออกมาว่า จะยกเลิกการใช้วัสดุกันกระเเทกจากพอลิเมอร์
เหล่านี้ ทำให้ส่งผลต่อประเทศไทยเกษตรกรที่ต้องการจะส่งผลไม้ออก ในการที่จะต้องหาวัสดุใหม่เพื่อที่จะมา
ทดแทน ในกรณีที่ไม่สามารถหาวัสดุใหม่มาทดแทนผลลัพธ์ที่ตามมาคือการที่ไม่สามารถส่งออกได้ ซึ่งส่งผล
เสียหายต่อเกษตรกรผู้ส่งออกโดยตรง ดังนั้นต้องการปรับปรุงการขนส่งสินค้าให้ มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น พร้อม
กับอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยใช้ ซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน ในการปรับปรุงคุณภาพของน้ำยางธรรมชาติที่ใช้ใน
การซับแรงกระแทกของผลไม้ โดยต้องการปรับปรุงในด้านการป้องกันเชื่อรา ในปัจจุบันสินค้าจำพวกของผล
สดมีโอกาสการเกิดเชื่อราได้ ทำให้ผลิตภัณฑ์เกิดความเสียหายได้
โดยการศึกษานี้จะมุ่งเน้นการศึกษาปัจจัยต่างๆที่จะมีผลต่อประสิทธิภาพ เมื่อทำการใส่สารต้านจุลินทรีย์
คือซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน ด้วยการทาเพื่อให้ได้คุณสมบัติของโฟมตามที่ต้องการ การศึกษาครั้งนี้จะทำให้
วัสดุกันกระแทกที่มีหน้าที่จำเพาะสำหรับบรรจุภัณฑ์ผลิตผลสด ต้านเชื้อแบคทีเรียได้ดีขึ้น
2
A B C D
ตารางที่ 1 อธิบายภาพของการต้านทานแบคทีเรียด้วยขนาดวงรอบชิ้นโฟมยางธรรมชาติที่ไม่เคลือบอนุภาคซิล
เวอร์นาโน และ เคลือบอนุภาคซิลเวอร์นาโน 0.2 phr พบว่าโฟมยางธรรมชาติที่เคลือบด้วยอนุภาคซิลเวอร์นา
โน 0.2 phr เพิ่มความสามารถในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย 48.3 % ต่อเชื้อ E. coli และ 25 %
ต่อเชื้อ S. aureus เมื่อเทียบกับโฟมยางธรรมชาติที่ไม่เคลือบอนุภาคซิลเวอร์นาโน
1.2.2 ผลของอนุภาคนาโนซิงค์ออกไซด์ในฐานะตัวเร่งปฏิกิริยาต่อคุณสมบัติของยางธรรมชาติ
Ph.D. Indrajith Rathnayake และคณะได้ศึกษาเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิกาพการต้านเชื้อแบคทีเรียของโฟม
ยางธรรมชาติด้วยอนุภาคซิงค์นาโนออกไซด์ ที่ปริมาณ 2 และ 4 phr กับอนุภาคซิงค์ไมโครออกไซค์ที่ปริมาณ
4 phr โดยศึกษากับเชื้อเอสเชอริเชีย โคไล (E.coli) และสแตฟิโลค็อกคัสออเรียส (S.aureus)
4
E.coli S.aureus
รูปที่ 1.3 (B) ปริมาณซิงค์นาโนที่ 2 phr, (C) ปริมาณซิงค์ไมโครที่ 4 phr, (D) ปริมาณซิงค์นาโนที่ 4 phr
1.7 ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
1) อนุภาคซิลเวอร์นาโน (Silver nano) ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและจุลินทรีย์อื่นๆ ซึ่ง
จำเป็นต่อกระบวนการบำบัดน้ำเสีย ในขณะเดียวกัน อนุภาคเหล่านี้ยังมีผลกระทบต่อจุลินทรีย์ในน้ำและบนบก
ที่เป็นรากฐานที่สำคัญของระบบนิเวศในหลายๆแห่ง
2) อนุภาคซิงค์นาโน ZnO มีผลที่เป็นพิษต่อพืชที่เด่นชัดมากที่สุด ซึ่งช่วยลดมวลชีวภาพของรากและ
ยอดได้มากถึง 80% และ ZnO ไอออนิกทำให้เกิดการลดลง 25% ต้องใช้การปรับปรุงดินด้วย ZnO จำนวนมาก
ทำให้มวลชีวภาพของหน่อและรากเพิ่มขึ้น 225% และ 10% ตามลำดับ
ยางธรรมชาติ (Natural Rubber) เป็นวัสดุที่มาจากธรรมชาติและเป็นวัสดุที่มีแหล่งที่สามารถเกิดขึ้นมาใหม่ได้
ปกติผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากยางธรรมชาติจะสามารถย่อยสลายไปเองได้ ยางธรรมชาติจัดว่ามิตรต่อสิ่งแวดล้อม
1.8 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ลดการเกิดแบคทีเรียจากผลิตผลสด ป้องกันการช้ำของผลิตผลสด และป้องกันการกระแทกขณะการขนส่ง
7
บทที่ 2
ทฤษฎีและพื้นฐานความรู้ที่เกี่ยวข้อง
2.1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับน้ำยางธรรมชาติ
ยางพารา (Hevea Brasiliensis) วัตถุดิบที่เริ่มแรกรู้จักกันในชื่อ“ Caouchouc” ซึ่งเป็นคำที่เรียก
ตามที่ Charles de la Condamine ใช้ (มาจากภาษาอินเดียหมายถึง ต้นไม้ร้องไห้) เป็นสารไอโซพรีน
(Isoprene) ที่ได้จากน้ำเลี้ยงของต้นยาง Hevea Brasiliensis ปัจจุบันรู้จักวัตถุดิบนี้ในนาม Natural rubber
(NR) และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าต้นยางพารา นับเป็นแหล่งวัตถุดิบยางธรรมชาติที่ สำคัญที่สุดในปั จจุบัน
อาจนับเป็นพืชชนิดเดียวที่ให้ยางธรรมชาติซึ่งนำมาใช้ เป็นประโยชน์อย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมผลิตวัตถุ
สำเร็จรูป
2.1.1 สมบัติทั่วไปของน้ำยางธรรมชาติ
เมื่อกรีดยางผ่านเปลือกของต้นยาง จะมีน้ ำยางซึมออกมาเป็นของเหลวสีขาวขุ่น คล้ายน้ำนมหรือครีม
กลิ่นหอมเล็กน้อย มีความหนาแน่นระหว่าง 0.975 ถึง 0.980 กรัมต่อมิลลิลิตร มีค่าความเป็นกรด-ด่างตั้งแต่
6.5 ถึง 7.0 ความหนืดและส่วนประกอบต่างๆ ของน้ ำยางจะ เปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น พันธุ์
ยาง อายุของต้นยาง และฤดูการกรีด เป็นต้น เมื่อนํา น้ำยางที่กรีดได้ไปตรวจสอบจะพบว่ามีอนุภาคขนาด
ต่างๆกันแขวนลอย (Dispersion) อยู่ใน ตัวกลางที่เป็นของเหลว อนุภาคเหล่านี้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็ก
กว่า 5 ไมโครเมตร และมีประจุ เป็นลบซึ่งผลักกันตลอดเวลา จึงทําให้อนุภาคเหล่านี้สามารถแขวนลอย และคง
สภาพเป็นของเหลว อยู่ได้นานจนกว่าจะมีปัจจัยต่างๆ มารบกวนทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สําหรับส่วนของ
สารที่เป็น ตัวกลางนั้น โดยทั่วไปเรียกว่า เซรุ่ม (Serum)
น้ำยางมีลักษณะเป็นสารละลายคอลลอยด์ (Colloid) ชนิดไฮโดร โซล (Hydrosol) หรือสารละลายที่มีน้ํา
เป็นตัวทําละลาย แต่มีลักษณะพิเศษกว่าไฮโดรโซลทั่วไป คือ น้ำยางมีลักษณะ ถึงชอบน้ำ (Hydrophilic) คือ
ลักษณะที่เป็นสารละลายได้ง่ายเมื่อมีน้ ำเป็นตัวทําละลาย และ ไม่ชอบน้ำ (Hydrophobic) คือ ลักษณะที่ไม่
ยอมรวมกับน้ำ แต่ลักษณะที่ไม่ชอบน้ำจะเด่นกว่า นอกจากนี้น้ำยางยังประกอบด้วยส่วนที่ไม่ใช่ยาง ได้แก่ สาร
พวกโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และ อนุมูลของโลหะ เป็นต้น องค์ประกอบของน้ ำยางจะแบ่งออกเป็น 2
ส่วนใหญ่ๆ ดังตารางที่ 2.1
8
1. ส่วนที่เป็นเนื้อยาง
เป็นอนุภาคที่ประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอนได้จากหน่วยไอโซพรีน (Isoprene) มาเชื่อมต่อกัน
แขวนลอยอยู่ในเซรุ่ม อนุภาคยางมีทั้งทรงกลมและรีคล้ายลูกแพร์ และมีขนาด เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.02-0.03
ไมครอน โมเลกุลมีขนาดใหญ่ไม่ละลายน้ ำและเมื่ออยู่ในสภาพ น้ำยางสดผิวรอบอนุภาคจะถูกห่อหุ้มด้วยชั้น
ของสารจําพวกไขมันและโปรตีน นอกจากนี้ยังมีโลหะ บางชนิด เช่น แมกนีเซียม โปแตสเซียม และทองแดง
ปนอยู่ในส่วนของยางประมาณ 0.05% โดย นํ้าหนัก
2. ส่วนที่เป็นน้ำยาง
ส่วนที่เป็นน้ำหรือที่เรียกว่าเซรุ่มของยาง มีความหนาแน่นประมาณ 1.02 กรัมต่อมิลลิลิตรประกอบด้วยสาร
ต่างๆ ดังนี้
1) คาร์โบไฮเดรต เป็นสารพวกแป้งและน้ำตาล สารเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนแปลงเป็น กรดไขมันได้โดยแบคทีเรีย
หรือจุลินทรีย์ทําให้น้ำยางจับตัวเป็นก้อน
2) โปรตีนและกรดอะมิโนที่สําคัญ ได้แก่ แอลฟากโบลิน และชีวิน ซึ่งแอลฟา- กลูโบลินพบมากในน้ำยางสดมี
สมบัติไม่ละลายน้ำแต่ละลายในสารละลายของเกลือ กรดและด่าง สําหรับชีวินมีน้ำหนักโมเลกุลต่ำประมาณ
10,000 และสามารถละลายน้ำได้ ประมาณครึ่งหนึ่งละลายอยู่ในส่วนที่เป็นน้ ำ อีกหนึ่งในสี่ถูกดูดซับอยู่รอบๆ
ผิวนอกของอนุภาคยาง และที่เหลือปะปนอยู่ในส่วนของลูทอยด์
3) ลูทอยด์ (Lutoid) หรือวิสคอยด์ (Viscoid) ในน้ำยางมีลักษณะเป็นอนุภาคทรง กลมมีเยื่อหุ้มห่ออยู่ภายใน
เยื่ อ ประกอบด้ ว ยสารละลายพวกกรด เกลื อ แร่ โปรตี น น้ ำ ตาล และโพลี ฟ ี น อลอกซิ เ ดส (Polyphenol
oxidase) มีผลต่อความหนืด และความเสถียรของน้ำยางสดลูทอยด์มี สมบัติการเกิดปฏิกิริยาออสโมติกได้ง่าย
ดังนั้นการเติมน้ ำลงในน้ำยางมีผลทําให้ลูทอยด์เกิดการบวมตัวและแตกออกซึ่งเป็นผลให้ของเหลวภายในลู
ทอยด์ออกมาอยู่ในส่วนของเซรุ่ม ทําให้น้ำยาง มีความหนืดเพิ่มขึ้น นอกจากจะมีสารพวกลูทอยด์แล้วยังมีสาร
อีกประเภทหนึ่ง เรียกว่า อนุภาคเฟรย์-วิสลิง (Frey wyssling) ซึ่งมีลักษณะกลม สีเหลืองเข้ม และมีอนุภาค
9
2.1.2 โครงสร้างเคมีของน้ำยางธรรมชาติ
น้ำยางธรรมชาติเป็นสารประกอบที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ มีชื่อทางเคมีว่า โพลีไอโซพรีน (Polyisoprene) ซึง่
ได้จากหน่วยของไอโซพรีนต่อกันแบบหัวต่อหางแต่ละหน่วย ไอโซพรีนประกอบด้วยธาตุคาร์บอน 5 อะตอม
แลไฮโดรเจน 8 อะตอม มีสูตรเคมี คือ (CH), การเชื่อมต่อกันเป็นโมเลกุลนั้นอาจเชื่อมได้ 2 แบบ คือ แบบซิส
(cis-form) และ แบบทรานส์ (trans-form) ซึ่งมีสูตรโครงสร้าง ดังรูป 2.1
2.1.3 การรักษาสภาพน้ำยางธรรมชาติ
การเก็บรักษาสภาพน้ำยาง มี 2 ประการ คือ
1. เก็บรักษาในระยะสั้น (Short-term preservation) วัตถุประสงค์ คือ เพื่อรักษา สภาพน้ำยาง
ให้คงเป็นของเหลวในช่วง 2-3 วัน ก่อนที่จะนําไปทํายางแห้งชนิดต่างๆ หรือก่อนที่จะ ทําเป็นน้ำยางข้น
สารที่ใช้ เรียกว่า สารป้องกันน้ำยางจับตัว (Anticoagulant)
2. เก็บรักษาในระยะยาว (Long-term preservation) ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อคงสภาพ
น้ำยางให้อยู่ในสภาพของน้ำยางข้น ในช่วงที่เก็บอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ ยางสําเร็จรูปหรือรอ
การส่งน้ำยางข้นไปจําหน่ายต่างประเทศ ซึ่งควรเก็บไว้ได้อย่างน้อย 1 เดือน สารเคมีที่ใช้รักษาสภาพน้ ำ
ยางข้นให้เป็นของเหลวอยู่ได้นานๆ เรียกว่า สารรักษาสภาพน้ ำยาง (Preservatives) สําหรับน้ำยางข้นที่
ใช้แอมโมเนียเพียงอย่างเดียวเพื่อรักษาสภาพน้ำยางจะต้องใช้ ปริมาณแอมโมเนียสูงถึง 0.7% โดยน้ำหนัก
น้ำยางชนิดนี้ เรียกว่า HA latex (High Ammonia latex) ส่วนน้ำยางที่ใช้แอมโมเนียเล็กน้อยประมาณ
0.2% โดยน้ำหนัก รวมกับสารช่วยอื่นๆ เรียกว่า LA latex (Low Ammonia latex) ตัวอย่างชนิดของน้ำา
ยางและระบบการรักษาสภาพน้ำยางข้นที่ผลิตโดย วิธีการปั่นแสดงดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2.2 แสดงชนิดของน้ำยางและระบบการรักษาสภาพน้ำยางข้นที่ผลิตโดยวิธีการปั่น
ชนิดของน้ำยาง ระบบการรักษาสภาพน้ำยางข้น
HA 0.7% โดยน้ำหนักของแอมโมเนีย
LA-SPP 0.2% โดยน้ ำ หนั ก ของแอมโมเนี ย + 0.2% โดย
น้ำหนักของโซเดียมเพนตะคลอโรฟีเนต
LA-BA 0.2% โดยน้ ำ หนั ก ของแอมโมเนี ย + 0.2% โดย
น้ำหนักของกรดบอริค + 0.05% โดยน้ำหนักของกร
ดลอริค
LA-ZDC 0.2% โดยน้ ำ หนั ก ของแอมโมเนี ย + 0.1% โดย
น้ำหนักของซิงค์ไดเอทิล + 0.05% โดยน้ำหนักของ
กรดลอริค
LA-TZ 0.2% โดยน้ำหนักของแอมโมเนีย + 0.013% โดย
น้ำหนักของเตตระเมทิลไธยูแรมไดซัลไฟด์(TMTD) +
0.13% โดยน้ำหนักของซิงค์ออกไซด์ + 0.05% โดย
น้ำหนักของกรดลอริค
**หมายเหตุ สารเคมีที่เติมคิดโดยสัดส่วนน้ำหนัก/น้ำหนักยางทั้งหมด
11
2.4.1การกดทับ (compression)
15
บทที่ 3
17
เครื่องมือและวิธีการดำเนินโครงงาน
3.1 บทนำ
ในบทนี ้ จ ะกล่ า วถึ ง กระบวนการขึ ้ น รู ป ตาข่ า ยโฟมยางธรรมชาติ (natural rubber foam) และ
การศึกษาผลของการทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน โดยการทาสารเคลือบลงบนผิวของบรรจุภัณฑ์ ตาข่าย
โฟมยางที่ห่อหุ้มผลฝรั่ง เมื่อตาข่ายโฟมยางธรรมชาติที่เคลือบสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน ห่อหุ้มผลฝรั่งจะ
มีผลการเปลี่ยนแปลงต่อลักษณะกายภาพทั้ง ภายนอก-ภายใน ของตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโนและ
ซิงค์นาโนอย่างไร สามารถมีผลของสมบัติการต้านทานแบคทีเรียได้หรือไม่ รายละเอียดของตัวอย่างที่ใช้
อุปกรณ์และเครื่องมือในการทดลอง ประกอบไปด้วย ชื่อ ขนาด รุ่น และ มาตรฐาน รวมถึงขั้นตอนในการ
ดำเนินงานวิจัย ได้แก่ วิธีการขึ้นรูปโฟมยางธรรมชาติ ขั้นตอนการทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน การ
ทดสอบตาข่ายโฟมยางที่ได้ทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน โดยการทดสอบความหนาแน่นรวม (Bulk
Density) การทดสอบน้ำหนักที่เปลี่ยนแปลงไปของตาข่ายโฟมยาง ก่อนทา-หลังทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์
นาโน ทดสอบความแข็ง (Hardness) ทดสอบโครงสร้างภายนอกของผิว ตาข่ายโฟมยาง และทดสอบการ
ต้านทานแบคทีเรีย
3.2 วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ดำเนินงานวิจัย
3.2.1 ผลฝรั่ง ใช้เป็นวัสดุทดสอบความสามารถ ในการป้องกันแบคทีเรียจากการทาสาร ซิลเวอร์นาโนและซิงค์
นาโนลงบนผิวตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ
3.2.2 ตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ ใช้เป็นวัสดุตัวทดสอบความแตกต่าง จากการที่ทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นา
โนเคลือบบนผิวตาข่ายโฟมยางเปรียบเทียบกับ ตาข่ายโฟมยางธรรมชาติที่ไม่ได้ทาสารเคลือบ
3.3.3 สารเคมี ในการขึ้นรูปตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ
3.3.4 สารเคมีซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน ทีใ่ ช้ในการทาเคลือบบนตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ
3.2.5 วัสดุและเครื่องมือที่ใช้ชั่งและทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน มีดังนี้
1. เครื่องอบแห้ง 2. สารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน 3. กระจกนาฬิกา
4. อะซิโตน (Acetone) 5. บีกเกอร์ขนาดเล็ก 6. หลอดหยด (Dropper)
7. ถุงมือแพทย์ 8. ทิชชู่ 9. ถุงซิบล็อค
3.3สารเคมีและสูตรการผสม
ตารางที่ 3.1 สารเคมีและสูตรการผสมในการขึ้นรูปตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ
3.4ขั้นตอนการขึ้นรูปตาข่ายโฟมยาง
ตารางที่ 3.2 ตารางเเสดงวิธีการขึ้นรูปตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ
ขั้นตอนที่ รายละเอียดการดำเนินงาน
1.) เตรียมน้ำยางธรรมชาติเข้มข้น 60% ชั่งน้ำยางปริมาณ 150 กรัม บนเครื่อง
ชั่งดิจิตอล
2.)นำน้ำยางที่ผ่านการตวง ไปปั่นโดยใช้เครื่องกวนสาร (IKA WORKS
1.) การเตรียมน้ำยาง Eurostar20digital Blender) โดยใช้ใบพัดในการกวนสารทำภายใต้ตู้ดูดควัน
(Fume Hood)
3.)ด้วยความเร็วรอบ 300 RPM เป็นเวลา 30 นาที
20
ขั้นตอนที่ รายละเอียดการดำเนินการ
1.) เตรียมสารที่จะผสมกับน้ำยางธรรมชาติโดยนำถ้วยซิลิโคนชัง่ บนเครื่องชั่ง
สารดูด สารโดยใช้หลอดหยด (Dropper)
2.) เตรียมปริมาณของสารเรียงตามลำดับดังนี้ ถ้วยที่หนึ่งประกอบด้วย 50%
กำมะถัน (Sulfur) ปริมาณ 3 กรัม
3.) 50% ซิงค์ไดเอทธิลไดไธโอคาร์บาเมต (ZDEC) ปริมาณ 3 กรัม
4.) 50% ซิงก์เมอร์แคพโตเบนโซไทเอโซล (ZMBT) จำนวน 3 กรัม
2.) การชั่งสาร 10% K-oleate ปริมาณ 6.75 กรัม ,
50% วิงสเตย์แอล (Wingstay L) ปริมาณ 3 กรัม
5.) ถ้วยที่สองประกอบด้วย 50% ZnO ปริมาณ 7.5 กรัม
6.) ถ้วยที่สามประกอบด้วย 50% DPG ปริมาณ 2.1 กรัม
7.) ถ้วยที่สี่ประกอบด้วย 12.5% SSF ปริมาณ 1.5 กรัม
ขั้นตอนที่ รายละเอียดการดำเนินงาน
6 ) การอบตา 1.) นำตาข่ายโฟมยางที่เซ็ตตัวบนแม่พิมพ์เข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 600 องศา
ข่ายโฟมยาง เป็นเวลา 6นาที โดยโฟมยางที่นำเข้าอบในเตาไมโครเวฟจะทำการอบรอบ
ด้วย ละ 3 นาที
ไมโครเวฟ 2.) เป็นจำนวน 2 รอบ เพื่อให้เกิดการถ่ายเทความร้อนในเนื้อตาข่ายโฟมยาง
บนเเม่พิมพ์ ป้องกันไม่ให้เกิดความร้อนสะสมมากจนเกินไป
3.) โดยทำการใช้ไมโครเวฟ 2 เครื่องอบตาข่ายโฟมยางสลับกันครั้งละ 3 นาที
ทำการสลับระหว่างตัวตาข่ายโฟมยางและไมโครเวฟที่นำเข้าอบเมื่ออบจน
ครบจำวนวนเรียบร้อยแล้ว ทำการลอกเนื้อโฟมยางออกจากแผ่นของตัว
ตาข่ายโฟมยางบนแม่พิมพ์ช้าๆ
3.5 การเคลือบสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโนบนผิวตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ
กระบวนการทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน ในการทาเคลือบลงบนผิวของตาข่ายโฟมยาธรรมชาติ
ที่ผ่านกระบวนขึ้นรูปด้วยการผสมน้ำยางและสารเคมีเข้าด้วยกัน ในการทำวิจัยครั้งนี้จะใช้วิธีการทาสารซิล-
เวอร์นาโนและซิงค์นาโน ด้วยพู่กันเคลือบลงบนผิวชิ้นงานในแต่ละด้านของตาข่ายโฟมยาง เพราะสามารถควบ-
คุมน้ำหนักและค่าความหนาของปริมาณในการทาได้ โดยมีขั้นตอนดังนี้
22
3.5.1 ขั้นตอนการทาซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน
เปรียบเทียบความสามารถในการต้านทานแบคทีเรีย และการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางกายภาพของตา-
ข่ายโฟมยาง ทั้งลักษณะภายนอก-ภายในของชิ้นงาน ผิวสัมผัส สี และน้ำหนัก ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปแตกต่าง
จากตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ โดยในงานวิจัยนี้ได้ทำการนำตาข่ายโฟมยางทาและกำหนดรูปแบบการทดสอบ 7
แบบ ดังนี้
1. ตาข่ายโฟมยางธรรมชาติที่ไม่มีการทาเคลือบสารเพิ่มเติมใดๆ
2. ตาข่ายโฟมยางทีท่ าสารซิลเวอร์นาโนด้านหน้าบนผิวตาข่ายโฟมยางปริมาณ 4 กรัม
3. ตาข่ายโฟมยางทีท่ าสารซิลเวอร์นาโนด้านหลังบนผิวตาข่ายโฟมยางปริมาณ 4 กรัม
4. ตาข่ายโฟมยางทีท่ าสารซิลเวอร์นาโนด้านหน้า-หลังบนผิวตาข่ายโฟมยางปริมาณ 4 กรัม (ด้านละ 2 กรัม)
5. ตาข่ายโฟมยางทีท่ าสารซิงค์นาโนด้านหน้าบนผิวตาข่ายโฟมยางปริมาณ 10.44 กรัม
6. ตาข่ายโฟมยางทีท่ าสารซิงค์นาโนด้านหน้าบนผิวตาข่ายโฟมยางปริมาณ 10.44 กรัม
7. ตาข่ายโฟมยางทีท่ าสารซิงค์นาโนด้านหน้า-หลังบนผิวตาข่ายโฟมยางปริมาณ 10.44 กรัม (ด้านละ 5.22
กรัม)
1) กำหนดด้านของผิวชิ้นงานที่จะทาสารซิลเวอร์นาโน และซิงค์นาโน
2) โดยทาสารซิลเวอร์นาโนด้านหน้าบนผิวตาข่ายโฟมยางปริมาณ 4 กรัม
ทาสารซิลเวอร์นาโนด้านหลังบนผิวตาข่ายโฟมยางปริมาณ 4 กรัม
2) การทาสารเคลือบลงบน ทาสารซิลเวอร์นาโนด้านหน้า-หลังบนผิวตาข่ายโฟมยางปริมาณ 4 กรัม
ผิวตาข่ายโฟมยาง ทาสารซิงค์นาโนด้านหน้าบนผิวตาข่ายโฟมยางปริมาณ 10.44 กรัม
ทาสารซิงค์นาโนด้านหน้าบนผิวตาข่ายโฟมยางปริมาณ 10.44 กรัม
ทาสารซิงค์นาโนด้านหน้า-หลังบนผิวตาข่ายโฟมยางปริมาณ 10.44 กรัม
(ด้านละ 5.22 กรัม)
3) ใช้พู่กันทาในแต่ละรอบทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที ให้พอแห้งแล้วทาต่อจนสารหมด
1) นำตาข่ายโฟมยางที่ชั่งน้ำหนักเสร็จไปอบในเครื่องอบแห้ง กำหนดเซ็ตการตั้งค่า
เครื่องอุณหภูมิในการใส่ชิ้นงานทดสอบเข้าไปอยู่ที่ 70 องศาเซลเซียส
4) อบตาข่ายโฟมยางที่ทาสาร 2) ชิ้นงานที่ทาซิลเวอร์นาโน นำไปอบเป็นเวลา 4 วัน
ซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน และชิ้นงานที่ทาด้วยซิงค์นาโนนำไปอบเป็นเวลา 4 ชั่วโมง
(กรณีที่สารทั้งสองทาด้านเดียว)
3) ชิ้นงานที่ทาซิลเวอร์นาโนนำไปอบเป็นเวลา 2 วัน
ชิ้นงานที่ทาซิงค์นาโนอบเป็นเวลา 3 ชั่วโมง (กรณีที่สารทั้งสองทาทั้งสองด้าน)
4) หลังจากนั้นนำตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโน และซิงค์นาโน
นำมาชั่งน้ำหนักหลังอบ
24
3.6 การทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพ
3.6.1 ทดสอบความหนาแน่นรวม (Bulk Density)
โดยหาความหนาแน่นรวมของตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ (natural rubber latex)
และตาข่ายโฟมยางที่ทาเคลือบสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน (Sliver nano and Zinc nano)
การทดสอบดัดแปลงจากมาตรฐาน ASTM D 3574-95 โดยนำชิ้นงานรูปสี่เหลี่ยมมาชั่งน้ำหนัก และคำนวณหา
ความหนาแน่นของตัวชิ้นงาน โดยใช้สูตรดังสมการที่ 1
𝑀
ความหนาแน่นรวม = (1)
𝑉
D = ความหนาแน่นของชิ้นงานทดสอบ (𝑘𝑔/𝑚3 )
M = น้ำหนักมวลของชิ้นงานทดสอบ (kg)
V = ปริมาตรของชิ้นทดสอบ (𝑚3 )
3.6.2 การทดสอบความแข็ง (Hardness Test)
ในการทดสอบค่าความแข็ง ของวัสดุผสมตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ ถูกกำหนดโดยใช้ดูโรมิเตอร์ความ
แข็ง (Durometer LX-OO Shore OO, X.F, Graigar , Guangdong , China) ตามข้อกำหนดมาตรฐาน
ASTM D2240 โดยวัดความแข็งของตาข่ายโฟมยาง บนตัวอย่างพื้นผิวทีจ่ ะทำการวัด 10 ครั้ง ใน 10 ตำแหน่ง
ที่แตกต่างกันของชิ้นงานแต่ละชิ้นค่าที่รายงานเป็นค่าเฉลี่ยจากการทำซ้ำอย่างน้อย 5 รายการ เพื่อวัดและ
ทดสอบความสามารถในการต้านทานต่อการเปลี่ยนรูปแบบถาวร รวมทั้งดูการเปลี่ยนรูปมากน้อยแค่ไหน เมื่อ
เปรียบเทียบกับวัสดุผสมตาข่ายโฟมยางธรรมชาติและรูปแบบต่างๆ ที่มีการทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน
ที่แตกต่างกัน 7 แบบ คือ
1. หุ้มผลฝรั่งด้วยตาข่ายโฟมยางธรรมชาติทไี่ ม่มีการทาเคลือบสารเพิ่มเติมใดๆ
2. หุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางทีท่ าสารซิลเวอร์นาโนด้านทีส่ ัมผัสกับผิวของฝรั่ง
3. หุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโนด้านนอกที่ไม่สัมผัสกับฝรั่ง
4. หุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโนทาด้านที่สารสัมผัสกับผิวฝรั่งและด้านนอกที่ไม่สัมผัสกับฝรั่ง
5. ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิงค์นาโนด้านทีส่ ัมผัสกับผิวของฝรั่ง
6. ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิงค์นาโนด้านนอกที่ไม่สัมผัสกับฝรั่ง
25
7. ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิงค์นาโนด้านที่สารสัมผัสกับผลฝรั่งและด้านนอกที่ไม่สัมผัสกับฝรั่ง
3.6.3 การทดสอบวิเคราะห์ความเสถียรของวัสดุ (Material stability analysis test)
ทดสอบโดยใช้เครื่องอบเตาเผา TGA (Thermogravimetric Analysis) ข้อกำหนดมาตรฐาน ASTM E1131
ทดสอบด้วยการเผาไหม้เนื้อยางจนหมดเพื่อเปรียบเทียบวัสดุตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นา-
โน เคลือบลงบนผิวของชิ้นงาน เมื่อเผาไหม้จะยังคงมีเนื้อสารของซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโนคงเหลืออยู่หรือไม่
หรือจะเหลือปริมาณของสารเท่าไหร่ หลังจากทดสอบด้วยการเผาไหม้เนื้อยางจนหมด ใช้เวลาเท่ากับ 56.30
นาที /1 แบบทดสอบ ทดสอบ 5 แบบ ดังนี้ คือ
1.ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโนด้านทีส่ ัมผัสกับผิวของฝรั่ง
2.ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโนด้านนอกที่ไม่สัมผัสกับฝรั่ง
3.ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโนทาด้านที่สารสัมผัสกับผลฝรั่งและด้านนอกที่ไม่
สัมผัสกับฝรั่ง
4.ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิงค์นาโนด้านที่สัมผัสกับผิวของฝรั่ง
5.ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิงค์นาโนด้านนอกที่ไม่สัมผัสกับฝรั่ง
6.ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิงค์นาโนด้านที่สารสัมผัสกับผลฝรั่งและด้านนอกที่ไม่สัมผัสกับ
ฝรั่ง
ขั้นตอนการทดลอง TGA
1. ตัดชิ้นงานให้ได้ขนาด 0.5 x 0.5 ซม.
2. ปรับสภาวะของเครื่องมือ เซนเซอร์ตรวจจับความร้อนของอากาศที่ปรับอุณหภูมิได้อย่างต่อเนื่อง
(Thermobalance) โดยให้ ความร้อนจากอุณหภูมิเริ่มต้นที่ 35 – 600 องศาเซลเซียส ด้วย
อัตราเร็ว 10 องศาเซลเซียสต่อนาที ภายใต้บรรยากาศไนโตรเจน (Nitrogen gas)
3. ใส่ชิ้นงานตัวอย่างในถ้วยตัวอย่าง
4. น้ำหนักที่แน่นอนของชิ้นงานตัวอย่างจะถูกชั่ง โดยตาชั่งใน เซนเซอร์ตรวจจับความร้อนของอากาศ
ทีป่ รับอุณหภูมิได้อย่างต่อเนื่อง และ เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์
5. ปิดเตาเผา (Furnace) ทิ้งชิ้นงานตัวอย่างไว้ในบรรยากาศก๊าซไนโตรเจน 10 – 15 นาที ก่อนเริ่ม
การทดลอง
6. เมื่อเผาจนถึงอุณหภูมิสิ้นสุดก็ปล่อยให้เตาเผาเย็นตัวที่อุณหภูมิห้อง แล้วจึงค่อยเก็บข้อมูลผลการ
ทดสอบ
3.6.4 ทดสอบดูรายละเอียดโครงสร้างภายนอกและผิวของตาข่ายโฟมยาง
เพื่อศึกษารายละเอียดของโครงสร้างภายนอกและระบุลักษณะผิวตัวอย่าง ของตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ
และตัวตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโนเคลือบลงบนผิวของชิ้นงาน โดยในงานวิจัยนี้ได้ใช้
กล้องดิจิทลั DSLR ถ่ายแบบระยะใกล้ด้วยการซูม บนผิวหน้าของโฟมยางตาข่าย ลักษณะทางกายภาพของผล
ฝรั่ง จะมีการจำแนกผลฝรั่งไซส์ขนาดกลาง คัดเลือกตามน้ำหนักเฉลี่ยของฝรั่ง น้ำหนักฝรั่งที่ได้ เท่ากับ 240
กรัม ± 20 ที่มีขนาดน้ำหนักเฉลี่ยและเท่ากับที่ต้องการ นำมาใช้เป็นวัสดุในการทดสอบต้านทานแบคทีเรียโดย
ใช้ตาข่ายโฟมยางห่อหุ้มฝรั่งเปรียบเทียบผล ที่รูปแบบละ 3 ผล จำนวน 8 รูปแบบ รวมทั้งหมด 24 ผล
3.7 ทดสอบคุณสมบัติต้านทานเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial properties)
เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการต้านทานแบคทีเรียของตาข่ายโฟมยาง โดยในงานวิจัยนี้ได้ใช้ผลฝรั่ง
เป็นวัสดุในการทดสอบ ทำการทดสอบโดยการนำตาข่ายโฟมยางห่อหุ้มผลฝรั่ง สภาวะที่ใช้ศึกษาในห้องปิดที่
อุณหภูมิ 25 องศา นำผลฝรั่งใส่กล่องแบบซ้อนได้กล่องละ 3 ผล จำนวน 8 กล่อง ในแต่ละกล่องจะทดสอบ 8
แบบ คือ
1. ไม่มีการห่อหุ้มผลฝรั่งด้วยตาข่ายโฟมยาง
2. ห่อหุ้มผลฝรั่งด้วยตาข่ายโฟมยางธรรมชาติที่ไม่มีการทาเคลือบสารเพิ่มเติมใด 3. ห่อหุ้มด้วยตาข่าย
โฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโนด้านทีส่ ัมผัสกับผิวของฝรั่ง
4. ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโนด้านนอกที่ไม่สัมผัสกับฝรั่ง
27
5. ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโนทาด้านที่สารสัมผัสกับผลฝรั่งและด้านนอกที่ไม่
สัมผัสกับฝรั่ง
6. ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิงค์นาโนด้านที่สัมผัสกับผิวของฝรั่ง
7. ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิงค์นาโนด้านนอกที่ไม่สัมผัสกับฝรั่ง
8. ห่อหุ้มด้วยตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิงค์นาโนด้านที่สารสัมผัสกับผลฝรั่งและด้านนอกที่ไม่สัมผัสกับ
ฝรั่ง
2) เตรียมตาข่ายโฟมยาง 1) นำแผ่นตาข่ายโฟมยางมาม้วนให้เป็นรูปทรงกระบอก
2) จากนั้นนำกาวยางมาทาระหว่าง จุดต้นและจุดปลายของตาข่ายโฟมยาง ทา
กาว บีบเนื้อโฟมยางให้ยึดติดกัน ทิ้งไว้สักพักรอให้แห้ง
3.8 การประเมินประสิทธิภาพในการต้านทานแบคทีเรียทั้งหมด
จากการทดสอบทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน บนผิวตาข่ายโฟมยางที่ห่อหุ้มผลฝรั่ง ที่ทาสารแตกต่าง
กัน จำนวน 8 แบบ ทำการประเมินประสิทธิภาพในการต้านทานแบคทีเรียทั้งหมด โดยสังเกตลักษณะการ
เปลี่ยนแปลง ไปของผลฝรั่งที่เป็นวัสดุในการทดสอบ โดยนำภาพที่ได้มาสังเกตผิวก่อนและหลังศึกษาผล เป็น
เวลา 1 3 5 7 วัน โดยผิวที่สังเกตรอบๆ ผลของฝรั่งจะสังเกตจากด้านทั้งหมด 6 ด้าน ได้แก่ ด้านซ้าย , ด้านขวา
, ด้านหน้า , ด้านหลัง , ด้านบน , และ ด้านล่าง เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการป้องกันแบคทีเรีย โดย
สังเกตจาก รอยช้ำ , การขึ้นรา , ลักษณะการเหี่ยวเฉา ของตาข่ายโฟมยางที่ใช้ทดสอบแต่ละแบบ ที่ส่งผลต่อฝรั่ง
ลักษณะที่แตกต่างกัน
29
บทที่ 4
ผลการดำเนินงาน
4.1 บทนำ
การทำโครงงานครั้งนี้เป็นการนำเอาวัสดุทางธรรมชาติ คือ น้ำยางธรรมชาติโดยใช้กระบวนการผลิต
ด้วยกระบวนดันลอป นำมาผลิตเป็นตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ และนำตาข่ายโฟมยางที่ได้มาทาสารซิลเวอร์ -
นาโนและซิงค์นาโนในรูปแบบที่ 1.) ด้านที่ทาสัมผัสกับผลฝรั่ง 2.) ด้านที่ทาไม่สัมผัสกับผลฝรั่ง 3.) ด้านที่ทา
ทั้งสองด้าน 4.) แบบที่ไม่ทาและไม่ได้หุ้มตาข่าย 5.) ตาข่ายโฟมยางธรรมชาติโฟมยาง เพื่อทดสอบการป้องกัน
แบคทีเรียของผลิตผลสดทางการเกษตร โดยในโครงงานนี้ได้ใช้ฝรั่งเป็นวัสดุในการทดสอบ การศึกษาการป้อง
กันแบคทีเรียของผลิตผลสด โดยใช้ตาข่ายโฟมยางธรรมชาติและตาข่ายโฟมยางที่ทา สารซิลเวอร์นาโนและ
ซิงค์นาโนในการทดสอบเปรียบเทียบ ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ
1) ทดสอบความหนาแน่นรวม (Bulk Density) มาตรฐาน ASTM D 3574-95
2) การทดสอบความแข็ง (Hardness Test) มาตรฐาน ASTM D2240
3) ทดสอบวิเคราะห์ความเสถียรของวัสดุ Thermo Gravimetric Analysis (TGA) มาตรฐาน ASTM E1131
4) ทดสอบคุณสมบัติต้านทานเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial properties)
4.2 ลักษณะทางกายภาพของตาข่ายโฟมยาง
ตาข่ายโฟมยางที่ผลิตได้จะใช้ กระบวนการผลิตด้วยกระบวนดันลอปวิธีนี้จะได้ ตาข่ายโฟมยางโดยมี
ความแข็งของตาข่ายโฟมยาง ได้ด้วยการควบคุมระดับการตีฟอง โดยการตีฟองให้ฟูเป็นระยะเวลาสั้นๆ จะได้
โฟมยางที่แข็งมีความหนาแน่นทีส่ ูงเพราะ ตาข่ายโฟมยางที่มีความแข็งสูงจะทนทานได้ดี เพื่อจะสามารถห่อหุ้ม
ผลฝรั่งได้พอดี กับขนาดของตาข่ายโฟม โดยขนาดของแผ่นตาข่ายโฟมยางขนาด กว้าง x ยาว อยู่ที่ 10.5 x 21
ซม. ± 1
4.3 ลักษณะทางกายภาพของโฟมยางตาข่าย
4.3.1ความหนาแน่น (Bulk Density)
ในการแพ็คสินค้าวัสดุที่มีความหนาแน่นต่ำจะได้รับนิยม เนื่องจากน้ำหนักที่เบาทำให้ช่วยลดค่าขนส่ง
สินค้าลงได้ ซึ่งจะทำการแสดงค่าความหนาแน่น ที่มีการเเปรผันตามมวลของชิ้นงาน เมื่อเปรียบเทียบผลการ
ทดสอบระหว่าง ตาข่ายโฟมยางธรรมชาติเปรียบเทียบเทียบกับการทาสารซิลเวอร์และซิงค์นาโน เเสดงดัง
ตารางที่ 4.1
4.3.2ความแข็ง (Hardness)
แสดงถึงความต้านทานในการเสียรูป, การขีดข่วน หรือการเสียดสีของวัตถุ โดยใช้มาตราฐาน ASTM
30
(f.1) (f.2)
กระบวนการย่อยสลายแบบหลายขั้นตอนสำหรับตัวอย่าง
4) NRLF Silver-Out ที่อุณหภูมิ 47.70-112.58 องศาเซลเซียส เกิดจากการสลายตัวของสารประกอบ
ที่เติมเข้าไป เพื่อให้ชิ้นงานทดสอบมีคุณสมบัติ ที่ต้องการคิดเป็นน้ำหนักที่สูญเสียไป5.5% ช่วงที่2 ที่อุณหภูมิ
155-240 องศาเซลเซียสคิดเป็นน้ำหนักที่สูญเสียไป16.63% ส่วนใหญ่เกิดการย่อยสลายตัวที่อุณหภูมิ 330-
480 องศาเซลเซียส คิดเป็นน้ำหนักที่สูญสียไป 73.26%
5) NRLF Silver In-Out ที่ อ ุ ณ หภู ม ิ 36.02-147.80 องศาเซลเซี ย ส เกิ ด จากการสลายตั ว ของ
สารประกอบที่เติมเข้าไป เพื่อให้ชิ้นงานทดสอบมีคุณสมบัติที่ต้องการคิดเป็นน้ำหนักที่สูญเสียไป7.07% ช่วงที่2
ที่อุณหภูมิ 147.80-290.70 องศาเซลเซียสคิดเป็นน้ำหนักที่สูญเสียไป16.63% ส่วนใหญ่เกิดการย่อยสลายตัวที่
อุณหภูมิ 330-480 องศาเซลเซียส คิดเป็นน้ำหนักที่สูญสียไป 65.62%
100
80 NRLF
NRLF-Silver out
NRLF-Silver in-out
Weight loss (%)
60
NRLF-Zinc out
NRLF-Zinc in-out
40
20
0
35 135 235 335 435 535
Temperature (oC)
(ด้านหน้า)
(ด้านซาย)
(ด้านหลัง)
(ด้านขวา)
34
(ด้านบน)
2.NRLF
Silver - Out
(ด้านล่าง)
(ด้านหน้า)
(ด้านซ้าย)
(ด้านหลัง)
(ด้านขวา)
35
(ด้านบน)
3.NRLF
Silver In - Out
(ด้านล่าง)
(ด้านหน้า)
(ด้านซ้าย)
(ด้านหลัง)
(ด้านขวา)
36
(ด้านบน)
4. NRLF
Zinc - In
(ด้านล่าง)
(ด้านหน้า)
(ด้านซ้าย)
(ด้านหลัง)
37
(ด้านขวา)
(ด้านบน)
5. NRLF
Zinc - Out
(ด้านล่าง)
(ด้านหน้า)
(ด้านซ้าย)
38
(ด้านหลัง)
(ด้านขวา)
(ด้านบน)
6.NRLF
Zinc In - Out
(ด้านล่าง)
(ด้านหน้า)
39
(ด้านซ้าย)
(ด้านหลัง)
(ด้านขวา)
(ด้านบน)
7.NRLF
Control
(ด้านล่าง)
40
(ด้านหน้า)
(ด้านซ้าย)
(ด้านหลัง)
(ด้านขวา)
(ด้านบน)
41
8.NRLF - None
(ด้านล่าง)
(ด้านหน้า)
(ด้านซ้าย)
(ด้านหลัง)
(ด้านขวา)
42
(ด้านบน)
ลักษณะการเปลี่ยนแปลงผลฝรั่งที่ห่อหุ้มตาข่ายโฟมยาง8รูปแบบโดยการทดสอบใส่ ตาข่ายโฟมยางทั้ง
8รูปเเบบเปรียบเทียบความสามารถในการต้านทานเชื้อเเบคทีเรียโดยการสังเกตจากลักษณะผิวกายภาพของ
ผลฝรั่งที่มีการ เปลี่ยนเเปลง ในแต่ละวันโดยสังเกตทุก 1 ,3 ,5 ,7 วัน ตามตาราง 4.2
บทที่ 5
ผลลัพธ์และการอภิปราย
จากการพัฒนาวัสดุกันกระแทกที่มีหน้าที่จำเพาะสำหรับบรรจุภัณฑ์ผลิตผลสด วิเคราะห์ปัจจัยทาง
ความร้อนที่มีผลต่อตาข่ายโฟมยางที่ผสมซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน และทดสอบเพื่อประเมินความสามารถ
ในการป้องกันการเสียหายทางกายภาพ ซึง่ ผลการทดลองนั้นมีผลออกมาสามารถสรุปผลได้ดังนี้
5.1 สรุปผลของความหนาแน่น (Bulk Density)
5.2 สรุปผลความแข็ง (Hardnees)
5.3 สรุปผลทางสัญฐานวิทยา
5.4 สรุปผลของอุณหภูมิที่ส่งผลต่อคุณสมบัติทางความร้อน
5.5 ผลของคุณสมบัติการต้านทานแบคทีเรีย
5.1 สรุปผลของความหนาแน่น (Bulk Density)
ในการแพ็คสินค้าวัสดุที่มีความหนาแน่นต่ำจะได้รับนิยม เนื่องจากน้ำหนักที่เบาทำให้ช่วยลดค่าขนส่ง
สินค้าลงได้ จากตารางที่ 4.3 แสดงค่าความหนาแน่นของตาข่ายโฟมยางธรรมชาติเทียบกับการทาซิลเวอร์และ
ซิงค์นาโน พบว่าตาข่ายโฟมยางธรรมชาติมีความหนาแน่นต่ำที่สุด เนื่องจากซิลเวอร์และซิงค์นาโนเป็นของแข็ง
เมื่อถูกทำให้แห้งจากการอบจึงทำให้ตาข่ายโฟมยางมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น
5.2 สรุปผลความแข็ง (Hardnees)
เนื่องจากตาข่ายโฟมยางกันกระแทกเป็นยางที่มีความนุ่มมากคล้ายฟองน้ำ ถ้าหากมีความแข็งที่มาก
เกินไปอาจทำให้พื้นผิวของผลไม้เกิดรอยได้ จากตารางที่ 4.3 แสดงค่าความแข็งของตาข่ายโฟมยางธรรมชาติ
เทียบกับการทาซิลเวอร์และซิงค์ พบว่าตาข่ายโฟมยางธรรมชาติมีความแข็งน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับตาข่ายโฟม
ยางที่ทาซิล-เวอร์และซิงค์นาโน แต่ผลหลังจากการห่อกับผลฝรั่งไม่เกิดรอยจากตาข่ายโฟมยางในทุกการ
ทดลอง
5.3 สรุปผลทางสัณฐานวิทยา
ผิวของตาข่ายโฟมยางที่ทาสารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโน พบว่าพื้นผิวที่ทาด้วยซิลเวอร์มีความเรียบ
เนียนมันวาวมากกว่าพื้นผิวที่ทาด้วยซิงค์นาโนและชิ้นงานที่ทาด้วยซิงค์นาโนจะซึมเข้าสู่เนื้อของตาข่ายโฟมยาง
ได้มากกว่าซิลเวอร์นาโนหลังผ่านการอบ
45
5.4 สรุปผลของอุณหภูมิที่ส่งผลต่อคุณสมบัติทางความร้อน
ผลการวิเคราะห์ TGA
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักของสารตัวอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงอุณหภูมิต่างๆ
พบว่าชิ้นตัวอย่างที่ทาซิงค์นาโนและยางพื้นฐาน มีช่วงการสลายตัวช่วงเดียว ส่วนชิ้นงานที่ทาซิลเวอร์นาโน มี
ช่วงการสลายตัว 3 ช่วง ที่อุณหภูมิต่างกัน ซึ่งสามารถระบุถึงตัวอย่างที่นำทดสอบนั้นมีองค์ประกอบหลักที่ถูก
เผา 1 ชนิด ถูกเผาที่อุณหภูมิต่างกัน 3 ช่วง สามารถสรุปได้ว่าช่วงการสลายตัวส่วนใหญ่เกิดที่ 330 - 480
องศาเซสเซียส แต่น้ำหนักที่หายไปจะต่างกัน และสารที่ใช้ทาต่างกันไม่มีผลต่ออุณหภูมิการสลายตัวส่วนใหญ่
5.5 สรุปเเละวิเคราะห์ผลของคุณสมบัติการต้านทานเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial properties)
จากผลการทดลองพบว่า ฝรั่งที่ไม่มีการห่อด้วยตาข่ายโฟมยางให้ประสิทธิภาพในการป้องกันแบคทีเรีย
ได้ดีที่สุดเมื่อผ่านไป 7 วัน โดยในวันที่ 5 ทุกตัวอย่างจะมีความใกล้เคียงกันในด้านของความช้ำและความสดที่
ลดลง แต่เมื่อเข้าสู่วันที่ 7 ตัวอย่างที่มีการห่อด้วยตาข่ายโฟมยางพบการเกิดเชื้อราขึ้นมา ยกเว้นตัวอย่าง NRLF-
None และ NRLF-Control ที่ไม่พบเชื้อรามีเพียงแค่ความสดที่ลดลง เมื่อเทียบความสดกันของ 2 ตัวอย่าง
ตัวอย่าง NRLF-None จะให้ความสดที่ดีกว่า NRLF-Control ทั้งนี้อาจเป็นจากการทีฝ่ รั่งสัมผัสกับซิลเวอร์นาโน
และซิงค์นาโนโดยตรงจึงทำให้เกิดปฎิกริยาบางอย่างกับตัวผลไม้ทำให้ไม่สามารถต้านทานการเกิดแบคทีเรียได้
โดยอาจจะเปลี่ยนวิธีการผสมสารลงไปในขั้นตอนเตรียมน้ำยางเพื่อให้สารซิลเวอร์นาโนและซิงค์นาโนอยู่ในเนื้อ
ยางเพื่อปล่อยความสามารถในการต้านทานแบคทีเรียออกมาแทนการสัมผัสโดยตรง
46
รายการอ้างอิง
1. Rathnayake, W. G. I. U., et al. (2014). "Enhancement of the antibacterial activity of
natural rubber latex foam by the incorporation of zinc oxide nanoparticles." Journal
of Applied Polymer Science 131(1): n/a-n/a.
2. Phomrak, S., et al. (2020). "Natural Rubber Latex Foam Reinforced with Micro- and
Nanofibrillated Cellulose via Dunlop Method." Polymers (Basel) 12(9).
3. Mam, K. and R. Dangtungee (2019). "Effects of silver nanoparticles on physical and
antibacterial properties of natural rubber latex foam." Materials Today: Proceedings
17: 1914-1920.
4. Jitkokkruad, K., et al. (2023). "Effects of Bamboo Leaf Fiber Content on Cushion
Performance and Biodegradability of Natural Rubber Latex Foam Composites."
Polymers (Basel) 15(3)
5. Ramli, R.; Chai, A.B.; Ho, J.H.; Kamaruddin, S.; Rasdi, F.R.M.; De Focatiis, D.S. Specialty
natural rubber latex foam: Foamability study and fabrication process.
RubberChem.Technol.2022, 95, 492–513. [CrossRef]
6. Hui Mei, E.L.; Singh, M. The Dunlop Process in Natural Rubber Latex Foam. Malays.
Rubber Dev. Technol 2010, 10, 23–26 [CrossRef] Effect of Blowing Agent on Cell
Morphology and Acoustic Absorption of Natural Rubber Foam | Scientific.Net
7. Zhang, N.; Cao, H. Enhancement of the antibacterial activity of natural rubber latex
foam by blending it with chitin. J. Mater. 2020, 13, 1039 [CrossRef] Materials | Free
Full-Text | Enhancement of the Antibacterial Activity of Natural Rubber Latex Foam
by Blending It with Chitin (mdpi.com)
8. Bashir, A.S.; Manusamy, Y.; Chew, T.L.; Ismail, H.; Ramasamy, S. Mechanical, thermal,
and morphological properties of (eggshell powder)-filled natural rubber latex foam. J.
Vinyl Addit. Technol. 2015, 23, 3–.12
9. ASTM D 2240-15; Standard Test Method for Rubber Property—Durometer Hardness.
ASTM International: West Conshohocken, PA, USA, 2021.
47
ภาคผนวก
ตัวอย่างการคำนวณ
ก. การคำนวณหาปริมาณของสาร
1.) จากงานวิจัยที่มีผู้ศึกษามาก่อน [3] ซิลเวอร์นาโนที่ความเข้มข้น 200,000ppm ต้องใช้ปริมาณ
เท่ากับ0.2phr แต่โครงงานเรามีซิลเวอร์นาโนความเข้มข้น 15,000ppm ดังนั้นทำการเปรียบเทียบหาค่า
ปริมาณที่ต้องใส่
200,000ppm x 0.2phr
จะได้ =2.67phr
15,000𝑝𝑝𝑚
ข.กราฟของผลการทดลอง
2.) กราฟTGA