Professional Documents
Culture Documents
การปลูกสะระแหน่
วสันต์ ชุณห์วิจิตรา
ฝ่ายส่งเสริมและเผยแพร่ ส�ำนักส่งเสริมและฝึกอบรม
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
“สะระแหน่” ผักสามัญประจ�ำครัวที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากมีกลิ่นหอมสีเขียวสดเหมาะแก่การน�ำมา
ปรุงอาหารและตกแต่งอาหารให้มี สีสนั น่ารับประทานมากยิง่ ขึน้ คุณสมบัตกิ ลิน่ หอมสดชืน่ มีสาร “อะโรมา
ทรลาฟี” ช่วยผ่อนคลายอีกด้วย สรรพคุณทางสมุนไพรของสะระแหน่ทางยาช่วยดับร้อน ถอนพิษไข้ ขับลม
ขับเหงื่อ รักษาอาการขับลมร้อน ใช้ผสมยาหรือยาอมเพื่อให้เย็นชุ่มคอ รักษาอาการปวดศีรษะ ปวดเป็น
เลือด แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ช่วยห้ามเลือดก�ำเดาได้ รักษาอาการปวดหู ตลอดจนรักษาอาการหน้ามืด
ตาลาย ส่วนคุณประโยชน์ด้านอุตสาหกรรมมากมายไม่แพ้กันเลยทีเดียว โดยนิยมน�ำสะระแหน่มาแปรรูป
ท�ำเป็นหมากฝรั่ง ลูกอมต่าง ๆ ที่เราเห็นเป็นรสชาติ Mint นั่นเอง
สะระแหน่ (Kitchen Mint) คือ พืชสมุนไพรในตระกูลมินต์ อยู่ในวงศ์กะเพรา ซึ่งมีแหล่งก�ำเนิด
มาจากฝั่งยุโรปตอนใต้ และในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ต้นที่โตเต็มที่จะมีความสูงประมาณ 70-150
เซนติเมตร ใบจะมีลักษณะคล้ายกับพืชในตระกูลมินต์ กลิ่นหอมคล้ายใบมะนาว จะมีดอกในช่วงปลายฤดู
ร้อนของทุกปี ซึง่ ดอกนัน้ จะมีสขี าว เต็มไปด้วยน�ำ้ หวาน และน�ำ้ หอม ซึง่ จะเป็นทีด่ งึ ดูดให้ผงึ้ มาดูดน�ำ้ หวาน
ด้วยเหตุนี้จึงท�ำให้ สะระแหน่ อยู่ในสกุลเมลิสซา (Melissa) ที่ในภาษากรีก แปลว่า “น�้ำผึ้ง” นอกจากนี้
สะระแหน่ยังมีรสชาติคล้ายคลึงกับ มะนาว แอลกอฮอล์ และตะไคร้หอมอีกด้วย
สะระแหน่อยู่ในวงศ์เดียวกันกับกะเพรา โหระพา และแมงลัก อยู่ในสกุลเบซิล ( basils) แต่อยู่
กันคนละสกุล (Genas) สะระแหน่อยู่ในสกุลมินต์เพราะเป็นพืชที่มีน�้ำมันหอมระเหยอันประกอบด้วยสาร
เมนทอล (menthol) อยู่สูง ซึ่งสะระแหน่ คือ มินต์ส�ำหรับท�ำอาหารเป็นผักที่มีกลิ่นดีที่ถ้าขาดไปอาหาร
หลายอย่างคงหมดคนนิยมไปเลย นิยมใช้รับประทาน หรือจะใช้เป็นยารักษาโรคก็ได้ และใช้เป็นส่วน
ประกอบของอาหารจ�ำพวกลาบน�ำ้ ตกซุปซึง่ จะท�ำให้อาหารมีรสชาติดขี นึ้ และเพิม่ กลิน่ ให้ยงิ่ น่ารับประทาน
นอกจากนีส้ ะระแหน่ยงั เป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึง่ ทีเ่ ป็นอาหารเพือ่ สุขภาพได้เป็นอย่างดีและได้มกี ารน�ำเอา
สะระแหน่มาปรุงยาทางการแพทย์แผนไทยหลากหลายชนิด เนื่องจากเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยา
รักษาโรคได้หลากหลายขนานที่นอกเหนือจากการใช้เพื่อปรุงอาหารในครัวเรือนทั่วไป
ชื่อวิทยาศาสตร์แต่เดิมของสะระแหน่แต่เดิมใช้ค�ำว่า Mentha aruensis Linn แต่ก็มีบางท่าน
แย้งว่า M.aruensis นั้นเป็นชื่อของมินต์ญี่ปุ่น ซึ่งแตกต่างจากสะระแหน่ของเรามาก Mentha มีอยู่หลาย
ชนิดด้วยกัน ชนิดที่ใช้ท�ำอาหาร เรียกว่า garden mint หรือ spearmint มินท์มีกลิ่นหอมเย็นเพราะมี
ลักษณะทั่วไป
ชื่อสามัญ : Menthe kitchen mint
ชือ่ ท้องถิน่ /ชือ่ พืน้ เมือง : หอมด่วน หอมเดือน ( ภาคเหนือ ) มักเงาะ สะแน่ ( ภาคใต้ ) สะระแหน่
สวน ( ภาคกลาง ) ป้อห่อ สะระแหน่สวน ( ภาคกลาง ) มักเงาะ สะแน่ ( ภาคใต้ ) หอมด่วน หอมเตือน
( ภาคเหนือ )
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Metha cordifolia Opiz., Mentha aruensis Linn Metha cordifolia
Opiz.,M. viridis Linn. (Common spearmint),M. piperita (Peppermint Oil, Lamb Mint Oil
Brandy, Mint Oil, American
Family / วงศ์ : LABIATAE
ORDER : LAMIALES
ประวัติและที่มาของชื่อสะระแหน่
แม้จะดูคุ้นเคยกับชีวิตคนไทยเป็นอย่างดี แต่สะระแหน่ก็ไม่ใช่พืชที่มีถิ่นก�ำเนิดอยู่ในเขตร้อนบ้าน
เรา แต่กลายเป็นพืชทีม่ กี ารน�ำเข้ามาจากยุโรป ต่างประเทศเรียกสะระแหน่วา่ “มินท์ (mint)” และใช้มนิ ท์
เป็นสมุนไพรปรุงอาหารมาตั้งแต่สมัยกรีก สมัยโรมัน ต�ำนานโรมันเล่าว่า “มินทา“ หรือ “มินเท” เป็นชื่อ
นางฟ้าองค์หนึ่งอันเป็นที่รักใคร่สุดสวาทของเทพเจ้าพลูโต ต่อมาพลูโตเสกนางให้กลายเป็นพืช ซึ่งก็คือต้น
มินท์นั่นเอง
สะระแหน่เป็นพืชดั้งเดิมของทวีปยุโรปในตะวันออกกลาง และพบได้ในหลายภาคของโลกรวม
ทั้งประเทศไทย ใช้แพร่หลายในอารยธรรมอียิปต์ กรีก และโรมันโบราณมาก่อน ในคอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า
ของนิตยสารหมอชาวบ้านอ้างว่าสะระแหน่ถูกน�ำเข้ามาในเมืองไทย ในช่วงรัชสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า
อยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยชาวอีตาเลียน ชื่อนายสะระนี่ คนไทยจึงตั้งชื่อผักน�ำเข้าชนิดนี้ตามชื่อของคนน�ำมา
และแปลงให้ถูกลิ้นคนไทย เป็น “สะระแหน่” ดังนั้นเองในหนังสืออักขราภิธานศัพท์ของหมอบรัดเล่ ซึ่งตี
พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2416 ในช่วงรัชกาลที่ 4 จึงไม่ปรากฏการบันทึกเรื่องราวของสะระแหน่เอาไว้ซึ่งก็น่าจะ
ยังไม่มีในเมืองไทย และก็คงเป็นไปตามค�ำกล่าวของอาจารย์อินทรี จันทรสถิตนั่นเอง
76 ข่าวสารเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปีที่ 60 ฉบับที่ 2 เดือน ตุลาคม 2557 – มกราคม 2558
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
สะระแหน่เป็นพืชล้มลุกทีม่ อี ายุหลายปี ล�ำต้นสีเ่ หลีย่ ม สีเขียวแกมม่วงน�ำ้ ตาล มีกงิ่ ก้านแตกแขนง
ออกมากมาย เลื้อยคลานไปตามพื้นดิน
ใบ เป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้ามกันกว้าง 1.5-2.5 เซนติเมตร ยาว 2-3 เซนติเมตร รูปรีค่อนข้าง
กว้าง ผิวใบย่น ขอบใบหยักฟันเลื่อยตลอด ปลายใบปลายใบแหลม มีรูปร่างลักษณะป้อม ๆ สีเขียว
ดอก ช่อดอกสีชมพูอมม่วง ออกเป็นช่อที่ปลายดอก ออกเป็นกระจุกที่ซอกใบ
ผล เป็นผลแห้ง ไม่แตก
ราก เป็นระบบรากฝอย มีรากตื้น และรากสั้น
การปลูก
ขั้นตอนการเพาะปลูก ใช้ต้นพันธุ์ในการปลูก โดยเลือกกิ่งสะระแหน่ที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป
น�ำมาปลูกในหลุมระยะการปลูกระหว่างต้น 40-50 เซนติเมตร หลุมละประมาณ 4-5 ต้น แล้วรดน�้ำให้ชุ่ม
สะระแหน่นนั้ เพาะปลูกได้งา่ ย ต้องการเพียงแค่ดนิ ดี ๆ ยิง่ ถ้าเป็นดินร่วนปนทรายจะยิง่ ดี เนือ่ งจากท�ำให้นำ�้
ไหลซึมได้งา่ ยท�ำให้สะระแหน่ขนึ้ ได้งา่ ยและอาจใช้ฟางหรือหญ้ามาคลุมดินในช่วงอากาศหนาวเย็น สามารถ
เก็บเกีย่ วได้ในช่วงก่อนหมดเดือนพฤศจิกายน (หากปลูกใช้ในครัวเรือนสามารถเก็บเกีย่ วได้ทกุ ๆ วันขึน้ อยู่
กับการดูแลรักษา) สะระแหน่ ชอบแสงแดดพอประมาณเช่นเดียวกับพืชในตระกูลมินต์ เหมาะกับการปลูก
ในสภาพอากาศที่แห้งและมีความชื้นต�่ำ สามารถเติบโตได้ดีในร่มและสามารถปลูกในกระถางได้ นอกจาก
นี้การเพาะปลูกยังสามารถปลูกด้วยเมล็ดได้อีกด้วย
การปลูกสะระแหน่นั้นจะใช้วิธีปักลงไปในแปลงปลูกเลย หรือจะช�ำในแปลงเพาะก่อนแล้วจึงย้าย
มาปลูกก็ได้เช่นกัน แต่ข้อส�ำคัญคือต้องเตรียมดินให้ร่วงซุยเสียก่อน ในการปลูกเลือกกิ่งสะระแหน่ที่ไม่แก่
หรืออ่อนจนเกินไป ตัดยอดของล�ำต้นยาวประมาณ 4-5 นิ้ว ปักจิ้มลงในแปลงเพาะช�ำหรือแปลงปลูก ก่อน
ปักช�ำต้องรดน�้ำให้ชุ่ม ปักให้เอนทาบกับดิน รดน�้ำให้ชุ่มเพื่อรักษาความชื้นให้หน้าดินเพราะสะระแหน่
ชอบดินร่วนซุย ชอบขึ้นตามที่ลุ่มชื้นแฉะ และเมื่อแกลบผุก็จะกลายเป็นปุ๋ย ต้องการดินร่วนซุยแต่ไม่ต้อง
แสงแดดมากนัก ปลูกในที่ร่มร�ำไร สมัยโบราณชาวบ้านชอบปลูกสะระแหน่ในลังไม้หรือใส่กะละมังตั้งไว้
ใกล้กับบันไดบ้าน และมักใช้น�้ำคาวปลารดต้นสะระแหน่ เพราะเชื่อว่าจะท�ำให้แตกยอดและใบงาม
สะระแหน่ขยายพันธ์โดยใช้ไหลแยกไปปลูกบริเวณที่ต้องการและมีการน�ำมาปลูกในกระถางหรือ
ในกระเช้าเป็นไม้แขวน ใช้เป็นไม้ประดับดูสวยงามดีอกี ด้วย เก็บผลผลิตได้โดยใช้มดี คม ๆ ตัดส่วนยอด เมือ่
ตัดไปไม่นานก็จะแตกยอดใหม่
การปฏิบัติดูแลรักษา
เมือ่ สะระแหน่เจริญเติบโตจนเก็บยอดไปได้แล้ว ควรเติมปุย๋ คอกหรือปุย๋ หมักให้บา้ ง ไม่ควรใส่สาร
เคมี เพราะถ้าใส่มากเกินไปจะท�ำให้ตน้ สะระแหน่เหีย่ วตาย การพรวนดินให้ตน้ สะระแหน่ควรท�ำด้วยความ
ระมัดระวัง เพราะสะระแหน่เป็นพืชที่มีระบบรากตื้นที่แผ่กระจายอยู่ตามพื้นดิน
78 ข่าวสารเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปีที่ 60 ฉบับที่ 2 เดือน ตุลาคม 2557 – มกราคม 2558
การให้น�้ำ ใช้ระบบสปริงเกอร์ในการให้น�้ำนานครั้งละ 15 นาที วันละ 2 ครั้งช่วงเช้าและเย็น การ
รดน�ำ้ ต้องดูความชืน้ ของดินประกอบด้วย เพราะสะระแหน่เป็นพืชทีช่ อบความชืน้ แต่ไม่ชอบแฉะ ถ้าอากาศ
ร้อนมากๆ ควรให้น�้ำทุกวันแต่ฤดูฝนแทบไม่ต้องให้น�้ำเลย
การใส่ปุ๋ย จะใส่ปุ๋ยเดือนละ 2 ครั้ง ปุ๋ยสูตร 25-7-7 เน้นธาตุไนโตรเจน อาจจะเป็นปุ๋ยสูตรอื่นก็ได้
แต่ไม่ควรใช้ปุ๋ยยูเรียเพราะจะท�ำให้ผักอ่อนแอและ เน่าง่าย หรือใช้หรือปุ๋ยคอกก็ได้
การดูแลรักษาโรคและแมลง สะระแหน่มักพบปัญหารากเน่าโคนเน่า ส่วนแมลงส�ำคัญเป็นพวก
หนอน เพลี้ยอ่อน แมลงหวี่ขาว จะใช้น�้ำชีวภาพที่ท�ำขึ้นเองในการไล่แมลง โดยสารชีวภาพเป็นการน�ำเอา
ใบยาสูบ ขมิ้น กระเทียม ฉีดบ่อยประมาณครั้งละ 3 วัน หรือครั้งละ 5 วัน และครั้งละ 7 วัน ขึ้นอยู่กับ
ปริมาณศัตรูพชื น�ำ้ ชีวภาพนีจ้ ะเน้นการไล่ศตั รูพชื ไม่ใช่การฆ่าศัตรูของสะระแหน่ ส่วนในกรณีทไี่ ม่สามารถ
ควบคุมศัตรูพืชได้ถึงจะใช้สารเคมีเข้าช่วย
การเก็บเกีย่ วผลผลิตส่งขาย ภายหลังการปลูก 45 วัน สามารถเก็บเกีย่ วผลลิตได้ โดยใช้กรรไกรตัด
หลังจากตัดเสร็จท�ำการใส่ปยุ๋ รดน�ำ้ หลังจากนัน้ อีกประมาณ 20 วัน สามารถตัดใหม่ได้อกี ช่วงทีส่ ะระแหน่
มีราคาดีสดุ คือเดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายน ราคาสูงสุดอยูท่ กี่ โิ ลกรัมละ 100 บาท และช่วงราคาต�ำ่ สุดเป็น
ช่วงหน้าหนาวกิโลกรัมละ 20 บาท
การลงทุนแรกเริ่ม สะระแหน่เป็นพืชที่ต้องการสารอาหารทีละน้อย ๆ แต่ต้องการบ่อย ๆ การ
ลงทุนครั้งแรกจะเน้นไปที่สแลนประมาณ 20,000 บาท ค่าพันธุ์สะระแหน่ซื้อเพียงครั้งเดียวแล้วสามารถ
ใช้เป็นพันธุ์ต่อไปได้ตลอด ส่วนที่ต้องลงทุนหมุนเวียนจะมีค่ายาประมาณเดือนละ 1,000 บาท และค่าปุ๋ย
อีกเดือนละ 1,000 บาทเช่นกัน
จากความนิยมสะระแหน่น�ำมาบริโภคสมุนไพรและทางอุตสาหกรรมนั้น การที่จะท�ำฟาร์มปลูก
สะระแหน่จึงเป็นเรื่องง่ายเพราะตลาดมีหลากหลาย และวิธีการปลูกค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับผักอื่น ๆ
สามารถสร้างรายได้และเป็นเกษตรในครัวเรือนได้อีกด้วย
ประโยชน์ของสะระแหน่
สะระแหน่กลิ่นหอมเพราะมีน�้ำมันหอมระเหยหรือ “เอสเซนชั่น ออย์” ผสมอยู่ ซึ่งประกอบด้วย
สารเมนทอล (Menthol) ไลโมนีน (Limonene) นีโอเมนทอล (Neomenthol) เป็นต้น อยูใ่ นใบและล�ำต้น
จากผลการวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดลว่า สะระแหน่ 100 กรัม ให้เบต้า แคโร
ทีน สูงถึง 538.35 ไมโครกรัม เทียบหน่วยเรตินัล ให้วิตามินซี 88 มิลลิกรัม และให้แคลเซียม 40 มิลลิกรัม
ให้พลังงาน 47 กิโลแคลอรี
คุณประโยชน์ในครัวเรือน
สะระแหน่ในอาหารไทยมักใช้เป็นใบสดและใส่ในอาหารเย็นที่ปรุงสุกมาแล้ว ใบสะระแหน่ใช้ใน
อาหารประเภทลาบและย�ำเท่านัน้ ไม่นำ� ใบสะระแหน่ไปผัดเหมือนใบกะเพราหรือใส่ในแกงทีป่ รุงมาร้อน ๆ
กลิ่นหอมเย็นของใบสะระแหน่ประสานคล้องจองกับรสแซบจากพริกและรสเปรี้ยวจากมะนาวกลายเป็น
นาฏกรรมอาหารไทยที่รสกลมกล่อมไม่เหมือนใคร ลาบทุกชนิดและย�ำส่วนใหญ่ขาดใบสะระแหน่ไม่ได้
เลย หากขาดใบสะระแหน่ลาบก็เหมือนขาดใจไปด้วย เพราะกลิ่นของสะระแหน่ที่มีรสฉุนเผ็ดกว่าผักปรุง
รสทั่วไป คนไทยจึงนิยมใช้สะระแหน่ในฐานะเครื่องปรุงกลิ่นอาหารมากกว่าจะใช้กินเป็นผักโดยตรงใช้ดับ
กลิ่นคาวเนื้อหรือปลา อาหารจ�ำพวกย�ำต่าง ๆ และจ�ำพวกลาบต่าง ๆ
สะระแหน่ยงั เป็นส่วนประกอบของการปรุงอาหารหลากหลายชนิดเนือ่ งจากมีกลิน่ หอมและช่วยใน
การเพิม่ รสชาติอาหารให้อร่อยขึน้ ได้ นอกจากนีย้ งั สามารถใช้ทำ� เป็นเครือ่ งดืม่ หรือเป็นส่วนผสมในไอศกรีม
ชาสมุนไพร สแปร์มิ้นต์ และยังสามารถใช้เป็นเครื่องเคียงในอาหารจ�ำพวกผักผลไม้ รวมไปถึงอาหารคาว
หวานอีกหลายชนิด
80 ข่าวสารเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปีที่ 60 ฉบับที่ 2 เดือน ตุลาคม 2557 – มกราคม 2558
คุณสมบัติในการใช้รักษาโรคของใบสะระแหน่
1. แก้อาการอาหารไม่ย่อย โดยใช้ใบสะระแหน่ต้มกับน�้ำดื่ม
2. แก้หวัด ขับเหงื่อลดความร้อนในร่างกาย
3. อาการปวดศีรษะในฤดูร้อนอากาศอบอ้าว ท�ำให้มีอากาศร้อนในเป็นแผลในปากหรือบางราย
มีเลือดก�ำเดาไหล ก็ใช้ใบสะระแหน่ต้มใส่เกลือเล็กน้อยดื่ม
4. เด็กเล็ก ๆ เป็นหวัด น�ำ้ มูกไหล จามไอบ่อย ๆ หรือจะเป็นไข้หวัด ก็ใช้ใบสะระแหน่ตม้ กับเต้าหูด้ มื่
5. อาการเจ็บตาในช่วงฤดูร้อนก็ใช้ใบสะระแหน่ 2 ต�ำลึงต้มกับหมู เป็นน�้ำซุปรับประทาน
6. ขับลม ฆ่าเชื้อโรค ระงับอาการเกร็งของกระเพาะอาหารและล�ำไส้
สะระแหน่เข้ามาอยู่เมืองไทยได้ร้อยกว่าปีแล้วจนปรับตัวเข้ากับสภาพดินฟ้าอากาศของเมืองไทย
ได้เป็นอย่างดี สะระแหน่เป็นผักทีม่ กี ลิน่ หอมซึง่ สามารถน�ำความหอมมาใช้ในการบ�ำบัดรักษาโรคได้ทเี่ รียก
ว่า อะโรมาเทอราบี (aromatherapy) นั่นเอง แพทย์แผนไทยได้น�ำเอาสะระแหน่มาปรุงเป็นยารักษาโรค
หลายขนานโดยระบุสรรพคุณเอาไว้ว่า กลิ่นฉุน หอมร้อน สรรพคุณแก้ปวดท้อง แก้จุกเสียด ขับผายลม
ขับเหงื่อขับลม ถอนพิษไข้ แก้แน่น แก้ไอ ขับเสมหะ แก้ปวดศีรษะ ดมแก้ลม ทาแก้ฟกบวม ฯลฯ กลิ่น
หอมเย็นของใบสะระแหน่ช่วยให้สดชื่นปลอดโปร่ง สมองแจ่มใส แก้ปวดหัวและเป็นหวัดเป็นไข้ได้โดยน�ำ
ใบสะระแหน่มาขยีแ้ ล้วทาขมับกลิน่ ของสะระแหน่ซงึ่ จะช่วยให้เรารูส้ กึ ผ่อนคลายหายเครียดได้ นอกจากนี้
สะระแหน่น�ำมารับประทานหรือน�ำมาชงน�้ำดื่มเพื่อช่วยย่อยอาหาร นอกจากนี้ยังใช้เป็นกระสายแทรกแก้
โรคเด็ก เช่น ซางซัก และช่วยให้ผายลมได้ดี ลดอาการท้องขึ้นท้องเฟ้อ
น�ำ้ คัน้ จากต้นและใบดืม่ แก้ปวดมวนในท้อง แก้ทอ้ งอืด ท้องเฟ้อ ขับลม หรือกินสดเพือ่ ดับกลิน่ ปาก
ขับเหงื่อ นอกจากนี้ยังช่วยฆ่าเชื้อ ระงับอาการเกร็งของกระเพาะอาหารและล�ำไส้ ในสะระแหน่ประกอบ
ด้วย วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม และ ธาตุเหล็ก
ใบและล�ำต้นของสะระแหน่สามารถน�ำมาบดแล้วทาบนผิวเพือ่ ช่วยให้ผวิ ชุม่ ชืน่ ขึน้ และยังสามารถ
ช่วยในการไล่ยงุ ได้ดว้ ย นอกจากนีส้ ามารถน�ำเอามาคัน้ น�ำ้ ผสมลงในเครือ่ งดืม่ ต่าง ๆ ช่วยในการดับกระหาย
คลายร้อนได้ สะระแหน่สามารถน�ำมาท�ำเป็นยาปฏิชีวนะเพื่อใช้เป็นตัวขับไล่อนุมูลอิสระออกจากร่างกาย
และยังใช้เป็นยาเย็น ยาคลายความเครียด ช่วยคลายความกดดันของกล้ามเนือ้ อันเนือ่ งมาจากความเหนือ่ ย
ล้าจากการท�ำงาน นอกจากนี้สะระแหน่ยังใช้ในการท�ำน�้ำมันหอมระเหย อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นยารักษา
โรคเกีย่ วกับต่อมไทรอยด์ได้อกี ด้วย ด้วยเหตุนจี้ งึ ท�ำให้สะระแหน่กลายเป็นส่วนส�ำคัญของอาหารเพือ่ สุขภาพ
เพราะมีความสามารถหลากหลายในด้านของสมุนไพร
82 ข่าวสารเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปีที่ 60 ฉบับที่ 2 เดือน ตุลาคม 2557 – มกราคม 2558