Professional Documents
Culture Documents
Word 27
Word 27
Word 27
บทนำ
1. ความเป็ นมาและความสำคัญ
นอกจากการแบ่งแยกสีผิวในด้านต่าง ๆ ซึ่งทำให้เกิดความไม่เท่า
เทียมกันแล้ว คนผิวดำในรัฐทางใต้ยังตกเป็ นเหยื่อของความรุนแรงจากคน
ผิวขาวอีกด้วย ความรุนแรงนี้ไม่ใช่แค่ความรุนแรงที่เกิดจากความไม่พอใจ
ของคนผิวขาวบางคน แต่เป็ นความรุนแรงที่ถูกสร้างและธำรงไว้อย่างเป็ น
ระบบเพื่อให้คนผิวดำตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคนผิวขาวแม้กลุ่มที่
สนับสนุนแนวคิดคนผิวขาวเป็ นใหญ่ (White Supremacy) มีอยู่หลายกลุ่ม
แต่ที่คนทั่วไปรู้จักมากที่สุดและมีสมาชิกมากที่สุดคงหนีไม่พ้นกลุ่มคูคลักซ์
แคลน (Ku Klux Klan) การเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้จะมีอยู่ 2 ช่วงหลัก คือ
ช่วงแรก หลังสงครามกลางเมืองระหว่างกลางทศวรรษที่ 1860 – 1870
และช่วงที่สอง คือ ช่วงกลางทศวรรษที่ 1910 – 1940 กลุ่มคูคลักซ์แคลนมี
จุดกำเนิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มอดีตทหารของฝ่ ายใต้ที่แพ้สงคราม เป้ า
หมายในช่วงแรกคือ การพยายามต่อต้านนโยบายฟื้ นฟูที่พยายามผลักดัน
โดยรัฐบาลกลาง แต่ในช่วงหลังเป้ าหมายของกลุ่มนี้ไม่ใช่แค่กดขี่คนผิวดำ แต่
รวมถึงการกอบกู้ศักดิ์ศรีของคนผิวขาวที่พวกเขาเชื่อว่าเป็ นชาวอเมริกันที่แท้
จริง (nativist)
เครื่องมือที่สำคัญที่กลุ่มคูคลักซ์แคลนใช้ในการเคลื่อนไหว คือ ความ
รุนแรง สมาชิกคูคลักซ์แคลนจะใช้กำลังในการข่มขู่ ทำร้าย หรือฆ่าคนผิวดำ
ที่เคลื่อนไหวปกป้ องสิทธิของตนเอง คนผิวขาวที่สนับสนุนการเคลื่อนไหว
ของคนผิวดำเองก็อาจจะตกเป็ นเหยื่อได้ สมาชิกของกลุ่มคูคลักซ์แคลนจะมี
อยู่ทั่วไป แต่มากสุดจะอยู่ในรัฐทางตอนใต้ของสหรัฐฯ สมาชิกกลุ่มมีตั้งแต่
อาชีพเกษตรกร แรงงาน ทนาย พ่อค้าแพทย์และผู้นำทางศาสนา แม้แต่
ตำรวจจำนวนมากก็เป็ นสมาชิกของกลุ่ม ซึ่งทำให้หลายคดีที่คนผิวดำเป็ น
เหยื่อของคนผิวขาวไม่ได้รับความสนใจจากตำรวจ ในบางกรณีแม้ตำรวจเอง
อาจจะไม่ได้เป็ นสมาชิกของกลุ่มคูคลักซ์แคลน แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยกล้า
เข้าไปยุ่งกับคดีแบบนี้ หรือในหลายคดีที่เหยื่อผิวดำแจ้งความกับคนผิวขาว
แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถดำเนินคดีได้ เพราะไม่มีคนกล้ามาเป็ นพยาน นั่น
ทำให้กลุ่มคูคลักซ์แคลนสามารถใช้ความรุนแรงกับคนผิวดำได้โดยไม่ต้อง
เกรงกลัวว่าจะถูกจับหรือลงโทษตามกฎหมาย
การรุมประชาทัณฑ์เป็ นเครื่องมือทางการเมืองที่ใช้กดขี่คนผิวดำอย่าง
เป็ นระบบ การรุมประชาทัณฑ์มักมีสาเหตุจากข้อกล่าวหาว่าคนผิวดำข่มขืน
หรือล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงผิวขาว ข้อกล่าวหานี้หลาย ๆ ครั้งเกิดขึ้นโดย
ไม่มีพยานหรือหลักฐาน หลังจากนั้นก็จะมีการพยายามแพร่กระจายข่าวไป
ด้วยข้อมูลที่บิดเบือนหรือไม่ครบถ้วนเพื่อทำให้เกิดความรู้สึกโกรธและ
ต้องการล้างแค้น บางครั้งสื่อท้องถิ่นก็มีบทบาทในการช่วยแพร่กระจาย
ข่าวสารที่บิดเบือนนี้ด้วย บางครั้งหากผู้ต้องสงสัยถูกตำรวจจับกุม ก็จะมีการ
รวมตัวเรียกร้องให้มีการรุมประชาทัณฑ์คนผิวดำที่กระทำผิด บางครั้งตำรวจ
ก็พยายามห้ามปรามผู้ชุมนุม แต่หลายครั้งตำรวจก็ปล่อยให้การรุม
ประชาทัณฑ์เกิดขึ้นโดยไม่ห้ามปรามแต่อย่างใด วิธีที่มักใช้บ่อยครั้งที่สุดใน
การรุมประชาทัณฑ์คือ การแขวนคอ โดยก่อนแขวนคอก็จะมีการรุมทุบตี
ทรมานเสียก่อน เมื่อแขวนคอเสร็จก็อาจจะมีการเผาตามด้วย การเผาเหยื่อมี
ทั้งแบบเผาทั้งเป็ นและแบบเผาหลังจากที่ชีวิตแล้ว หลังจากนั้นก็จะมีการ
ถ่ายรูปเป็ นที่ระลึกคู่กับศพที่เต็มไปด้วยบาดแผลหรือรอยไหม้เกรียม บาง
ครั้งมีการนำรูปเหล่านี้มาทำเป็ นโพสต์การ์ดและวางขายในร้านขายของที่
ระลึกด้วย ไม่เพียงแต่ภาพเท่านั้น บางครั้งมีการหั่นเอาชิ้นส่วนอวัยวะต่าง ๆ
ของเหยื่อผิวดำมาแจกจ่ายให้กับผู้เข้าร่วมเพื่อนำไปเป็ นของที่ระลึกอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าร่วมเป็ นส่วนหนึ่งของการใช้ความรุนแรงต่อคนผิวดำไม่
ได้มีแต่ผู้ชายผิวขาวเท่านั้น แต่ยังมีผู้หญิงและเด็กที่เข้าร่วมการร
ประชาทัณฑ์ด้วย ผู้ที่เข้าร่วมในการรุมประชาทัณฑ์จะมีการแต่งตัวดีและจะ
มีท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนได้ไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนฝูง
ขบวนการเคลื่อนไหวสิทธิพลเมือง (Civil Rights Movement)
อย่างไรก็ตาม มีคนผิวดำจำนวนไม่น้อยที่ไม่ยอมจำนนและพยายาม
ต่อสู้เรียกร้องสิทธิของตนเอง กลุ่มนักเคลื่อนไหวนี้มักจะใช้การต่อสู้ใน 2 รูป
แบบหลัก คือ การต่อสู้ผ่านช่องทางกฎหมาย (legal challenge) และการ
ต่อสู้ผ่านขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม (social movements) โดยใช้ 2
แนวทางเคลื่อนไหวนี้ไปพร้อม ๆ กัน พวกเขาเชื่อว่าการเคลื่อนไปพร้อม ๆ
กันนี้ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่า เพราะหากจะเน้นการ
เคลื่อนไหวทางสังคมอย่างเดียว แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย การ
เปลี่ยนแปลงนั้นย่อมไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวได้ แต่
หากจะเคลื่อนไหวทางกฎหมายอย่างเดียวโดยไม่กดดันสังคม การแก้ไข
กฎหมายก็อาจจะไม่เกิดขึ้น
เพื่อให้บรรลุถึงเป้ าหมายจึงได้มีการก่อตั้งกลุ่มและองค์กรในการ
เคลื่อนไหวหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีสมาชิก เป้ าหมาย และวิธีการเคลื่อนไหว
ที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวเช่น
สมาคมส่งเสริมความก้าวหน้าของคนผิวสีแห่งชาติ (National Association
for the Advancement of Colored People, NAACP) ที่ก่อตั้งมาตั้งปี
ค.ศ. 1909 เพื่อเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิคนผิวดำในด้านต่าง ๆ กลุ่มผู้นำชาว
คริสต์ทางตอนใต้ Southern Christian Leadership Conference, SCLC)
ที่เคลื่อนไหวเรื่องสิทธิการเลือกตั้งร่วมกับ ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง (Dr.
Martin Luther King) และกลุ่มแบล็คแพนเธอร์ (The Black Panthers) ที่
มีเป้ าหมายในการช่วยเหลือและปกป้ องคนผิวดำ แต่กลุ่มนี้มักจะถูกมองว่า
ใช้วิธีการที่รุนแรง
การเคลื่อนไหวเพื่อท้าทายนโยบายการแบ่งแยกในรัฐทางใต้เริ่มได้รับ
ความสนใจจากสังคมในช่วงทศวรรษที่ 1950 คนผิวดำเริ่มได้รับการยอมรับ
มากขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ 1939 – 1945) ในช่วงนี้รัฐบาลออก
กฎหมายรับรองความเท่าเทียมของค่าแรงคนผิวดำและยอมให้คนผิวดำเข้า
ร่วมกองทัพเพื่อสู้รบในสงครามโลก ในช่วงทศวรรษที่ 1950 การต่อสู้เรียก
ร้องความเท่าเทียมของคนผิวดำได้ถูกยกระดับขึ้น กรณีที่รู้จักกันดี คือ การ
ต่อต้านการแบ่งแยกที่นั่งบนรถประจำทาง
แม้ในทางกฎหมายศาลสูงสหรัฐฯ จะตัดสินมาแล้วว่าการแบ่งแยก
เท่ากับความไม่เท่าเทียม แต่ในความเป็ นจริงรัฐต่าง ๆ ทางใต้ก็ยังพยายาม
คงนโยบายแบ่งแยกสีผิวไว้ โดยรัฐต่าง ๆ ไม่ยอมแก้ไขระเบียบ กฎหมาย
หรือนโยบายให้สอดคล้องกับคำตัดสินของศาลสูง โรงเรียนคนผิวขาวในรัฐ
ทางใต้ก็ยังไม่เปิ ดให้คนผิวดำเข้ามาเรียน ในปี ค.ศ. 1965 มีความพยายามที่
เปิ ดโอกาสให้คนผิวดำสามารถเรียนโรงเรียนคนผิวขาวได้ โดยการส่งอาสา
สมัครผิวดำ 9 คนเข้าไปเรียนในโรงเรียน Central High ซึ่งเป็ นโรงเรียนคน
ผิวขาวในเมืองลิตเทิลร็อก รัฐอาร์คันซอ (Little Rock, Arkansas)
เหตุการณ์นี้คนทั่วไปรู้จักกันในนาม ‘Little Rock Nine’ ในการเข้าไปเรียน
ในวันแรก ผู้ว่าการรัฐในตอนนั้นได้สั่งให้กองกำลังรักษาดินแดนของรัฐ
(National Guard) มายืนขวางทางเข้าโรงเรียน เขายังขู่อีกว่าอาจมีการนอง
เลือดขึ้นถ้านักเรียนผิวดำได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนคนผิวขาว ในวันนั้นยังมี
คนผิวขาวจำนวนมากมายืนปิ ดล้อมและตะโกนด่าเพื่อจะไม่ให้นักเรียนผิวดำ
ทั้ง 9 คนสามารถเข้าไปเรียนได้ สุดท้ายรัฐบาลกลางโดยประธานาธิบดี ไอ
เซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower) ได้สั่งให้ทหาร 1,200 นายอารักขา
นักเรียนทั้ง 9 คนให้สามารถเข้าไปเรียนหนังสือได้ อย่างไรก็ตาม นักเรียนทั้ง
9 คนต้องพบกับการข่มขู่คุกคามตลอดเวลาที่อยู่ในโรงเรียนแห่งนี้
ในช่วงทศวรรษที่ 1960 คนผิวดำหลายกลุ่มเน้นการเคลื่อนไหวใน
ประเด็นเรื่องสิทธิในการเลือกตั้ง หนึ่งในผู้นำคนสำคัญในการเคลื่อนไหว
ประเด็นนี้คือ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King Jr.) ใน
สหรัฐฯ ก่อนจะลงคะแนนเลือกตั้งผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งทุกคนจำเป็ นต้องลง
ทะเบียนก่อน ในหลายรัฐทางใต้ยังมีกฎหมายที่กีดกันคนผิวดำไม่ให้ลง
ทะเบียนใช้สิทธิ์ได้ สิทธิ์การเลือกตั้งมีความหลายประการต่อคนผิวดำ การที่
คนผิวดำได้ใช้สิทธิแปลว่านักการเมืองและพรรคการเมืองจำเป็ นต้องมีนโย
บายที่เอาใจคนผิวดำหรือเพิ่มสิทธิ์อื่น ๆ ให้ นอกจากนี้ การที่คนผิวดำใช้
สิทธิ์เลือกตั้งก็ทำให้พวกเขามีคุณสมบัติในการถูกเลือกเป็ นคณะลูกขุนในการ
ตัดสินในศาลได้ ที่ผ่านมาในการพิจารณาคดีต่าง ๆ ส่วนใหญ่คณะลูกขุนเป็ น
คนผิวขาว ซึ่งส่งผลให้คนผิวดำมักจะแพ้ในคดีความระหว่างคนผิวขาวและ
คนผิวดำ การเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิการเลือกตั้งนี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ แต่ที่มี
การพูดถึงมากที่สุดคือ การเคลื่อนไหวในเมืองมอนโกโมรี่ รัฐอลาบาม่า ซึ่งมี
การเดินขบวนครั้งใหญ่ข้ามสะพาน Edmund Pettus Bridge และมีการใช้
กำลังกับผู้เดินขบวนในเหตุการณ์ ‘วันอาทิตย์เลือด’ (Bloody Sunday)
ในปี ค.ศ. 1965 ซึ่งกลายเป็ นข่าวดังไปทั่วประเทศ การเคลื่อนไหวในครั้งนี้
นำไปสู่การกล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีจอห์นสัน ในสภาคองเกรส
เพื่อกดดันให้สภาออกกฎหมายรับประกันสิทธิในการเลือกตั้งของคนผิวดำ
จากนั้นไม่นาน สภาคองเกรสก็ผ่านกฎหมาย Voting Rights Act (1965) ที่
มีคณะกรรมการในการเข้าไปตรวจสอบและลงโทษรัฐต่าง ๆ ที่กีดกันสิทธิ
การเลือกตั้งของคนผิวดำ
กฎหมายฉบับสุดท้ายที่ผ่านสภาคองเกรสในยุคเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิ
พลเมือง คือ กฎหมายที่ป้ องกันการกีดกันเรื่องที่อยู่อาศัย (Fair Housing
Act) ในปี ค.ศ.1968 กฎหมายฉบับนี้ได้ถูกต่อต้านอย่างมากในสภาคองเกรส
แต่ไม่กี่วันก่อนหน้านั้นแกนนำคนสำคัญของขบวนการเคลื่อนไหวคนผิวดำ
มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ถูกสังหารโดยมือปื นคนผิวขาว เหตุการณ์นี้นำไป
สู่การประท้วงและจลาจลทั่วสหรัฐฯ ประธานาธิบดีจอห์นสันได้ถือโอกาสนี้
กดดันให้คองเกรสผ่าน Fair Housing Act อย่างรวดเร็ว
แม้ในช่วงการเคลื่อนไหวสิทธิพลเมืองจะมีคำตัดสินของศาลสูงที่สำคัญใน
หลายเรื่องและมีการออกกฎหมายที่สำคัญต่อสิทธิคนผิวดำหลายฉบับ แต่ใช่
ว่าคนผิวดำในปั จจุบันจะได้รับการปฏิบัติอย่างเป็ นธรรมและเท่าเทียม คนผิว
ดำยังคงต้องต่อสู้กับความไม่ยุติธรรมที่แฝงอยู่ในโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
สังคม การเมือง และกฎหมาย ในทางเศรษฐกิจ ทุกวันนี้คนผิวดำยังประสบ
กับปั ญหาการจ้างงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งสูง ๆ ในองค์กร รายได้
เฉลี่ยของคนผิวดำยังน้อยกว่าคนผิวขาว แม้จะเป็ นงานตำแหน่งเดียวกัน คน
ผิวดำยังมีโอกาสทางการศึกษาน้อยกว่าคนผิวขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรา
ไปดูในมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ ในสหรัฐฯ ที่ยังมีสัดส่วนคนผิวดำอยู่น้อยมาก
ภาพตัวแทนคนผิวดำที่ปรากฏในสื่อยังคงเป็ นภาพในแนวลบ เช่น ภาพของ
อาชญากรและพวกชอบความรุนแรง ในทางการเมืองยังมีความพยายามจาก
นักการเมืองฝ่ ายขวาที่จะกีดกันคนผิวดำให้ได้ใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้งผ่านวิธี
การต่าง ๆ และในทางกฎหมาย อย่างที่เราเห็นในกรณี จอร์จ ฟลอยด์ คนผิว
ดำมักตกเห็นเหยื่อความรุนแรงโดยตำรวจ คนผิวดำไม่ได้รับการปฏิบัติอย่าง
เท่าเทียมในกระบวนการยุติธรรม คนผิวดำมักได้รับการลงโทษที่หนักกว่าคน
ผิวขาว เป็ นต้น
2. วัตถุประสงค์
2.1 เพื่อศึกษาสาเหตุการเหยียดสีผิว
3. ขอบเขตการศึกษา
ศึกษาสาเหตุการเหยียดสีผิวและศึกษาการแก้ปั ญหาของการเหยียด
สีผิวในสังคม
4. สมมุติฐาน
1. การเหยียดสีผิวทำให้คนที่ด่ารวยหรือไม่
2. การเลิกเหยียดสีผิวทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นหรือไม่
3. คนสีผิวผิดหรือไม่ที่เกิดมาแล้วมีสีผิวแตกต่างจากคนทั่วไป
5. นิยามศัพท์
6. ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1. ได้เข้าใจความรู้สึกของคนสีผิวและสาเหตุของการเหยียดสีผิว
2. ได้รู้แนวทางการแก้ไขปั ญหาการเหยียดสีผิว