Professional Documents
Culture Documents
เอกเทศสัญญา ๑
เอกเทศสัญญา ๑ เป็นวิชาที่ว่าด้วย สัญญา ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้ เช่าทรัพย์ เช่าซื้อ
เนื้อหาที่สําคัญ คือ สัญญาซื้อขาย เป็นหลักสําหรับการศึกษา เนื่องจาก สัญญาซื้อขายจะถูกนําไปใช้
ประกอบกับสัญญาอื่น เช่น สัญญาแลกเปลี่ยน วัตถุประสงค์ คือ ต่างฝ่ายต่างโอนกรรมสิทธิ์ใน
ทรัพย์ที่แลกเปลี่ยนกัน แต่ก็ยังให้นําบทบัญญัติของเรื่องซื้อขายมาใช้ ตาม ม.๕๑๙ และ ม.๕๒๐
สัญญาซื้อขาย สําคัญ คือ การโอนกรรมสิทธิ์ กับการชําระราคา ในขณะที่สัญญาให้โดยเสน่หานั้น
ต้องไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ แต่สําคัญอยู่ที่การส่งมอบ ถ้าไม่ส่งมอบ สัญญาให้ไม่บริบูรณ์ ต่างกับ
เรื่องสัญญาซื้อขาย แม้จะยังไม่ได้ส่งมอบ กรรมสิทธิ์ก็ได้โอนไปแล้ว เมื่อขายแล้วก็ไม่สามารถ
เรียกคืนฐานเนรคุณได้ นอกจากนี้ สัญญาเช่าทรัพย์ นั้น ยังได้ให้นําบทบัญญัติว่าด้วยความชํารุด
บกพร่อง และการรอนสิทธิ ในเรื่องซื้อขายมาใช้โดยอนุโลม เกี่ยวกับตัวทรัพย์สินที่ให้เช่ากันด้วย
เนื่องจากสัญญาเช่าทรัพย์สิน ไม่มีวัตถุประสงค์ในการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ผู้ให้เช่าจึงไม่
จําเป็นต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน แต่ขอให้เป็นผู้มีอํานาจในการให้เช่าเท่านั้นก็เพียงพอ
ในขณะที่สัญญาซื้อขาย ผู้ขายต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ จึงจะทําสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดได้
ถ้าเป็นผู้ไม่มีสิทธิขาย ก็จะต้องไปใช้หลักทั่วไป คือ ผู้รับโอนไม่มีสิทธิ์ดีไปกว่าผู้โอน ( nemo dat
quod non habet ) แต่สัญญาทั้งสองชนิดก็มีค่าตอบแทนเช่นกัน ค่าตอบแทนจากการซื้อขาย คือ เงิน
แลกกรรมสิทธิ์ แต่ ค่าตอบแทนในสัญญาเช่า คือ อะไรก็ได้ แลกกับการได้รับประโยชน์ใช้สอย
ทรัพย์สินที่เช่า ในเวลาอันจํากัดด้วย ข้อสังเกต สัญญาซื้อขายกับสัญญาเช่าซื้อ นั้น สัญญาเช่าซื้อ
ตาม ม.๕๗๒ เป็นสัญญาเช่า ผนวก กับคํามั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือ ว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตก
เป็นสิทธิแก่ผู้เช่า ในขณะที่สัญญาซื้อขาย กรรมสิทธิ์โอนไปทันทีที่สัญญาเกิด ( เว้นแต่จะมี
ข้อกําหนดเป็นอย่างอื่น ) ส่วนสัญญาเช่าซื้อ กรรมสิทธิ์จะโอนไปหรือไม่ สุดแต่ความประสงค์ของ
ผู้เช่าเป็นสําคัญ การชําระเงินค่าเช่าซื้อ ได้กําหนดลงแน่นอน ไปเป็นเท่านั้นคราว เท่านี้คราว คํามั่น
ว่าจะขายฯ นี้ ไม่อาจถอนได้ เป็นเงื่อนไขที่ผู้นําทรัพย์สินออกให้เช่าเมื่อผู้เช่าประสงค์จะได้
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น
ฉะนั้น จึงต้องทําความเข้าใจหลักของสัญญาซื้อขาย ซึ่งจะประกอบด้วย สัญญาซื้อขายเสร็จ
เด็ดขาด สัญญาจะซื้อจะขาย สัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนไข เงื่อนเวลา หรือ คํามั่นจะขาย และ สัญญา
อื่น ๆ ให้ถ่องแท้ แล้วจึง สามารถนําหลักดังกล่าวไปวินิจฉัยประเภทของสัญญา และสามารถนํา
หลักกฎหมายที่สําคัญปรับเข้ากับข้อเท็จจริงถูกต้อง
ข้อจดจํา สาระสําคัญของสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
๑) ทรัพย์สินที่ขายมีตัวตนอยู่แล้วแน่นอน ว่าเป็นทรัพย์สินใด ไม่ใช่ทรัพย์สินในอนาคต
โดยดูจากธรรมประเพณี ( เช่นซื้อขายลําใยขณะยังเป็นดอกอยู่ก็ได้ )
POL_US: http://jurisprudence.bloggang.com
สัญญาแลกเปลี่ยน-ให้ 2 Copyrights: POL_US
๒) ผู้ขายมีสิทธิ์จะโอนกรรมสิทธิ์ไปยังผู้ซื้อได้ทันที ที่มีการตกลงทําสัญญากันโดยถูกต้อง
ตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ส่วนที่ว่าจะต้องปฏิบัติตามแบบที่กฎหมายต้องการนั้น เป็นคนละ
เรื่องกับสิทธิที่จะขายหรือโอนกรรมสิทธิ์
๓) ผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายจนเป็นการแน่นอนแล้ว
๔) สัญญาซื้อขายนั้น ไม่มีเงื่อนไข เงื่อนเวลา เพื่อประวิงเวลาในการโอนกรรมสิทธิ์
๕) แม้ผู้ซื้อจะยังไม่ได้ชําระราคาทรัพย์สิน หรือชําระแต่ยังไม่ครบถ้วนและแม้ผู้ขายจะยัง
ไม่ได้ส่งมอบทรัพย์สินให้ผู้ซื้อ ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะในที่สุดก็ต้องมีการปฏิบัติการ
ชําระหนี้อยู่นั้นเอง
โดยสรุป สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด จึงเป็นสัญญาซื้อขายซึ่งคู่สัญญาได้แสดงเจตนากัน
เสร็จสิ้นในทุกเรื่องแล้ว และคู่สัญญาตกลงกันว่าไม่ต้องมีการทําอะไรเพิ่มเติมต่อไปอีก แม้แต่ใน
เรื่องการทําตามแบบของกฎหมาย เช่น ตาม ม.๔๕๖ ต้องทําหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน
เจ้าหน้าที่ แต่ คู่สัญญาก็ไม่สนใจที่จะไปดําเนินการกันอีกแต่อย่างใด ก็ถือเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จ
เด็ดขาด ( แต่ผลเป็นโมฆะ เพราะไม่ทําตามแบบ ) ซึ่งอาจจะยังเหลือที่ไม่ได้ทํา ก็คือการชําระหนี้
ตามสัญญาซื้อขายเท่านั้น ******** ต้องดูที่เจตนาของคู่ สัญญาเป็นสําคัญ
**********************
การชําระราคาเป็นคนละประเด็นกับการซื้อขายที่เสร็จเด็ดขาดหรือไม่ เพราะแม้จะยังไม่ได้
ชําระราคา ก็อาจจะเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดได้ เช่น รับสินค้าไปจําหน่ายโดยให้เครดิตชําระราคา
ภายหลังได้
การโอนกรรมสิทธิ์หรือไม่ ก็เป็นคนละประเด็นว่าจะเป็นสัญญา ซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
หรือไม่ เพราะการโอนกรรมสิทธิ์ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงอื่นด้วย เช่น ทรัพย์ตาม ม.๔๕๖ ต้องจด
ทะเบียนจึงโอนกรรมสิทธิ์ได้ ( นักกฎหมายมีความคิด ๒ ทาง คือ สัญญาซื้อขายต้องโอนกรรมสิทธิ์
เด็ดขาดบริบูรณ์ สัญญาจะซื้อจะขายกรรมสิทธิ์ยังไม่โอน อีกฝ่ายหนึ่งก็เห็นตรงกันข้าม ) หรือ
กําหนดให้กรรมสิทธิ์โอนเมื่อชําระราคากันเรียบร้อยแล้ว ( ก็เป็นสัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนไข ซึ่งก็
เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดประเภทหนึ่งนั่นเอง )
สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด *** มีได้กับทรัพย์สินทุกประเภท ทั้งอสังหาฯ สังหาริมทรัพย์
ทั่วไป แต่สัญญาจะซื้อจะขาย มีได้เฉพาะ อสังหาริมทรัพย์ และ สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ตาม
ม.๔๕๖ ว.๒ เท่านั้น
คามั่นว่าจะซื้อ หรือจะขาย
คํามั่นจะซื้อหรือจะขายฯ มีหลายความเห็น คือ
๑) เป็นนิติกรรม ๒ ฝ่ายผูกพันอย่างสัญญา
๒) เป็นนิติกรรม ๒ ฝ่ายผูกพันผู้ให้คํามั่นฝ่ายเดียว
POL_US: http://jurisprudence.bloggang.com
สัญญาแลกเปลี่ยน-ให้ 3 Copyrights: POL_US
สัญญาให้
ลักษณะ ตาม ม.๕๒๑
สัญญาให้ คือ สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ โอนทรัพย์สินของตนให้โดยเสน่หาแก่
บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า “ ผู้รับ” และ ผู้รับ ยอมรับเอาทรัพย์สินนั้น “
หลักคือ
๑) สัญญาให้ ไม่ใช่ สัญญาต่างตอบแทน และผู้รับไม่มีหน้าที่ต้องทําอะไรตอบแทนแก่
ผู้ให้แต่อย่างใด ( ถ้าต้องทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งตอบแทน ก็ไม่ใช่สัญญาให้ )
๒) ผู้ให้ผู้ต้องมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่จะให้ ( มิฉะนั้น ผู้รับก็ไม่มีสิทธิ์ดีกว่าไปกว่าผู้ให้
และ ไม่มีทางจะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นแต่อย่างใด )
๓) การให้กระทําโดยหลายวิธี
- การส่งมอบ ตาม ม.๑๓๗๘-๑๓๘๐
- การปลดหนี้ ให้ผู้รับ
- ชําระหนี้ซึ่งผู้รับค้างชําระอยู่
เพียงแต่ว่า ให้ทรัพย์สินไปอยู่เงื้อมมือของผู้รับ ตาม ม.๔๖๑ และ ม.๔๖๒
๔) ผู้รับ จะต้องยอมรับเอาทรัพย์สินนั้นด้วย จึงเกิดสัญญาให้
๕) ความสมบูรณ์ของสัญญาให้ ตาม ม.๕๒๓ นี้ ผู้ให้ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ให้แก่ผู้รับ
ถ้าไม่ส่งมอบ ก็ไม่สมบูรณ์ และมีผลเป็นโมฆะ ฟ้องร้องบังคับให้ส่งมอบไม่ได้ ( ความเห็นของ
ดร.จําปี )
POL_US: http://jurisprudence.bloggang.com
สัญญาแลกเปลี่ยน-ให้ 5 Copyrights: POL_US
POL_US: http://jurisprudence.bloggang.com
สัญญาแลกเปลี่ยน-ให้ 6 Copyrights: POL_US
ข้อนี้หมายความว่าคํามั่นจะให้ทรัพย์สินนั้น จะบังคับได้ก็ต่อเมื่อได้ทําเป็นหนังสือและจด
ทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ถ้าไม่ได้จดทะเบียนฯ ก็เรียกร้องไม่ได้ ( ฎีกา ๙๙๙/๒๕๐๘)
สัญญาว่าจะให้
สัญญาว่าจะให้ ย่อมมีได้เช่นเดียวกับคํามั่นว่าจะให้ แต่ต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียน
ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว มิฉะนั้นแล้ว ถ้ามีการผิดสัญญา ผู้รับจะเรียกร้องให้ส่งมอบตัวทรัพย์สิน
หรือเรียกราคาแทนทรัพย์สินนั้น ไม่ได้ ( วิษณุ เครืองาม : ๓๑๖ )
การถอนคืนการให้
การถอนคืนการให้ แบ่งเป็น ๒ กรณี คือ
ก. ) ผู้ให้ถอนคืนการให้ด้วยตนเอง ( ผู้ให้ยังมีชีวิตอยู่ )
ผู้ให้ สามารถถอนคืนการให้ได้ จะมีกรณีที่ผู้รับประพฤติเนรคุณ แต่ต้องเข้าหลักเกณฑ์
ตาม ม.๕๓๑ เท่านั้น คือ
๑.๑ ) ผู้รับประทุษร้ายผู้ให้ ,( กระทําผิดอาญาร้ายแรง ) หรือ
๑.๒) ผู้รับทําให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง หรือ
๑.๓) ผู้รับได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจําเป็นเลี้ยงชีพแก่ผู้ให้ ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้ และ
ผู้รับยังให้ได้
หลัก ตาม ม.๕๓๑ คือ
๑) กรณีตาม ม.๕๓๑ นั้น จะเป็นกรณีที่ผู้ให้ยังมีชีวิตอยู่ และสามารถถอนคืนการให้ด้วย
ตนเองได้
๒) ผู้ประพฤติเนรคุณต้องเป็นผู้รับเท่านั้น ถ้าเป็นคนอื่น เช่นญาติของผู้รับ ภรรยาของผู้รับ
หรือบุคคลภายนอกอื่น กระทําต่อผู้ให้ ก็ไม่สามารถถอนคืนการให้ได้
๓) การที่ผู้รับไม่อยู่บ้าน ไม่ได้เลี้ยงดู ยังไม่ถือว่าเป็นการประพฤติเนรคุณ
๔) การพูดจาดูหมิ่น พูดมาตว่าจะทําร้าย หรือ ขับไล่ไสส่ง ไม่ต้องการเลี้ยงดู ต่อบุพการี ถือ
ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณแล้ว ตาม ม.๕๓๑ ( ๒) ไม่ต้องถึงขนาดหมิ่นประมาทก็ผิดแล้ว
๕) การถอนคืนการให้ กรณีที่ผู้รับบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจําเป็นแก่การเลี้ยงชีพแก่ผู้ให้
นั้น ต้องเป็นกรณีที่ผู้ให้ตกเป็นผู้ยากไร้ และ ผู้รับอยู่ในฐานะที่จะให้ได้ แต่ไม่ยอมให้ ดังนี้จึงเข้า
หลักเกณฑ์ดังกล่าว แต่ถ้าผู้รับเอง ก็ยากจนไม่สามารถให้ได้เช่นกัน ดังนี้ก็ถอนคืนไม่ได้
๖) การกระทําผิดอาญาร้ายแรง ต้องดูที่ข้อเท็จจริงประกอบ เพราะ การชกต่อยธรรมดา ไม่
ถึงบาดเจ็บ แต่ถ้าผู้รับเป็นบุตร และผู้ให้เป็นบิดามารดา ดังนี้ ก็ถือว่ากระทําอาญาร้ายแรงเช่นกัน
แต่ถ้าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ และผู้ให้ไม่ถึงแก่ความตาย ก็ไม่เป็นเหตุเนรคุณ และการ
กระทําผิดอาญานั้น ไม่ต้องถึงขนาดที่ศาลจะต้องพิพากษาลงโทษจําคุก ก็สามารถถอนคืนการให้ได้
๗) การถอนคืนการให้ ต้องไม่เป็นกรณีการให้ทรัพย์สิน ตาม ม.๕๓๕
POL_US: http://jurisprudence.bloggang.com
สัญญาแลกเปลี่ยน-ให้ 7 Copyrights: POL_US
กรณีที่ไม่อาจถอนคืนการให้ได้
มี ๓ กรณีที่ไม่อาจถอนคืนการให้ได้ คือ
๑) กรณี ตาม ม.๕๓๓
๒) กรณี ตาม ม.๕๓๕
๓) ผู้ให้ตายไปก่อน โดยไม่เข้าเหตุ ตาม ม.๕๓๑ หรือ ม. ๕๓๒
๑) ถอนคืนการให้ไม่ได้ ตาม ม.๕๓๓
ม.๕๓๓ “ .. ผู้ให้ได้ให้อภัยผู้รับแล้ว หลังจากผู้รับได้ประพฤติเนรคุณแล้ว หรือเวลาได้ล่วง
ไปแล้ว ๖ เดือน นับแต่เหตุเช่นว่านั้นได้ทราบถึงบุคคล ผู้ชอบจะเรียกถอนคืนการให้ได้นั้นก็ดี ท่าน
ว่าหาอาจจะถอนคืนการให้ได้ไม่ “
๒) การถอนคืนการให้ไม่ได้ ตาม ม.๕๓๕
ม.๕๓๕ การให้อันจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านว่าจะถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ได้ คือ
๑) การให้บําเหน็จสินจ้างโดยแท้ เช่น ค่าจ้างแรงงาน
๒) ให้สิ่งของที่มีค่าภารติดพัน ตาม ม.๕๒๘
๓) ให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา เช่น ชําระหนี้ที่ขาอายุความไปแล้ว หรือ ในกรณี มารดายก
ที่ดินให้ ก. และสั่ง ก.ว่าให้แบ่งส่วนหนึ่งให้ ข.ด้วย ดังนี้ แม้ว่า ข.จะประพฤติเนรคุณ ก็ถอนคืนการ
ให้ไม่ได้ เพราะเป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา ( ฎีกา ๑๐๔/๒๕๐๒ )
๔) ให้ในการสมรส ( สมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย ) เช่น ของรับไหว้ ในวันสมร ถ้าให้
แล้ว ก็จะเรียกคืนไม่ได้
๓) ถอนคืนไม่ได้ เมื่อผู้ให้ตายไปก่อนแล้ว โดยไม่ได้ฟ้องคดี และไม่เข้าเหตุตาม ม.๕๓๒ แม้ว่าจะมี
เหตุการประพฤติเนรคุณภายหลัง ทายาทก็ถอนคืนการให้ไม่ได้
POL_US: http://jurisprudence.bloggang.com
สัญญาแลกเปลี่ยน-ให้ 8 Copyrights: POL_US
ผลของการถอนคืนการให้
ผลการถอนคืนการให้ เมื่อถอนคืนการให้ ผู้รับต้องส่งทรัพย์สินที่ให้นั้น ( ทรัพย์สินเดิม)
คืน แก่ผู้ให้ ตามบทบัญญัติเรื่องลาภมิควรได้ ตาม หลัก ใน มาตรา ๕๓๔ (เหลือเท่าใดก็คืนให้
เท่านั้น )
การให้ที่จะมีผลเมื่อผู้ให้ตาย ต้องไปตาม ม.๕๓๖ คือ ให้บังคับด้วยเรื่องมรดก และ
พินัยกรรม
ปัญหาจะมีอยู่เสมอว่า ****การกระทําของบุคคลภายนอก ที่เกี่ยวข้องกับผู้รับ เป็นการ
ประพฤติเนรคุณต่อผู้ให้หรือไม่ จะถอนคืนการให้ได้หรือไม่อย่างไร และผู้รับก็มักยก มาตรา ๕๓๓
หรือ ม.๕๓๕ เพื่อจะไม่ต้องถอนคืนการให้ *************
POL_US: http://jurisprudence.bloggang.com