You are on page 1of 24

ศิลปะแห่งสนทนา

วิศิษฐ์ วังวิญญู
สถาบันขวัญเมือง เชียงราย

การสนทนาทีไ่ ม่ก่อให้เกิดการเรียนร้้

ทีน
่ ำาการสนทนามาเทียบเคียงกับการเรียนรูู ก็เพราะมองว่าการ
เรียนรููเป็ นคุณลักษณะหลักทีส
่ ำาคัญยิง่ เพือ
่ ชีวิตคือองค์กรทีจ
่ ัด
องค์กรตัวเองอย่างเป็ นเครือข่ายเพือ
่ การเรียนรูู
ถูาเราเป็ นคนละเอียดอ่อน และเมือ
่ มีโอกาสอยู่ในวงสนทนา
ลองถอยตัวเองออกจากฐานะของผููเขูาร่วม มาเป็ นผููสังเกตการณ์
เมือ
่ สังเกตดูการสนทนาทีเ่ กิดขึน
้ ทัว
่ ๆ ไป ของคนทัว
่ ไปในสังคม
ปั จจุบันนี ้ และลองประมวลขูอสรุปออกมาสิว่า มันจะบอกอะไรกับ
เราบูาง?
หนึง่ ในวงสนทนานัน
้ จริงๆ แลูวไม่ค่อยมีใครฟั งใคร ยิง่ ถูา
กินเหลูาคุยกันดูวยแลูว จะเกิดอาการต่างคนต่างพูดเลยดูวยซำา

และในกรณีทีย
่ ังฟั งกันบูาง การฟั งก็เพือ
่ จะเก็บวลีหรือถูอยคำาทีเ่ ขูา
ทาง หรือทีส
่ อดคลูองกับความคิดและมุมมองของตน และก็จะสอด
แทรกเขูามาพล่ามเรือ
่ งทีต
่ นเองอยากจะพูดเลยทีเดียว อันนีก
้ ็เป็ น
เหตุผลนะครับว่า ทำาไมงานสังคมจึงเป็ นงานทีน
่ ่าเบือ
่ หน่าย ไม่มี
ใครเรียนรููอะไรจากใคร ไม่มีความอิม
่ เอมใจอันเกิดจากการสนทนา
ทีแ
่ ทูจริง อย่างดีทีส
่ ุดก็ทำาไดูแค่อวดมัง่ มีและอวดเก่งเท่านัน
้ และ
ไม่มีอะไรมากกว่านี ้
โบห์มเองก็พูดเรือ
่ ง dialogue ระดับโลกทีอ
่ งค์กรระดับโลก
เช่นสหประชาชาติชอบใชู โบห์มตัง้ ขูอสังเกตว่า สิง่ ทีเ่ กิดขึน
้ ไม่ใช่
dialogue ในความหมายของโบห์ม หากเป็ นการเจรจาต่อรองผล
ประโยชน์เล็กๆ นูอยๆ ในรายละเอียดเล็กๆ นูอยๆ โดยทีห
่ ลัก
การ มุมมอง โลกทัศน์ของทัง้ สองฝ่ ายไม่ไดูมีการปรับเปลีย
่ นเรียนรูู
เลย ปั ญหาจึงมิอาจแกูไขไดู เพราะตัวปั ญหาหลักคือมุมมองและ
โลกทัศน์ทีแ
่ ข็งตัวยังดำารงอยู่อย่างถาวรโดยไม่แปรเปลีย
่ น
เพราะฉะนัน
้ การสนทนาเพือ
่ ขายความคิดเพือ
่ ใหูคนอืน
่ มา
คลูอยตามความคิดของตน จึงไม่ใช่การสนทนาแบบโบห์ม การ
สนทนาแบบโบห์มผููเขูาร่วมตูองเปิ ดใจ พรูอมเปลีย
่ นมุมมองและ
สมมติฐานอย่างกลูาหาญและหฤหรรษ์

การฟั งอย่างมีคุณภาพ

การปล่อยใหูเสียงและความเป็ นตัวตนทัง้ หมดของผููอืน


่ เขูามาในตน
นัน
้ ก็คือช่วงหลับและตืน
่ ขึน
้ เพือ
่ จะรวบรวมประมวล สรูางความ
หมายใหูกับสิง่ ทีฟ
่ ั งเป็ นช่วงตืน
่ ในการฟั งจะมีช่วงหลับ-ตืน
่ นีส
้ ลับ
กันไปอย่างมีศิลปะ
แต่ในการฟั งบ่อยครัง้ เราจะหลุดลอยไปในโลกของเราเอง ไม่
ว่าจะเป็ นโลกแห่งอารมณ์หรือความคิดก็ตาม บางทีเครือ
่ งแต่งกาย
ของคู่สนทนาสักชิน
้ อาจจะทำาใหูเราระลึกถึงความทรงจำาบางอย่าง
และเราก็ลอยละล่องไปในความทรงจำานัน
้ บางทีถูอยคำาบางคน
ทำาใหูเราเพลิดไปกับความคิดของเราเองอย่างเป็ นคูุงเป็ นแคว
เราจะหลุดออกมาจากโลกของเราเองไดูอย่างไร เพือ
่ ยินยอม
และซึมซับโลกของผููอืน
่ เขูามา ทัง้ เนือ
้ หาและรูปลักษณ์ ความคิด
อารมณ์ความรููสึก และความสัน
่ ไหวภายในทัง้ มวลของผููพูด
ดูวยเหตุนี ้ การฟั งจึงเป็ นทัง้ ศิลปะทีเ่ ป็ นพืน
้ ฐานและเป็ นศิลปะ
ชัน
้ สูง ทีเ่ ราอาจจะตูองฝึ กฝนไปตลอดชีวิต เมือ
่ เทียบเคียงกับการ
ปฏิบัติในพุทธศาสนาแลูว เราจะตูองฝึ กสมาธิเพือ
่ ผ่อนคลายความ
วูาวุ่นของอารมณ์ต่างๆ ในใจเราใหูสงบลง และถูาฝึ กไดูดีจะถึงจุด
ที ่ “ว่าง” จากอารมณ์รบกวนทัง้ หลาย และอีกดูานหนึง่ ตูองฝึ ก
ปั ญญาคือวิปัสสนาทีเ่ ราจะว่างจากความคิดของเราเอง เพือ
่ รับ
ความคิดของผููอืน
่ เขูามา
ความคิดนัน
้ ไม่ใช่ขูอมูลทีข
่ าดเป็ นหูวงๆ อย่างทีเ่ ป็ นอิฐ
ก่อสรูางหรือเป็ นตัวต่อทีใ่ ชูสำาหรับสรูางอะไรต่างๆ ของเด็ก ทีจ
่ ะ
เอาไปต่อตรงไหนก็ไดู แต่ความคิดเป็ นโครงข่ายทีม
่ ีแม่บทหรือ
กระบวนทัศน์กำากับอยู่ ในกระบวนทัศน์หนึง่ ๆ ก็จะมีสมมติฐานเป็ น
ตัวรองรับอยู่ ก็ในเมือ
่ เรายังไม่ไดูรูแจูงแทงตลอดในสัจธรรมนัน
้ (
ถูาการรููแจูงนีม
้ ีจริง) ความคิด ความรูู ความเขูาใจของเราทัง้ หมด
ก็ยังตัง้ อยู่บนสมมติฐานต่างๆ หรือชุดของสมมติฐาน แต่โดย
อัตโนมัติเรามักจะไปยึดถือเอาว่าสมมติฐานของเราเป็ นสัจจะความ
จริง ถือเอาว่า ชุดของสมมติฐานของเราเป็ นสามัญสำานึก ทีท
่ ุกคน
จะตูองรููและมันเป็ นทัง้ ฐานของสัจธรรมทัง้ มวล นีแ
่ หละคืออุปสรรค
ตัวสำาคัญของการฟั ง มันทำาใหูเรามืดบอดต่อทุกสิง่ ทุกอย่างทีอ
่ ยู่
นอกเหนือชุดแห่งสมมติฐานของเรา

ฟั งอย่างเป็ นกระจกเงา
แก้ปัญหาเมือ
่ สัมพันธ์กับคนทีม
่ ีอารมณ์ลบ

เป็ นความอิม
่ เอมใจอย่างหนึง่ เมือ
่ ไดูรับทราบว่าขบวนการฝึ กอบรม
ก่อใหูเกิดผล ก็เนือ
่ งดูวยในโครงการหัวใจใหม่ชีวิตใหม่ ซึง่ รักษา
โรคหัวใจอย่างเป็ นองค์รวมนัน
้ เราไดูใหูความสำาคัญกับการดูแล
จัดการความเครียดมาเป็ นอันดับหนึง่ การนำาเอาการฝึ กสติในชีวิต
ประจำาวันเขูามาเพิม
่ คุณภาพใหูผูเขูาร่วมไดูบ่มเพาะอารมณ์บวก
ดุจดังคนสวนทีร
่ ดนำา
้ พรวนดินอารมณ์บวกทัง้ หลาย เช่นความรัก
ความแจ่มใส ความมีพลังชีวิตเป็ นตูน และใหูพยายามหลีกเลีย
่ ง
อารมณ์ลบเช่นความโกรธ ความหงุดหงิด และอืน
่ ๆ
การอบรมเช่นนีค
้ นไขูโรคหัวใจซึง่ เป็ นคนแบบเอ (โกรธง่าย กูาวรูาว
จะเอาอะไรตูองเอาใหูไดู มองเห็นคนอืน
่ เป็ นตูนเหตุของปั ญหา โดย
มักจะไม่มองเห็นขูอจำากัดของตนเอง) หลายต่อหลายคนไดูปรับ
เปลีย
่ นพฤติกรรมแบบ ๑๘๐ องศา คือกลับลำาบุคลิกภาพเลยที
เดียว พวกเขากลับไปขออภัยเพือ
่ นและญาติมิตรทีพ
่ วกเขาระเบิด
อารมณ์ใส่โดยปราศจากเหตุผลทีด
่ ีพอ และพวกเขาก็สามารถหยุด
ปฏิกิริยาแบบฉับพลันทีม
่ ีต่อคนอืน
่ ๆ ในสถานการณ์ต่างๆ โดยอาจ
จะใชูวิธีเก็บความรููสึกเอาไวู หรือเดินเลีย
่ งออกมาจากสถานการณ์
อันล่อแหลม พวกเขาก็สามารถลดการแสดงอารมณ์โกรธหรือ
หงุดหงิดในทันทีทันใดไดูมาก บางคนสามารถไปไกลกว่านัน
้ โดย
สามารถหยุดโกรธก่อนโกรธและเอาความเขูาใจ เห็นอกเห็นใจเขูา
มาแทนที ่ หลายคนเริม
่ มองความคับแคบและขูอผิดพลาดของ
ตนเอง ท่านหนึง่ ทีท
่ ะเลาะกับภรรยาจนเกือบจะเลิกกันแลูว กลับมา
เห็นความงามของภรรยา และเนือ
่ งจากสุขภาพก็ฟื้นฟูดีขึน
้ ความ
สัมพันธ์แบบรักใคร่ก็กลับคืนมาดังเดิม สรุปแลูวคนไขูหลายต่อ
หลายคน หลายต่อหลายรุ่นฟื้ นคืนสุขภาพ ความเป็ นปกติ ความ
แจ่มใสปลอดโปร่ง ทัง้ กายและใจกลับคืนมา
เมือ
่ เดือนเมษายน ๒๕๔๕ ผมไดูรับเชิญฝึ กอบรมเรือ
่ ง ศิลปะ
การจัดการเรียนการสอนใหูอาจารย์ทีม
่ หาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ในการนำาเสนอเรือ
่ งการใชูปัญญาอารมณ์ในศิลปะการสอนนัน

อาจารย์ท่านหนึง่ ยกประเด็นขึน
้ มาว่า เราอาจจะจัดการกับอารมณ์
โกรธ อารมณ์หงุดหงิดของตนเองไดู แต่ถูาเราไปพบความโกรธ
ความหงุดหงิดของคนอืน
่ ขึน
้ มาล่ะ เราจะทำาอย่างไร โดยเฉพาะใน
กรณีทีเ่ ราไม่สามารถเดินหนีออกไปไดู แต่จะตูองเผชิญหนูากันเพือ

จัดการงานใหูบรรลุวัตถุประสงค์ทีว
่ างไวู
ทีมฝึ กอบรมทีม
่ าจากสถาบันขวัญเมืองและเสมสิกขาลัย ไดู
เสนอแนวทางแห่งการฟั งอย่างเป็ นกระจกเงาเพือ
่ เป็ นการตอบ
สนองต่อสถานการณ์นัน
้ แทนทีจ
่ ะมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่าง
กูาวรูาว การฟั งอย่างเป็ นกระจกเงาก็คือการฟั งแต่ละช่วงของการ
พูดอย่างระเบิดอารมณ์ (หรือไม่ระเบิดอารมณ์) ของอีกฝ่ ายหนึง่
แลูวพูดกลับไปว่า เราไดูยินเขาพูดอย่างไร ในความเขูาใจของเรา
โดยใหูอีกฝ่ ายหนึง่ สามารถแกูไขไดูว่าเราสรุปความไดูถูกตูองหรือ
เปล่า เช่น
อีกฝ่ ายหนึง่ “คุณยูายโต๊ะนีไ้ ดูอย่างไรโดยไม่บอกกล่าวล่วงหนูา”
เรา “ผมไดูยินว่า ผมยูายโต๊ะไดูอย่างไร โดยไม่บอกคุณล่วงหนูา”
ฯลฯ ไปตลอดการสนทนา
วิธีนีไ้ ดูผลเกือบจะทุกกรณี ทัง้ นีเ้ พราะประการแรก อีกฝ่ าย
หนึง่ รููสึกว่าคุณไดูฟังเขาหรือเธอเป็ นอย่างดี โดยรับรููทุกถูอยกระทง
ความก็เมือ
่ ถึงเวลาทีค
่ ุณจะพูด เขาหรือเธอก็มีแนวโนูมทีจ
่ ะรับฟั ง
คุณเป็ นอย่างดีเช่นกัน
ประการทีส
่ อง ผููพูดมีโอกาสไดูรับฟั งสิง่ ทีต
่ นพูดโดย
ขบวนการฟั งอย่างกระจกเงานัน
้ ทำาใหูเขาหรือเธอมีโอกาสตัง้ สติ
และรับรููว่าตนเองกำาลังพูดอะไร ขบวนการเช่นนีจ
้ ะมีผลต่อการลด
ความรุนแรงของอารมณ์ของอีกฝ่ ายไดูมาก
ประการทีส
่ าม ฝ่ ายผููฟังก็จะไดูฟังจริงๆ ไม่ใช่ฟังอย่างด่วน
สรุป ฟั งอย่างรวบรัด และฟั งอย่างสรุปใจความเอาเองอย่างทีผ
่ ูฟัง
ตูองการจะสรุปแบบลากความเขูาขูางตัวเอง ทีย
่ ิง่ จะทำาใหูปัญหา
การสือ
่ สารยิง่ ยำ่าแย่ลงไปอีก
ประการทีส
่ ี ่ การฟั งอย่างนีท
้ ีช
่ ่วยใหูทัง้ สองฝ่ ายเริม
่ ตัง้ สติไดู
นัน
้ คุณภาพการฟั งก็จะยิง่ ลุ่มลึกยิง่ ขึน
้ ละเอียดอ่อนยิง่ ขึน
้ ทำาใหู
มองกูาวไปถึงบริบทหรือสภาพแวดลูอม ความเป็ นไปของอีกฝ่ าย
หนึง่ ขูอจำากัด หรือสถานการณ์อันบีบคัน
้ ของอีกฝ่ ายหนึง่ ก็จะ
ปรากฎขึน
้ ในการรับรูู นอกจากนีห
้ ากฝึ กฝนตนเองอย่างแยบคาย
ขึน
้ เสมอๆ ก็จะปรับคลืน
่ อันละเอียดอ่อนกว่าคำาพูดและภาษาท่า
ทางนัน
้ ๆ อันนีจ
้ ึงนับเป็ นสุดยอดของการฟั งคืออาจจะทำาใหูล่วงรููถึง
ความปรารถนาและความคับขูองใจของอีกฝ่ ายหนึง่
ในโลกทีเ่ ราใหูคุณค่ากับหนูาตาและภาพลักษณ์ภายนอก
มากกว่าคุณค่าดูานในนัน
้ เรามักจะหยิบฉวยเอาแต่ผิวๆ ของความ
เป็ นจริง เรามักจะหยิบฉวยเอาแต่ความหมายของถูอยคำาอย่าง
แบนๆ โดยรวบเขูาไปในความจำาไดูหมายรููในอดีตของเรา อันเป็ น
ความทรงจำาทีต
่ ายซากขาดชีวิตชีวา เป็ นอาการลงร่อง เป็ น
เครือ
่ งจักรอันปราศจากวิญญาณและเราก็ไม่ไดูเรียนรููอะไรใหม่ๆ
ความหมายใหม่ๆ แง่มุมใหม่ของถูอยคำา ยังไม่รวมถึงการประกอบ
ถูอยคำาอย่างมีความเป็ นวรรณศิลป์ อันอาจก่อเกิดจินตนาการที ่
ทะลุทะลวงกำาแพงทีข
่ วางกัน
้ ความเขูาใจทัง้ หลาย โดยยังไม่ไดูพูด
ถึงคลืน
่ หัวใจทีอ
่ าจเชือ
่ มโยงกันไดูอย่างง่ายๆ ในชัว
่ ขณะทีใ่ จเปิ ดใหู
กันและกัน ตรงนัน
้ เองทีเ่ ราจะทราบถึงความปรารถนาและความคับ
ขูองใจทีเ่ ป็ นกุญแจไปสู่ความเขูาใจส่วนในสุด
การฟั งอย่างเป็ นกระจกเงานี ้ ไม่ไดูมีไวูใชูเฉพาะกรณีคนห่าง
ตัวเท่านัน
้ แมูแต่ในความสัมพันธ์ของคู่รักและเพือ
่ สนิททีม
่ ีปัญหา
ความขัดแยูงหรือความรูาวฉานตลอดจนแมูกรณีทีจ
่ ะพัฒนาความ
สัมพันธ์ทีเ่ ริม
่ จะห่างเหินดูวยเรือ
่ งจุกจิกเล็กๆ นูอยๆ ใหูกระชับมัน

ยิง่ ขึน
้ การฟั งอย่างเป็ นกระจกเงานีก
้ ็จะช่วยไดูมาก
การบริโภคนิยมกับการสนทนา

การไถ่ถอนจากอำานาจของบริโภคนิยมมิใช่ทำากันไดูง่ายๆ แมูว่าเรา
จะเขูาใจโดยพุทธิปัญญา ถึงคุณและโทษของการดำารงชีวิตอยู่ในวิถี
แห่งการบริโภค แต่เราก็ไม่สามารถละเลิกการบริโภคต่างๆ นัน

และไม่สามารถสรูางสรรค์ชีวิตอันปลอดพูนจากการบริโภคมาไดู
อันทีจ
่ ริงบริโภคนิยมเป็ นอาการเสพติดชนิดหนึง่ ทีเ่ ป็ นแบบทัง้ ชีวิต
ในทุกแง่มุมของชีวิต เพราะฉะนัน
้ อีกกูาวหนึง่ ของการนำาไปสู่การ
เสพติดยาของเยาวชนทีอ
่ ยู่ในโลกของบริโภคนิยมอย่างเต็มตัว จึง
เป็ นไปไดูโดยง่ายดาย
นักคิดทีเ่ ขูาใจเบือ
้ งลึกเบือ
้ งตืน
้ ของปรากฎการณ์เช่นนีเ้ ป็ น
อย่างดีคือไอวาน อิลลิช ทีเ่ ขาไดูเห็นถึงการถอดถอนอำานาจของ
ปั จเจกบุคคลทีจ
่ ะดำารงชีวิตอย่างผููกระทำาการ และหาญกลูาใหูการ
ศึกษาตนเอง เรียนรููทำาความเขูาใจสิง่ ต่างๆ ดูวยตนเอง เขาพูดถึง
ระบบผููเชีย
่ วชาญ ทีผ
่ ูเชีย
่ วชาญไดูคิด ตัดสินใจ ออกแบบสังคม
และความเป็ นไปในชีวิตผููคน เขาพูดถึงการทีส
่ ังคมไดูมอบอำานาจ
หรือถูกฉกฉวยอำานาจไปใหูกับระบบโรงเรียน ในทีน
่ ีไ้ ม่ไดูหมาย
เฉพาะถึงโรงเรียนทีเ่ ยาวชนเขูาไปรับการศึกษาเท่านัน
้ หากหมาย
ถึงระบบโรงเรียนในทุกแง่มุมของชีวิตมนุษย์ทีส
่ ามัญชนถูกริดรอ
นอำานาจในการคิด ตัดสินใจและออกแบบชีวิต หากเขาจะตูองทำา
ตามสิง่ ทีผ
่ ูเชีย
่ วชาญในดูานต่างๆ เห็นว่าดีงาม ปริมณฑลของชีวิต
ดูานต่างๆ ก็มีเช่น เศรษฐกิจ สาธารณสุข พาณิชยกรรม การ
ศึกษา การพักผ่อน การบันเทิง สือ
่ สารมวลชนและอืน
่ ๆ อีกไม่รูจบ
แต่ลักษณะร่วมกันทีเ่ กิดขึน
้ ในทุกๆ ปริมณฑลของชีวิตก็คือ
มนุษย์เปลีย
่ นสภาพจากผููคิด ตัดสินใจ ออกแบบและกระทำาการ
มาเป็ นผููเสพอย่างเฉือ
่ ยชา อิลลิชไดูยกตัวอย่างเรือ
่ งของดนตรี ที ่
เดิมในหมู่บูานทีส
่ ืบทอดกันมาเป็ นประเพณีทัว
่ ไป ทัง้ ในโลกตะวัน
ตกและโลกตะวันออก การมีวงดนตรีสองสามวงในหมู่บูานหนึง่ ๆ
นัน
้ เป็ นเรือ
่ งปกติธรรมดา การใชูดนตรีและเพลงโดยชาวบูานเล่น
และรูองกันเองในกิจกรรมต่างๆ เป็ นเรือ
่ งปกติธรรมดาของชีวิต
และเมือ
่ มีวิทยุมีเทปเพลงเขูามา สิง่ เหล่านีก
้ ็หายไปทีละเล็กทีละ
นูอย จนสูญสิน
้ ไป เมือ
่ มนุษย์ไม่ไดูกระทำาก็ไม่เกิดขึน
้ การประดิษฐ์
คิดคูน พลิกแพลงก็ไม่เกิดขึน
้ เรือ
่ งอืน
่ ๆ ในปริมณฑลอืน
่ ๆ ก็เกิด
ขึน
้ มาในทำานองเดียวกัน
เรีอ
่ งของการสนทนาก็เกิดขึน
้ ในทำานองเดียวกัน ดังเพือ
่ นของ
คนหนึง่ คือแกรนด์ โอลสัน ผูไู ดูเคยมาเป็ นพีซคอในเมืองไทยเมือ

ประมาณสิบปี มาแลูว ณ เมืองสุพรรณบุรี ก็สามารถเป็ นหนึง่ ใน
ประจักษ์พยานกับสิง่ ทีเ่ กิดขึน

เมือ
่ เขามาอยู่ในฐานะของอาสาสมัครสันติภาพทีเ่ มือง
สุพรรณบุรีนัน
้ บูานพ่อแม่คนไทยทีเ่ ขามาอยู่ดูวยเป็ นชานเมืองที ่
ไฟฟูายังเขูาไม่ถึง ไม่มีโทรทัศน์ เมือ
่ ทานขูาวเย็นเสร็จ สมาชิกใน
ครอบครัวขยายนัน
้ ก็นัง่ ลูอมวงพูดคุยกันดูวยตะเกียงนำา
้ มันก๊าซ
และในวงสนทนานีเ้ องทีท
่ ำาใหูเขารููจักสังคมไทย ความโอบอูอมอารี
ความอุดหนุนเกือ
้ กูลกันในสภาพสังคมชนบทและมิติของพุทธธรรม
ทีก
่ ลมกลืนลงสู่วิถีปฎิบัติในชีวิตประจำาวัน สิง่ นีใ้ นสังคม
สหรัฐอเมริกาหมดไปแลูว การสนทนาทีแ
่ ทูจะหากไดูยาก ตูองดัน

ดูนหาเพือ
่ นทีอ
่ าจจะคุยกันไดูอย่างถูกใจ แต่ไม่ไดูมีอยู่เป็ นส่วนหนึง่
ของชีวิตประจำาวัน เมือ
่ แกรนต์กลับมาเยีย
่ มเมืองไทยต่อมาเป็ น
ลำาดับ สองสามปี ครัง้ เขาก็ไดูเห็นความเปลีย
่ นแปลงเช่นเดียวกับที ่
เป็ นไปในสังคมอเมริกา โทรทัศน์ไดูเขูามาจับจองใจกลางบูาน และ
การสนทนาอย่างเดิมก็หายไปจากครอบครัว ทุกคนก็เริม
่ ยุ่งยากกับ
กิจการต่างๆ จนแทนไม่มีเวลาใหูกับการสนทนาทีแ
่ ทูอีกต่อไป
เมือ
่ มองในแง่มุมมอง ภาษาและวัฒนธรรม ตลอดจน
ภูมิปัญญา การสนทนาจะเป็ นเวทีทีก
่ ่อเกิด เมือ
่ เวทีการสนทนาหาย
สูญไป หรือกระพร่องกระแพร่ง ประชาชนคนสามัญก็ขาดการเขูา
ร่วมในการก่อเกิดแปรเปลีย
่ นและวิวัฒนาภาษา วัฒนธรรม
ภูมิปัญญาอีกต่อไป หากกลายเป็ นผููกระทำาอย่างสิน
้ เชิง จึงเป็ น
เหยือ
่ ทีถ
่ ูกกระตูุนไดูง่ายจากสือ
่ โฆษณา และความคิดก็ถูกครอบงำา
ดูวยบรรษัทขูามชาติ อันผูกติดอยู่กับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ซึง่ ยังมีมิติอยู่ในกรอบของกระบวนทัศน์เก่า อันเป็ นมุมมองซึง่ ขัด
แยูงกับหลักการพืน
้ ฐานของชีวิตและวิวัฒนาการของชีวิตโดยสิน
้ เชิง
ถูาพูดแบบภาษาของพวกโพสต์โมเดิน ก็หมายการถูกแย่งชิง
วาทกรรม เมือ
่ ปราศจากวาทกรรม ประชาชนสามัญก็ยากไรูโดย
สิน
้ เชิง ในอำานาจของการปรับเปลีย
่ นตนเองและสังคม
ดังนัน
้ เราจึงตูองสรูางช่องว่างใหูกับพืน
้ ทีท
่ ีเ่ สียในทศวรรษที ่
ผ่านมา อัตเน่ รีดเดอร์ นิตยสารทางเลือกเล่มหนึง่ ในสหรัฐอเมริกา
ไดูพูดถึง “การปฏิวัติในหูองนัง่ เล่น” ดังปาจารยสารฉบับหัวกะทิที ่
ผมเป็ นบรรณาธิการอยู่ในเวลานัน
้ ก็เอาความคิดนีม
้ าเล่นต่อ สาระ
สำาคัญก็คือ เราควรจะลดความสำาคัญของโทรทัศน์ลงไป โดยการ
จำากัดเวลาดู ยูายทีอ
่ อกไปจากใจกลางบูาน คืนหูองนัง่ เล่น ใหูกับ
การสนทนาและนอกจากจะสนทนากับสมาชิกในบูานแลูว ก็เชิญ
เพือ
่ นๆ เขูามาสนทนาดูวย จัดกรอบโครงของเวลาใหม่ ใหูมีเวลา
สนทนายาวนานกว่าสามชัว
่ โมงขึน
้ ไป เวลาอุดมคติของโบห์มคือ
๕-๖ ชัว
่ โมง ผมนึกถึงกลุ่มปั ญญาชนอังกฤษอย่างบรูมเบอรีท
่ ีม
่ ี
เวอร์จิเนีย วูลฟ์ ยอช เบอนาด ชอร์ เป็ นตูน พวกเขาอยู่ดูานกันทัง้
บ่าย จนจรดดึกดืน
่ อยู่ดูวยกัน พูดคุยเดินเล่น ฯลฯ การก่อเกิด
ภาษา วัฒนธรรม และภูมิปัญญาจึงจะเป็ นไปไดู
ปาจารยสารหัวกะทิอีกฉบับหนึง่ คณะบรรณาธิการตัดสินใจ
ร่วมกันจัว
่ หัวว่า “ความสุขไม่ตูองซือ
้ หา” เรามักพากันหลงลืมไป
และพากันไปยึดติดสือ
่ กันงอมแงม เพราะทีจ
่ ริงแลูวสือ
่ ก็รายงาน
เรือ
่ งราวของมนุษย์นัน
้ เอง และเรือ
่ งราวของมนุษย์อาจนำามาบอก
เล่ากันโดยตรงโดยไม่ตูองผ่านสือ
่ แต่อย่างใด โดยเรือ
่ งในทำานอง
เดียวกันนี ้ ผมคิดเรือ
่ งทีห
่ ันเหมุมมองเรือ
่ งหนึง่ โดยตัง้ คำาถาม
ทักทายว่า แทนทีเ่ ราจะเขียนนิยายขึน
้ มาจากเรือ
่ งราวของผููคน
ทำาไมเราจึงจะไม่คิดว่า แทูทีจ
่ ริงแลูว ชีวิตของเราเองก็คือนิยายที ่
ยิง่ ใหญ่ และการดำารงชีวิตของเราอย่างเต็มเปี ่ ยม ก็คือการขีดเขียน
นิยายดีๆ ออกมาเล่มหนึง่ โดยไม่ตูองขีดเขียนบันทึกอย่างไรเล่า
ในมุมมองของวิญญาณวาท เราไปติดอยู่ในโลกของตัวแทน
และภาพลักษณ์ แต่เราไม่ไดูสัมผัสความจริงคือตถาตา ไม่ว่าดูวย
การเห็น การฟั ง ไดูกลิน
่ ชิมรส สัมผัส แต่เราอยู่กับภาพลักษณ์
ของประสบการณ์ทางอายตนะเหล่านี ้ ผ่านสือ
่ ต่างๆ เราอยู่กับร่อง
เดิมของแผ่นเสียงทีต
่ กร่อง ดูวยเหตุนีเ้ ราจึงหิวโหย แต่สิง่ ทีเ่ รา
บริโภคเป็ นเพียงภาพลักษณ์ของความเป็ นจริง ซึง่ ไม่สามารถใหู
ความอิม
่ เอมอันใดไดู เราจึงกระหายหิวและตูองบริโภคอย่างไม่รูจัก
จบสิน
้ แต่ไม่สามารถดับความกระหายหิวไดู ภาพทีแ
่ สดงใหูเห็น
อาการดังกล่าวไดูชัดเจนคือเปรต ทีม
่ ีปากเท่ารูเข็มและมีทูองใหญ่
โตมโหฬาร
อีกประการหนึง่ ทีส
่ ำาคัญทีเ่ ป็ นไวยากรณ์หลักของชีวิตนัน
้ ก็คือ
“ชีวิตคือการเรียนรูู” และเนือ
่ งดูวยว่าชีวิตนัน
้ มีธรรมชาติเป็ นเครือ
ข่าย เมือ
่ เป็ นเช่นนี ้ ชีวิตก็คือ “เครือข่ายแห่งการเรียนรูู” การเรียน
รููจะเกิดขึน
้ ไดู เริม
่ จากการตัง้ สมมติฐาน แลูวจึงลงมือปฏิบัติตาม
สมมติฐานนัน
้ และนำาผลกลับมาพูดคุย กลัน
่ กรองประสบการณ์
และหาความหมายกันในเครือข่าย ซึง่ มีการสนทนาเป็ นกุญแจดอก
สำาคัญ

การสนทนาเชิงวิวัฒน์ในกระบวนทัศน์ใหม่

การสือ
่ สาร

โลกมนุษย์ไดูกูาวหนูาไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิง่ อุปกรณ์สือ


่ สาร
ต่างๆ ดังเราคิดว่าโลกาภิวัตน์ไดูรวมโลกเขูาเป็ นหนึง่ เดียวไปแลูว
แต่มนุษย์ก็ยังมีปัญหาการสือ
่ สาร คนทีม
่ ีความคิด อุดมการณ์
ความเชือ
่ ศาสนา วัฒนธรรม และอืน
่ ๆ ทีแ
่ ตกต่างกัน ยังคุยกัน
ไม่รูเรือ
่ ง ในประเทศทีเ่ จริญมากๆ ทางเทคโนโลยี ความขัดแยูง
และความรุนแรงในความสัมพันธ์ส่วนบุคคลกับไม่ลดลง ปั ญหาการ
หย่ารูางเป็ นปั ญหาใหญ่ในสังคมตะวันตก ความสัมพันธ์ใกลูชิด
กลายเป็ นศิลปศาสตร์ทีข
่ าดหายไปในโลกทีม
่ ีเทคโนโลยีการสือ
่ สาร
พัฒนาถึงขีดสุด
ปั ญหาอย่างหนึง่ ทึอ
่ ยากจะตัง้ ขูอสังเกตไวูใหูใคร่ครวญดูก็คือ
เป็ นไปไดูไหมว่าเราเขูาใจพืน
้ ฐานของการสือ
่ สารผิดไป หรือคลาด
เคลือ
่ นไป เทคโนโลยีทีเ่ ติบโตขึน
้ มาก็ไปรับใชูวิถีแห่งการสือ
่ สาร
ผิดๆ นัน
้ ไม่ทำาใหูมนุษย์เขูาใจกันไดูมากขึน
้ ไปกว่าเดิม เทคโนโลยี
ทีส
่ ูงลำา
้ ก็เลยไม่ไดูมีส่วนช่วยลดทอนความขัดแยูงและความรุนแรง
คิดว่าความคิดหลักของการสือ
่ สารของโลกยุคโลกาภิวัตน์ก็
คือ หนึง่ เราควรมีภาษาและวัฒนธรรมหนึง่ เดียว ทีค
่ นจะเขูาใจกัน
เหมือนกันไปหมดทัว
่ โลก และสองขูอมูลคือความรูู ยิง่ ขูอมูลเผย
แพร่ออกไปทางอินเตอร์เนตใหูรับรููกันไดูมากๆ คนก็จะมีความ
รููมากยิง่ ขึน
้ คนมีความรููมากยิง่ ขึน
้ โลกก็จะมีความสงบสันติยิง่ ขึน

อันนีก
้ ็อยากลองใหูใคร่ครวญดูว่าเป็ นเช่นนัน
้ จริงๆ หรือ? หรือมัน
ควรจะเป็ นเช่นไรกันแน่?
อีกความคิดหนึง่ ของผมเอง ทีเ่ กิดจากประสบการณ์ในชีวิต
และการอ่าน ก็ขอตัง้ ขูอสังเกตว่าโลกในทุกวันนี ้ เรากำาลังออกห่าง
ไปจากการสนทนาทัง้ ในบูาน โรงเรียนและทีท
่ ำางาน การพูดคุยกัน
เป็ นไปตามบทบาททีต
่ ายตัว แต่ไม่ไดูมีการพูดคุยกันในฐานะของ
ความเป็ นมนุษย์ ทีจ
่ ะแบ่งปั นเรียนรููร่วมกัน ในบูานเราพากันนัง่ อยู่
หนูาโทรทัศน์ โลกแห่งการงานก็ทำาใหูเราเหน็ดเหนือ
่ ยมากแลูว เรา
ก็กลายเป็ นผููรับการบันเทิงจากโทรทัศน์อย่างเป็ นผููถูกกระทำา
เท่านัน
้ บางบูานแมูเวลากินขูาวก็นัง่ ดูโทรทัศน์กันไปดูวย การพูด
คุยกันทีเ่ คยมีในสังคมแบบเดิมจึงขาดหายไป ความสัมพันธ์ระหว่าง
ครูกับศิษย์ในโรงเรียนกระแสหลักส่วนมาก ครูก็จะมีบทบาทตายตัว
คือผููสอน คือผููถา
่ ยทอดขูอมูลทีเ่ ราเขูาใจกันว่าเป็ นความรูู การพูด
คุยกันจริงๆ ระหว่างครูกับศิษย์ในฐานะของมนุษย์ดูวยกันจึงไม่เกิด
หากจะมีบูางก็คงเป็ นขูอยกเวูนของครูบางคนทีเ่ ขูาใจและพยายาม
ทำาตัวแหวกระบบออกมา ทีท
่ ำางานก็เช่นกัน การพูดคุยดำาเนินไปใน
บรรยากาศของโครงสรูางอำานาจทีช
่ ัดเจนว่าใครเป็ นคนตัดสินใจ
ใครเป็ นคนอนุญาตใหูใครพูดไดู และจะพูดไดูเมือ
่ ไร บทบาทตาม
โครงสรูางอำานาจก็ชัดเจนจนไม่เหลือทีไ่ วูใหูกับการพูดคุยระหว่าง
มนุษย์ดูวยกัน
วิถีชีวิตแบบบริโภคนิยมก็ทำาใหูโอกาสทีจ
่ ะเกิดการสนทนา
อย่างแทูจริงเกิดขึน
้ ไดูยากยิง่ ขึน
้ เพราะมนุษย์คูุนเคยกับการเสพ
การบริโภคในฐานะของผููรับไม่ใช่ในฐานะของผููกระทำา การเรียนก็
กลายเป็ นการเสพขูอมูลความรูู การทำางานก็มีมิติของการกระทำา
อยู่ในกรอบทีค
่ ับแคบ หากไม่ใช่งานทีซ
่ ำา
้ ซากจำาเจก็เป็ นงานททีไ่ ม่
อาจมีอำานาจตัดสินใจอะไรไดู งานทีส
่ รูางสรรค์และกระทำาการจึง
เป็ นงานของคนส่วนนูอยทีอ
่ ยู่สูงขึน
้ ไปบนยอดปิ รามิด เมือ
่ เป็ นเช่นนี ้
วัฒนธรรมการบริโภคก็มีส่วนเสริมใหูความสยบยอมต่อสภาพสังคม
ทีเ่ ป็ นอยู่เป็ นไปไดูง่ายดายยิง่ ขึน
้ พรูอมกับโอกาศของการสนทนา
หายไปดูวยการเบียดบังของการพักผ่อนและการบันเทิงแบบเสพที ่
ผููรับไม่ไดูกระทำาการหรือคิดอ่านเรียนรููขวนขวายหาความหมายอัน
ใด
เมือ
่ เป็ นเช่นนี ้ เราจะหาทางออกจากวังวนของปั ญหานีไ้ ดู
อย่างไร?

การสนทนาแบบเดวิด โบห์ม

เดวิด โบห์ม บอกว่ากรณีทีค


่ นสองคนพูดคุยกันเมือ
่ นาย ก.พูด
นาย ข.ฟั ง แลูวนาย ข.ก็จะพูดกลับมาเป็ นปฏิกิริยาหรือการตอบสิง่
ทีน
่ าย ก.พูด เมือ
่ นาย ก. ฟั งนาย ก. ก็จะรููว่า สิง่ ทีน
่ าย ข. ฟั งตน
นัน
้ ไม่ไดูเขูาใจตรงกันเสียทีเดียว มีความใกลูเคียงแต่ก็แตกต่าง
แลูวนาย ก. ก็ตอบโตูกลับไปอีก นาย ข. ก็เห็นอะไรคลูายกับที ่
นาย ก. เห็น คือเห็นความคิดความเขูาใจของตนเอง และเห็น
ความคิดของนาย ก. ทีแ
่ ตกต่างออกไป เนือ
้ ทีท
่ ผ
ี ่ ิดแผกแตกต่าง
ออกไปนัน
้ ทำาใหูเกิดการสรูางสรรค์ขึน
้ ในการสนทนาคือทำาใหูเกิด
ความคิดใหม่ขึน

แต่การสนทนาทีจ
่ ะใหูเกิดสิง่ ใหม่ไดูนัน
้ ผูส
ู นทนาจะตูองฟั งซึง่
กันและกัน อย่างปราศจากอคติ และไม่พยายามจะมีอิทธิพลเหนือ
กันและกันดูวย แต่ละฝ่ ายจะตูองใหูความสำาคัญกับสัจจะและความ
บรรสานสอดคลูองเป็ นอย่างแรก เหนือสิง่ อืน
่ ใดทัง้ สิน
้ โดยพรูอม
จะทิง้ ความคิดเก่าและความตัง้ ใจเก่า โดยพรูอมจะไปยังอะไรทีแ
่ ตก
ต่างออกไป แต่ถูาหากทัง้ สองต่างก็ตูองการสือ
่ ความคิดหรือมุมมอง
ของตนเท่านัน
้ การสนทนาแบบโบห์มก็เกิดขึน
้ ไม่ไดู เพราะแต่ละ
คนจะฟั งคนอืน
่ ผ่านม่านความคิดของตนเอง ทีม
่ ักจะพยายามคง
รักษาความคิดของตนเอาไวู โดยพยายามจะปกปูองความคิดของ
ตนดูวย ทัง้ นีไ้ ม่ว่าความคิดของพวกเขาจะบรรสานสอดคลูองกัน
ภายในระบบคิดของพวกเขาหรือไม่ก็ตาม
ทีจ
่ ริงการสนทนาแบบโบห์มนัน
้ มีความจำาเป็ นสำาคัญ กิจกร
รมหลายๆ ดูานของชีวิต ถูาผููคนจะตูองร่วมมือกัน พวกเขาจะตูอง
สามารถสรูางอะไรร่วมกันขึน
้ มาไดู โดยผ่านการพูดคุยและการกระ
ทำาร่วมกัน มากกว่าจะเป็ นการส่งผ่านความคิดขูอมูล ทีค
่ นสือ
่ สาร
มีอำานาจเหนือผููอืน
่ และผููอืน
่ เป็ นผููรับอย่างเป็ นผููถูกกระทำาโดยไม่มี
ส่วนร่วมคิดดูวยแต่อย่างใด
ศิลปิ นก็เหมือนกัน ศิลปิ นไม่ไดูคิดครัง้ เดียวแลูวก็สำาแดงความ
คิดออกมากับวัสดุอุปกรณ์ทีต
่ นเองใชู แต่ศล
ิ ปิ นจะพูดคุยเหมือนกัน
คือพูดคุยกับวัสดุทีเ่ ขาใชู ตลอดจนกับผลงานทีเ่ สร็จแต่ละชิน
้ ผลที ่
ออกมาไม่ตรงกับความคิดเดิมทีเดียวนัก คือความแตกต่างใหูเกิด
ความคิดใหม่ เป็ นขบวนการสรูางสรรค์ทีเ่ กิดขึน
้ ตลอดเวลาในการ
ทำางาน
นักวิทยาศาสตร์ก็พูดคุยกับธรรมชาติในทำานองเดียวกันนี ้
เมือ
่ นักวิทยาศาสตร์มีความคิด ก็นำาไปทดสอบกับการสังเกต และ
เมือ
่ พบว่า (จะเกิดขึน
้ อย่างเป็ นปกติธรรมดา) สิง่ ทีไ่ ดูสังเกตจะเพียง
ละมูายคลูายคลึงกับความคิดทีเ่ ขามีอยู่ในใจเท่านัน
้ และไม่เหมือน
กันเลยทีเดียว ดังนัน
้ ความคิดใคร่ครวญในความละมูายคลูายคลึง
และความแตกต่าง เขาก็จะไดูความคิดใหม่และก็เอาความคิดใหม่
ไปเป็ นตัวตัง้ ในการสังเกตการณ์อีก ก็จะมีการโผล่ปรากฏของสิง่
ใหม่เสมอ อันนีก
้ ็มีการนำาไปใชูในวิถีชีวิตในทางปฏิบัติ ซึง่ ก็ไดูก่อใหู
เกิดโครงสรูางใหม่ๆ ทางความคิด ความรููของมนุษย์
ทีนีต
้ ่อเรือ
่ งนี ้ จะมีความละเอียดอ่อนซับซูอนอยู่ประการหนึง่
คือในการพูดคุยกันนัน
้ คนหนึง่ มักจะคิดว่าตนไดูฟังคนอืน
่ อย่าง
ดีแลูวโดยปราศจากอคติใดๆ แต่คนอืน
่ กลับไม่ฟังตนเพราะมีอคติ
อยู่ ทัง้ นีจ
้ ึงเป็ นการง่ายทีเ่ ราแต่ละคนจะเห็นว่าคนอืน
่ “ถูกขัด” อยู่
ดูวยอะไรบางอย่าง โดยไม่รูตัว พวกเขาพยายามหลีกเลีย
่ งการ
เผชิญหนูากับความขัดแยูงในความคิดของตนเอง ในเรือ
่ งทีพ
่ วกเขา
มักจะใหูค่าอย่างสูง
ธรรมชาติของอาการ “ถูกขัด” นัน
้ เป็ นอะไรทีไ่ รูความ
ละเอียดอ่อนหรือ “มึนงงไม่รูสึกตัว” (เป็ นอาการของยาชา
ยาสลบ) ทำาใหูไม่รับรููในความขัดแยูงในตัวเองของตน เพราะฉะนัน

สิง่ ทีส
่ ำาคัญก็คือทำาอย่างไรเราจะรููตัวถึงอาการที ่ “ติดขัด” เหล่านี ้
ถูาหากผููนัน
้ ตืน
่ ตัวและใส่ใจ ก็อาจจะมองเห็นว่า เมือ
่ มีการยก
ประเด็นคำาถามบางประการ ก็จะมีความรููสึกกลัวทีผ
่ ลักไสเขาออก
ไปจากการพิจารณาปั ญหาอันนัน
้ และจะมีแรงดึงดูดบางประการที ่
จะหันเหเขาไปสู่ประเด็นปั ญหาอืน
่ ๆ ทีท
่ ำาใหูเขามีความสุข
สนุกสนาน ดังนัน
้ คนเราก็จะหนีออกไปจากสิง่ ทีร
่ บกวนจิตใจของ
เราอยู่เรือ
่ ยไป ผลทีเ่ กิดขึน
้ ก็คือเขาพยายามปกปูองความคิดของ
เขาเองอย่างแยบคาย ในขณะทีเ่ ขาควรจะไดูรับฟั งคนอืน
่ พูดอย่าง
จริงจัง
เมือ
่ เรามาสนทนากัน เราควรตืน
่ ตัวกับความกลัวทีแ
่ ยบยล
และการดึงดูดทีจ
่ ะทำาใหูเราเขวไปเรือ
่ งอืน
่ ทีไ่ ดู “ขัด” เราจากความ
สามารถทีจ
่ ะรับฟั งไดูอย่างอิสระ แต่ถูาแต่ละคน สามารถใส่ใจไดู
เต็มเปี ่ ยมกับ “สิง่ ทีข
่ ัด” เราในการสนทนา ในขณะเดียวกันที ่
สามารถรับฟั งเนือ
้ หาของการสนทนาไปไดูดูวย เมือ
่ นัน
้ เราจะ
สามารถสรูางสรรค์สิง่ ใหม่ระหว่างพวกเรา บางสิง่ บางอย่างทีม
่ ี
ความสำาคัญอย่างยิง่ ยวดทีจ
่ ะช่วยยุติปัญหาในปั จจุบันอันแกูไขไม่ไดู
ทัง้ ทีเ่ ป็ นของปั จเจกบุคคลและสังคม

การสนทนากับสมมติฐาน

คำาว่า Dialogue ซึง่ เป็ นคำาทีโ่ บห์มนำามาใชูนัน


้ มาจากภาษากรีกว่า
dialogos ที ่ logos แปลว่า “ถูอยคำา” และ dia แปลว่าผ่าน ไม่ใช่
แปลว่า “สอง” หมายถึงถูอยคำาหรือความหมายทีไ่ หลผ่านกลุ่มคน
เป็ นสายธารแห่งความหมาย ทีก
่ ่อใหูเกิดความคิดสรูางสรรค์ใหม่
ไม่ใช่ discussion ทีแ
่ ปลว่าแยกสิง่ ต่างๆ ออกมา discussion ก็มัก
จะเป็ นการโตูแยูง เอาชนะคะคานกันมากกว่า หมอประสาน ต่าง
ใจ เคยตีความคำาว่า dia เท่ากับ “ผ่า” หรือ “ฝ่ า” ถูอยคำา ไปใหู
พูนขูอจำากัดของถูอยคำา อันนีก
้ ็ขึน
้ อยู่กับว่าเราตูองการจะลงลึกกัน
ขนาดไหน
หนังสือเรือ
่ งวิญญาณวาททีอ
่ าจารย์สุลักษณ์แปลมาจาก
หนังสือของท่านนัท ฮัน ซึง่ เวลานีเ้ ป็ นพระอาจารย์เซ็นทีส
่ ามารถใชู
ภาษาอย่างกวี สือ
่ สารกับคนทัว
่ โลกไดูมากทีส
่ ุด วิญญาณวาทพูด
ถึงการรับรููสามแบบ แบบทีห
่ นึง่ คือการับรููแบบตัวแทน ดังเช่นตัง้ ชือ

อะไรขึน
้ มา เช่นตูนไมู กูอนเมฆ สัตว์ พืช เป็ นตูน แบบทีส
่ องคือ
ภาพลักษณ์ ก็คืออะไรทีอ
่ ธิบายคุณลักษณะของตัวแทนนัน
้ ๆ การ
รับรููทัง้ สองแบบแรกเป็ นความรูู แต่ก็เป็ นความรููอย่างมีขูอจำากัด
ประการแรกก็ติดข่ายอยู่ในทัศนะแห่งอัตตา คือมีเรากำาหนดว่าโต๊ะ
เป็ นโต๊ะนัน
้ เราไดูกำาหนดไปอย่างอัตโนมัติดูวยว่า สิง่ อืน
่ ๆ
นอกจากนีไ้ ม่ใช่โต๊ะ ทัง้ ๆ ทีใ่ นความเป็ นจริง สิง่ ทีเ่ ป็ นโต๊ะกับสิง่ ที ่
ไม่ใช่ก็โยงใยกันและสอดแทรกในกันและกัน ซึง่ ทัศนะอย่างหลังจึง
เป็ นการรับรููแบบทีส
่ าม คือการรับรููอย่างเป็ นเช่นนัน
้ เอง ทีเ่ รียกว่า
ตถตา ประการทีส
่ อง ภาพลักษณ์ก็เป็ นส่วนขยายของอัตตา
อธิบายคุณลักษณะของอัตตาในดูานต่างๆ ทีเ่ ป็ นความเป็ นจริง
อย่างเสีย
้ วส่วนทีห
่ ยิบฉวยขึน
้ มาทึกทักขึน
้ มาว่าเป็ นคุณลักษณะของ
สิง่ นัน
้ ๆ เมือ
่ ความเปลีย
่ นแปลงเคลือ
่ นตัวเขูามาตามกาลเวลา คุณ
ลักษณะนัน
้ ๆ ก็แปรเปลีย
่ นไปดูวย มิอาจจะตัง้ มัน
่ อยู่ไดู
การจะเขูาถึงตถตาในสรรพสิง่ ไดูนัน
้ เราตูองเอาสติเขูามา
กำากับการรับรููต่างๆ ในชีวต
ิ ประจำาวัน โดยตัวอย่างของการเอาสติ
เขูากำากับการมอง การฟั ง เป็ นตูน โดยมองใหูลึกซึง้ ฟั งอย่างลึกซึง้
แทนทีจ
่ ะไปยึดติดทีค
่ วามจริงระดับตัวแทนและภาพลักษณ์
โบห์มใหูเราตระหนักว่า ความคิดของเราทีเ่ รามักจะคิดว่าเป็ น
สัจจะนัน
้ แทูทีจ
่ ริงแลูวเป็ นแค่สมมติฐานเท่านัน
้ นอกจากนีเ้ ราจึง
ไปยึดความคิดขึน
้ มาเป็ นของเรา เป็ นตัวเรา คือเป็ นตัวกูของกู ที ่
ท่านพุทธทาสพูดถึงนัน
้ เอง เราจึงเห็นว่าคนอืน
่ เห็นผิดมองผิด การ
เปิ ดใจเรียนรููจึงไม่อาจเกิดขึน
้ ไดู
โบห์มบอกว่าภาษาและวัฒนธรรมนัน
้ เขูามามีส่วนกำาหนด
ความคิดอ่านของเรามากกว่า ๙๐% เราไม่ไดูมีความคิดอ่านเป็ น
ของตนเองสักเท่าใด แต่กำาหนดโดยสังคมทีก
่ ำาเกิดภาษาและ
วัฒนธรรมมาใชูร่วมกัน เรามักจะคิดว่า สิง่ ทีม
่ ากับภาษาและ
วัฒนธรรมนัน
้ เป็ นสัจธรรม อันมัน
่ คงถาวรไม่มีอะไรจะมาหักลูางไดู
ถูาหากคิดเช่นนี ้ การสนทนาแบบของโบห์มก็เกิดขึน
้ ไม่ไดู
โบห์มบอกว่าในขณะทีเ่ ราสนทนานัน
้ เราควรรููว่า ทุกความ
คิดเป็ นเพียงสมมติฐาน ไม่มีอะไรเป็ นสัจจะอันสมบูรณ์แบบ เมือ

เป็ นเช่นนีใ้ จจึงเปิ ดออก ใหูสายธารแห่งความหมายไหลเวียนไปไดู
อันอาจเกิดการเรียนรููร่วมกันในระหว่างการสนทนา ถูาโยง
วิญญาณวาทของมหายานมาผสมผสานกับ dialogue ของเดวิด
โบห์ม เราจะเป็ นว่าการรับรููในระดับตัวแทนและภาพลักษณ์นัน
้ ก็คือ
การไปยึดติดกับสมมติฐาน มาเหมาเอาว่าเป็ นสัจธรรม ถูามองใหู
ทะลุลงไปถึงตถตาคือความเป็ นเช่นนัน
้ เอง เราก็จะรููเท่าทันว่า
สมมติฐานก็คือสมมติฐาน หากความเป็ นจริงจะอยู่ลึกลงไปกว่า
สมมติฐานทีป
่ รากฏ การสนทนาแบบโบห์มจึงเปิ ดโอกาสใหูเรามอง
เห็นความเป็ นจริงมากขึน
้ โดยเปิ ดโอกาสใหูเราสัมผัสกับตถาตา
มากยิง่ ขึน

องค์ประกอบสำาคัญของการสนทนาแบบโบห์ม

โบห์มว่าจำานวนคนตูองมากพอทีใ่ หูเกิดพลวัตของการสนทนา คือ


ควรจะมากกว่า ๒๐ อาจจะถึง ๔๐ เลย ๔๐ คนยังนัง่ ลูอมวงไดู
โดยวงยังไม่ใหญ่จนเกินไป ถูารูส
ู ึกว่าใหญ่เกินก็ใหูนัง่ ซูอนกันเป็ น
สองวง ทีน
่ ัง่ ลูอมวงหันหนูาเขูาหากัน หมายถึงการทีท
่ ุกๆ คนเท่า
เทียมกัน จริงๆ แลูวการสนทนาแบบโบห์มไม่มีผูดำาเนินการ ก็อาจ
จะมีผูดำาเนินการไดูบูาง เพือ
่ ทีจ
่ ะไม่มีผูดำาเนินการไดูในทีส
่ ุด
การสนทนาแบบโบห์มเป็ นการแสวงหาความรููร่วมกันโดยไม่มี
กำาหนดวาระ ไม่มีหัวขูอเรือ
่ ง แรกๆ ก็อาจจะพูดคุยกันเรือ
่ งว่าจะ
พูดคุยกันอย่างไร พูดคุยอะไร ทำาไม แลูวการสนทนาก็จะดำาเนินไป
ไดูเอง เรือ
่ งส่วนตัวจะพูดบูางก็ไดู เอาเฉพาะในส่วนทีม
่ ันจะโยงใย
เขูามาเกีย
่ วรูอยกับความเป็ นส่วนรวม โบห์มว่าการสนทนาแบบของ
เขาไม่ไดูเป็ นการเยียวยาทางจิตวิทยาหรือการพัฒนาตัวเองแบบ
กลุ่มเผชิญหนูา (encounter group) แต่ถูาการพูดคุยและการเรียนรูู
จะไปมีผลเยียวยาก็สุดแลูวแต่
โบห์มพูดถึงคำาสองคำาบ่อยๆ ในการว่าดูวยการสนทนาของ
เขา คือคำาว่า tacit และ coherence คำาหลังหมายถึงความ
บรรสานสอดคลูอง อาจารย์นิธิเคยแซวอาจารย์สุลักษณ์ว่าใชูคำาว่า
ประสานสอดคลูองไม่ไดูหรือ ผมเองก็ยังชอบทีจ
่ ะใชูบรรสาน
สอดคลูองโดยอัตโนมัติ โบห์มยกตัวอย่างแสงเลเซอร์ แสงเลเซอร์ก็
คือภาวะของแสงทีม
่ ีการเรียงตัวอย่างเป็ นระเบียบอย่างบรรสาน
สอดคลูอง เลเซอร์จึงมีพลังมหาศาล จะเอาไปใชูทำาอะไรไดู
มากมายดูวยพลังอันนี ้ แสงทัว
่ ไปปกติทีเ่ ราเห็นเป็ นไปอย่างสะเปะ
สะปะ ไม่บรรสานสอดคลูองอย่างแสงเลเซอร์ กลุ่มสนทนาของโบห์
มก็มีเปูาหมายอันหนึง่ ของการเขูาถึงการบรรสานสอดคลูองอันนี ้
เพือ
่ พลังสรูางสรรค์สูงสุด เพือ
่ ปั ญญาอย่างดีทีส
่ ุดทีม
่ นุษย์จะก่อเกิด
ร่วมกันไดู โดยเขาไดูพูดถึง collective thought หรือความคิดทีค
่ ิด
ร่วมกันของกลุ่มคนเอาไวู แยกเป็ นประเด็นต่างหากออกไปดูวย
tacit หมายถึงอะไรทีเ่ กิดขึน
้ ดูวยอย่างไม่สามารถเห็นไดูชัด
เวลาสนทนาโบห์มว่า มันไม่ใช่ทัง้ ถูอยคำาทีพ
่ ูดคุยกันและไม่ใช่ภาษา
ท่าทาง แต่มันอยู่ลึกลงไปอีกชัน
้ หนึง่ โบห์มพูดไวูดูวยว่า tacit เป็ น
ปริมณฑล ทีล
่ ีล
้ ับเป็ นตัวก่อเกิดของขบวนการคิดดูวย
เมือ
่ อ่านวิญญาณวาททีอ
่ รรถาธิบายโดยท่านติช นัท ฮัน ก็
นึกว่าอาจจะพูองพานกับเรือ
่ ง tacit ของโบห์มนีก
้ ็เป็ นไดู
วิญญาณวาทแตกวิญญาณทีอ
่ าจจะแปลว่าตัวรูู หรือ
consciousness ออกไปอีกจากหกของฝ่ ายสูตรยานคือ ตา หู จมูก
ลิน
้ กาย ใจ ไปอีกสองคือมนัสและอาลัยวิญญาณ ส่วนใจธรรมดา
ในชัน
้ ตูนคือ consciousness หรือสำานึกรููปกติ เขาใชูคำาว่ามโน
วิญญาณ ลึกลงไปอีกสองขัน
้ คือมนัสและอาลัยวิญญาณ อันนีล
้ ีล
้ ับ
หรือ tacit
ท่านนัท ฮัน ว่าเมือ
่ เราฉายแสงแห่งสติทาบกับมโนวิญญาณ
ตลอด ไม่ว่าจะรับเรือ
่ งจาก ตา หู จมูก ลิน
้ กาย หรือรับเรือ
่ งจาก
ธรรมารมณ์ก็ตาม หากฝึ กแสงแห่งสตินัน
้ ใหูเขูมขูนดูวยความ
บรรสานสอดคลูองขึน
้ เรือ
่ ยๆ เราก็จะส่งไปเห็นการทำางานของมนัส
และอาลัยวิญญาณ อันเป็ นทีม
่ าของขบวนการก่อเกิดความเป็ นไป
ทัง้ หลายแห่งจิตทัง้ มวล
โบห์มว่า เราไม่ไดูสนใจเฉพาะว่าเราคิดอะไรเท่านัน
้ แต่เรา
ใหูความสำาคัญกับขบวนการก่อเกิดความคิดดูวย ซึง่ ลีล
้ ับแยกแก่
การเขูาถึง แต่เมือ
่ การสนทนาไดูสรรค์สรูางความบรรสาน
สอดคลูองแห่ง collective thought ไปถึงจุดหนึง่ แลูว ขบวนการแห่ง
การคิดจะโผล่ปรากฏใหูเราเห็นไดูเอง
ระยะเวลาของการสนทนาแต่ละครัง้ ตูองยาวนานพอใหู
คลีค
่ ลายออกไปสู่ผลไดูดังกล่าว อย่างนูอยก็ ๓-๔ ชัว
่ โมง แต่โบห์ม
จะพูดที ่ ๕-๖ ชัว
่ โมงต่อครัง้ ความถีก
่ ็ไดูตัง้ แต่ทุกสัปดาห์ ทุกปั กษ์
ทุกเดือน สองเดือนครัง้ เวลาต่อเนือ
่ งก็พูดกันทีห
่ นึง่ ปี หรือสองปี
เมือ
่ บรรลุวัตถุประสงค์ของการไดูเรียนรููร่วมกันแลูวก็เลิกลากันไป
คงจะไปเริม
่ กลุ่มใหม่ๆ อีกอย่างไม่มีทีส
่ ิน
้ สุด

ธรรมชาติของความคิดทีเ่ ป็ นสมบัติร่วม

โบห์มพูดถึงปั ญหาต่างๆ ของโลกทีม


่ ีอยู่มากมาย นับวันก็แต่จะ
สลับซับซูอนเพิม
่ ขึน
้ และตัวปั ญหาก็เพิม
่ ทัง้ ปริมาณและคุณภาพ
บางทีมันอาจจะไม่ไดูมีสาเหตุมาจากภายนอกก็ไดู บางทีมันอาจจะ
มีเคูาเงือ
่ นมาจากเจูาตัวความคิดของมนุษย์เรานีเ้ อง
ดังเช่นเมือ
่ เกิดปั ญหาหนึง่ ขึน
้ มา เราก็ไปคิดคูนวิธีแกูไขอีก
อย่างหนึง่ ขึน
้ มา วิธีใหม่นัน
้ นอกจากจะไม่ไดูแกูปัญหาเก่าแลูวยัง
สรูางปั ญหาใหม่ขึน
้ มาอีก แลูวเราก็คิดหาวิธีแกูปัญหาอย่างใหม่นัน

อีก ไดูปัญหาอย่างใหม่กว่าขึน
้ มาอีก เป็ นไปเช่นนีอ
้ ย่างไม่รูจบหรือ
ว่าทีจ
่ ริงปั ญหาทีแ
่ ทูซ่อนเงือ
่ นอยู่ในขบวนความคิดนีเ้ อง
และก็น่าคิดว่าขบวนการคิดนีเ้ ป็ นปั จเจกสักเพียงใด เพราะ
ตัง้ แต่เกิดมา ทีม
่ าของความคิดก็มาจากคนอืน
่ ๆ ทัง้ สิน
้ ไม่ว่าจะ
เป็ นพ่อแม่ ครู หรือสังคม ความคิดของเราทีอ
่ าจจะคิดขึน
้ มาบูางก็
เป็ นผลผลิตของความคิดร่วมทีม
่ ีอยู่ในภาษาและวัฒนธรรมนัน
้ เอง
ดังนัน
้ มันจึงเหมือนกับอยู่ในมหาสมุทรแห่งความคิดทีเ่ ป็ นของส่วน
รวมของมนุษยชาติ และถูาหากมันเป็ นอย่างผิดทาง มันก็จะผิดทาง
กันไปหมด
มันเหมือนกับเชือ
้ ไวรัส ยิง่ มีวิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์มาก
ยิง่ ขึน
้ เท่าไร เจูาเชือ
้ ไวรัสนีก
้ ็แพร่ไปไดูกวูางไกลเพียงนัน

เป็ นไปไดูไหมว่าแหล่งทีม
่ าของปั ญหามันลึกซึง้ มาก อาจจะมี
อะไรผิดพลาดทีข
่ บวนทัง้ หมดของความคิด อันเป็ นของส่วนรวมที ่
เป็ นของพวกเราทัง้ หมด โดยปกติแลูวความคิดส่วนใหญ่ไม่ไดูเป็ น
ปั จเจก หากก่อเกิดในวัฒนธรรมทัง้ มวล และแผ่สยายปี กปกคลุม
พวกเราอยู่ โครงสรูางอันลึกซึง้ ของความคิดนีแ
้ หละเป็ นแหล่งทีม
่ า
และดำารงอยู่ตลอดเวลาควบคู่กับมนุษยชาติ
โบห์มมองไปว่า เป็ นไปไดูไหมทีป
่ ั ญหานีเ้ กิดขึน
้ มาระหว่าง
รอยต่อของวิวัฒนาการของมนุษย์เอง อันเป็ นรอยต่อระหว่างสมอง
เก่ากับสมองใหม่ รอยต่อทีย
่ ังไม่ลงรอยดีนัก คือมันเกิดขึน
้ ทีส
่ มอง
ใหม่สามารถสรูางตัวแทนของการรับรูู (representation) ขึน
้ มา คือ
สรูางนามธรรมใหูกับการรับรูู และเก็บเอาไวูเป็ นความทรงจำา แต่
ปั ญหาก็ไม่ไดูอยู่ทีค
่ วามสามารถใหม่ทีไ่ ดูมา แต่เกิดกับการทีเ่ ราไม่
สามารถแยกแยะตัวแทนของการรับรููกับการรับรููและเรานำาทัง้ สอง
อย่างนีม
้ าผสมผสานเขูาเป็ นชุดใหญ่แห่งตัวแทนของการรับรููขึน
้ มา
และอันนีก
้ ็เขูามาเป็ นรากฐานของความคิดทัง้ ปวง
โดยทัว
่ ไป เราไม่สามารถสังเกตเห็นการเชือ
่ มโยงระหว่าง
ตัวแทนของการรับรููกับการรับรูู ความคิดนัน
้ ดูเหมือนว่าจะขาด
ความสามารถทีจ
่ ะมองเห็นว่าเกิดอะไรขึน
้ ขบวนการนีเ้ ป็ นไปโดย
ไม่รูตัว เป็ นไปอย่างซ่อนเงือ
่ นงำาอยู่ภายใน และมองไม่เห็น เราจึง
ไม่รูว่าเกิดอะไรขึน
้ กันแน่ ลองจินตนาการเห็นขูอมูลมาจาก
อายตนะ (ประสาทรับรูู) ทีส
่ มองจัดระเบียบหาความหมายทางหนึง่
และมีสายธานของขูอมูลมีทางหนึง่ มาจากความคิดและสองทางนี ้
ผสมผสานกันเขูาเป็ นหนึง่ เป็ นผลรวมของตัวแทนแห่งการรับรููขึน

มา ทีผ
่ ิดพลาดขึน
้ มาไม่ใช่เพราะสิง่ นีเ้ กิดขึน
้ แต่ปัญหาอยู่ทีเ่ ราไม่
ไดูตระหนักรููว่ามันเกิดขึน
้ ต่างหาก
การเกิดขึน
้ ของตัวแทนการรับรููนี ้ ก่อขึน
้ มาเป็ นสมบัติร่วมของ
มนุษยชาติ กลายเป็ นโลกๆ หนึง่ ทีส
่ ่วนใหญ่พวกเราจะมองมันว่า
เป็ นโลกของความเป็ นจริง บางคนอาจจะใชูคำาว่าสามัญสำานึกแทน
“โลกทีเ่ ป็ นจริง” ใบนี ้ เราจะมองโลกๆ นี ้ ทีม
่ นุษย์สรูางขึน
้ และ
เป็ นสมบัติร่วมใบนีว้ ่าเป็ นโลกมายาก็ย่อมไดู มันคงเกีย
่ วขูองกับ
ความเป็ นจริงอยู่ดูวยบูาง แต่มันเป็ นการตีความเพียงอย่างหนึง่ ที ่
อาจตีความไดูโดยไม่มีทีส
่ ิน
้ สุด และก็เป็ นการตีความทีม
่ ีความผิด
พลาดอยู่มากมาย ดังจะเห็นไดูจากปั ญหาทีแ
่ กูไม่ตก และขยายตัว
ใหญ่โตรุกลามอยู่ในทุกวันนี ้ จนถึงขนาดทีม
่ นุษย์อาจจะสูญพันธ์ุไป
จากโลก
โลกแห่งความเป็ นจริงหรือโลกมายาหรือสมบัติร่วมแห่งโลก
ตัวแทนการรับรููทีม
่ นุษย์สรูางร่วมกันมานีใ้ หูนิยามและตีความความ
เป็ นตัวตนของปั จเจกบุคคลไวูดูวย ไดูใหูเนือ
้ ทีป
่ ั จเจกไวู โดยนิยาม
ปั จเจกนัน
้ แทูทีจ
่ ริงก็ถูกกำาหนดดูวยโลกแห่งมายานีเ้ อง ซึง่
หมายความว่า ความเป็ นตัวของตัวเองของมนุษย์ แทูจริงก็ดำาเนิน
ไปในกรอบกำาหนดของโลกมายาใบนี ้ เนือ
้ ทีท
่ ีด
่ ูเหมือนจะมีความ
เป็ นปั จเจกมากมายนัน
้ แทูทีจ
่ ริงก็ยังหนีไม่พูนกรอบของโลกมายา
ใบนี ้ เป็ นเหมือนสีสันสไตล์ทีด
่ ูแตกต่างแต่แทูจริงแลูวก็ไม่แตกต่าง
แต่อย่างใดเลย
ถูาการแกูไขปั ญาของโลกยังอยู่ทีก
่ ารคิดโดยอาศัยตัวแทนของ
การรับรููเช่นเดิม ก็จะไม่มีอะไรแปรเปลีย
่ น ความคิดนัน
้ ก็ยังจะวน
เวียนอยู่ในปั ญหาเหมือนเดิม แต่ถูารือ
้ ไปถึงการรับรููโดยแทนทีจ
่ ะไป
อาศัยตัวแทนของความรับรููอย่างสำาเร็จรูปอยู่อย่างนัน
้ เรากลับมอง
ใหูลึกซูองผ่านพูนความเป็ นตัวแทนของการรับรูู เขูาไปรับรููโดยตรง
และก่อรูความคิดขึน
้ มาใหม่ ขบวนการคิดย่อมแปรเปลีย
่ นไป โลก
ย่อมแปรเปลีย
่ นไป
แต่เนือ
่ งดูวยธรรมชาติของความคิดนัน
้ เป็ นสมบัติร่วม การจะ
สรูางโลกใหม่ทีด
่ ีกว่า ทีไ่ ม่วนเวียนอยู่กับมหาสมุทรแห่งตัวแทนของ
การรับรููอย่างเดิมทีเ่ ป็ นปั ญหา เราตูองสรูางโลกร่วมกันเป็ นหมู่
คณะ จึงจะมีพลังผลักดันใหูเกิดโลกใหม่ไดู
แลูวโลกใหม่จะไปติดอยู่ในกรอบของอคติหนึง่ ใดหรือหลายๆ
อคติหรือไม่? แน่นอนสิง่ นัน
้ ย่อมเป็ นไปไดู แต่ดูวยการสนทนาทีเ่ ปิ ด
ใจแสวงหาสัจจะดูวยท่าทีทีส
่ อบทานตัวแทนแห่งการรับรููไดูเสมอ
พลวัตของวงสนทนานัน
้ ย่อมช่วยกันสามารถสลายอคติต่างๆ ใหู
เบาบางลงไปไดูตามลำาดับ ดูวยเหตุนีโ้ บห์มจึงนำาเสนอรูปแบบการ
สนทนาแบบของเขา และก็มีการนำาการสนทนาแบบนีไ้ ปใชูมากขึน

ทุกทีแลูว ใน
หลายวงการ ในระดับโลก
คุ ณ ภ า พ ชี วิ ต กั บ ก า ร ส น ท น า

คนทีเ่ อาจริงเอาจังกับชีวิตมากหรือนูอยเพียงใดก็ตาม ก็ย่อมจะ


ทราบว่า การกระทำาหนึง่ ๆ ทีจ
่ ะใหูออกมาดีนัน
้ ตูองเตรียมการมาก
นูอยเพียงใด เราจะจินตนาการถึงภาพนำา
้ แข็งลอยนำา
้ ทีส
่ ่วนโผล่
ปรากฎเป็ นเพียงเศษหนึง่ ส่วนสิบหรือเศษหนึง่ ส่วนสิบเอ็ดของส่วนที ่
จมอยู่ใตูนำา
้ เท่านัน
้ สิง่ ทีพ
่ ูดไปในเรือ
่ งของการสนทนาในภาคทีห
่ นึง่
และสอง ก็จะทำาใหูเกิดขึน
้ ไดู เราตูองตระเตรียมคุณภาพชีวิตอัน
เป็ นบาทฐานทีส
่ ำาคัญพรูอมกันไป และสัดส่วนก็คงเป็ นสิบส่วนต่อ
ผลไดูทีจ
่ ะเอือ
้ ใหูศิลปะแห่งการสนทนาเพียงส่วนเดียวแต่นัน
่ อาจจะ
หมายถึงว่า คนทีก
่ ูาวมาหยิบจับหนังสือเล่มนีข
้ ึน
้ มาอ่าน บาที อาจ
จะไดูพัฒนาคุณภาพชีวิต อันมีส่วนช่วยสนับสนุนศิลปะแห่งการ
สนทนานีไ้ ปไดูไกลลิบแลูวก็เป็ นไดู
ในทีน
่ ีค
้ งไม่ไดูลงลึกไปในการพัฒนาคุณภาพชีวิตไปเสียเลยที
เดียว แต่ก็จะแตะเฉพาะส่วนทีเ่ กีย
่ วขูองกัน โดยจะลงลึกพอสมควร
ทีจ
่ ะใหูแผนทีโ่ ดยสังเขปว่าอะไรจะเขูามาเป็ นตัวเอือ
้ บูาง? อย่างไร?
และในทางกลับกัน เราจะเห็นไดูดูวยว่าการสนทนาก็จะยูอน
กลับมาเป็ นเครือ
่ งมือสำาคัญในขบวนการเรียนรููเพือ
่ พัฒนาคุณภาพ
ชีวิตของตนเอง!

You might also like