Professional Documents
Culture Documents
ภาคผนวก
ภาคผนวก
ภาคผนวก
คณะกรรมการเทววิทยาระหว่างประเทศ*
ปัญหาบางประการในปัจจุบันเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล
สารบัญ
บทนำ
มนุษย์ในปัจจุบันมีความสับสนเรื่องความตายและชีวิตหลังความตาย 294
ความหวังของคริสตชนในการกลับคืนชีพ
บทที่ 1 การกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าและการกลับคืนชีพของเรา 302
บทที่ 2 การเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระคริสตเจ้าและการกลับคืนชีพของเรา 310
*
วันที่ 11 เมษายน 1969 สมเด็จพระสันตะปาปา ปอลที่ 6 ทรงแต่งตั้ง “คณะกรรมการเทววิทยาระหว่างประเทศ”
(International Theological Commission) ให้เป็นองค์กรหนึ่งในสมณกระทรวงพระสัจธรรม (Sacred Con-
gregation for the Doctrine of Faith) เพื่อช่วยสันตะสำนักตรวจสอบปัญหาสำคัญในด้านคำสอนเรื่องความเชื่อ
คณะกรรมการนี้ประกอบด้วยนักเทววิทยาทั่วโลก จำนวน 30 ท่าน มีวาระการทำงานครั้งละ 5 ปี และจัดประชุม
พร้อมกันทุกคนปีละ 1 ครั้ง
พระคาร์ดินัล โยเซฟ รัตซิงเกอร์ (Joseph Ratzinger) เคยเป็นสมาชิกของคณะกรรมการนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม และใน
ปี 1982 ท่านได้รับตำแหน่งเป็นประธานของสมณกระทรวงพระสัจธรรม จึงได้เป็นประธานของคณะกรรมการฯ
โดยตำแหน่ง และดำรงตำแหน่งทั้งสองนี้ จนได้รับเลือกเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาองค์ปัจจุบัน คือ “สมเด็จ-
พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16”
คณะอนุกรรมการที่ได้ร่างเอกสารฉบับนี้มีคุณพ่อคณะเยซูอิต Candido Pozo เป็นประธานและประกอบด้วย
สมาชิกอื่น ๆ ดังต่อไปนี้ คือ บรรดาศาสตราจารย์ J. Ambaum, J. Gnilka, J. Ibanez Langois, S. Nagy, C. Peter
และบรรดาพระสังฆราช B. Kloppenburg, J. Medina Estevez และ C. Schoenborn ต่อมาสมาชิกฯ ทุกคนต่าง
ลงมติรับรองเอกสารนี้เป็นลายลักษณ์อักษร และจัดพิมพ์ในปี ค.ศ. 1991
292
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
บทที่ 3 ความสนิทสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้าทันทีหลังความตายตามพระคัมภีร์
ภาคพันธสัญญาใหม่ 316
บทที่ 4 ความเป็นจริงของการกลับคืนชีพในบริบทของเทววิทยาปัจจุบัน 322
บทที่ 5 มนุษย์ถูกเรียกให้กลับคืนชีพ 329
บทที่ 6 ความตายของคริสตชน 335
บทที่ 7 สมาชิกทุกคนในพระศาสนจักรมี “ความสนิทสัมพันธ์ทางชีวิต”
กับพระคริสตเจ้า 342
บทที่ 8 การชำระวิญญาณให้บริสุทธิ์เพื่อจะพบพระคริสตเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ 348
บทที่ 9 มนุษย์แต่ละคนมีชีวิตครั้งเดียวและไม่เหมือนใคร
ปัญหาเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด 353
บทที่ 10 แผนการยิ่งใหญ่ของพระเจ้า มนุษย์ต้องดำเนินชีวิตอย่างจริงจัง 357
บทที่ 11 กฎการภาวนาแสดงกฎความเชื่อ (lex orandi – lex credendi) 363
บทสรุป 366
293
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
บทนำ
มนุษย์ในปัจจุบันมีความสับสนเรื่องความตายและชีวิตหลังความตาย
1. ถ้าคริสตชนไม่ประกาศยืนยันว่าพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ ความเชื่อของเขา
ก็ไร้ความหมาย ดังที่นักบุญเปาโลเขียนไว้ว่า “ถ้าพระคริสตเจ้ามิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ การ
เทศน์สอนของเราก็ไร้ประโยชน์ และความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน” (1 คร 15:14)
การที่พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจึงมีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับความหวังที่เราจะกลับ
คืนชีพในอนาคตอีกด้วย “ถ้าเราประกาศว่า พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย
แล้ว เพราะเหตุใด บางท่านจึงพูดว่า บรรดาผู้ตายจะไม่กลับคืนชีพเล่า” (1 คร 15:12) การกลับคืน
พระชนมชีพของพระคริสตเจ้า จึงเป็นพื้นฐานของความหวังของเรา เป็นการเปิดขอบฟ้าใหม่เหนือ
ข้อจำกัดแห่งชีวิตในโลกนี้ “ถ้าเรามีความหวังในพระคริสตเจ้าเพียงเพื่อชีวิตนี้เท่านั้น เราก็เป็น
มนุษย์ที่น่าสงสารที่สุด” (1 คร 15:19) ถ้าผู้ใดไม่มีความหวังนี้ เขาก็จะดำเนินชีวิตคริสตชนที่แท้จริง
ไม่ได้
พระศาสนจักรตัง้ แต่สมัยแรกเห็นชัดแจ้งว่า ความหวังแน่วแน่ในชีวติ หน้ามีความสัมพันธ์อย่าง
แน่นแฟ้นกับสมรรถภาพที่จะตอบสนองข้อเรียกร้องของชีวิตคริสตชน พระศาสนจักรในสมัยนั้นระลึก
ว่า บรรดาอัครสาวกได้ผ่านความทุกข์ทรมานจนบรรลุถึงความรุ่งโรจน์1 ฉันใด บรรดามรณสักขีก็ได้รับ
กำลังใจจากความหวังที่จะพบพระคริสตเจ้าโดยอาศัยความตาย และความหวังที่จะกลับคืนชีพใน
อนาคต2 ฉันนั้น
บรรดานักบุญทุกสมัยมีความหวังนีเ้ ป็นแรงบันดาลใจและพืน้ ฐาน มอบชีวติ ของตนเป็นมรณ-
สักขีหรืออุทิศตนในการรับใช้พระคริสตเจ้าและเพื่อนมนุษย์ เขาเป็นพยานที่ให้กำลังใจแก่คริสตชน
1
เทียบ St. Clement of Rome, Ad Corinthios 5: Funk, 1, 104-6.
2
เทียบ St. Ignatius of Anthioch, Ad Romanos 4: Funk 1:256-8.
294
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
3
สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 พระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 39
4
Synod 1985, Relatio Finalis II, A, 1 (E. Civitate Vaticana 1985) p. 6.
5
สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 พระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 18
295
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
296
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
297
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
298
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
ตีความหมายพระคัมภีร์แคบลง”12 แต่เทววิทยาเรื่องอนันตกาลที่เลือกตีความหมายพระคัมภีร์เพียง
บางแง่บางมุมของเรื่องอนันตกาลเท่านั้นเป็นเทววิทยาที่เรารับไม่ได้ แม้วิธีการนี้จะหลีกเลี่ยงแนว
ความคิดตามลัทธิมาร์กซิสต์ก็ไม่อาจเข้ากับคริสต์ศาสนาได้เลย
เป็นที่รู้กันว่า ลัทธิมาร์กซิสต์ดั้งเดิมมองศาสนาว่าเป็น “ฝิ่น” ที่มอมเมาประชาชน เพราะ
ศาสนา “หลอกมนุษย์ให้หวังจะได้ชีวิตหน้า เบนความสนใจไม่คิดที่จะสร้างความเจริญในโลก” 13
คำกล่าวหานี้ไม่มีเหตุผลทางวัตถุวิสัยแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นลัทธิวัตถุนิยมที่ทำให้มนุษย์ไม่มีแรงจูงใจ
ในการสร้างความเจริญในโลก มนุษย์เราจึงต้องดิ้นรนไปทำไม ถ้าไม่มีความหวังในชีวิตหลังความตาย
“เราจงกินและดื่มเถิด เพราะพรุ่งนี้เราก็จะตายแล้ว” (อสย 22:13) ตรงกันข้าม “ความหวังของเรา
ในโลกหน้าไม่ทำให้กิจการต่างๆ ในโลกนี้มีความสำคัญน้อยลง แต่กลับช่วยให้การงานนั้นลุล่วง
สำเร็จไปด้วยดี”14
เราไม่ปฏิเสธว่ามีคริสตชนจำนวนไม่น้อยที่คิดถึงโลกหน้ามากเกินไป จนเขาเลือกวิถีชีวิตที่
เน้นความศรัทธา แต่ละเลยหน้าที่ทางสังคม เราไม่ควรยอมรับวิถีชีวิตเช่นนี้ แต่เราก็ต้องไม่ลืมชีวิต
ในโลกหน้าเพื่อทำให้คริสต์ศาสนามีบทบาทในการสร้างสังคมใหม่ในโลกนี้ ทั้งในด้านชีวิตส่วนบุคคล
และในด้านการทำหน้าที่อภิบาล อำนาจการสอนของพระศาสนจักรเสนอความคิดเรื่อง “การปลด
ปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระแบบบูรณาการ”15 ซึง่ รักษาความสมดุลและการเพิม่ พูนขององค์ประกอบ
12
สมณกระทรวง AAS 76 (1984) 900.
13
สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 พระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 20
14
สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 พระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 21
15
สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6, Apostolic Exhortation Evangelii Nuntiandi, 31: AAS 68
(1976) 28.
299
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
3. คำตอบของคริสตชนต่อความสับสนของมนุษย์ในปัจจุบันยังคงเป็นคำตอบของคริสตชน
ในทุกยุคทุกสมัย คือ มีพื้นฐานอยู่ที่พระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ และมีความหวังว่าเรา
ทุกคนที่เป็นของพระคริสตเจ้าจะได้กลับคืนชีพอย่างรุ่งเรืองในอนาคต18 การกลับคืนชีพของบรรดา
ผู้ตายจะเป็นเหมือนการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า “เราเกิดมามีลักษณะเหมือนคนฝ่ายโลก
ฉันใด เราก็จะมีลักษณะเหมือนคนจากสวรรค์ฉันนั้น” (1 คร 15:49) ซึ่งหมายถึง มีลักษณะเหมือ
นพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ การกลับคืนชีพของเราจะเป็นเหตุการณ์ของพระศาสนจักร
ทั้งหมด ซึ่งมีความผูกพันกับการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระคริสตเจ้า เมื่อจำนวนของบรรดาพี่น้อง
จะครบถ้วน (เทียบ วว 6:11) แม้ก่อนบรรดาผู้ตายจะกลับคืนชีพในวันสุดท้าย ผู้ตายในศีลในพรของ
16
เทียบ คณะกรรมการนานาชาติด้านเทววิทยา, Human Development and Christian Salvation (1976), in
International Theological Commission, Texts and Documents, 1969-1985 (San Francisco 1989)
145-62.
17
Synod 1985, Relatio Finalis II, D, 6 (E. Civitate Vaticana 1985) p. 19.
18
ไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายว่ามนุษย์อาจ “เป็นของพระคริสตเจ้า” ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นสมาชิกของพระศาสนจักรอย่าง
ปรากฏชัดเจน เทียบ สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 สังฆพระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักร ข้อ 55.
300
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
พระเจ้าและผ่านการชำระตนให้บริสุทธิ์แล้วถ้าจำเป็น ก็มีความสนิทสัมพันธ์ทันทีหลังความตายกับ
พระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ความสนิทสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับ
คืนพระชนมชีพก่อนการกลับคืนชีพนี้ เรียกร้องทรรศนะ 2 ประการ คือมานุษยวิทยาและความคิด
เรื่องความตายแบบคริสตชนโดยเฉพาะ ความเชื่อที่พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพช่วยเราให้
เข้าใจว่า สมาชิกทุกคนในพระศาสนจักร “มีส่วนร่วมกันทางทรัพยากรฝ่ายจิต”19 โดยอาศัยพระ-
คริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพและทรงเป็นประมุขของพระศาสนจักร พระคริสตเจ้าทรงเป็น
จุดมุ่งหมายของชีวิตเรา ในชีวิตสั้นๆ ของเราในโลกนี้ เราต้องเดินทางไปสู่พระองค์ อาศัยความ
ช่วยเหลือจากพระหรรษทานของพระองค์ เราต้องเดินทางด้วยความรับผิดชอบ เพราะเรากำลังมุ่ง
ไปสู่ผู้ที่ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต เราไม่รอคอยชีวิตอีกชีวิตหนึ่งเหมือนชีวิตปัจจุบันในโลกนี้ แต่เรารอคอย
พระคริสตเจ้า ผู้ทรงบันดาลให้ความปรารถนาทั้งหมดของเราได้รับการตอบสนองอย่างสมบูรณ์
19
สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 สังฆพระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักร ข้อ 49.
301
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
ความหวังของคริสตชนในการกลับคืนชีพ
บ ท ที่ 1
การกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าและการกลับคืนชีพของเรา
1. นักบุญเปาโลเขียนถึงชาวโครินทธ์ว่า “ข้าพเจ้ามอบธรรมประเพณีสำคัญที่สุดให้กับท่าน
เป็นธรรมประเพณีที่ข้าพเจ้าได้รับมาอีกทอดหนึ่ง คือ พระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา
ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ และทรงถูกฝังไว้ พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สามตาม
ความในพระคัมภีร์” (1 คร 15:3-4) โดยแท้จริงแล้ว พระคริตสเจ้าไม่เพียงทรงกลับคืนพระชนมชีพ
เท่านั้น “แต่ทรงเป็นการกลับคืนชีพและชีวิต“ (ยน 11:25) และทรงเป็นความหวังที่เราจะกลับคืนชีพ
ด้วย คริสตชนทุกวันนี้ จึงยืนยันความเชื่อเช่นเดียวกันกับคริสตชนในสมัยก่อน ดังบท “ข้าพเจ้าเชื่อ”
ที่กำหนดไว้ในสภาสังคายนาที่เมืองนิเชอา - คอนสแตนติโนเปิลว่า พระคริสตเจ้า “ทรงกลับคืนพระ-
ชนมชีพในวันที่สาม ตามความในพระคัมภีร์”
คำยืนยันความเชื่อดังกล่าวเป็น ”ธรรมประเพณีอมตะแห่งพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ของ
พระเจ้า”20 เมื่อเรายืนยันความเชื่อในพระคริสตเจ้า “ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม ตาม
ความในพระคัมภีร์” เรายังเสริมอีกว่า “ข้าพเจ้ารอวันที่ผู้ตายจะกลับคืนชีพ”21 ความเชื่อที่เรายืนยัน
เช่นนีส้ อดคล้องกับข้อความในหนังสือพระคัมภีรภ์ าคพันธสัญญาใหม่วา่ “บรรดาผูต้ ายในพระคริสตเจ้า
จะกลับคืนชีพ” (1ธส 4:16)
“ความจริง พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เป็นผลแรกของบรรดา
ผู้ล่วงหลับไปแล้ว” (1 คร 15:20) การพูดเช่นนี้มีนัยว่า การกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า
ไม่ เ ป็ น เหตุ การณ์ ที่ สิ้ น สุ ดในพระองค์ แต่ สั ก วั น หนึ่ ง จะมี ผ ลถึ ง ทุ ก คนที่ เ ป็ น ของพระคริ ส ตเจ้ า
20
สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 “บทแสดงความเชื่อของประชากรพระเจ้า” 3: AAS 60 (1968) 434.
21
Denz.-Schoenm. 150
302
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
303
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
คำกล่าวโจมตีและคำเยาะเย้ยดังกล่าวไม่สามารถทำให้คริสตชนในศตวรรษแรกๆ เลิก
ประกาศความเชื่อในการกลับคืนชีพ และไม่ทำให้นักเทววิทยาในสมัยแรกหยุดอธิบายข้อความเชื่อ
นี้ได้ บทข้าพเจ้าเชื่อทุกสำนวน ดังเช่น บทข้าพเจ้าเชื่อที่กำหนดไว้ในสภาสังคายนานิเชอา-คอน-
สแตนติโนเปิล ต่างลงท้ายความเชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ “เทววิทยาก่อนสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน
กล่าวถึงข้อความเชื่อเรื่องการกลับคืนชีพอยู่เสมอ”24 ดังนั้น เราจึงไม่ต้องกลัวการต่อต้านข้อความ
เชื่อนี้ในสมัยของเรา
บรรดาปิตาจารย์ยืนยันถึงความเชื่อในการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายด้วยสำนวนตรงไป
ตรงมา เช่น “การกลับคืนชีพของเนื้อหนัง” เริ่มใช้ตั้งแต่สมัยโบราณ และปรากฏในบท “ข้าพเจ้า
เชื่อ...” ดั้งเดิมที่ใช้ในกรุงโรมเมื่อโปรดศีลล้างบาป ต่อจากนั้น สำนวนนี้ก็นำมาใช้ในบทแสดงความ
เชื่ออื่นๆ ที่พระศาสนจักรท้องถิ่นต่างๆ ได้กำหนดขึ้น โดยมีจุดประสงค์ที่จะหลีกเลี่ยงความเข้าใจ
ผิดที่ว่า การกลับคืนชีพเป็นเพียงเรื่องของจิต ดังที่คริสตชนบางคนที่ยึดลัทธิจินไตยนิยมเชื่อ สำนวน
“การกลับคืนชีพของเนื้อหนัง” จึงเน้นว่าเป็นการกลับคืนชีพของร่างกายด้วย25
สภาสังฆราชที่มาชุมนุมกันที่เมืองโทเลโด ครั้งที่ 11 ในปี ค.ศ. 675 อธิบายคำสอนนี้อย่าง
ชัดเจนว่า พระศาสนจักรไม่ยอมรับความคิดเห็นทีว่ า่ การกลับคืนชีพเกิดขึน้ ในเนือ้ หนังทีเ่ ป็น ”อากาศ
ธาตุหรือเป็นเนื้อหนังต่างจากมนุษย์ปุถุชนเช่นเรา” แต่เชื่อว่าการกลับคืนชีพจะเกิดขึ้นในรูปแบบของ
“เนื้อหนังเดิมที่เราเคยมีชีวิตอยู่ ดำรงอยู่และเคลื่อนไหวอยู่” คำยืนยันความเชื่อนี้คำนึงถึง “รูปแบบ
การกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นพระเศียรของพระศาสนจักรและประมุขของ
เรา”26
24
A. Stuiber, Refrigerium interim. Die Vorstellungen vom Zwischenzustand und die fruechristliche
Grabeskunst, Bonn 1957, p.101
25
เทียบ. J.N. Kelly, Early Christian Creeds, London, 1952, p. 163-165.
26
Denz.- Schoenm. 540
304
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
การอ้างถึงพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพแสดงว่า การกลับคืนชีพเกี่ยวข้องกับ
ร่างกายมนุษย์อย่างแท้จริง แต่ไม่ปฏิเสธว่า ร่างกายเดิมของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้จะต้องเปลี่ยน
แปลงเป็นร่างกายที่รุ่งโรจน์ ร่างกายที่เป็นอากาศธาตุอาจจะเป็นการสร้างใหม่ก็จริง แต่จะไม่สอด-
คล้องกับความจริงของการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า เพราะจะเป็นเพียงร่างในจินตนิยาย
เท่านัน้ บรรดาพระสังฆราชทีเ่ ข้าประชุม เข้าใจการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าอย่างสมเหตุ
สมผล สอดคล้องกับคำยืนยันในพระคัมภีร์ถึงพระคูหาว่างเปล่า และการที่พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืน
พระชนมชีพสำแดงพระองค์แก่บรรดาอัครสาวก พระวรสารเน้นว่า พระคริสตเจ้าทรงสำแดงพระองค์
และบรรดาอัครสาวกเห็นพระองค์และจำได้ว่าเป็นพระองค์ ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงไป
บ้าง พระวรกายที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนก็เป็นพระวรกายเดียวกันที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพ และที่
บรรดาอัครสาวกเห็น ทว่าอยู่ในสภาพที่รุ่งโรจน์เพราะได้เปลี่ยนแปลงจากสภาพเดิม
นักบุญลูกาเล่าว่า เมื่อพระคริสตเจ้าได้สำแดงพระองค์แก่บรรดาอัครสาวก พระองค์ตรัสว่า
“สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด’ เขาต่างตกใจกลัว คิดว่าได้เห็นผี แต่พระองค์ตรัสว่า ‘ท่าน
วุ่นวายใจทำไม เพราะเหตุใดท่านจึงมีความสงสัยในใจ จงดูมือและเท้าของเราซิ เป็นเราเองจริงๆ
จงคลำตัวเราดูเถิด ผีไม่มีเนื้อ ไม่มีกระดูกอย่างที่ท่านเห็นว่าเรามี’” (ลก 24:36-39)
เมื่อพระคริสตเจ้าได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ไม่ทรงดำเนินชีวิตเหมือนเดิมและพระวรกาย
ของพระองค์ไม่รู้จักตายอีกต่อไป ดังนั้น เมื่อเรากลับคืนชีพ เราจะมีร่างกายที่ละม้ายคล้ายกับพระ-
วรกายที่รุ่งโรจน์ของพระคริสตเจ้า ดังที่นักบุญเปาโลเขียนไว้ว่า “บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ในสวรรค์
เราเฝ้าคอยพระผู้ไถ่จากแดนนี้ คือ พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนรูปร่าง
อันต่ำต้อยของเราให้เหมือนพระกายอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ ด้วยพระฤทธานุภาพที่ทำให้พระองค์
ทรงบังคับจักรวาลทั้งหมดให้อยู่ใต้อำนาจของพระองค์ได้” (ฟป 3:20-21) ร่างกายของเราในโลกนี้ม ี
วิญญาณที่เป็นหลักของชีวิต แต่ร่างกายที่กลับคืนชีพแล้วมีพระจิตเจ้าทรงเป็นหลักของชีวิต “สิ่งที่
หว่านลงไปเป็นร่างกายตามธรรมชาติ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพเป็นร่างกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต ถ้ามี
ร่างกายตามธรรมชาติ ก็มีร่างกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิตด้วย” (1 คร 15:44)
305
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
27
On hermeneutics, cf. คณะกรรมการเทววิทยาระหว่างประเทศ, “The Interpretation of Dogma”
(1998) in Irish Theological Quarterly 56 (1990) p. 251-77
306
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
2.2 พระเจ้าทรงสำแดงความจริงเกี่ยวกับอนาคตของมนุษย์ในการกลับคืนพระชนมชีพ
ของพระคริสตเจ้า ดังที่บรรดาปิตาจารย์เคยอธิบายอย่างชัดเจนในข้อเขียนต่างๆ ของท่านว่า บรรดา
ผู้ตายจะกลับคืนชีพเช่นเดียวกับที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ สิ่งที่ประชากรอิสราเอล
ในอดีตตั้งความหวังไว้เกี่ยวกับการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าก็เป็นความจริง เราเชื่อว่าการ
กลับคืนชีพไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะพระคริสตเจ้าเท่านั้น แต่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนด้วย
2.3 ทรรศนะของเราเกี่ยวกับมนุษย์และโลกต้องมีพื้นฐานมาจากการเปิดเผยของพระเจ้า
ทางพระคัมภีร์และเหตุผลทางปรัชญา เราต้องยอมรับว่ามนุษย์และโลกมีกระแสเรียกสูงส่งเพราะ
เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ยิ่งกว่านั้นเราต้องเน้นว่า “พระเจ้าทรงเป็นอนันตกาลของเรา คือ ทรงเป็น
เหตุการณ์สุดท้ายของสิ่งสร้างทั้งหลาย ดังนั้น สวรรค์จึงหมายถึงการเข้าถึงพระเจ้า นรกหมายถึง
การสูญเสียพระเจ้า การพิพากษาหมายถึง พระเจ้าผู้ทรงวินิจฉัย ไฟชำระหมายถึงพระเจ้าผู้ทรงชำระ
เราให้บริสุทธิ์หมดจด สิ่งสร้างทุกสิ่งตายในพระเจ้าและกลับคืนชีพโดยอาศัยพระองค์ ในพระองค์
และเพื่อพระองค์ พระเจ้าทรงใส่พระทัยต่อโลกทางพระบุตรของพระองค์ คือ พระคริสตเจ้าผู้ทรง
เปิดเผยพระเจ้าและทรงรวมอนันตกาล หรือเหตุการณ์สุดท้ายของทุกสิ่งไว้ในพระองค์”28 เมื่อเรา
ยึดถือคำสอนเรื่องร่างกายจะกลับคืนชีพจริง เราไม่ควรลืมลักษณะสำคัญข้อแรกในการกลับคืนชีพ
นั้น คือ ความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าในพระคริสตเจ้า ความสนิทสัมพันธ์เช่นนี้ จะสมบูรณ์เมื่อเรา
กลับคืนชีพทางกายด้วย ความสนิทสัมพันธ์นี้เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของมนุษย์ ของพระศาสนจักร
และของโลก
สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 อธิบายถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่ให้มนุษย์มีความสนิทสัมพันธ์
กับพระองค์อย่างชัดเจนว่า “พระเจ้าทรงมีพระทัยดีและปรีชาญาณ ทรงมีพระประสงค์ที่จะแสดง
พระองค์แก่มนุษย์ ให้มนุษย์รู้ถึงแผนการอันลุ่มลึกของพระองค์ (เทียบ อฟ 1:9) คือ โดยการที่พระ-
คริสตเจ้าองค์พระวจนาตถ์ผู้ทรงรับเอาร่างกาย มนุษย์สามารถเข้าถึงพระบิดาเจ้าในองค์พระจิตเจ้า
28
H.U. von Balthasar, “Eschatologie” , in Fragen der Thelogie Heute (Zuerich – Koeln 1957) p. 407-8
307
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
308
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
32
Adversus haereses 5, 13, 3: SC 153, 172
33
Ibid, 5, 13,1: SC 153, 162 and 164
34
เทียบ สภาสังคายนาเมืองเตรนต์, Sess. 25 , Decretum de reliquiis: Denz.- Schoenm. 1822
309
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
บ ท ที่ 2
การเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระคริสตเจ้าและการกลับคืนชีพของเรา
1. หนังสือพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่สอนว่า การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายจะเกิดขึ้น
ในเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ นักบุญเปาโลประกาศเรื่องการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายว่า จะเกิด
ขึ้นผ่านทางพระคริสตเจ้าและในพระคริสตเจ้า แล้วท่านยังเสริมว่า “แต่จะเป็นไปตาม ลำดับของ
แต่ละคน พระคริสตเจ้าทรงเป็นผลแรก ต่อไปก็คือ ผู้ที่เป็นของพระคริสตเจ้า เมื่อพระองค์จะเสด็จ
มา” (1 คร 15:23) ข้อความนี้บอกชัดเจนว่าการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง
ตามกาลเวลา
ภาษากรีกที่นักบุญเปาโลใช้เพื่อบอกว่า “พระองค์จะเสด็จมา” คือ “parousia” ซึ่งหมายถึง
การเสด็จมาครั้งที่สองในอนาคต ในพระสิริรุ่งโรจน์เมื่อพระองค์จะสำแดงองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้า
แตกต่างจากการเสด็จมาครั้งแรกในสภาพที่ต่ำต้อย35 ดังนั้น “การสำแดงพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์”
(ทต 2:13) และ “การเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์” ของพระคริสตเจ้า หมายถึง เหตุการณ์เดียวกันกับพระ-
วรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์นเล่าถึงเหตุการณ์นี้โดยใช้คำว่า “ในวันสุดท้าย” เช่น “ผู้ที่กิน
เนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย” (ยน
6:54) “พระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามา ก็คือ เราจะไม่สูญเสียผู้ใดที่พระองค์ทรงมอบให้แก่เรา แต่
จะให้ผู้นั้นกลับคืนชีพในวันสุดท้าย พระประสงค์ของพระบิดาของเรา ก็คือ ทุกคนที่เห็นพระบุตร แล้ว
เชื่อในพระบุตร จะมีชีวิตนิรันดร และเราจะให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย” (ยน 6:39-40)
35
เทียบ “บทข้าพเจ้าเชื่อจากสภาสังคายนานีเชอา-คอนสแตนติโนเปิล” in Denz.-Schoenm. 150 “พระองค์จะเสด็จ
มาอีกด้วยพระสิริรุ่งโรจน์”
ถึงตรงนี้
310
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
นักบุญเปาโลบรรยายถึงความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวาระสุดท้ายของโลก
อย่างตื่นเต้นว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จลงมาจากสวรรค์ตามพระบัญชา เมื่อมีเสียงหัวหน้าทูต
สวรรค์และเสียงแตรของพระเจ้า บรรดาผู้ตายในพระคริสตเจ้าจะกลับคืนชีพก่อน ต่อจากนั้น เราผู้
ยังมีชีวิตอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในกลุ่มเมฆพร้อมกับพวกเขา ไปพบองค์พระผู้เป็นเจ้าในท้องฟ้า เราจะ
ได้อยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป” (1 ธส4:16-17) รายละเอียดของการเสด็จมาของพระคริสตเจ้า
ในวาระสุดท้ายมีหลายประการ คือ ผู้ตายจะกลับคืนชีพตามพระบัญชา เขาและผู้ยังมีชีวิตอยู่จะถูก
นำไปพบกับองค์พระผู้เป็นเจ้า และจะติดตามพระองค์ไปยังการพิพากษา อันเป็นจุดเริ่มต้นของพระ-
อาณาจักรนิรันดร รายละเอียดที่สำคัญที่สุดคือชีวิตนิรันดรกับพระคริสตเจ้า ซึ่งอาจจะเรียกได้อีกว่า
“ความรอดพ้น” “สิริรุ่งโรจน์” และ “อาณาจักร” พระเยซูเจ้าทรงเรียกบรรดาศิษย์ที่ทรงเลือกสรร
ให้มีส่วนร่วมด้วย ส่วนรายละเอียด “แตร เสียงและเมฆ” เป็นเครื่องหมายที่เคยใช้บรรยายการสำแดง
องค์ของพระเจ้า รายละเอียดเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในวรรณกรรม (ประเภท) วิวรณ์ บรรดาปิตาจารย์
ของพระศาสนจักรจึงเคยสอนอย่างชัดเจนว่า “เมื่อพระคริสตเจ้าเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ มนุษย์ทุกคน
จะกลับคืนชีพ”36
ทฤษฎีที่ว่า“การกลับคืนชีพจะเกิดขึ้นทันทีทันใดหลังความตาย” จึงค้านกับคำยืนยันใน
พระคัมภีร์ ผู้ยึดทฤษฎีดังกล่าวนี้มักจะสอนว่าการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายไม่เกี่ยวข้องกับร่างกาย
ที่เขาเคยมีเมื่อยังมีชีวิตอยู่ คำสอนนี้ค่อนข้างแพร่หลายในหมู่คริสตชน แต่เป็นคำสอนที่ทำลายความ
เป็นจริงเรื่องการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย นักเทววิทยาผู้สนับสนุน “การกลับคืนชีพจะเกิดขึ้นทันที
ทันใดหลังความตาย” ต้องการลบล้างความคิดที่ว่า หลังความตาย “วิญญาณยังคงอยู่แต่แยกตัวออก
จากร่างกาย” เพราะเขาคิดว่า ความเชื่อดังกล่าวนี้มีอิทธิพลมาจากลัทธิเพลโตที่นอกเหนือจากคำสอน
ของบรรดาปิตาจารย์และนักเทววิทยา
36
บทข้าพเจ้าเชื่อ Symbolum “Quicumque”, in Denz.-Schoenm. 76.
311
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
เราเข้าใจดีถึงความกลัวของนักเทววิทยาผู้สนับสนุน “การกลับคืนชีพจะเกิดขึ้นทันทีทันใด
หลังความตาย” เขากลัวว่าลัทธิเพลโตจะสร้างความสับสนและเบี่ยงเบนความเชื่อของคริสตชน เพราะ
เพลโตสอนว่า ร่างกายของมนุษย์เป็นเหมือนคุกของวิญญาณและจำเป็นต้องช่วยวิญญาณให้เป็นอิสระ
พ้นจากร่างกาย แต่ความเชือ่ ของคริสตชนไม่ได้สอนเช่นนัน้ เราเข้าใจเจตนาดีของนักเทววิทยาเหล่านี้
แต่ไม่เข้าใจว่า เหตุใดพวกเขาผู้หลีกเลี่ยงลัทธิเพลโตอย่างสิ้นเชิงยังยืนยันว่าร่างกายใหม่ของผู้กลับ
คืนชีพจะไม่เกี่ยวข้องกับร่างกายที่เขาเคยมีเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ทำให้เรามองไม่เห็นว่า ร่างกายใหม่เป็น“
เนื้อหนังเดียวกันกับที่เรามีชีวิตอยู่ในเวลานี้”37 อย่างแท้จริง ข้อความโบราณต่างๆ ที่ใช้ในบทข้าพเจ้า
เชื่อ ต้องการเน้นเป็นพิเศษว่า มนุษย์เราจะต้องกลับคืนชีพในร่างกายเดียวกันกับที่เรามีชีวิตอยู่ใน
ปัจจุบัน
นักเทววิทยาผู้สนับสนุน “การกลับคืนชีพจะเกิดขึ้นทันทีทันใดหลังความตาย” นั้น แยกความ
คิดของร่างกายออกเป็น 2 มโนทัศน์ เหมือนกับว่า “ร่างกายของมนุษย์” แยกจาก “ศพ” ภาษา
เยอรมันมี 2 คำที่หมายถึงร่างกายคือ Leib และ Koerper แต่ในภาษาอื่นๆ มีคำเดียว จึงทำให้
การแยกแยะนี้เข้าใจยาก และไม่มีใครเข้าใจนอกจากปัญญาชน ประสบการณ์ในงานอภิบาลสัตบุรุษ
สอนว่า คริสตชนทั่วไปเกิดความสับสนเมื่อได้ยินพระสงฆ์เทศน์ในพิธีปลงศพว่าผู้ตายคนนั้นได้กลับ
คืนชีพแล้ว บทเทศน์เช่นนี้ทำให้สัตบุรุษเกิดความเข้าใจผิดในเรื่องการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย
ยิ่งกว่านั้น สัตบุรุษที่มีชีวิตอยู่ในสังคมที่มีความคิดแบบโลกนิยมและวัตถุนิยม อาจจะหลงคล้อยตาม
กระแสความคิดที่ว่า มนุษย์ไม่มีอะไรคงอยู่หลังความตาย แต่ตรงกันข้าม พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญา
ใหม่สอนชัดเจนว่า การที่พระคริสตเจ้าจะเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง
ในวาระสุดท้ายของประวัติศาสตร์มนุษย์ ผู้ใดพยายามอธิบายว่า การเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระ-
คริสตเจ้าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่มนุษย์แต่ละคนพบกับพระองค์เมื่อเขาตาย ผู้นั้นก็บิดเบือน
ความหมายของข้อความในพระคัมภีร์อย่างแน่นอน
37
Fides Damasi, in Denz.-Schoenm. 72.
312
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
313
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
วิธีพูดในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เรื่องความตายของบรรดามรณสักขีทำให้เราเข้าใจ
ว่า ความตายเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน แต่เกิดขึ้นก่อนและหลังกันในกาลเวลา ”เมื่อลูกแกะทรงเปิดตรา
ผนึกดวงที่ห้า ข้าพเจ้าเห็นวิญญาณที่ใต้แท่นบูชา วิญญาณเหล่านั้นเป็นวิญญาณของผู้ที่ถูกประหาร
เพราะพระวาจาของพระเจ้า และเพราะคำพยานที่เขาให้ เขาเหล่านั้นร้องเสียงดังว่า ‘ข้าแต่องค์
พระผู้เป็นเจ้า ผู้ศักดิ์สิทธิ์และทรงสัตย์ พระองค์จะทรงรีรออีกนานเท่าใดเล่า ที่จะทรงตัดสินลงโทษ
ผู้อาศัยบนแผ่นดินเป็นการแก้แค้นแทนโลหิตของเรา’ แล้วแต่ละคนได้รับเสื้อขาว และได้รับพระวาจา
ให้อดทนต่อไปอีกระยะหนึ่งจนกว่าเพื่อนผู้รับใช้และพี่น้องของเขาที่จะต้องถูกประหารเหมือนเขาจะ
มีจำนวนครบถ้วน” (วว 6:9-11)
เช่นเดียวกัน ถ้าหลังจากความตายไม่มีกาลเวลาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเลย แม้ในความ
หมายที่เป็นเวลาใกล้เคียงกับเวลาในโลกนี้ ก็จะเป็นการยากที่จะเข้าใจความคิดของนักบุญเปาโล
เช่นเมื่อชาวเมืองเธสะโลนิกาถามถึงชะตากรรมของบรรดาผู้ตาย ท่านก็ตอบอ้างถึงการกลับคืนชีพ
ของบรรดาผู้ตายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต “พี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านขาดความรู้ความเข้าใจถึง
เรื่องผู้ล่วงหลับคือผู้ที่ตายไปแล้ว เพื่อท่านจะได้ไม่โศกเศร้าเหมือนคนอื่นที่ไม่มีความหวัง เราเชื่อว่า
พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์และทรงกลับคืนพระชนมชีพ เราจึงเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงนำบรรดาผู้หลับอยู่
มากับพระองค์โดยทางพระเยซูเจ้าเช่นเดียวกัน ตามพระวาจาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เราขอบอกท่านว่า
เราผูย้ งั มีชวี ติ และรออยูจ่ นถึงวันทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเสด็จมา จะไม่ได้เปรียบบรรดาผูท้ ลี่ ว่ งหลับไปแล้ว
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จลงมาจากสวรรค์ตามพระบัญชา เมื่อมีเสียงหัวหน้าทูตสวรรค์และ
เสียงแตรของพระเจ้า บรรดาผู้ตายในพระคริสตเจ้าจะกลับคืนชีพก่อน ต่อจากนั้น เราผู้ยังมีชีวิตอยู่
จะถูกรับขึ้นไปในกลุ่มเมฆพร้อมกับพวกเขา ไปพบองค์พระผู้เป็นเจ้าในท้องฟ้าเราจะได้อยู่กับองค์
พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป จงใช้ถ้อยคำเช่นนี้ปลอบใจกันเถิด” (1 ธส 4:13-18)
นอกจากนั้น การปฏิเสธว่าหลังความตายมีกาลเวลาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เพื่อสอนว่า
การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายเกิดขึ้นทั้งพร้อมกันและต่างกันอย่างต่อเนื่อง ถ้าพิจารณาเวลาที่ตาย
นั้น ดูเหมือนไม่ค่อยจะคำนึงถึงการกลับคืนชีพของร่างกายอย่างแท้จริง เพราะร่างกายที่ไม่มีความ
314
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
315
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
บ ท ที่ 3
ความสนิทสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้าทันทีหลังความตาย
ตามพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่
316
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
317
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
จากอุปมาเรื่องเศรษฐีกับลาซารัสในพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกา มีความคิด
เช่นนี้เป็นนัยๆ อยู่ “เศรษฐีผู้หนึ่ง แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน
คนยากจนผู้หนึ่งชื่อลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว อยากจะกิน
เศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐี มีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา วันหนึ่ง คนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์
นำเขาไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน และถูกฝังไว้เศรษฐีซึ่งกำลังถูก
ทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงนหน้าขึ้น มองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก จึง
ร้องตะโกนว่า ท่านพ่ออับราฮัม จงสงสารลูกด้วยกรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นให้
ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะลูกกำลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในเปลวไฟนี้ แต่อับราฮัมตอบว่า ลูกเอ๋ยจง
จำไว้ว่าเมื่อยังมีชีวิตลูกได้รับแต่สิ่งดีๆ ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลวๆ บัดนี้เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่
ส่วนลูกต้องรับทรมาน ยิ่งกว่านั้นยังมีเหวใหญ่ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้าม
จากที่นี่ไปหาลูกก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้เช่นกัน
ด้วย เศรษฐีจึงพูดว่า ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก เพราะลูกยังมีพี่
น้องอีกห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย อับราฮัมตอบว่า พี่น้อง
ของลูกมีโมเสส และบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด แต่เศรษฐีพูดว่า มิใช่
เช่นนั้น ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึ่งจากบรรดาผู้ตายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ อับราฮัมตอบว่า
ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะ
ไม่เชื่อ” (ลก 16:19-31)
4. หนังสือพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ยืนยันว่า ในช่วงเวลาระหว่างความตายกับการ
พิพากษาประมวลพร้อม บรรดาผูต้ ายก็เริม่ ได้รบั ผลตอบแทนจากการกระทำของตนแล้ว เพราะหนังสือ
เหล่านั้นสอนว่าวิญญาณของบรรดาผู้ตายยังคงอยู่ต่อไปหลังความตาย คำสอนนี้ต่างจากคำสอนเรื่อง
การกลับคืนชีพ เพราะพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ไม่เคยเล่าเรื่องการกลับคืนชีพควบคู่กับเรื่อง
ความตาย พระคัมภีรภ์ าคพันธสัญญาใหม่เน้นเพียงว่า วิญญาณคงอยูต่ อ่ จากความตายก็คอื วิญญาณ
มนุษย์มีความสนิมสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้า
318
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน ทรงสัญญากับโจรคนหนึ่งที่ถูกตรึงข้างพระองค์
ว่า เขาจะมีความสนิมสัมพันธ์กับพระองค์ “เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ ท่านจะอยู่กับเราใน
สวรรค์” (ลก 23:43) คำว่า “สวรรค์” ในต้นฉบับภาษากรีกใช้คำเฉพาะ ส่วนภาษาอังกฤษใช้คำว่า
“ปาราไดซ์” (Paradise) ซึ่งเป็นคำทับศัพท์ในภาษาเปอร์เซีย ตรงกับศัพท์ในภาษาฮีบรูที่หมายถึง
“สวนเอเดน” พระองค์ไม่ทรงอธิบายรายละเอียดของสวนเอเดน นอกจากทรงสัญญาว่า พระองค์
จะทรงต้อนรับโจรคนนั้นให้ไปอยู่สนิทสัมพันธ์กับพระองค์ทันทีหลังความตาย เช่นเดียวกัน ขณะที่
สเทเฟนถูกขว้างด้วยก้อนหิน เขาก็แสดงความหวัง ดังที่พระเยซูเจ้าทรงสัญญาแก่โจรคนนั้น เขา
กล่าวว่า “ดูซิ ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าเปิดออก และเห็นบุตรแห่งมนุษย์ทรงยืนอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า”
(กจ 7:56) แล้วสเทเฟนก็อธิษฐานภาวนาเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ข้าแต่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรด
รับวิญญาณของข้าพเจ้าด้วย” (กจ 7:59) เขาจึงยืนยันความหวังที่ว่า พระเยซูเจ้าจะทรงต้อนรับเขา
ให้อยู่ชิดสนิทกับพระองค์ทันทีหลังความตาย
ในพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์นพระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์วา่ ในบ้านของ
พระบิดามีที่มากมาย “ใจของท่านทั้งหลายจงอย่าหวั่นไหวเลย จงเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในเราด้วย
ในบ้านพระบิดาของเรา มีที่พำนักมากมาย ถ้าไม่มี เราคงบอกท่านแล้ว เรากำลังไปเตรียมที่ให้ท่าน
และเมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วย เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด
ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย“ (ยน 14:1-3) แน่นอนว่าพระวาจานี้อ้างถึงเวลาแห่งความตายของ
บรรดาศิษย์ ไม่ใช่เวลาแห่งการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้า นักบุญยอห์นไม่ค่อยกล่าวถึง
การเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าในพระวรสาร แต่มักจะกล่าวถึง ในจดหมายฉบับแรกของตน
ข้อความ ยน 14:1-3 จึงต้องการสอนว่า สถานการณ์สำคัญของชีวิตหลังความตายคือ ความ
สนิทสัมพันธ์กับพระเยซูเจ้า ผู้ทรง “เป็นหนทางความจริง และชีวิต” (ยน 14:6) น่าสังเกตว่า วิธี
พูดของนักบุญยอห์น คำว่า ”พำนัก” และคำว่า”ดำรงอยู่” ในภาษากรีกเป็นคำที่ออกเสียงคล้ายกัน
พระเยซูเจ้าตรัสถึงชีวิตบนแผ่นดินนี้เมื่อทรงเตือนใจว่า “ท่านทั้งหลายจงดำรงอยู่ในเราเถิด ดังที่เรา
ดำรงอยู่ในท่าน” (ยน 15:4) และ “จงดำรงอยู่ในความรักของเราเถิด” (ยน 15:9) บนแผ่นดินนี้
319
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
320
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
ปลดปล่อยวิญญาณให้พ้นจากคุกของร่างกาย ส่วนพระเยซูเจ้าทรงมอบชีวิตของพระองค์เพื่อไถ่บาป
ของเรามนุษย์ “เรายอมสละชีวิตเพื่อแกะของเรา” (ยน 10:15) ในสวนเกทเสมนี “พระองค์ทรงเริ่ม
รู้สึกหวาดกลัวและเศร้าพระทัยอย่างยิ่ง” (มก 14:34) ท่าทีของนักบุญเปาโลต่อความตายก็คล้ายกับ
ท่าทีของพระเยซูเจ้า สภาพชีวิตหลังความตายเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาเพียงเพราะเป็นชีวิตที่มีความสนิท
สัมพันธ์กับพระคริสตเจ้าเท่านั้น
บางคนคิดว่านักบุญเปาโลได้พฒ ั นาความคิดของตน โดยเมือ่ แรกเริม่ เขาคิดว่าเขามีความเชือ่
ในการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายเท่านั้น ต่อมาเขาเกิดความหวังว่าวิญญาณเป็นอมตะ ซึ่งแท้ที่จริง
แล้วนักบุญเปาโลคิดถึงความจริงทั้ง 2 นี้ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว ในจดหมายถึงชาวฟิลิปปี นักบุญเปาโล
อธิบายเหตุผลที่เขาปรารถนาช่วงเวลาหลังความตายก่อนที่จะกลับคืนชีพ และในเวลาเดียวกัน เขามี
ความหวังว่าพระคริสตเจ้าจะเสด็จมาอย่างรุง่ โรจน์ “พระองค์จะทรงเปลีย่ นรูปร่างอันต่ำต้อยของเราให้
เหมือนพระกายอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ ด้วยพระฤทธานุภาพที่ทำให้พระองค์ทรงบังคับจักรวาล
ทั้งหมดให้อยู่ใต้อำนาจของพระองค์ได้” (ฟป 3:21) เพราะฉะนั้น ช่วงเวลาหลังความตายก่อนที่จะ
กลับคืนชีพเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา เพราะเราจะมีความสนิทสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้า แต่ความหวัง
สูงสุดยังคงอยูท่ จี่ ะกลับคืนชีพฝ่ายกายอีกด้วย “เพราะธรรมชาติทเี่ น่าเปือ่ ยได้ของเรานี้ จะต้องสวมใส่
ความไม่เน่าเปื่อย และธรรมชาติที่ต้องตายนี้ จะต้องสวมใส่ความไม่รู้จักตาย”
(1 คร 15:53)
321
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
บ ท ที่ 4
ความเป็นจริงของการกลับคืนชีพในบริบทของเทววิทยาปัจจุบัน
322
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
41
เตร์ตุลเลียน (Tertullian) ต่อสู้กับพวกจินไตยนิยมและเรียกเขาว่าเป็นชาวสะดูสีคนใหม่ (De resurrectione
mortuorum 2,2) นักบุญอีเรเนโอ (Irenaeus) แย้งคนเหล่านี้ที่ไม่ยอมเข้าใจว่า “ถ้าคำสอนของคนเหล่านี้เป็น
ความจริง พระคริสตเจ้าไม่ทรงกลับคืนพระชนมชีพในวันที่ 3 ดังที่เขาอ้างว่ามีความเชื่อ แต่เมื่อสิ้นพระชนม์
บนไม้กางเขนแล้ว คงจะต้องเสด็จสู่สวรรค์ทันทีโดยละทิ้งพระวรกายไว้บนแผ่นดิน” (Adversus haereses 5,31,1)
สำหรับนักบุญอีเรเนโอ แผนการทัง้ หมดทีพ่ ระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นรวมเป็นหนึง่ เดียวใน “เนือ้ หนัง” พระเจ้า
ทรงสร้างมนุษย์เป็น “เนื้อหนัง” และทรงส่งพระบุตรมาเป็น “เนื้อหนัง” เพื่อช่วย “เนื้อหนัง” ของมนุษย์ให้รอดพ้น
(Adversus haereses 5,14,1) ควรระลึกได้ว่าวลี “ การกลับคืนชีพของเนื้อหนัง” เข้าในบทสัญลักษณ์แห่งความเชื่อ
เพื่อขจัดอิทธิพลของพวกจินไตยนิยมนั่นเอง ดูเชิงอรรถ 25 อีกด้วย
42
ตามความคิดของยูเซบีอุส (Eusebius of Caesarea) ออริเจน (Origen) ทำให้พวกเฮเรติ๊กชาวอาหรับนี้ยอมรับ
ว่าเขาคิดผิดต่อความเชื่อ (Historia ecclesiastica 6,37)
43
M. Luther, Vorlesungen ueber 1. Mose 22,11 (WA 43, 218)
323
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
324
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
325
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
326
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
5. ประวัติความเป็นมาของปัญหานี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้สนับสนุนทฤษฎีเรื่องอนันตกาลว่ามีช่วงเวลา
เดียวด้วยการอ้างเหตุผลต่างๆ ต่อมาเขายังคัดค้านความคิดเรื่องอนันตกาลที่มี 2 ช่วงเวลา ว่าเป็น
ความคิดบิดเบือนที่ ได้รับอิทธิพลจากลัทธิกรีก แต่พระคัมภีร์มีความคิดว่า อนันตกาลมีเพียงช่วง
เดียว คือ การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายเท่านั้น เขายังอธิบายว่าความคิดที่วิญญาณเป็นอมตะนั้น
มาจากปรัชญากรีก ไม่ได้มาจากพระคัมภีร์ นักเทวววิทยาเหล่านั้นจึงเสนอให้ขจัดความคิดที่มาจาก
ลัทธิกรีกออกจากความเชื่อของคริสตชนเรื่องอนันตกาล
เราต้องยอมรับว่า ความคิดเรื่องการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายปรากฏในพระคัมภีร์ก็ เพียง
ในหนังสือที่เขียนขึ้นก่อนคริสตกาลไม่นานนัก เช่น เราพบข้อความแรกที่กล่าวถึงการกลับคืนชีพใน
หนังสือประกาศกดาเนียลว่า ”เวลานั้น มีคาแอล เจ้านายยิ่งใหญ่ของทูตสวรรค์ ผู้พิทักษ์ประชากร
ของท่านจะลุกขึ้น จะมีเวลาแห่งความทุกข์ยากอย่างที่ ไม่เคยมีมาตั้งแต่แรกเริ่มประชาชาติจนถึง
เวลานั้น ในเวลานั้น ประชากรของท่านจะได้รับความรอดพ้น คือ ทุกคนที่มีชื่อเขียนไว้ในหนังสือ คน
จำนวนมากที่หลับอยู่ในผงคลีดินจะตื่นขึ้น บางคนจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร บางคนจะได้รับความอับอาย
และความอัปยศอดสูตลอดนิรันดร บรรดาผู้มีปัญญาจะส่องแสงเหมือนแสงสว่างบนท้องฟ้า และ
บรรดาผู้ที่ช่วยคนจำนวนมากให้มีความชอบธรรม จะส่องแสงเหมือนดวงดาวตลอดไปเป็นนิตย์” (ดนล
12:1-3)
ความคิดโบราณที่สุดของชาวยิวในเรื่องชีวิตหลังความตายอยู่ที่ว่า เงาของมนุษย์ที่เคยมีชีวิต
อยู่ (refaim) ยังคงอยู่ในสถานที่เดียวกัน คือ แดนมรณะ (sheol) ซึ่งแตกต่างจากหลุมศพ แนว
ความคิดเช่นนี้ คล้ายกับแนวความคิดของโฮเมอร์ (Homer) ผู้พูดถึงวิญญาณ (psychai) ในแดน
327
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
50
Cf. M. Spanneut, Le stoicisme des Peres de l’Eglise. De Clement de Rome a la Clemant d’Alexandrie,
Paris 1957.
328
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
บ ท ที่ 5
มนุษย์ถูกเรียกให้กลับคืนชีพ
329
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
ความคิดทางมานุษยวิทยาเช่นนี้ก่อให้เกิดแนวความคิดที่ว่าอนันตกาลต้องมี 2 ช่วงเวลา
ดังที่อธิบายมาแล้ว บางคนกล่าวว่ามานุษยวิทยาของคริสตชน ที่สอนว่าองค์ประกอบทั้ง 2 ของ
มนุษย์ คือ กายและวิญญาณ สามารถแยกจากกันได้ และวิญญาณที่เป็นจิตและอมตะยังคงอยู่และ
ดำรงอยู่ในสภาพที่แยกออกจากกายนั้น เป็น “ลัทธิทวินิยมของเพลโต” (Platonic dualism) คำว่า
“ลัทธิทวินิยม“ มีความหมายหลายอย่าง เมื่อเราพูดถึงมานุษยวิทยาของคริสตชนเราน่าจะใช้คำว่า
“ทวิภาค” (duality) มากกว่า “ทวินิยม” เพราะในธรรมประเพณีของคริสตชนสภาพของวิญญาณที ่
คงอยู่หลังความตายไม่เป็นสภาพถาวรตลอดไป และไม่ใช่สภาพความเป็นอยู่ที่สูงสุด แต่เป็นเพียง
สภาพระหว่างกลางชั่วคราว และที่มุ่งไปสู่การกลับคืนชีพในวันสิ้นพิภพ มานุษยวิทยาของคริสตชนจึง
มีเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากมานุษยวิทยาของลัทธิเพลโตต่างๆ54
54
ชาวยิวหลายคนถึงวันนี้ เมื่อเขาตื่นนอน ก็อธิษฐานภาวนาถวายพระพรแด่พระเจ้า (berekhah) บทภาวนานี้
กล่าวถึง “วิญญาณ” ที่แยกออกจาก “ร่างกายที่รู้ตาย” และพาดพิงถึง “การกลับคืนชีพ” บทภาวนานี้มาจากพระ-
คัมภีร์ภาษาอาราเมอิคของกรุงบาบิโลน (Babylonian Talmud)
55
Cf. Porphyry, De Plotini vita, 1.
330
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
3. มานุษยวิทยาแบบทวิภาคในพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิวกล่าวว่า “อย่า
กลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผู้ที่ทำลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศไปใน
นรก (Gehenna)” (มธ 10:28) เมื่อเราเข้าใจพระวาจานี้โดยคำนึงถึงมานุษยวิทยาและอนันตกาลใน
สมัยของพระเยซูเจ้า พระวาจานี้สอนเราว่า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่วิญญาณมนุษย์ยังคงอยู่
หลังความตายจนถึงวันกลับคืนชีพเพื่อจะได้ร่วมกับกายอีกครั้งหนึ่ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พระเยซูเจ้า
ตรัสพระวาจาเหล่านี้ ในบริบทที่ทรงสั่งสอนเรื่องการเป็นมรณะสักขี โดยแท้จริงแล้ว พระคัมภีร์
แสดงให้เห็นว่าการเป็นมรณะสักขีเป็นโอกาสดีที่สุดที่ความเชื่อจะเป็นแสงสว่างนำเราให้ เข้าใจความ
หมายของโลกที่พระเจ้าทรงสร้าง ความหมายของการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายเมื่อถึงวันสิ้นพิภพ
และความหมายของพระสัญญาที่พระองค์ จะประทานชีวิตนิรันดร (เทียบ 2 มคบ 7:9, 11, 14, 22-
23, และ 36)
การเปิดเผยเรื่อง “อนันตกาลของวิญญาณ” ยังปรากฏในหนังสือปรีชาญาณอีกด้วย ข้อ
ความนี้อยู่ในบริบทที่กล่าวถึงผู้ที่ “ในสายตาของมนุษย์ เขาคล้ายกับว่าต้องได้รับโทษทัณฑ์” (ปชญ
3:4) แม้ “ในสายตาของคนโฉดเขลา เขาก็ ดูเหมือนว่าสิ้นชีวิต และการลาโลกของเขาดูคล้ายกับ
เป็นความทุกข์” (ปชญ 3:2) อย่างไรก็ตาม “วิญญาณของคนดีมีศีลธรรมจะอยู่ในพระหัตถ์ของ
พระเจ้า” (ปชญ 3:1) ในหนังสือเล่มเดียวกันนี้นอกจากเรื่อง “อนันตกาลของวิญญาณ” แล้ว ยังมี
56
Tertullian, De resurrectione mortuorum 34,3.
57
St. Augustine, De Genesi ad litteram 12,35.
331
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
คำสอนที่ชัดเจนเรื่องอำนาจของพระเจ้าที่จะประทานการกลับคืนชีพแก่มวลมนุษย์อีกด้วย (เทียบ
ปชญ 16:13–14)
332
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
333
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
64
พระธรรมนูญของสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิ๊ก ที่ 12 Benedictus Deus (Denz.-Schoenm. 1000).
334
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
บ ท ที่ 6
ความตายของคริสตชน
1. แนวความคิดทางมานุษยวิทยาที่เป็นเอกลักษณ์ของคริสตชน ช่วยเราให้เข้าใจความหมาย
ของความตายอย่างเฉพาะเจาะจง มานุษยวิทยาของคริสตชนไม่ได้สอนว่า ร่างกายมนุษย์เป็นคุกที ่
จองจำวิญญาณ ซึ่งปรารถนาที่จะหนี ให้พ้น หรือกายเป็นเพียงเครื่องนุ่งห่มที่วิญญาณถอดออกได้
อย่างง่ายดาย แต่มานุษยวิทยาของคริสตชนมองธรรมชาติความตายของมนุษย์ว่า เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่
พึงปรารถนาหรือเป็นเหตุการณ์ที่ยอมรับด้วยใจสงบไม่ได้ เพราะเขาต้องชนะความน่ารังเกียจและ
ความหวาดกลัวที่มาจากธรรมชาติเสียก่อน การที่มนุษย์มีความรังเกียจและหวาดกลัวตามธรรมชาติ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย ไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอาย เมื่อพระเยซูเจ้าทรงคิดถึงเหตุการณ์ซึ่งจะ
ต้องทรงเผชิญกับความตาย พระองค์ทรงยอมรับว่ามีความทุกข์ใจเช่นกัน นักบุญเปาโลยอมรับว่า
เขาเคยมีความรู้สึกรังเกียจเช่นนี้ ดังที่เขียนไว้ว่า “โดยแท้จริงแล้ว ขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ เรา
กำลังคร่ำครวญเพราะต้องแบกภาระหนัก เราไม่ปรารถนาจะถูกปลดเปลื้องจากร่างกายปัจจุบันนี้”
(2 คร 5:4) ความตายทำให้มนุษย์ต้องแยกออกจากตัวของตน ความเป็นบุคคลของมนุษย์จึงไม่อยู่
เพียงในจิตวิญญาณเท่านั้น แต่อยู่ทั้งในวิญญาณและในร่างกายซึ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวโดยธรรมชาติ
แต่ความตายทำลายความเป็นบุคคลเช่นนี้
ความตายดูเหมือนเป็นเรื่องที่ขัดแย้งในตัวเอง ซึ่งก็เป็นเป็นเช่นนั้นจริงและจะชัดเจนมากขึ้น
ถ้าเราพิจารณาว่าการทีค่ วามตายเข้ามาในประวัตศิ าสตร์ของมนุษย์นน้ั ขัดกับพระประสงค์ของพระเจ้า
(เทียบ ปชญ 1:13 -14, 2:23 -24) เพราะว่า “มนุษย์คงจะได้พ้นจากความตายฝ่ายกาย ถ้าเขาไม่
ทำบาป”65 คริสตชนจึงต้องยอมรับความตายโดยมีจิตสำนึกว่าเป็นการใช้โทษบาปวิธีหนึ่ง คริสตชน
ควรระลึกถึงถ้อยคำของนักบุญเปาโลอยู่เสมอว่า “ค่าตอบแทนที่ได้จากบาปคือความตาย” (รม 6:23)
65
สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 สังฆพระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 18
335
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
2. ท่าทีของมนุษย์ที่ประสบความน่ารังเกียจเมื่อต้องเผชิญกับความตาย และความเป็นไปได้
ที่เขาจะมีชัยชนะเหนือความน่ารังเกียจนี้ ทำให้มนุษย์มีท่าทีต่อความตายแตกต่างจากท่าทีของสัตว์
ทุกชนิดโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ ความตายจึงเปิดโอกาสให้มนุษย์สามารถแสดงตนและต้องแสดงตน
เป็นมนุษย์ ยิง่ กว่านัน้ คริสตชนอาจมีชยั ชนะเหนือความกลัวทีจ่ ะต้องตายได้ เพราะเขามีแรงจูงใจต่าง ๆ
ความเชื่อและความหวัง ก่อให้เกิดแนวคิดเรื่องความตายอีกแง่หนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงยอม
เผชิญหน้ากับความกลัวตายตามแสงสว่างที่มาจากพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า พระองค์ทูลว่า
“อับบา พระบิดาเจ้าข้า พระองค์ทรงทำทุกสิ่งได้ โปรดทรงเอาถ้วยนี้ไปจากข้าพเจ้าเถิด อย่าให้เป็น
ไปตามใจข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด” (มก 14:36) พระองค์ทรงยอมรับ
ความตาย “เพื่อทรงปลดปล่อยผู้ตกเป็นทาสอยู่ตลอดชีวิตเพราะความกลัวตายให้เป็นอิสระได้” (ฮบ
2:15) ด้วยเหตุนี้เอง นักบุญเปาโลจึงปรารถนาที่จะพ้นจากชีวิตนี้ไปเพื่ออยู่กับพระคริสตเจ้า ท่าน
ไตร่ตรองว่าหลังความตายเราจะมีความสนิทสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้า ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับสภาพ
ชีวิตในโลกนี้ก็ “จะเป็นการดีกว่ามาก” (เทียบ ฟบ 1:23) ผลประโยชน์ของการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้คือ
“เรามีชีวิตอยู่ในร่างกาย” และดังนี้เราจึงมีความเป็นอยู่อย่างแท้จริง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับความสนิท
สัมพันธ์อย่างเต็มเปี่ยมกับพระคริสตเจ้าหลังความตาย ก็เท่ากับว่า ”เราถูกเนรเทศห่างจากองค์พระ-
ผู้เป็นเจ้า” (เทียบ 2 คร 5:6) แม้ความตายทำให้เราต้องออกจากร่างกายที่เรามีอยู่ในเวลานี้ และ
ความเป็นอยู่ของเราจะไม่เต็มเปี่ยมแต่เราก็ยอมรับความตายด้วยใจสงบ ยิ่งกว่านั้น เมื่อความตาย
มาถึงเราอาจปรารถนาที่จะ “ไปอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า” (2 คร 5:8) พระจิตเจ้าทรงดลใจเราให้ม ี
ความปรารถนาเช่นนี้
336
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
66
Cf. Canticum fratis Solis, 12-13, in Opuscula Sancti Patris Francisci Assiniensis, ed. C. Esser (Grot-
taferrata 1978)
67
St. Gregory of Nyssa, Oratio Consolatoria in Pulcheriam, ed. A. Spira, in Gregorii Nysseni opera,
472.
68
St. Gregory of Nyssa, Oratio catechetica magna 32, ed. J.H.Srawley, Cambridge 1903, 116.
69
St. Clement of Alexandria, Protrepticus, 11 (GCS 12, 80).
337
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
คริสตชนต้องยอมรับความทุกข์และความเจ็บป่วย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความตายในความ
หมายใหม่ เราต้องทนรับความทุกข์และความเจ็บปวดด้วยความยากลำบากอยู่แล้ว แต่เราต้องทน
มากยิ่งขึ้นอีกเมื่อคำนึงว่า ความทุกข์และความเจ็บปวดนั้นเป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าร่างกายของเรา
กำลังเสื่อมสลายทีละเล็กทีละน้อย70 อันที่จริงแล้ว เมื่อเรายอมรับความทุกข์และความเจ็บป่วย ซึ่ง
พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น เราก็จะมีส่วนร่วมในพระทรมานของพระคริสตเจ้า และโดยอาศัยการ
ถวายตนแด่พระเจ้า เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับการกระทำของพระคริสตเจ้าผู้ทรงถวายพระชนมชีพแด่
พระบิดาเจ้าเพื่อความรอดพ้นของโลก
เราต้องยืนยันเช่นเดียวกับนักบุญเปาโลว่า “ข้าพเจ้ายินดีที่ได้รบั ทุกข์ทรมานเพือ่ ท่านทัง้ หลาย
ความทรมานของพระคริสตเจ้ายังขาดสิ่งใด ข้าพเจ้าก็เสริมให้สมบูรณ์ด้วยการทรมานในกายของ
ข้าพเจ้า เพื่อพระกายของพระองค์ คือพระศาสนจักร“ (คส 1:24) ถ้าเรามีส่วนร่วมในพระทรมาน
ของพระคริสตเจ้า เราก็จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ นั่นคือ “เรา
แบกความตายของพระเยซูเจ้าไว้ในร่างกายของเราอยู่เสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูเจ้าจะปรากฏอยู่
ในร่างกายของเราด้วย“ (2 คร 4:10)71
เช่นเดียวกัน เมื่อพี่น้องของเราตาย เราไม่ต้องโศกเศร้า “เหมือนคนอื่นที่ไม่มีความหวัง“
(1 ธส 4:13) ผู้ไม่มีความหวัง “มักจะร้องไห้น้ำตานองหน้าและคร่ำครวญ...สงสารผู้ตายที่เคราะห์
ร้ายและต้องสูญสลายเกือบทั้งหมด” แต่เราได้รับการบรรเทาใจจากความคิดของนักบุญออกัสตินมี
เมื่อเขาต้องประสบกับความตายของนักบุญมอนิกา ผู้เป็นมารดาว่า “ความตายของแม่ไม่ใช่เรื่อง
เคราะห์ร้ายและไม่เป็นความเสื่อมสลายอย่างสิ้นเชิงเลย”72
70
สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 สังฆพระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 18
71
Cf. John Paul II, Apostolic Letter Salvifici doloris in AAS 76 (1984) 201-250
72
St. Augustine, Confessiones 9, 12, 29 (CCL 27, 150)
338
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
3. การมองความตายในเชิงบวกเช่นนี้ เป็นเพียงความเข้าใจที่มาจากคำสอนในพระคัมภีร ์
ภาคพันธสัญญาใหม่เท่านั้น พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เรียกความตายของคริสตชนว่าเป็นการ
ตายในองค์พระผู้เป็นเจ้า “บรรดาผู้ตายที่สิ้นใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ย่อมเป็นสุขตั้งแต่บัดนี้” (วว
14:13) ความตายในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา เพราะจะนำเราไปสู่ความสุขแท้จริงและ
เตรียมเราไว้สำหรับชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ “พระจิตเจ้าตรัสว่า ‘ถูกแล้ว เขาจะได้พักผ่อนจากความเหน็ด
เหนื่อย เพราะผลงานของเขาติดตามเขาไป’” (วว 14:13) ชีวิตในโลกนี้จึงมุ่งไปสู่ความสนิทสัมพันธ์
กับพระคริสตเจ้า ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังความตาย มนุษย์จะมีความสนิทสัมพันธ์นี้ได้ เมื่อวิญญาณของ
เขาอยูใ่ นสภาพทีแ่ ยกออกจากกาย73 แม้ในเวลานัน้ มนุษย์ยงั ไม่บริบรู ณ์และมีความเป็นอยูต่ ามธรรมชาติ
ที่ ไม่สมบูรณ์ ความสนิทสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า จึงมีคุณค่ามากกว่าความเป็นอยู่ที่
สมบูรณ์ตามธรรมชาติ ดังนั้น เราต้องคิดว่าชีวิตบนโลกนี้ ไม่ใช่สิ่งมีค่าสูงสุด นักบุญหลายองค์จึง
ปรารถนาที่จะตายเพื่ออยู่กับพระเจ้า ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
พระเจ้าประทานพระหรรษทานแก่เรา เพือ่ ทรงเรียกและช่วยเหลือเราให้ดำเนินชีวติ ทีศ่ กั ดิส์ ทิ ธิ ์
ซึ่งทำให้ความเชื่อมโยงระหว่างบาปกับความตายตั้งแต่แรกเริ่มเกือบขาดสะบั้นไป ทั้งนี้ เพราะความ
ตายฝ่ายกายถูกลบล้าง แต่เพราะว่าความตายของผู้ดำเนินชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ นำไปสู่ชีวิตนิรันดร การ
ตายแบบใหม่เป็นการมีสว่ นร่วมในธรรมล้ำลึกปัสกาของพระคริสตเจ้า ศีลศักดิส์ ทิ ธิเ์ ตรียมเราไว้สำหรับ
ความตาย ศีลล้างบาปทำให้เราตายต่อบาปอย่างเร้นลับ และเรารับการเจิมเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์โดยการ
มีส่วนร่วมในการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า “ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราทุกคนที่ได้รับ
ศีลล้างบาปเดชะพระคริสตเยซู ก็ได้รับศีลล้างบาปเข้าร่วมกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย
ดังนั้น เราถูกฝังไว้ในความตายพร้อมกับพระองค์อาศัยศีลล้างบาป เพื่อว่าพระคริสตเจ้าทรงกลับคืน
พระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายเดชะพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาฉันใด เราก็จะดำเนินชีวิตแบบใหม่ด้วย
ฉันนั้น ถ้าเรารวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการสิ้นพระชนม์ เราก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์
73
สังฆธรรมนูญ Benedictus Deus in DS 1000.
339
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
340
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
คริสตชนก็จะต้องปฏิบัติมากยิ่งกว่านั้นอีก เพราะเขาเชื่อว่าต้องปฏิบัติหน้าที่นี้ไม่ใช่ต่อร่างกายที่ตาย
แล้ว แต่ต่อร่างกายที่จะต้องกลับคืนชีพและจะมีชีวิตตลอดไป การกระทำเช่นนี้ยังเป็นพยานถึงความ
เชื่อนี้อีกวิธีหนึ่งด้วย”75
คริสตชนถูกห้ามไม่ให้เผาศพมาเป็นเวลานานมาก76 เพราะในสมัยก่อนคิดว่า การเผาศพผูกพัน
กับแนวความคิดของลัทธิเพลโตใหม่ ซึ่งสนับสนุนการเผาศพเพื่อทำลายร่างกายโดยสิ้นเชิง ทำให้
วิญญาณเป็นอิสระพ้นจากร่างกายที่จองจำไว้77 ในสมัยหลังๆ นี้การเผาศพแสดงท่าทีของผู้ที่ถือลัทธิ
สสารนิยมหรือลัทธิอไญยนิยม ปัจจุบันพระศาสนจักรอนุญาตให้เผาศพ “เว้นแต่ในกรณีที่ผู้เลือก
เผาศพมีเหตุผลที่ขัดแย้งกับคำสอนคริสตชน”78 เราต้องระมัดระวังมิให้ประเพณีการเผาศพที่แผ่ขยาย
กว้างขวางในสมัยนี้ แม้ในหมู่ของชาวคาทอลิก บิดเบือนความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องการกลับคืนชีพ
ของร่างกายมนุษย์
75
St Augustine, De Cura pro mortuis gerenda 18, 22 (CSEL 41, 658-659)
76
Cf. Holy Office, Decretum, 15 December 1886, in DS 3195-3196.
77
Cf. F. Cumont, Lux perpetua (Paris 1949), 290.
78
ประมวลกฎหมายพระศาสนจักร 1176 วรรค 3
341
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
บ ท ที่ 7
สมาชิกทุกคนในพระศาสนจักรมี “ความสนิทสัมพันธ์ทางชีวิต”79 กับพระคริสตเจ้า
342
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
343
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
344
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
345
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
346
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
4. กฎทั่วไปสำหรับมิสซาตามจารีตโรมัน ที่ประกาศใช้หลังการปฏิรูปพิธีกรรมตามคำสั่งของ
สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 อธิบายความหมายความสนิทสัมพันธ์ของสมาชิกทุกคนในพระศาสนจักรไว้
อย่างชัดเจน ความสนิทสัมพันธ์ทห่ี ลากหลายนีบ้ รรลุถงึ วัตถุประสงค์ทส่ี งู สุด เมือ่ เข้าร่วมพิธบี ชู าขอบ-
พระคุณ การอธิษฐานภาวนาวอนขอต่างๆ ในมิสซา “แสดงว่าผู้ร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณมีความสนิท
สัมพันธ์กับพระศาสนจักรทั้งหมด ทั้งบนสวรรค์และในแผ่นดิน และยังแสดงว่า การถวายมิสซามีไว้
สำหรับสมาชิกทุกคนของพระศาสนจักร ทั้งผู้เป็นและผู้ตาย ซึ่งถูกเรียกให้มามีส่วนร่วมในการไถ่กู้
และความรอดพ้น ที่พระคริสตเจ้าทรงได้มาโดยพระวรกายและพระโลหิตของพระองค์”90
89
Council of Florence, Decretum pro graecis in DS 1304.
90
กฎทั่วไปสำหรับมิสซาตามจารีตโรมัน, Missale Romanum (editio typica 1970 ) , 55.
347
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
บ ท ที่ 8
การชำระวิญญาณให้บริสุทธิ์เพื่อจะพบพระคริสตเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์
348
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
93
สำหรับความแตกต่างระหว่างบาปเบาและบาปหนัก ดู คณะกรรมการเทววิทยาระหว่างประเทศ De reconcili-
atione et paenitentia (C, III, in Documenta (1967-1985)ม 408-14).
94
สภาสังคายนาเมืองเตรนต์ Sess.6 Decretum de justificatione, canon 30: DS 1580.
95
สภาสังคายนาเมืองเตรนต์ Sess.14 Doctrina de Sacramento extremae unctionis, c.2: DS 1696.
96
สภาสังคายนาเมืองเตรนต์ Sess.6 Decretum de justificatione, canon 30: DS 1580. ดู สภาสังคายนาเมือง
ฟรอเรนซ์ Decretum pro graecis: DS 1304 อีกด้วย.
97
สมณกระทรวงพระสัจธรรม, Letter Recentiores episcoporum Synodi, 7: AAS 71 (1979) 942.
349
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
พระศาสนจักรแสดงความเชื่อเกี่ยวกับสถานภาพนี้เป็นนัยๆ อยู่แล้วในคำภาวนาอุทิศแด่
บรรดาผู้ตาย ตั้งแต่สมัยโบราณเราพบหลักฐานเป็นจำนวนมากในป่าช้าใต้ดิน98 (catacombs) ว่า
คริสตชนเคยอธิฐานภาวนาอุทิศแด่บรรดาผู้ตาย ขนบประเพณีนี้ มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ตอนที่ว่า
“ยูดาสให้ถวายเครื่องบูชาชดเชยบาปของคนตาย เพื่อเขาจะได้พ้นจากบาป” (2 มคบ 12:46)99 บท
ภาวนาดังกล่าวสันนิษฐานว่า บรรดาผู้ตายรับความช่วยเหลือจากคำอธิษฐานภาวนาของคริสตชนได้
เพื่อเขาจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 นักเทววิทยาเริ่มไตร่ตรองถึงสถานภาพนี้เพื่อ
อธิบายว่า คนบาปที่ได้คนื ดีกบั พระศาสนจักรแต่ยงั ไม่ได้ใช้โทษบาปอย่างสมบูรณ์กอ่ นทีเ่ ขาจะตายนัน้
ยังมีโอกาสที่จะชำระตนให้บริสุทธิ์หลังความตาย100
จำเป็นอย่างยิ่งที่คริสตชนต้องรักษาขนบประเพณี การสวดภาวนาอุทิศแด่บรรดาผู้ตาย
การปฏิ บั ติ เ ช่ น นี้ เ ป็ น การประกาศยื น ยั น ความเชื่ อ เกี่ ย วกั บ สถานภาพการชำระให้ บ ริ สุ ท ธิ์
ดังกล่าว นี่คือความหมายที่ต้องปรากฏชัดเจนในพิธีกรรมการปลงศพ คือ มนุษย์ที่ ได้รับความ
ชอบธรรมจากการอภัยบาปนั้นอาจจะต้องการชำระตนให้บริสุทธิ์มากกว่านั้น พิธีกรรมการปลงศพ
ตามจารี ต ของอาณาจั ก รโรมั น ภาคตะวั น ออกมี ต อนหนึ่ ง ที่ พ รรณนาถึ ง วิ ญ ญาณของผู้ ต ายว่ า
กำลังร้องวิงวอนพระเจ้าว่า “แม้ข้าพเจ้ามีบาดแผลเพราะบาป ข้าพเจ้ายังเป็นภาพลักษณ์ของพระสิริ-
รุ่งโรจน์ที่มิอาจบรรยายได้ของพระองค์”101
98
เทียบ Tertullian, De corona, 3, 3:CCL 2, 1043.
99
เทียบ สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 สังฆพระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักร ข้อ 50.
100
เทียบ St. Cyprian, Epistula, 55, 20, 3: ed. L. Bayard, 2nd ed., vol. 2 (Paris 1961) 144.
101
Euloghitaria ในพิธีกรรมปลงศพก่อนอ่านพระวรสาร.
350
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
2. พระศาสนจักรเชื่อว่า มีสถานภาพการรับโทษตลอดไปสำหรับผู้ตายที่มีบาปหนักติดตัว102
เราจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่ว่า สถานภาพการชำระตนเพื่อพบกับพระเจ้าเหมือนกับ
สถานภาพการรับโทษตลอดไปของผู้พินาศ และคิดว่าความแตกต่างระหว่างสถานภาพทั้งสองนี้เป็น
เพียงเรื่องกาลเวลา คือ สถานภาพของผู้พินาศเป็นสภาพถาวรนิรันดร ส่วนสภาพของผู้ที่ชำระตน
ให้บริสุทธิ์เป็นสภาพเพียงชั่วคราว จริงๆ แล้วการชำระให้บริสุทธิ์หลังความตาย “เป็นสิ่งต่างกันกับ
สภาพของผู้พินาศโดยสิ้นเชิง”103 เพราะว่า สถานภาพของผู้ที่มีความรักเป็นศูนย์กลางจะเทียบกับ
สถานภาพของผู้ที่มีความเกลียดชังเป็นศูนย์กลางไม่ได้ ผู้ที่ ได้รับความชอบธรรมจากพระเจ้า โดย
อาศัยการอภัยบาปดำเนินชีวติ ในความรักของพระคริสตเจ้าได้ ความตายทำให้ผทู้ ี่ได้รบั ความชอบธรรม
มีจิตสำนึกถึงความรักนี้มากยิ่งขึ้น เมื่อผู้ที่มีความรักพบอุปสรรคทำให้เขาไม่สามารถครอบครอง
บุคคลที่เขารัก เขาก็มีความทุกข์ทรมาน ความทุกข์ทรมานนี้จะชำระเขาให้บริสุทธิ104 ์ นักบุญยอห์น
แห่งไม้กางเขนอธิบายว่า พระจิตเจ้าในฐานะที่ทรงเป็น “เปลวไฟแห่งความรักที่มีชีวิต” ทรงชำระ
วิญญาณของมนุษย์ให้บริสทุ ธิ์ เพือ่ เขาจะได้บรรลุความรักสมบูรณ์ของพระเจ้า ทัง้ เมือ่ มนุษย์ยงั มีชวี ติ
อยู่บนแผ่นดินนี้ และถ้าจำเป็น ในชีวิตหลังความตาย ดังนั้น นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนคิดว่า
การชำระให้บริสุทธิ์ที่ท่านเรียกว่า “คืนมืดมิด” ซึ่งเป็นประสบการณ์ของมนุษย์บนแผ่นดินนี้ มีความ
ละม้ายคล้ายกับการชำระให้บริสุทธิ์ที่มนุษย์จะได้รับหลังความตาย ซึ่งเรียกกันว่า “ไฟชำระ”105 เรา
ต้องยอมรับว่า เป็นเวลาหลายศตวรรษที่พระศาสนจักรเคยละเลยในการสอนข้อความเชื่อข้อนี้อย่าง
102
เทียบ สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 สังฆพระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักร ข้อ 48.
103
สมณกระทรวงพระสัจธรรม, Letter Recentiores episcoporum Synodi, 7: AAS 71 (1979) 942.
104
เทียบ St. Catherine of Genoa, Treatise on Purgatory.
105
เทียบ St. John of the Cross, The Living Cry of Love, 1, 24; The Dark Night, 2, 6, 6 and 2, 20, 5.
351
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
ชัดเจนว่า สถานภาพการชำระให้บริสุทธิ์หลังความตายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงจากสถานภาพของผู้
พินาศ การละเลยนี้ก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ในการเสวนากับคริสตชนของพระศาสนจักรตะวันออก106
106
เมื่อพระศาสนจักรตะวันตกที่พูดภาษาลาตินพูดถึง “ไฟ” ในไฟชำระ คริสตชนของพระศาสนจักร
ตะวันออกที่พูดภาษากรีกคิดว่า คริสตชนตะวันตกถือทรรศนะของออริเจน ซึ่งคิดว่าการลงโทษทั้งใน
ไฟชำระและในนรกก็มีไว้เพื่อชำระวิญญาณให้บริสุทธิ์เช่นเดียวกัน แต่สภาสังคายนาที่เมืองฟรอเรนซ์
(Decretum pro graecis: DS 1304) ได้อธิบายความแตกต่างกันระหว่างไฟชำระและนรกอย่าง
ถูกต้อง ในศตวรรษที่ 16 บรรดาผู้ปฏิรูปได้ปฏิเสธไม่ยอมรับความคิดเกี่ยวกับไฟชำระ เพราะเขาคิดว่า
ความชอบธรรมของมนุษย์มาจากภายนอกอาศัยความเชื่อ และปราศจากการเปลี่ยนแปลงในมนุษย์
เอง Apologia Confessionis Augustanae, 12; in Die Bekenntnisschriften der evangelisch-
lutherischen Kirche, p. 255. สภาสังคายนาเมืองเตรนท์ให้คำสอนที่เป็นทางการในเรื่องนี้ (Sess.6
Decretum de justificatione, canon 30: DS 1580).
352
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
บ ท ที่ 9
มนุษย์แต่ละคนมีชีวิตครั้งเดียวและไม่เหมือนใคร ปัญหาเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด
107
เทียบ L. Scheffczyk, Der Reinkarnationsgedanke in der altchristlichen Literatur (Muenchen 1985).
353
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
108
ในวัฒนธรรมของชนชาติตะวันออกส่วนใหญ่ ทฤษฎีการเวียนว่ายตายเกิดเน้นความจำเป็นของมนุษย์ที่จะต้อง
ชำระตนให้บริสุทธิ์ และบางครั้งก็เน้นความจำเป็นที่จะต้องรับโทษ เพาะความผิดที่มนุษย์ได้กระทำในชีวิตก่อน ที่
เรียกว่าชาติที่แล้ว แต่ชาวตะวันตกไม่ได้เน้นการชำระเช่นนี้ เพราะฉะนั้น ชาวตะวันออกที่ถือทฤษฎีการเวียนว่าย
ตายเกิด ปรารถนาที่จะหลีกเลี่ยงการเกิดใหม่ วัฒนธรรมบางแห่งมองการหลุดพ้นจากวัฏจักรนี้เป็นชัยชนะด้วย
ตนเอง ส่วนวัฒนธรรมอื่นๆคิดว่า การหลุดพ้นเป็นของประทานจากพระเจ้า
354
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
• วิญญาณจะก้าวไปสู่ความสมบูรณ์มากเพียงใด ในการเวียนว่ายตายเกิดก็จะ
รับกายทีเ่ ป็นวัตถุนอ้ ยลงเท่านัน้ ซึง่ หมายความว่า วิญญาณมีความโน้มเอียง
ที่จะเป็นอิสระพ้นจากกายตลอดไป อาศัยขบวนการนี้ วิญญาณจะเข้าสู่
สถานภาพถาวร ในที่สุดวิญญาณจะดำเนินชีวิตเป็นอิสระจากกายตลอดไป
และจะไม่ขึ้นกับวัตถุใดๆ อีก (ปฏิเสธการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย)
355
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
109
Holy Office, Reply July 1919 on Theosophical Doctrines: DS 3648.
110
เทียบ สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 สังฆพระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักร ข้อ 48 เป็นที่รู้กันดีว่า พระสังฆราช
ที่เข้าประชุมทั้ง 123 องค์ได้เสนอให้เพิ่มเติมประโยคที่ว่า ”วิถีชีวิตของมนุษย์บนโลกนี้มีเพียงรอบเดียว” เข้าไปใน
เอกสารฉบับสุดท้าย เพื่อเน้นชีวิตเดียวบนแผ่นดินและต่อต้านทรรศนะของลัทธิการเวียนว่ายตายเกิด Ad caput
VII de Ecclesia, modus 30: Acta Synodalis 3/8, p.143.
356
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
บ ท ที่ 10
แผนการยิ่งใหญ่ของพระเจ้า มนุษย์ต้องดำเนินชีวิตอย่างจริงจัง
1. เรามีชีวิตในโลกนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จึงเป็นที่ชัดเจนว่าเราต้องดำเนินชีวิตอย่างจริงจัง
เพราะมนุษย์จะมีชีวิตซ้ำอีกไม่ได้ ชีวิตในโลกนี้เป็นหนทางไปสู่ความจริงในอนันตกาล การดำเนินชีวิต
ของเราจึงมีผลลัพธ์ที่ไม่อาจลบล้างได้ ชีวิตในร่างกายของเรานำเราไปสู่ชะตากรรมนิรันดร
มนุษย์จะเริ่มเรียนรู้ถึงความหมายของชะตากรรมสุดท้ายของตนได้ ก็ต่อเมื่อเขายอมรับว่า
ธรรมชาติของตนมาจากพระเจ้า พระองค์ทรงเนรมิตสร้างมนุษย์ “ตามภาพลักษณ์ให้มีความคล้าย
คลึงกับพระองค์” (ปฐม 1:26) วลีนี้หมายความว่า พระเจ้าประทานความสามารถแก่มนุษย์ให้รู้จัก
พระองค์ และรักพระองค์อย่างเสรี ส่วนมนุษย์เป็นเจ้านายปกครองสิ่งสร้างอื่นๆ และใช้สิ่งเหล่านั้น
ให้เกิดประโยชน์แก่ตน111 ความสามารถนี้มีพื้นฐานในวิญญาณมนุษย์ที่เป็นธรรมชาติจิต วิญญาณของ
มนุษย์แต่ละคนถูกสร้างจากพระเจ้าโดยตรง112 มนุษย์แต่ละคนจึงเป็นผลของการกระทำที่เป็นรูปธรรม
จากความรักที่สร้างสรรค์ของพระเจ้า
111
สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 สังฆพระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ ข้อ 12.
112
Paul VI, Credo of the People of God, 8: AAS 60 (1968) 436.
113
สภาสังคายนาเมืองเตรนต์ Sess.5 Decretum de iustificatione, c.1 in DS 1511.
357
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
114
John Paul II, Encyclical Dives in misericordia, 7. in AAS 72 (1980) 1200.
115
สภาสังคายนาเมืองเตรนต์ Sess.6 Decretum de iustificatione, c.7 in DS 1528.
358
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
3. พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยความลับของพระบิดาแก่เรา ทรงปรารถนาที่จะให้เรากลายเป็น
เพื่อนกับพระองค์ (เทียบ ยน 15:15) แต่ไม่มีใครบังคับใครให้เป็นเพื่อนกับตนได้ ถ้าผู้ที่ประสงค์
ให้ผู้อื่นเป็นมิตรกับตน หรือประสงค์ที่จะรับผู้อื่นเป็นบุตรบุญธรรม จะได้รับการตอบสนองหรือไม่
ขึ้นอยู่กับว่า ผู้รับเชิญสมัครใจยอมรับหรือปฏิเสธข้อเสนอนั้น ความสุขในสวรรค์คือมิตรภาพในขั้น
บริบูรณ์ เป็นมิตรภาพที่พระคริสตเจ้าทรงเสนอให้ ซึ่งไม่ใช่การตอบแทนมนุษย์ มนุษย์มีเสรีภาพใน
การยอมรับหรือปฏิเสธ การ “อยู่กับพระคริสตเจ้า” (ฟป 1:23) ในฐานะเพื่อนเป็นสาระสำคัญของ
ความสุขนิรันดรในสวรรค์ (2 คร 5:6-8 / 1 ทส 4:17) เราจึงต้องเข้าใจว่าความคิดหลักเรื่องการเห็น
พระเจ้า “เหมือนพระองค์ทรงอยู่ต่อหน้าเรา” (1 คร 13:12 / 1 ยน 3:2) แสดงถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้น
หนังสืออพยพเขียนถึงความคิดนี้ว่า “พระยาห์เวห์ทรงสนทนากับโมเสสตามลำพังเหมือนเพื่อนคุยกัน”
(อพย 33:11)
มิตรภาพระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เป็นความจริงเมื่อมนุษย์ยอมรับมิตรภาพนี้ด้วยใจอิสระ
มนุษย์อาจจะปฏิเสธไม่ยอมรับมิตรภาพนี้ในภายหลังก็เป็นไปได้ ทุกสิ่งที่มนุษย์ยอมรับอย่างอิสระ เขา
ก็อาจปฏิเสธได้อย่างอิสระเช่นกัน ดังนั้น ผู้เลือกที่จะปฏิเสธก็ “ไม่มีสิทธิรับมรดกในพระอาณาจักร
359
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
360
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
แม้พระองค์ประทานพระหรรษทานให้เราทั้งก่อนและตลอดการกระทำของเรา และทรงเชื้อ
เชิญเราให้เดินตามวิถีแห่งชีวิต แต่เรามีสิทธิ์เลือกวิถีใดวิถีหนึ่งใน 2 วิถีนี้120 เมื่อเราเลือกวิถีใดแล้ว
พระเจ้าก็ทรงเคารพอิสรภาพของเราอย่างแท้จริง กระนั้นก็ดี ตราบใดที่เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้
พระองค์ไม่ทรงหยุดที่จะประทานพระหรรษทานที่ช่วยให้รอดแก่ผู้ที่พรากจากพระองค์
เราต้องยอมรับว่า เราเลือกทำกับตนเองด้วยใจอิสระอย่างไร พระเจ้าก็ทรงเคารพสิ่งที่เรา
เลือกทำอย่างนั้น ไม่ว่าเราจะยอมรับหรือไม่ยอมรับพระหรรษทานก็ตาม ดังนั้น เราจึงเข้าใจได้ว่า
ทั้งความรอดพ้นและการถูกลงโทษของมนุษย์เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เขาอยู่ในโลกนี้แล้ว เพราะเมื่อมนุษย์
ตัดสินใจทำความดีหรือทำความชั่ว ก็เท่ากับว่ามนุษย์เปิดใจรับหรือปิดตนเองต่อพระเจ้าอย่างอิสระ
พูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือ เราเห็นทั้งความยิ่งใหญ่ของเสรีภาพของมนุษย์และความรับผิดชอบที่เป็นผลตาม
มาของเสรีภาพ
นักเทววิทยาทุกคนตระหนักดีว่า มนุษย์ปัจจุบันมีความลำบากใจที่จะต้องยอมรับคำสอนของ
พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เรื่องนรก แท้ที่จริงแล้ว มนุษย์ทุกสมัยในประวัติศาสตร์เคยประสบ
ปัญหานี้มาแล้ว ดังนั้น เราจึงต้องเปิดใจรับคำสอนเพียงเล็กน้อยของพระวรสารเรื่องนรกอย่างตรงไป
ตรงมา เพื่อจะได้มีความเชื่อในความจริงนี้และสามารถจะอธิบายแก่คนอื่นได้ เราต้องพอใจในคำสอน
เพียงเล็กน้อยเช่นนี้ และควรหลีกเลี่ยงที่จะพยายามค้นหาในรายละเอียดเพื่อพิสูจน์ให้เห็นชัดว่า พระ
ทัยดีอันไร้ขอบเขตของพระเจ้าจะผสมผสานกับเสรีภาพของมนุษย์ได้อย่างไรกัน
พระศาสนจักรเชื่อมั่นความจริงทั้ง 2 ประการ คือ มนุษย์มีเสรีภาพและพระเจ้าทรงพระ
เมตตาประทานเสรีภาพแก่มนุษย์ เพราะเสรีภาพเป็นเงื่อนไขสำคัญเพื่อมนุษย์จะได้รับความรอดพ้น
เมื่อพระศาสนจักรอธิษฐานภาวนาสำหรับความรอดของมนุษย์ทุกคน คือ พระศาสนจักรภาวนาเพื่อ
การกลับใจของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ พระเจ้า “มีพระประสงค์ให้ทุกคนได้รับความรอดพ้นและรู้จักความ
จริงที่สมบูรณ์” (1 ทธ 2:4) พระศาสนจักรเชื่อเสมอว่า พระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงช่วยมนุษย์
120
สภาสังคายนาเมืองเตรนต์ Sess.6 Decretum de iustificatione, c.5 in DS 1525.
361
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
ทุกคนให้รอดพ้นมีประสิทธิผลอย่างมาก พระศาสนจักรไม่เคยประกาศอย่างเจาะจงว่าผู้ใดได้พินาศ
และไปสู่นรกแล้ว กระนั้นก็ดี นรกอาจเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ทุกคน บางคนในสมัยนี้ดูเหมือนลืม
ความจริงข้อนี้ไป เช่น เมื่อพระสงฆ์เทศน์ในพิธีปลงศพก็ดูเหมือนไม่อธิบายว่านรกมีอยู่จริง และเป็น
สิ่งที่ไม่ถูกต้องที่จะคิดว่า มนุษย์ทุกคนจะได้รับความรอดพ้นโดยอัตโนมัติ ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้อง
นำถ้อยคำของนักบุญเปาโลที่สอนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาพูดเป็นคำพูดของเราด้วย “พระเจ้าทรงพระปรีชา
และทรงรอบรู้ลึกล้ำเพียงใด คำตัดสินของพระองค์สุดที่จะหยั่งรู้ได้ และมรรคาของพระองค์สุดที่จะ
เข้าใจได้” (รม 11:33)
362
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
บ ท ที่ 11
กฎการภาวนาแสดงกฎความเชื่อ (lex orandi – lex credendi)
121
Indiculus, 8, DS 246.
122
“ผู้ตาย” แปลคำภาษาลาตินว่า defunctus ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้ที่ได้ปฏิบัติภารกิจสำเร็จแล้ว” จึงชวนให้
คิดว่า ผู้ใดปฏิบัติภารกิจของตนบนแผ่นดินนี้สำเร็จแล้ว จะมีสิทธิเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าทันทีหลังความตาย
หรือหลังการชำระตนให้บริสุทธิ์ ถ้าจำเป็น
123
Ordo exsequiarum, (editio typica 1969), n. 55, p. 25. Cf. n.72, p. 32; n. 184, p. 73.
363
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
124
Ibid., n. 195, p. 77.
125
Cf. ibid., n. 30, p. 16.
126
Cf. ibid., n. 33, p. 18; n.36-48, p. 22; n.65, p. 29, etc.
127
Ordo unctionis infirmorum eorumque pastoralis cura (editio typica 1972), n. 146, p.60.
364
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
365
อ นั น ต วิ ท ย า
ภาคผนวก
บ ท ส รุ ป
เราได้เลือกจบการอธิบายปัญหาบางประการในปัจจุบันเกี่ยวกับเทววิทยาเรื่องอนันตกาล
โดยอ้างหลักฐานที่เป็นคำยืนยันในพิธีกรรม เพราะพระศาสนจักร แสดงความเชื่อของตนในพิธีกรรม
และพิธกี รรมเป็นแหล่งดีทสี่ ดุ สำหรับประกาศความเชือ่ จากหลักฐานดังกล่าวแสดงชัดเจนว่า พิธกี รรม
รักษาสมดุลที่ต้องมีระหว่างคำสอนทางอนันตกาลของปัจเจกบุคคลและของมนุษย์โดยรวม พิธีกรรม
ยังเน้นว่าความจริงสุดท้ายได้รับความหมายจากพระคริสตเจ้า เพราะปราศจากพระองค์คำสอนเรื่อง
อนันตกาลจะเป็นเพียงการคาดคะเนของมนุษย์เท่านั้น
ขอสรุปการอธิบายนี้ โดยอ้างข้อความตอนหนึ่งจากอารัมภบทของหนังสือ “บทประจำพิธี
ปลงศพ” เป็นคำสอนสุดท้ายอย่างย่อ เพราะข้อความตอนนี้สรุปถึงเจตนารมณ์ของพิธีกรรมโรมันฉบับ
ปรับปรุงใหม่ไว้อย่างดี
“พิธีกรรมของคริสตชนในการปลงศพเป็นการเฉลิมฉลองธรรมล้ำลึกปัสกาของ
พระคริสตเจ้า ในพิธีปลงศพพระศาสนจักรอธิษฐานภาวนาเพื่อบรรดาบุตร ที่ได้รับ
ศีลล้างบาปเข้าร่วมเป็นกายเดียวกับพระคริสตเจ้า ผู้สิ้นพระชนม์และทรงกลับคืน
พระชนมชีพ ขอให้เขาผ่านจากความตายไปสู่ชีวิตพร้อมกับพระองค์ และเมื่อ
วิญญาณได้รับการชำระอย่างเหมาะสม วอนขอพระองค์ให้ทรงรับเขาอยู่ร่วมกับ
บรรดานักบุญและผูเ้ ลือกสรรในสวรรค์ ขณะทีร่ า่ งกายของเขาหวังจะได้รบั ความสุข
เมื่อพระคริสตเจ้าเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์และทรงบันดาลให้บรรดาผู้ตายกลับคืนชีพ
เพราะเหตุนี้ พระศาสนจักร มารดาผู้มีใจสงสาร ถวายพิธีบูชาขอบพระคุณ ซึ่งเป็น
อนุสรณ์ปัสกาของพระคริสตเจ้าสำหรับบรรดาผู้ตาย รวมทั้งอธิษฐานภาวนาและ
ประกอบกิจใช้โทษบาปให้เขา ผูม้ คี วามเชือ่ ทุกคนร่วมเป็นหนึง่ เดียวในพระคริสตเจ้า
เขาทั้งหลายจึงได้รับผลประโยชน์ คือ วิญญาณของบรรดาผู้ตายได้รับความช่วย-
เหลือ ส่วนผูท้ เ่ี ศร้าโศกเพราะการจากไป ก็ได้รบั การปลอบโยนและมีความหวัง”132
132
Ordo exsequiarum, (editio typica 1969), Praenotanda, n. 1, p. 7
366
อ นั น ต วิ ท ย า