You are on page 1of 62

ศาสนาคริสต์

“ศาสนาแห่ งความรั ก
ต่ อ พระเจ้ าและ มนุษยชาติ”

โดย อ.สรณีย์ สายศร


• “...เพราะว่ าพระเจ้ าทรงรั กโลก จึงได้ ทรงส่ งพระบุตรองค์ เดียวของ
พระองค์ ลงมา เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนัน้ จะไม่ พนิ าศ.....
แต่ มีชีวติ นิรันดร”
ความสาคัญ

 ศาสนาคริสต์ (Christianity) เป็ นศาสนาแห่ งความรั ก เพราะ


พระเจ้ าทรงรักมนุษย์ ทรงรักประชากรของพระองค์ ทรงสร้ างสัตว์
ต่ างๆขึน้ มาเพื่อรั บใช้ ศาสนาคริสต์ เป็ นศาสนาที่นับถือศรัทธาใน
พระเจ้ าองค์ เดียวเชื่อว่ าพระเจ้ าเป็ นผู้สร้ างโลกและทุกสิ่งทุกอย่ าง
รวมถึงมนุษย์
 ศาสนาคริสต์ วิวัฒนาการมาจากศาสนายูดาย(ฮิบบรู )หรือ
ศาสนายิว นับถือพระเจ้ าองค์ เดียวกัน คือ พระยะโฮวา
ประวัตศิ าสนา

 ประวัติศาสตร์ ของศาสนาคริสต์ มีความสัมพันธ์ กับศาสนายิว


และคนยิวอย่ างใกล้ ชิด เพราะเป็ นที่ยอมรับกันว่าทัง้ สองศาสนานีเ้ กิดมา
จากคนยิวมีลกั ษณะเป็ นศาสนาแห่งประวัติศาสตร์ ที่ไม่ได้ เกิดขึ ้นเองตามธรรมชาติ
และเป็ นประวัติศาสตร์ ที่ยึดโยงกับพระเจ้ าและกาหนดมรรคาแห่งชีวิต ที่ทุกคน
จะต้ องดาเนินไปตามคัมภีร์
 บุคคลในประวัติศาสตร์ ของทังสองศาสนานี
้ ้ อาทิเช่น อับราฮัม (Abraham)
โยเซฟ (Joseph) โมเสส (Moses) และกษัตริย์โซโลมอน (Solomon) ฯลฯ ล้ วนเป็ น
บุคคลที่พระเจ้ าได้ ทรงกาหนดให้ เป็ นไปตามแผนที่พระองค์ ได้ วางไว้ เพื่อ
ช่ วยชีวิตมนุษย์ ให้ ถงึ ความรอด (Salvation) คัมภีร์ไบเบิลทังสองภาค
้ (พันธสัญญา)
จึงเป็ นคัมภีร์ที่มีความสาคัญยิ่ง โดยเฉพาะในด้ านประวัติศาสตร์ ของทังสองศาสนา

อับราฮัม โมเสส กษัตริย์โซโลมอน


ประวัตศิ าสนา
• - ศาสนาคริสต์ เป็ น “เอกเทวนิยม” นับถือ “พระยะโฮวาห์ ”
• - เป็ น 1 ใน 3 ศาสนาของโลก
• -เกิดในปาเลสไตน์ พ.ศ.543 ในปี เกิดของพระเยซู พัฒนามาจากศาสนายิว
• - มีพระเยซู (JESUS) เป็ นพระศาสดา และ พระเมสสิอาห์ (MESSIAH)
• - ศาสนาคริสต์ เจริญแพร่ หลายโดยการเผยแผ่ ของสาวกและศาสนิกชน หลังจาก
พระเยซูสนิ ้ ชีพแล้ ว เช่ น ในสมัยพระเจ้ าคอนสแตนตินแห่ งโรมันและเจริญอย่ าง
ต่ อเนื่อง ตัง้ แต่ พ.ศ. 868-1597 ในหลายภูมภิ าคทั่วโลก
• - ตัง้ แต่ พ.ศ.1597-2060 สันตะปาปา หรื อ โป๊ ป เป็ นตัวแทนของพระเจ้ า มีอานาจ
สูงสุด
• - ตัง้ แต่ ปี พ.ศ. 2060 มาร์ ตน
ิ ลูเธอร์ นักบวชชาวเยอรมัน ต่ อต้ านอานาจของโป๊ ป
และ พิธีการที่ฟ้ ุงเฟ้ อบิดเบือน ยึดมั่นในคาสอนที่แท้ ของพระเยซู เกิดนิกาย
โปรเตสแตนท์
ประวัตศิ าสดา

• ศาสดาของศาสนาคริสต์ คือ พระเยซู เกิดเมื่อ พ.ศ. 543 ในวันที่ 25


ธันวาคม ที่หมู่บ้านเบธเลเฮ็ม แคว้ นยูเดีย ปาเลสไตน์ เจริญเติบโตที่เมือง
นาซาเรท แคว้ นกาลิลี
• มารดา ชื่อ มาเรี ย บิดา ชื่อ โจเซฟ ท่ านเกิดจากพระครรภ์ บริสุทธิ์ เป็ น
บุตรของพระเจ้ า
• ท่ านเกิดในยุคที่ชาวยิวได้ รับทุกข์ หนัก เพราะถูกกดขี่จากพวกโรมัน
ประวัตศิ าสดา
• คาว่ า คริสต์ (Christ) มาจากภาษากรี ก ว่ า Christos หมายถึง
เมสสิอาห์ (ผู้ท่ พ
ี ระเจ้ าทรงเจิมไว้ ) ในภาษายิว ทัง้ นีช้ าวคริสต์
ส่ วนใหญ่ จะเชื่อว่ า พระเยซู คือ เมสสิอาห์ ที่พระเจ้ าประทานมา
• พระเยซูได้ รับการศึกษาจากโรงเรี ยนในหมู่บ้าน
• ศึกษาพระคัมภีร์เก่ าของศาสนายิวจนมีความรู้ แตกฉาน
มีข่าวดีมาบอก

 หลังจากนันพระเยซู
้ (ผู้เป็ นยิว)ได้ ออกเทศนาทัว่ ประเทศเพื่อประกาศ "ข่ าวดี"
อันเป็ นหนทางแห่งความรอดพ้ นจากบาปไปสูช่ ีวิตนิรันดร์ การประกาศศาสนาของพระ
เยซูนนไม่ั ้ ใช่เพื่อล้ มล้ างศาสนายูดาย แต่เป็ นการปฏิรูปศาสนาเดิมให้ มีความสมบูรณ์
ยิ่งขึ ้น โดยเน้ นความรักต่อพระเจ้ าและความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ในขณะนันได้ ้ มีผ้ สู นใจ
คาสอนของพระเยซู แต่ส่วนมากเป็ นชนชันชาวบ้ ้ าน ที่ยากจนและชาวประมง พระเยซู
ได้ คดั เลือกสาวกจากบุคคลเหล่านี ้ได้ ทงหมด ั้ 12 คน
สืบเนื่องมาจากคาสอนของพระเยซู
มีสว่ นทาให้ ผ้ นู าศาสนา ยูดาย ขุนนาง
และคน ร่ ารวยบังเกิดความไม่พอใจ
เพราะถูกตาหนิจงึ โกรธแค้ นคิดหาทาง
ทาร้ าย ด้ วยการจับตัวไปขึ ้นศาลของ
เจ้ าเมืองชาวโรมัน โดยยูดายรับอาสา
ชี ้ตัวพระเยซู เมื่อวันที่ผ้ นู าศาสนา ยู
ดายมาจับตัวพระเยซูไป สาวกทัง้ 11
คน ได้ รีบหลบหนีทิ ้งให้ พระเยซูถกู จับ
ไปลงโทษ โดยการตรึงกับไม้ กางเขน
จนถึงแก่ชีวิตในขณะที่มีอายุได้ 33 ปี
เท่านัน้ จึงใช้ เวลาประกาศศาสนา
เพียง 3 ปี
• ชาวคริ สต์เชื่อกันว่าหลังจากที่พระเยซูได้ สิ ้นไป 3 วันแล้ วได้ ฟืน้ คืนชี พอีกครัง้ สาวกทัง้ 11
คน พวกเขาได้ ทดสอบพระเยซูหลายครัง้ จนมัน่ ใจว่าการฟื น้ คืนชีพของพระเยซูนัน้ ไม่ใช่ เรื่ อง
หลอกลวงแต่เป็ นจริ ง ประกอบกับการเทศนาสัง่ สอนย ้าให้ สาวกทังหลายมี ้ ความเข้ าใจใน
พระคัม ภี ร์ พวกเขาทัง้ 11 คน ได้ ก ลับ ไปกรุ ง เยรู ซ าเล็ ม จึ ง ร่ ว มกัน อธิ ษ ฐานอย่ า ง
ขะมักเขม้ น นับแต่นนมาอั
ั ้ ครสาวกทัง้ 11 คน และ มัทธีอสั (Matthias) ซึง่ ได้ รับเลือกเข้ ามา
ในภายหลังรวมเป็ น 12 คน ได้ ช่วยกันเผยแพร่ ศาสนาอย่างมัน่ คงทาให้ มีผ้ เู ข้ ามาเป็ นสาวก
ของพระเจ้ ามากมาย แต่ในขณะเดียวกันการเผยแพร่ ศาสนามีความลาบากเป็ นอย่างมาก
เพราะถูกต่อต้ านอยู่เสมอจากพวกที่นบั ถือศาสนายูดาย
 นักบุญเปโตร (Petro) ได้ รับการแต่ งตัง้ ให้ เป็ น หัวหน้ า
โดยนัยนีท้ ่ านจึงเป็ นผู้นาสูงสุดของศาสนาคริสต์ เป็ นคนแรก
นักบุญเปโตรได้ เผยแพร่ ศาสนาถึงกรุ งโรม และได้ เลือกกรุ งโรม
เป็ นศูนย์ กลางการดาเนินงานของศาสนจักร ในบัน้ ปลายชีวติ ของ
ท่ านนัน้ ได้ ถูกพวกทหารโรมันจับทรมานและประหารชีวติ
 ความเจริ ญของศาสนาคริ สต์ ไ ด้ มี ม า
ยาวนาน จนกระทัง่ ถึงยุคล่าอาณานิคมของพวก
จัก รวรรดิ์ นิ ย มชาวยุโ รปและอเมริ กัน ซึ่ง อยู่ใ น
ช่วงเวลาประมาณคริ สต์ศตวรรษที่ 15-16 ศาสนา
คริ สต์ได้ ถูกนาไปเผยแพร่ ในประเทศต่าง ๆ ที่ นัก
ล่าอาณานิคมเหล่านี ้ไปถึง ทาให้ คริ สต์ศาสนิกชน
มี ปริ มาณเพิ่มมากขึน้ ทัง้ ในทวีปยุโรป อาฟริ กา
อเมริ กา เอเชีย และออสเตรเลีย
 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยได้ มีนั ก
สอนศาสนาชาวโปรตุ เ กสและสเปนเข้ ามา
เผยแพร่ โดยเดินทางมาพร้ อมกับพวกทหารและ
พ่อค้ าของประเทศเหล่านัน้ ทาให้ มีคนไทยนับถือ
ศาสนาคริ สต์กระจัดกระจายไปทัว่ ประเทศ
สรุ ป
• ผู้ก่อตัง้ คือ พระเยซู แห่ งนาซาเรท
• มีฐานะเป็ นทัง้ ศาสดาพยากรณ์ และเทพบุตร
• มีพนื ้ ฐานมาจากศาสนายิว (พระเยซูได้ รับการสอนถึงพระบัญญัติ
อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนายูดา)
• เป็ นศาสนาเอกเทวนิยม พระเจ้ ามีพระนามว่ า ยะโฮวาห์
• คือมีพนื ้ ฐานความเชื่อว่ า
• มีเทพเจ้ าที่มีอานาจสูงสุด ที่มีอานาจเหนือธรรมชาติ
• ซึ่งมีช่ ือว่ า พระยะโฮวาห์ (GOD) โดยพระผู้เป็ นเจ้ านี ้
» จะเป็ นผู้ท่ ดี ลบันดาลให้ ทกุ สิ่งทุกอย่ างเป็ นไป
» คือเกิดขึน้ ตัง้ อยู่ เปลี่ยนแปลง และดับสลายไป.
 มีผ้ ูนับถือมากที่สุดเพราะอิทธิพลจากการเมืองใน
อดีต
 ได้ ช่ ือ Christ = Mesiah แปลว่ า ผู้ไถ่ บาป (พบกับ
จอห์ นผู้ล้างบาปเมื่ออายุ 30)
 ทรงสอนศาสนาอยู่ได้ ๓ ปี ก็ถูกประหาร เพราะอ้ าง
ตนเองว่ าเป็ นบุตรของพระยะโฮวาห์ ผิดกฎศาสนายิว
 คาสอนของศาสนาคริสต์ จะอยู่ในคัมภีร์ใหม่ ส่ วน
ใหญ่ เป็ นคาสอนในระดับศีลธรรม และการปฏิบัตใิ น
ชีวติ ประจาวัน โดยเน้ นไปที่ความเชื่อมั่นในพระเจ้ า คือ
เชื่อว่ าพระเจ้ ามีอยู่จริง และปฏิบัตติ ามที่พระจ้ าสั่งไว้ โดย
ผ่ านมาทางพระเยซู
 กล่ าวโดยสรุ ป คาสอนของพระเยซูกค็ ือ "ปรัชญาแห่ ง
ความรัก" คือรักพระเจ้ า รักครอบครัว และรักเพื่อนมนุษย์ ทงั ้
ปวง โดยไม่ เลือกชนชัน้ และเชือ้ ชาติ รวมทัง้ การให้ อภัยไม่
โกรธเกลียดแม้ ผ้ ูท่ มี าทาร้ ายตนเอง.
 ส่ วนคาสอนในระดับอภิปรั ชญานัน้ ถูกแต่ งขึน้ โดยสาว
กรุ่ นใหม่ ที่บวกเอาแนวคิดของนักปรัชญาเช่ นอริสโตเติล้ ของ
ในยุคนัน้ เข้ าไว้ จึงทาให้ ศาสนาคริสต์ มีความแข็งแกร่ งทางภูมิ
ปั ญญามาก.
บ่ อเกิดของศาสนาคริสต์
• ๑. ส่ วนหนึ่งมาจากพันธะสัญญาเก่ า (Old Testament)
• ๒. ส่ วนหนึ่งมาจากความสานึกของสาวกเกี่ยวกับพระเยซู
• ๓. ส่ วนหนึ่งมาจากวัฒนธรรมที่ได้ สัมผัส ตามกระแสแห่ ง
ประวัตศิ าสตร์
• ไม่ มีวัฒนธรรมคริสต์ ท่ ตี ายตัว เพราะพระเยซูมไิ ด้
ทรงกาหนดไว้ ชาวคริสต์ อยู่ท่ ไี หน ก็เป็ นคนของ
ถิ่นนัน้ และมีวัฒนธรรมตามท้ องถิ่นที่ตนสังกัด
• หลังจากพระเยซูเสด็จจากไป สานุศษิ ย์ ได้ ประชุม
ร่ วมกัน เริ่มออกทาการเผยแผ่ คาสอนของ
พระองค์ แยกตัวออกจากศาสนายิว และมาตัง้
ศาสนาคริสต์ ตามชื่อของพระคริสต์ แปลว่ า
พระผู้ช่วยให้ รอด คือ พระเยซู
• ในคริสต์ ศตวรรษที่ ๑ ได้ มีสาวก ๔ คน คือ
มัตธาย มาธาโก ลูกา และโยฮัน เขียนพระ
ประวัตแิ ละคาสอนของพระเยซูรวมเรียกว่ า
“พระกิตติคุณ” ต่ อมาเป็ น คัมภีร์ไบเบิล ฉบับ
พันธสัญญาใหม่
ลักษณะ
• มีความหวังในพระเมสซิอา
(ผู้จะมาไถ่ให้ คนยิวพ้ นจาก การถูกกดขี่ นาความหวังมาให้ )
• เมสซิอา = ผู้นาการเมืองและศาสนาหรือผู้นาประเทศ
• พระเยซู เป็ นผู้ให้ กาเนิดศาสนา
• เซนต์ ปอล เป็ นผู้ประดิษฐาน
• ศาสนาคริสต์ เดิมนัน้ สอนให้ ดาเนินตามแบบชาวยิว
- ต่ อมา St. ปี เตอร์ ประกาศว่ า คริสตชนที่เป็ นยิวก็ทา
แบบยิวต่ อไป คริสตชนที่เป็ นกรีกก็เป็ นคริสต์ แบบกรีก
หลักความเชื่อดัง้ เดิมของศาสนาคริสต์ (เครโค)
• ๑) ข้ าพเจ้ าเชื่อในพระเจ้ าองค์ เดียว พระบิดผู้ทรงสรรพานุภาพ
• ๒) เชื่อในพระเยซูคริสต์ เจ้ า พระบุตรแต่ พระองค์ เดียวของพระเป็ นเจ้ า
ทรงบังเกิดจากพระบิดา...เพราะเห็นแก่ เรามนุษย์ เพื่อช่ วยให้ รอด
พระองค์ จงึ เสด็จจากสวรรค์
• ๓) ข้ าพเจ้ าเชื่อในพระจิตเจ้ า ผู้ประทานชีวติ ทรงเนื่องมาจากพระบิดา
และพระบุตร พระองค์ ดารัสทางประกาศ
• ๔) ข้ าพเจ้ าเชื่อในประกาศศาสนจักร หนึ่งเดียว ศักดิ์สทิ ธิ์ คาทอลิก
และสืบจากอัครสาวก
• ๖) ข้ าพเจ้ าเชื่อในการยกบาป ยอมรับว่ าพิธีล้างที่ยกบาปมีแต่ พธิ ีเดียว
• ๗) ข้ าพเจ้ าเชื่อในการคืนชีพของร่ างกาย
หลักความเชื่อต่ อมา
• เชื่อว่ า พระบิดา พระบุตร และพระจิต เป็ น ๓ บุคคล แต่ ละบุคคล
เป็ นพระเจ้ าสมบูรณ์ ในตนเองเสมอกัน ต่ อเนื่องมาจากกัน
• พระบิดาทาให้ บังเกิดพระบุตร และพระจิตเนื่องมาจากพระบิดา
และพระบุตร *** ทัง้ ๓ บุคคล รวมกันเป็ นหนึ่งเดียว เรี ยกว่ า
“ตรี เอกภาพ” (Trinity)
• ยกย่ องพระเยซูว่ามี ๒ สภาวะ คือ สภาวะพระเจ้ า และสภาวะ
มนุษย์
• ๓ วันหลังจากที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน ได้ ฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์
ได้ เสด็จไปสู่สวรรค์ หลังจากได้ ประทับอยู่กับสาวกเป็ นเวลา ๔๐ วัน
พระผู้สร้ าง
1. พระบิดา
(God : the Father)
(พระยะโฮวา)

2. พระบุตร ผู้เสด็จเพื่อนาทาง
ผู้ไถ่ บาป (พระเยซู) 3.พระจิต
( Jesus, Son
(Holy Spirit)
ช่ วยเหลือมนุษย์
of God)
ไปสู่พระเจ้ า หรือ
เป็ นมัคคุเทศก์

รวมกันเป็ นพระเจ้ าองค์ เดียว


(ตรี เอกภาพ (Trinity)
พระจิต

พระบุตร

พระบิดา
• ชาวคริสต์ บางนิกาย ได้ ยกย่ อง
“พระนางมารี อา หรื อมาเรี ย” เป็ น
พระมารดาของพระเจ้ า หรื อ
“แม่ พระ”
• ก่ อนที่พระเยซูจะเสด็จสู่สวรรค์ ได้
ทรงสถาปนาพระนางให้ เป็ นแม่
พระของคริสต์ ศาสนิกชนทุกคน
และพระนางได้ ถูกยกขึน้ สวรรค์ ทงั ้
ร่ าง (Assumption)
• ทรงเป็ นคนกลางระหว่ างพระเจ้ า
กับคริสต์ ศาสนิกชน
• ชาวคริ สต์ เชื่อใน The last
judgment หรื อการพิพากษา
ครัง้ สุดท้ าย >> เชื่อว่ า เมื่อตาย
วิ ญ ญ า ณ แ ย ก จ า ก ร่ าง กา ย
ร่ างกายจะเน่ าเปื่ อย แต่ จะ
กลั บ ฟื ้ นคื น ขึ น้ ใหม่ ในวั น สิ น้
โลก แล้ วมารั บ วิญญาณ ส่ ว น
วิญญาณจะถูกพิพากษา ถ้ าทา
ดีจะได้ ไปอยู่ร่วมกับพระเจ้ าใน
สวรรค์ นิ รั น ดร และถ้ า ท าชั่ ว
จ ะ ถู ก พิ พ า ก ษ า ใ ห้ ล ง น ร ก
นิรันดรเช่ นเดียวกัน
พระเยซู คือ พระเมสิอาห์
• พระเยซูเป็ นนามเดิมของพระองค์ เมื่อชาวคริสต์ สานึกได้ ว่า
พระเยซู คือ พระเมสิอาห์ จึงได้ ถวายสมญานามต่ อท้ ายให้ ว่าคริสต์
ซึ่งมาจากศัพท์ ภาษากรี กว่ า “Christos” แปลว่ า “เมสิอาห์ ”
เรี ยกตนเองว่ า “คริสเตียน” แปลว่ า “ผู้เป็ นบริวารของพระเมสิอาห์ ”
• ชาวยิวมีความหวังในองค์ เมสิอาห์ เมื่อพระเยซูมาเกิดและทาความ
ดีเป็ นที่ประจักษ์ ชาวยิวส่ วนหนึ่งจึงปลงใจว่ า พระเยซูนีเ้ องคือองค์
เมสิอาห์ ที่พระเจ้ าส่ งลงมาเพื่อช่ วยปลดเปลือ้ งความทุกข์
• “คริสต์ หรื อ ไครสต์ ” หมายถึงพระวิญญาณของพระเจ้ า ซึ่งมาสถิต
ในร่ างของพระเยซู เพราะเป็ นผู้บริสุทธิ์
การเผยแพร่ ศาสนาคริสต์
• ผู้เป็ นกาลังสาคัญในการเผยแพร่ ศาสนาคริสต์ คือ เซนต์ ปอล >>
หลังพระเยซูสนิ ้ พระชนม์ ไปแล้ ว ๑๕ ปี
• **พระเยซูเป็ นผู้ให้ กาเนิดศาสนาคริสต์ แต่ เซนต์ ปอลเป็ นผู้
ประดิษฐานศาสนาคริสต์ ให้ ม่ ันคง โดยได้ ประกาศศาสนาคริสต์ ท่ ี
กรุ งโรม
• เมื่อพระเยซูสนิ ้ พระชนม์ ราวปี คศ. ๓๐ นักบุญเปโตร หรื อ เซนต์ ปี
เตอร์ ได้ ปฏิบัตติ นเป็ นหัวหน้ าสาวก ได้ เรี ยกประชุมสังคายนาครั ง้
แรกของคริสต์ ศาสนา
• สังฆราชที่กรุ งโรมได้ รับการยกย่ องว่ าเป็ นผู้สืบตาแหน่ งจากนักบุญ
เปรโตในตาแหน่ งสันตะปาปา เป็ นประมุขของศาสนจักร
การเผยแพร่ ศาสนาคริสต์ (ต่ อ)
• ปี ค.ศ. ๓๑๓ จักรพรรดิคอนสแตนติน ทรงอุปถัมภ์ คริสต์ ศาสนา
มอบหมายอานาจทางอาณาจักรให้ สันตะปาปาปกครองกรุ งโรม และ
เป็ นประมุขของพระศาสนจักร
• พระเจ้ าคอนสแตนติน ได้ ย้ายราชธานีไปตัง้ ในดินแดนกรี ก ให้ ช่ ือว่ า
“คอนสแตนติโนเปิ ล” หรื อ “กรุ งโรมตะวันออก” กรุ งโรมเดิม เรี ยกว่ า
“กรุ งโรมตะวันตก” ซึ่งเป็ นศูนย์ กลางของศาสนาคริสต์ สืบมา ต่ อมา
เรี ยกนิกายโรมันคาธอลิก
• ฝ่ ายศาสนาคริสต์ ในกรุ งคอนสแตนติโนเปิ ล ถือว่ าตนมีฐานะเท่ าเทียม
กับสานักในกรุ งโรมเดิม จึงแยกเป็ นนิกาย “กรี ก ออร์ ธอดอกซ์ ”
กาเนิดและวิวฒ
ั นาการของนิกาย
ที่สาคัญในศาสนาคริ สต์
จักรพรรดิคอนสแตนตินที1่

 ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคอนสแตนติน (Constantine the Great) พระองค์


ได้ ตงราชธานี
ั้ ใหม่ในภาคตะวันออก แถบประเทศตุรกีในปั จจุบนั และได้ พระราชทาน
นามราชธานีนี ้ว่า "คอนสแตนติโนเปิ ล" (Constantinople) หรื อ โรมันตะวันออก
ซึง่ เป็ นศูนย์กลางของอาณาจักรไบแซนทีน (Byzantine) อาณาจักรนี ้มีความอิสระ
แยกออกจาก โรมันตะวันตก ซึง่ มี โรม (Rome) เป็ นศูนย์กลาง
เมื่อนานวันอาณาจักรโรมันตะวันออกมีความเข้ มแข็งและเป็ นอิสระใน
ทุกด้ าน จึงตีตนออกห่างและแยกการปกครองเป็ นเอกเทศรวมไปถึงการ
ปกครองทางศาสนา มีความเป็ นอิสระจากกรุงโรม ไม่ยอมรับในพระราช
อานาจของพระสันตะปาปา จึงทาให้ เกิดการแตกแยกออกเป็ นนิกาย
อาณาจักรโรมันตะวันตกนันได้
้ รับอิทธิพลคาสอนของปี เตอร์ ซึง่
เข้ าไปมีสว่ นผสมกลมกลืนกับบทบาททางสังคมและการเมือง
ส่วนอาณาจักรโรมันตะวันออกได้ รับอิทธิพลทาง
วัฒนธรรมของเอเชีย จากจุดนี ้เองทาให้ ศาสนา
คริ สต์ต้องแยกออกเป็ น 2 นิกาย คือ

1. นิกายโรมันคาทอลิก (Roman Catholic)

2. นิกายกรี กออร์ ธอด็อกซ์ (Greek Orthodox)


นิกายโรมันคาทอลิก
(Roman Catholic)

• ใช้ ภาษาละตินเป็ นภาษาทางศาสนา


• เชื่อว่า pope (สันตะปาปา) มีสิทธิและหน้ าที่ในการวางบัญญัติ
ใหม่ๆ ได้
• โดยมีพระสันตะปาปาแห่งนครวาติกนั ในกรุงโรมประเทศอิตาลี
เป็ นประมุข ครองศาสนจักรและเป็ นรัฐอิสระปกครองตนเองโดย
ไม่ขึ ้นกับประเทศอิตาลี
• ประมุข คือ สันตะปาปา และมีพระที่เรียกว่ า บาทหลวงต้ องเป็ นผู้
สืบทอดคาสอนจากพระเยซู
• เป็ นนิกายเดียวที่เชื่อเรื่องนักบุญ และแดนชาระวิญญาณผู้ตาย
• รู ปเคารพ คือ ไม้ กางเขนที่พระเยซูถกู ตรึงอยู่
นิกายกรี กออร์ ธอดอกซ์
(Greek Orthodox)

ไม่มีศนู ย์กลางอานาจในที่ใดโดยเฉพาะ เพราะให้


ความสาคัญต่อประมุขนิกายซึง่ อยูใ่ นประเทศต่างๆ
อย่างเท่าเทียมกัน โดยเรี ยกชื่อประมุขเหมือนกัน
หมดว่า ปาตริอาร์ ค (Patriarch) หรือ
อาร์ คบิชอบ (Archbishop)
– แยกจากคาทอลิคเพราะเหตุผลทางการเมือง
– รูปเคารพ คือ ภาพ 2 มิติ
โบส์ ในนิกายออร์ ธอด็อกซ์ : มหาวิหารเซนต์ บาซิล
ตัง้ อยู่ท่ จี ัตุรัสแดง กรุ งมอสโก ประเทศรัสเซีย สร้ างโดยพระเจ้ าอีวาน
ที่4 เพื่อฉลองชัยชนะเหนือพวกมองโกลที่กรี ธาทัพมาเมืองคาซาน เมื่อ
ปี ค.ศ. 1552 ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อปอสต์นิค ยาคอฟเลฟ ตามตานาน
เล่าว่า กษัตริย์อีวานจอมโหดทรงชื่นชอบความงดงามไม่มีที่ติของมหาวิหาร
แห่งนี ้ และ ไม่ประสงค์ให้ สถาปนิกไปออกแบบให้ ผ้ อู ื่นให้ สวยเทียมเท่านี ้อีก
จึงมีรับสัง่ ให้ ควักนัยน์ตาเขาทิ ้งทังสองข้
้ าง
 ประเทศที่นบั ถือนิกาย ออร์ ธอด็อกซ์สว่ นมากเป็ นพวกยุโรป
ตะวันออก เช่น โรมาเนีย ฮังการี โปแลนด์ ยูโกสลาเวีย รัสเซีย ฯลฯ
 สรุ ป ได้ ว่ า นิ ก ายออร์ ธอด็ อ กซ์ เป็ นนิ ก ายแรก ที่ แ ยกตั ว
ออกมาเป็ นอิสระจากสานัก วาติกันในกรุ งโรม โดยมีสาเหตุ
ใหญ่ที่สดุ คือ การปฏิเสธในอานาจของพระสันตะปาปา ประกอบ
กับมีพืน้ ภูมิประเทศที่ห่างไกลจากอานาจของโรมันตะวันตก
จึ ง เป็ นการง่ า ยที่ จ ะตั ง้ ตนเป็ นอิ ส ระ และปฏิ บั ติพิ ธี ก รรม
ความเชื่อไปตามวัฒนธรรมดัง้ เดิมของตนผสมผสมผสานกับ
ความเชื่ อในคริ ส ตศาสนา ดั ง นั น้ นิ ก ายออร์ ธ อด็ อ กซ์ จึ ง มี
ลั ก ษณะที่ ค่ อ นข้ างแปลกแยกจากพวกคาทอ ลิ ค และพวก
โปรเตสแตนด์
สิ่งที่นิกายออร์ ธอดอกซ์ ถือต่ างจากนิกายโรมันคาทอลิกคือ
•ไม่บงั คับการถือโสดของนักบวช
•ไม่บงั คับเรื่ องการอดอาหาร
•ไม่บงั คับเรื่ องการไว้ หนวดไว้ เครา
•ปฏิเสธเรื่ องการไถ่บาป
•ปฏิเสธอานาจของสันตะปาปา
•จัดเป็ นผู้เคร่งในหลักคาสอนและเชื่อแนวทางที่ตนดาเนินมานันถู้ กต้ องเที่ยงตรง
•ไม่ให้ ความสาคัญเรื่ องพิธีกรรม
•ได้ รับอิทธิพลจากกรี ก
•ยอมรับศีลศักดิส์ ทิ ธิ์ ๗ ประการเป็ นหลักปฏิบตั ิเหมือนกัน
ลัทธิลูเธอร์ น
(นิกายโปรเตสแตนท์ )

 ต่อมาศาสนาคริ สต์นิกายโรมันคาทอลิคได้ แตกแยกออกไปอีก โดยบาทหลวง


ชาวเยอรมันชื่อ มาร์ ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) ท่านเกิดความไม่พอใจต่อสภาพการ
ปกครองของสานักวาติกนั จึงทาหนังสือถึงอาร์ คบิชอบ (Archbishop) ผู้เกี่ยวข้ อง แต่
กลับได้ รับหมายขับออกจากพระศาสนจักรในปี ค.ศ. 1521 มาร์ ติน ลูเธอร์ จึงแยก
ตนเองออกมาตังนิ้ กายใหม่ คือ โปรเตสแตนต์ (Protestant)
• ไม่ พอใจการกระทาคาสอนบางประการของ
สันตะปาปา ไม่ นับถือโป๊ บ
• เน้ นคัมภีร์ ไม่ มีนักบวช ไม่ นับถือไม้ กางเขน
ว่ าสาคัญ
• รั บศีลศักดิ์สิทธิ์เพียง 2 ศีล คือ ศีลล้ างบาป
และศีลมหาสนิท
สรุ ปว่ า:นิกายใหญ่ ๆในศาสนาคริสต์ มี 3นิกาย

๑. นิกายโรมันคาทอลิค (คาทอลิคแปลว่ าสากล)


๒. นิกายกรี ซออร์ ธอดอกซ์ ซึ่งนิกายนีไ้ ม่ ขนึ ้ กับพระสันตะปาปาแห่ งนครวาติกันในกรุ งโรม
๓. นิกายโปรแตสแต๊ นท์ เกิดขึน้ โดยนักบวชชื่อลูเทอร์ เป็ นผู้สถาปนาขึน้ ที่ประเทศเยอรมัน
ซึ่งเป็ นนิกายที่ยดึ มั่นในคัมภีร์ และไม่ ขนึ ้ กับพระสันตะปาปาแห่ งนครวาติกัน.
คัมภีรใ์ นศาสนา
• คัมภีรท์ ส่ี ำคัญในศำสนำคริสต์ คือ
คัมภีรไ์ บเบิล้

พระคัมภีรเ์ ก่ำ (พันธสัญญำเดิม)


พระคัมภีรใ์ หม่ (พันธสัญญำใหม่)
คัมภีร์ของศาสนาคริสต์
๑. คัมภีร์ไบเบิล  หนังสือ
๒. แบ่ งเป็ น ๒ ภาค
- The Old Testament ได้ รับมาจากศาสนายิว
- The New Testament เป็ นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา
คริสต์ โดยเฉพาะ บันทึกชีวติ และคาสอนของพระเยซู
๓. ยอมรับกันถึง ๓ ศาสนา โดยเฉพาะ The Old Testament
- ยิว คริสต์ และอิสลาม
*** เหตุท่ เี รียกพระคัมภีร์ว่า “พันธะสัญญา” เพราะถือว่ าเป็ นพระ
วจนะของพระเจ้ า เป็ นพันธสัญญาที่พระเจ้ าได้ มีต่อมนุษย์ ผ้ ูมี
ศรั ทธาในพระองค์ เป็ นข้ อผูกพันระหว่ างพระเจ้ ากับมนุษย์
• คาสอนของศาสนาคริสต์ จะอยู่ในคัมภีร์ใหม่ ส่ วนใหญ่ เป็ น
คาสอนในระดับศีลธรรม และการปฏิบัตใิ นชีวติ ประจาวัน
โดยเน้ นไปที่ความเชื่อมั่นในพระเจ้ า คือเชื่อว่ าพระเจ้ ามีอยู่
จริง และปฏิบัตติ ามที่พระจ้ าสั่งไว้ โดยผ่ านมาทางพระเยซู.
• กล่ าวโดยสรุ ป คาสอนของพระเยซูกค็ ือ "ปรัชญาแห่ งความ
รัก" คือรักพระเจ้ า รักครอบครัว และรักเพื่อนมนุษย์ ทงั ้ ปวง
โดยไม่ เลือกชนชัน้ และเชือ้ ชาติ รวมทัง้ การให้ อภัยไม่ โกรธ
เกลียดแม้ ผ้ ูท่ มี าทาร้ ายตนเอง.
• ส่ วนคาสอนในระดับอภิปรั ชญานัน้ ถูกแต่ งขึน้ โดยสาวกรุ่ น
ใหม่ ที่บวกเอาแนวคิดของนักปรั ชญาเช่ นอริสโตเติล้ ของใน
ยุคนัน้ เข้ าไว้ จึงทาให้ ศาสนาคริสต์ มีความแข็งแกร่ งทางภูมิ
ปั ญญามาก.
เป้ าหมายสูงสุด
• การเข้ าถึงพระเจ้ าและดารงชีวติ เป็ น
อันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้ า
• คือ การได้ กลับไปอยู่กับพระเจ้ าชั่ว
นิรันดร โดยมีความเชื่อมาดัง้ เดิมว่ าจะมี
พระเมสสิอาห์ (พระคริสต์ )มาเกิดและมา
ช่ วยไถ่ บาปให้ มวลมนุษย์ พ้นจากบาป
และได้ ไปอยู่กับพระเจ้ าชั่วนิรันดร ซึ่งวัน
นัน้ จะเรียกว่ า วันของพระเจ้ า คือเป็ น
วันที่คนชั่วคนบาปจะถูกลงโทษ ส่ วนคนที่
เชื่อมั่นในพระเจ้ าจะได้ ไปอยู่กับพระเจ้ า
ชั่วนิรันดร.
พิธีกรรมที่สาคัญ
ศาสนากิจ
1. ศีลล้ างบาป ถือว่าทุกคนมีบาปติดตัวมา จาต้ องทาพิธีล้างบาปเสีย
ก่อนที่จะนับถือศาสนาคริ สต์
2. ศีลกาลัง เป็ นพิธีรับพระจิตให้ มาอยูใ่ นตัวพระสังฆราชเจิมน ้ามันที่
หน้ าผากของเด็กโตที่ร้ ูรับผิดชอบแล้ ว เป็ นรูปกางเขน
3. ศีลมหาสนิท หรื อเรี ยกอีกอย่างว่า มิสซา เป็ นพิธีที่แสดงให้ เห็นว่าผู้รับ
ศีลข้ อนี ้แล้ วได้ อยูแ่ นบสนิทกับพระเยซู และเพื่อระลึกถึงชีวิตและคา
สอนของพระเยซู
4. ศีลแก้ บาปหรื ออภัยบาป เป็ นพิธีที่ชาวคริ สต์ที่สานึกว่าตนได้ ทาบาปลง
ไป โดยคุกเข่าลงต่อหน้ าบาทหลวงและสารภาพความผิดที่ได้ กระทา
ไป เป็ นการปลดเปลื ้องบาปของตน
5. ศีลสมรส เป็ นพิธีที่ให้ บา่ วสาวประกาศคามัน่ ว่าจะเป็ นสามีภรรยากัน
ตลอดไปไม่หย่าร้ าง แม้ มีบตุ รธิดาก็จะนับถือพระเจ้ าตลอดไป
6. ศีลบวช พิธีนี ้จะทากับผู้ที่เลื่อมใสมัน่ คง พร้ อมที่จะรับใช้ ศาสนาคริ สต์
แล้ วก็จะเป็ นบาทหลวง
7. ศีลเจิมครัง้ สุดท้ าย พิธีนี ้จะทาให้ เฉพาะคนป่ วยหนัก ใกล้ มรณะ
สัญลักษณ์ของศาสนา
สัญลักษณ์
- ไม้ กางเขน
- รู ปพระเยซู
- รู ปพระแม่ มาเรี ย
ฐานะของศาสนาในปัจจุบนั
• ศาสนาคริสต์ในปัจจุบนั มีผนู้ ับถือมากที่สดุ ในโลก มีศา
สนิกกว่า 1,000 ล้านคนทัวโลก
่ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในทวีป
ยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย
จบการนาเสนอ
ขอให้ พระเจ้ าคุ้มครองทุกท่ านค่ ะ
ดาวน์ โหลดไฟล์ นีไ้ ด้ ท่ ี

www.philosophychicchic.com
สนุกกับการเรี ยนรู้ ปรั ชญาและศาสนาแบบชิคๆ เคียงคู่รอยยิม้

You might also like