You are on page 1of 3

1

พระคริสตธรรมคัมภีร์ / Bibliology
I. คำนำ
A. ภาษาอังกฤษ "Bible" มาจากคําภาษากรีก Biblion ซึ่งหมายถึง "Book / หนังสือ" (ลูกา 4:17) นอกจากนีถ้ ูกเรียนกว่าพระ
คัมภีร ์ (2 ทิโมธี 3: 16-17) และพระวจนะของพระเจ้า (ยอห์น 10: 35)
B. เนื่องจากพระคัมภีรเ์ ป็ นพระวจนะของพระเจ้า จึงมีสิทธิอาํ นาจ "พระยาห์เวห์ตรัสดังนี"้ และ "พระวจนะของพระเจ้ามาถึง" พบ
ได้ท่วั พระคัมภีร ์ มีสิทธิอาํ นาจเหนือมนุษย์ (อิสยาห์ 55: 8-9) มีสิทธิอาํ นาจเมื่อพูดถึงคริสตจักร (กิจการ 20:32, วิวรณ์ 2, 3)
ในฐานะที่เป็ นพระวจนะที่เชื่อถือได้ของพระเจ้า พระคัมภีรเ์ ปิ ดเผยว่ามนุษย์ตอ้ งเชื่อฟั งพระวจนะของพระเจ้า เดินในความ
สว่างแห่งพระวจนะนัน้ (สดุดี 119:105; 1 ทิโมธี 4:16)
C. พระคัมภีรม์ ีบนั ทึกนับหลายร้อยคําพยากรณ์ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ เหตุการณ์ และประเทศต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านีจ้ าํ นวน
มากได้สาํ เร็จลุล่วงตามคําพยากรณ์แล้ว ในขณะที่บางตอนยังต้องรอการสิน้ สุดของยุค
D. พระคัมภีรม์ ีการอ้างอิงถึงธรรมชาติและกระบวนการทางธรรมชาติมากมาย พระคัมภีรพ์ ดู ถึงจํานวนนับไม่ถว้ นของดวงดาว
(ปฐก. 15:5) รูปร่างวงกลมของโลก (อิสยาห์ 4:22) โลกที่แขวนอยู่ในอวกาศ (โยบ 26:7) วัฏจักรของนํา้ (ปัญญาจารย์ 1)
ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เมื่อเข้าใจอย่างถูกต้องจะไม่ขดั แย้งกับพระวจนะของพระเจ้า (สดุดี 119:89)
E. พระคัมภีรม์ ีความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ และได้รบั การยืนยันจากโบราณคดีสมัยใหม่
F. พระคัมภีรถ์ กู เขียนขึน้ ในช่วงเวลา 1,500 ปี โดยผูเ้ ขียน 40 คน.
II. กำรเปิ ดเผย หรือ กำรสำแดง (Revelation)
A. การสําแดง—การสื่อสารอันสูงส่งเกี่ยวกับความจริงของพระเจ้าต่อมนุษย์
B. พระองค์ทรงใช้วิธีการมากมายในการเปิ ดเผยพระองค์เอง
1. กำรเปิ ดเผยทั่วไป (General Revelation)—ถูกเรียกว่า “ทั่วไป” เพราะเป็ นพยานถึงมนุษย์ทกุ คนทั่วโลก เพราะพระเจ้า
ทรงใช้การทรงสร้างทัง้ หมดในการพูดกับมนุษย์อย่างต่อเนื่อง
a. ธรรมชำติ—โดยผ่านทางพยานที่มองเห็นได้เหล่านี ้ มนุษย์จึงสามารถเข้าใจถึงความรูเ้ กี่ยวกับพระเจ้าที่มองไม่เห็น
ได้ เปาโลแสดงความจริงนีใ้ นโรม 1:20 ดาวิดกล่าวถึงเรื่องนีใ้ นเพลงสดุดี 19: 1-6
b. กำรทรงจัดเตรียมของพระเจ้ำ (providential control)—พระเจ้าทรงเปิ ดเผยถึงเทวสภาพของพระองค์แก่เราผ่าน
ทางความดีของพระองค์ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้แก่เรา (providential goodness) (มธ. 5:45)
c. มโนธรรม (พยานภายในมนุษย์ที่โน้มนําให้เขาเชื่อฟั งกฏแห่งศีลธรรม)—นอกจากพยานแห่งการทรงสร้างของ
พระองค์ที่อยู่รอบตัวมนุษย์แล้ว พระเจ้ายังทรงใส่พยานไว้ในมนุษย์ดว้ ย พยานนีก้ ็คือ มโนธรรมของมนุษย์ แม้ว่ามโน
ธรรมจะได้รบั ผลกระทบจากบาป และแม้ว่ามนุษย์มกั จะละเมิดเสียงของมโนธรรมนี ้ แต่พระเจ้ายังคงใช้มนั เพื่อพูด
กับมนุษย์ทุกคนเกี่ยวกับ ความถูก ความผิด และ ความดี ความชั่ว (โรม 2: 14-15)
C. กำรเปิ ดเผยทีเ่ ฉพำะเจำะจง (Specific Revelation)—ไม่เพียงแต่พระเจ้าทรงตรัสผ่านทางธรรมชาติและมโนธรรมเท่านัน้
แต่พระองค์ยงั ทรงประทานความรูเ้ ฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับพระองค์เองและพระราชกิจของพระองค์ดว้ ย ซึ่งแตกต่างจากการ
เปิ ดเผยทั่วไปของพระเจ้า ความรูน้ ไี ้ ม่จาํ เป็ นต้องมาถึงมนุษย์ทกุ คน
a. ในอดีตทีผ่ ่ำนมำโดยผ่ำนทำง ควำมฝั น นิมิต theophany (การปรากฏตัวของพระเจ้าต่อมนุษย์ก่อนที่พระคริสต์
จะประสูติ) ทูตสวรรค์ ผูเ้ ผยพระวจนะ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ และเสียงที่ได้ยินล้วนถูกใช้เพื่อแสดงความจริง
ของพระเจ้าต่อมนุษย์ การเปิ ดเผยพิเศษเหล่านีจ้ าํ นวนมากได้รบั การบันทึกไว้สาํ หรับเราในพระคัมภีร ์ (ปฐก. 18: 1-
3; 37; ดาน. 7: 13-14; วิวรณ์ 12: 10)
2

b. พระเจ้ำได้ตรัสผ่ำนพระบุตรของพระองค์—ใน "ยุคสุดท้าย" ซึ่งเป็ นช่วงเวลาระหว่างการเสด็จมาครัง้ แรกและ


ครัง้ ที่สองของพระคริสต์ พระเจ้าได้ตรัสผ่านบุคคลหนึ่งคือพระบุตรของพระองค์ (ฮีบรู 2:1-2) เนื่องจากพระเยซูคริสต์
ทรงเป็ นพระเจ้าในเนือ้ หนังมนุษย์ พระองค์ทรงเปิ ดเผยพระเจ้าต่อมนุษย์อย่าเต็มบริบรู ณ์เท่าที่กระทําได้ ด้วยเหตุนี ้
พระองค์จึงถูกเรียกว่า "พระวจนะ" (ยอห์น 1:1-5, 14, 18) พระองค์ทรงเป็ นการสื่อสารที่สมบูรณ์และเป็ นครัง้ สุดท้าย
ของพระเจ้าต่อมนุษย์ ไม่มีอะไรสามารถกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระเจ้าได้อีกแล้ว นอกจากสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วผ่าน
ทางพระคริสต์ ในพระองค์คือ "ซึ่งคลังสติปัญญาและความรูท้ ุกอย่างซ่อนอยู่ในพระองค์" (โคโลสี 2:3)
c. พระคัมภีรเ์ ป็ นบันทึกของพระเจ้ำเกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์—พระคริสต์ตรัสว่าพระคัมภีรใ์ นพันธสัญญา
เดิมเป็ นบันทึกเกี่ยวกับพระองค์เอง (ยอห์น 5:39) เห็นได้ชัดว่าพระกิตติคณ
ุ เป็ นบันทึกเกี่ยวกับพระชนม์ชีพของพระ
คริสต์และพระราชกิจของพระองค์บนโลก หนังสือกิจการเป็ นความต่อเนื่องของสิ่งที่พระเยซู "ทรงตัง้ ต้นทําและสั่ง
สอน" (กิจการ 1:11) จดหมายฝากถูกเขียนโดยมนุษย์ "ในพระคริสต์" ซึ่งการเรียก งานเขียน และการรับใช้เป็ นผล
โดยตรงจากพระราชกิจของพระคริสต์ในชีวิตพวกเขา หนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีรม์ ีช่อื ว่า "วิวรณ์ของพระเยซู
คริสต์" (วิวรณ์ 1:1)
III. กำรดลใจ (Inspiration)
A. นิยำม
1. กำรดลใจ—พระราชกิจของพระวิญญาณบริสทุ ธิ์ในการบันทึกการเปิ ดเผยที่เป็ นลายลักษณ์อกั ษรดัง้ เดิมของพระเจ้าโดย
ไม่มีขอ้ ผิดพลาด "การดลใจคืออิทธิพลเหนือธรรมชาติของพระวิญญาณบริสทุ ธิ์ที่มีต่อผูเ้ ขียนพระคัมภีรซ์ ่งึ ทําให้งานเขียน
ของพวกเขาเป็ นบันทึกที่ถกู ต้องของการเปิ ดเผย หรือส่งผลให้สิ่งที่พวกเขาเขียนเป็ นพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ" มิลลาร์ด
เอลิกสัน
2. พระคัมภีรไ์ ม่มีข้อผิดพลำด (ไม่สามารถผิดพลาดได้) ด้วยวาจา (ถ้อยคํา) และพระวจนะของพระเจ้า (พระคัมภีรท์ กุ
ตอนได้รบั การดลใจ)
B. ข้อเท็จจริง—"พระคัมภีรท์ กุ ตอนได้รบั การดลใจจากพระเจ้า" (2 ทิโมธี 3:16) เปาโลใช้คาํ ว่า “ดลใจ” หมายถึง "ลมปราณของ
พระเจ้า"
C. กระบวนกำร—ใน 2 เปโตร 1:20-21 เปโตรประกาศว่าพระคัมภีรเ์ ขียนโดย "คนบริสทุ ธิ์ของพระเจ้า" ผูซ้ ่งึ "เคลื่อนไหว" โดย
พระวิญญาณของพระเจ้า ไม่ใช่โดย "ความประสงค์ของมนุษย์" คําว่า "เคลื่อนไหว้" หมายถึง "ถูกนําพา" คํานีใ้ ช้ในกิจการของ
อัครทูต 27:15 เพื่ออธิบายเรือที่ยอมจํานนต่อพลังของลมที่จะพัดไปทุกที่ที่พดั
D. หลักฐำนสำหรับกำรดำลใจ
1. พระคัมภีรเ์ ป็ นผลมำจำกกำรทีพ ่ ระเจ้ำ "หำยใจออก" ถ้อยคําเพื่อให้ถอ้ ยคําเหล่านีเ้ ป็ นพระวจนะของพระเจ้า
พระองค์เอง (2 ทิโมธี 3:16)
2. พระเจ้ำพระวิญญำณบริสุทธิ์ทรงนำคนทีเ่ ตรียมไว้เป็ นพิเศษของพระเจ้ำและผ่านพวกเขาบันทึกพระวจนะของพระ
เจ้าอย่างสมบูรณ์แบบตามที่พระองค์ทรงประสงค์เพื่อให้งานเขียนต้นฉบับเหล่านีป้ ราศจากข้อผิดพลาด (2 ทิโมธี 3:16; 1
เปโตร 1:20-21)
3. พระคริสต์ทรงถือว่ำพระคัมภีรไ์ ด้รับกำรดลใจ (มธ. 5:17—ของทัง้ หมดทุกตอน), (ยอห์น 19:35—ของถ้อยคํา) และ
(มธ. 5:18—ของตัวอักษร)
IV. กำรสงวนเก็บรักษำ (Preservation)—พระคัมภีรไ์ ด้รบั การสงวนเก็บรักษาไว้โดยพระเจ้า
A. พระคัมภีรเ์ ปิ ดเผยการสงวนเก็บรักษาของพระเจ้า
3

1. พระเยซูเจ้าทรงประกาศว่าทุกตัวอักษรของพระคัมภีรแ์ ละแม้แต่ส่วนต่าง ๆ ของตัวอักษรจะถูกเก็บรักษาไว้ (มธ. 5: 17-


18) บางครัง้ พระองค์ทรงใช้ขอ้ โต้แย้งทัง้ หมดบนสิทธิอาํ นาจของคําเดียว (มธ. 4: 1-11; ยอห์น 10:31-38; มธ. 22:23-33)
ยูดาบอกแก่เราว่าความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือ "หลักความเชื่อที่ได้ทรงมอบให้กบั พวกธรรมิกชนครัง้ เดียว
สําหรับตลอดไป" (ยูดา 3) ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าจะไม่ทรงดลใจต้นฉบับหรือคําแปลใด ๆ อีกเลย ไม่จาํ เป็ นต้องเป็ น
เช่นนัน้ เพราะพระเจ้าจะทรงปกป้องและสงวนรักษาพระวจนะของพระองค์สาํ หรับมนุษย์
2. ผลของการเก็บรักษาเป็ นข้อความที่น่าเชื่อถือ ผูเ้ ชื่อในปัจจุบนั สามารถพักผ่อนได้อย่างมั่นใจในความจริงที่ว่าพระคัมภีร ์
เป็ นพระวจนะที่ได้รบั การดลใจจากพระเจ้า ดังนัน้ จึงควรเชื่อปฏิบตั ิและประกาศ
V. สำรบบ (Canonicity)
A. นิยำม
"คําที่ใช้เทียบกับหนังสือ 66 เล่มของพระคัมภีรซ์ ่งึ บ่งชีว้ ่าหนังสือเหล่านีไ้ ด้ผ่านการทดสอบที่ใช้ในการกําหนดการดลใจและ
รวมอยู่ในต้นฉบับพระคัมภีรศ์ กั ดิ์สิทธิ์" พอล เอนส์
B. หลักกำรของสำรบบ
1. อัครสาวก—หนังสือเล่มนีเ้ ขียนโดยอัครสาวกหรือไม่?
2. การยอมรับ—เป็ นหนังสือที่คริสตจักรยอมรับอย่างกว้างขวาง
3. การดลใจ—หนังสือเล่มนีส้ ะท้อนถึงคุณภาพของการดลใจหรือไม่?
4. นมัสการ—หนังสือเล่มเหล่านีถ้ กู ใช้ในคริสตจักรเพื่อนมัสการหรือไม่?
C. พระคัมภีรไ์ ม่สำมำรถ "เพิ่ม" หรือ "ลบออกจำก" (วิวรณ์ 22:18-19)
VI. ควำมทำให้กระจ่ำง (Illumination)
A. พระราชกิจของพระวิญญาณบริสทุ ธิ์ในการทําให้ผเู้ ชื่อเข้าใจและประยุกต์ใช้พระวจนะของพระเจ้าอย่างถูกต้อง (ลูกา 24:44-
45; 1 โครินธ์ 2:10-13; ยอห์น 16:13-15)
B. เปาโลบอกเราว่า "โลกไม่อาจรูจ้ ักพระเจ้าได้โดยปัญญาของตน" (1 คร. 1:21) เหตุผลของมนุษย์ที่ไร้เหตุผลไม่สามารถเข้า
ใจความจริงของพระเจ้าได้
C. ในฐานะที่พระวิญญาณบริสทุ ธิ์เป็ นผูอ้ ยู่อาศัยถาวรในผูเ้ ชื่อ พระวิญญาณทรงสามารถเปิ ดเผยความจริงของพระเจ้าต่อไปได้
D. เมื่อผูเ้ ชื่อยอมจํานนต่อพระวิญญาณของพระเจ้าภายในตัวเขา ผูเ้ ชื่อจึงได้รบั การนําให้เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่าง
ถูกต้อง และความรูท้ ี่ลกึ ซึง้ ยิ่งขึน้ เกี่ยวกับพระคริสต์
VI. กำรตีควำมหมำยพระคัมภีร์ (Interpretation)
A. บริบททำงประวัติศำสตร์—ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และวัฒนธรรมที่ลอ้ มรอบตอนต่าง ๆ ของพระคัมภีร ์ บางครัง้ ก็มี
ความสําคัญมากในการทําความเข้าใจความหมายของพระคัมภีร ์
B. ควำมสัมพันธ์ทำงไวยำกรณ์—การศึกษาทางไวยากรณ์มีความสําคัญเนื่องจากคํามีความสัมพันธ์กัน ดังนัน้ จึงจําเป็ นอย่าง
ยิ่งที่จะต้องศึกษา คํากริยากาล (verb tense) สรรพนาม (pronouns) คําบุพบท (prepositions) และคําสันธาน
(conjunctions)
C. บริบททำงวรรณกรรม—บริบทที่อยู่ลอ้ มรอบข้อพระคัมภีร ์ หรือ ตอนหนึ่งตอนใด ให้ความหมายแก่ขอ้ พระคัมภีรท์ กุ ข้อ แต่ละ
คํา วลี และข้อจะต้องเข้าใจว่าเป็ นส่วนหนึ่งของสิ่งที่อยู่ก่อนหน้านัน้ และสิ่งที่ตามมา
D. ตีควำมให้สอดคล้องกับพระคัมภีรท์ งั้ เล่มโดยเปรียบเทียบพระคัมภีรก์ ับพระคัมภีร ์

You might also like