Professional Documents
Culture Documents
ปั ญหานึงทีน
่ ักศึกษา (หรือคนทีต
่ ้องทำางานเกีย
่ วกับการอ่าน)
มักจะพบเจอก็คือ อ่านแล้วจับใจความไม่ได้ อ่านแล้วไม่ร้ว่า
อ่านอะไรไป อ่านแล้วพลาดประเด็นสำาคัญๆ บางทีอ่านไป
จนจนจบบทแล้วก็ยังไม่ร้ว่าประเด็นสำาคัญของบทนีค
้ ืออะไร
ซึง่ ปกตินักศึกษาปริญญาโทมักจะต้องอ่านหนังสือ ตำารา
วารสาร บทความ และเอกสารค่อนข้างมาก และนักศึกษา
ส่วนใหญ่ก็มักจะพบปั ญหาเดียวกันนี ้ โดยเฉพาะเวลาอ่านเพือ
่
จะเขียนหัวข้อทบทวนเอกสาร ซึง่ ต้องรวบรวมประเด็น
สำาคัญๆ เลือก สรุป จัดกลุ่ม จัดลำาดับความสำาคัญ และเชือ
่ ม
โยงประเด็นต่างๆ ของเนือ
้ หาให้ได้
แต่ถ้ามีปัญหาอ่านแล้วไม่เข้าใจ
อ่านแล้วจับประเด็นไม่ได้ซักที มันก็ไปไม่ถึงไหนซักทีเช่นกัน
งัน
้ อาจารย์ทีป
่ รึกษาอย่างเราจะทำายังไงดี?
• อ่านทีละย่อหน้า
(paragraph)
• ในแต่ละย่อหน้า ถามตัว
เองว่า
o ตอบตัวเองให้ได้ว่า อะไรคือข้อความ
สนับสนุน main idea ซึง่ อาจจะอย่้ในร้ปของ คำาขยายความ,
ข้อขัดแย้งหรือความเห็นทีต
่ รงกันข้าม, ตัวอย่าง ฯลฯ
• จากนัน
้ ให้นักศึกษา
เอา keywords ทัง้ หมดมาเขียนเป็ นแผนภาพ หรือ แผนผัง
หรือวาดร้ป อะไรก็ได้ทีไ่ ม่ใช่การเขียนต่อกันเป็ นประโยค เพือ
่
ให้นักศึกษามองให้เห็นภาพรวมของสิง่ ทีผ
่ ้เขียนต้องการจะสือ
่
• ทำาเช่นนีก
้ ับทุกย่อหน้า
(paragraph)
• เมือ
่ อ่านเสร็จแต่ละ
หัวข้อหรือแต่ละบท ให้เชือ
่ มโยงประเด็นทัง้ หมดอีกครัง้
วิธก
ี ารนี ้ นักศึกษาส่วนใหญ่ทีไ่ ด้
ลองใช้ ต่างก็บอกว่า ช่วยทำาให้เข้าใจเนือ
้ หาทีก
่ ำาลังอ่านได้
มากขึน
้ ช่วยให้เค้าอ่านอย่างมีจุดหมาย และมีสมาธิมากขึน
้
มีนักศึกษาคนนึงทีเ่ ก่งด้านนีเ้ ป็ นพิเศษ คือ นู้แตูม พออ่าน
แล้วสรุปเป็ นแผนภาพร้ปร่างหน้าตาสวยงาม เวลามาพบ
อาจารย์ทีป
่ รึกษาเพือ
่ รายงานว่าอ่านได้อะไรมาบ้าง ก็สามารถ
มาสรุปและช่วยให้อาจารย์เองได้ความร้้ใหม่ๆ เพิม
่ เติมจาก
เอกสารทีน
่ ักศึกษาไปย่อยมา ได้ประโยชน์ไม่เพียงแต่ตัว
นักศึกษา แต่คนทีฟ
่ ั งนักศึกษาอธิบายด้วยแผนภาพสรุป ก็ได้
ใจความสำาคัญได้ในเวลาอันสัน
้ ด้วย
ก็ใช้วิธีนีม
้ าตลอด แต่สุดแต่ว่า
นักศึกษาคนไหนจะเชือ
่ หรือไม่เชือ
่ จะนำาไปปฏิบัติมากน้อย
เพียงใด
แต่เมือ
่ สัปดาห์ทีแ
่ ล้วไปเจอหนังสือ
่ ว่า “คิดด้วยภาพ (Thinking in Pictures)” ซึง่ บอก
เล่มนึงเข้า ชือ
ว่าเป็ นการถ่ายทอดเทคนิคการคิดของคนญีป
่ ่ ุน เป็ นเครือ
่ งมือ
การคิดทีม
่ ีประสิทธิภาพ ซึง่ ใช้วิธก
ี ารคล้ายๆ กับทีเ่ คยให้
นักศึกษาจับประเด็นนัน
่ เอง (การคิดด้วยภาพไม่ใช่แค่ mind
map นะคะ แต่เป็ นการจับประเด็นสำาคัญทีเ่ อามาผ้กโยงยังไง
ก็ได้ให้อย่้ในร้ปของแผนภาพทีด
่ ้ง่าย เข้าใจง่าย) ซึง่ ในหนังสือ
เค้าจะอธิบายรายละเอียดเพิม
่ เติมอีกหลายอย่าง ซึง่ จะทำาให้
เข้าใจมากขึน
้ ว่าจะคิดด้วยภาพได้ยังไง และจะได้ประโยชน์อะไร
บ้าง เค้าใช้วิธีการคิดด้วยภาพนี ้ แม้กระทัง่ ในการประชุมด้วย
ซำา
้ ไป
ถ้าใครสนใจก็ลองนำาเทคนิควิธีการ
นีไ้ ปใช้ด้นะคะ และถ้าอยากอ่านให้ร้เพิม
่ เติมมากขึน
้ ก็หาซือ
้ ได้
่ คิดด้วยภาพ โดย Nishimura Katsumi แปลและ
ค่ะ หนังสือชือ
เรียบเรียงโดย ประวัติ เพียรเจริญ สำานักพิมพ์ ส.ส.ท. พิมพ์
่ อง เดือนพฤศจิกายน 2550 มีขายทีซ
ครัง้ ทีส ่ ีเอ็ดค่ะ
บประเด็นอย่างไรให้ได้ผล
เทคนิ คการจำา
--พยายามทำาความเข้าใจเสียก่อน อย่าจำาสิ่งที่ไม่เข้าใจ
--พยายามสัมพันธ์ส่ิงที่เรียนใหม่เข้ากับสิ่งที่เรียนมาแล้วให้ได้
--พยายามหาเนื้ อหาใจความสำาคัญให้ได้แล้วจำาไว้ก่อนส่วนย่อยจะ
มาเอง
--พยายามบันทึกเนื้ อหาอย่างมีระเบียบเป็ นลำาดับตามขั้นตอนที่
เข้าใจง่ายที่สุด เท่าที่จะทำาได้
--บทเรียนใดที่ยาวให้แบ่งเป็ นส่วนๆ เสียก่อนอ่าน ทำาบันทึก
--พยายามใช้ข้ันตอนอันเป็ นเหตุเป็ นผลแก่กันในการช่วยจำา
--พยายามเรียนให้มาก ถ้าเป็ นไปได้ควรให้มากกว่าที่กำาหนดไว้ เป็
นการขยายความร้้ประสบการณ์ท้ังทางตรงและทางอ้อม
--พยายามอย่าหยุดโดยเฉพาะการเรียนวิชาใหม่ หรือวิชายาก โดย
แสวงหาความร้้เบื้องต้นและความร้ก ้ ้าวหน้าตลอดเวลา
--การท่องเป็ นจังหวะจะช่วยให้ท่องจำาได้ง่ายขึ้น
--พยายามทบทวน หรือทำาซำ้าาๆ ด้วยวิธีการต่างๆ เท่าที่โอกาสจะ
อำานวย
เพียงเท่านี้ ความสำาเร็จก็ไม่ไกลเกินเอื้อม ที่สำาคัญต้อง
หมั่นทำาเป็ นประจำาสมำ่าเสมอ จะได้ร้สึกชินและร้ส ้ ึกว่าไม่เหนื่ อยกับ
การต้องจับประเด็น หรือการทำาความเข้าใจในการที่จะทำาอะไรสัก
อย่าง
ส่วนบนของฟอร์ม
หัวข้อสนทนา : เทคนิ คการอ่าน
แนะนำาเทคนิ คการอ่าน เพื่อให้ทุกท่านมีการอ่านอย่างมี
ประสิทธิภาพมากขึ้น
การอ่านคือการรับร้้ความหมายจากถ้อยคำาที่ตีพิมพ์อย่้ในสิ่งพิมพ์
หรือในหนังสือ เป็ นการรับร้้ว่าผ้้เขียนคิดอะไรและพ้ดอะไร โดย
เริ่มต้นทำาความเข้าใจถ้อยคำาแต่ละคำาเข้าใจวลี เข้าใจประโยค ซึ่ง
รวมอย่้ในย่อหน้า เข้าใจแต่ละย่อหน้า ซึ่งรวมเป็ นเรื่องราว
เดียวกัน
การอ่านเป็ นการบริโภคคำาที่ถก ้ เขียนออกมาเป็ นตัวหนังสือหรือ
สัญลักษณ์ การอ่านโดยหลักวิทยาศาสตร์ เริ่มจากการที่ แสง
ตกกระทบที่ส่ ือ และสะท้อนจากตัวหนังสือผ่านทางเลนส์นัยน์ตา
และประสาทตาเข้าส่้เซลล์สมอง ไปเป็ นความคิด (Idea) ความรับ
ร้้ (Perception) และก่อให้เกิดความจำา (Memory) ทั้งความจำา
ระยะสั้น และความจำาระยะยาว
กระบวนการอ่าน มี 4 ขั้นตอนนับตั้งแต่ข้ันแรก การอ่านออก
อ่านได้ หรืออ่านออกเสียงได้ถ้กต้อง ขั้นที่สองการอ่านแล้วเข้าใจ
ความหมายของคำา วลี ประโยค สรุปความได้ ขั้นที่สามการอ่าน
แล้วร้้จก ั ใช้ความคิด วิเคราะห์ วิจารณ์และออกความเห็นในทางที่
ขัดแย้งหรือเห็นด้วยกับผ้้เขียนอย่างมีเหตุผล และขั้นสุดท้ายคือ
การอ่านเพื่อนำาไปใช้ ประยุกต์ใช้ในเชิงสร้างสรรค์ ดังนั้นผ้้ท่ีอ่าน
ได้และอ่านเป็ นจะต้องใช้กระบวนการทั้งหมด ในการอ่านที่ก่อให้
เกิดประโยชน์ส้งสุด โดยการถ่ายทอด ความหมายจากตัวอักษร
ออกมาเป็ นความคิด และจากการคิดที่ได้จากการอ่านผสมผสาน
กับประสบการณ์เดิม และสามารถความคิด นั้นไปใช้ประโยชน์ต่อ
ไป
คุณค่าของการอ่าน วัตถุประสงค์ในการอ่านของแต่ละบุคคลย่อม
แตกต่างกันออกไป เช่น อ่านเพื่อความร้้, อ่านเพื่อให้เกิดความ
คิด, อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน อ่านเพื่อความจรรโลงใจ, เป็ นต้น
ซึ่งผ้้อ่านจำาเป็ นต้องทราบจุดมุ่งหมายของการอ่านนั้นๆ ไว้ก่อน
การอ่านทุกครั้ง อย่างไรก็ตามการอ่านมีความสำาคัญ ต่อชีวิตที่
ช่วยให้เกิดการเรียนร้ต ้ ลอดชีวิต เป็ นการช่วยให้ได้รับข้อม้ล
ข่าวสารเพื่อประกอบการตัดสินใจในชีวิตประจำาวัน การอ่านมี
ความจำาเป็ นต่อการศึกษาเล่าเรียน ทั้งในระบบและนอกระบบ คน
ที่เรียนหนังสือเก่งมักจะเป็ นคนที่อ่านหนังสือเก่ง เพราะการอ่าน
ช่วยให้ได้รับความร้้และความเข้าใจ ที่จะทำาให้ประสบความสำาเร็จ
และสามารถศึกษาต่อในระดับส้งได้ การอ่านมีคุณค่าต่อมนุษย์
เนื่ องจาก เป็ นการสนองความต้องการของมนุษย์,ทำาให้มนุษย์เกิด
ความร้,้ ยกระดับสติปัญญาให้ส้งขึ้น, ทำาให้มนุษย์เกิดความคิด
สร้างสรรค์, พัฒนาความคิดให้ก้าวหน้า, ส่งผลต่อการพัฒนาใน
อาชีพ, ทำาให้มนุษย์ทันต่อเหตุการณ์, ได้รับความร้้เพิ่ม, ช่วย
อำานวยความสะดวกในชีวิตประจำาวัน, ช่วยให้มนุษย์สามารถ
แก้ไขปั ญหาต่างๆ และสามารถดำารงชีวิตในสังคมได้, ช่วยพัฒนา
จิตใจให้งอกงาม ช่วยขจัดความทุกข์ ความเศร้าหมอง, การอ่าน
ทำาให้เกิดความเข้าใจ ความร่วมมือ ในการอย่้ร่วมกันในสังคม,
เป็ นการใช้เวลาว่างให้เป็ นประโยชน์ได้รับความเพลิดเพลินและ
พักผ่อนหย่อนใจ
การเตรียมพร้อมเพื่อการอ่าน
การอ่านจะดำาเนิ นไปได้ดีเพียงใดขึ้นอย่้กับสิ่งแวดล้อมทาง
กายภาพ และองค์ประกอบที่อย่้ภายในร่างกาย การอ่าน
ท่ามกลาง บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม จะนำามาซึ่งประ
สิทธิและประสิทธิผลในการอ่าน ทั้งนี้ ควรคำานึ งถึง
1. การจัดสถานที่และสิ่งแวดล้อม สถานที่ท่เี หมาะกับการอ่าน
ควรมีความเงียบสงบ ตัดสิ่งต่างๆที่รบกวนสมาธิออกไป มี
อุณหภ้มิและแสงสว่างที่เหมาะสม มีโต๊ะที่มค ี วามส้งพอเหมาะและ
เก้าอี้ท่ีน่ังสบายไม่นุ่มหรือแข็งจนเกินไป
2. การจัดท่าของการอ่าน ตำาแหน่ งของหนังสือควรอย่้ห่าง
ประมาณ 35-45 เซนติเมตร และหน้าหนังสือจะต้องตรงอย่้กลาง
สายตา ควรนั่งให้หลังตรงไม่ควรนอนอ่านทั้งนี้ เพื่อให้สมองได้รับ
เลือดไปหล่อเลี้ยงอย่างเต็มที่ ก็จะทำาให้เกิดการตื่นตัวต่อการรับร้้
จดจำา และอ่านได้นาน
3. การจัดอุปกรณ์ช่วยในการอ่าน การอ่านอาจมีอุปกรณ์ท่ีจำาเป็ น
เช่น กระดาษสำาหรับบันทึกดินสอ ปากกา ดินสอสี
4. การจัดเวลาที่เหมาะสม สำาหรับนักศึกษาที่ต้องมีการทบทวน
บทเรียนควรอ่านหนังสือในช่วงที่เหมาะสมคือช่วงที่ท่ีไม่ดึก มาก
คือตั้งแต่ 20.00 – 23.00 น. เนื่ องจากร่างกายยังไม่อ่อนล้าเกิน
ไปนัก หรืออ่านในตอนเช้า 5.00-6.30 น. หลังจากที่ร่างกายได้
รับ การพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทั้งนี้ ในการอ่านแต่ละครั้งไม่ควร
เกิน 50 นาทีและให้เปลี่ยนแปลงอิริยาบถสัก 10 นาทีก่อนลงมือ
อ่านต่อไป
5. การเตรียมตนเอง ได้แก่การทำาจิตใจให้แจ่มใส มีความมุ่งมั่น มี
ความตั้งใจ และมีสมาธิในการอ่าน นอนหลับพักผ่อน ให้เพียงพอ
มีสุขภาพสายตาที่ดี ตัดปั ญหารบกวนจิตใจให้หมด การแบ่งเวลา
ให้ถ้กต้อง และมีระเบียบวินัยในชีวิตโดยให้เวลา แต่ละวันฝึ กอ่าน
หนังสือ และพยายามฝึ กทักษะใหม่ๆในการอ่านเช่น ทักษะการ
อ่านเร็วอย่างเข้าใจ เป็ นต้น
การเลือกสรรวัสดุการอ่าน
การเลือกสรรวัสดุการอ่าน ขึ้นอย่้กับจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์
ของการอ่าน เช่นการอ่านเพื่อการศึกษา การอ่านเพื่อหาข้อม้ล
ประกอบการทำางาน การอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน การอ่านเพื่อ
ฆ่าเวลา การร้้จักเลือกวัสดุการอ่าน ที่มีประโยชน์จะช่วยให้ผ้อ่าน
ได้รับประโยชน์ตามเป้ าหมาย การเลือกสรรวัสดุการอ่านมีความ
สัมพันธ์กับการเลือกใช้ทรัพยากรสารนิ เทศในห้องสมุด เช่น
ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
6. การอ่านวิเคราะห์ การอ่านเพื่อค้นคว้าและเขียนรายงานโดย
ทั่วไปต้องมีการวิเคราะห์ความหมายของข้อความ ทั้งนี้ เพราะ ผ้้
เขียนอาจใช้คำาและสำานวนภาษาในลักษณะต่าง ๆ อาจเป็ นภาษา
โดยตรงมีความชัดเจนเข้าใจง่าย ภาษาโดยนัยที่ต้องทำาความ
เข้าใจ และภาษาที่มีความหมายตามอารมณ์และความร้้สก ึ ของผ้้
เขียน ผ้้อ่านที่มีความร้้เรื่องคำาศัพท์และสำานวนภาษาดี มี
ประสบการณ์ ในการ อ่านมากและมีสมาธิในการอ่านดี ย่อม
สามารถวิเคราะห์ได้ตรงความหมายที่ผ้เขียนต้องการสื่อ และ
สามารถเข้าใจเรื่องที่อ่านได้ดี
ความคิดเห็นทัง
้ หมด 4 ความคิดเห็น
แสดงหน้าที่ 1/1
ส่วนบนของฟอร์ม
ส่วนล่างของฟอร์ม
ส่วนบนของฟอร์ม
del /w ebboard.asp?s w w balist
ความคิดเห็นที่ 1 :
เทคนิ คการอ่าน
Save(ทบทวน) :
- เก็บข้อม้ล เนื้ อหา ของโครงสร้างของแต่ละบท
- จดเนื้ อหาที่สำาคัญ
อัตราความเร็วในการอ่าน
ประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือตำารานั้น มีผ้ประเมิน โดยคิดเป็ น
อัตราของคำาต่อนาที ดังนี้
- ถ้าตำารานั้นอ่านยาก ควรใช้เวลา 100-200 คำาต่อนาที
- ถ้าตำารานั้นอ่านยากปานกลาง ควรใช้เวลา 200-400 คำาต่อนาที
- ถ้าอ่านเพื่อให้ได้เนื้ อหากว้าง ๆ ควรใช้เวลา 500-1000 คำาต่อ
นาที
- ถ้าอ่านอย่างรวดเร็ว พอสังเขปควรใช้เวลา 1000-1500 คำาต่อ
นาที
จะปรับปรุงการอ่านให้เร็วขึ้นได้อย่างไร
มีผ้ให้ข้อสังเกตว่า เนื้ อหาที่ปรากฏอย่้ในตำารานั้น ประมาณสองใน
สามเป็ นการเขียนตามหลักภาษาเพื่อให้ถ้กต้องตามร้ปแบบและ
ไวยากรณ์ มากกว่าที่จะเป็ นเนื้ อหาที่แท้จริง ดังนั้น ถ้านักศึกษา
พะวงต่อการอ่านทุกคำา จะทำาให้ความเร็วในการอ่านลดลง การ
อ่านเร็ว มิได้หมายความว่า ความเข้าใจ และการจดจำาเนื้ อหาจะ
ลดลง แต่การอ่านไปหมดทุกวรรคทุกตอนจะทำาให้ท้ังสายตา และ
จิตใจของนักศึกษา ต้องพะวักพะวงกับเนื้ อหาที่มากเกินควร การ
อ่านอย่างมีวินัยมีระเบียบจะช่วยทำาให้ประสิทธิภาพการอ่านดีขึ้น
นักศึกษาอาจลองใช้วิธีการต่อไปนี้
หัดเตรียมตัว
อ่านอย่างกว้าง ๆ เพื่อจับประเด็นของเนื้ อหาที่มีอย่้ในหนังสือ (การ
มีภ้มิหลังเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านมาบ้างแล้ว จะช่วยให้นักศึกษาเข้าใจ
เนื้ อหาได้เร็วขึ้น)
- อ่านอย่างมีจุดประสงค์ ตั้งใจและพยายามอ่านให้ทันตามเวลาที่
เรากำาหนด วิธีบังคับตนเองไม่ให้อ่านตามสบายชนิ ดตามใจตน
กระทำาได้โดยการลากปากกาหรือดินสอชี้นำาไปตามบรรทัด
นอกจากนี้ จะต้องไม่ให้มีส่ิงใดมารบกวนสมาธิขณะอ่านด้วย
- ละทิ้งนิ สัยการอ่านที่ไม่ดี ได้แก่
. หยุดที่คำาใดคำาหนึ่ งโดยเฉพาะ พยายามขยายกรอบของเนื้ อหาให้
มากขึ้น จะได้เข้าใจ
ประเด็นได้ง่ายขึ้น
. อ่านย้อนกลับไปกลับมา วิธีน้ี ทำาให้เสียเวลา และมีผลทำาให้การ
เชื่อมต่อข้อความไม่ปะติดปะต่อ ทำาให้จำาเนื้ อหาไม่ได้
พยายามลดความเมื่อยล้าของสายตาโดย
- ตรวจสุขภาพสายตาเสียบ้าง
- ให้หนังสืออย่้ห่างจากสายตาประมาณ 40 ซม. เพื่อขยายกรอบ
ของการมองเห็น และลด
การเคลื่อนไหวของสายตา
ฝึ กฝนตนให้เป็ นผ้้อ่านชั้นเยี่ยม
- มือข้างหนึ่ งใช้พลิกหน้ากระดาษ ส่วนมืออีกข้างหนึ่ งให้ลากลงมา
ตามบรรทัดวิธีน้ี จะเป็ นการควบคุมสายตา ให้เห็นคำาที่จะอ่านใน
แต่ละครั้งมากขึ้น บังคับมิให้สายตาจ้องจดอย่้ท่ีคำาใดคำาหนึ่ ง และ
ยังเป็ นการฝึ กตนเองให้มีวินัยและมีสมาธิในการอ่านอีกด้วย
- กวาดสายตาไปทั่วทั้งหน้ากระดาษภายใน 5 วินาที นักศึกษาอาจ
จะคิดว่าไม่ได้อ่านอะไรเลย แต่นักศึกษาจะสามารถจับคำาสำาคัญได้
อย่างรวดเร็ว และถ้าหน้าไหนอ่านยากก็อาจกลับมาอ่านอย่างช้า
ๆ ได้ในภายหลัง
- ฝึ กทำาเช่นนี้ อย่างน้อยวันละ 5 นาที ภายใน 1-2 เดือน นักศึกษา
จะพบว่าตนเองสามารถอ่านได้เร็วขึ้นกว่าเดิมหลาย
สรุปจากบทความ
Search
- หาบทที่มีเนื้ อหาตรงกับความต้องการ
- หาคำาตอบ เพื่อตอบคำาถามที่ต้ังไว้
- ทำาเครื่องหมาย (ใช้ดำาสอ เขียนเบา ๆ)
- ศึกษาเนื้ อหาในแต่ละย่อหน้าที่ตรงกับจุดประสงค์
Save
- เก็บข้อม้ล เนื้ อหา ของโครงสร้างของแต่ละบท
- จดเนื้ อหาที่สำาคัญ
อัตราความเร็วในการอ่าน
ประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือตำารานั้น มีผ้ประเมิน โดยคิดเป็ น
อัตราของคำาต่อนาที ดังนี้
- ถ้าตำารานั้นอ่านยาก ควรใช้เวลา 100-200 คำาต่อนาที
- ถ้าตำารานั้นอ่านยากปานกลาง ควรใช้เวลา 200-400 คำาต่อนาที
จะปรับปรุงการอ่านให้เร็วขึ้นได้อย่างไร
มีผ้ให้ข้อสังเกตว่า เนื้ อหาที่ปรากฎอย่้ในตำารานั้น ประมาณสองใน
สามเป็ นการเขียนตามหลักภาษาเพื่อให้ถ้กต้องตามร้ปแบบและ
ไวยากรณ์ มากกว่าที่จะเป็ นเนื้ อหาที่แท้จริง ดังนั้นถ้านิ สิตพะวงต่อ
การอ่านทุกคำา จะทำาให้ความเร็วในการอ่านลดลง การอ่านเร็วมิได้
หมายความว่า ความเข้าใจ และการจดจำาเนื้ อหาจะลดลง แต่การ
อ่านไปหมดทุกวรรคทุกตอนจะทำาให้ท้ังสายตา และจิตใจของนิ สิต
ต้องพะวักพะวงกับเนื้ อหาที่มากเกินควร การอ่านอย่างมีวินัย มี
ระเบียบจะช่วยทำาให้ประสิทธิภาพการอ่านดีขึ้น นิ สต
ิ อาจลองใช้ วิธี
การต่อไปนี้
เตรียมตัว
• อ่านอย่างกว้าง ๆ เพื่อจับประเด็นของเนื้ อหาที่มีอย่้ในหนังสือ (ก
ารมีภ้มิหลังเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านมาบ้างแล้ว จะช่วยให้นิสิตเข้าใจ
เนื้ อหาได้เร็วขึ้น)
• อ่านอย่างมีจุดประสงค์ ตั้งใจและพยายามอ่านให้ทันตามเวลาที่
เรากำาหนด วิธีบังคับตนเองไม่ให้อ่านตามสบายชนิ ดตามใจตน
กระทำาได้โดยการลากปากกา หรือดินสอชี้นำาไปตามบรรทัด
นอกจากนี้ จะต้องไม่ให้มีส่ิงใดมารบกวนสมาธิขณะอ่านด้วย
• ละทิ้งนิ สัย การอ่านที่ไม่ดี ได้แก่
พยายามลดความเมื่อยล้าของสายตาโดย
- ตรวจสุขภาพสายตาเสียบ้าง
- ให้หนังสืออย่้ห่างจากสายตาประมาณ 40 ซม. เพื่อขยายกรอบ
ของการมองเห็น และลดการเคลื่อนไหวของสายตา
ฝึ กฝนตนให้เป็ นผ้้อ่านชั้นเยี่ยม
• มือข้างหนึ่ งใช้พลิกหน้ากระดาษ ส่วนมืออีกข้างหนึ่ งให้ลากลงมา
ตามบรรทัดวิธีน้ี จะเป็ นการควบคุมสายตา ให้เห็นคำาที่จะอ่านใน
แต่ละครั้งมากขึ้น บังคับมิให้สายตาจ้องจดอย่้ท่ีคำาใดคำาหนึ่ ง และ
ยังเป็ นการฝึ กตนเองให้มีวินัย และมีสมาธิในการอ่านอีกด้วย
• กวาดสายตาไปทั่วทั้งหน้ากระดาษภายใน 5 วินาที นิ สต ิ อาจจะ
คิดว่าไม่ได้อ่านอะไรเลย แต่นิสิต จะสามารถจัดคำาสำาคัญได้อย่าง
รวดเร็ว และถ้าหน้าไหนอ่านยากก็อาจกลับมาอ่านอย่างช้า ๆ ได้
ในภายหลัง
• ฝึ กทำาเช่นนี้ อย่างน้อยวันละ 5 นาที ภายใน 1 - 2 เดือน นิ สิตจะ
พบว่าตนเองสามารถอ่านได้เร็วขึ้นกว่าเดิมกลายเท่าตัว
…………………………………………………………………………
………………………………..
เทคนิ คการอ่านหนังสือประเภทต่างๆ
******************************************
การจัดตารางการอ่านหนังสือ
************************************************
หลักการอ่านหนังสือเตรียมสอบ (ของสายศิลป์ )
**หลายคนสงสัยทำาไมต้องเฉพาะสายศิลป์ ก็เพราะสายศิลป์
ท่องจำาไวยกรณ์ ไม่ได้ท่องจำาส้ตร การอ่านของสายศิลป์ คือการอ่า
นบ่อยๆให้ค่อยๆซึมเข้าไปในหัว ไม่ใช่ท่องจำาถึงที่มาที่ไปของส้ตร
และอีกอย่างวิธีเหล่านี้ ใช้ไม่ได้ในเด็กสายวิทย์**
อย่างแรกที่ต้องแนะนำา
1.กิน...ถ้าในระหว่างนี้ คุณยังกลัวความอ้วนอย่้ ขอแนะนำาให้ปิด
หน้าต่างนี้ ไปเลย ไม่ใช่ขยับปากเคี้ยวแล้วจะคิดออกนะ -*- แต่
สมอง(ซึ่งถ้กคุณใช้งานอย่างหนัก)ก็ต้องการสารอาหาร ควรจะเป็ น
ของหวาน (แนะนำาชอคโกแลต) คุณลองกินสิ จะร้ส ้ ึกมีพลังขึ้นมา
อีก 25% และก็กินเข้าไปเลย กินๆๆ ไม่เปนไร เอนท์ตด ิ แล้วเราลด
ได้ นอกจากนี้ สมองยังต้องการการผ่อนคลาย ซึ่งจะกลายเป็ น
หัวข้อที่ 2
สำาหรับคนที่เรียนพิเศษแล้วไม่เข้าใจ...ฉันเองก็เคยสอนพิเศษ
สามารถบอกได้เลย
คนที่ไม่ฟัง เอาแต่จด เอาแต่อ่านในหนังสือน่ ะ พลาดโอกาสอันดีไป
นะ เพราะเนื้ อหาส่วนใหญ่อย่้ท่ีปากคนสอน คุณจะเข้าใจมั้ยก้ออย่้ท่ี
คนสอน
เช่นเวลาไปเรียนแบรนด์ บางคนนั่งอ่านในหนังสือแล้วคิดว่า เค้า
พ้ดถึงไหนแล้ว...กว่าจะคิดได้ว่าที่เขาพ้ดไม่มีในหนังสือ คุณก็จด
ไม่ทันแล้วล่ะ หนังสือนั่นน่ ะมันไม่ไปไนหรอก คุณจะอ่านเมื่อไหร่
ก็ได้ คุณจะเอาเวลาว่างมาท่องทั้งเล่มก็ไม่มีใครว่า
**ถ้าเป็ นไปได้เวลาเรียนพิเศษ ฟั งที่อาจารย์พ้ด ฟั งทุกคำา ไม่ใช่
เหม่อลอยคำาที่ 2 กลับมาฟั งอีกทีคำาที่ 8 ...ชาติหน้าตอนบ่ายๆคง
เข้าใจ แต่ก็ไม่ใช่ฟังแล้วเขี้ยนตามคำาบอก...จงฟั งแล้วคิด แล้วเขียน
อย่างที่ตัวเองเข้าใจ เมื่อจบคอร์สเอามาเรียบเรียงให้เป้ นภาษาคน
แล้วอ่านซำ้า(หลายๆรอบ เอาให้จำาได้) เราจะร้้ได้เลยว่า อ๋อ บรรทัด
นี้ อาจารย์เค้าสอนไว้ว่าไงบ้าง **
********************************************************
****
เคล็ดลับสรุปๆการอ่านหนังสือสอบ
เทคนิ คการอ่านตําราเรียนให้ได้ดี
เทคนิ คการอ่านหนังสืออย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
1. เริ่มอ่านด้วยหนังสืออ่านง่ายและสนุก
อ่านสมำ่าเสมอทุกวันในช่วงเวลาสั้นๆ
2. มีความตั้งใจที่จะอ่านให้เร็วกว่าเดิม
4. จับใจความให้ได้ด้วยการทดลองทำานายเนื้ อเรื่องล่วงหน้า
และทบทวนเรื่องที่อ่านผ่านไปแล้ว
5. ศึกษาศัพท์ และความหมายของคำาที่ใช้
คำาใดที่ไม่แน่ ใจควรทำา เครื่องหมายไว้
6. อย่าพยายามเคลื่อนใหวสายตาย้อนกลับ จะทำาให้เกิดความ
สับสน
7. อ่านโดยกวาดสายตาไปรอบๆ
9. จดบันทึกผลความก้าวหน้า
10. อย่าหยุดอ่านเพื่อจดบันทึกจนกว่าจะจบตอนหนึ่ งๆ
เทคนิ คการอ่านตำาราเรียนให้ได้ดี
1.สํารวจหนังสือ : เพื่อร้้จักค้้นเคย
2.อ่านแนวคิดหลัก : จับประเด็นสําคัญ
3.ตัง
้ คําถามขณะอ่าน : อะไร ทําไม อย่างไร ใคร เมื่อไร
4.เน้นประเด็นสําคัญ : ทําเครื่องหมาย
5.ประสานคําบรรยายกับตํารา : ช่วยให้เข้าใจลึกซึ้ง
6.ทบทวน : บ่อยๆจะจําได้ดี
การอ่านหนังสือประเภทต่างๆ
ไม่ควรอ่านตะลุยเรื่อยๆ รวดเดียวจบเล่ม
ควรอ่านแล้วหยุดพักเป็ นตอนๆไปเรื่อยๆ
ประวัติศาสตร์ ภ้มิศาสตร์:
ควรอ่านตะลุยรวดเดียวไปจนจบ เพื่อให้เรื่องราวสัมพันธ์ต่อ
เนื่ องกัน
วรรณคดี:
อ่านอย่างรอบคอบถี่ถ้วน อ่านช้าๆไม่รีบเร่ง
ปล่อยอารมณ์ให้คล้อยตามคำาบรรยาย
ถ้าอ่านเพื่อศึกษาควรมีการวิเคราะห์เรื่องราว
บทบาทของตัวละครตลอดจนส่วนอื่นๆของวรรณคดี
นิ ตยสารและหนังสือพิมพ์
ควรใช้วิจารณญานพิจารณาอย่างรอบคอบ
ไม่ใช่เชื่อทุกอย่างตามที่ข่าวรายงา
เทคนิ คการอ่านเพื่อรับรูข
้ ูอม้ลข่าวสาร
@.....โดย พระมหาสุรศักดิ ์ สุรเมธี (ชะมารัมย์)
นิ สิตคณะมนุ ษยศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครราชสีมา
กระบวนการรับรู้ของคนเราเกิดขึ้น ...
...ผ่านทางตา โดยการมองเห็น
...ผ่านทางหู โดยการฟั ง
...ผ่านทางจมูก โดยการดมกลิ่น
...ผ่านทางลิ้น โดยการรับรููรสชาติของอาหาร
...ผ่านทางกาย โดยการสัมผัส แตะตูอง
...ผ่านทางใจ โดยธรรมารมณ์ต่างๆ
ลองพิจารณาอ่านด้...
ลองพิจารณาอ่านด้...
...Who “ใคร...?”
...คำำตอบคือ นักศึกษาชาวเขาภาคเหนื อ
...What “ทำาอะไร...?”
...คำำตอบคือ บุกสภาฯ แฉผููบริหารสถาบันชาติพันธ์ุและสันติ
ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ
เชียงราย (มรภ.เชียงราย) มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ
และขืนใจ
...Where “ที่ไหน...?”
...คำำตอบคือ รัฐสภา
...When “เมื่อไร...?”
...คำำตอบคือ เมื่อวานนี้ (1 มี.ค.) เวลา 12.30 น.
...Why “ทำาไม...?”
...คำำตอบคือ เพราะผููบริหารสถาบันชาติพันธ์ุฯคนหนึ่ งมี
พฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศนักศึกษา และหลอกลวงเรื่องการใหูทุน
การศึกษา ที่พักอาศัยและอาหารฟรี
...How “อย่างไร...?”
...คำำตอบคือ เขูารูองเรียนต่อนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ประธาน
คณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผูส
ู ูงอายุ ผููพิการและ
ความมัน
่ คงของมนุษย์
ลองพิจารณาอ่านด้...
ลองพิจารณาอ่านด้...
...ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ
สงครามไดูปะทุข้ ึนแทบนับครั้งไม่ถูวน และในปั จจุบันก็มีท่าทีและแนวโนูม
ว่าจะยังคงไม่ส้ ินสุดลงไปตราบใดที่มนุษย์ยังคงมีความตูองการทางดูานวัตถุ
หรือที่เรียกว่ายังคงติดอยู่ในการบริโภคนิ ยมอยู่ เมื่อติดพันหรือเมามันอยู่
กับการเสพบริโภควัตถุอยู่เช่นนี้ ก็จะเป็ นการยิ่งเพิ่มกิเลส ซึ่งแค่กิเลสที่มี
อยู่ในตัวมนุษย์ตอนนี้ ก็แทบจะไม่สามารถกำาจัดออกไปจากจิตใจไดูอยู่แลูว
เมื่อเป็ นเช่นนั้นแลูว มนุษย์ก็จะตูองมานัง่ เอามือกุมขมับคิดหาทางกำาจัด
กิเลสที่เพิ่มจำานวนขึ้นดังกล่าวอีกเป็ นว่าเล่น มนุษย์เองก็อาจตูองบูาคลัง่
และอาจก่อสงครามชนิ ดที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมอีกเป็ นแน่ ขืนเป็ นอยู่เช่นนี้ โลก
ก็คงตูองถึงกาลอวสาน
ดังนั้น ในยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งเป็ นยุคที่มีความทูาทูายต่อมนุษย์เป็ น
อย่างมาก เพราะเป็ นยุคที่ไปเต็มไปดูวยวัตถุนานัปการแวดลูอมตัวมนุษย์
อยู่ และกระแสวัตถุนิยมเองก็ไดูเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำาใหูมนุษย์มี
ค่านิ ยมในการบริโภคมากขึ้น เป็ นผลทำาใหูมนุษย์ตูองแข่งขันกันเพื่อ
แก่งแย่งชิงดีกันในเรื่องวัตถุมากขึ้น มีการแข่งขันกันในดูานวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีสูง ยุคนี้ จึงเป็ นยุคที่มนุษย์ไดูทำาสงครามระหว่างกันมากที่สุด
โดยเฉพาะสงครามจิตวิทยา สงครามการเมือง และสงครามเศรษฐกิจ ซึง่
ก็ลูวนแลูวแต่เป็ นผลมาจากการเสพบริโภควัตถุ จนกลายเป็ นวัตถุนิยมของ
มนุษย์นัน
่ เอง
ทางออกปั ญหาในยุคที่มีการแข่งขันกันสูงเช่นนี้ มนุษย์จำาเป็ นตูองมี
ท่าทีและมีความเขูาใจต่อเรื่องที่ตนเกี่ยวขูองดูวยเป็ นอย่างดี มนุษย์ตูองมี
ท่าทีท่ม
ี ีเมตตาทั้งต่อตนเองและเพื่อนมนุษย์ดูวยกัน ตลอดจนมีท่าทีท่ม
ี ี
ความกรุณาทั้งต่อตนเองและผููอ่ ืนอีกดูวย มนุษย์ตูองอาศัยอยู่อย่างมี
ปั ญญา หมายความว่า มนุษย์ตูองดำาเนิ นชีวิตดูวยหลักแห่งปั ญญา และ
หลักแห่งการรููจักประมาณในการเสพบริโภควัตถุ (โภชเนมัตตัญญุตา) รวม
ทั้งหลักแห่งการรููจักพอประมาณในการเสพบริโภควัตถุ (สันโดษ) ดำาเนิ น
ชีวิตแบบเป็ นสัมมาทิฏฐิบุคคล มิใช่มิจฉาทิฏฐิบค
ุ คล นอกจากนั้นมนุษย์
ควรหันมาใส่ใจหรือเอาจริงเอาจังในเรื่องของจิตใจใหูมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เมื่อมนุษย์สามารถกระทำาเช่นนี้ ไดู สงครามก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ท่ม
ี นุษย์จะ
ไม่สามารถแกูไขไดูเลยสักทีเดียว...
(4)
...เมื่ออ่านจบแลูว เราสามารถสรุปประเด็นสำาคัญของเรื่องไดู
คือ...????
...และประเด็นที่ควรท่องจำาคือ...????
...การอ่านหนังสือพิมพ์
...การอ่านหนังสือเรียน
...การอ่านหนังสือนอกเวลา
...ฯลฯ
@.........................................................