Professional Documents
Culture Documents
----- (1)
ถาเริ่มจากระดับสังคมแลว ในทุกๆ วัฒนธรรม และตลอดประวัติศาสตรมนุษยชาติ “ความรู”
หรือ “การแสวงหาความรู” ไมเคยมีเสรีภาพ เพราะ “ความรุ” เปนเรื่องของ “อํานาจ” การเมือง และ
อํานาจจะบอกวาอะไรคือสิ่งที่ “รูได” และอะไรคือสิ่งที่ “รูไมได” รวมทั้งอะไรที่ถือเปน “ความรูทชี่ อบ
ธรรม” และอะไรถือเปน “ความรูนอกรีต” นั่นก็คือ มีบางสิ่งบางอยางที่เรา “ไมควรรู”
อันที่จริง พระพุทธเจาก็ดจู ะไมสนับสนุนการแสวงหาความรูเ พื่อความรูนนั้ เอง อยางที่เรารูกนั
วา ความรูที่ไมนําไปสูการหลุดพนเปนความรูที่ไมมีประโยชน และไมพึงตองรู
ในวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมอืน่ ๆ ความรูหรือ “วิชา” ยังมี “ครู” หรือ มี “เจาของ” อีกดวย
ความรูไ มไดเปนสิ่งที่ลองลอยอยูในอากาศที่ใครๆ ก็เขาถึงได ขนบของการถายทอดวิชาความรูกเ็ ปน
“ความลับ” ไมวาจะวิชาชางตางๆ หรือดนตรีนาฏศิลปก็มี “ครู” ที่นากลัวขนหัวลุกทั้งนัน้ ดังนั้น ความรู
สัมบูรณสูงสุดจึงดํารงอยูแ ลวในโลกมาตั้งแตโบราณกาล คนรุนหลังเพียงแตพยายามเขาถึงความรูนั้นๆ
ตามแตบญ ุ กรรม และตองไมใชหรือแสดงความรูน ั้นอยางผิดบิดเบือนไปจากความรูส ัมบูรณนนั้ ๆ ดวย
งานอยางเชน การ “คัดลอก” คัมภีรจ ึงถือเปนงานศักดิ์สิทธิ์ ความรูจึงไมใชสิ่งที่ ขยาย หรือ เปลีย่ นแปลง
ได
นอกจากนี้ยังมีการเห็นวาคนเรียนวิชาความรูตองมีคุณธรรม มีศลี ธรรม ความรูถ าอยูในมือคน
ชั่วก็เปนอันตราย แตในขณะเดียวกันการครอบครองความรูก็เปนเรื่องของสถานภาพและอํานาจดวย
1
ถาถือตามความหมายอยางแคบและเครงครัด มนุษยศาสตรตองหาม คือ การแสวงหาความรู
หรือความจริงทางมนุษยศาสตรทถี่ ูก “หาม”? สําหรับในเมืองไทยแลว การ “หาม” หรือ “เซ็นเซอร” ก็
เปนกิจกรรมปกติ มนุษยศาสตรทถี่ ูกหามก็คือ การหาความจริงทีถ่ ูกหาม พูดงายๆ ก็คอื การเสนอขอ
ถกเถียงขอโตแยงใดๆ ทีต่ ั้งคําถามหรือสั่นคลอนเสาความเชื่อหลักของสังคมไทย ยิง่ ความเชื่อนั้นถูกยก
ให ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด การตอตานก็รุนแรงขึน้ เทานั้น
การแสวงหาความรูความจริง ซึ่งรวมทั้งวัฒนธรรมการวิจารณในเมืองไทยที่ “ถูกหาม” มีอยู
หลายระดับของการถูกหาม บางเรื่องหามอยางเด็ดขาด บางเรื่องพูดไดในบางพื้นที่ จะวาไปแลวเรื่อง
ตองหามที่สุด หามเด็ดขาด ในเมืองไทยก็หนีไมพนเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย เรื่องหามที่สุด
ลับสุดยอด คือกรณีสวรรคต ประเด็นรองๆ ลงมาก็เปนประเด็นที่สั่นคลอน ทาทาย สถาบันความเชื่อ
ความศรัทธาของสังคมไทยโดยรวม หรือของคนจํานวนมาก เชน เรื่องศิลาจารึกหลักที่หนึ่ง, บทบาท
และจุดยืนของกษัตริย/ราชสํานักในเหตุการณนองเลือด หรือประเด็นอนุสาวรียทาวสุรนารี
การเปนสิ่งตองหาม คือการที่ประเด็นเหลานั้นไมสามารถถูกพูดถึงหรือเขียนถึงในทีส่ าธารณะ
กลายเปนเรื่องที่ตอง “เลี่ยง” ดวยการ “ไมพูดถึงไปเลย”, “พูดเปนนัย”, “ละไวในฐานทีเ่ ขาใจ” เปนตน
แตที่แนๆ ก็คอื เปนเรื่องที่อยูในปริมณฑลของการซุบซิบนินทา การพูดคุยกันในทีร่ โหฐานกับบรรดาผูที่
ไวใจได และไมทรยศหักหลังกันงายๆ หากไมจําเปน
ดังนั้น สําหรับสังคมไทยและความคิดเกี่ยวกับความรูความจริงของไทย ในระดับหนึง่ ความ
จริง (Truth) จึงเปนสิ่งที่ดํารงอยูแลวอยางสมบูรณ และในอีกระดับหนึง่ การแสวงหาความจริง หรือการ
ตั้งคําถามไมเคยเปนสิ่งที่สําคัญที่สุด “ความจริง” ตองรองรับ รับใช และไมขัดแยงกับสิ่งอื่นๆ ที่สําคัญ
กวา เชน ชาตินิยม, ความเปนไทย, สถาบันฯ, ความเชื่อความศรัทธาของคนหมูมาก, ขนบธรรมเนียม
ประเพณีอนั ดีงาม
ทั้งนี้ทั้งนั้นการทําลาย “ความจริง” หรือ “คําอธิบายชุดหนึ่งๆ” เปนเรื่องปกติในประวัติศาสตร
การเก็บรักษาหลักฐานขอมูลทางประวัติศาสตรเปนกิจกรรมสมัยใหม เพราะในอดีตที่ไหนๆ ก็คงจะ
ทําลายสิ่งทีถ่ ูกถือวาเปน “อันตราย” กับความคิดจิตใจของผูคน และระเบียบสังคม และจึงตองมีการ
สรางหรือเขียนอะไรตอมิอะไรขึ้นใหมใหสอดคลองกับอุดมการณทางอํานาจในสังคม ไมมีที่ไหนใน
อดีตยอมปลอยใหมี “ความจริง” อันไมพึงประสงคดํารงอยูในสังคม
แตเมื่อเรื่องตองหามขึ้นอยูกบั สังคม เมื่อสังคมเปลี่ยน บางทีเรื่องตองหามก็เปลี่ยนไปดวย สิ่งที่
เคย “ตองหาม” ในสมัยหนึ่งก็อาจจะไมไดเปนสิ่งตองหามในอีกสมัยหนึ่ง เชน งานเขียนคอมมิวนิสต
เคยเปนหนังสือ “ตองหาม” ในยุคหนึ่ง แตเดี๋ยวนี้กไ็ มมีใครสนใจแลว เพราะ “คอมมิวนิสต” ไมไดเปน
ภัยคุกคามสังคมไทยอีกแลว หรือหนังสืออานเลน หนังสือประโลมโลกย เรื่องจักรๆ วงศๆ เคยถูกหาม
2
ในพวกวรรณคดีสโมสร เดีย๋ วนีก้ ฎเกณฑความคิดเกีย่ วกับหนังสือก็เปลี่ยนไป หรือการที่หนังสือโปก็
มักจะเปนหนังสือตองหามในหลายๆ สังคม
ดังนั้น สิ่งที่เปน “ภัย” เปน “อันตราย” ในสังคมจึงเปลี่ยนไปไดตามยุคสมัย แตกอนชวงรัชกาล
ที่ 6 ที่ 7 ซึ่งเปนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชยมีการเขียนวิพากษวิจารณ ลอเลียนสถาบันฯ ในที่
สาธารณะไดบา ง เดี๋ยวนี้ระบอบประชาธิปไตย แคคิดก็ไมมีใครกลาคิดแลว
การหาความจริงเปนเรื่องตองหาม และไมใชวาการหามแสวงหาความจริงเปนเพียงเรื่องในอดีต
หรือเฉพาะในสังคมที่ไมใหอิสระทางความคิดมนุษย ปญหาทางจริยศาสตรในปจจุบันสวนหนึ่งยังคง
อยูบนฐานของสิทธิเสรีภาพในการหาความจริงดวย เชน การโคลนนิ่งมนุษย การแสวงหาทดลองความรู
จึงไมไดมไี ดอยางไรขอบเขต
----- (2)
เรื่องตองหามไมไดมีแตที่สงั คมถือวาเปนสิ่งตองหาม แตภายในชุมชนวิชาการเองก็มีเรื่อง
ตองหามดวยเหมือนกัน เรื่องตองหามในวงวิชาการกระแสหลักในตะวันตก หรือสวนใหญแลวอาจจะ
ในอเมริกา คือสิ่งที่ถือวาเปน Political Incorrectness ซึ่งดูจะเปนสิ่งทีว่ งวิชาการสรางขึ้นมาเองดวย
เทรนดและบรรยากาศของมนุษยศาสตรปจ จุบันผูกติดอยูกับ “การเมืองของความถูกตอง”
(political correctness) ไมวาจะออกมาในรูปของ multiculturalism หรือ relativism
นาสนใจวา เมือ่ พรมแดนทางทฤษฎีและอาณาบริเวณของมนุษยศาสตรขยายออกไปเรื่อยๆ ก็
กลับเกิดการกระทบกระทั่งกับ “วิทยาศาสตร” และ “ศิลปะ” ซึ่งลวนเปนศาสตรที่มฐี านอยูบนความ
ภาคภูมิทางสติปญญาและจินตนาการอันสูงสงของมนุษย แตมนุษยศาสตรกําลังบั่นทอนหรือเปดโปง
มายาคติเกีย่ วกับสิ่งเหลานี้
สิ่งสําคัญอยางหนึ่งที่มนุษยศาสตรแนววิพากษพยายามรื้อ คือ สิ่งที่เรียกวา “intrinsic value”
หรือ คุณคาภายใน จากการทําใหทุกอยางทีแ่ ตเดิมมีแต คุณคาทางศิลปะ ทางสุนทรียศาสตร หรือคุณคา
ทางเหตุผลแบบวิทยาศาสตร กลายเปนสิ่งที่ถูกประกอบสรางจากวัฒนธรรม การเมือง และอคติทางเพศ
ชนชั้น และชาติพันธุไ ปจนหมด นี่คือขอวิพากษที่มีตอมนุษยศาสตรแนวนี้ทกี่ ลายเปนกระแสหลักใน
ตะวันตกเอง
การที่ Political Correctness มีความออนไหวอยางยิ่งกับประเด็นทางเพศสภาพ เชื้อชาติ ชาติ
พันธุ ทําใหหลายสิ่งหลายอยางที่เคยอยูดีกนิ ดีมีสถานะสูงสงมากอนไมเพียงแตถกู บั่นทอน เซาะแซะคุณ
งามความดี แตยังถูกจัดการ กําจัด ประเมินคาใหม ถูกแบน เซ็นเซอรดว ย เชน นิยายเรื่อง Huckleberry
Finn ซึ่งเคยเปนงานคลาสสิกของวรรณกรรมอเมริกนั แตหลายสิบปทผี่ านมาก็เคยถูกแบนตามทีต่ า งๆ
3
ในอเมริกา เชน หองสมุดสาธารณะ หรือถูกเอาออกจากลิสตที่นักเรียนตองอาน ดวยประเด็นทางเชื้อ
ชาติ เหยียดคนผิวดํา บทละคร The Merchant of Venice ของเชกสเปยร ก็เคยถูกมองวาเขาขายตอตานยิว
อะไรทํานองนี้
อาจารยมหาวิทยาลัยในอเมริกาในบางรัฐถูกหามไมใหสอนอะไรที่มวี ัตถุประสงคที่ชี้นํา
ทางการเมือง อุดมการณ ศาสนา หรือตอตานศาสนา หรือดึงดันที่จะนําประเด็นทีเ่ ปนที่โตแยงมาพูดใน
ชั้นเรียน โดยไมเกี่ยวกับการเรียนการสอน หามการกีดกันทางเชื้อชาติ ศาสนา เพศ แตบางทีมันก็นาํ ไปสู
อะไรแปลกๆ ไดเชน เคยมีกรณีทนี่ ักศึกษาอเมริกนั บอกวาตัวเองถูกกีดกัน (discriminated) จากบรรดา
คณาจารยและนักศึกษาที่สวนใหญเปนพวกซาย พวกเดโมแครต เพราะเธอสนับสนุนบุช
มีกรณีที่นาสนใจเกิดขึ้นเชน การตอตานประนามการเหยียดผิว (racism) ไดนําไปสูกระแสหรือ
ขบวนการ Afro-centrism หรือ การเอาแอฟริกาเปนศูนยกลาง (ในทํานองเดียวกันกับ Euro-centrism เอา
ยุโรปเปนศูนยกลาง) ที่ทําใหมีงานเขียนที่บอกวาโสกราตีสและคลีโอพัตรามีเชื้อสายแอฟริกัน หรือ
ปรัชญากรีกขโมยความคิดมาจากอียิปต บรรดาอาจารยมหาวิทยาลัยที่เปน “คนขาว” ที่ศึกษาอารยธรรม
กรีก (Classicist) ที่ไมเห็นดวยกับขอโตแยงเหลานี้กร็ ูสึกวาการวิพากษวิจารณพวก Afro-centrism อาจ
ถูกกลาวหาวา “เหยียดผิว” ได
หรือการทีเ่ ทรนดกระแสหลักของการศึกษาประวัติศาสตรศิลปะก็ถกู มองวาเปนการเมืองของ
ทฤษฎี และเปนการโจมตีตวั งานศิลปะขึ้นเรื่อยๆ เชน ภาพวาดไมไดถูก “มอง” ดวยสายตาทาง
สุนทรียศาสตรอีกตอไป แตถูก “อาน” ประเด็นทางประวัติศาสตรการเมืองทั้ง gender, race, sexuality
ตางๆ นานาทีแ่ ฝงเรนอยูในภาพ
กรณีเหลานี้นําไปสูคําถามวา มนุษยศาสตรจะพูดถึงหัวขอประเด็นที่ “ไมถูกตองทางการเมือง”
ไดอยางไร? มนุษยศาสตรสามารถนําไปสูเสรีภาพทางความคิดโดยไมมกี ารเซ็นเซอร กดทับความคิด
บางอยางจริงหรือ? และถาหากมนุษยศาสตรที่ตองการรื้อความคิดทีส่ ถาปนาอยูใ นสังคม มันก็เลีย่ ง
ไมไดที่จะตองมีการพยายามทําลายความชอบธรรมของวิธีคิดแบบนั้นใหเปนเรื่องตองหาม ดวยใชไหม?
มนุษยศาสตรกระทําการ “หาม” เสียเองดวยรึเปลา?
4
หรือจริงๆ แลว มนุษยศาสตรอาจเปนเรื่องของการเมืองของการตอสูทางความคิดมากกวาเรื่อง
ของการแสวงหาอิสรภาพหรือการปลดปลอยอยางสมบูรณแบบ หรือแสวงหายูโทเปย ความดี ความงาม
ความจริงก็ได ที่สําคัญก็คือ มนุษยศาสตรไมไดเปน “กลุม กอน” ที่เปนเนื้อเดียวกันทีม่ องทุกอยางไปใน
ทิศทางเดียวกัน แตมนุษยศาสตรอาจมีความขัดแยงภายในมากมหาศาลก็ได และบางครั้งก็อาจจะมีความ
เปนปฏิปก ษกนั ภายในเสียยิง่ กวาเปนปฏิปก ษกับศาสตรสาขาอื่นๆ ภายนอกก็ได
มนุษยศาสตรอาจเปนพื้นทีข่ อง “สมรภูม”ิ มากกวา “สันติภาพ” เพราะแมแตจะพูดถึงเรื่องอยาง
สันติภาพและความดีงาม ก็ตองพูดกันในพื้นที่สูรบอยูดี
------ (3)
ประเด็น “ตองหาม” แบบสุดทายที่จะขอกลาวถึงคือ การหัวเราะ-อารมณขันตองหาม
(Forbidden Laughter and Humor)
กลาวอยางรวบรัดแลว ศาสนา ปรัชญา สถาบันทางอํานาจทุกชนิดลวน มีทาทีระแวดระวัง และ
กระทั่งเปนศัตรูกับการหัวเราะและอารมณขัน เพราะการหัวเราะและอารมณขนั บั่นทอน ทาทาย และตั้ง
คําถามกับการอางและผูกขาดอํานาจและความจริง
เปนที่ทราบกันวา คริสตศาสนาโดยเฉพาะในสมัยกลางหวั่นเกรงและเกลียดชังการหัวเราะ
เพราะการหัวเราะคือการ “ลืม” ทุกอยางทีท่ รงมหิทธานุภาพ ขณะที่หัวเราะ มนุษยลมื ความตาย พระเจา
บาป และลืมกลัวสิ่งเหลานี้ ลืมความซีเรียสและความศักดิ์สิทธิ์ของทุกอยาง
ประเด็นนี้เปนธีมที่นาสนใจและสนุกมากในนวนิยายเรื่อง The Name of the Rose ของอุมแบร
โต เอโก ซึ่งเปนเรื่องของการฆาตกรรมตอเนื่องหลายศพในโบสถวิหารอารามสมัยกลาง อันเปนสมัยที่
คริสตศาสนามีอํานาจครอบคลุมทุกมิติของชีวิต มีอุดมการณเนนการบําเพ็ญเพียร เรื่องเจตจํานงพระเจา
เรื่องบาป ความทุกข Suffering
การฆาตกรรมตอเนื่องนี้ก็มีตน เหตุมาจากพระบรรณารักษคนหนึ่งที่พยายามปกปกษพทิ ักษ
หนังสือตองหามเลมหนึ่งในหอสมุด หนังสือเลมนั้นคือ หนังสือที่วาดวยเรื่อง Comedy ของ Aristotle
ซึ่งยอมตองเกีย่ วกับอารมณขัน การหัวเราะ วากันวาหนังสือเลมนี้เปนหนังสือของอริสโตเติลที่หาย
สาบสูญไปนานแลว และไมมีใครเคยอาน แตกลับมาปรากฏอยูกอปปหนึ่งในหอสมุดแหงนี้ พระที่เปน
บรรณารักษนี้ (Jorge) จึงไมตองการใหบรรดาพระทั้งหลายในอารามไดอานเรื่องที่วา ดวยการหัวเราะ
เพราะการหัวเราะเปนการจาบจวงบั่นทอนความจริงของพระเจา เปนอันตรายตอคริสตศาสนา โดยให
เหตุผลวา Comedy ทําใหการหัวเราะถูกยกขึ้นเปน “ศิลปะ” เปน “ปรัชญา” และถึงขั้นเปนหนทางไปสู
ปญญา นักปรัชญากําลังใหความชอบธรรมกับการหัวเราะซึ่งเปนศัตรูกบั ความซีเรียสจริงจัง พระ
5
บรรณารักษผไู มมีอารมณขนั รูปนี้เลยวางยาพิษไวที่หนากระดาษ คนที่มาแอบอานจึงถูกยาพิษตาย การ
หัวเราะจึงเปนเรื่องคอขาดบาดตายตามตัวอักษรจริงๆ
พิธีกรรมศักดิส์ ิทธิ์แบบทางการหรือรัฐพิธที ี่เครงครัดเอาจริงเอาจังจึงไมอาจยอมใหมมี ิติของ
อารมณขนั ในนั้นไดเด็ดขาด เพราะทันทีทผี่ ูรว มพิธีหัวเราะในพระราชพิธี หัวเราะในพิธีที่เครงขรึม,
หัวเราะขณะเคารพธงชาติ, หัวเราะขณะพระสวด นั่นคือการทาทาย หรือลบหลูกับอํานาจที่กําลังสําแดง
อิทธิฤทธิ์อยู ณ ขณะนั้น บางทีเราจึงตองมีการ “กลัน้ ” หัวเราะ เพราะเรารูวาการหัวเราะในบางเวลาจะ
สรางปญหาไดอยางเลวรายมาก
แตเราจะเห็นอารมณขนั ในพิธีกรรมชาวบานที่มีมิติของการทาทายอํานาจ ลอเลนกับ
ขนบประเพณี ความศักดิ์สิทธิ์ ลําดับชั้นสูงต่ําในสังคม ฉะนั้นการหัวเราะอาจเปนสัญลักษณหรือมีมติ ิ
ของ อิสรภาพ ก็ได อิสรภาพที่จะไมถูกจองจําอยูในกฎเกณฑใดๆ เลย แตถึงกระนั้นมันก็มักจะอยูใน
บริบทของพิธกี รรม ไมใชในเวลาปกติ
ความศรัทธาอาจไมสามารถไปดวยกันไดกับการหัวเราะ เพราะการหัวเราะทําใหเราหยุดชะงัก
ชั่วคราวกับสิ่งหรือคนที่เราศรัทธา คนที่ศรัทธาซีเรียสจริงจังกับอะไรมากๆ จึงรูสึกวาสิ่งหรือคนที่เขา
ศรัทธา แตะตองไมได ลอเลียนไมได
อารมณขนั ยังดูจะเปนเรื่องตองหามในเรื่องของขนบการแสวงหาความรูความจริงใน
มนุษยศาสตร เพราะการแสวงหาความรูความจริงเปนเรื่อง “ซีเรียส” ไมใชเรื่อง “ตลก” การมีอารมณขัน
ในงานวิชาการหรือการเสนอเปเปอร จึงอาจถือเปนเรื่องตองหามที่ไมมีใครพูดถึง เพราะมันเหมือนเปน
สิ่งที่ละไวในฐานที่เขาใจอยูแลว การมีอารมณขันยังอาจทําใหงานเขียนไมนาเชื่อถือ เพราะอานแลวขํา
เราจะเชื่อถือเฉพาะเรื่องที่ไมขํา ขําแปลวา “เลนๆ” ไมจริงจัง แมวา จริงๆ แลวเรื่องจริงและความจริงจะ
เปนเรื่องตลกก็ตาม แตการแสวงหาความจริงตองไมใชเรื่องตลก ดังนัน้ แมวามนุษยศาสตรจะมีอุดมคติ
อยูที่เสรีภาพในการหาความรูความจริง แตตองไมหาแบบตลก
คําถามคือ เราสามารถจะหัวเราะความจริงไดหรือไม (Laugh at the truth) การหัวเราะความจริง
เปนเรื่องนาสะพรึงกลัวมากใชไหม
6
สรางภาพแบบฉบับที่แฝงนัยของการดูหมิน่ เหยียดหยาม การมีอคติที่มนี ัยทางลบอยูม ากมายเต็มไปหมด
เรื่องตลกเกี่ยวกับชนชาติ หรือประเทศเพื่อนบาน เปนเรื่องสามัญที่มีอยูด าษดืน่ ที่สุด โจกของฝรั่งจะมี
โจกที่ใหภาพ Stereo-type เกี่ยวกับคนอังกฤษ คนฝรั่งเศส อิตาเลียน ไอริช เยอรมัน ดัทช อเมริกัน
รัสเซีย เต็มไปหมด
ตัวอยางงายๆ ของเราเองคือ เรื่องตลกเกี่ยวกับชาวเขา หรือการพูดลอเลียนสําเนียงชาวเขา ซึ่งมี
มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคนกรุงเทพฯ มีปฏิสัมพันธกับชาวเขามากขึ้นๆ เชน การมาเปน maid ตามบาน หรือ
การทีภ่ าพลักษณชาวเขากลายเปนสินคา หากพูดตรงๆ แลว สําหรับคนกรุงเทพฯ ตลกพวกนี้ก็ตลกมาก
ตลกชัว่ ราย โคตรตลกจริงๆ เสียดวย ตลกแบบชาวเขานี้คอื เรื่องตลกที่คนกรุงเทพฯ ใชทาทีสถานภาพที่
เหนือกวา Make Fun กับความบกพรองทางภาษาเปนหลัก รวมทั้งเรื่องเพศดวย การใชทาทีมุมมองที่
เหนือกวาจึงเปนธรรมชาติอยางหนึ่งของเรือ่ งตลกแบบนี้ แตในอีกแงหนึ่ง การเห็นขันกับอะไรก็ตามที่
“ตาง” ไปจากตัวเอง ก็อาจเปนความปกติที่มีอยูในความเปนมนุษยทวั่ ไป เพราะความเปนมนุษยยอ ม
ไมใชความเปนเทพ ความเปนมนุษยคือความไมสมบูรณแบบ
ถึงกระนั้น บางครั้งเรามักจะมองกันวา เรื่องตลกที่ชอบธรรมคือเรื่องตลกทีล่ อเลียน เยาะเยย
ถากถาง ผูที่เหนือกวา ผูมีอํานาจ ไมใชเรื่องตลกทีก่ ระทําตอผูที่มีสถานะต่ํากวา ตลกที่ชอบธรรมจึงคือ
ตลกตอ “ขางบน” ไมใชตอ “ขางลาง” ตลกตอนายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี ไมใชตลกกับคนเรรอนไร
บาน หรือตลกกับเหยื่อที่ถกู ขมขืน ซึ่งจะถูกถือวาเปนตลกที่ไรจริยธรรม
แตถาหากเรา “หาม” เรื่องตลกที่ไมถูกตองทางการเมือง (politically incorrect jokes) ซึ่ง
หมายถึงตลกที่มีนัยยะกดขีท่ างเพศหรือชาติพันธุ การ “หาม” นี้ก็อาจเทากับเปนการ “กดขี”่ ซอนสอง
ตลบ ชั้นแรกคือ ตัว Joke นั้น มีนัยกดขี่อะไรบางอยาง แลวเราก็ไป “กดขี่” ใชอํานาจกับการเลาเรื่องขํา
ขันเหลานั้นอีกทีหนึ่ง แตทั้งนี้ทั้งนั้นก็แนนอนวา เราก็มีทงั้ good joke กับ bad joke และการตัดสินวา
อะไรคือ good joke หรือ bad joke ก็คงเปนอีกเรื่องหนึ่ง
ประเด็นสําคัญอยูที่วา ปรัชญาของอารมณขนั หรือตลก คือ การทําใหทุกอยาง “คลุมเครือ” และ
คือการ “แขวน” การตัดสินทางศีลธรรม ฉะนั้นจะวาไปแลว อารมณขันยอมตองอยูก้ํากึ่ง ลอแหลม ทา
ทายกฎเกณฑแบบแผนทางอํานาจ ความถูกตอง และศีลธรรมเสมอ ดังนั้น ศาสนาซึ่งสรางโลกและ
กฎเกณฑทางศีลธรรมที่ชัดเจนจึงตองมีปญ หากับอารมณขันแนๆ ทําใหมักมีประเด็นคําถามกันวา พระ
เยซูเคยหัวเราะรึเปลา พระพุทธเจาเคยหัวเราะรึเปลา
และอาจจะเพราะความก้ํากึ่ง ลอแหลม ทาทายอยางนีด้ วย บางทีการคิดอะไรไดเรียบรอยอยูใน
แบบแผนมากๆ จึง “ตลก” หรือเห็น “อารมณขัน” ไดยาก และตามจารีตแลว คนที่จะทํา “ตลก” มี
อารมณขนั ไดก็มักจะเปน “ผูชาย” แทบจะทั้งนั้น เพราะแนนอนวาผูชายไดรับอนุญาตจากสังคมให
7
สามารถลอเลน ทาทาย พลิกแพลง ทะลึ่ง หยาบคาย ใชไหวพริบปฏิภาณไดมากกวา “ผูหญิง” ที่ถูกจํากัด
ใหอยูในกรอบจารีตทีก่ ดทับกวา
เราจึงอาจมองการหัวเราะและอารมณขันโดยเฉพาะในที่ “สาธารณะ” วาเปนเรื่องตองหามของ
“ผูหญิง” ไดอีกชั้นหนึ่งดวย
หัวเราะตัวเอง
-----------------------------