Professional Documents
Culture Documents
บทคัดย่อ
การวิจยั เรือ่ ง “มายาคติในนิทานพืน้ บ้านล้านนา” มีจดุ มุง่ หมายเพือ่ ศึกษามายาคติทปี่ รากฏ
ในนิทานพื้นบ้านล้านนา โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากนิทานพื้นบ้านล้านนาที่รวบรวมโดยสถาบัน
วิจยั สังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และใช้แนวคิดเรือ่ งมายาคติ แนวคิดเรือ่ งคู่ตรงข้าม และแนวคิด
เรื่องสัญวิทยา เป็นแนวทางในการศึกษา
ผลการวิจยั พบว่านิทานพืน้ บ้านล้านนาปรากฏมายาคติ 4 ประการ ได้แก่ มายาคติวา่ ด้วย
เรือ่ งชายเป็นใหญ่ แสดงให้เห็นถึงค่านิยมของคนล้านนาทีย่ กย่องให้เพศชายอยูเ่ หนือสตรี มายาคติ
ว่าด้วยอคติทางชาติพันธุ์ แสดงให้เห็นถึงการแบ่งแยกระหว่างพวกเราพวกเขา และประกอบสร้าง
ให้พวกเราอยู่เหนือกว่าพวกเขา มายาคติว่าด้วยเรื่องการปกครอง แสดงให้เห็นถึงการเคารพ
เชือ่ ฟัง คนทีเ่ ป็นตัวแทนของภาครัฐ ในการตัดสินหรือกระท�ำการใด ๆ และมายาคติวา่ ด้วยเรือ่ งชนชัน้
แสดงให้เห็นถึงการให้คุณค่าของเงิน การศึกษา และระบบอาวุโส
1
นิสิตหลักสูตรศิลปศาสตรดุษฏีบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์
2
รองศาสตราจารย์ ดร. สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์
3
รองศาสตราจารย์ สาขาวิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์
86 พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561
ABSTRACT
The study entitled “Myth in Lanna Folktales” aimed to study myths found in Lanna
folktale based on the analysis of Lanna folktale gathered by Institute of Social Research Chiang
Mai University. This study was also based on myths, Binary opposition and semiology.
According to the results of the study, there were four myths appeared in Lanna folktale.
These included 1) patriarchy, reflecting the Lanna people’s value of male’s dominance over
female; 2) ethnocentrism, reflecting people’s discrimination between their in-group and others
and their effort to be superior than others; 3) ruling, reflecting the people’s respect and obedience
of government representatives’ decision or action; and 4) racist discrimination reflecting the value
of money, education and seniority.
อนึ่ ง ความคิ ด ความเชื่ อ ค่ า นิ ย ม จนท� ำ ให้ ผู ้ อ ่ า นเข้ า ใจว่ า สิ่ ง ที่ น� ำ เสนอเป็ น สิ่ ง
และอุ ด มการณ์ ที่ ถู ก ถ่ า ยทอดผ่ า นการเล่ า ที่ปกติธรรมดา โดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ดังที่
นิทานจากรุ่นสู่รุ่นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่คนใน ฟานดีค (Dijk, 1997) กล่าวไว้อย่างน่าสนใจ
สังคมยอมรับและเชื่อถือศรัทธาสืบต่อกันมา ว่า “ภาษาทีค่ นเราเลือกใช้ในตัวบทนัน้ มีเจตนา
โดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ จึงท�ำให้ทุกคน และอ�ำนาจเชิงความคิดบางอย่างทีแ่ ฝงอยูด่ ว้ ย”
รูส้ กึ ว่าเป็นเรือ่ งธรรมชาติทเี่ กิดขึน้ ปกติธรรมดา ปัจจุบันคนในสังคมต่างก็คุ้นเคยกับ
ไร้ข้อกังขา จนกลายเป็น “มายาคติ” ที่คนใน มายาคติ เพราะมายาคตินั้นปรากฏให้เราเห็น
สังคมเชื่อและปฏิบัตติ ามโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ ต่อหน้าโดยไม่ปดิ บังอ�ำพรางใด ๆ ดังเช่น ภายใต้
ค�ำว่า “มายาคติ” (Myth) ตามแนวคิด สั ง คมแบบปิ ต าธิ ป ไตย มี ม ายาคติ เ กี่ ย วกั บ
ของ โรล็องด์ บาร์ต (ฺBarthes, 1973) หมายถึง เรื่องเพศว่าผู้ชายเป็นเพศที่เข้มแข็ง มีความ
การสื่ อ ความหมายด้ ว ยคติ ค วามเชื่ อ ทาง อดทน และเหมาะสมที่ จ ะเป็ น ผู ้ น� ำ ดั ง นั้ น
วั ฒ นธรรม ซึ่ ง ถู ก กลบเกลื่ อ นให้ เ ป็ น ที่ รั บ รู ้ เมือ่ ใดก็ตามทีม่ สี ถานการณ์ให้เพศหญิงเป็นผูน้ ำ �
เสมือนว่าเป็นธรรมชาติ หรืออาจกล่าวให้ถึงที่ ก็ มั ก จะไม่ ไ ด้ รั บ การยอมรั บ จากสั ง คมอย่ า ง
สุดได้ว่าเป็นกระบวนการลวงให้หลงอย่างหนึ่ง แท้จริง เนื่องจากเป็นเรื่องที่ผิดไปจากความ
แต่ ทั้ง นี้มิไ ด้ ห มายความว่ า มายาคติเ ป็ น การ คุ้นเคย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยที่คนใน
โกหกหลอกลวงหรือปั้นน�้ำเป็นตัวหรือโฆษณา สังคมต่างยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาโดยรู้สึกว่า
ชวนเชือ่ ทีบ่ ดิ เบือนข้อเท็จจริง มายาคตินนั้ มิได้ เป็นเรือ่ งธรรมชาติทปี่ ราศจากการปรุงแต่งใด ๆ
ปิ ด บั ง อ� ำ พรางสิ่ ง ใดทั้ง สิ้น ทุ ก อย่ า งปรากฏ จนมิได้สังเกตว่าแท้ที่จริงแล้วมายาคติเป็นสิ่งที่
ต่อหน้าเราอย่างเปิดเผย แต่เราต่างหากทีค่ นุ้ เคย ถูกประกอบสร้างขึ้นทางวัฒนธรรมทัง้ สิ้น
กับมัน เสียจนไม่ทนั สังเกตว่ามันเป็นสิง่ ประกอบสร้าง จะเห็นได้ว่าการศึกษานิทานพื้นบ้าน
ทางวัฒนธรรม เรานัน่ เองทีห่ ลงคิดไปว่าค่านิยม ล้านนาด้วยแนวคิดมายาคติ ท�ำให้เห็นถึงมิติ
ที่เรายึดถือนั้นเป็นธรรมชาติ หรือเป็นไปตาม ที่ ซ ่ อ นอยู ่ ร ะหว่ า งบรรทั ด ของนิ ท านพื้น บ้ า น
สามัญส�ำนึก” (นพพร ประชากุล, 2555, น. 4) อั น เป็ น การบู ร ณาการแนวคิ ด หลั ง สมั ย ใหม่
มายาคติ ที่ ป รากฏในนิ ท านจะถู ก เข้ากั บ การศึก ษาด้านภาษาและวรรณกรรม
แสดงออกผ่านทางภาษา และการน�ำเสนอเรือ่ ง ตลอดจนการแสดงให้เห็นอ�ำนาจ ชนชั้น หรือ
เนื่องจากเนื้อหาของนิทานสามารถประกอบ อุดมการณ์ท่แี ฝงอยู่ในนิทานดังกล่าว
สร้างขึน้ ได้ ทัง้ นีข้ นึ้ อยูก่ บั อุดมการณ์หรือความ ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะ
ต้องการของผู้เล่าที่อยากสื่อความหมายเรื่อง ศึก ษามายาคติใ นนิท านพื้นบ้านล้านนา เพื่อ
ใดเรื่องหนึ่งให้ผู้ฟังได้รับรู้ ยอมรับ และน�ำไปสู่ ให้ทราบถึงมายาคติคติที่แฝงอยู่ภายใต้บริบท
การผลิ ต ซ�้ ำ ด้ ว ยความหมายแบบเดิ ม ต่ อ ไป ทางสังคมและวัฒนธรรมล้านนา
88 พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561
วิธีด�ำเนินการวิจัย อันเป็นสิ่งที่สังคมต่างยอมรับอย่างปราศจาก
การวิจยั เรือ่ ง มายาคติในนิทานพืน้ บ้าน ข้อกังขา ตลอดจนยึดถือเป็นแนวปฏิบัติสืบต่อ
ล้านนา ผู้วิจัยมีวิธีด�ำเนินการวิจัยตามขั้นตอน กันมาราวกับว่าเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้
ต่อไปนี้ อย่างปกติธรรมดา ดังจะได้อธิบายเป็นประเด็น
ขั้นรวบรวมข้อมูล ศึกษาเอกสาร ต่อไปนี้
และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับนิทานพื้นบ้านและ มายาคติว่าด้วยชายเป็นใหญ่
แนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แนวคิด บรรทัดฐานของสังคมเรือ่ งชายเป็นใหญ่
เรื่ อ งมายาคติ แนวคิ ด เรื่ อ งสั ญ วิ ท ยา และ มีรากเหง้ามาจากความเชือ่ ทางศาสนา ดังที่ ยศ
แนวคิดเรื่องคู่ตรงข้าม จากนั้นรวบรวมข้อมูล สันตสมบัติ (2543) ได้กล่าวถึงเรือ่ งแนวคิดชาย
นิ ท านพื้ น บ้ า นล้ า นนาจากเอกสาร โดยใช้ เป็นใหญ่ว่า เกิดจากความเชื่อในเรื่องของบุญ
ข้อมูลเอกสารนิทานพื้นบ้านที่รวบรวมไว้เป็น และกฎแห่งกรรม โดยคนไทยเชื่อว่าผู้ชายมี
ลายลั ก ษณ์ อั ก ษร รวบรวมโดยสถาบั น วิ จั ย คุณลักษณะทางจิตวิญญาณบางอย่าง หรือมี
สังคมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้แก่ เอกสาร แก่นแห่งความเป็นมนุษย์ที่ท�ำให้เขามีศักยภาพ
นิทานพื้นบ้านล้านนา เล่ม 1-5 จ�ำนวน 410 ทางด้านศีลธรรม สติปัญญา และจิตวิญาณ
เรื่อง สูงกว่าผู้หญิง ซึ่งความเชื่อในอุดมการณ์ของ
ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์มายา ชายเป็ น ใหญ่ ยั ง ปรากฏผ่ า นการบวชเรี ย น
คติที่ปรากฏในนิทานพื้นบ้านล้านนา โดยใช้ เป็นพระสงฆ์ ซึ่งมีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถ
แนวคิดเรื่องมายาคติ แนวคิดเรื่องสัญวิทยา กระท�ำได้ ความเหนือกว่าของผู้ชายสะท้อน
และแนวคิ ด เรื่ อ งคู ่ ต รงข้ า ม เป็ น แนวทางใน ให้เห็นถึงรากเหง้าของความคิดพื้นฐานดั้งเดิม
การศึกษา โดยจะวิเคราะห์จากตัวบท (นิทาน) ที่ ม องว่ า เพศชายมี ค วามศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ม ากกว่ า
ผ่านการตีความจากภาษาและน�ำเสนอเรื่อง เพศหญิง
ขั้ น สรุ ป และอภิ ป รายผล สรุ ป ผล นิทานพื้นบ้านล้านนามักจะประกอบ
การศึกษาค้นคว้า อภิปรายผลการศึกษา และ สร้ า งตั ว ละครชายหญิ ง ที่ ถู ก แบ่ ง แยกด้ ว ย
ข้อเสนอแนะ มิ ติ ท างเพศอย่ า งชั ด เจน โดยตั ว ละครชาย
มั ก ถู ก ก� ำ หนดบทบาทให้ เ ป็ น ผู ้ น� ำ ครอบครั ว
ผลการศึกษา และท� ำ งานนอกบ้ า น ในขณะที่ เ พศหญิ ง
นิทานพืน้ บ้านล้านนา ก็คอื “มายาคติ” มักถูกสร้างให้เป็นช้างเท้าหลังที่อยู่แต่ในบ้าน
แบบหนึง่ อันเป็นผลผลิตจากการประกอบสร้าง โดยรั บ บทบาทหน้ า ที่ ส� ำ คั ญ คื อ การเป็ น แม่
ทางวัฒนธรรม ซึ่งภายใต้การประกอบสร้าง และเมียเท่านั้น
เนื้อหานั้นก็ได้แฝงคติความเชื่อไว้หลากหลาย จากการศึ ก ษามายาคติ ว ่ า ด้ ว ย
มิติ ได้แก่ มิติเรื่องเพศ มิติเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ “ชายเป็นใหญ่” ในนิทานพืน้ บ้านล้านนาปรากฏ
มิ ติ เ รื่ อ งการปกครอง และมิ ติ เ รื่ อ งชนชั้ น มายาคติในเรื่องชายเป็นใหญ่ที่ปรากฏเด่นชัด
พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561 91
เอกสารอ้างอิง
ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร. (2545). สัญวิทยา, โครงสร้างนิยม, หลังโครงสร้างนิยมกับการศึกษา
รัฐศาสตร์. กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์วภิ าษา.
ทยากร แซ่แต้. (2551). มายาคติทางวัฒนธรรมที่ปรากฏในละครเกาหลีและการสร้างประโยชน์
ทางธุรกิจ. (วิทยานิพนธ์นเิ ทศศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์).
นพพร ประชากุล. (2555). ค�ำน�ำเสนอบทแปล. ใน วรรณพิมล อังคศิริสรรพ (แปล), มายาคติ,
กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ.
ปฐม หงษ์สุวรรณ. (2551). นานมาแล้ว มีเรื่องเล่า นิทาน ต�ำนาน ชีวิต. กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์
แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ประคอง นิมมานเหมินท์. (2551). นิทานพืน้ บ้านศึกษา. (พิมพ์ครัง้ ที่ 3). กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่
ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พัชรี โชติถาวรรัตน์. (2528). แนวความคิดทางการเมืองของลานนาไทยสมัยราชวงศ์มังราย
(พ.ศ.1839 -2101): วิเคราะห์จากเอกสารใบลานภาคเหนือ. (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร
มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร).
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันวิจัยสังคม. (2527). นิทานพื้นบ้านล้านนา : เอกสารข้อมูล เล่ม 1.
เชียงใหม่: ฝ่ายวิจัยล้านนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันวิจัยสังคม. (2528). นิทานพื้นบ้านล้านนา : เอกสารข้อมูล เล่ม 2.
เชียงใหม่: ฝ่ายวิจัยล้านนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561 101