You are on page 1of 17

มายาคติในนิทานพื้นบ้านล้านนา

MYTH IN LANNA FOLKTALES


เอื้อมพร ทิพย์เดช1, สนม ครุฑเมือง2 และ เปรมวิทย์ วิวัฒนเศรษฐ์3
Uamporn Thipdet1, Sanom khrutmuang2 and Premvit Vivattanaseth3
มหาวิทยาลัยนเรศวร 99 ม.9 ต.ท่าโพธิ์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก 650001,2
Naresuan University, 99 Moo 9, Tha Pho Sub-district, Muang District, Phitsanulok Province 650001,2
มหาวิทยาลัยพะเยา 19 ม.2 ต.แม่กา อ.เมือง จ.พะเยา 560003
University of Phayao, 19 Moo 2 Maeka Sub-district, Muang District, Phayao 560003

บทคัดย่อ
การวิจยั เรือ่ ง “มายาคติในนิทานพืน้ บ้านล้านนา” มีจดุ มุง่ หมายเพือ่ ศึกษามายาคติทปี่ รากฏ
ในนิทานพื้นบ้านล้านนา โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากนิทานพื้นบ้านล้านนาที่รวบรวมโดยสถาบัน
วิจยั สังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และใช้แนวคิดเรือ่ งมายาคติ แนวคิดเรือ่ งคู่ตรงข้าม และแนวคิด
เรื่องสัญวิทยา เป็นแนวทางในการศึกษา
ผลการวิจยั พบว่านิทานพืน้ บ้านล้านนาปรากฏมายาคติ 4 ประการ ได้แก่ มายาคติวา่ ด้วย
เรือ่ งชายเป็นใหญ่ แสดงให้เห็นถึงค่านิยมของคนล้านนาทีย่ กย่องให้เพศชายอยูเ่ หนือสตรี มายาคติ
ว่าด้วยอคติทางชาติพันธุ์ แสดงให้เห็นถึงการแบ่งแยกระหว่างพวกเราพวกเขา และประกอบสร้าง
ให้พวกเราอยู่เหนือกว่าพวกเขา มายาคติว่าด้วยเรื่องการปกครอง แสดงให้เห็นถึงการเคารพ
เชือ่ ฟัง คนทีเ่ ป็นตัวแทนของภาครัฐ ในการตัดสินหรือกระท�ำการใด ๆ และมายาคติวา่ ด้วยเรือ่ งชนชัน้
แสดงให้เห็นถึงการให้คุณค่าของเงิน การศึกษา และระบบอาวุโส

ค�ำส�ำคัญ : มายาคติ, นิทานพื้นบ้าน, ล้านนา

1
นิสิตหลักสูตรศิลปศาสตรดุษฏีบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์
2
รองศาสตราจารย์ ดร. สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์
3
รองศาสตราจารย์ สาขาวิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์
86 พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561

ABSTRACT
The study entitled “Myth in Lanna Folktales” aimed to study myths found in Lanna
folktale based on the analysis of Lanna folktale gathered by Institute of Social Research Chiang
Mai University. This study was also based on myths, Binary opposition and semiology.
According to the results of the study, there were four myths appeared in Lanna folktale.
These included 1) patriarchy, reflecting the Lanna people’s value of male’s dominance over
female; 2) ethnocentrism, reflecting people’s discrimination between their in-group and others
and their effort to be superior than others; 3) ruling, reflecting the people’s respect and obedience
of government representatives’ decision or action; and 4) racist discrimination reflecting the value
of money, education and seniority.

KEYWORD : Myth, Folktales, Lanna

บทน�ำ ปลาบู่ทอง ที่มีเนื้อเรื่องกล่าวถึงเรื่องของการ


นิ ท า น พื้ น บ ้ า น เ ป ็ น ม ร ด ก ท า ง จับปลา อีกทั้งนางเอกในเรื่องยังถูกแม่ใช้ให้
วั ฒ นธรรมที่ มี อ ยู ่ ใ นทุ ก ท้ อ งถิ่ น ซึ่ ง คนในชาติ ไปเลี้ยงควายอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีนิทาน
จะต้องช่วยกันผดุงรักษาไว้ โดยการเล่านิทาน มุขตลกที่เกี่ยวกับกษัตริย์กับพระ ซึ่งสะท้อน
นั้ น มี จุ ด มุ ่ ง หมายหลั ก เพื่ อ ก่ อ ให้ เ กิ ด ความ ให้เห็นว่าสังคมไทยเป็นสังคมทีม่ พี ระมหากษัตริย์
สนุ ก สนานเพลิ ด เพลิ น แก่ ผู ้ ฟ ั ง และผู ้ เ ล่ า เป็นประมุข และเป็นสังคมทีน่ บั ถือพระพุทธศาสนา
นอกจากนี้ นิ ท านยั ง ใช้ เ ป็ น เครื่ อ งมื อ ปลู ก ฝั ง เป็นต้น
ถ่ายทอด ความคิดความเชื่อต่าง ๆ เพื่อให้คน ล้านนา มีการสืบทอดทางวัฒนธรรม
ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม และอยู่ใน เกี่ยวกับวรรณกรรมนิทานมาช้านาน นิทาน
กรอบระเบียบของสังคม พืน้ บ้านล้านนาส่วนใหญ่เป็นการเล่าแบบมุขปาฐะ
นิ ท านพื้ น บ้ า นในแต่ ล ะท้ อ งถิ่ น มาก่ อ นแล้ ว จึ ง มี ก ารบั น ทึ ก เป็ น ลายลั ก ษณ์
มีลกั ษณะเฉพาะแตกต่างกันไปขึน้ อยูก่ บั ค่านิยม โดยเนือ้ หาในนิทานมักเป็นเรือ่ งเกีย่ วกับศาสนา
ความเชือ่ ตลอดจนวิถชี วี ติ ของชุมชนในท้องถิน่ นัน้ ประเพณีและวิถชี วี ติ ความเป็นอยูข่ องคนล้านนา
ดังที่ประคอง นิมานเหมินท์ (2551, น. 93-95) อันประกอบด้วย นิทานมุขตลก นิทานเกี่ยวกับ
ได้กล่าวไว้ในหนังสือนิทานพื้นบ้านศึกษาว่า สัตว์ นิทานเชิงคติสอนใจ ฯลฯ โดยนิทานล้านนา
นิทานพืน้ บ้านหลายเรือ่ งสะท้อนให้เห็นว่าสังคม เหล่านี้ยังแฝงไปด้วยความเชื่อ ค่านิยม และ
ไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม เช่น นิทานเรื่อง อุดมการณ์ ทีเ่ ล่าผ่านตัวบทในนิทานแต่ละเรือ่ ง
ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ทีเ่ นือ้ เรือ่ งกล่าวถึงตัวละคร อาทิ เรือ่ งเพศ เรือ่ งกลุม่ ชาติพนั ธุอ์ นื่ และเรือ่ ง
ลูกชายทีต่ อ้ งออกไปท�ำไร่ไถนา และนิทานเรือ่ ง การปกครอง เป็นต้น
พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561 87

อนึ่ ง ความคิ ด ความเชื่ อ ค่ า นิ ย ม จนท� ำ ให้ ผู ้ อ ่ า นเข้ า ใจว่ า สิ่ ง ที่ น� ำ เสนอเป็ น สิ่ ง
และอุ ด มการณ์ ที่ ถู ก ถ่ า ยทอดผ่ า นการเล่ า ที่ปกติธรรมดา โดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ดังที่
นิทานจากรุ่นสู่รุ่นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่คนใน ฟานดีค (Dijk, 1997) กล่าวไว้อย่างน่าสนใจ
สังคมยอมรับและเชื่อถือศรัทธาสืบต่อกันมา ว่า “ภาษาทีค่ นเราเลือกใช้ในตัวบทนัน้ มีเจตนา
โดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ จึงท�ำให้ทุกคน และอ�ำนาจเชิงความคิดบางอย่างทีแ่ ฝงอยูด่ ว้ ย”
รูส้ กึ ว่าเป็นเรือ่ งธรรมชาติทเี่ กิดขึน้ ปกติธรรมดา ปัจจุบันคนในสังคมต่างก็คุ้นเคยกับ
ไร้ข้อกังขา จนกลายเป็น “มายาคติ” ที่คนใน มายาคติ เพราะมายาคตินั้นปรากฏให้เราเห็น
สังคมเชื่อและปฏิบัตติ ามโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ ต่อหน้าโดยไม่ปดิ บังอ�ำพรางใด ๆ ดังเช่น ภายใต้
ค�ำว่า “มายาคติ” (Myth) ตามแนวคิด สั ง คมแบบปิ ต าธิ ป ไตย มี ม ายาคติ เ กี่ ย วกั บ
ของ โรล็องด์ บาร์ต (ฺBarthes, 1973) หมายถึง เรื่องเพศว่าผู้ชายเป็นเพศที่เข้มแข็ง มีความ
การสื่ อ ความหมายด้ ว ยคติ ค วามเชื่ อ ทาง อดทน และเหมาะสมที่ จ ะเป็ น ผู ้ น� ำ ดั ง นั้ น
วั ฒ นธรรม ซึ่ ง ถู ก กลบเกลื่ อ นให้ เ ป็ น ที่ รั บ รู ้ เมือ่ ใดก็ตามทีม่ สี ถานการณ์ให้เพศหญิงเป็นผูน้ ำ �
เสมือนว่าเป็นธรรมชาติ หรืออาจกล่าวให้ถึงที่ ก็ มั ก จะไม่ ไ ด้ รั บ การยอมรั บ จากสั ง คมอย่ า ง
สุดได้ว่าเป็นกระบวนการลวงให้หลงอย่างหนึ่ง แท้จริง เนื่องจากเป็นเรื่องที่ผิดไปจากความ
แต่ ทั้ง นี้มิไ ด้ ห มายความว่ า มายาคติเ ป็ น การ คุ้นเคย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยที่คนใน
โกหกหลอกลวงหรือปั้นน�้ำเป็นตัวหรือโฆษณา สังคมต่างยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาโดยรู้สึกว่า
ชวนเชือ่ ทีบ่ ดิ เบือนข้อเท็จจริง มายาคตินนั้ มิได้ เป็นเรือ่ งธรรมชาติทปี่ ราศจากการปรุงแต่งใด ๆ
ปิ ด บั ง อ� ำ พรางสิ่ ง ใดทั้ง สิ้น ทุ ก อย่ า งปรากฏ จนมิได้สังเกตว่าแท้ที่จริงแล้วมายาคติเป็นสิ่งที่
ต่อหน้าเราอย่างเปิดเผย แต่เราต่างหากทีค่ นุ้ เคย ถูกประกอบสร้างขึ้นทางวัฒนธรรมทัง้ สิ้น
กับมัน เสียจนไม่ทนั สังเกตว่ามันเป็นสิง่ ประกอบสร้าง จะเห็นได้ว่าการศึกษานิทานพื้นบ้าน
ทางวัฒนธรรม เรานัน่ เองทีห่ ลงคิดไปว่าค่านิยม ล้านนาด้วยแนวคิดมายาคติ ท�ำให้เห็นถึงมิติ
ที่เรายึดถือนั้นเป็นธรรมชาติ หรือเป็นไปตาม ที่ ซ ่ อ นอยู ่ ร ะหว่ า งบรรทั ด ของนิ ท านพื้น บ้ า น
สามัญส�ำนึก” (นพพร ประชากุล, 2555, น. 4) อั น เป็ น การบู ร ณาการแนวคิ ด หลั ง สมั ย ใหม่
มายาคติ ที่ ป รากฏในนิ ท านจะถู ก เข้ากั บ การศึก ษาด้านภาษาและวรรณกรรม
แสดงออกผ่านทางภาษา และการน�ำเสนอเรือ่ ง ตลอดจนการแสดงให้เห็นอ�ำนาจ ชนชั้น หรือ
เนื่องจากเนื้อหาของนิทานสามารถประกอบ อุดมการณ์ท่แี ฝงอยู่ในนิทานดังกล่าว
สร้างขึน้ ได้ ทัง้ นีข้ นึ้ อยูก่ บั อุดมการณ์หรือความ ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะ
ต้องการของผู้เล่าที่อยากสื่อความหมายเรื่อง ศึก ษามายาคติใ นนิท านพื้นบ้านล้านนา เพื่อ
ใดเรื่องหนึ่งให้ผู้ฟังได้รับรู้ ยอมรับ และน�ำไปสู่ ให้ทราบถึงมายาคติคติที่แฝงอยู่ภายใต้บริบท
การผลิ ต ซ�้ ำ ด้ ว ยความหมายแบบเดิ ม ต่ อ ไป ทางสังคมและวัฒนธรรมล้านนา
88 พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561

วัตถุประสงค์ของการวิจัย ซึ่ งงานวิจัยนี้จะน�ำแนวคิดของโรลองด์ บาร์ต ส์


เพื่ อ วิ เ คราะห์ ม ายาคติ ที่ ป รากฏใน มาใช้เป็นแนวทางในการศึกษาวิเคราะห์นิทาน
นิทานพื้นบ้านล้านนา พื้ น บ้ า นล้ า นนา เพื่ อ น� ำ ไปสู ่ ค วามเข้ า ใจ
กระบวนการประกอบสร้างมายาคติในนิทาน
กรอบคิดในการวิจัย พื้ น บ้ า นล้ า นนาภายใต้ บ ริ บ ททางสั ง คมและ
แนวคิดทีเ่ กีย่ วข้องกับงานวิจยั ในครัง้ นี ้ วัฒนธรรมล้านนา
มี 3 แนวคิด ได้แก่ แนวคิดเรือ่ งมายาคติ แนวคิด 2. แนวคิดเรื่องสัญวิทยา
เรื่องสัญวิทยา และแนวคิดเรื่องคู่ตรงข้าม สัญวิทยา (Semiology) พัฒนามาจาก
1. แนวคิดเรื่องมายาคติ ภาษากรีก Semeion ที่แปลว่า Sign เป็นค�ำที่
มายาคติ (Myth) ตามแนวคิ ด ตัง้ ขึน้ โดยนักภาษาศาสตร์ แฟร์ดนิ อ็ ง เดอ โซซูร์
ของ โรล็ อ งด์ บาร์ ต ที่ ป รากฏในหนั ง สื อ (Ferdinand de Saussure) ซึ่งเป็นการศึกษา
Mythologies ของ Roland Barthes หมายถึง เกี่ ย วกั บ การสื่ อ ความหมาย ตลอดจนการ
การสื่ อ ความหมายด้ ว ยคติ ค วามเชื่ อ ทาง ท� ำ ความเข้ า ใจความหมายของสั ญ ลั ก ษณ์
วั ฒ นธรรม ซึ่ ง ถู ก กลบเกลื่ อ นให้ เ ป็ น ที่ รั บ รู ้ ที่ ป รากฏในวั ฒ นธรรมหนึ่ ง ๆ ซึ่ ง อาจนิ ย าม
เสมือนว่าเป็นธรรมชาติหรืออาจกล่าวว่าเป็น “สัญวิทยา” ตามที่ ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร
กระบวนการลวงให้หลงอย่างหนึง่ แต่ทงั้ นีม้ ไิ ด้ (2545, น. 94) ได้ให้ความหมายไว้ว่า สัญวิทยา
หมายความว่ามายาคติเป็นการโกหกหลอกลวง ก็คอื การศึกษาถึงกระบวนการสร้างความหมาย
หรื อ ปั ้ น น�้ ำ เป็ น ตั ว หรื อ โฆษณาชวนเชื่ อ ที่ ที่ ไ ม่ รู ้ จั ก จบสิ้ น ในสั ง คม เพราะความหมาย
บิดเบือนข้อเท็จจริง มายาคตินั้นมิได้ปิดบัง ในทรรศนะของนั ก สั ญ วิ ท ยามี ลั ก ษณะเป็ น
อ�ำพรางสิ่งใดทั้งสิ้น ทุกอย่างปรากฏต่อหน้า พลวัตร ไม่หยุดนิ่ง ไม่ตายตัว แต่เป็นเรื่อง
เราอย่างเปิดเผย แต่เราต่างหากทีค่ นุ้ เคยกับมัน ของการประกอบสร้าง หรือการปะทะประสาน
เสียจนไม่ทันสังเกตว่ามันเป็นสิ่งประกอบสร้าง ของสัญญะต่าง ๆ ภายใต้ระเบียบกฎเกณฑ์
ทางวัฒนธรรม เรานัน่ เองทีห่ ลงคิดไปว่าค่านิยม ต่าง ๆ
ที่เรายึดถือนั้นเป็นธรรมชาติ หรือเป็นไปตาม แฟร์ดิน็อง เดอ โซซูร์ (Ferdinand de
สามัญส�ำนึก” (นพพร ประชากุล, 2555, น. 4) Saussure) ได้นำ� เสนอแนวคิดเรือ่ งองค์ประกอบ
อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า มายาคติคือ ข อ ง สั ญ ญ ะ ว ่ า ใ น ทุ ก สั ญ ญ ะ จ ะ ต ้ อ ง มี
การสื่อความหมายคติความเชื่อทางวัฒนธรรม ส่วนประกอบ 2 อย่าง ได้แก่
ประกอบ ไปด้วย ค่านิยม อุดมการณ์ และ 1) รูปสัญญะ (Signifier) คือสิง่ ทีเ่ รา
กรอบกฎเกณฑ์ทสี่ งั คมก�ำหนดไว้ โดยถ่ายทอด สามารถรับรูผ้ า่ นประสาทสัมผัส เช่น การมองเห็น
ผ่านชุดความเชื่อที่แฝงอยู่ ซึ่งเป็นกรอบในการ ตัวอักษร รูปภาพ ท่าทาง หรือการได้ยนิ ค�ำพูด
ก�ำหนดความคิดและการตัดสินใจของคนในสังคม ที่เปล่งออกมาเป็นเสียง
พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561 89

2) ความหมายของสัญญะ (Signified) แห่งความหมาย (Chain of Meaning) ดังเช่น


หมายถึงความหมาย ค�ำนิยามหรือความคิด ความหมายในขั้นแรกนั้น อาจเป็นการตีความ
รวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ในใจหรือความคิดของผูร้ บั สาร เนื่ อ งมาจากประสบการณ์ ข องแต่ ล ะบุ ค คล
โรล็องด์ บาร์ต ได้ให้แนวทางกระบวน (Subjective Experience) แต่สำ� หรับความหมาย
การสร้างความหมาย 2 ขัน้ ตอน (ทยากร แซ่แต้, แฝงระดับที่สองหรือที่เรียกว่า “มายาคติ” นั้น
2551, น. 36) ได้แก่ เป็ น การตี ค วามหมายที่ ถู ก ใส่ ค วามหมาย
1) การตีความหมายโดยตรงหรือ ในระดับสังคม
ความหมายโดยอรรถ (Denotation) เป็นการ 3. แนวคิดเรื่องคู่ตรงข้าม
ตี ค วามหมายที่ เ ข้ า ใจตามตั ว อั ก ษรหรื อ เป็ น คู ่ ต รงข้ า ม (Binary Opposition)
ความหมายขั้นแรก มักเป็นที่เข้าใจตรงกันโดย เป็ น แนวคิด ของโคลด เลวี่ สเตราส์ (Claude
ส่ ว นใหญ่ เป็ น ความหมายของสั ญ ญะที่ ถู ก Levi-Strauss) นักมานุษวิทยาเชิงโครงสร้าง
ประกอบสร้างขึ้นอย่างเป็นภววิสัย (Objective) ชาวฝรั่ ง เศส ที่ เ สนอว่ า มนุ ษ ย์ ม องสิ่ ง ต่ า ง ๆ
มี ลั ก ษณะที่ เ ป็ น สากล คื อ อ้ า งอิ ง ขึ้ น มาโดย เป็นคู่ตรงข้าม ซึ่งถือเป็นความคิดสากลของ
ไม่ ต ้ อ งมีก ารประเมิน คุ ณ ค่ า ตั ว อย่ า งที่เ ห็ น มนุษย์ โดยมนุษย์มักจะคิดในลักษณะ 2 ภาค
ได้ ชั ด เจนที่ สุ ด คื อ ความหมายที่ ป รากฏใน เช่ น ผู ้ ช าย – ผู ้ ห ญิ ง , ด� ำ – ขาว, สู ง – ต�่ ำ ,
พจนานุกรม บน – ล่าง, สุก – ดิบ เป็นต้น (ปฐม หงส์สวุ รรณ,
2) ก า ร ตี ค ว า ม ห ม า ย โ ด ย นั ย 2551, น. 36)
(Connotation) ห รื อ อาจเรี ย กว่ า ความหมายแฝง จากแนวคิดเรือ่ งคูต่ รงข้ามดังกล่าวมา
อธิ บ ายถึ ง ปฏิ สั ม พั น ธ์ ที่ เ กิ ด ขึ้ น เมื่ อ สั ญ ญะ เมือ่ น�ำมาใช้ในการวิเคราะห์นทิ านพืน้ บ้านล้านนา
กระทบความรู้สึกหรืออารมณ์ของผู้ใช้สารและ จะท�ำให้มองเห็นถึงความเป็นคูต่ รงข้ามทีป่ รากฏ
ค่านิยมในวัฒนธรรมของเขา ความหมายใน ในเนือ้ หานิทาน ไม่วา่ จะเป็นเรือ่ ง ผูช้ าย – ผูห้ ญิง,
ขั้นที่สองนี้ เป็นความหมายทางอ้อมที่เกิดจาก ความร�่ ำ รวย – ความยากจน รวมถึ ง การ
ข้อตกลงของกลุ่มหรือเกิดจากประสบการณ์ มี อ� ำ นาจ – ด้ อ ยอ� ำ นาจ ซึ่ ง คู ่ ต รงข้ า มนี้ ก็ มี
เฉพาะบุคคล เป็นความหมายที่ถูกประกอบ ลักษณะที่เป็นสากล และต่างก็ช่วยเน้นย�ำ้ ภาพ
สร้างอย่างเป็นอัตวิสัย (Subjective) ไม่ว่าจะ ของแต่ละฝ่ายให้มีความชัดเจนขึ้น อันน�ำไปสู่
เป็ น ในระดั บ บุ ค คลหรื อ ในระดั บ สั ง คม และ ข้อสรุปว่าแต่ละฝ่ายควรจะมีสภาวะ หรือด�ำรง
ความหมายแฝงจะเปลี่ ย นแปลงไปตาม สภาวะของตนแบบใด เช่น คนรวย มักจะถูก
วัฒนธรรมในการรับสาร ฉายภาพความเป็นชนชั้นที่มีฐานะและความ
Barthes (1973) อธิบายว่า หลังจากที่ มั่งคั่ง ซึ่งแตกต่างจากคนจน ที่มักจะเป็นคนที่
ความหมายแฝงตัวแรกถูกสร้างขึน้ ความหมาย ไร้เกียรติ และมีความขัดสน ในที่สุด การแสดง
นั้ น ก็ จ ะกลายเป็ น รู ป สั ญ ญะแล้ ว สร้ า ง วิธีคิดแบบคู่ตรงข้ามดังกล่าว มักจะกลายไป
ความหมายแฝงตัวทีส่ องต่อไปเรือ่ ย ๆ เป็นสายโซ่ เป็ น การสร้ า งมายาคติใ ห้ กั บ สรรพสิ่ง ต่ า ง ๆ
โดยไม่รู้ตัว
90 พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561

วิธีด�ำเนินการวิจัย อันเป็นสิ่งที่สังคมต่างยอมรับอย่างปราศจาก
การวิจยั เรือ่ ง มายาคติในนิทานพืน้ บ้าน ข้อกังขา ตลอดจนยึดถือเป็นแนวปฏิบัติสืบต่อ
ล้านนา ผู้วิจัยมีวิธีด�ำเนินการวิจัยตามขั้นตอน กันมาราวกับว่าเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้
ต่อไปนี้ อย่างปกติธรรมดา ดังจะได้อธิบายเป็นประเด็น
ขั้นรวบรวมข้อมูล ศึกษาเอกสาร ต่อไปนี้
และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับนิทานพื้นบ้านและ มายาคติว่าด้วยชายเป็นใหญ่
แนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แนวคิด บรรทัดฐานของสังคมเรือ่ งชายเป็นใหญ่
เรื่ อ งมายาคติ แนวคิ ด เรื่ อ งสั ญ วิ ท ยา และ มีรากเหง้ามาจากความเชือ่ ทางศาสนา ดังที่ ยศ
แนวคิดเรื่องคู่ตรงข้าม จากนั้นรวบรวมข้อมูล สันตสมบัติ (2543) ได้กล่าวถึงเรือ่ งแนวคิดชาย
นิ ท านพื้ น บ้ า นล้ า นนาจากเอกสาร โดยใช้ เป็นใหญ่ว่า เกิดจากความเชื่อในเรื่องของบุญ
ข้อมูลเอกสารนิทานพื้นบ้านที่รวบรวมไว้เป็น และกฎแห่งกรรม โดยคนไทยเชื่อว่าผู้ชายมี
ลายลั ก ษณ์ อั ก ษร รวบรวมโดยสถาบั น วิ จั ย คุณลักษณะทางจิตวิญญาณบางอย่าง หรือมี
สังคมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้แก่ เอกสาร แก่นแห่งความเป็นมนุษย์ที่ท�ำให้เขามีศักยภาพ
นิทานพื้นบ้านล้านนา เล่ม 1-5 จ�ำนวน 410 ทางด้านศีลธรรม สติปัญญา และจิตวิญาณ
เรื่อง สูงกว่าผู้หญิง ซึ่งความเชื่อในอุดมการณ์ของ
ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์มายา ชายเป็ น ใหญ่ ยั ง ปรากฏผ่ า นการบวชเรี ย น
คติที่ปรากฏในนิทานพื้นบ้านล้านนา โดยใช้ เป็นพระสงฆ์ ซึ่งมีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถ
แนวคิดเรื่องมายาคติ แนวคิดเรื่องสัญวิทยา กระท�ำได้ ความเหนือกว่าของผู้ชายสะท้อน
และแนวคิ ด เรื่ อ งคู ่ ต รงข้ า ม เป็ น แนวทางใน ให้เห็นถึงรากเหง้าของความคิดพื้นฐานดั้งเดิม
การศึกษา โดยจะวิเคราะห์จากตัวบท (นิทาน) ที่ ม องว่ า เพศชายมี ค วามศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ม ากกว่ า
ผ่านการตีความจากภาษาและน�ำเสนอเรื่อง เพศหญิง
ขั้ น สรุ ป และอภิ ป รายผล สรุ ป ผล นิทานพื้นบ้านล้านนามักจะประกอบ
การศึกษาค้นคว้า อภิปรายผลการศึกษา และ สร้ า งตั ว ละครชายหญิ ง ที่ ถู ก แบ่ ง แยกด้ ว ย
ข้อเสนอแนะ มิ ติ ท างเพศอย่ า งชั ด เจน โดยตั ว ละครชาย
มั ก ถู ก ก� ำ หนดบทบาทให้ เ ป็ น ผู ้ น� ำ ครอบครั ว
ผลการศึกษา และท� ำ งานนอกบ้ า น ในขณะที่ เ พศหญิ ง
นิทานพืน้ บ้านล้านนา ก็คอื “มายาคติ” มักถูกสร้างให้เป็นช้างเท้าหลังที่อยู่แต่ในบ้าน
แบบหนึง่ อันเป็นผลผลิตจากการประกอบสร้าง โดยรั บ บทบาทหน้ า ที่ ส� ำ คั ญ คื อ การเป็ น แม่
ทางวัฒนธรรม ซึ่งภายใต้การประกอบสร้าง และเมียเท่านั้น
เนื้อหานั้นก็ได้แฝงคติความเชื่อไว้หลากหลาย จากการศึ ก ษามายาคติ ว ่ า ด้ ว ย
มิติ ได้แก่ มิติเรื่องเพศ มิติเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ “ชายเป็นใหญ่” ในนิทานพืน้ บ้านล้านนาปรากฏ
มิ ติ เ รื่ อ งการปกครอง และมิ ติ เ รื่ อ งชนชั้ น มายาคติในเรื่องชายเป็นใหญ่ที่ปรากฏเด่นชัด
พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561 91

ได้แก่ เรื่อง “ผู้ชายกับอ�ำนาจการตัดสินใจ” จากบทสนทนาข้ า งต้ น จะเห็ น ได้ ว ่ า


ซึ่งเป็นเครื่องตอกย�้ำให้เห็นถึงค่านิยมของชาว “ฆ้ อ ง” เป็ น ภาพแทนของสิ่ ง ที่ ส� ำ คั ญ ในชี วิ ต
ล้านนาที่ยกย่องให้ผู้ชายเป็นผู้น�ำครอบครัว ครอบครัว ซึ่งผู้ที่ครอบครองฆ้องถูกท�ำให้รับรู้
มีอ�ำนาจเหนือกว่าภรรยา โดยภรรยามีหน้าที่ โดยปกติวา่ จะต้องเป็นผูม้ อี ำ� นาจในการตัดสินใจ
ต้องเคารพเชือ่ ฟังและคล้อยตามสามีในทุกเรือ่ ง ถือเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นผู้น�ำอีกนัยหนึ่ง
จึงจะน�ำมาซึ่งความสุขสงบในครอบครัว และผลที่ตามมาจากการสยบยอมต่ออ�ำนาจ
ดั ง ตั ว อย่ า งนิ ท านพื้ น บ้ า นล้ า นนา ของผู้ชายคือความสุขในครอบครัว
เรื่อ ง “ฆ้ องวิเ ศษ” ที่กล่ า วถึงครอบครัว หนึ่ง ในทางตรงข้ า มหากมี ก ารต่ อ ต้ า น
ทีภ่ รรยาเคารพและเชือ่ ฟังสามีมาก เมือ่ เทวดา ขั ด ขื น และพยายามช่ ว งชิ ง อ� ำ นาจเพื่ อ ให้ ไ ด้
มาพบเห็นจึงมอบฆ้องวิเศษให้เพื่อขอในสิ่งที่ มาซึ่ ง ความเท่ า เที ย มหรื อ เหนื อ กว่ า อ� ำ นาจ
ต้องการ 3 ประการ ซึ่งนิทานเรื่องนี้แสดงมายา ของผู ้ ช าย ก็ จ ะท� ำ ให้ พ บกั บ ความหายนะ
คติเรื่อง ชายเป็นใหญ่ในฐานะผู้น�ำครอบครัว ซึง่ เป็นการตอกย�ำ้ ให้เห็นว่าอ�ำนาจของการเป็น
อ�ำนาจการตัดสินใจ ผ่านบทสนทนาของสามี ผู้น�ำครอบครัวอยู่ในมือของผู้ชาย ดังข้อความ
และภรรยา ตอนหนึ่งว่า ตอนหนึ่งในนิทาน เรื่องฆ้องวิเศษ ที่กล่าวถึง
คู่สามีภรรยาที่เห็นครอบครัวของเพื่อนมั่งคั่ง
... “สู เ ป็ น หั ว หน้ า ครอบครั ว
แล้วอยากร�่ำรวยบ้าง จึงสอบถามเพื่อนถึงวิธี
หื้อสูเป็นผู้ถือไปเต๊อะ” พอไปถึงบ้านปุ๊บปั๊บ
การที่จะได้มาซึ่งฆ้องวิเศษนั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้
ผัวก็เอาฆ้องไว้เมียก็ตักน�้ำหื้อผัวอาบ อาบน�้ำ
กลับไม่เป็นตามที่คาดหวัง เนื่องจากภรรยาต่อ
หยั ง เรี ย บร้ อ ยแล้ ว ก็ ไ ปเยี ย ะกิ น ปรุ ง อาหาร
ต้านและไม่เชื่อฟังสามี
กิ น ข้ า ว กิ น ข้ า วเรี ย บร้ อ ยแล้ ว จะผาถะนา
อะหยังตีเอาเต๊อะ เมียว่า “ข้าบ่ว่าเอาผัวว่า ...ผัวมันว่า
ผัวใคร่ได้หยังก็ว่าเอาเต๊อะ” “ข้าเป็นหัวหน้าครอบครัว จะก�๋ำ”
“ข้าขอหื้อได้ข้าวของสมบัติ เงินค�ำ ก็ลู่กันไปลู่กันมา
ช้างม้างัวควาย ไหลหลั่งเข้ามาบ้านข้าเน่อ” “เอ๊าะ จะก�ำ๋ ก็กำ�๋ ไป”
“ข้าอยากใคร่ได้เรือนหลังใหญ่โต” “ข้าจะตี” เมียมันนา เมียจะหือ้ ผัวมันตี
“ข้าบ่มไี ผดูแลหือ้ ข้า ขอคนใช้ทงั้ หลาย ก็กลัวผัวมันตีเอาแม่ญิงงามมาเป็นเมีย ผัวจะ
เกิดมาหื้อข้า” พวกนี้ก็เกิดขึ้นมาด้วยอ�ำนาจ หื้อเมียตีก็กลัวเมียมันตีเอาป้อจายหนุ่มมาเป็น
ของ ฆ้องวิเศษ ก็เกิดเป็นเศรษฐีขึ้น ผัว เถียงกันไปก็ลู่กันมา
(ฆ้องวิเศษ) ตีแหมก�ำเป็นฆ้องธรรมดา
(ฆ้องวิเศษ)
92 พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561

อาจกล่ า วโดยสรุ ป ได้ ว ่ า มายาคติ การจ�ำแนกกลุ่มทางสังคม แยกตัวเราเข้า


ว่าด้วยเรื่องชายเป็นใหญ่ ตอกย�้ำให้เห็นภาพ ในกลุ่มเรา ไม่ ใ ช่ ก ลุ ่ ม เขา บุ ค คลมี แ นวโน้ ม
ลักษณ์ของผู้ชายผ่านเรื่องเล่าที่แสดงถึงการให้ จะสร้ า งเอกลั ก ษณ์ ข องตนเองตามกลุ ่ ม
คุณค่าความเป็นชายมากกว่าความเป็นหญิง และเราเอาเอกลักษณ์ของกลุ่มมาเป็นของตน
โดยเครื่ อ งมื อ ส� ำ คั ญ ของการถ่ า ยทอด หรือ ของเรา คนอื่ น ที่ ไ ม่ มี เ อกลั ก ษณ์ นี้ ไ ม่ ใ ช่
วั ฒ นธรรมชายเป็ น ใหญ่ คื อ ระบบความคิ ด กลุม่ ของเรา และกลุม่ เราเท่านัน้ ทีม่ คี วามเหนือกว่า
ความเชื่อของคนในสังคม ที่มีบทบาทในการ (สิทธิโชค วรานุสันติกุล, 2546)
ก� ำ หนด หล่ อ หลอมการแบ่ ง หน้ า ที่ อ� ำ นาจ ในการศึ ก ษานิ ท านพื้ น บ้ า นล้ า นนา
และสถานภาพ จนท�ำให้คนทั่วไปมองเห็นว่า พบว่ า มีตั ว ละครที่เ ป็ น กลุ ่ ม ชาติพั น ธุ ์ ป รากฏ
เป็นเรื่องปกติธรรมดาจนกลายเป็นมายาคติ อยู่จ�ำนวนมาก ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าตัวละคร
ที่คนในสังคมยอมรับและยึดถือปฏิบัติสืบต่อ ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่นอกเหนือจากกลุ่มที่
กันมา  นิ ย ามตนเองว่ า คนเมื อ ง (ไตยวน) มั ก ถู ก
มายาคติว่าด้วยอคติทางชาติพันธุ์ ประกอบสร้างให้เป็นคนที่มีความแตกต่างและ
ในสั ง คมล้ า นนาประกอบด้ ว ยผู ้ ค น ด้อยกว่ากลุ่มของตน ทั้งในเรื่องของสติปัญญา
หลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความแตกต่างกัน ไหวพริบ ภาพลักษณ์ และอุปนิสยั โดยมายาคติ
ทางด้านวัฒนธรรมและประเพณี อรุณรัตน์ ที่ปรากฏเด่นชัดที่สุด ได้แก่ “เรื่องความโง่
วิเชียรเขียว (2543) ได้กล่าวถึง “กลุ่มชาติพันธุ์ เขลาเบาปัญญา” โดยชาวล้านนาจะมองว่า
อื่น ” ในบทความเรื่อ ง “คนเมือ ง” ในต� ำ นาน ตนเองนั้ น มี ค วามเหนื อ กว่ า ด้ า นสติ ป ั ญ ญา
ประวัติศาสตร์ ว่าในเอกสารใบลานโดยเฉพาะ และมีความเฉลียวฉลาดกว่า สามารถชักจูง
ประเภทต�ำนานได้บันทึกถึงกลุ่มชาติพันธุ์อื่น และล่อหลอกให้กลุม่ ชาติพนั ธุอ์ นื่ เชือ่ และคล้อย
เช่น ลัวะ กุลา เงีย้ ว ไทลือ้ ไทเขิน ม่าน (พม่า) ตามในทิศทางใดก็ได้
เม็ ง (มอญ) ฯลฯ ซึ่ ง ในการบั น ทึ ก หรื อ การ ดั ง ปรากฏในนิ ท านพื้ น บ้ า นล้ า นนา
กล่า วถึง กลุ ่ม ชาติพันธุ์ อื่นเหล่ า นั้น ผู้ บันทึก เรือ่ ง “ลัวะกับไต” ทีก่ ล่าวถึงเหตุการณ์ทค่ี นลัวะ
จะบันทึกโดยแสดงถึงการรับรู้ความสัมพันธ์กบั กับคนไต ทะเลาะกันเรื่องที่ว่าอวัยวะเพศของ
กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ว่าคนเหล่านี้เป็น “คนอื่น” ใครใหญ่กว่ากัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ท้าทายกัน
เนือ่ งจากความหลากหลายของกลุม่ ชน ผู้ใหญ่บ้านจึงจัดให้มีการน�ำมาเปรียบเทียบกัน
ที่ ม าอยู ่ ร วมกั น จึ ง ท� ำ ให้ เ กิ ด การแบ่ ง แยก แต่ด้วยความฉลาดและสติปัญญาที่เหนือกว่า
ระหว่างเรากับเขา เกิดความล�ำเอียงเข้าข้าง จึงท�ำให้ฝ่ายไตเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งนิทานเรื่องนี้
พวกเดียวกัน และอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง แสดงมายาคติเรื่องอคติทางชาติพันธุ์ ว่ากลุ่ม
ได้โดยอัตโนมัติ สอดคล้องกับทฤษฎีเกี่ยวกับ ชาติพันธุ์อื่นที่นอกเหนือกลุ่มของตนมักโง่เขลา
เอกลั ก ษณ์ ท างสั ง คม (Social Identity) เบาปั ญ ญา ผ่ า นการด� ำ เนิ น เรื่ อ งของนิ ท าน
ที่ อ ธิ บ ายว่ า เมื่ อ คนเราเข้ า กลุ ่ ม แล้ ว จะเกิ ด ตอนหนึ่งว่า
พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561 93

... ลัวะกับไตพากันเข้าไปเสาะหาปลา ...ยังมีหมูแ่ ม้วหมูห่ นึง่ ส�ำหรับหมูแ่ ม้ว


ในห้วย หมู่นี้ อาศัยอยู่ตามห้วยตามดอน บ่ใช่อยู่
“ปลากั้ ง ควยลั ว ะบะ ปลากั้ ง ควย อย่าง เฮา นี้นา
ลัวะบะ” ลัวะนั้นเกี้ยด มาบอกหื้อแก่บ้าน อยู ่ ม าวั น หนึ่ ง มี ป ้ อ จายคนหนึ่ ง
“มันเป็นจะใดควยลัวะควยไต” เป็นคนธรรมดาอย่างเฮาเนียะ ป้อจายคนนั้น
“เอ้า ท�ำหนังสือทัณฑ์บนกันไว้ เอามา เคยหันหมู่แม้วนี้ฟังธรรม ติดกัณฑ์เทศน์ตวยก็
เปิดผ่อ ถ้าว่ามันเหมือนกันนั้น หื้อลัวะไหมไต คิดใคร่ได้เงิน
เต็มที่ กันว่ามันบ่เหมือนกันหื้อไตไหมลัวะ” “เออ แม้ ว หมู ่ นี้ท ่ า จะบ่ ฉ ลาดพอ
ไอ้ไตมันหลวก มันเอาผ้าป่านหนิ้ว ข้าเนียะจะปลอมเป็นพระดีกว่า” หมู่แม้วว่า
ผ้ า มั ด แอวแล้ ว ก็ ห น็ อ กควยมั น ขึ้ น ตั ง บน “วั น นี้ มี ตุ ๊ เ จ้ า ใหม่ ม า คงจะมี เ รื่ อ ง
เอาปลายมันขึ้นตังบน ใหม่ ๆ มาเทศหื้อฟัง”
“เอ้าลัวะ เปิด” ลัวะเปิดขึ้น ควยก็ลง แล้วก็ฟั่งเตรียมกัณฑ์เทศน์กัน ช่วย
ตังลุ่มเสี้ยงแล้ว แถมก�ำหนึ่ง กั น ออกคนละเล็ ก ละน้ อ ยใส่ กั ณ ฑ์ เ ทศน์ หื้ อ
“ไตเปิด” ไตเปิดปลายมันขึ้นตังบน ตุ๊เจ้าตนนัน้
“โอ๊ะ บ่เหมือนกันหั้นละโล่” ไตไหม นิทานเรือ่ งนีส้ อนหือ้ รูว้ า่ การเชือ่ คน
หัวแถมละก�ำนั้น มันหลวก มันบ่ทันคนไต หรืองมงายเชื่อคนง่ายโดยบ่มีเหตุผล ก็ได้
เฮานี่ รับความเสียหายอย่างหมู่แม้วเนียะ
(ลัวะกับไต) (แม้วฟังธรรม)

จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้วา่ “ลัวะ” จากเรื่อง “แม้วฟังธรรม” ก็เป็นอีก


ถูกไตหลอกให้เชือ่ โดยทีล่ วั ะก็เชือ่ อย่างสนิทใจ ตั ว อย่ า งหนึ่ ง ที่ ส นั บ สนุ น มายาคติ เ กี่ ย วกั บ
และไม่มีการทักท้วงใด ๆ เกิดขึ้น แสดงให้เห็น กลุ ่ ม ชาติ พั น ธุ ์ ที่ ว ่ า มี ค วามโง่ เ ขลาไม่ ทั น คน
ว่านิทานพื้นบ้านล้านนาเรื่อง “ลัวะกับไต” นี้ นอกจากนี้ ยั ง พบว่ า ในนิ ท านพื้น บ้ า นล้ า นนา
พยายามจะหยิบยื่นความเป็นอื่นให้แก่ลัวะว่ามี มีการใช้สรรพนามเรียกกลุ่ม ชาติพันธุ์อื่นว่า
ความแตกต่างจากไตในเรื่องของไหวพริบและ “แม้ว” ซึ่งเป็นค�ำเรียกที่ไม่สุภาพในคนกลุ่มม้ง
สติปัญญาที่ด้อยกว่าคนไต (คนเมือง) เพราะชาวม้งส่วนใหญ่ไม่ชอบให้เรียกว่า “แม้ว”
นอกจากนี้ยังมีการผลิตซ�้ำมายาคติ เพราะถือว่าเป็นการดูถกู กลุม่ ชาติพนั ธุข์ องตน
เกีย่ วกับกลุม่ ชาติพนั ธุอ์ นื่ ในเรือ่ งของความโง่เขลา กล่ า วโดยสรุ ป แล้ ว ชาวล้ า นนามี
เบาปัญญา ผ่านนิทานเรื่อง “แม้วฟังธรรม” ความคิดความเชือ่ อยูก่ อ่ นว่ากลุม่ ชาติพนั ธุอ์ นื่ ๆ
ดังนี้ เป็ น เพี ย งชนกลุ ่ ม น้ อ ย ดั ง นั้ น การประกอบ
สร้างให้กลุ่มชนดังกล่าวด้อยกว่าตนจึงเป็นวิธี
94 พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561

การกดทับขับเบียดให้กลุ่มชาติพันธุ์อื่นกลาย นิ ท านพื้ น บ้ า นล้ า นนาได้ น� ำ เสนอ


เป็น “คนอื่น” ที่มีความไม่เท่าเทียมกับคนล้าน ประเด็ น ที่ น ่ า สนใจเกี่ ย วกั บ มายาคติ ใ นเรื่ อ ง
นา ดังแสดงออกผ่านนิทานพื้นบ้านที่ฉายภาพ “กฎหมายและอ�ำนาจในการตัดสินความ”
ของกลุม่ ชาติพนั ธุอ์ นื่ ในลักษณะคนมีสติปญ ั ญา ซึ่งเป็นประเด็นที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
ที่ด้อยกว่า ซึ่งการผลิตซ�้ำภาพลักษณ์ดังกล่าว กฎหมายคืออ�ำนาจสูงสุดในการควบคุมสังคม
ท�ำให้เกิดภาพทรงจ�ำเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์อ่ืน และอ�ำนาจในการตัดสินดังกล่าวมักตกอยูใ่ นมือ
ว่ามีลักษณะเช่นนี้ไปโดยปริยาย ของผู้ปกครอง และผู้ทเี่ ป็นตัวแทนจากรัฐ อาทิ
มายาคติว่าด้วยการปกครอง นายอ�ำเภอ ปลัดอ�ำเภอ ต�ำรวจ และเจ้าเมือง
สั ง คมล้ า นนาสมั ย โบราณมีก ษั ต ริย ์ เป็นต้น ซึง่ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าอาญาแผ่นดิน
ถื อ อ� ำ นาจสู ง สุ ด ในการปกครองบ้ า นเมื อ ง เจ้ า เมื อ ง ก� ำ นั น และนายอ� ำ เภอ ต่ า งก็ เ ป็ น
ซึง่ ปฐมกษัตริยพ์ ฒ ั นามาจากฐานะของผูน้ ำ� ชุมชน สัญญะของความเที่ยงตรงยุติธรรม มีอ�ำนาจ
ดั ง นั้ น ประชาชนจึ ง ให้ ค วามเคารพนั บ ถื อ เบ็ ด เสร็ จ เด็ ด ขาดในการก� ำ หนดบทลงโทษ
กษั ต ริ ย ์ แ บบญาติ มิ ต ร สถาบั น กษั ต ริ ย ์ ข อง ทั้งนี้เพื่อการควบคุมวิถีชีวิตของคนในสังคมให้
ล้านนาจึงพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยถูก ด�ำเนินไปด้วยความสงบสุข
หล่อหลอมจากความเป็นท้องถิ่น โดยล้านนา นิทานเรือ่ ง “สามสหาย” ได้แสดงให้เห็น
มี ค ติ ค วามเชื่ อ เกี่ ย วกั บ สถาบั น กษั ต ริ ย ์ ประเด็นเรื่องอ�ำนาจการตัดสินของเจ้าเมือง
ว่ากษัตริย์คือผู้สั่งสมบุญบารมีสูงสุด มีอ�ำนาจ ทีส่ ามารถชีค้ วามเป็นความตายให้กบั ประชาชน
สูงสุดในอาณาจักร จึงเป็นทีเ่ คารพเชือ่ ถือและ ได้ และประชาชนต่างต้องน้อมรับในค�ำตัดสิน
ย�ำเกรงของประชาชนจนเกิดเป็นจารีตประเพณี นั้นอย่างไม่มขี ้อโต้แย้ง ดังตัวอย่างตอนหนึ่งว่า
ยึดถือสืบต่อกันมา มีสามสหายคือ ขี้เหล้า ขี้ฝิ่น ขี้กัญชา
พัชรี โชติถาวรรัตน์ (2528) กล่าวถึง พญาเจ้าเมืองเปิ้นหันบ่ดี กินฝิ่นกินยานี่เป็น
อ�ำนาจในการปกครองของกษัตริย์ล้านนาว่า ของมึนเมาก็เลยฮ้องมาถามปัญหาดีกว่า ถ้า
เป็ น บุ ค คลที่ มี อ� ำ นาจสู ง สุ ด ในการปกครอง ตอบได้ก็จะพ้นผิด ถ้าตอบบ่ได้ก็จะตัดคอ...
บ้านเมือง มีสถานะเป็น “เจ้าแผ่นดิน” มีอำ� นาจ (สามสหาย)
ออกกฎหมายเพื่ อ ควบคุ ม สั ง คมให้ ด� ำ รงอยู ่ นอกจากนี้ ในนิ ท านเรื่ อ ง “หมู หิ น ”
อย่างเป็นระเบียบ นอกจากนี้กลุ่มผู้ปกครอง ยั ง ปรากฎบทบาทของเจ้ า เมื อ งในฐานะผู ้ มี
อีกกลุม่ หนึง่ ทีม่ ฐี านะและอ�ำนาจรองจากกษัตริย ์ อ�ำนาจในการตัดสินความถูกผิด ดังตัวอย่าง
คือขุนนางหรือข้าราชการเป็นผูช้ ว่ ยเหลือกษัตริย์ ต่อไปนี้
ปกครองและบริ ห ารบ้ า นเมื อ งตามความรู ้
ความสามารถและต�ำแหน่งที่ได้รับแต่งตัง้
พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561 95

...ยังมีเจ้าเมืองเมืองหนึง่ มีเมียสองคน ...ปู่คนหนึ่ง มันเป็นคนขายเหล้า


เมี ย หลวงมี ลู ก ชายสองคน ส่ ว นเมี ย น้ อ ย เหล้ามียังเรือนสามขวด มีต�ำรวจอยากกินข้าว
มีลูกหญิงหนึ่งคน เมียน้อยอิจฉาลูกเมียหลวง แว่เข้าบ้านมันหั้น ก็บ่ใช่ไปยับมัน ก็หุงข้าวหุง
มากเพราะเป็นผู้ชาย และจะได้สืบราชสมบัติ หยังยังพืน้ กะล่างหัน้ ... ปู่นมี้ นั ก็คดิ ว่าเยียะจะใด
แทนพ่อ นางจึงบอกหื้อเจ้าเมืองว่า เมียหลวง บ่ หื้ อ ต� ำ รวจฮู ้ เมื่ อ หั ว ที จั ก ตอกแล้ ว ก็ ขึ้ น ไป
มีชู้ เจ้าเมืองจึงสั่งหื้อทหารเอาเมียหลวงกับ ขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วลักเข้าไปในเรือน ไปก็ถอกกิน
ลูกชายสองคนไปลอยแพเสีย... ใคร่หื้อมันเสี้ยงเหีย...
(หมูหิน) (คนกลัวเปิ้นยับเหล้า)

นิทานเรือ่ ง “แก้บน” เป็นอีกตัวอย่างหนึง่ ประเด็ น เรื่ อ งมายาคติ ว ่ า ด้ ว ยการ
ที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าอาญาแผ่นดิน ก�ำนัน ปกครองนี ้ สะท้อนให้เห็นถึงการประกอบสร้าง
และนายอ�ำเภอ ต่างก็เป็นสัญญะของความเทีย่ ง อ� ำ นาจที่ มี ค ติ ค วามเชื่ อ ว่ า อ� ำ นาจมั ก จะถู ก
ตรงยุตธิ รรม ดังตัวอย่างตอนหนึ่งว่า ก�ำหนดมาจากเบื้องบน เพื่อใช้บังคับควบคุม
...หมู ่ บ ้ า นหนึ่ ง มีแ ม่ ฮ ้ า งเป็ น แม่ ข อง คนข้างล่าง ซึ่งคนข้างล่างส่วนใหญ่ก็จ�ำต้อง
ลู ก สาว ลู ก สาวก� ำ ลั ง แต่ ง งานใหม่ มี ค วาย ยอมรั บ ในอ� ำ นาจและการตั ด สิน นั้น โดยไม่ มี
เลี้ยงไว้หลายตัว พอแต่งได้บ่เมินบ่นานขโมยมา ข้ อ โต้ แ ย้ ง โดยเฉพาะอ� ำ นาจที่ ม าพร้ อ มกั บ
ลักควาย พอมาลักควายเปิ้นก็ตีกะหล็กปกป่าว ผู ้ ใ ช้ อ� ำ นาจที่ อ ยู ่ ใ นต� ำ แหน่ ง สู ง สุ ด ในสั ง คม
กัน หื้อกันไปวกขโมยมา หื้อลงโทษตามอาญา อย่างตัวละคร “เจ้าเมือง” ที่สามารถสั่งเป็นสั่ง
แผ่นดิน ตังปุ๊นเปิ้นก็ไปแจ้งหื้อพ่อแคว่น แจ้ง ตายประชาชนได้ ก็ยิ่งสร้างวัฒนธรรมการใช้
หื้อนายอ�ำเภอไป... อ�ำนาจเบ็ดเสร็จตัดสินความได้โดยชอบธรรม
(แก้บน) มายาคติว่าด้วยเรื่องชนชั้น
กระแสแห่งการพัฒนาน�ำมาซึ่งการ
นอกจากนี้ นิทาน “คนกลัวเปิน้ ยับเหล้า” เปลีย่ นแปลงในสังคมล้านนาในช่วง พ.ศ. 2317-
ก็ ไ ด้ แ สดงให้ เ ห็ น ถึ ง บทบาทของต� ำ รวจและ พ.ศ. 2476 กล่าวคือมีการเปลีย่ นแปลงจากยุค
ปลัดอ�ำเภอ ทีต่ ่างก็เป็นตัวแทนจากรัฐและเป็น จารีตไปเป็นยุคใหม่ สรัสวดี อ๋องสกุล (2546)
สัญญะของความยุติธรรม ด้วยภาพลักษณ์อัน กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ว่ามีการรวม
น่าเกรงขามของผู้รักษากฎหมาย ได้กลายเป็น อ� ำ นาจจากรั ฐ สมบู ร ณาญาสิ ท ธิ ร าชย์ เ ข้ า สู ่
สิ่งที่ก�ำหนดภาพจ�ำให้กับผู้พบเห็น โดยเฉพาะ ส่วนกลาง โดยสถาปนาระบบราชการแบบใหม่
ผู้กระท�ำความผิด ที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัว พร้อมกับการยกเลิกชนชั้นมูลนายหรือเจ้านาย
ในลักษณะตีตนไปก่อนไข้ ดังตัวอย่างที่ว่า ท้องถิ่น ยกเลิกไพร่และทาส ซึ่งเป็นโครงสร้าง
เดิมของรัฐจารีต ส่วนเจ้าหลวงและเจ้านาย
ท้ อ งถิ่ น ก็ ยั ง ได้ รั บ การยกย่ อ งให้ มี ฐ านะเป็ น
96 พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561

ชนชั้นสูง นับได้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวได้เกิด กั บ ยาจก เพื่ อ แสดงให้ เ ห็ น ว่ า ทั้ ง สองชนชั้ น


ความเปลี่ ย นแปลงทางเศรษฐกิ จ การเมือ ง ต่างก็ มีข ้อ ได้เ ปรีย บเสีย เปรีย บ ซึ่ง ส่วนใหญ่
และสังคม มั ก จะลงเอยด้ ว ยการชี้ ใ ห้ เ ห็ น ข้ อ ได้ เ ปรี ย บ
การค้าภายในล้านนาในช่วงการเข้ามา ของการเป็ น ชนชั้ น สู ง (เศรษฐี ) ว่ า สามารถ
ของเศรษฐกิจทุนนิยม ได้เปลี่ยนแปลงการค้า จัดการและเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ ได้มากกว่า
แบบเดิมคือแบบพอยังชีพ เป็นการแลกเปลี่ยน การเป็ น ชนชั้ น ล่ า ง (ยาจก) ดั ง รายละเอี ย ด
สิ่งของระหว่างหมู่บ้านกับเมือง หรือระหว่าง ต่อไปนี้
เมืองกับเมืองภายในล้านนา แต่เมื่อเกิดการ นิทานเรื่อง “พ่อค้าง่าว” ได้แสดงให้
ขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเข้ามาของระบบ เห็นว่าการก้าวขึ้นไปอยู่ในต�ำแหน่งชนชั้นสูง
เศรษฐกิ จ แบบทุ น นิ ย ม (พ.ศ. 2427-2464) เป็นสิ่งที่ใคร ๆ ต่างก็มีความต้องการ แม้แต่
ก่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเกิด ทุคตะยาจกที่มีเพียงความคิด แต่ขาดแคลน
การแข่งขันทางธุรกิจต่าง ๆ เช่น การท�ำป่าไม้ ทุนทรัพย์ก็ยังใฝ่ฝันถึงการมีฐานะความเป็นอยู่
โดยบริษัทป่าไม้ของอังกกฤษ มีการขยายตัว ที่ดีขึ้น ดังนั้น การใช้ความคิดที่มีติดตัวบวกกับ
ทางการค้าทั้งด้านพม่าและกรุงเทพฯ บทบาท ความฉลาดแกมโกงเพียงเล็กน้อยก็สามารถ
ทางเศรษฐกิจของชาวจีนที่เพิ่มขึ้น น�ำเอาทรัพย์สินของมหาเศรษฐีมาต่อยอดให้
การเปลีย่ นแปลงของเศรษฐกิจดังกล่าว งอกเงยมากยิ่งขึ้น น�ำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง
เป็นเหตุท�ำให้เกิดชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นชนชั้นใหม่ ชีวิตอย่างมากมหาศาล ดังตัวอย่าง
ในสังคมล้านนา ส่วนเจ้านายและบุตรหลาน
...ไอ่ทุคตะ มันอยู่ใกล้บ้านมหาเศรษฐี
ตัองปรับตัวเพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงทาง
เศรษฐีเปิน้ อยูห่ อผาสาท มันแท้ ๆ อยูต่ บู หน้อยล่อ
สังคม โดยการศึกษาหาความรู้เพื่อรับราชการ
มันลุกมามันผ่อปู่มหาเศรษฐีซ่วยหน้าที่ปล่อง
หรื อ ท� ำ ธุ ร กิ จ ซึ่ ง จะช่ ว ยปรั บ สถานภาพของ
มันวิดลงจาน ตบขนาบ กั๋ง
ตนเองให้ดขี ึ้น
“ก�ำกึ๊ดฮามีเป็นหมื่น ติบ่มีเงินบ่า”
จะเห็นได้วา่ อ�ำนาจของเงินและอ�ำนาจ
“...ก�ำกึด๊ มีเป็นหมืน่ ว่าบ่มเี งิน กอนมึง
ของความรู้เริ่มเข้ามามีบทบาทในสังคมล้านนา
มีเงินมึงจะกึ๊ดอะหยัง มึงจะสร้างอะหยัง มึงจะ
อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคนล้านนายังคง
ขายอะหยัง”
รักษาจารีตเดิม คือเคารพเจ้านาย พระและ
“ขะแนมมีเงินเต๊อะ” มันว่า “มันตึงมี
ผู้อาวุโส แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความส�ำคัญ
ก�ำกึ๊ด”
และยกย่ อ งคนที่ อ� ำ นาจของเงิ น และความรู ้
เศรษฐีวา่ “มึงจะเอาเท่าใด กูจะหือ้ มึง”
ดั ง ปรากฏมายาคติ ใ นนิ ท านพื้ น บ้ า นล้ า นนา
“ขอเงินปัน ค�ำฮ้อย”
ที่ มั ก น� ำ เสนอเรื่ อ งของชนชั้ น ในลั ก ษณะการ
...เงิ น นี้ ม าแผวมั น ก็ ซื้ อ ข้ า วสารจน
เปรี ย บเที ย บคู ่ ต รงข้ า ม โดยเฉพาะชนชั้ น ที่
เสี้ ย งตึ ง ปั น กิ น ข้ า วงายแล้ ว ก็ ห าบไปเซาะ
ถูกแบ่งด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจ อาทิ เศรษฐี
พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561 97

แลกแกลบ...ค�ำละไว้หั้น เอาแหมละ ตบขนาบ ในนิทานเรื่อง “ลูกเขยคนทุกข์” ก็ได้


แหมละ... ตอกย�้ำให้เห็นถึงความได้เปรียบของชนชั้นสูง
“มัน ก�ำกึ๊ดมีนา เงินบ่กุ้ม” อย่างตัวละครลูกเขย ที่ตอนแรกพ่อตาเศรษฐี
“เอ๊าะ กูจะหื้อมึงนา เงินแหมปันค�ำ ได้ตง้ั ข้อรังเกียจ เมือ่ ทราบความจริงภายหลังว่า
แหมฮ้อย” ลูกเขยคนนี้ไม่ได้ยากจน เศรษฐีก็มีท่าทีเปลี่ยน
เอาเงินปันมาก็เอามาซื้อผ้าใหม่หมด ไปเป็นต้อนรับขับสู้ลูกเขยอย่างดี และให้เข้า
ตึงปัน วันพูกก็หาบไปเซาะแลกผ้าปุด... มาอยู่ในบ้านจนกลายเป็นครอบครัวที่มีฐานะ
“เสี้ยงแล้ว” มันว่า... ร�่ำรวยยิ่งขึ้น พร้อมอยู่กินกันอย่างมีความสุข
เปิ ้ น หื้ อ แหมแหล่ เงิ น ปั น ค� ำ ฮ้ อ ย ดังตัวอย่าง
เอามาแผว เอามาซื้ อ บะหิ น หมดก� ำ นั้ น ...
...เศรษฐีนนั้ ก็ใคร่ได้ลกู เขย ก็ปา่ วเสนา
ค�ำมันหยุดไว้... แกลบมันก็ได้แล้วล่อ...ซื้อหลัว
อามาตย์ลูกบ้านหลานเมืองมาหื้อลูกสาวเลือก
มาไว้ในสวน... มันมีคอ้ นปอนด์หน้อยเหียอัน มัน
ก็มาหมดก็บ่เปิงใจไผสักคน พ่อเศรษฐีก็ถาม
บุบค�ำจนย่อยหมดเท่าเมล็ดข้าวสาร แล้วก็เอา
คนใช้ว่ายังมีแถมก่อ...
ค� ำ นั้ น แหมะบะหิ น ฉี ก ผ้ า ปุ ด เอาพั น บะหิ น
เขาก็ บ อกว่ า มี หั้ น คนหนึ่ ง มั น ทุ ก ข์
มั น เอากองไว้ ใ นสวนมั น หั้ น ...จนเสี้ ย งค� ำ
มันบ่มา มันบ่มีผ้าใส่มันอายหื้อเปิ้น พ่อเศรษฐี
จนเสี้ยงบะหิน แล้วก็ชาวบ้านชาวจองก็บ่หื้อ
ก็ว่าไปเอามาเต๊อะ เขาก็ไปเอามาจนได้ นางนั้น
ลูกหลานเข้าไปใกล้ล่อ ว่ามันเป็นผีบ้า... ทีนี้
หันก็ว่าจะเอาคนเนียะ เศรษฐีก็เสียใจว่าลูกเอา
มันเสี้ยงหมดละบ๋อ ก็เอาหลัวเข้าใส่ เอาแกลบ
คนทุกข์ก็เสียใจขนาด
เข้าถมเหมือนเปิน้ จะเผาอะหยังนีน่ า เหมือนเผา
“...พ่อจะแบ่งเงินแบ่งค�ำหื้อลูกไปอยู่
ดินกี่ แล้วมันฮู้เรื่องละว่า เมืองใต้ปุ๊น...บะเดี่ยว
ตวยกันเหีย”...เอาเงินเอาค�ำไปอยู่กันสองคน
นี่น่อ แล้วเปิ้นสั่งมันมาว่า ถ้าค�ำเมืองเหนือมี
ที่ในกระท่อม เงินที่พ่อหื้อมาก็เสี้ยงไปหมด...
ก็เอามาแลกเงินเมืองใต้นี้เต๊อะ...ช่างน�้ำหนัก
ก�ำนั้นเหลือชิ้นสุดท้าย เหลือทอง เมียมันก็ว่า
ใส่กัน เงินหนักเท่าอั้น ก็ค�ำหนักเท่าอั้น...ทีนี้
“พี่เอาทองนี้ไปขายเต๊อะ...” ชายหนุ่ม
ก็เผาแหล่ เผาบะหิน น�้ำค�ำนั้นมันออกมาอาบ
นั้นก็ว่า “ข้างขวดแท้ ๆ บ่อใช่ทองลอ...ข้างขวด
บะหินนั้นหมด...
ที่พื้นกระท่อมนี้เป่อเต๋อหยัง” เมียมันก็ว่า
ทีนกี้ ไ็ ปหาพ่อค้าสะเปา แปดล�ำ มันเอา
“ป๊ะ ไปผ่อ” ก็เป็นทองค�ำหมด เป็น
สีล่ ำ� ไปต่างบะหินอาบค�ำนัน้ ลงไป...ฮอดต่างเงิน
ทองค�ำ ก็ไปบอกหือ้ พ่อมัน ทองค�ำบ้านมันมีเป็น
ขึ้นมาก็สี่ล�ำนะ มันเอาเงินสี่ล�ำ หื้อพ่อค้าสะเปา
กึ่งพืน้ เรือน เอาเกวียนไปลากเอา บ่รู้กี่ล�ำบ่รู้จัก
เหียสี่ล�ำ...มันมีเหลือปู่เศรษฐี...
เสี้ยง พ่อมันก็ออกไปผ่อเป็นทองค�ำแท้ ๆ ก็สั่ง
(พ่อค้าง่าว)
หื้อคนใช้เอาเกวียนไปลากเอา เศรษฐีนั้นก็ดีอก
ดีใจ ก็มีการเลี้ยงต้อนรับลูกเขย
98 พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561

ลูกเขยนั้นบ่เป็นคนทุกข์สักก�ำ มีเงิน อนึ่ง เพื่อท�ำความเข้าใจกระบวนการ


มีค�ำเต็มพื้นเรือน ตั้งอั้นมาก็ได้อยู่บ้านเศรษฐี ท�ำงานของมายาคติจากตัวอย่างข้างต้นให้ชดั เจน
เลยได้เป็นมหาเศรษฐี ลวดมีชื่อเสียงตึงผัวตึง ยิ่ ง ขึ้ น จ� ำ เป็ น ต้ อ งขยายกรอบการวิ เ คราะห์
เมีย อยู่กินตวยกันแต่นนั้ มาจนมีความสุข ด้ ว ยวิ ธี ก ารวิ เ คราะห์ คู ่ ต รงข้ า ม (Binary
(ลูกเขยคนทุกข์) Opposition) ของเลวี่-เสตราส์ (Levi-Strauss,
1978 อ้ า งถึ ง ใน ปฐม หงษ์ สุ ว รรณ, 2551,
นอกจากประเด็นการจัดล�ำดับชนชั้น
น. 36-37) ซึ่งวิธีการดังกล่าวมุ่งพิจารณาถึง
ผ่านความรวย / ความจน ประเด็นทางการศึกษา
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครในลักษณะทีเ่ ป็น
ก็ เ ป็ น อี ก หนึ่ ง ประเด็ น ที่ น ่ า สนใจส� ำ หรั บ
คู่ขัดแย้งกัน อาทิ เรื่อง “ฆ้องวิเศษ” ที่แสดง
การวั ด ระดั บ ชนชั้ น ดั ง ตั ว อย่ า งนิ ท านเรื่ อ ง
ให้เ ห็นถึง อ� ำนาจที่แตกต่างระหว่างชายและ
“พ่ อ ฟั ง ค� ำ ลู ก ” ที่ แ สดงให้ เ ห็ น ผ่ า นตั ว ละคร
หญิ ง นิ ท านเรื่ อ ง “ลั ว ะกั บ ไต” ที่ แ สดงถึ ง
ลู ก ที่ จ ะไปรั บ ปริ ญ ญาในกรุ ง เทพฯ ก� ำ ลั ง
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครล้านนา (เรา)
เป็นกังวลกับการพาพ่อซึ่งเป็นชาวบ้านนอก
กั บ ตั ว ละครชาติ พั น ธุ ์ อื่ น (เขา) ในลั ก ษณะ
ไปร่วมงานดังกล่าว ด้วยเกรงว่าพ่อจะท�ำตัว
ที่ เ ป็ น ปมขั ด แย้ ง กั น นิ ท านเรื่ อ ง “หมู หิ น ”
ไม่ถกู เมือ่ เข้าสูเ่ มืองหลวง จนในทีส่ ดุ ก็กลายเป็น
ที่ แ สดงให้ เ ห็ น คู ่ ค วามขั ด แย้ ง ระหว่ า งความ
ความน่าสงสารปนกับความตลก ดังตัวอย่าง
มี อ� ำ นาจกั บ ความด้ อ ยอ� ำ นาจ และนิ ท าน
...ลูกบ่าวของลุงแก้ว เปิน้ ก็ได้ปริญญา เรื่อง “พ่อค้าง่าว” ที่แสดงให้เห็นถึงคู่ตรงข้าม
ปอดโทะ จะได้ไปฮับกรุงเทพฯ ปุ้น พ่อก็เป็นชาว ร ะ ห ว ่ า ง ค ว า ม ร�่ ำ ร ว ย กั บ ค ว า ม ย า ก จ น
บ้านนอกเหีย เยียะใดดี จะบ่เอาพ่อไปเน้อ ก็บม่ ฮี ปู ... อันหมายถึงคู่ตรงข้ามระหว่างเศรษฐีกับยาจก
ก็เลยจ�ำเป็นเอาพ่อไป ไปเฝิกเอา แม่มันก็ว่า เป็นต้น
“ไปเฝิกเอาเน่อไอ่หน้อยเหย...ลูกหื้อ การประกอบสร้างตัวละครแบบคู่ตรง
เยียะหยังก็เยียะตวยหั้น” ข้ามในนิทานพื้นบ้านล้านนาเป็นการสร้างขึ้น
...อันนี้ก็ไปเข้าร้านอาหารเนาะ ลูกมัน เพื่อขับเน้นตัวละครให้มีความเด่นชัด โดยใช้
ก็กินเข้า ลูกมันเอาช้อนเยียะใดมันก็เยียะอั้น วิธกี ารเปรียบเทียบกับตัวละครอืน่ เช่น ตัวละคร
เฮียนกู้อย่างอี้ก่า...ทีนี้ก็สั่งขนมลอดช่องมากิน ชายหญิ ง ตั ว ละครล้ า นนากั บ ชาติ พั น ธุ ์ อื่ น
พ่อมันก็เฮียนลูกมัน ลูกมันหีบมันก็หีบ ลูกมัน ตั ว ละครเศรษฐี กั บ ยาจก และตั ว ละครที่ มี
สวะช้อนมันก็สวะช้อน ลูกมันก็ใคร่หัวพ่อมัน อ�ำนาจกับด้อยอ�ำนาจ เป็นต้น เพื่อตอกย�้ำ
เสียลอดช่องสดออกฮูดัง พ่อมันก็ฮเิ อาสดออก ความคิดในเรื่องของความแตกต่างในด้านเพศ
“ไอ่หน้อยเหยมันยาก อันนี้อี่พ่อเยียะ กลุ ่ ม ชาติ พั น ธุ ์ การปกครองและชนชั้ น ซึ่ ง
บ่าได้” สะท้อนให้เห็นเป็นมายาคติในบริบทสังคมและ
ลูกมันก็ใคร่หัวเป็นน�ำ้ หูนำ�้ ตา... วัฒนธรรมล้านนา
(พ่อฟังค�ำลูก)
พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561 99

สรุปและอภิปรายผลการวิจัย เรื่ อ งราวของมายาคติ แ บบโต้ ก ลั บ


การศึกษามายาคติในนิทานพื้นบ้าน ปรากฏชั ด เจนในมายาคติ เ กี่ ย วกั บ ชนชั้ น
ล้ า นนาปรากฏมายาคติ 4 ประการ ได้ แ ก่ โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง ชนชั้ น เศรษฐี ที่ เ คยมี
1) มายาคติว่าด้วยเรื่องชายเป็นใหญ่ ที่ตอกย�้ำ ความเชื่ อ กั น ว่ า ชนชั้ น ดั ง กล่ า วเป็ น ชนชั้ น
ให้เห็นถึงค่านิยมของชาวล้านนาเรื่องยกย่อง ที่มีอ�ำนาจในการเข้าถึงทรัพยากร ตลอดจน
ให้ ผู ้ ช ายเป็ น ผู ้ น� ำ ครอบครั ว และมี อ� ำ นาจ มีความได้เปรียบมากกว่าชนชั้นล่าง แต่ในทาง
เหนือกว่าภรรยา 2) มายาคติว่าด้วยเรื่องอคติ กลั บ กั น การผลิ ต มายาคติ แ บบโต้ ก ลั บ ก็ ไ ด้
ทางชาติพันธุ์ ที่แสดงให้เห็นถึงดังละครกลุ่ม สะท้อนให้เห็นมุมมองอีกด้านหนึ่งของเศรษฐี
ชาติ พั น ธุ ์ มั ก ถู ก ประกอบสร้ า งให้ เ ป็ น คนที่ มี กล่าวคือ ได้แสดงให้เห็นถึงความละโมบโลภมาก
ความแตกต่ า งและด้ อ ยกว่ า กลุ ่ ม ของตน (มหาวิ ท ยาลั ย เชี ย งใหม่ สถาบั น วิ จั ย สั ง คม,
ทัง้ ในเรือ่ งของสติปญ ั ญา ไหวพริบ ภาพลักษณ์ 2530ก, น. 46) และความโหดเหี้ย มอ� ำ มหิต
และอุ ป นิ สั ย 3) มายาคติ ว ่ า ด้ ว ยเรื่ อ งการ (มหาวิ ท ยาลั ย เชี ย งใหม่ สถาบั น วิ จั ย สั ง คม,
ปกครอง ที่ ส ะท้ อ นให้ เ ห็ น อย่ า งชั ด เจนว่ า 2530ก, น. 55) อี ก ทั้ ง ยั ง ได้ แ สดงให้ เ ห็ น ว่ า
กฎหมายคืออ�ำนาจสูงสุดในการควบคุมสังคม การเป็นชนชั้นเศรษฐีท่ีมั่งคั่ง ไม่มีค่าเทียบเท่า
และอ�ำนาจในการตัดสินดังกล่าวมักตกอยูใ่ นมือ กับการมีสติปัญญาที่ดี (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ของผูป้ กครองทีเ่ ป็นตัวแทนจากรัฐ ตัวอย่างเช่น สถาบันวิจัยสังคม, 2530ข, น. 6) เป็นต้น
นายอ�ำเภอ ปลัดอ�ำเภอ ต�ำรวจ และเจ้าเมือง นอกจากนี้ เรือ่ งพระก็เป็นอีกเรือ่ งหนึง่
เป็ น ต้ น 4) มายาคติ ว ่ า ด้ ว ยเรื่ อ งชนชั้ น ที่ มี ที่น่าสนใจ โดยปกติในนิทานจะประกอบสร้าง
การน�ำเสนอประเด็นว่าด้วยเรื่องการก�ำหนด เรื่ อ งราวของพระในฐานะผู ้ น� ำ ของศาสนา
ชนชั้นผ่านปัจจัยทางเศรษฐกิจและการศึกษา ที่ มี บ ทบาทเป็ น ผู ้ น� ำ ของสั ง คมอยู ่ ใ นตั ว
นอกจากนี้การศึกษาเรื่อง “มายาคติ แต่ขณะเดียวกันก็มกี ารสร้างมายาคติแบบโต้กลับ
ในนิ ท านพื้ น บ้ า นล้ า นนา” ยั ง แสดงให้ เ ห็ น ชนชั้นพระ โดยประกอบสร้างให้พระบางรูป
อี ก เช่ น กั น ว่ า นิ ท านพื้ น บ้ า นล้ า นนามี ห น้ า ที่ เป็นผู้ที่ไม่ประพฤติตนอยู่ในกรอบของศีลธรรม
ประกอบสร้างความหมายเพือ่ ครอบง�ำความคิด อันดี ตัวอย่างเช่น พระที่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทาง
ความเชือ่ ในรูปแบบมายาคติ ประเด็นทีน่ า่ สนใจ เพศ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันวิจยั สังคม,
ประการหนึ่งก็คือ นิทานพื้นบ้านล้านนามิได้ 2527, น. 24) หรือพระที่ยังคงมีความละโมบ
แสดงให้เห็นเพียงมายาคติเท่านั้น ยังพบว่า โลภมาก (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันวิจัย
ตัวบทนิทานพื้นบ้านล้านนาได้มีการประกอบ สังคม, 2527, น. 96) เป็นต้น
สร้างมายาคติในลักษณะดังกล่าวขึ้นมาเพื่อ
โต้ตอบเช่นกัน
100 พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561

การประกอบสร้ า งมายาคติ ช นชั้ น ข้อเสนอแนะ


ของคนทีม่ กี ารศึกษา ได้สะท้อนให้เห็นอยูเ่ สมอว่า จากการศึ ก ษาครั้ ง นี้ ผู ้ วิ จั ย พบว่ า มี
คนทีม่ รี ะดับการศึกษาสูงมักจะเป็นชนชัน้ น�ำของ ประเด็นน่าสนใจที่สามารถน�ำไปศึกษาค้นคว้า
สังคม ยิ่งมีการศึกษามากก็ยิ่งมีความได้เปรียบ ต่อไป ดังนี้
ในโอกาสต่าง ๆ มากไปด้วย แต่ขณะเดียวกัน 1. ใช้แนวคิดเรื่องมายาคติศึกษาในตัว
ก็ มี ก ารประกอบสร้ า งมายาคติ แ บบโต้ ก ลั บ บทอื่น ๆ เช่น วรรณกรรม เพลง ภาพยนตร์
ในประเด็ น ดั ง กล่ า วด้ ว ยเช่ น กั น โดยแสดง ในยุ ค สมั ย ต่ า ง ๆ เพื่ อ แสดงให้ เ ห็ น พลวั ต
ผ่านตัวละครที่ไปเรียนวิชาถึงเมืองตักกสิลา ของมายาคติ
แต่ทว่าเมื่อกลับมายังบ้านเมืองก็ไม่สามารถ 2. ศึ ก ษาวิ เ คราะห์ ม ายาคติ โ ต้ ก ลั บ
เอาวิชาที่ได้เรียนมาไปใช้เพื่อการเอาตัวรอด เพื่ อ แสดงให้ เ ห็ น ถึ ง การช่ ว งชิ ง อ� ำ นาจการ
ได้ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันวิจัยสังคม, เป็นผู้ที่เหนือกว่า ในแง่มุมต่าง ๆ
2528, น. 90) เป็นต้น

เอกสารอ้างอิง
ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร. (2545). สัญวิทยา, โครงสร้างนิยม, หลังโครงสร้างนิยมกับการศึกษา
รัฐศาสตร์. กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์วภิ าษา.
ทยากร แซ่แต้. (2551). มายาคติทางวัฒนธรรมที่ปรากฏในละครเกาหลีและการสร้างประโยชน์
ทางธุรกิจ. (วิทยานิพนธ์นเิ ทศศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์).
นพพร ประชากุล. (2555). ค�ำน�ำเสนอบทแปล. ใน วรรณพิมล อังคศิริสรรพ (แปล), มายาคติ,
กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ.
ปฐม หงษ์สุวรรณ. (2551). นานมาแล้ว มีเรื่องเล่า นิทาน ต�ำนาน ชีวิต. กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์
แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ประคอง นิมมานเหมินท์. (2551). นิทานพืน้ บ้านศึกษา. (พิมพ์ครัง้ ที่ 3). กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่
ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พัชรี โชติถาวรรัตน์. (2528). แนวความคิดทางการเมืองของลานนาไทยสมัยราชวงศ์มังราย
(พ.ศ.1839 -2101): วิเคราะห์จากเอกสารใบลานภาคเหนือ. (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร
มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร).
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันวิจัยสังคม. (2527). นิทานพื้นบ้านล้านนา : เอกสารข้อมูล เล่ม 1.
เชียงใหม่: ฝ่ายวิจัยล้านนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันวิจัยสังคม. (2528). นิทานพื้นบ้านล้านนา : เอกสารข้อมูล เล่ม 2.
เชียงใหม่: ฝ่ายวิจัยล้านนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
พิฆเนศวร์สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2561 101

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันวิจัยสังคม. (2530ก). นิทานพื้นบ้านล้านนา : เอกสารข้อมูล เล่ม 3.


เชียงใหม่: ฝ่ายวิจัยล้านนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันวิจัยสังคม. (2530ข). นิทานพื้นบ้านล้านนา : เอกสารข้อมูล เล่ม 4.
เชียงใหม่: ฝ่ายวิจัยล้านนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันวิจัยสังคม. (2532). นิทานพื้นบ้านล้านนา : เอกสารข้อมูล เล่ม 5.
เชียงใหม่: ฝ่ายวิจัยล้านนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ยศ สันตสมบัต.ิ (2543). หลักช้าง. กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
สรัสวดี อ๋องสกุล. (2546). ประวัติศาสตร์ล้านนา. (พิมพ์ครั้งที่ 11). กรุงเทพฯ: อมรินทร์.
สิทธิโชค วรานุสันติกุล. (2546). จิตวิทยาสังคม: ทฤษฎีและการประยุกต์ (Spcial Psychology:
Theorise and Application). กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น.
อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว. (2543). คนเมือง ในต�ำนานประวัติศาสตร์ ในต�ำนานพื้นเมืองเชียงใหม่.
กรุงเทพฯ: ตรัสวิน.
Barthes, R. (1973). Myth today. In his Mythologies. pp. 117-174. Translated by Annette Lavers.
Londod: Paladin.
Dijk, T.A. (1997). The study of discourse. in Van Dijk’ T.A. (ed.). Discourse as Structure and
Process. London: SAGE.

You might also like