Professional Documents
Culture Documents
ฮารูน ยะห์ยา - ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน
ฮารูน ยะห์ยา - ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน
ส่วนที่เป็ นสีชมพูเข้ม
ส่วนที่เป็ นสีน้ าํ ตาล แสดงถึงพื้นที่ที่ร้อน
อ่อน แสดงถึงส่วนที่ ที่สุด
เย็น
เครื่ องตรวจจับภาพบนดาวเทียม Cobe ซึ่งองค์ การนาซ่ าส่ งขึน้ สู่อวกาศในปี 1992 ได้ จบั ภาพร่ องรอยที่เหลืออยู่ของ
“บิ๊กแบง” การค้ นพบครั ง้ นีถ้ อื เป็ นหลักฐานในการอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ได้ ว่าจักรวาลนัน้ ถูกสร้ างขึน้ จากความว่ าง
เปล่ า
อีกตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับการสร้ างชันฟ
้ ้ าปรากฏอยู่ใน ซูเราะฮ์ อัลอัมบิยาอฺ อายะฮ์ที่ 30 ความว่า
“และบรรดาผู้ปฏิเสธศรั ทธาเหล่ านัน้ ไม่ เห็นดอกหรือว่ าแท้ จริงชัน้ ฟ้าทัง้ หลายและแผ่ นดินนัน้
แต่ ก่อนนีร้ วมติดเป็ นผืนเดียวกันแล้ วเราได้ แยกมันทัง้ สองออกจากกัน
เราได้ ทาํ ให้ ทุกสิ่งมีชีวติ จากนํา้ ดังนัน้ พวกเขายังไม่ ศรัทธาอีกหรือ”
(อัลกุรอาน 21:30)
ความจริงทังหลายที
้ ่ปรากฏอยู่ในอัลกุรอานนัน้ เพิ่งถูกค้ นพบโดยการศึกษาสังเกตทางดาราศาสตร์ในสมัย
ของเรานี ้เอง จากการคํานวณของ นักดาราศาสตร์ ดวงอาทิตย์จะเดินทางด้ วยความเร็วสูงถึง 720,000 กิโลเมตร/
ชัว่ โมง ในทิศทางของดาวเวก้ า ที่วงโคจรเฉพาะตัว เรียกว่าโซล่าร์ เอเพ็กซ์ (Solar Apex) นัน่ หมายความว่า ดวง
อาทิตย์จะเดินทางประมาณวันละ 17,280,000 กิโลเมตร และที่เดินทางไปพร้ อมดวงอาทิตย์ด้วยนัน้ มีทงดาว
ั้
เคราะห์ตา่ งๆและดาวบริวารในขอบเขตแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ ซึ่งโคจรไปในทิศทางเดียวกัน ยิ่งไปกว่านัน้
ดวงดาวทัว่ ทังจั
้ กรวาล ก็มีลกั ษณะการเดินทางที่ถกู กําหนดไว้ แล้ วเช่นเดียวกัน
ความจริงที่วา่ ทังจั
้ กรวาลเต็มไปด้ วยเส้ นทางและวงโคจรทีม่ ลี กั ษณะคล้ ายกันเช่นนี ้ ได้ ปรากฏอยู่ในอัลกุร-
อานซูเราะฮ์ อัซซาริยาต ว่า
“ขอยืนยันด้ วยฟากฟ้าที่มีช่องการโคจร อย่ างมากมายยิ่ง”
(อัลกุรอาน 51:7)
“ และเราได้ ทาํ ให้ ชนั ้ ฟ้าเป็ นหลังคา ถูกรักษาไว้ ไม่ ให้ หล่ นลงมา
และพวกเขาก็ยังหันหลังให้ สัญญาณต่ างๆของมัน ”
(อัลกุรอาน 21:32)
ซูเราะฮ์ อัลฟุศศิลตั :
“ดังนัน้ พระองค์ ทรงสร้ างมันสําเร็จเป็ นชัน้ ฟ้าทัง้ เจ็ดในระยะเวลา 2 วัน
และทรงกําหนดในทุกชัน้ ฟ้าซึ่งหน้ าที่ของมัน ”
(อัลกุรอาน 41:12)
นักวิทยาศาสตร์พบว่า บรรยากาศ
ประกอบด้ วยชันต่ ้ างๆ ซึ่งมีความแตกต่าง
กันทางกายภาพ ในเรื่องความดัน และ
ชนิดของก๊ าซที่เป็ นองค์ประกอบ โดยชัน้
โทรโพสเฟี ยร์ (TROPOSPHERE) เป็ นชัน้
ที่อยู่ใกล้ พื ้นโลกมากที่สดุ และมีมวลถึง
90 เปอร์เซ็นต์ของบรรยากาศทังหมด ้ ชัน้
ที่อยู่ถดั ขึ ้นไปคือ ชันสตาร์
้ โทสเฟี ยร์
(STARTOSPHERE) และชันโอโซนซึ ้ ่ง
เป็ นส่วนหนึ่งของชันสตาร์ ้ โทสเฟี ยร์ มี
หน้ าที่ดดู ซับรังสีอลั ตร้ าไวโอเลต ชันที ้ ่อยู่
ถัดขึ ้นไปอีกคือ ชันเมโสสเฟี
้ ยร์
(MESOSPHERE) ถัดไปคือ ชันเทอร์ ้ โมส
เฟี ยร์ (THERMOSPHERE) ซึ่งมีก๊าซแตก
ตัวเป็ นประจุเกิดเป็ นอีกชันหนึ ้ ่งอยู่ภายใน
เรี ยกว่า ชันไอโอโนสเฟี
้ ยร์
(IONOSPHERE) ส่วนชันที ้ ่อยู่นอกสุดมี
ขอบเขตประมาณ 480 ถึง 960 กิโลเมตร
เหนือพื ้นโลก คือชันเอกโซสเฟี
้ ยร์
(EXOSPHERE) 2
ภาพตัดของภูเขาแสดงให้ เห็นถึงลักษณะ
เหมือนหมุดฝั งลึกลงไปในพืน้ ดิน (Anatomy
of the Earth , Cailleux , p 220)
ภาพแสดงว่ าภูเขามีลักษณะเหมือนหมุด
จากการที่รากฝั งลึกลงไปในพืน้ ดิน ( Earth
Science ,Tarbuck and Lutgens , p 158 )
“เรามิได้ ทาํ ให้ แผ่ นดินเป็ นพืน้ ราบดอกหรือ และมิได้ ให้ เทือกเขาเป็ นหลักตรึงไว้ ดอกหรือ”
(อัลกุรอาน 78:6–7)
“และเจ้ าจะเห็นขุนเขาทัง้ หลาย เจ้ าจะคิดว่ ามันติดแน่ นอยู่กับที่ แต่ มันล่ องลอยไป
เช่ นการล่ องลอยของเมฆ นั่นคือการงานของอัลลอฮ์ ซ่งึ พระองค์ ผ้ ทู าํ ทุกสิ่งทุกอย่ างเรียบร้ อย
แท้ จริงพระองค์ เป็ นผู้ทรงตระหนักในสิ่งที่พวกเจ้ ากระทํา”
(อัลกุรอาน 27:88)
การเคลื่อนไหวของภูเขาเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกชันนอกที
้ อ่ ยูเ่ หนือเปลือกโลกชันในที
้ ่หนาแน่น
กว่า
ในช่วงต้ นศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันที่ชื่อ อัลเฟรด เ วเกเนอร์ (Alfred Wegener) เสนอ
สมมุติฐานเป็ นครัง้ แรกในประวัติศาสตร์วา่ ทวีปต่างๆ นัน้ แต่เดิม เป็ นผืนเดียวกัน ต่อมาได้ เคลื่อนตัวแยกออกจาก
กัน นักธรณีวิทยาเพิ่งเข้ าใจและยอมรับ ทฤษฎีนี ้ในทศวรรษ 1980 ซึ่งเป็ นเวลากว่า 50 ปี หลังจากที่เวเกเนอร์
เสียชีวิตไปแล้ ว เวเกเนอร์อธิบายไว้ ในบทความที่ตีพิมพ์ ในปี 1915 ว่า เมื่อประมาณ 500 ล้ านปี ก่อน พื ้นโลก
ปั จจุบนั ซึ่งเป็ นทวีปต่างๆ ยังเป็ นผืนเดียวกัน อยู่บริเวณขัวโลกใต้
้ เรียกว่า ปั นเจีย (Pangaea)
ประมาณ 180 ล้ านปี ก่อน ปั นเจียแยกออกเป็ นสองส่วนและ เคลื่อนออกจากกัน ส่วนหนึ่งเรี ยกว่า กอนด์วา
นา (Gondwana) ประกอบด้ วยทวีปแอฟริกา ออสเตรเลีย แอนตาร์ กติกา และอินเดีย และอีกส่วนหนึ่งเรียกว่า
ลอเรเซีย (Laurasia) ประกอบด้ วยทวีปยุโรป อเมริกาเหนือและเอเชีย (ยกเว้ นอินเดีย) อีก 150 ล้ านปี ต่อมา กอนด์
วานาและลอเรเซียต่างก็แยกออกเป็ นส่วนย่อยๆ
ทวีปต่างๆที่เกิดจากการแยกของปั นเจียนัน้ ปั จจุบนั ยังคงเคลื่อนตัวอยู่หลายเซ็นติเมตรต่อปี ซึ่งทําให้ สดั ส่วน
ของผืนดินกับผืนนํ ้าบนโลกนี ้เปลี่ยนไปด้ วย
ต้ นศตวรรษที่ 20 มีการศึกษาทางธรณีวิทยาและพบว่าการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกเป็ นดังนี ้
เปลือกโลกชันนอกกั
้ บส่วนบนสุดของเปลือกโลกชันใน
้ ซึ่งหนาประมาณ 100 กิโลเมตร ถูกแบ่ง ออกเป็ นส่วน
เรี ยกว่า แผ่นทวีป (Plate) ประกอบด้ วย 6 แผ่นทวีปใหญ่ และหลายแผ่นทวีปเล็ก ตามทฤษฎี การแปรโครงสร้ าง
แผ่นทวีปเหล่านี ้จะเคลื่อนตัวจนทําให้ ทวีปและพื ้นมหาสมุทรเคลื่อนที่ไปด้ วย การเคลื่อนตัวของทวีปวัดได้
ประมาณ 1-5 เซนติเมตรต่อปี การเคลื่อนตัวของแผ่นทวีปนันทํ ้ าให้ ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์ของโลกเปลี่ยนแปลงไป
อย่างช้ าๆ เช่น มหาสมุทร แอตแลนติค จะกว้ างออกเล็กน้ อยในแต่ละปี 6
ประเด็นสําคัญมากที่จะกล่าวถึงในที่นี ้ก็คือ อัลลอฮ์ได้ ตรัสเรื่ องการเคลื่อนไหวของภูเขานี ้ไว้ ในอายะฮ์กรุ อาน
แล้ ว ในปั จจุบนั นักวิทยาศาสตร์ สมัยใหม่ได้ ใช้ คําว่า การเลื่อนของทวีป (Continental Drift) เพื่อแสดงถึงการ
เคลื่อนไหวเหล่านัน้ 7
เป็ นที่แน่ชดั แล้ วว่านี่คือ ความมหัศจรรย์ประการหนึ่งของอัลกุรอาน ที่ได้ เปิ ดเผยข้ อเท็จจริงที่วิทยาศาสตร์
เพิ่งค้ นพบ
แม้ วา่ บทสรุปโดยทัว่ ไปที่กล่าวถึงเรื่ องของ คําว่า”คู”่ หรือ “สองสิ่ง”มักจะหมายถึง ชาย-หญิ ง, เพศผู้-เพศเมีย
แต่โองการที่กล่าวว่า “จากสิ่งที่พวกเขาไม่ร้ ู” มีความหมายที่มากกว่านัน้ และในปั จจุบนั หนึ่งในความหมาย
ดังกล่าว ก็เป็ นที่เข้ าใจแล้ ว
นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ที่ชื่อ พอล ดิรัก (Paul Dirac) ได้ รับรางวัลโนเบล สาขาฟิ สิกส์ ในปี 1933 จาก
การเสนอสมมติฐานว่าสิ่งต่างๆ ถูกสร้ างมาเป็ นคูๆ่ การค้ นพบครัง้ นี ้เรียกว่า ปาริเต (Parite´) ซึ่งหมายถึง สิ่งต่างๆ
จะมีสิ่งที่มีคณุ สมบัตติ รงกันข้ ามเป็ นคูก่ นั ตัวอย่างเช่น อิเล็กตรอนซึ่งมีประจุลบ มีสิ่งที่ตรงกันข้ าม คือ โปรตอน ที่มี
ประจุบวก ข้ อเท็จจริ งดังกล่าวนี ้มีระบุไว้ ในแหล่งข้ อมูลทางวิทยาศาสตร์วา่
เวลาเป็ นเรื่ องที่ขนึ ้ อยู่กับเงื่อนไขของผู้สังเกตทัง้ สิน้ ขณะที่ช่วงเวลาหนึ่งดูเหมือนว่ าจะยาวนาน สําหรั บคนคนหนึ่ง แต่
กลับสัน้ สําหรั บอีกคนหนึ่ง เพื่อความเข้ าใจที่ตรงกัน เราจึงต้ องมีส่ งิ ที่บอกเวลา เช่ น นาฬิกา หรื อปฏิทิน เราจะไม่
สามารถตัดสินเกี่ยวกับเวลาได้ อย่ างเที่ยงตรงเลย ถ้ าปราศจากสองสิ่งนี ้
“อัลลอฮ์ ทรงเป็ นผู้ส่งลมทัง้ หลาย แล้ วมันได้ รวมตัวกันเป็ นเมฆ แล้ วพระองค์ ทรงให้ มัน
แผ่ กระจายไปตามท้ องฟ้า เท่ าที่พระองค์ ทรงประสงค์ และพระองค์ ทรงทําให้ มันเป็ นกลุ่มก้ อน
แล้ วเจ้ าจะเห็นฝนตกลงมาจากท่ ามกลางมัน เมื่อมันได้ ตกลงมายังผู้ท่ พ ี ระองค์ ทรงประสงค์
จากปวงบ่ าวของพระองค์ เมื่อนัน้ พวกเขาก็ดีใจ”
(อัลกุรอาน 30:48)
“และเราได้ ส่งลมผสมเกสร* แล้ วเราได้ ให้ นาํ ้ ลงมาจากฟากฟ้า แล้ วเราได้ ให้ พวกเจ้ าดื่มมัน…”
(อัลกุรอาน 15:22)
ส่ วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของมนุษย์
“ มิใช่ เช่ นนัน้ ถ้ าเขายังไม่ หยุดยัง้ เราจะจิกเขาที่ขม่ อมอย่ างแน่ นอน ขม่ อมที่โกหก ที่ประพฤติช่ วั ”
(อัลกุรอาน 96:15-16)
“เรานัน้ ได้ สร้ างพวกขึน้ มา ไฉนเล่ าพวกเจ้ าจึงไม่ เชื่อ (ในวันฟื ้ นคืนชีพ) พวกเจ้ าเห็นสิ่งที่พวกเจ้ าหลั่ง
ออกมา (อสุจ)ิ แล้ วมิใช่ หรื อ พวกเจ้ าสร้ างมันขึน้ มา หรือว่ าเราเป็ นผู้สร้ าง”
อัลกุรอาน (56:57-59)
หมายเหตุ ในอัลกุรอานฉบับ ภาษาไทย แปลว่า “...ทรงให้ การสืบตระกูลของมนุษย์ มาจากนํ ้า (อสุจ)ิ อันไร้ ค่า ”...
ซึง่ ไม่ปรากฏความหมายของคําว่า – ﺳﻠﻠﺔ-ใน - ﻣﻦ ﺳﻠﻠﺔ ﻣﻦ ﻣﺎء ﻣﻬﻴﻦ-
คําว่า - ﺳﻠﻠﺔ-ในพจนานุกรม อาหรับ -ไทย แปลว่า ส่วนที่ดีที่สดุ
ดังนั ้น ในที่นี ้จึงเพิม่ ข้ อความใหม่นี ้มาด้ วย เป็ น “...ทรงให้ การสืบตระกูลของมนุษย์ มาจากส่วนที่ดีที่สดุ จากนํ ้า (อสุจ)ิ อันไร้ ค่า”...
ซึง่ ตรงกับอัลกุรอานฉบับ ภาษาอังกฤษ ฉบับ The Glorious Qur’an, Translation and commentary, A Yusuf Ali 2nd Edition, 1977, หน้ า 1094
หมายเหตุ
คําว่า - - ﻋﻠﻖมีหลายความหมายคือ ก้ อนเลือด ตัวดูดเลือด ปลิง และ สิง่ ที่แขวนอยู่
ในบทนี ้ คํา ﻋﻠﻖ- – น่าจะหมายถึงสิง่ ที่แขวนอยู่ หรื เกาะติดอยู่ติดแน่น
ซึง่ ตรงกับอัลกุรอานฉบับ ภาษาอังกฤษ ฉบับ The Qur’an, Arabic Text with Corresponding English Meaning, English revised & edited by
Saheeh International, 1977
“แล้ วเราได้ ทาํ ให้ เชือ้ อสุจกิ ลายเป็ นก้ อนเลือด แล้ วเราได้ ทาํ ให้ ก้อนเลือดกลายเป็ นก้ อนเนือ้ แล้ วเราได้
ทําให้ ก้อนเนือ้ เป็ นกระดูก แล้ วเราหุ้มกระดูกนัน้ ด้ วยเนือ้ แล้ วเราได้ เป่ าวิญญาณให้ เขากลายเป็ นอีก
รู ปร่ างหนึ่ง ดังนัน้ อัลลอฮ์ ทรงจําเริญยิ่ง ผู้ทรงเลิศแห่ งปวงผู้สร้ าง”
(อัลกุรอาน 23:14)
“...พระองค์ ทรงสร้ างพวกเจ้ าในครรภ์ ของมารดาพวกเจ้ า เป็ นการบังเกิดครั ง้ แล้ วครั ง้ เล่ าอยู่ในความมืด
สามชัน้ นั่นคืออัลลอฮ์ พระเจ้ าของพวกเจ้ า พระอํานาจเป็ นสิทธิของพระองค์ ไม่ มีพระเจ้ าอื่นใดที่เที่ยงแท้
นอกจากพระองค์ แล้ วทําไมพวกเจ้ าจึงผินหน้ าไปทางอื่น?”
(อัลกุรอาน 39:6)
ความนํา
“โดยแน่ นอนอัลลอฮ์ ได้ ทรงทําให้ ความฝั นนัน้ สมจริงแก่ รอซู้ลของพระองค์ ด้ วยความจริงแน่ นอน
พวกเจ้ าจะได้ เข้ าสู่มัสยิดฮะรอม อย่ างปลอดภัยหากอัลลอฮ์ ทรงประสงค์ โดย(บางคน)
โกนผมของพวกเจ้ า และ (อีกบางคน) ตัดผม พวกเจ้ าอย่ าได้ หวาดกลัว เพราะอัลลอฮ์ ทรงรอบรู้
สิ่งที่พวกเจ้ าไม่ ร้ ู ดังนัน้ พระองค์ จงึ ได้ ทรงกําหนดชัยชนะอื่นจากนัน้ ซึ่งชัยชนะอันใกล้ น”ี ้
(อัลกุรอาน 48:27)
ชัยชนะของชาวไบเซนไทน์
ซูเราะฮ์ อัรรูม
“อะลิฟ ลาม มีม พวกโรมันถูกพิชติ แล้ ว ในดินแดนอันใกล้ นี ้
แต่ หลังจากการปราชัยของพวกเขาแล้ วพวกเขาจะได้ รับชัยชนะ ในเวลาไม่ ก่ ีปีต่ อมา
พระบัญชาเป็ นสิทธิของอัลลอฮ์ ทัง้ ก่ อนและหลัง (ชัยชนะ) และวันนัน้ บรรดาผู้ศรัทธาจะดีใจ”
(อัลกุรอาน 30:1-4)
หมายเหตุ
อัลกุรอานฉบับ ภาษาไทย แปลว่ า “...ดินแดนอันใกล้ นี.้ ..” แต่ ความหมายในบทนี ้ จึงน่ าจะหมายถึง “ดินแดนตํ่าสุด”
ทัง้ นีค้ วามหมายของคําว่ า คําว่ า – ﺍﺩﻧﺎ- ในพจนานุกรม อาหรั บ-ไทย แปลว่ า ใกล้
แต่ ในพจนานุกรม อาหรั บ-มลายู ยังแปลได้ ว่า yang lebih hina ซึ่งหมายถึง ที่ซ่ งึ ตํ่ากว่ า
ด้ านบนเป็ นภาพถ่ ายดาวเทียมบริ เวณทะเลเดดซี ซึ่งระดับความลึกสามารถวัดได้ โดยใช้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ เท่ านัน้ การ
วัดดังกล่ าวทําให้ พบว่ า เดดซี คือ “ดินแดนที่ต่ าํ ที่สุดบนพืน้ โลก”
กล่าวโดยสรุป การปรากฏชื่อ ฮามาน ในจารึกของชาวอียิปต์โบราณนัน้ มิได้ เพียงแต่ ทําให้ คํา กล่าวอ้ าง ที่
ฝ่ ายตรงข้ ามกับอัลกุรอานที่สรรค์แต่งขึ ้นมานันหมดความหมาย
้ แต่กลับสนับสนุน ยืนยันถึงความจริงอีกครัง้ ว่า อัลกุ
รอานนันมาจากพระผู
้ ้ เป็ นเจ้ า ในแง่ความมหัศจรรย์ อัลกุรอานได้ ถ่ายทอดให้ เรารู้ถึงข้ อมูลทางประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่
ผู้ใดสามารถอธิบาย หรือเข้ าใจมาก่อนเลยในช่วงเวลาของท่านศาสดามูฮมั มัด (ซล.)
“และกษัตริย์ตรั สว่ า จงนําเขามาหาฉันสิ ฉันจะแต่ งตัง้ เขาให้ เป็ นผู้ใกล้ ชดิ ของฉัน
เมื่อยูซุฟได้ สนทนากับพระองค์ แล้ ว พระองค์ ตรัสว่ า
แท้ จริงท่ านอยู่ต่อหน้ าเรา เป็ นผู้มีตําแหน่ งสูงเป็ นที่ไว้ วางใจ”
(อัลกุรอาน 12:54)
ชนชาวสะบะอฺและอุทกภัยอะริม
แคว้ นสะบะอฺ (ปั จจุบนั อยู่ในประเทศเยเมน - ผู้แปล) เป็ นหนึ่งในสี่เมืองที่มีวิวฒ
ั นาการก้ าวหน้ ามากที่สดุ ในแถบอาร
เบียตอนใต้ แหล่งข้ อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชาวสะบะอฺ กล่าวว่าชุมชนแห่งนี ้มีวิถีชีวิตเกี่ยวพันกับการค้ าขาย
เป็ นอย่างมาก คล้ ายกับชาวฟี นีเซีย (Pheonicia) ชาวสะบะอฺได้ รับการยอมรับว่าเป็ นผู้ที่มีความเจริญก้ าวหน้ าสูง
ที่สดุ ในประวัติศาสตร์ ในหลักจารึกของผู้ปกครองแคว้ นสะบะอฺ มีการใช้ คําชันสู ้ งอย่างคําว่า “ปฏิสงั ขรณ์” “อุทิศ”
และ “สถาปนา” บ่อยครัง้ เขื่อนมาริ บ (Marib Dam) เป็ นหนึ่งในสิ่งก่อสร้ างที่สําคัญที่สดุ ของชาวสะบะอฺ และยังเป็ น
หลักฐานที่สําคัญที่สดุ ที่แสดงถึงความก้ าวหน้ าด้ านเทคโนโลยีของชาวสะบะอฺอีกด้ วย แคว้ นสะบะอฺมีกองทหารที่
แข็งแกร่งที่สดุ ในภูมิภาคนี ้ มีการวางนโยบายแผ่ขยายอาณาจักรของตนเองไว้ อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถทําได้ เพราะมี
กองทหารที่เข้ มแข็ง และด้ วยอารยธรรมที่ก้าวหน้ าและกองทหารที่เข้ มแข็งนี ้เอง ทําให้ ชาวสะบะอฺเป็ นหนึ่งใน
“มหาอํานาจสูงสุด” ของภูมิภาคในยุคนัน้
เขื่อนแห่งมาริบนี ้ มีความสูง 16 เมตร กว้ าง 60 เมตร และยาวถึง 620 เมตร จากการคํานวณพบว่า พื ้นที่ชลประทาน
ทังหมดที
้ ่ได้ รับประโยชน์จากเขื่อนแห่งนี ้ มีมากถึง 9,600 เฮคเตอร์ ซึ่งแบ่งออกเป็ นบริเวณทุ่งทางตอนใต้ 5,300 เฮค
เตอร์ ส่วนที่เหลือเป็ นบริ เวณทุ่งทางตอนเหนือ โดยมีการอ้ างถึงทุ่งทังสองแห่
้ งไว้ ในหลักจารึกของชาวสะบะอฺ41ว่า “มา
ริบและทุ่งทังสอง”
้ ในอัลกุรอานได้ กล่าวถึง “สวนทังสองแห่
้ งทางขวาและทางซ้ าย” เป็ นการชี ้ถึงสวนที่สวยงามและไร่
องุ่นที่มีอยู่ในทุ่งทังสองแห่
้ งนี ้
ผลจากการมีเขื่อนและระบบชลประทาน ทําให้ ดินแดนแห่งนี ้เป็ นที่ร้ ูจกั กันเป็ นอย่างดีวา่ เป็ นดินแดนที่มีระบบ
ชลประทานดีที่สดุ และอุดมสมบูรณ์ที่สดุ ในประเทศเยเมน นาย เจ. โฮลวี่ (J. Holevy) ชาวฝรั่งเศส และนายเกลเซอร์
(Glaser) ชาวออสเตรีย ได้ พบข้ อพิสจู น์จากหลักฐานเอกสารต่างๆว่า เขื่อนมาริบแห่งนี ้มีมาตังแต่ ้ สมัยโบราณ ใน
เอกสารซึ่งเขียนด้ วยภาษา ไฮเมอร์ (Himer) ซึ่งเป็ นภาษาท้ องถิ่น กล่าวว่า เขื่อนแห่งนี ้ทําให้ อาณาบริเวณดังกล่าว
อุดมสมบูรณ์เป็ นอย่างมาก
“จากการใช้ ข้อความว่า ไซลัลอะริม นัน้ คําว่า “อะริม” มีรากศัพท์มาจากคําว่า “อะริมีน” เป็ นภาษาท้ องถิ่นทางตอน
ใต้ ของคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งหมายถึงเขื่อน หรื อผนัง ในซากปรักหักพังใต้ พื ้นดินในอุโมงค์ที่ขดุ ขึ ้นในประเทศเยเมน มี
การใช้ คํานี ้ในความหมายเดียวกันนี ้หลายครัง้ เช่นในหลักจารึกที่สร้ างขึ ้นโดยกษัตริย์อบั รอฮะห์(Ebraha) ราชวงศ์
ฮาเบช (Habesh) แห่งประเทศเยเมน ภายหลังการซ่อมแซมเขื่อนใหญ่แห่งมาริบ ในปี ค.ศ. 542 และ 543 คํานี ้ถูกใช้
หมายถึง เขื่อน (ผนัง) หลายครัง้ ด้ วยกัน ดังนัน้ ข้ อความ “ไซลัลอะริ ม” จึงหมายถึง อุทกภัยนํ ้าท่วมที่เกิดขึ ้นหลังจาก
การพังถล่มของเขื่อน
นักโบราณคดีชาวคริสเตียน ชื่อ เวอร์เนอร์ เคลเลอร์ (Werner Keller) ผู้เขียนหนังสือชื่อ “The Holy Book Was
Right” ยอมรับว่า เหตุการณ์อทุ กภัยแห่งอะริ มนันเกิ
้ ดขึ ้นจริงตามที่ได้ บรรยายไว้ ในอัลกุรอาน เขายังเขียนยืนยันไว้ อีก
ว่าเขื่อนในลักษณะดังกล่าวนันมี
้ อยู่จริ ง และการล่มสลายของประเทศที่เกิดจากการพังทลายของเขื่อนนันเป็ ้ น
ั ้ นเรื่องจริง43
หลักฐานว่า เรื่องราวในอัลกุรอานที่กล่าวถึงประชาชาติในสวนที่อดุ มสมบูรณ์นนเป็
"และพวกท่ านจงรําลึกขณะที่พระองค์ ได้ ทรงให้ พวกท่ านเป็ นผู้สืบช่ วงแทนมา หลังจากชาวอ๊ าด และได้ ทรง
ให้ พวกท่ านตัง้ หลักแหล่ งอยู่ในแผ่ นดินส่ วนนัน้ โดยยึดเอาจากที่ราบของมันเป็ นวัง และสกัดภูเขาเป็ นบ้ าน
พวกท่ านพึงรําลึกถึงความกรุ ณาของอัลลอฮ์ เถิด และจงอย่ าก่ อกวนในแผ่ นดินในฐานะผู้บ่อนทําลาย "
(ซูเราะห์ อัลอะรอฟ: 74)
ทังหมดที
้ ่เราได้ รับรู้มาตังแต่
้ ต้นนัน้ แสดงให้ เราได้ เห็น ความจริง ข้ อหนึ่งที่ชดั เจนว่า อัลกุรอานนันเป็
้ นคัมภีร์
เพียงเล่มเดียวที่ ข้ อมูลความรู้ทงหมดั้ สามารถพิสจู น์ได้ วา่ เป็ นความจริง ไม่วา่ จะเป็ นข้ อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์
หรือเรื่องรา วเกี่ยวกับ อนาคตที่ไม่มีผ้ ใู ดรู้ได้ เลยในขณะนัน้ กลับ ปรากฏอยู่ ในอัล กุรอาน จากระดับความรู้และ
ในตอนนี ้เราจะพิจารณาทังสามประเด็
้ นหลักไปตามหัวข้ อต่อไปนี ้
ชีวติ มาจากชีวติ
ความจริ งประการหนึ่งที่ยืนยันความเป็ นไปไม่ ได้ ของทฤษฎีวิวัฒนาการ คือ ความสลับซับซ้ อนของสิ่งมีชีวิต ตัวอย่ างสําคัญ
ประการหนึ่งคือ โมเลกุลของ DNA ที่อยู่ในนิวเคลียสของเซลล์ ของสิ่งมีชีวิตทัง้ หลาย DNA เป็ นแหล่ งข้ อมูล ประกอบด้ วย
โมเลกุลต่ างกัน 4 ชนิด ที่มีการเรี ยงลําดับที่แตกต่ างกัน แหล่ งข้ อมูลนีบ้ รรจุรหัสของลักษณะทางกายภาพของสิ่งมีชีวิตเข้ าไว้
และเมื่อถอดรหัสพันธุกรรมออกมา คํานวณว่ าจะมีความยาวเท่ ากับสารานุกรมประมาณ 900 เล่ ม ดังนัน้ จึงไม่ เป็ นที่น่า
สงสัยเลยว่ าข้ อมูลที่มีมากมายเพียงนีจ้ ะลบล้ างแนวคิดเรื่ องความบังเอิญได้
หลักฐานจากซากฟอสซิล
ไม่ มีร่องรอยของรูปร่ างในขัน้ ตอนการเปลี่ยนแปลง
แล้วเราก็ออกจากความจริ งที่เป็ นรูปธรรมไปสู่วิธีการสันนิ ษฐานทางชี ววิ ทยา เช่น การใช้สมั ผัสที่ 6 และการ
ตีความซากฟอสซิ ล มนุษย์ซึ่งสําหรับนักวิ ทยาศาสตร์ ที่จริ งใจแล้วอะไรก็เป็ นไปได้ ส่วนผูท้ ี่มีความเชื่อชนิ ดฝั ง
ั นาการนัน้ บางที ก็พร้อมจะเชื่อเรื่องต่างๆที่ขดั แย้งกันเองอย่างยิ่ ง 41
หัวในเรื่องวิ วฒ
ภาพ หน้า 92
เรื่องราวการวิวฒ
ั นาการของมนุษย์นนั ้ ท้ ายที่สดุ ก็ไม่มีอะไรนอกจากการตีความด้ วยอคติจากหลักฐานซาก
ฟอสซิลที่ค้นพบโดยคนบางกลุม่ ที่ยึดติดกับทฤษฎีของตนอย่างเหนียวแน่น
…………………………………..
พวกเขา (บรรดามะลาอิกะฮ) ทูลว่ า มหาบริสุทธิ์พระองค์ ท่าน
ไม่ มีความรู้ ใดๆ แก่ พวกข้ าพระองค์ นอกจากสิ่งที่พระองค์ ได้ ทรงสอนพวกข้ าพระองค์ เท่ านัน้
แท้ จริงพระองค์ คือผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ
(อัลกุรอาน 2:32)
………………………………………..