You are on page 1of 95

ความมหัศจรรย์ ของอัลกุรอาน

ฮารูน ยะห์ ยา ( Harun Yahya ) เขียน ( Writer )


ปั ญญากร ( Punyakorn ) แปล ( Translator )

miracle_thai 01/03/2011 Page 8


เกี่ยวกับผู้เขียน
ผู้เขียนภายใต้ นามปากกาว่าฮารูน ยะห์ยา เกิด ณ เมืองแองการา เมื่อปี ค.ศ. 1956 เรี ยนชันประถมและ ้
มัธยมจนสําเร็จที่เมืองเดียวกันนี ้ ต่อจากนันเขาได้
้ ศกึ ษาต่อทางด้ านอักษรศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมิมาไซ-นานใน
กรุงอิสตันบูล และศึกษาด้ านปรัชญาที่มหาวิทยาลัยอิสตันบูล
ตังแต่
้ ทศวรรษที่ 1980 ฮารูน ยะห์ยา ผลิตหนังสือมากมายทังทางด้ ้ านการเมือง ความศรัทธาและ
วิทยาศาสตร์
งานเขียนส่วนใหญ่ของ ฮารูน ยะห์ยา นันจะมุ ้ ง่ เน้ นการเปิ ดเผยความหลอกลวงของแนวคิดวิวฒ ั นาการ
รวมถึงสิ่งที่แนวคิดนี ้กล่าวอ้ าง นอกจากนี ้ยังเน้ นเปิ ดเผยความสัมพันธ์อนั มืดบอดระหว่างลัทธิดาวินและ
แนวความคิดแบบผิดๆ
นามปากกาฮารูน ยะห์ยา นันมาจากชื ้ ่อ “ฮารูน” (อารอน) และ “ยะห์ยา” (จอห์น) เพื่อเป็ นการรํ าลึกถึง
ท่านศาสดาทังสองท่ ้ านที่ตอ่ สู้การออกห่างจากศาสนา สําหรับตราประจําตําแหน่งของท่านศาสดามูฮมั หมัด
(ซ.ล.) ที่ประทับอยู่บนปกหนังสือทุกเล่มของผู้เขียนนันบ่ ้ งบอกให้ เราได้ รับรู้วา่ กุรอานเป็ นคัมภีร์เล่มสุดท้ ายที่
พระองค์อลั ลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงประทานลงมายังท่านศาสดามูฮมั หมัด (ซ.ล.) ซึ่งเป็ นศาสดาท่านสุดท้ าย ภายใต้ ทาง
นําจากอัล-กุรอานและซุนนะห์ของท่านศาสดา (ซ.ล.) ผู้เขียนได้ นํามาเป็ นจุดหมายหลักในการพิสจู น์วา่ แนวคิดที่
ละทิ ้งความศรัทธาจากพระเจ้ าไม่วา่ จะเป็ นความคิดใดก็ตามล้ วนแล้ วแต่เป็ นหนทางที่หลงผิดทังสิ ้ ้น ดังนันตรา

ประจําตําแหน่งของท่านศาสดาจึงประทับไว้ เพื่อให้ เราได้ ระลึกถึงปั ญญาและศีลธรรมอันสมบูรณ์แบบของท่าน
ศาสดา
งานเขียนทุกเล่มของผู้เขียนจะอยู่บนเป้าหมายหลักคือ เพื่อเผยแผ่ข้อความในอัล-กุรอาน สูห่ มูช่ นทัว่ ไป
และให้ หมูช่ นเหล่านันได้้ คิดไตร่ตรองถึงความศรัทธาที่มนุษย์จะต้ องมี เช่น ความมีอยู่และความเอกะพระเจ้ า การ
เปิ ดเผยความเหลวแหลกของความคิดละทิ ้งพระเจ้ า
ผู้เขียนยังได้ รับความร่วมมืออย่างกว้ างขวางตังแต่ ้ อินเดียจรดอเมริกา อังกฤษจรดอินโดนีเซีย โปแลนด์
จรดบอสเนียและตังแต่ ้ สเปนจรดบราซิล ดังนันหนั ้ งสือบางเล่มของผู้เขียนจึงถูกตีพิมพ์ทงในภาษาอั ั้ งกฤษ ฝรั่งเศส
เยอรมัน อิตาเลี่ยน โปรตูเกตุ อูรดู อรับ อัลบาเนียน รัสเซียน เซอร์ โบ-โคสต์ (บอสเนีย) ตุรกิสและอินโดนีเซีย ทําให้
ผู้เขียนและงานเขียนของเขาได้ เป็ นที่ร้ ูจกั ในหมูน่ กั อ่านทัว่ โลก
เนื่องจากภาษาที่ง่ายดายและวิทยปั ญญาที่มีอยู่ในงานเขียนของฮารูน ยะห์ยาทําให้ งานเขียนของเขามัก
ถูกนํามาเป็ นเครื่องมือในการสร้ างความศรัทธาในพระเจ้ าและยิ่งกว่านันยั ้ งนําสูก่ ารศรัทธาอย่างลึกซึ ้งในพระองค์
เมื่อผู้อา่ นได้ อา่ นและพิจารณาถึงสิ่งที่ฮารูนได้ ถ่ายทอดไว้ ในหนังสือต่างๆ ก็จะยิ่งทําให้ ปลอดภัยจากแนวคิด
ปฏิเสฑธพระเจ้ าซึ่งกําลังลวงหลอกผู้คนในยุคปั จจุบนั ให้ ออกไปจากแนวทางที่เที่ยงตรง ดังนันฮารู ้ น ยะห์ยาจึง
พยายามให้ งานของเขาสามารถเห็นผลได้ อย่างรวดเร็ว มีผลลัพธ์ให้ เห็นแน่นอนและไม่สามารถโต้ แย้ งได้

สิ่งหนึ่งที่จําเป็ นจะต้ องจําไว้ ในใจของมุสลิมทุกคนว่าทังความทารุ


้ ณโหดร้ าย ความขัดแย้ งและความ
หายนะของมุสลิมนันอยู ้ ่ที่ความแพร่หลายของแนวคิดปฏิเสธพระเจ้ า และแนวคิดนี ้จะถูกเปิ ดโปงและทําลายให้
miracle_thai 01/03/2011 Page 9
ทลายลงไปได้ ด้วยการทําให้ ทกุ คนได้ รับรู้ถึงการสรรสร้ างอันอัศจรรย์และศีลธรรมจรรยาในอัล-กุรอานเพื่อให้ เป็ น
แนวทางดําเนินชีวิต และหากว่าเราจะพิจารณารัฐชาติในปั จจุบนั นี ้เราก็จะพบว่า รัฐชาติเหล่านี ้ล้ วนนําพาให้
มนุษย์ลมุ่ หลงลงสูห่ ้ วงของความขัดแย้ ง การคอรัปชัน่ และความรุนแรง ดังนันความพยายามของมุ
้ สลิมในอันที่จะ
เปิ ดโปงและเผยแพร่ความลวงหลอกของแนวคิดปฏิเสธพระเจ้ าจึงจําเป็ นจะต้ องเปี่ ยมไปด้ วยคุณภาพทังด้ ้ านความ
รวดเร็วและผลลัพธ์ที่แน่นอนมิฉะนันก็้ คงจะสายเกินไป
คงไปเป็ นการกล่าวเกินจริงไปหากจะกล่าวว่าหนังสือของฮารูน ยะห์ยาได้ ทําหน้ าที่เหล่านี ้แล้ ว และด้ วย
พระประสงค์ของพระเจ้ าหนังสือเล่มนี ้จะเป็ นสื่อกลางไปยังมวลมนุษยชาติในศตวรรษที่ 21 เพื่อนําไปยังสันติภาพ
ความสงบสุขและความสุขที่ถกู สัญญาไว้ ในอัล-กุรอาน

miracle_thai 01/03/2011 Page 10


สารบัญ
ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ . .................................................................................... 122
บทนํา ............................................................................................................................................ 123
การกําเนิดจักรวาล.............................................................................................................................. 134
การขยายตัวของจักรวาล ....................................................................................................................... 156
การแยกตัวออกจากกันของชั้นฟ้ าและแผ่นดิน .............................................................................................. 178
วงโคจร ............................................................................................................................................ 20
โลกมีสัณฐานกลม.............................................................................................................................. 223
หลังคาเป็ นดังเกราะป้ องกัน ................................................................................................................... 234
ฟ้ าที่กลับคืนมา ................................................................................................................................. 278
ชั้นของบรรยากาศ ................................................................................................................................ 30
หน้าที่ของภูเขา ................................................................................................................................. 323
การเคลื่อนไหวของภูเขา ....................................................................................................................... 356
ความมหัศจรรย์ของเหล็ก...................................................................................................................... 378
การสร้างสรรค์เป็ นคู่ ........................................................................................................................... 389
สัมพันธภาพแห่งเวลา ............................................................................................................................ 40
ดุลยภาพแห่งฝน ................................................................................................................................ 412
การก่อตัวของฝน ............................................................................................................................... 434
ลมที่ทาํ ให้เกิดฝน ............................................................................................................................... 478
ทะเลไม่ล้ าํ เขตกัน................................................................................................................................. 50
ความมืดในทะเล และคลื่นใต้น้ าํ .............................................................................................................. 512
ส่ วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของมนุษย์ .................................................................................................... 535
การกําเนิดของมนุษย์........................................................................................................................... 556
นํ้านมมารดา ................................................................................................................................... .656
ลักษณะเฉพาะที่พบในลายนิ้วมือ ............................................................................................................. 667
ข้อมูลอนาคตที่ปรากฏในกุรอาน …………………………………………………………………………………………………..
678
ความนํา.......................................................................................................................................... 679
ชัยชนะของชาวไบเซนไทน์ ..................................................................................................................... 70
ประวัติศาสตร์กบั ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน ................................................................................... 713
“ฮามาน” ในอัลกุรอาน ...................................................................................................................... 714
ตําแหน่งผูป้ กครองอียปิ ต์ในกรุ อาน ........................................................................................................ 747
นักโบราณคดีคน้ พบเมืองอิรอม ……………………………………………………………………………………………………………………..79
ชนชาวสะบะอฺ และอุทกภัยแห่งอาริ ม ……………………………………………………………………………………………………….….....81
การค้นพบของนักโบราณคดีเกี่ยวกับชาวซะมูด …………………………………………………………………………………………………..84
บทส่งท้าย อัลกุรอาน วจนะของพระผูเ้ ป็ นเจ้า......................................................................................... 85
ความเข้าใจผิดเรื่ องวิวฒั นาการ ............................................................................................................ 87

miracle_thai 01/03/2011 Page 11


ความมหัศจรรย์ ของอัลกุรอานที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
บทนํา
กว่า 14 ศตวรรษมาแล้ วที่เอกองค์อลั ลอฮ์ (ซ.บ.) ได้ ประทานคัมภีร์อลั กุรอาน ลงมายังมนุษย์เพื่อให้ เป็ น
คัมภีร์แห่งทางนํา พระองค์เรียกร้ องให้ มนุษย์รับการชี ้นําสูส่ จั ธรรมด้ วยการยึดมัน่ ต่ออัลกุรอาน นับตังแต่ ้ วาระแร ก
แห่งการประกาศโองการจวบจนกระทัง่ ถึงวันแห่งการตัดสิน อัลกุรอานจะยังคงเป็ นทางนําหนทางเดียวสําหรับมวล
มนุษยชาติ
รูปแบบที่หาที่เปรี ยบไม่ได้ ของอัลกุรอาน ตลอดจนวิทยปั ญญาอันลํ ้าเลิศที่ปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน เป็ น
หลักฐานอย่างชัดเจนว่า อัลกุรอานนันเป็ ้ นวจนะของเอกองค์อลั ลอฮ์ (ซ.บ.) ยิ่งไปกว่านัน้ อัลกุรอานยังได้ แจ้ งถึง
เหตุการณ์ที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ตา่ งๆ เอาไว้ อย่างมากมาย อันเป็ นข้ อพิสจู น์วา่ อัลกุรอาน คือคัมภีร์ที่พระผู้เป็ นเจ้ า
ประทานลงมา ลักษณะประการหนึ่งก็คือ เรื่ องที่เป็ นความจริงทางวิทยาศาสตร์จํานวนมาก ที่มนุษย์เราเพิ่งค้ นพบ
ด้ วยเทคโนโลยีในยุคศตวรรษที่ 20 นันมี ้ กล่าวอ้ างอยู่ในอัลกุรอานเมื่อ 1,400 มาแล้ ว
แน่นอนอัลกุรอานไม่ใช่หนังสือวิทยาศาสตร์ แต่อลั กุรอานก็ได้ ระบุถึงข้ อเท็จจริงทางด้ านวิทยาศาสตร์ ที่
ค้ นพบด้ วยเทคโนโลยีในยุคศตวรรษที่ 20 เอาไว้ อย่างลึกซึ ้งและรัดกุม
ในช่วงเวลาที่อลั กุรอานได้ เริ่ มเผยแพร่นนั ้ ข้ อเท็จจริงเหล่านี ้ยังไม่เป็ นที่ร้ ูกนั จึงเป็ นข้ อพิสจู น์ได้ ว่าอัลกุรอาน
เป็ นวจนะของพระผู้เป็ นเจ้ า
เพื่อที่จะเข้ าใจความมหัศจรรย์ในเชิงวิทยาศาสตร์ของอัลกุรอาน เราควรจะทราบระดับของความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์ในขณะนัน้ ในช่วงเวลาที่คมั ภีร์เล่มนี ้ประทานลงมา
ในศตวรรษที่ 7 ซึ่งเป็ นช่วงเวลาที่อลั กุรอานประทานลงมานันสั ้ งคมอาหรับมีความเชื่อเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์
อย่างไร้ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เพราะขาดวิทยาการที่จะศึกษาตรวจสอบ หรือตังข้้ อสังเกตต่อจักรวาลและ
ธรรมชาติ ชาวอาหรับในยุคแรกๆ เชื่อเรื่ องตํานานที่เล่าสืบทอดกันมาตังแต่ ้ บรรพบุรุษ ตัวอย่างเช่นพวกเขาเชื่อว่า
ภูเขาช่วยหนุนฟ้าเอาไว้ โดยโลกนันมี ้ ลกั ษณะแบนราบ มีภเู ขาขนาดใหญ่อยู่ที่ปลายทังสองข้ ้ างของโลก ภูเขา
เหล่านันคื
้ อเสาที่คํ ้ายันหลังคาฟ้าเบื ้องบน
อย่างไรก็ตามความเชื่อเรื่องอิทธิปาฏิหาริ ย์ของสังคมอาหรับได้ ถกู ขจัดออกไปโดยอัลกุรอาน ซูเราะฮ์อรั
เราะอฺดฺ อายะฮ์ที่ 2 ความว่า “อัลลอฮ์ คือผู้ทรงยกชัน้ ฟ้าทัง้ หลายเอาไว้ โดยปราศจากเสาคํา้ จุน..” (13:2) อา
ยะฮ์นี ้ได้ ลบล้ างความเชื่อที่วา่ ท้ องฟ้าลอยอยู่ได้ เพราะมีภเู ขาคํ ้ายัน ยังมีข้อเท็จจริงที่สําคัญอีกหลายเรื่องที่เปิ ดเผย
ขึ ้นมาในช่วงเวลาที่ผ้ คู นยังขาดความรู้ ความเข้ าใจ
อัลกุรอาน ซึ่งถูกประทานลงมาในช่วงเวลาที่มนุษย์ยงั มีความรู้อย่างจํากัดใน เรื่ องดาราศาสตร์ ฟิ สิกส์ หรือ
ชีววิทยานัน้ กลับปรากฏข้ อมูลที่สําคัญในเรื่ องที่เกี่ยวข้ องกับวิชาต่างๆเหล่านี ้เช่น เรื่องการกําเนิดสุริยจักรวาล
การกําเนิดมนุษย์ โครงสร้ างของชันบรรยากาศ
้ และความสมดุลที่เหมาะสมที่สดุ ที่ทําให้ ชีวิตบนโลกดํารงอยู่ได้
ทีนี ้เรามาลองดูปรากฏการณ์ตา่ งๆทางวิทยาศาสตร์ที่กล่าวไว้ ในอัลกุรอาน

miracle_thai 01/03/2011 Page 12


การกําเนิดจักรวาล
การปรากฏของจักรวาลนันกุ
้ รอานได้ อธิบายไว้ ในซูเราะฮ์อนั อาม อายะฮ์ที่ 101 ความว่า
“อัลลอฮ์ เป็ นผู้ทรงประดิษฐ์ ชนั ้ ฟ้าและแผ่ นดิน...”
(อัลกุรอาน 6:101)

สิ่งที่ได้ ระบุไว้ ในอัลกุรอานนันสอดคล้


้ องกับการค้ นพบทางวิทยาศาสตร์ในปั จจุบนั ซึ่งมีข้อสรุปของวิชาฟิ สิกส์
ทางดาราศาสตร์วา่ ทัว่ ทังจั ้ กรวาลตลอดจนมิติตา่ งๆของสสารและเวลา บังเกิดขึ ้นสืบเนื่องจากผลของการระเบิด
ครัง้ ใหญ่ที่เกิดขึ ้นอย่างฉับพลัน เหตุการณ์ครัง้ นัน้ เรี ยกว่า “บิ๊กแบง (Big Bang)” ซึ่งพิสจู น์วา่ จักรวาลเกิดขึ ้นมา
จากการระเบิดของสิ่งๆหนึ่ง วงการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยอมรับว่า “บิ๊กแบง” เป็ นเหตุผลเดียวเท่านันที ้ ่ใช้ อธิบาย
การกําเนิดและปรากฏของจักรวาล
ก่อนหน้ า “บิ๊กแบง” ไม่มีสิ่งใดปรากฏอยูเ่ ลยไม่วา่ จะเป็ นสสาร พลังงานหรือแม้ แต่เวลา บิ๊กแบงจึงเป็ น
คําอธิบายเชิงอภิปรัชญาได้ ประการเดียวเท่านันว่ ้ า สิ่งเหล่านันถู ้ กสร้ างขึ ้นมา ข้ อเท็จจริงทางฟิ สิกส์สมัยใหม่ที่เพิ่ง
จะค้ นพบเมื่อไม่นานมานี ้นัน้ เป็ นสิ่งที่ปรากฏอยูใ่ นอัลกุรอานเมื่อ 1,400 ปี มาแล้ ว

ส่วนที่เป็ นสีน้ าํ ตาล ส่วนที่เป็ นสีชมพู


เข้มแสดงถึงรังสีที่ อ่อน แสดงถึงส่วนที่
ปรากฏอยูก่ อ่ น ยังร้อนอยู่

ส่วนที่เป็ นสีชมพูเข้ม
ส่วนที่เป็ นสีน้ าํ ตาล แสดงถึงพื้นที่ที่ร้อน
อ่อน แสดงถึงส่วนที่ ที่สุด
เย็น

เครื่ องตรวจจับภาพบนดาวเทียม Cobe ซึ่งองค์ การนาซ่ าส่ งขึน้ สู่อวกาศในปี 1992 ได้ จบั ภาพร่ องรอยที่เหลืออยู่ของ
“บิ๊กแบง” การค้ นพบครั ง้ นีถ้ อื เป็ นหลักฐานในการอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ได้ ว่าจักรวาลนัน้ ถูกสร้ างขึน้ จากความว่ าง
เปล่ า

miracle_thai 01/03/2011 Page 13


miracle_thai 01/03/2011 Page 14
การขยายตัวของจักรวาล
อัลกุรอานประทานลงมาเมื่อ 14 ศตวรรษที่แล้ ว ซึ่งในขณะนัน้
ความรู้ทางด้ านดาราศาสตร์ยงั อยู่ในช่วงเริ่มต้ น แต่อลั กุรอาน ก็ได้
กล่าวถึงการขยายตัวของจักรวาลไว้ แล้ ว ในซูเราะฮ์อซั ซาริยาต ความว่า
“และเราได้ สร้ างฟ้ามาให้ แข็งแกร่ ง
และแท้ จริงเราเป็ นผู้ขยายมันออก”
(อัลกุรอาน 51:47)

คําว่า “ฟ้า” ในอายะฮ์นี ้ปรากฏอีกหลายแห่งในอัลกุรอานโดยมี


ความหมายถึงอวกาศและจักรวาล ในอายะฮ์นี ้ก็ใช้ ในความหมายเช่นนัน้
กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า อัลกุรอานได้ เปิ ดเผยว่า จักรวาลนันมี
้ การแผ่ขยายซึ่ง
ก็เป็ นข้ อสรุปที่วิทยาศาสตร์ เพิ่งค้ นพบนัน่ เอง
เอ็ดวิน ฮับเบิล และกล้ องเทเลสโคป
ต้ นศตวรรษที่ 20 นักฟิ สิกส์ชาวรัสเซียชื่อ อเล็กซานเดอร์ ฟรีด ขนาดใหญ่ ของเขา
มันน์ (Alexander Friedmann) และนักดาราศาสตร์ชาวเบลเยี่ยม
ชื่อว่า จอร์จ เลอแมตร์ (Georges Lemaitre) ได้ คํานวณตามหลัก
ทฤษฏีแล้ ว พบว่ าจักรวาลนันมี ้ การเคลื่อนไหวอย่างคงที่และกําลัง
ค่อยๆขยายตัวออก
ข้ อเท็จจริงนี ้ยังได้ รับการพิสจู น์อีกจากข้ อมูลในการศึกษา
สังเกตในปี ค.ศ.1929 นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกนั เอ็ดวิน ฮับเบิล
(Edwin Hubble) ซึ่งได้ เฝ้าสังเกตท้ องฟ้าด้ วยกล้ องเทเลสโคปอยู่นนั ้
พบว่า ดวงดาวต่างๆและกาแลคซี ต่างก็เคลื่อนตัวออกห่างจากกัน
อย่างสมํ่าเสมอ การที่สิ่ง ต่างๆในจักรวาลเคลื่อนตัวออกห่างจากกัน
นัน้ ย่อมหมายความว่าจักรวาลนันมี ้ การขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
การศึกษาสังเกตที่มีตอ่ มาอีกหลายปี ยืนยันได้ วา่ จักรวาลแผ่
ขยายตัว ข้ อเท็จจริ งในเรื่ องนี ้มีอธิบายอยู่แล้ ว ในอัลกุรอานตังแต่ ้ ยงั
ไม่มีผ้ ใู ดรู้เรื่องนี ้เลย ทังนี
้ ้เพราะว่าอัลกุรอานนันเป็
้ นวจนะของเอก จอร์ จ เลอแมตร์
องค์อลั ลอฮ์ (ซ.บ.) ผู้ทรงสร้ างและบริหารจักรวาล ทังมวล ้

miracle_thai 01/03/2011 Page 15


ในช่ วงเวลาที่เกิดปรากฏการณ์ “บิ๊กแบง” จักรวาลขยายตัวในอัตราคงที่ด้วยความเร็ วสูงมาก
นักวิทยาศาสตร์ ได้ เปรี ยบเทียบการขยายตัวของจักรวาลเหมือนผิวของลูกโป่ งที่ ขยายตัวออกมา

miracle_thai 01/03/2011 Page 16


การแยกตัวออกจากกันของชัน้ ฟ้าและแผ่ นดิน

อีกตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับการสร้ างชันฟ
้ ้ าปรากฏอยู่ใน ซูเราะฮ์ อัลอัมบิยาอฺ อายะฮ์ที่ 30 ความว่า

“และบรรดาผู้ปฏิเสธศรั ทธาเหล่ านัน้ ไม่ เห็นดอกหรือว่ าแท้ จริงชัน้ ฟ้าทัง้ หลายและแผ่ นดินนัน้
แต่ ก่อนนีร้ วมติดเป็ นผืนเดียวกันแล้ วเราได้ แยกมันทัง้ สองออกจากกัน
เราได้ ทาํ ให้ ทุกสิ่งมีชีวติ จากนํา้ ดังนัน้ พวกเขายังไม่ ศรัทธาอีกหรือ”
(อัลกุรอาน 21:30)

คําว่า “รอตะกอ” ตามพจนานุกรม แปลว่าเย็บติดกัน ซึ่งหมายความว่า แต่ละอย่างผสมกัน หรื อผสม


กลมกลืนกัน คํานี ้จะใช้ กบั สิ่งสองสิ่งที่ตา่ งกันแต่นํา มารวมเป็ นสิ่งเดียวกัน ส่วนวลีที่วา่ “เราได้ แยกออก” มาจาก
คํากริยา “ฟะตะกอ” ซึ่งใช้ กบั สิ่งที่เกิดขึ ้นใหม่จากการแยกออกหรือการทําลายโครงสร้ างของ ”รอตะกอ“ (ยึดติดกัน
ไว้ ) การที่เมล็ดพืชงอกขึ ้นมาจากพื ้นดิน เป็ นตัวอย่างหนึ่งของความหมายของกริยานี ้
จากความรู้นี ้เราลองกลับไปดูอายะฮ์นี ้อีกครัง้ หนึ่ง อายะฮ์นี ้กล่าวไว้ วา่ ชันฟ
้ ้ าและแผ่นดินนัน้ ในระยะแรกได้
อยู่ในสภาพของ รอตะกอ (ยึดติดกันไว้ ) และต่อมาจึงถูก ฟะตะกอ (แยกออกจากกัน) เป็ นเรื่องที่น่าทึ่งมาก ถ้ าหาก
เรานึกไปถึงระยะแรกของบิ๊กแบง เราจะพบว่าเพียงจุดจุดเดียวนัน้ ได้ รวมทุกๆสิ่งในจักวาล ทัง้ “ชันฟ ้ ้ าและแผ่นดิน”
ซึ่งในขณะนันยั ้ งไม่ได้ บงั เกิดขึ ้นมาด้ วยซํ ้า ทุกสิ่งรวมอยู่ในสภาพ รอตะกอ (ยึดติดกันไว้ ) และเมื่อมีการระเบิดขึ ้น
อย่างรุนแรงก็เป็ นเหตุให้ เกิด ฟะตะกอ (แยกออกจากกัน) แล้ วจึงเริ่มขันตอนในการสร้
้ างจักรวาล
เมื่อเปรียบเทียบสิ่งที่อายะฮ์นี ้ได้ อธิบายไว้ กบั สิ่งที่วิทยาศาสตร์ได้ ค้นพบ เราจะเห็นว่า ข้ อมูลทังสองต่
้ าง
ยืนยันความถูกต้ องของกันและกัน แต่ทว่าสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านันก็ ้ คือ การค้ นพบเรื่องเหล่านี ้โดยทางวิทยาศาสตร์
เพิ่งจะปรากฏในศตวรรษที่ 20 นี ้เอง

miracle_thai 01/03/2011 Page 17


ภาพนีอ้ ธิบายถึง ทฤษฎีบิ๊กแบง ที่แสดงให้ เห็น อีกครั ง้ หนึ่งว่ า พระผู้เป็ นเจ้ าได้ สร้ างจักรวาลจากความว่ างเปล่ า บิ๊กแบง
เป็ นทฤษฎีท่ พ
ี ิสูจน์ แล้ วโดยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แม้ ว่านักวิทยาศาสตร์ บางคนพยายามโต้ แย้ งทฤษฎีนี ้ ด้ วยทฤษฏี
อื่นๆ แต่ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ท่ เี ป็ นต้ นกําเนิดของทฤษฎีนี ้ ก็เป็ นที่ยอมรั บ กันอย่ างกว้ างขวาง ในวงการ
วิทยาศาสตร์

miracle_thai 01/03/2011 Page 18


วงโคจร

การกล่าวถึงดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในอัลกุรอานนัน้ มีการเน้ นยํ ้าว่าทังสองต่


้ างมีวงโคจรที่แน่นอนเฉพาะ
ตน ในซูเราะฮ์ อัลอัมบิยาอฺ ความว่า
“และอัลลอฮ์ ทรงสร้ างกลางวันและกลางคืน ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์
ซึ่งทุกๆสิ่งล้ วนโคจรในจักรราศี”
(อัลกุรอาน 21:33)

ในซูเราะฮ์ยาซีนอายะฮ์หนึ่งกล่าวเอาไว้ อีกว่า ดวงอาทิตย์นนไม่


ั ้ ได้ อยู่กบั ที่ แต่เคลื่อนไป ตามวงโคจรที่
แน่นอน ความว่า
“และดวงอาทิตย์ ย่อมโคจรไปตามตําแหน่ งสถิตของมันเอง
การนัน้ เป็ นการกําหนดของผู้ทรงอํานาจยิ่ง ผู้ทรงรอบรู้ย่งิ ”
(อัลกุรอาน 36:38)

ความจริงทังหลายที
้ ่ปรากฏอยู่ในอัลกุรอานนัน้ เพิ่งถูกค้ นพบโดยการศึกษาสังเกตทางดาราศาสตร์ในสมัย
ของเรานี ้เอง จากการคํานวณของ นักดาราศาสตร์ ดวงอาทิตย์จะเดินทางด้ วยความเร็วสูงถึง 720,000 กิโลเมตร/
ชัว่ โมง ในทิศทางของดาวเวก้ า ที่วงโคจรเฉพาะตัว เรียกว่าโซล่าร์ เอเพ็กซ์ (Solar Apex) นัน่ หมายความว่า ดวง
อาทิตย์จะเดินทางประมาณวันละ 17,280,000 กิโลเมตร และที่เดินทางไปพร้ อมดวงอาทิตย์ด้วยนัน้ มีทงดาว
ั้
เคราะห์ตา่ งๆและดาวบริวารในขอบเขตแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ ซึ่งโคจรไปในทิศทางเดียวกัน ยิ่งไปกว่านัน้
ดวงดาวทัว่ ทังจั
้ กรวาล ก็มีลกั ษณะการเดินทางที่ถกู กําหนดไว้ แล้ วเช่นเดียวกัน
ความจริงที่วา่ ทังจั
้ กรวาลเต็มไปด้ วยเส้ นทางและวงโคจรทีม่ ลี กั ษณะคล้ ายกันเช่นนี ้ ได้ ปรากฏอยู่ในอัลกุร-
อานซูเราะฮ์ อัซซาริยาต ว่า
“ขอยืนยันด้ วยฟากฟ้าที่มีช่องการโคจร อย่ างมากมายยิ่ง”
(อัลกุรอาน 51:7)

ในจักรวาลมีกลุม่ ดาวอยู่ประมาณ 2 แสนล้ านกลุม่ ในแต่ละกลุม่ มีดวงดาวประมาณ 2 แสนล้ านดวง


ดวงดาวส่วนใหญ่ประกอบด้ วยดาวเคราะห์ และดาวเคราะห์สว่ นใหญ่จะมีดาวบริวาร ส่วนประกอบของจักรวาล
ทังหมดนี
้ ้ จะเคลื่อนไปในวงโคจรที่กําหนดไว้ อย่าง เที่ยงตรง นับเป็ นเวลาหลายล้ านปี มาแล้ วที่ดาวแต่ละดวง
เดินทางหมุนเวียนอยู่ในวงโคจรอย่างเป็ นระบบและสอดคล้ องกับดาวอื่นๆ ยิ่งไปกว่านันยั
้ งมีดาวหางต่างๆที่
เดินทางอยู่ในวงโคจรที่กําหนดไว้

miracle_thai 01/03/2011 Page 19


วงโคจรต่างๆในจักรวาลนัน้ ไม่ได้ มีเฉพาะวงโคจรของดวงดาวเท่านัน้ กาแล๊ คซีตา่ งๆก็โคจรด้ วยความเร็วสูง
มากบนวงโคจรที่คํานวณและกําหนดไว้เช่นกัน ในระหว่างวงโคจรนันจะไม่
้ มีดาวดวงใดเลยที่จะโคจรตัดข้ ามไปยัง
วิถีโคจรของดาวดวงอื่นหรือเกิดการปะทะกันกับดาวดวงอื่น

miracle_thai 01/03/2011 Page 20


ในช่วงที่อลั กุรอานประทานลงมานัน้ ยังไม่มีกล้ อง ดูดาวอย่างทุกวันนี ้
และไม่มีเทคโนโลยีที่ทนั สมัย ในการศึกษาสังเกตอวกาศที่ห่างไกลออกไปนับ
ล้ านๆกิโลเมตร อีกทังยั้ งไม่มีความรู้ทางฟิ สิกส์หรือดาราศาสตร์ที่ทนั สมัย
ดังนันในช่
้ วงเวลาดังกล่าว เป็ นไปไม่ได้ ที่จะ ใช้ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ในสมัย
นัน้ มาอธิบายว่า อวกาศ “เต็มไปด้ วยเส้ นทางและวงโคจร” เหมือนดังที่ปรากฏ
อยู่ในอายะฮ์อลั กุรอาน ซึ่งเป็ นหลักฐานหนึ่งที่ยืนยันว่า อัลกุรอานนันเป็
้ นวจนะ
ของพระผู้เป็ นเจ้ า

ดาวหางฮัลเลย์ ก็เหมือนดาวหางอื่นๆในจักรวาล ที่โคจรตาม


วงโคจรที่ถกู กําหนดไว้ เป็ นวงโคจรที่เฉพาะเจาะจงและมี
เส้ นทางเดินอย่ างเป็ นระเบียบร่ วมกับดาวอื่นๆบนท้ องฟ้า

ดาวทุกดวงบนท้ องฟ้ารวมทัง้ ดาวเคราะห์ และดาวบริ วาร ดาว


ฤกษ์ หรื อแม้ แต่ กาแล๊ คซี ต่ างก็มีวงโคจรที่เป็ นของตนเอง ซึ่ง
ได้ ถกู กําหนดไว้ จากการคํานวณอย่ างละเอียด และผู้ท่ ีสร้ าง
ระบบที่สมบูรณ์ แบบเช่ นนีข้ นึ ้ มา พร้ อมกับดูแลรั กษาระบบ
นัน้ ก็คือพระผู้เป็ นเจ้ าผู้ทรงสร้ างสรรพสิ่งทั่วทัง้ จักรวาล

miracle_thai 01/03/2011 Page 21


โลกมีสัณฐานกลม
“พระองค์ ทรงสร้ างชัน้ ฟ้าทัง้ หลาย และแผ่ นดินด้ วยความจริงอันชัดแจ้ ง พระองค์ ทรงให้
กลางคืนที่คาบเกี่ยวเข้ าไปในกลางวัน และทรงให้ กลางวันคาบเกี่ยวเข้ าไปในกลางคืน…”
(อัลกุรอาน 39:5)

ในอัลกุรอาน คําที่ใช้ บรรยายถึงจักรวาลนันน่ ้ าสนใจยิ่ง คํา


ภาษาอาหรับว่า “ ตักวีร ” หมายความว่า “สิ่งหนึ่งเกยซ้ อนกับอีก
สิ่งหนึ่ง เหมือนกับการพับผ้ า ” (พจนานุกรมภาษาอาหรับอธิบาย
ว่า เป็ นการพันสิ่งหนึ่งเข้ ากับอีกสิ่งหนึ่ง)
ข้ อความในอายะฮ์เกี่ยวกับเวลากลางวันและกลางคืนที่
คาบเกี่ยวซึ่งกันและกัน แสดงข้ อมูลที่ถกู ต้ องเกี่ยวกับสัณฐานของ
โลก การคาบเกี่ยวกันในลักษณะดังกล่าวจะเป็ นไปได้ ก็ตอ่ เมื่อโลก
มีรูปทรงกลมเท่านัน้ ความจริงข้ อนี ้ได้ ปรากฏชัดอยู่ในอัลกุรอาน
ตังแต่
้ ศตวรรษที่ 7 แล้ ว ทังที ้ ่ในขณะนันเรื้ ่ องสัณฐานกลมของโลก
ยังไม่มีใครรู้เลย
อย่างไรก็ตามเราควรตระหนักว่าความเข้ าใจทางดารา
ศาสตร์ในเวลานัน้ ทําให้ เรารับรู้เกี่ยวกับโลกได้ แตกต่างกัน แต่
ก่อนนันเคยเชื
้ ่อกันว่า โลกแบน การคํานวณและการอธิบายทาง
วิทยาศาสตร์ล้วนอาศัยความเชื่อนี ้ แต่ทว่าข้ อความในอัลกุรอาน
กลับมีข้อมูลที่มนุษย์เพิ่งจะค้ นพบกันเมื่อศตวรรษที่แล้ วนี ้เอง
เนื่องจากอัลกุรอานเป็ นวจนะของพระผู้เป็ นเจ้ า ทุกถ้ อยคําในอัลกุ
รอานจึงเป็ นจริงเสมอ รวมทังเรื ้ ่ องที่กล่าวถึงจักรวาลก็เช่นกัน

miracle_thai 01/03/2011 Page 22


หลังคาเป็ นดังเกราะป้องกัน
พระผู้เป็ นเจ้ าทรงสอนให้ เราตระหนักถึงลักษณะที่น่าสนใจยิ่งของท้ องฟ้า ไว้ ในอัลกุรอาน ซูเราะฮ์อลั อัมบิยาอ:

“ และเราได้ ทาํ ให้ ชนั ้ ฟ้าเป็ นหลังคา ถูกรักษาไว้ ไม่ ให้ หล่ นลงมา
และพวกเขาก็ยังหันหลังให้ สัญญาณต่ างๆของมัน ”
(อัลกุรอาน 21:32)

ลักษณะดังกล่าวได้ รับการพิสจู น์แล้ วจากการวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 20


บรรยากาศที่ล้อมรอบโลกนันมี ้ หน้ าที่สําคัญต่อการดํารง
อยู่ของสิ่งมีชีวิต สะเก็ดดาวทังเล็
้ กและใหญ่จะถูกทําลายขณะที่
เข้ ามาใกล้ พื ้นโลก เป็ นการป้องกันมิให้ ตกสู่ พื ้นโลกและเป็ น
อันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
นอกจากนี ้ ชันบรรยากาศยั
้ งกรองรังสีที่เป็ นอันตรายต่อ
สิ่งมีชีวิตเอาไว้ ด้วย ที่น่าสนใจก็คือจะมีเพียงรังสีที่ไม่เป็ น
อันตรายและมีประโยชน์เท่านันที ้ ่ผา่ นมายังโลกเรา นัน่ คือ แสงที่
สามารถมองเห็นได้ รังสีใกล้ อลั ตร้ าไวโอเลตและคลื่นวิทยุ ซึ่ง
จําเป็ นต่อสิ่งมีชีวิต รังสีใกล้ อลั ตร้ าไวโอเลต ซึ่งจะผ่านชัน้
บรรยากาศลงมาบางส่วน ใช้ สําหรับการสังเคราะห์แสงของพืช
และการดํารงอยู่ของสิ่งมีชีวิตทังหลาย้ ส่วนรังสีอลั ตร้ าไวโอเลต
เข้ มข้ นจากแสงอาทิตย์สว่ นใหญ่จะถูกกรองโดยชันโอโซน ้ มี
เฉพาะบางส่วนที่จําเป็ นเท่านันที ้ ่มาถึงผิวโลก
หน้ าที่ในการป้องกันโลกยังไม่หมดเพียงเท่านี ้ ชัน้
บรรยากาศยังป้องกันโลกจากความหนาวเย็นของอวกาศที่มี ชัน้ บรรยากาศจะปล่ อยให้ แสงที่เป็ นประโยชน์
อุณหภูมิถงึ -270 องศาเซลเซียส อีกด้ วย ต่ อสิ่งมีชีวิตผ่ านมายังพืน้ โลกเท่ านัน้ ดัง
ตัวอย่ างของรั งสีอัลตร้ าไวโอเลตที่สามารถผ่ าน
ลงมายังโลกเพียงบางส่ วน เฉพาะที่จาํ เป็ นใน
การสังเคราะห์ แสงของพืช และในการดํารงชีพ
ของสิ่งมีชีวิต

miracle_thai 01/03/2011 Page 23


ภาพสะเก็ดดาวที่พ่ งุ มายังโลก
เป็ นวัตถุท่ ลี ่ องลอยอยู่ในอวกาศ
และอาจเป็ นอันตรายอย่ างยิ่งต่ อ
โลก แต่ พระผู้เป็ นเจ้ าทรงสร้ างทุก
สิ่งอย่ างลงตัว ได้ ทรงสร้ างชัน้
บรรยากาศมาเป็ นหลังคาปกป้อง
โลก ทําให้ สะเก็ดดาวต่ างๆ
กลายเป็ นเศษเล็กเศษน้ อยในชัน้
บรรยากาศ ก่ อนที่จะตกลงมาถึง
โลก

ผู้คนส่ วนมากที่มองท้ องฟ้ามักไม่ ได้ นึกถึงความสําคัญของชัน้ บรรยากาศในการปกป้องโลก เราแทบไม่ ทันคิดกันเลยว่ า


โลกจะเป็ นอย่ างไรถ้ าปราศจากระบบป้องกันเช่ นนี ้ ภาพนีเ้ ป็ นภาพหลุมยักษ์ อันเกิดจากสะเก็ดดาวที่ตกลงมายังเมือง
อริ โซนา สหรั ฐอเมริ กา หากไม่ มีชนั ้ บรรยากาศ สะเก็ดดาวจํานวนนับล้ านคงจะตกมายังโลก ซึ่งจะทําให้ ไม่ เหลือ
สิ่งมีชีวิตอยู่บนโลกอีกต่ อไป ชัน้ บรรยากาศซึ่งทําหน้ าที่ปกป้องโลกจึงช่ วยให้ ส่ งิ มีชีวิตดํารงอยู่ได้ อย่ างปลอดภัย นี่คือ
การที่พระผู้เป็ นเจ้ าทรงปกป้องคุ้มครองมนุษย์ นับเป็ นความมหัศจรรย์ ท่ ปี ระกาศไว้ ในอัลกุรอานโดยแท้

miracle_thai 01/03/2011 Page 24


พลังเผาผลาญที่ปะทุจากดวงอาทิตย์ มีความ
รุ นแรงมากเกินกว่ าที่มนุษย์ จะประมาณได้ การ
เหนือจากชัน้ บรรยากาศของโลกขึน้ ไป จะเป็ นอากาศที่
ปะทุเพียงครั ง้ เดียวเท่ ากับ แรงระเบิดปรมาณูท่ ี
หนาวจัด โลกได้ รับการปกป้องจากชัน้ บรรยากาศให้ พ้น
ถล่ มเมืองฮิโรชิมาถึงหนึ่งแสนล้ านลูก แต่ โลกนี ้
จากความหนาวจัดที่มีอุณหภูมิถงึ - 270 องศาเซลเซียส
ก็ได้ รับการปกป้องจากชัน้ บรรยากาศและแนว
แวนอัลเลน

ชัน้ บรรยากาศแมกเนโตสเฟี ยร์ เกิดจากสนามแม่ เหล็กโลกซึ่งทําหน้ าที่เป็ นเกราะป้องกันโลกจากรั งสีคอสมิกและจาก


วัตถุต่างๆในอวกาศ ภาพนีแ้ สดงชัน้ บรรยากาศแมกเนโตสเฟี ยร์ ซึ่งเรี ยกได้ อีกอย่ างว่ า “แนวแวนอัลเลน ” แนวเหล่ านี ้
อยู่เหนือโลกขึน้ ไปถึง 1,000 กิโลเมตร ทําหน้ าที่ปกป้องสิ่งมีชีวิตในโลกจากอันตรายต่ างๆในอวกาศ ซึ่งการค้ นพบทาง
วิทยาศาสตร์ พิสูจน์ แล้ วว่ า เป็ นการปกป้องที่ได้ ผล สิ่งที่สําคัญก็คือ การปกป้องดังกล่ าวนีป้ รากฏอยู่ในอัลกุรอาน 1,400
ปี มาแล้ วในอายะฮ์ ท่ วี ่ า “เราได้ ทําให้ ชัน้ ฟ้าเป็ นหลังคาที่ปกป้องและคุ้มครอง”
miracle_thai 01/03/2011 Page 25
ไม่เพียงแต่ชนบรรยากาศเท่
ั้ านันที้ ่ปกป้องโลกจากสิ่งอันตรายต่างๆ ยังมีชั้นบรรยากาศที่เรี ยกว่า แนวแวนอัล
เลน (Van Allen Belt ) ซึ่งเกิดจากสนามแม่เหล็กของโลก ทําหน้ าที่เป็ นเกราะป้องกันอนุภาคกัมมันตรังสีจากดวง
อาทิตย์และดาวอื่นๆ หากไม่มีแนวแวนอัลเลน พลังงานที่เกิดจากการปะทุบนดวงอาทิตย์ (พลังงานโซล่าร์) มี
ความรุนแรงจนสามารถทําลายสิ่งมีชีวิตทังหลายบนโลกนี
้ ้ ดังคํากล่าวของ ดร. ฮิวจ์ รอสส์ (Dr. Hugh Ross) ดังนี ้
“ในความเป็ นจริงแล้ ว โลกเป็ นดาวที่มีความหนาแน่นมากที่สดุ ในระบบสุริยจักรวาล แกนโลกซึ่ง
ประกอบด้ วยธาตุเหล็กและนิกเกิลนี ้ ทําให้ เกิดสนามแม่เหล็กที่ก่อให้ เกิดแนวแวนอัลเลน ซึ่งเป็ นเกราะป้องกันมิให้
รังสีตา่ งๆพุ่งตรงเข้ ามา หากปราศจากเกราะกําบังนี ้ สิ่งมีชีวิตต่างๆก็ไม่สามารถดํารงอยู่ได้ ในโลก ดาวพุธเป็ นดาว
เคราะห์อีกเพียงดวงเดียวที่มีสนามแม่เหล็ก แต่ก็มีพลังน้ อยกว่าโลกถึง 100 เท่า แม้ แต่ดาวศุกร์ซึ่งมีลกั ษณะ
ใกล้ เคียงกับโลก ก็ยงั ไม่มีสนามแม่เหล็ก แนวแวนอัลเลนจึงนับว่าออกแบบมาเป็ นเอกลักษณ์เฉพาะโลกเราจริงๆ” 1
พลังโซล่าร์ จากดวงอาทิตย์ที่เพิ่งตรวจพบเมื่อเร็วๆนี ้ เมื่อ
เทียบกับแรงระเบิดปรมาณู ที่ถล่มเมืองฮิโรชิมาก็จะเท่ากับ 1
แสนล้ านลูก หลังจากการปะทุ 58 ชัว่ โมงจะสังเกตได้ วา่ เข็มทิศชี ้
ต่างไปจากเดิม และที่ 250 กิโลเมตรเหนือชันบรรยากาศของ

โลก อุณหภูมิจะสูงขึ ้นถึง 2500 องศาเซลเซียส
กล่าวโดยสรุปว่า ระบบที่สมบูรณ์แบบดังกล่าวมาแล้ วนัน้
ช่วยปกป้องโลกและป้องกันอันตรายจากนอกโลกนัน้
นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะเรียนรู้ไม่นานมานี ้เอง แต่พระผู้เป็ นเจ้ าได้
บอกแก่เราในอัลกุรอานมาหลายศตวรรษแล้ ว

miracle_thai 01/03/2011 Page 26


ฟ้าที่กลับคืนมา
อายะฮ์ที่ 11 ซูเราะฮ์อฏั ฏอริก ได้ กล่าวถึง “การกลับคืน” ของท้ องฟ้าไว้ ดงั นี ้

“ ขอสาบานด้ วยชัน้ ฟ้าที่หลั่งนํา้ ฝน”


(อัลกุรอาน 86:11)

คําว่า “หลัง่ ” ในอัลกุรอานมีความหมายถึง “ส่งกลับ” หรือ”การกลับคืนมา (วัฏจักร)” ด้ วย


ดังที่ร้ ูกนั ว่า บรรยากาศรอบโลกนันมี ้ อยู่หลายชัน้ แต่ละชันล้
้ วนมีประโยชน์ตอ่ สิ่งมีชีวิตทังสิ
้ ้น จากงานวิจยั
พบว่า บรรยากาศชันต่ ้ างๆมีหน้ าที่สะท้ อนสสารและรังสีกลับขึ ้นไปยังอวกาศหรื อสะท้ อนกลับลงมายังผืนโลก ลอง
พิจารณาหน้ าที่ “วัฏจักร” ของชันบรรยากาศต่
้ างๆดังนี ้
ชัน้ โทรโพสเฟี ยร์ สูง 13 – 15 กิโลเมตรเหนือผิวโลก สามารถกลัน่ ไอนํ ้าที่ขึ ้นมาจากผิวโลกให้ ย้อนกลับลง
มาเป็ นนํ ้าฝน
ชัน้ โอโซน ที่ระดับความสูง 25 กิโลเมตร สามารถสะท้ อนรังสีที่เป็ นอันตรายและแสงอัลตร้ าไวโอเลต
ย้ อนกลับไปสูห่ ้ วงอวกาศ
ชัน้ ไอโอโนสเฟี ยร์ ทําหน้ าที่สะท้ อนคลื่นวิทยุจากจุดหนึ่งไปยังจุดอื่นๆบนผิวโลก เช่นเดียวกับระบบ
ดาวเทียมสื่อสารทางเดียว ซึ่งทําให้ การสื่อสารไร้ สาย การส่งกระจายเสียงวิทยุ และการถ่ายทอดโทรทัศน์ได้ ใน
ระยะไกลมากขึ ้น
ชัน้ แมกเนโทสเฟี ยร์ สะท้ อนอนุภาคกัมมันตรังสีที่เป็ นอันตรายจากดวงอาทิตย์และดาวอื่นๆกลับไปยังห้ วง
อวกาศก่อนที่จะถึงโลก
ข้ อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของชันบรรยากาศที
้ ่ค้นพบเมื่อไม่นานมานี ้ กลับมีปรากฎอยู่ในอัลกุรอานหลาย
ศตวรรษมาแล้ ว เป็ นการยํ ้าอีกครัง้ ว่า อัลกุรอานเป็ นวจนะของพระผู้เป็ นเจ้ า

miracle_thai 01/03/2011 Page 27


นํา้ ในโลกนีเ้ ป็ นสิ่งสําคัญสําหรั บสิ่งมีชีวิต ปั จจัย
หนึ่งที่สําคัญต่ อการกําเนิดของนํา้ ก็คือ ชัน้ โทร
โพสเฟี ยร์ ซึ่งจะทําให้ ไอนํา้ ที่ลอยขึน้ มาจากผิว
โลกเกิดการควบแน่ นเป็ นฝนกลับไปตกลงบน
พืน้ โลก

โอโซโนสเฟี ยร์ คือ ชัน้ บรรยากาศที่ช่วยป้องกัน


รั งสีท่ อี าจเป็ นอันตรายต่ อสิ่งมีชีวิตบนโลก เช่ น
อัลตร้ าไวโอเลต โดยจะสะท้ อนรั งสีนัน้ กลับไป
ยังอวกาศ

ชัน้ บรรยากาศแต่ ละชัน้ เป็ นประโยชน์ ต่อ


สิ่งมีชีวิต ตัวอย่ าง ชัน้ ไอโอโนสเฟี ยร์ ซ่ งึ เป็ นชัน้
บรรยากาศสูงสุดช่ วยในการกระจายคลื่นวิทยุ
เป็ นระยะทางไกลๆได้

miracle_thai 01/03/2011 Page 28


ชัน้ ของบรรยากาศ
ข้ อเท็จจริงหนึ่งเกี่ยวกับจักรวาลที่ปรากฏในอัลกุรอาน คือ ท้ องฟ้าถูกสร้ างให้ มี 7 ชัน้ ดังซูเราะฮ์อลั บะเกาะ
เราะฮ.:
“พระองค์ คือผู้ท่ ไี ด้ สร้ างสิ่งทัง้ มวลในโลกไว้ สําหรับพวกเจ้ า ภายหลังได้ ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้า
และได้ ทาํ ให้ มันสมบูรณ์ ขนึ ้ เป็ นเจ็ดชัน้ ฟ้า และพระองค์ นัน้ ทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่ าง ”
(อัลกุรอาน 2:29)

ซูเราะฮ์ อัลฟุศศิลตั :
“ดังนัน้ พระองค์ ทรงสร้ างมันสําเร็จเป็ นชัน้ ฟ้าทัง้ เจ็ดในระยะเวลา 2 วัน
และทรงกําหนดในทุกชัน้ ฟ้าซึ่งหน้ าที่ของมัน ”
(อัลกุรอาน 41:12)

คําว่า “ท้ องฟ้า” ซึ่งกล่าวไว้ หลายอายะฮ์ในอัลกุรอาน หมายถึง ท้ องฟ้าที่อยู่เหนือผิวโลก หรือหมายถึง


จักรวาลทังหมดก็
้ ได้ นัน่ แสดงว่า ท้ องฟ้าหรื อบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกนันมี
้ 7 ชัน้ ในปั จจุบนั มีการศึกษาพบว่า
บรรยากาศของโลก ประกอบด้ วยชันหลายชั ้ นที
้ ่แตกต่างกัน และยิ่งกว่านันยั
้ งพบว่ามี 7 ชัน้ ดังที่ได้ กล่าวไว้ ในอัลกุ
รอานด้ วย

คุณสมบัติต่างๆทัง้ หมดของโลกล้ วนจําเป็ นต่ อสิ่งมีชีวิต ซึ่งสิ่ง


หนึ่งคือ ชัน้ บรรยากาศซึ่งทําหน้ าที่เป็ นเกราะกําบังแก่ ส่ งิ มีชีวิต
ปั จจุบันมีข้อเท็จจริ งที่ว่า ชัน้ บรรยากาศประกอบด้ วยชัน้ ที่
แตกต่ างกันทับซ้ อนกันอยู่ 7 ชัน้ ตรงตามที่อัลกุรอานได้ กล่ าว
ไว้ แน่ นอนว่ านี่คือความมหัศจรรย์ ประการหนึ่งของอัลกุรอาน

miracle_thai 01/03/2011 Page 29


แหล่งข้ อมูลด้ านวิทยาศาสตร์ได้ อธิบาย
เรื่องดังกล่าวไว้ ดงั นี ้:

นักวิทยาศาสตร์พบว่า บรรยากาศ
ประกอบด้ วยชันต่ ้ างๆ ซึ่งมีความแตกต่าง
กันทางกายภาพ ในเรื่องความดัน และ
ชนิดของก๊ าซที่เป็ นองค์ประกอบ โดยชัน้
โทรโพสเฟี ยร์ (TROPOSPHERE) เป็ นชัน้
ที่อยู่ใกล้ พื ้นโลกมากที่สดุ และมีมวลถึง
90 เปอร์เซ็นต์ของบรรยากาศทังหมด ้ ชัน้
ที่อยู่ถดั ขึ ้นไปคือ ชันสตาร์
้ โทสเฟี ยร์
(STARTOSPHERE) และชันโอโซนซึ ้ ่ง
เป็ นส่วนหนึ่งของชันสตาร์ ้ โทสเฟี ยร์ มี
หน้ าที่ดดู ซับรังสีอลั ตร้ าไวโอเลต ชันที ้ ่อยู่
ถัดขึ ้นไปอีกคือ ชันเมโสสเฟี
้ ยร์
(MESOSPHERE) ถัดไปคือ ชันเทอร์ ้ โมส
เฟี ยร์ (THERMOSPHERE) ซึ่งมีก๊าซแตก
ตัวเป็ นประจุเกิดเป็ นอีกชันหนึ ้ ่งอยู่ภายใน
เรี ยกว่า ชันไอโอโนสเฟี
้ ยร์
(IONOSPHERE) ส่วนชันที ้ ่อยู่นอกสุดมี
ขอบเขตประมาณ 480 ถึง 960 กิโลเมตร
เหนือพื ้นโลก คือชันเอกโซสเฟี
้ ยร์
(EXOSPHERE) 2

เมื่อกว่ า 1,400 ปี ก่ อน ยังมีความเชื่อกันว่ า


ท้ องฟ้าเป็ นส่ วนเดียวกันทัง้ หมด แต่ อัลกุร
อานได้ แสดงความมหัศจรรย์ โดยกล่ าวว่ า
ท้ องฟ้าประกอบด้ วย 7 ชัน้ ในขณะที่
นักวิทยาศาสตร์ เพิ่งจะค้ นพบ ความจริ ง
ดังกล่ าว เมื่อไม่ นานนี ้

miracle_thai 01/03/2011 Page 30


หากเรานับจํานวนชันที ้ ่ได้ รับการกล่าวอ้ างไว้ แล้ ว จะพบว่าชันบรรยากาศประกอบด้
้ วย 7 ชัน้ ดังนี ้
1. ชันโทรโพสเฟี
้ ยร์
2. ชันสตาร์้ โทสเฟี ยร์
3. ชันโอโซโนสเฟี
้ ยร์
4. ชันเมโสสเฟี
้ ยร์
5. ชันเทอร์ ้ โมสเฟี ยร์
6. ชันไอโอโนสเฟี
้ ยร์
7. ชันเอกโซสเฟี
้ ยร์

ความมหัศจรรย์อีกประการหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี ้ มีกล่าวไว้ ในอายะฮ์ที่ 12 ของซูเราะฮ์ อัลฟุศศิลตั ความว่า


“...และ(พระองค์ )ทรงกําหนดในทุกๆชัน้ ซึ่งหน้ าที่ของมัน...” หมายความว่าพระองค์ได้ สร้ างให้ แต่ละชันฟ ้ ้ ามี
หน้ าที่เฉพาะแตกต่างกัน ซึ่งมีความสําคัญในการดํารงชีวิตของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆบนโลก เช่น การเกิดฝน ,
การป้องกันรังสีที่เป็ นอันตราย, การสะท้ อนคลื่นวิทยุ และการป้องกันภัยจากอุกกาบาต
หน้ าที่ดงั กล่าวปรากฏ ในแหล่งข้ อมูลทางวิทยาศาสตร์เป็ นตัวอย่างหนึ่งดังนี :้
ชัน้ บรรยากาศมี ทงั้ สิ้ น 7 ชัน้ ชัน้ ล่างสุดคือ ชัน้ โทรโพสเฟี ยร์ ซึ่งเป็ นเพียงชัน้ เดียวเท่านัน้ ที่มีการเกิ ดฝน หิ มะ
และลม3
ข้ อเท็จจริงที่ไม่สามารถค้ นพบได้ หากปราศจากเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 20นัน้ อัลกุรอานได้ เปิ ดเผยแก่เรา
ตังแต่
้ เมื่อ 1,400 ปี มาแล้ ว นับเป็ นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง

miracle_thai 01/03/2011 Page 31


หน้ าที่ของภูเขา

อัลกุรอานได้ กล่าวไว้ เกี่ยวกับคุณสมบัติทางด้ านธรณีวิทยาที่สําคัญของภูเขาดังซูเราะฮ์อลั อัมบิยาอ :

“และเราได้ ทาํ ให้ เทือกเขามั่นคงในแผ่ นดิน เพื่อมันจะมิได้ เคลื่อนไหวภายใต้ พวกเขา…”


(อัลกุรอาน 21:31)

ภูเขามีรากฝั งลึกลงไปในพืน้ ผิวดิน (Earth


Press and Siever , p 413 )

ภาพตัดของภูเขาแสดงให้ เห็นถึงลักษณะ
เหมือนหมุดฝั งลึกลงไปในพืน้ ดิน (Anatomy
of the Earth , Cailleux , p 220)

ภาพแสดงว่ าภูเขามีลักษณะเหมือนหมุด
จากการที่รากฝั งลึกลงไปในพืน้ ดิน ( Earth
Science ,Tarbuck and Lutgens , p 158 )

miracle_thai 01/03/2011 Page 32


ดังที่ปรากฏในอายะฮ์ข้างต้ นว่า ภูเขามีหน้ าที่ในการป้องกันการสัน่ ไหวของแผ่นดิน
ความรู้ทางธรณีวิทยาที่เพิ่งค้ นพบเมื่อไม่นานมานี ้ เป็ นข้ อเท็จจริงที่ยงั ไม่มีผ้ ใู ดรู้ในขณะที่อลั กุรอานประทาน
ลงมา
จากการค้ นพบว่าภูเขาเกิดจากการเคลื่อนที่เข้ าปะทะกันของแผ่นทวีปขนาดใหญ่ที่กลายเป็ นผิวโลก แผ่นที่
แข็งกว่าจะแทรกเข้ าไปใต้ อีกแผ่นหนึ่ง ชันที
้ ่อยู่ข้างบนจะมีการโค้ งงอเกิดเป็ นภูเขาขึ ้น ชันที
้ ่อยู่ข้างใต้ จะเป็ นส่วนที่
ลึกลงไปด้ านล่าง นัน่ หมายถึง จริ งๆแล้ วภูเขาที่เราเห็นว่าสูงตระหง่านเสียดฟ้านัน้ มีสว่ นที่ลกึ ลงไปใต้ ดินพอๆกับ
ส่วนที่เราเห็นบนผืนโลก
ข้ อความทางวิทยาศาสตร์ได้ อธิบายโครงสร้ างของภูเขาไว้ ดงั นี ้ :

ลักษณะที่ภูเขาฝั งลึกลงไปในพืน้ ดินและยื่นขึน้ เหนือพืน้ โลก ทําให้ มี


คุณสมบัติเหมือนหมุดที่ยึดผิวโลกเข้ าไว้ ด้วยกัน เปลือกโลกประกอบด้ วยส่ วน
ที่ยังคงมีการเคลื่อนตัวอย่ างสมํ่าเสมอ การยึดติดของภูเขานีช้ ่ วยป้องกันการ
สั่นสะเทือนอย่ างรุ นแรงของเปลือกโลก ซึ่งมีโครงสร้ างที่เคลื่อนไหวได้

miracle_thai 01/03/2011 Page 33


“แผ่นทวีปส่วนที่หนากว่าได้ แก่สว่ นที่เป็ นเทือกเขานัน้ เปลือกโลกชันนอกฝั
้ ้ 4
งลึกลงไปในเปลือกโลกชันใน”
อัลกุรอานได้ เปรี ยบเทียบหน้ าที่ของภูเขาเหมือนกับตะปูหมุด ดังซูเราะฮ์อนั นะบะอ :

“เรามิได้ ทาํ ให้ แผ่ นดินเป็ นพืน้ ราบดอกหรือ และมิได้ ให้ เทือกเขาเป็ นหลักตรึงไว้ ดอกหรือ”
(อัลกุรอาน 78:6–7)

กล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ วา่ ภูเขาจะยึดชันหิ


้ นใต้ เปลือกโลกเข้ าไว้ ด้วยกันโดยมีจดุ ยึดทังด้
้ านบนและด้ านล่างของ
ผิวโลก ทําให้ เปลือกโลกไม่ไหวเลื่อน อาจเปรียบได้ วา่ ภูเขาเหมือนตะปูที่ตรึงแผ่นไม้ เข้ าไว้ ด้วยกัน
ลักษณะการยึดของภูเขาในทางวิชาการเรียกว่า “ดุลเสมอภาคของเปลือกโลก” (Isostasy) ซึ่งมีความหมาย
ว่า :
“เปลือกโลกรักษาภาวะสมดุลได้ ด้ วยการเคลื่อนไหวเป็ นครัง้ คราวของหินใต้ เปลือกโลก” 5
หน้ าที่สําคัญของภูเขาที่ค้นพบจากความรู้ด้านธรณีวิทยา ซึ่งเป็ นตัวอย่างการสร้ างสรรค์อนั ยิ่งใหญ่ของพระ
ผู้เป็ นเจ้ า มีกล่าวไว้ ในอัลกุรอานมาก่อนหน้ าแล้ ว ดังซูเราะฮ์อลั อัมบิยาอ.

“ และเราได้ ทาํ ให้ เทือกเขามั่นคงในแผ่ นดิน เพื่อมันจะมิได้ หวั่นไหวไปกับพวกเขา


และเราได้ ทาํ ให้ หุบเขาเป็ นทางกว้ างในแผ่ นดินนัน้ เพื่อว่ าพวกเขาได้ ใช้ เป็ นทางเดินอย่ างถูกต้ อง ”
(อัลกุรอาน 21:31)

miracle_thai 01/03/2011 Page 34


การเคลื่อนไหวของภูเขา

จากอายะฮ์หนึ่งในซูเราะฮ์ อันนัม ทําให้ เราได้ ร้ ูวา่ ภูเขาที่เราเห็นเหมือนว่ามิได้ เคลื่อนไหวใดๆ แท้ จริงแล้ ว


ภูเขานันเคลื
้ ่อนไหวอยูเ่ สมอ

“และเจ้ าจะเห็นขุนเขาทัง้ หลาย เจ้ าจะคิดว่ ามันติดแน่ นอยู่กับที่ แต่ มันล่ องลอยไป
เช่ นการล่ องลอยของเมฆ นั่นคือการงานของอัลลอฮ์ ซ่งึ พระองค์ ผ้ ทู าํ ทุกสิ่งทุกอย่ างเรียบร้ อย
แท้ จริงพระองค์ เป็ นผู้ทรงตระหนักในสิ่งที่พวกเจ้ ากระทํา”
(อัลกุรอาน 27:88)

การเคลื่อนไหวของภูเขาเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกชันนอกที
้ อ่ ยูเ่ หนือเปลือกโลกชันในที
้ ่หนาแน่น
กว่า
ในช่วงต้ นศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันที่ชื่อ อัลเฟรด เ วเกเนอร์ (Alfred Wegener) เสนอ
สมมุติฐานเป็ นครัง้ แรกในประวัติศาสตร์วา่ ทวีปต่างๆ นัน้ แต่เดิม เป็ นผืนเดียวกัน ต่อมาได้ เคลื่อนตัวแยกออกจาก
กัน นักธรณีวิทยาเพิ่งเข้ าใจและยอมรับ ทฤษฎีนี ้ในทศวรรษ 1980 ซึ่งเป็ นเวลากว่า 50 ปี หลังจากที่เวเกเนอร์
เสียชีวิตไปแล้ ว เวเกเนอร์อธิบายไว้ ในบทความที่ตีพิมพ์ ในปี 1915 ว่า เมื่อประมาณ 500 ล้ านปี ก่อน พื ้นโลก
ปั จจุบนั ซึ่งเป็ นทวีปต่างๆ ยังเป็ นผืนเดียวกัน อยู่บริเวณขัวโลกใต้
้ เรียกว่า ปั นเจีย (Pangaea)
ประมาณ 180 ล้ านปี ก่อน ปั นเจียแยกออกเป็ นสองส่วนและ เคลื่อนออกจากกัน ส่วนหนึ่งเรี ยกว่า กอนด์วา
นา (Gondwana) ประกอบด้ วยทวีปแอฟริกา ออสเตรเลีย แอนตาร์ กติกา และอินเดีย และอีกส่วนหนึ่งเรียกว่า
ลอเรเซีย (Laurasia) ประกอบด้ วยทวีปยุโรป อเมริกาเหนือและเอเชีย (ยกเว้ นอินเดีย) อีก 150 ล้ านปี ต่อมา กอนด์
วานาและลอเรเซียต่างก็แยกออกเป็ นส่วนย่อยๆ
ทวีปต่างๆที่เกิดจากการแยกของปั นเจียนัน้ ปั จจุบนั ยังคงเคลื่อนตัวอยู่หลายเซ็นติเมตรต่อปี ซึ่งทําให้ สดั ส่วน
ของผืนดินกับผืนนํ ้าบนโลกนี ้เปลี่ยนไปด้ วย
ต้ นศตวรรษที่ 20 มีการศึกษาทางธรณีวิทยาและพบว่าการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกเป็ นดังนี ้

miracle_thai 01/03/2011 Page 35


ภาพทางด้ านซ้ ายแสดงตําแหน่งของ
ทวีปในอดีต ถ้ าเราคาดเดาเอาว่าการ
เคลือ่ นตัวของทวีปนั ้น จะยังคงดําเนิน
ไปในลักษณะนี ้ ในอีกล้ านปี ข้ างหน้ า
ตําแหน่งของมันจะอยู่ในลักษณะดัง
ในภาพทางด้ านขวา

เปลือกโลกชันนอกกั
้ บส่วนบนสุดของเปลือกโลกชันใน
้ ซึ่งหนาประมาณ 100 กิโลเมตร ถูกแบ่ง ออกเป็ นส่วน
เรี ยกว่า แผ่นทวีป (Plate) ประกอบด้ วย 6 แผ่นทวีปใหญ่ และหลายแผ่นทวีปเล็ก ตามทฤษฎี การแปรโครงสร้ าง
แผ่นทวีปเหล่านี ้จะเคลื่อนตัวจนทําให้ ทวีปและพื ้นมหาสมุทรเคลื่อนที่ไปด้ วย การเคลื่อนตัวของทวีปวัดได้
ประมาณ 1-5 เซนติเมตรต่อปี การเคลื่อนตัวของแผ่นทวีปนันทํ ้ าให้ ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์ของโลกเปลี่ยนแปลงไป
อย่างช้ าๆ เช่น มหาสมุทร แอตแลนติค จะกว้ างออกเล็กน้ อยในแต่ละปี 6
ประเด็นสําคัญมากที่จะกล่าวถึงในที่นี ้ก็คือ อัลลอฮ์ได้ ตรัสเรื่ องการเคลื่อนไหวของภูเขานี ้ไว้ ในอายะฮ์กรุ อาน
แล้ ว ในปั จจุบนั นักวิทยาศาสตร์ สมัยใหม่ได้ ใช้ คําว่า การเลื่อนของทวีป (Continental Drift) เพื่อแสดงถึงการ
เคลื่อนไหวเหล่านัน้ 7
เป็ นที่แน่ชดั แล้ วว่านี่คือ ความมหัศจรรย์ประการหนึ่งของอัลกุรอาน ที่ได้ เปิ ดเผยข้ อเท็จจริงที่วิทยาศาสตร์
เพิ่งค้ นพบ

miracle_thai 01/03/2011 Page 36


ความมหัศจรรย์ ของเหล็ก
เหล็กเป็ นธาตุหนึ่งที่อลั กุรอานกล่าวถึงไว้ ในซูเราะฮ์ อัล ฮะดีด ซึ่งหมายถึงเหล็ก ความว่า
“...และเราได้ (ส่ งลงมา) ให้ มีเหล็กขึน้ มา เพราะในนัน้ มีความแข็งแกร่ งมาก
และมีประโยชน์ มากหลายสําหรับมนุษย์...”
(อัลกุรอาน 57:25)

คําว่า “ส่งลงมา” ในที่นี ้หากพิจารณาในเชิงอุปมาอุปมัยก็อาจหมายความว่า “ประทานลงมาเพื่อเป็ น


ประโยชน์แก่มนุษย์” แต่เมื่อเราพิจารณาความหมายตามตัวอักษร จะหมายถึง “วัตถุนนถู ั ้ กส่งลงมาจากฟากฟ้า
จริงๆ ” ซึ่งทําให้ เราประจักษ์ วา่ อายะฮ์นี ้มีนยั แสดงความมหัศจรรย์ทางวิทยาศาสตร์ที่สําคัญยิ่ง
นัน่ ก็เพราะว่าในปั จจุบนั มีการค้ นพบทางดาราศาสตร์วา่ เหล็กที่พบในโลกนันมาจากดาวฤกษ์
้ ขนาดใหญ่ใน
อวกาศ
โลหะหนักในจักรวาลกําเนิดจากนิวเคลียสของดาวฤกษ์ ขนาดใหญ่ ซึ่งใน
ระบบสุริยะของเราไม่มีโครงสร้ างของสภาวะที่จะทําให้ เหล็กเกิดขึ ้นได้ โดยที่เหล็ก
จะเกิดขึ ้นเฉพาะในบรรดาดาวฤกษ์ที่ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์มากที่มีอณ ุ หภูมสิ งู ถึง 2-
3 ร้ อยล้ านองศาเซลเซียส เมื่อเหล็กมีจํานวนมากขึ ้น จนถึงระดับที่ดาวดวงนันรั ้ บไม่
ไหว ดาวดวงนันก็ ้ จะระเบิดขึ ้น เรียกว่า โนว่า (nova) หรือ ซุปเปอร์โนว่า
(supernova) ซึ่งทําให้ เกิดอุกกาบาตที่มีสว่ นประกอบของเหล็กกระจายอยูใ่ นอวกาศ จนกระทัง่ เข้ าสูแ่ รงโน้ มถ่วง
ของดาวต่างๆ
ความจริงดังกล่าวที่วา่ เหล็กไม่ได้ กําเนิดบนโลก แต่มาจากการระเบิดของดาวฤกษ์ และเกิดเป็ นอุกกาบาต
ในอวกาศส่งมายังโลก ตรงกับที่กล่าวไว้ ในอัลกุรอาน จึงเป็ นที่แน่ชดั แล้ วว่า ข้ อเท็จจริงที่เพิ่งมารู้กนั เมื่อคริส
ศตวรรษที่ 7 นัน้ อัลกุรอานได้ ประกาศไว้ ก่อนแล้ ว

miracle_thai 01/03/2011 Page 37


การสร้ างสรรค์ เป็ นคู่

อัลกุรอานใน ซูเราะฮ์ ยาซีน ความว่า


“มหาบริสุทธิ์ย่ งิ แด่ พระผู้ทรงสร้ างทุกสิ่งทัง้ หมดเป็ นคู่ๆจากสิ่งที่แผ่ นดินได้
(ให้ มัน) งอกเงยขึน้ มา และจากตัวของพวกเขาเอง และจากสิ่งที่พวกเขาไม่ ร”้ ู
(อัลกุรอาน 36:36)

แม้ วา่ บทสรุปโดยทัว่ ไปที่กล่าวถึงเรื่ องของ คําว่า”คู”่ หรือ “สองสิ่ง”มักจะหมายถึง ชาย-หญิ ง, เพศผู้-เพศเมีย
แต่โองการที่กล่าวว่า “จากสิ่งที่พวกเขาไม่ร้ ู” มีความหมายที่มากกว่านัน้ และในปั จจุบนั หนึ่งในความหมาย
ดังกล่าว ก็เป็ นที่เข้ าใจแล้ ว
นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ที่ชื่อ พอล ดิรัก (Paul Dirac) ได้ รับรางวัลโนเบล สาขาฟิ สิกส์ ในปี 1933 จาก
การเสนอสมมติฐานว่าสิ่งต่างๆ ถูกสร้ างมาเป็ นคูๆ่ การค้ นพบครัง้ นี ้เรียกว่า ปาริเต (Parite´) ซึ่งหมายถึง สิ่งต่างๆ
จะมีสิ่งที่มีคณุ สมบัตติ รงกันข้ ามเป็ นคูก่ นั ตัวอย่างเช่น อิเล็กตรอนซึ่งมีประจุลบ มีสิ่งที่ตรงกันข้ าม คือ โปรตอน ที่มี
ประจุบวก ข้ อเท็จจริ งดังกล่าวนี ้มีระบุไว้ ในแหล่งข้ อมูลทางวิทยาศาสตร์วา่

“…..ทุกอนุภาคมี อนุภาคที ่มีประจุตรงกันข้าม… และ


ความสัมพันธ์ ที่ไม่มีความแน่นอนตายตัวนัน้ บ่งบอกว่าการกําเนิ ดเป็ นคู่
และการสูญสิ้ นเป็ นคู่เกิ ดขึ้นในทุกเวลาทุกสถานที่ “ 8

Prof. Paul Dirac

miracle_thai 01/03/2011 Page 38


สัมพันธภาพแห่ งเวลา

ในปั จจุบนั นี ้เรื่ องสัมพันธภาพแห่งเวลาได้ รับการพิสจู น์ทางวิทยาศาสตร์แล้ วจากทฤษฎีสมั พันธภาพของ


อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในศตรรษที่ 20 แต่ก่อนนันมนุ ้ ษย์ยงั ไม่ร้ ูวา่ เวลามีมิติสมั พันธภาพ สามารถเปลี่ยนแปลงตาม
สภาพแวดล้ อมได้ จนกระทัง่ นักวิทยาศาสตร์ ที่ยิ่งใหญ่อย่างอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้ ค้นพบข้ อพิสจู น์เกี่ยวกับทฤษฎี
สัมพันธภาพว่า เวลาขึ ้นอยู่กบั มวลและความเร็ว ในประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติไม่มีใครสามารถสร้ างความ
กระจ่างในเรื่องนี ้ได้ มาก่อน
อย่างไรก็ตามอัลกุรอานได้ กล่าวถึงข้ อมูลเกี่ยวกับสัมพันธภาพของเวลาในซูเราะฮ์ อัลฮัจญ์ ความว่า

“และพวกเขาได้ เร่ งเร้ าเจ้ า ให้ มีการลงโทษ แต่ว่าอัลลอฮ์ (ซ.บ.) นัน้


จะไม่ ทรงผิดสัญญาของพระองค์ เป็ นอันขาด และแท้ จริง
วันนัน้ ณ ที่พระเจ้ าของเจ้ านัน้ เท่ ากับหนึ่งพันปี ตามที่พวกเจ้ าคํานวณนับ”
(อัลกุรอาน 22: 47)

เวลาเป็ นเรื่ องที่ขนึ ้ อยู่กับเงื่อนไขของผู้สังเกตทัง้ สิน้ ขณะที่ช่วงเวลาหนึ่งดูเหมือนว่ าจะยาวนาน สําหรั บคนคนหนึ่ง แต่
กลับสัน้ สําหรั บอีกคนหนึ่ง เพื่อความเข้ าใจที่ตรงกัน เราจึงต้ องมีส่ งิ ที่บอกเวลา เช่ น นาฬิกา หรื อปฏิทิน เราจะไม่
สามารถตัดสินเกี่ยวกับเวลาได้ อย่ างเที่ยงตรงเลย ถ้ าปราศจากสองสิ่งนี ้

miracle_thai 01/03/2011 Page 39


ซูเราะฮ์ อัซซัจญดะฮ.
“พระองค์ ทรงบริหารกิจการจากชัน้ ฟ้าสู่แผ่ นดิน แล้ วมันจะขึน้ ไปสู่พระองค์ ในวันหนึ่ง
ซึ่งกําหนดของมันเท่ ากับหนึ่งพันปี ตามที่พวกเจ้ านับ”
(อัลกุรอาน 32:5)

ซูเราะฮ์ อัลมะอาริ จญ์


“มาลาอิกะห์ และอัรรูห์ (ญิบริล) จะขึน้ ไปหาพระองค์
ในวันหนึ่งซึ่งกําหนดของมันเท่ ากับห้ าหมื่นปี (ของโลกดุนยานี)”้
(อัลกุรอาน 70:4)

บางอายะฮ์ในอัลกุรอาน บ่งบอกไว้ วา่ มนุษย์สามารถรับรู้เวลาที่แตกต่างกัน บาง ครัง้ มนุษย์จะรู้สกึ ว่า


ช่วงเวลาสันๆนั
้ นแสนยาวนาน
้ ตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี ้ปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อัลมุอ.มินนู ความว่า

“พระองค์ ตรั สว่ า พวกเจ้ าพํานักอยู่ในแผ่ นดินนีเ้ ป็ นจํานวนกี่ปี


พวกเขากล่ าวตอบว่ า เราพํานักอยู่วันหนึ่งหรือส่ วนหนึ่งของวัน
ขอพระองค์ โปรดถามนักคํานวณที่เชี่ยวชาญเถิด พระองค์ ตรัสว่ า
พวกเจ้ ามิได้ พาํ นักอยู่ เว้ นแต่ เพียงเล็กน้ อยเท่ านัน้ หากพวกเจ้ ารู้
(อัลกุรอาน 23:112-114 )

การที่เรื่องสัมพันธภาพของเวลามีกล่าวไว้ อย่างชัดเจนในอัลกุรอาน เป็ นเวลา


14 ศตวรรษมาแล้ วนัน้ ยืนยันได้ วา่ เพราะอัลกุรอานเป็ นวจนะของพระผู้เป็ นเจ้ า

miracle_thai 01/03/2011 Page 40


ดุลยภาพแห่ งฝน
อัลกุรอานกล่าวถึงฝนที่ตกลงสูพ่ ื ้นโลกนันว่
้ า มีปริมาณที่เหมาะสม ดังความในซูเราะฮ์ อัซซุครุฟ ความว่า
“และเป็ นผู้ทรงหลั่งนํา้ ลงมาจากฟากฟ้าตามปริมาณ และด้ วยนํา้ นัน้ เราได้ ทาํ ให้ แผ่ นดินที่แห้ งแล้ ง
มีชีวติ ชีวาขึน้ และเช่ นนัน้ แหละพวกเจ้ าจะถูกให้ ออกมา(จากกุบูร)”
(อัลกุรอาน 43:11)

เรื่องปริมาณของฝนนันมี้ การค้ นพบโดยการวิจยั สมัยใหม่ ประมาณว่าในหนึ่ง วินาทีมีปริมาณนํ ้าระเหยจาก


พื ้นดิน 16 ล้ านตัน ในหนึ่งปี มีจํานวนนํ ้าประมาณ 513 ล้ านล้ านตันที่ระเหยจากพื ้นโลก เป็ นปริมาณเท่ากับฝนที่
ตกมาบนพื ้นโลกในหนึ่งปี นัน่ ย่อมหมายความว่าการหมุนเวียนของนํ ้าในโลกมีปริมาณที่สมดุลและต่อเนื่องเป็ น
วงจร สรรพชีวิตบนโลกล้ วนต้ องอาศัยวงจรของนํ ้านี ้ แม้ ในปั จจุบนั มนุษย์สามารถใช้ เทคโนโลยีทงหลายที
ั้ ่มีอยู่ใน
โลกก็ไม่สามารถทําให้ เกิดวงจรของนํ ้าดังกล่าวได้
หากวันใดดุลยภาพนันเกิ้ ดการเบี่ยงเบนเพียงเล็กน้ อย ก็
จะเกิดความไม่สมดุลของระบบนิเวศครัง้ ใหญ่จนทําให้ สิ่งมีชีวิต
ไม่อาจดํารงอยู่ได้ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ทํานองนี ้ยังไม่เคย
เกิด ทุกปี ฝนก็ยงั ตกอยู่อย่างสมํ่าเสมอด้ วยปริ มาณ ที่แน่นอน
เหมือนในโองการที่ปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน

miracle_thai 01/03/2011 Page 41


ในทุกๆปี ปริ มาณของนํา้ ที่ระเหยและตกลงสู่พนื ้ โลกในลักษณะของฝน จะมี ปริ มาณที่คงที่ 513 ล้ านล้ านตัน โดย
ปริ มาณที่คงที่นัน้ ถูกกล่ าวไว้ ในอัลกุรอานในโองการที่ว่า “…นํา้ ลงมาจากฟากฟ้าตามปริ มาณ ” ปริ มาณที่คงที่ นีม้ ี
ความสําคัญมากความต่ อเนื่องในการตกนัน้ จะมีความสําคัญมากต่ อระบบนิเวศวิทยาที่สมดุลและต่ อสิ่งมีชีวิต.

miracle_thai 01/03/2011 Page 42


การก่ อตัวของฝน

การที่ฝนก่อตัวขึ ้นได้ อย่างไรนันเคยเป็


้ นที่สงสัยมาเป็ นเวลายาวนาน จนกระทัง่ หลังจากมีการประดิษฐ์เครื่อง
ตรวจวัดสภาพอากาศ เราจึงรู้ขนตอนที
ั้ ่ฝนก่อตัวขึ ้น
การก่อตัวของฝนนันมี ้ อยู่ 3 ขันตอน้ โดยในขันตอนแรกนั
้ น้ ไอนํ ้าซึ่งเป็ น ”วัตถุดิบ” ของฝน จะ ลอยตัวขึ ้นสู่
อากาศโดยการพัดพาลม หลังจากนันก็ ้ ก่อตัวขึ ้นเป็ นเมฆ และสุดท้ ายก็กลายเป็ นเม็ดฝนตกลงมา
อัลกุรอานได้ อธิบายขันตอนการก่
้ อตัวของฝนไว้ ในซูเราะฮ์ อัรรูม ความว่า

“อัลลอฮ์ ทรงเป็ นผู้ส่งลมทัง้ หลาย แล้ วมันได้ รวมตัวกันเป็ นเมฆ แล้ วพระองค์ ทรงให้ มัน
แผ่ กระจายไปตามท้ องฟ้า เท่ าที่พระองค์ ทรงประสงค์ และพระองค์ ทรงทําให้ มันเป็ นกลุ่มก้ อน
แล้ วเจ้ าจะเห็นฝนตกลงมาจากท่ ามกลางมัน เมื่อมันได้ ตกลงมายังผู้ท่ พ ี ระองค์ ทรงประสงค์
จากปวงบ่ าวของพระองค์ เมื่อนัน้ พวกเขาก็ดีใจ”
(อัลกุรอาน 30:48)

เรามาพิจารณาถึงการก่อตัวของฝนตามหลักวิชาการ ทัง้ 3 ขันตอนที ้ ่กล่าวไว้ ในอายะฮ์ดงั กล่าวข้ างต้ น ดังนี ้


ขัน้ ตอนแรก: “อัลลอฮ์ ทรงเป็ นผู้ส่งลมทัง้ หลาย...”
ฟองอากาศจํานวนมหาศาลที่เกิดในมหาสมุทรจะแตกตัวอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็ น อนุภาคเล็กๆของนํ ้า
พุ่งขึ ้นสูท่ ้ องฟ้า โดยแรงลมจะพัดพาอนุภาคทีเ่ ต็มไปด้ วยเกลือนี ้ขึ ้นสูช่ นบรรยากาศ
ั้ ซึ่งอนุภาคของนํ ้าที่แขวนลอย
อยู่ในอากาศนี ้เรียกว่าแอโรซอล (Aerosol) ทําหน้ าที่กกั เก็บนํ ้า โดยดึงไอนํ ้าที่อยูร่ อบๆมาก่อตัวเป็ นหยดนํ ้าเล็กๆ
ขัน้ ตอนที่สอง: “...แล้ วมันได้ รวมตัวกันเป็ นก้ อนเมฆ แล้ วพระองค์ ทรงให้ มันแผ่ กระจายไปตาม
ท้ องฟ้าเท่ าที่พระองค์ ทรงประสงค์ และพระองค์ ทรงทําให้ มันเป็ นกลุ่มก้ อน...”
เมฆก่อตัวขึ ้นจากไอนํ ้าที่เกาะอยู่รอบๆผลึกเกลือหรื อฝุ่ นละอองในอากาศ เนื่องจากหยดนํ ้าในเมฆนันมี ้
ขนาดเล็กมาก (โดยมีเส้ นผ่าศูนย์กลางอยู่ระหว่าง 0.01 ถึง 0.02 มิ ลลิเมตร) จึงลอยอยู่ในอากาศได้ และกลายเป็ น
เมฆแผ่กระจายเต็มท้ องฟ้า

miracle_thai 01/03/2011 Page 43


ภาพนีแ้ สดงให้ เห็นละอองนํา้ ที่ระเหยขึน้ สู่อากาศ ซึ่งเป็ นขัน้ ตอนแรกของการก่ อตัวของฝน หลังจากนัน้ ละอองนํา้
เหล่ านีจ้ ะก่ อตัวเป็ นเมฆ และแขวนลอยอยู่ในอากาศก่ อนที่จะกลั่นตัวเป็ นเม็ดฝน ขัน้ ตอนทัง้ หมดนีไ้ ด้ กล่ าวไว้ แล้ ว
ในอัลกุรอาน

ขัน้ ตอนที่สาม:“...แล้ วเจ้ าจะเห็นฝนตกลงมาจากท่ ามกลางมัน...”


อนุภาคของนํ ้าที่อยุร่ อบๆผลึกเกลือและฝุ่ นละอองจะควบแน่นแล้ วก่อตัวเป็ นเม็ดฝน เม็ดฝนที่มีนํ ้าหนัก
มากกว่าอากาศ จะแยกตัวจากก้ อนตกลงสูพ่ ื ้นดิน
จะเห็นได้ วา่ ทุกๆขันตอนในการก่
้ อตัวของฝนนันสอดคล้
้ องกับอัลกุรอาน นอกจากนัน้ ยังเป็ นไปตามลําดับ
ขันตอนอย่
้ างถูกต้ อง ปรากฏการณ์ธรรมชาติอีกหลายอย่างในโลกก็เช่นกัน อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้ ให้ คําอธิบายอย่าง
ถูกต้ องที่สดุ ไว้ แล้ วในอัลกุรอาน ให้ มนุษย์ได้ เรียนรู้หลายศตวรรษ ก่อนหน้ าที่จะมีการศึกษาค้ นพบเสียอีก
ยังมีอีกอายะฮ์หนึ่งที่ให้ ข้อมูลเกี่ยวกับการก่อตัวของฝนดังนี ้

miracle_thai 01/03/2011 Page 44


ซูเราะฮ์ อันนูร
“เจ้ าไม่ เห็นดอกหรื อว่ า แท้ จริงนัน้ อัลลอฮ์ ได้ ทรงให้ เมฆลอย แล้ วทรงทําให้ ประสานตัวกัน
แล้ วทรงทําให้ รวมกันเป็ นกลุ่มก้ อน แล้ วเจ้ าจะเห็นฝนโปรยลงมาจากกลุ่มเมฆนัน้
แล้ วพระองค์ ทรงให้ มันตกลงมาจากฟากฟ้า มีขนาดเท่ าภูเขา ในนัน้ มีลูกเห็บ
แล้ วพระองค์ จะทรงให้ มันหล่ นลงมาโดนผู้ท่ พ ี ระองค์ ทรงประสงค์ และพระองค์ จะทรงให้ มันผ่ านพ้ นไป
จากผู้ท่ พี ระองค์ ทรงประสงค์ แสงประกายของสายฟ้าแลบเกือบจะเฉี่ยวสายตาผู้มอง”
(อัลกุรอาน 24:43)

นักวิทยาศาสตร์ ที่ศกึ ษาชนิดของเมฆได้ ค้นพบคําตอบที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับการก่อตัวของฝน เมฆฝนก่อ


ตัวเป็ นรูปร่างตามระบบและขันตอนที้ ่แน่นอน เมฆฝนขนาดใหญ่ที่เรี ยกว่า เมฆคูมูโลนิ มบัส (Cumulonimbus) นัน้
มีขนตอนการก่
ั้ อตัวดังนี ้
1. พัดพา: ลมพัดพาเมฆก้ อนเล็กๆ
2. รวมตัว: เมฆก้ อนเล็กๆที่เรี ยกว่าเมฆคูมูลสั (Cumulus) นี ้ จะรวมกันเข้ า ก่อตัวขึ ้นเป็ นเมฆที่ใหญ่ขึ ้น
3. กองสุม: เมื่อเมฆมีขนาดใหญ่ขึ ้น แรงดัน ภายในก้ อนเมฆก็เพิ่มมากขึ ้น บริเวณส่วนกลางของก้ อนเมฆจะมี
แรงดันสูงมากจนทําให้ ก้อนเมฆโป่ งขึ ้นด้ านบนในแนวตัง้ ส่วนของก้ อนเมฆที่สงู ขึ ้นไปนันจะกระทบกั
้ บ
ความเย็นของชันบรรยากาศจึ
้ งกลัน่ เป็ นหยดนํ ้าและลูกเห็บทีมี่ ขนาดใหญ่ขึ ้นเรื่อยๆ เมื่อหยดนํ ้าและ
ลูกเห็บเหล่านี ้หนักเกินกว่าแรงดันของเมฆจะรับไว้ ได้ ก็จะตกลงมาเป็ นฝนและก้ อนลูกเห็บ

เราต้ องไม่ลืมว่านักอุตนุ ิยมวิทยาเพิ่งจะรู้รายละเอียดการก่อตัวของฝนได้ เมื่อไม่นานนี ้ โดยใช้ เครื่องมืออัน


ทันสมัย เช่น ดาวเทียม หรื อ คอมพิวเตอร์ เป็ นต้ น นี่ก็เป็ นหลักฐานอันชัดแจ้ งที่ อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้ ให้ ข้อมูลที่ไม่มี
ผู้ใดล่วงรู้มากว่า 1,400 ปี มาแล้ ว

miracle_thai 01/03/2011 Page 45


A เมฆก้ อนเล็กๆ (เมฆคูมูลัส)
B เมื่อรวมตัวกันเข้ าเป็ นเมฆก้ อนใหญ่ แรง ดันที่อยู่ภายในก็เพิ่มขึน้ จึงดันให้ ก้อนเมฆ ขยายตัวขึน้ ในแนวตัง้

แรงดันภายในก้ อนเมฆทําให้ เมฆขยายตัวขึน้ ในแนวตัง้ เมื่อ ส่ วนบน


ของก้ อนเมฆขึน้ ไปสัมผัสบริ เวณทีเย็นกว่ า จึงก่ อตัวเป็ นหยดนํา้ และ
ลูกเห็บทีใหญ่ ขนึ ้ ๆ เมื่อหยดนํา้ และลูกเห็บมีขนาดใหญ่ จนเกินกว่ า
แรงดันของก้ อนเมฆจะรั บไหว จึงตกลงมาเป็ นฝนและลูกเห็บ
ข้ อเท็จจริ งทางวิทยาศาสตร์ นีป้ รากฏอยู่ในอายะฮ์ ท่ ี 43 ซูเราะฮ์ อันนูร
เมื่อ 14 ศตวรรษมาแล้ ว “...แล้ ว ( พระองค์ ) ทรงทําให้ รวมกันเป็ นกลุ่ม
ก้ อน แล้ วเจ้ าจะเห็นฝนโปรยลงมาจากกลุ่มเมฆนัน้ ...” ( อัลกุรอาน
24:43)

เมฆก้ อนเล็กๆ (เมฆคูมูลัส) ถูกลมพัดไปรวมตัวกัน อัลกุรอานตรั สไว้ ว่า


“...อัลลอฮ์ ทรงเป็ นผู้ส่งลมทัง้ หลายแล้ วมันได้ รวมตัวกันเป็ นก้ อนเมฆ ...”

miracle_thai 01/03/2011 Page 46


ลมที่ทาํ ให้ เกิดฝน
ในซูเราะฮ์อลั ฮิจร์ อายะฮ์ที่ 22 ได้ กล่าวถึงลมที่ทําให้ เมฆก่อตัวขึ ้นจนกลายเป็ นฝนว่า

“และเราได้ ส่งลมผสมเกสร* แล้ วเราได้ ให้ นาํ ้ ลงมาจากฟากฟ้า แล้ วเราได้ ให้ พวกเจ้ าดื่มมัน…”
(อัลกุรอาน 15:22)

ในอายะฮ์นี ้ ได้ บ่งชี ้ว่าขันตอนแรกในการก่


้ อตัวของฝนคือลม ซึ่งในตอนต้ นคริสต์ศตวรรษ 20 ผู้คนรู้จกั
ความสัมพันธ์ระหว่างลมและฝนแต่เพียงว่า ลมนันพั ้ ดพาเมฆฝน อย่างไรก็ตามความรู้ทางอุตนุ ิยมวิทยาในสมัยนี ้
แสดงให้ เห็นว่าลมทําหน้ าที่อย่างไรในการก่อตัวของฝน
กระบวนการของลมในการทําให้ เกิดฝนมีดงั นี ้
บนพื ้นผิวของทะเลและมหาสมุทรอันกว้ างใหญ่ มี ฟองอากาศเกิดขึ ้นมากมายนับไม่ถ้วน เนื่องจากปฏิกิริยา
การแตกตัวของนํ ้า ซึ่งอนุภาคนํ ้าที่แตกตัวออกมาในอากาศนันมี ้ ขนาดเศษหนึ่งส่วนร้ อยมิลลิเมตร อนุภาค ที่
แขวนลอยในอากาศเหล่านี ้จะผสมกับฝุ่ นละอองที่ลมพัดมาจากแผ่นดิน และถูกลมพัด พาขึ ้นไปสูช่ นบรรยากาศ ั้
เบื ้องบน เมื่อไปปะทะกับไอนํ ้าในชันบรรยากาศข้
้ างบน ก็จะเกิดการควบแน่นรอบๆอนุภาคนัน้ ทําให้ เกิดเป็ นหยด
นํ ้าเล็กๆขึ ้น และหยดนํ ้าเหล่านี ้ก็จะรวมตัวกันเป็ นเมฆฝน จากนันจึ ้ งตกลงมาบนพื ้นโลกกลายเป็ นนํ ้าฝน
เป็ นที่ประจักษ์ วา่ ”ลมผสมเกสร*” นัน้ นําไอนํ ้าในอากาศมาผสมกับอนุภาคของฟองอากาศที่แตกตัวจาก
ทะเลมาช่วย ในการก่อตัวให้ เกิดเมฆฝน
ถ้ าลมไม่มีคณ ุ สมบัตินี ้ หยดนํ ้าเล็กๆในบรรยากาศเบื ้องบน ก็จะไม่ก่อตัวขึ ้นเป็ นเมฆฝน และฝนก็จะไม่ตกลง
มา
สิ่งสําคัญที่สดุ ในที่นี ้ก็คือ อัลกุรอานได้ ชี ้ให้ เห็นถึงหน้ าที่ของลมที่ทําให้ เกิดฝน มานานหลายร้ อยปี แล้ ว
ในขณะที่ผ้ คู นในยุคนันยั ้ งมีความรู้เพียงน้ อยนิดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ

ลมผสมเกสร ในภาษาอาหรับคือ ละวากิฮ มีความหมายว่า ทําให้ เกิดผล ทําให้ มีผล เช่นการที่ลมพัดพาเกสรตัวผู้ไปผสมกับเกสร


ตัวเมีย (จาก อัลกุรอานฉบับภาษาอังกฤษ The Glorious Qur’an, Translation and commentary, A Yusuf Ali 2nd Edition,
1977, หน้ า 641 หรือในความหมายเปรียบเทียบอีกอย่างหนึง่ คือลมที่พดั พาและทําให้ เมฆอุ้มฝน ( Saheeh International หน้ า
346 )

miracle_thai 01/03/2011 Page 47


ภาพบนอธิบายขัน้ ตอนการก่ อตัวของคลื่น โดยคลื่นถูกสร้ างมาจากลมที่กําลังพัดอยู่เหนือผิวนํา้ อนุภาคของนํา้ เริ่ ม
เคลื่อนตัวในลักษณะหมุนวนเป็ นวงกลม การเคลื่อนไหวของนํา้ ในลักษณะนีจ้ ะก่ อให้ เกิดคลื่นลูกแล้ วลูกเล่ า และ
ก่ อให้ เกิดฟองอากาศกระจายขึน้ ไปในอากาศ และนี่คือขัน้ ตอนแรกในการก่ อตัวของฝน ซึ่งอัลกุรอานได้ บอกถึง
กระบวนการนีเ้ อาไว้ ว่า “...และเราได้ ส่งลมผสมเกสร แล้ วเราได้ ให้ นํา้ ลงมาจากฟากฟ้า... ”

miracle_thai 01/03/2011 Page 48


ทะเลไม่ ลาํ ้ เขตกัน

ลักษณะทางภูมิศาสตร์ ของทะเลประการหนึ่ง ที่เพิ่งค้ นพบเร็วๆนี ้ เกี่ยวข้ องกับสิ่งที่ได้ กล่าวไว้ แล้ วในอัลกุ


รอาน ซูเราะฮ์ อัรรอห.มาน ดังนี ้
“พระองค์ ทรงทําให้ น่านนํา้ ทัง้ สอง (ทะเลและแม่ นํา้ ) ไหลมาบรรจบกัน
ระหว่ างมันทัง้ สองมีท่ กี ัน้ กีดขวาง มันจะไม่ ลาํ ้ เขตต่ อกัน”
(อัลกุรอาน 55:19-20)

ลักษณะของทะเลดังกล่าว ซึ่งเพิ่งค้ นพบเมื่อเร็วๆนี ้โดยนักสมุทรศาสตร์ คือการที่ทะเลสองแห่งมาบรรจบกัน


แต่นํ ้าจากทะเลทังสองนั
้ นก็
้ ไม่ได้ หลอมรวมเข้ าหากัน เนื่องจากลักษณะตามธรรมชาติที่เรียกว่า “แรงตึงผิว” ซึ่งเกิด
จากความหนาแน่นของนํ ้าที่แตกต่างกัน ทําให้ นํ ้าจากทะเลแต่ละแห่งไม่ผสานรวมกัน เหมือนกับมีแนวกันบางๆมา ้
ขวางไว้ 11
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เรื่ องราวเหล่านี ้ได้ กล่าวไว้ ก่อนแล้ วในอัลกุรอาน ตังแต่
้ ในยุคสมัยที่ผ้ คู นยังไม่มีความรู้ใน
เรื่องวิชาฟิ สิกส์ แรงตึงผิว หรื อ ลักษณะภูมิศาสตร์ทางทะเลมาก่อน

ในทะเลเมดิเตอร์ เรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติกนัน้ มีทงั ้ คลื่นขนาดใหญ่ กระแสนํา้ ที่เชี่ยวกราก และกระแสนํา้ ขึน้


นํา้ ลง นํา้ จากทะเลเมดิเตอร์ เรเนียนไหลเข้ ามาในมหาสมุทรแอตแลนติกผ่ านช่ องแคบยิบรอลตา แต่ อุณหภูมิ ระดับ
ความเค็ม และความหนาแน่ นของนํา้ ก็ยังคงไม่ เปลี่ยนแปลง เพราะมีแนวกัน้ ที่แบ่ งแยกนํา้ จากทะเลทัง้ สองออกจากกัน

miracle_thai 01/03/2011 Page 49


ภาพถ่ ายจากดาวเทียมของช่ องแคบยิบรอลตา

miracle_thai 01/03/2011 Page 50


ความมืดในทะเล และคลื่นใต้ นํา้

“หรื อเปรี ยบเสมือนความมืดมนทัง้ หลายในท้ องทะเลลึก


มีคลื่นซ้ อนคลื่นท่ วมมิดตัวเขา และเบือ้ งบนของมันก็มีเมฆหนาทึบซ้ อนกันชัน้ แล้ วชัน้ เล่ า
เมื่อเขาเอามือของเขาออกมา เขาแทบจะมองไม่ เห็นมัน และผู้ใดที่อัลลอฮ์
ไม่ ทรงทําให้ เขาได้ รับแสงสว่ าง เขาก็จะไม่ ได้ รับแสงสว่ างเลย”
(อัลกุรอาน 24:40)

หนังสือชื่อ “Oceans” ได้ บรรยายสภาพทัว่ ไปของทะเลลึกไว้ ดงั นี ้


ความมืดในทะเลลึกและมหาสมุทรนัน้ เริ่ มตัง้ แต่ระดับความลึกที่ 200 เมตรลงไป เกื อบจะไม่มีแสงสว่างอยู่
เลย และในระดับความลึกที่ตํ่ากว่า 1,000 เมตรลงไปนัน้ ไม่มีแสงสว่างแม้แต่นอ้ ย 12

ทุกวันนี ้ เราได้ เรี ยนรู้ลกั ษณะโครงสร้ างทัว่ ไปของทะเล ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเล ระดับ


ความเค็ม ตลอดจนปริมาณนํ ้าในทะเล พื ้นที่ของผิวนํ ้าและระดับความลึก นักวิทยาศาสตร์ สามารถรับรู้ข้อมูล
ต่างๆเหล่านี ้ได้ โดยใช้ เรือดํานํ ้าและอุปกรณ์พิเศษอื่นๆซึ่งพัฒนาขึ ้นมาด้ วยเทคโนโลยีสมัยใหม่
มนุษย์ไม่สามารถดํานํ ้าได้ ลกึ มากกว่า 40 เมตรโดยไม่ใช้ อปุ กรณ์พิเศษช่วย เราไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ ใต้
นํ ้าลึกและมืดมิดเช่นในระดับที่ตํ่ากว่า 200 เมตรลงไป นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้ นพบข้ อมูลรายละเอียดดังกล่าว
เกี่ยวกับทะเล เมื่อไม่นานมานี ้เอง แต่คําว่า “ความมืดในทะเลลึก” ปรากฏอยู่ในซูเราะฮ์อนั นูร เมื่อกว่า 1,400 ปี
มาแล้ ว และนี่ก็เป็ นอีกส่วนหนึ่งของความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานโดยแท้ จริง ที่ได้ กล่าวเรื่องราวเหล่านี ้ไว้ ตงแต่ ั้
ช่วงเวลาที่ยงั ไม่มีเครื่ องมือหรื ออุปกรณ์ใดๆแม้ แต่อย่างเดียวที่ทําให้ มนุษย์สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับความลึกของ
มหาสมุทรได้
นอกจากนัน้ ข้ อความในอายะฮ์ที่ 40 ของซูเราะฮ์ อันนูร ยังได้ กล่าวอีกว่า “...เปรียบเสมือนความมืดมน
ทัง้ หลายในท้ องทะเลลึก มีคลื่นซ้ อนคลื่นท่ วมมิดตัวเขา และเบือ้ งบนของมันก็มีเมฆหนาทึบซ้ อนกันชัน้
แล้ วชัน้ เล่ า…” ซึ่งข้ อความนี ้ได้ นําไปสูส่ ิ่งที่น่าสนใจอีกสิ่งหนึ่ง ที่สามารถยืนยันถึงความหัศจรรย์ของอัลกุรอานได้
เป็ นอย่างดี
เมื่อไม่นานมานี้ นักวิ ทยาศาสตร์ คน้ พบว่ามีคลื่นใต้นํ้ามากมาย “ปรากฏอยู่ในบริ เวณรอยต่อของระดับชัน้
ของนํ้าที่มีความหนาแน่นแตกต่างกัน” คลื ่นใต้นํ้าเหล่านี้ครอบคลุมไปทัว่ บริ เวณในระดับนํ้าลึกของทัง้ ทะเลและ
มหาสมุทร เนื่องจากนํ้าที ่อยู่ในระดับความลึกมากกว่าย่อมมีความหนาแน่นสูงกว่านํ้าในชัน้ เหนือขึ้นไป คลื่นใต้นํ้า
นัน้ มีลกั ษณะคล้ายคลื ่นที ่ผิวนํ้า ซึ่ งแตกสลายตัวได้ ทัง้ นี้ เราไม่สามารถมองเห็นคลื่นใต้นํ้าได้ดว้ ยตาเปล่า แต่เรา
สามารถตรวจวัดได้จากการศึกษาระดับอุณหภูมิและระดับความเค็มที่เปลี่ยนไป ที่บริ เวณใดบริ เวณหนึ่ง 13

miracle_thai 01/03/2011 Page 51


จากการวัดโดยใช้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทําให้ เราทราบว่ า แสงแดด 3-30เปอร์ เซ็นต์ ถูกสะท้ อนกลับที่บริ เวณผิวนํา้ ใน
ระดับความลึก 200 เมตรแรกนัน้ องค์ ประกอบทัง้ 7 สีของแสงเกือบทัง้ หมด สามารถส่ องทะลุนํา้ ทะเลได้ ในระดับที่
แตกต่ างกัน ยกเว้ นแสงสีนํา้ เงิน (ภาพเล็ก), ในระดับที่ต่ าํ กว่ า 1,000 เมตร นัน้ ไม่ มีแสงสว่ างหลงเหลืออยู่เลย (ภาพ
บน) ข้ อเท็จจริ งดังกล่ าว ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ เพิ่งค้ นพบนี ้ ได้ กล่ าวไว้ แล้ ว ในอัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อันนูร เมื่อกว่ า 1,400 ปี
มาแล้ ว

miracle_thai 01/03/2011 Page 52


ภาพซ้ าย แสดงให้ เห็นคลื่นใต้ นํา้ ที่เกิดขึน้ บริ เวณรอยต่ อ
ระหว่ างระดับชัน้ ของนํา้ 2 ระดับ ที่มีความหนาแน่ น
แตกต่ างกัน นํา้ ในระดับที่ต่ าํ กว่ าจะมีความหนาแน่ นสูง
กว่ า นักวิทยาศาสตร์ เพิ่งค้ นพบข้ อเท็จจริ งเหล่ านี ้ เมื่อไม่
นานมานีเ้ อง ซึ่งอัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อันนูร อายะฮ์ ท่ ี 40
ได้ เปิ ดเผย อย่ างชัดแจ้ งไว้ ก่อนหน้ านัน้ แล้ ว เมื่อกว่ า 14
ศตวรรษที่ผ่านมา

เรื่องราวที่ได้ กล่าวมาข้ างต้ นนัน้ สอดคล้ องอย่างที่สดุ กับข้ อความในอัลกุรอาน เพราะหากปราศจากการ


ค้ นคว้ าวิจยั ดังกล่าว มนุษย์จะมองเห็นแต่เพียงคลื่นที่อยู่บนผิวนํ ้าเท่านัน้ และเป็ นไปไม่ได้ เลยที่เราจะได้ รับรู้
เกี่ยวกับคลื่นที่อยู่ใต้ ทะเล ทังนี
้ ้ อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้ ทรงบอกพวกเราไว้ ลว่ งหน้ าแล้ วในซูเราะฮ์อนั นูร ถึงเรื่องราว
เกี่ยวกับคลื่นอีกชนิดหนึ่งที่เกิดขึ ้นภายใต้ ระดับนํ ้าที่มีความลึกมากในมหาสมุทร และแน่นอนที่สดุ ความจริงซึ่ง
นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะค้ นพบข้ อนี ้เป็ นข้ อพิสจู น์ที่ชดั เจนอีกอย่างหนึ่งว่าอัลกุรอานนันเป็
้ นวจนะของพระผู้เป็ นเจ้ า
โดยแท้ จริง

ส่ วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของมนุษย์
“ มิใช่ เช่ นนัน้ ถ้ าเขายังไม่ หยุดยัง้ เราจะจิกเขาที่ขม่ อมอย่ างแน่ นอน ขม่ อมที่โกหก ที่ประพฤติช่ วั ”
(อัลกุรอาน 96:15-16)

miracle_thai 01/03/2011 Page 53


วจนะที่วา่ “ขม่อมที่โกหกที่ประพฤติชวั่ ” ในอายะฮ์ข้างต้ นนัน้ น่าสนใจเป็ นอย่างยิ่ง การวิจยั เมื่อไม่กี่ปีมานี ้
ได้ ยืนยันว่า บริเวณส่วนสําคัญ ซึ่งเป็ นส่วนที่ควบคุมการจัดการหน้ าที่การทํางานของสมองส่วนต่างๆแต่ละส่วนนัน้
อยู่ในบริเวณหน้ าสุดของกะโหลกศีรษะ เมื่อประมาณ 60 ปี ที่ผา่ นมา นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะค้ นพบหน้ าที่การ
ทํางานของสมองส่วนนี ้ ซึ่งเป็ นสิ่งที่ได้ กล่าวไว้ ในอัลกุรอาน เมื่อกว่า 1,400 ปี มาแล้ ว หากเรามองเข้ าไปในกะโหลก
ตรงบริเวณส่วนหน้ าของศีรษะ จะเห็นด้ านหน้ าของสมองส่วนที่เรียกว่า Cerebrum ในหนังสือ Essential of
Anatomy and Physiology ซึ่งเป็ นหนังสือที่รวบรวมผลการวิจยั ล่าสุดเกี่ยวกับสมองส่วนนี ้ กล่าวไว้ วา่

แรงจูงใจและการคาดการณ์ เพื่อวางแผนและริ เริ่ มการเคลื่อนไหวต่างๆ เกิ ดขึ้นในบริ เวณที่อยู่ดา้ นหน้าของ


รอยหยักสมองส่วนหน้า ซึ่ งเป็ นส่วนที ่รวมส่วนสําคัญต่างๆไว้..14.
หนังสือเล่มเดียวกันนี ้ ยังกล่าวอีกว่า
สมองส่วนหน้าสุดนี้ มีความสัมพันธ์ กบั แรงจูงใจ เพราะเป็ นศูนย์กลางการทํางานของความก้าวร้าว...
ดังนัน้ พื ้นที่สว่ นหน้ าของ Cerebrum นี ้ จึงเป็ นส่วนของสมองที่จะ
ควบคุมการวางแผน, การสร้ างแรงจูงใจ และเป็ นส่วนที่สร้ างพฤติกรรมที่ดี
และไม่ดี และยังควบคุมการพูดเท็จ และการพูดความจริง อีกด้ วย
เราจะเห็นได้ อย่างชัดเจนว่า วจนะที่กล่าวไว้ วา่ “ขม่อมที่โกหกที่
ประพฤติชวั่ ” สอดคล้ องตรงกันอย่างยิ่งกับกับผลงานวิจยั ที่ได้ กล่าวข้ างต้ น
ข้ อเท็จจริงซึ่งนักวิทยาศาสตร์ เพิ่งค้ นพบเมื่อ 60 ปี ที่ผา่ นมานี ้ ได้ บนั ทึกไว้
ก่อนแล้ วจากวจนะของพระผู้เป็ นเจ้ า ตังแต่้ เมื่อพันกว่าปี ก่อนนัน้

miracle_thai 01/03/2011 Page 54


การกําเนิดของมนุษย์
วิชาการหลากหลายแขนงได้ บนั ทึกไว้ ในอัลกุรอาน เพื่อเชิญชวนให้ มนุษย์มีความศรัทธา ทังในเรื ้ ่องสวรรค์
เรื่องสัตว์ เรื่องพืช ต่างก็ได้ บนั ทึกไว้ เป็ นหลักฐานแก่มนุษยชาติโดยอัลลอฮ์ (ซ.บ.) อายะฮ์กรุ อานหลายอายะฮ์ได้
เรียกร้ องให้ มนุษย์หนั มาพิจารณาเรื่องการที่อลั ลอฮ์ (ซ.บ.) สร้ างมนุษย์ มีการยํ ้าเตือนหลายครัง้ ว่ามนุษยชาตินนั ้
เกิดขึ ้นมาได้ อย่างไร ได้ ผา่ นขันตอนต่
้ างๆอะไรบ้ าง และหัวใจสําคัญในเรื่องนี ้ก็คือ

“เรานัน้ ได้ สร้ างพวกขึน้ มา ไฉนเล่ าพวกเจ้ าจึงไม่ เชื่อ (ในวันฟื ้ นคืนชีพ) พวกเจ้ าเห็นสิ่งที่พวกเจ้ าหลั่ง
ออกมา (อสุจ)ิ แล้ วมิใช่ หรื อ พวกเจ้ าสร้ างมันขึน้ มา หรือว่ าเราเป็ นผู้สร้ าง”
อัลกุรอาน (56:57-59)

การสร้ างมนุษย์และความมหัศจรรย์ในเรื่องนี ้ได้ กล่าวยํ ้าในอายะฮ์อื่นๆอีกหลายอายะฮ์ด้วยกัน บางหัวข้ อ


ของเรื่องราวในอายะฮ์ดงั กล่าว มีรายละเอียดมากและลึกซึ ้งเกินกว่าที่ใครก็ตามที่มีชีวิตในช่วงเวลาเมื่อ 1,400 กว่า
ปี ที่ผา่ นมา จะมีความรู้และเข้ าใจได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี ้
1. มนุษย์ไม่ได้ ถกู สร้ างขึ ้นมาจากนํ ้าอสุจิทงหมดั้ หากแต่เกิดมาจาก ส่วนเล็กๆ(ตัวอสุจิ) ส่วนเดียวของมันเท่านัน้
2. ฝ่ ายชายจะเป็ นผู้กําหนดเพศของทารก
3. ตัวอ่อนของมนุษย์ (Embryo - ไข่ที่ได้ รับการปฏิสนธิแล้ ว ) จะเกาะติดกับผนังด้ านในมดลูกของมารดา
เหมือนกับตัวปลิง
4. ตัวอ่อนจะพัฒนาขึ ้น 3 ขันตอนในความมื
้ ดของมดลูกของมารดา
บรรดาผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่อลั กรุอานได้ ถกู ประทานลงมานัน้ รู้วา่ องค์ประกอบพื ้นฐานของการ
กําเนิดของมนุษย์นนเกี ั ้ ่ยวข้ องกับนํ ้าอสุจิที่หลัง่ ออกมาเมื่อมีเพศสัมพันธ์ และความเป็ นจริงที่วา่ ทารกจะคลอด
ออกมาหลังจากอยู่ในครรภ์มารดาเป็ นระยะเวลาเก้ าเดือนนัน้ เป็ นที่ร้ ูกนั อย่างชัดแจ้ ง โดยไม่ต้องมีการค้ นหาข้ อมูล
เพิ่มเติมใดๆ แต่ทว่าเรื่องต่างๆตามขันตอนที้ ่ได้ กล่าวมาข้ างต้ นนัน้ เป็ นความรู้ซึ่งเกินกว่าที่ผ้ คู นในสมัยนันจะเข้
้ าใจ
ได้ และเพิ่งจะค้ นพบด้ วยวิชาการทางวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 20 นี ้เอง
เราจึงควรศึกษารายละเอียดของแต่ละส่วนตามหัวข้ อดังต่อไปนี ้

miracle_thai 01/03/2011 Page 55


หยดหนึ่งของนํา้ อสุจิ

ในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์แต่ละครัง้ ฝ่ ายชายจะหลัง่ อสุจิออกมาประมาณ 250 ล้ านตัว ตัวอสุจิต้อง


เดินทางแหวกว่ายอยู่ในร่างของฝ่ ายหญิ ง เพื่อให้ ถึงไข่ของฝ่ ายหญิง ซึ่งจากจํานวนตัวอสุจิทงหมด ั้ 250 ล้ านตัว จะ
เหลือเพียง 1,000 ตัวเท่านัน้ ที่จะสามารถมาถึงไข่ได้ และหลังจากการแข่งขันกันกว่า 5 นาที จะมีตวั อสุจิเพียงตัว
เดียวเท่านัน้ ที่สามารถเจาะเข้ าไปในผนังของไข่ซึ่งมีขนาดเล็กเท่ากับครึ่งหนึ่งของเม็ดเกลือ นัน่ หมายความว่า สิ่งที่
สําคัญที่สดุ จากฝ่ ายชายนันไม่
้ ใช่นํ ้าอสุจิทงหมด
ั้ หากแต่เป็ นเพียงส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งเท่านัน้ ซึ่งในอัลกุรอานได้
กล่าวไว้ วา่
“มนุษย์ คดิ หรื อว่ า เขาจะถูกปล่ อยไว้ โดยไร้ จุดหมายกระนัน้ หรือ
เขามิได้ เป็ นนํา้ กามหยดหนึ่งจากนํา้ อสุจทิ ่ ถี ูกพุ่งออกมากระนัน้ หรือ”
(อัลกุรอาน 75:36-37)

เราได้ เห็นแล้ วว่า อัลกุรอานบอกแก่พวกเราว่า มนุษย์มิได้ เกิดมาจากนํ ้าอสุจิทงหมด ั้ หากเกิดจากส่วน


เล็กๆของมันเท่านัน้
การเน้ นยํ ้าเรื่ องดังกล่าวในอายะฮ์ข้างต้ น ได้ แสดงให้ เห็นข้ อเท็จจริงซึ่งเพิ่งจะมีการค้ นพบด้ วย
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เป็ นหลักฐานว่า ถ้ อยคําที่กล่าวไว้ ในอัลกุรอานนัน้ เป็ นวจนะของพระผู้เป็ นเจ้ าโดยแท้ จริ ง

ภาพด้ านซ้ ายคือภาพนํา้ อสุจทิ ่ หี ลั่งเข้ าสู่มดลูก ตัวอสุจิ


เพียงจํานวนไม่ มากนัก จากทัง้ หมด 250 ล้ านตัวที่หลั่ง
จากฝ่ ายชาย จะสามารถไปถึงไข่ ท่ อี ยู่ในมดลูกได้ ตัว
อสุจทิ ่ จี ะปฏิสนธิกับไข่ นัน้ เป็ นเพียงตัวเดียวเท่ านัน้ จาก
จํานวนประมาณหนึ่งพันตัวที่รอดมาถึงไข่ ได้ ความจริ ง
ที่ว่ามนุษย์ ไม่ ได้ ถกู สร้ างขึน้ มาจากนํา้ อสุจทิ งั ้ หมด
หากแต่ เกิดจากส่ วนเล็กๆของมันเท่ านัน้ มีความสัมพันธ์
กับข้ อความในอัลกุรอาน ที่กล่ าวถึง “หยดหนึ่งจากนํา้
อสุจทิ ่ พ ี ่ งุ ออกมา”

miracle_thai 01/03/2011 Page 56


ส่ วนผสมในนํา้ อสุจิ

ของเหลวที่เรี ยกว่านํ ้าอสุจิ ซึ่งมีตวั อสุจิอยู่นนั ้ หาได้ มีแต่เพียงตัวอสุจิเท่านัน้ ในทางตรงกันข้ าม มัน


ประกอบด้ วยส่วนผสมของของเหลวหลายชนิด ของเหลวต่างๆเหล่านี ้มีหน้ าที่แตกต่างกัน เช่น มีนํ ้าตาล ซึ่งจําเป็ น
สําหรับการให้ พลังงานแก่ตวั อสุจิ ช่วยลดความเป็ นกรดบริเวณปากมดลูก และช่วยหล่อลื่นให้ ตวั อสุจิสามารถ
เคลื่อนเข้ าไปในมดลูกได้ อย่างสะดวก
การที่อลั กุรอานได้ กล่าวถึงนํ ้าอสุจิไว้ ก็เป็ นสิ่งที่น่าสนใจมากพออยู่แล้ ว นอกจากนัน้ ยังได้ กล่าวถึงการที่นํ ้า
อสุจิเป็ นของเหลวที่ประกอบไปด้ วยส่วนผสมต่างๆหลายส่วน ซึ่งข้ อเท็จจริงนี ้เพิ่งจะถูกค้ นพบด้ วยวิทยาการ
สมัยใหม่เมื่อไม่นานมานี ้
“แท้ จริงเราได้ สร้ างมนุษย์ จากนํา้ เชือ้ ผสมหยดหนึ่ง เพื่อเราจะได้ ทดสอบเขา
ดังนัน้ เราจึงทําให้ เขาเป็ นผู้ได้ ยนิ เป็ นผู้ได้ เห็น”
(อัลกุรอาน 76:2)

อีกอายะฮ์หนึ่งได้ กล่าวถึงนํ ้าอสุจิวา่ เกิดจากองค์ประกอบหลายส่วนผสมกัน และยังยํ ้าอีกว่า มนุษย์นนถู


ั้ ก
สร้ างขึ ้นมาจาก ส่วนที่ดีที่สดุ ของส่วนผสมนี ้
“ผู้ทรงทําให้ ทุกสิ่งที่พระองค์ ทรงสร้ างมันให้ ดีงาม และพระองค์ ทรงเริ่มการสร้ างมนุษย์ จากดิน
แล้ วทรงให้ การสืบตระกูลของมนุษย์ มาจากส่ วนที่ดีท่ สี ุดจากนํา้ (อสุจ)ิ อันไร้ ค่า”
(อัลกุรอาน 32:7-8)

คําว่า – ‫ ﺳﻠﻠﺔ‬- (ซุลาละต์) ในภาษาอาหรับ แปลว่า ส่วนที่


ดีที่สดุ ซึ่งหมายถึงส่วนที่สําคัญหรือดีที่สดุ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
หรืออีกนัยหนึ่ง หมายถึง ส่วนหนึ่งของทังหมด ้ ข้ อความ
ข้ างต้ นนี ้แสดงว่า ถ้ อยคําดังกล่าวนันเป็
้ นของผู้ที่มีความ
รอบรู้ถึงการกําเนิดของมนุษย์ได้ อย่างละเอียดลึกซึ ้งที่สดุ
ซึ่งแท้ จริงก็คือ อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ผู้ทรงสร้ างมนุษยชาติทงมวล
ั้

หมายเหตุ ในอัลกุรอานฉบับ ภาษาไทย แปลว่า “...ทรงให้ การสืบตระกูลของมนุษย์ มาจากนํ ้า (อสุจ)ิ อันไร้ ค่า ”...
ซึง่ ไม่ปรากฏความหมายของคําว่า – ‫ ﺳﻠﻠﺔ‬-ใน - ‫ ﻣﻦ ﺳﻠﻠﺔ ﻣﻦ ﻣﺎء ﻣﻬﻴﻦ‬-
คําว่า - ‫ ﺳﻠﻠﺔ‬-ในพจนานุกรม อาหรับ -ไทย แปลว่า ส่วนที่ดีที่สดุ
ดังนั ้น ในที่นี ้จึงเพิม่ ข้ อความใหม่นี ้มาด้ วย เป็ น “...ทรงให้ การสืบตระกูลของมนุษย์ มาจากส่วนที่ดีที่สดุ จากนํ ้า (อสุจ)ิ อันไร้ ค่า”...
ซึง่ ตรงกับอัลกุรอานฉบับ ภาษาอังกฤษ ฉบับ The Glorious Qur’an, Translation and commentary, A Yusuf Ali 2nd Edition, 1977, หน้ า 1094

miracle_thai 01/03/2011 Page 57


เพศของทารก

แม้ กระทัง่ เมื่อไม่นานมานี ้ ก็ยงั มีความเข้ าใจว่าเพศของทารกกําหนดโดยเซลล์จากมารดา หรืออย่างน้ อย


ที่สดุ ก็น่าจะมาจากทังเซลล์
้ จากฝ่ ายชายและฝ่ ายหญิงร่วมกัน แต่ในอัลกุรอาน เราได้ รับรู้ข้อมูลที่แตกต่างกันว่า
เพศชายและเพศหญิ งนัน้ กําหนดขึ ้นมาจาก “เชื ้ออสุจิ เมื่อมันหลัง่ ออกมา”

“และแท้ จริงพระองค์ ทรงสร้ างสามีภรรยาคู่หนึ่ง เป็ นเพศชายและเพศหญิง


จากเชือ้ อสุจิ เมื่อมันหลั่งออกมา”
(อัลกุรอาน 53:45-46)

ความรู้ในเรื่ องหน่วยพันธุกรรม(ยีน)และโมเลกุลทางชีวภาพที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ได้ ยืนยันความ


ถูกต้ องตามหลักทางวิทยาศาสตร์ของข้ อมูลในอัลกุรอาน ซึ่งปั จจุบนั เป็ นที่เข้ าใจกันเป็ นอย่างดีวา่ เซลล์ของอสุจิ
จากฝ่ ายชายเป็ นตัวกําหนดเพศ ไม่ใช่จากฝ่ ายหญิง
โครโมโซมนันคื ้ อส่วนหลักที่กําหนดเพศของทารก โครโมโซม 2 แท่ง จาก 46 แท่ง ซึ่งเป็ นตัวกําหนด
โครงสร้ างของมนุษย์ เรียกว่า โครโมโซมเพศ ได้ แก่ โครโมโซม “XY” ในเพศชาย และโครโมโซม “XX” ในเพศหญิง
เนื่องจากรูปร่างของโครโมโซมนันมี ้ ลกั ษณะคล้ ายกับตัวอักษรทังสองตั
้ วดังกล่าว

ในอัลกุรอานได้ กล่ าวไว้ ว่า เพศชายและเพศหญิงนัน้ สร้ างมา


จาก “เชือ้ อสุจิ เมื่อมันหลั่งออกมา ” อย่ างไรก็ตาม ยังคงมี
ความเชื่อที่ว่าเพศของทารกนัน้ กําหนดโดยเซลล์ จากมารดา
จนกระทั่งเมื่อไม่ นานมานี ้ ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ ในศตวรรษ
ที่ 20 เพิ่งจะค้ นพบข้ อมูลที่ได้ กล่ าวไว้ นานมาแล้ วในอัลกุรอาน
ข้ อเท็จจริ งและรายละเอียดอื่นๆในทํานองนี ้ เกี่ยวกับการ
สร้ างมนุษย์ ได้ กล่ าวไว้ แล้ วในอัลกุรอาน เมื่อหลายร้ อยปี ที่
ผ่ านมา

miracle_thai 01/03/2011 Page 58


โครโมโซม Y ประกอบด้ วยลักษณะของเพศชาย ในขณะที่โครโมโซม X ประกอบด้ วยลักษณะของเพศหญิง ในไข่ ของ
ฝ่ ายหญิงมีเพียง โครโมโซม X แต่ เพียงอย่ างเดียวเท่ านัน้ ซึ่งเป็ นตัวกําหนดเพศหญิง ในนํา้ อสุจขิ องฝ่ ายชาย มีทงั ้ ตัว
อสุจทิ ่ มี ีลักษณะของเพศชาย และตัวอสุจทิ ่ มี ีลักษณะของเพศหญิง ดังนัน้ เพศของทารกจึงขึน้ อยู่กับตัวอสุจทิ ่ มี า
ปฏิสนธิกับไข่ นัน้ มีโครโมโซม X หรื อ Y อีกนัยหนึ่ง ปั จจัยที่กําหนดเพศของทารกก็คือนํา้ อสุจทิ ่ มี าจากฝ่ ายชาย ความรู้
ในเรื่ องนีไ้ ม่ มีผ้ ูใดล่ วงรู้ มาก่ อนในช่ วงเวลาที่อัลกุรอานได้ ประทานลงมา จึงเป็ นหลักฐานยืนยันว่ า อัลกุรอานนัน้ เป็ น
วจนะของอัลลอฮ์ (ซ.บ.)

โครโมโซม Y มีหน่วยพันธุกรรมที่มีรหัสเพศชาย ในขณะที่โครโมโซม X มีหน่วยพันธุกรรมที่มีรหัสเพศหญิง


การเกิดรูปร่างของมนุษย์เริ่ มด้ วยการไขว้ สลับกันของแต่ละโครโมโซมเหล่านี ้ ซึ่งจับคูก่ นั อยู่ในเพศชายและ
เพศหญิง ในเพศหญิ ง นัน้ ส่วนประกอบทังสองส่ ้ วนของเซลล์เพศ ซึ่งถูกแบ่งออกเป็ น 2 ส่วนในระหว่างอยู่ในรังไข่
เป็ นตัวนําโครโมโซม X, ในอีกด้ านหนึ่งเซลล์เพศในผู้ชาย ผลิตตัวอสุจิแตกต่างกัน 2 แบบ แบบหนึ่งมีโครโมโซม X
อีกแบบหนึ่งมีโครโมโซม Y, ถ้ าหากโครโมโซม X จากฝ่ ายหญิง ผสมกับตัวอสุจิที่มีโครโมโซม X ทารกที่เกิดมาจะ
เป็ นเพศหญิง แต่ถ้าหากผสมกับตัวอสุจิที่มีโครโมโซม Y ทารกที่เกิดมาจะเป็ นเพศชาย
หรืออีกนัยหนึ่งกล่าวได้ วา่ เพศของทารกนันกํ ้ าหนดโดยโครโมโซมแท่งใดแท่งหนึ่งจากฝ่ ายชาย มาผสมกับ
ไข่ของฝ่ ายหญิง
ไม่มีใครรู้เรื่ องราวต่างๆเหล่านี ้จนกระทัง่ มีการค้ นพบหน่วยพันธุกรรมในศตวรรษที่ 20 อันที่จริงแล้ ว การที่
หลายๆสังคมเชื่อว่าเพศของทารกกําหนดขึ ้นจากร่างกายของฝ่ ายหญิง ก็เป็ นสาเหตุที่ทําให้ ผ้ หู ญิงถูกประณามเมื่อ
ให้ กําเนิดทารกเพศหญิง
อย่างไรก็ตาม อัลกุรอานได้ ปฏิเสธความเชื่อที่ผิดเหล่านี ้ มานานกว่า 1300 ปี ก่อนหน้ าการค้ นพบหน่วย
พันธุกรรมของมนุษย์ และอัลกุรอานยังมีข้อสรุปถึงการกําหนดเพศของทารกว่า ไม่ได้ อยู่ที่ฝ่ายหญิง แต่อยู่ที่นํ ้า
อสุจิจากฝ่ ายชาย

miracle_thai 01/03/2011 Page 59


ก้ อนเลือดที่เกาะติดกับมดลูก
หากเรายังคงตรวจสอบข้ อเท็จจริ งที่ประทานลงมายังพวกเราในอัลกุรอานอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องที่เกี่ยวกับ
การก่อเกิดเป็ นรูปร่างของมนุษย์ เราก็จะพบความมหัศจรรย์ทางวิทยาศาสตร์ที่สําคัญมากบางเรื่อง
เมื่ออสุจิของฝ่ ายชายผสมกับไข่ของฝ่ ายหญิง นัน่ หมายความว่า ส่วนสําคัญที่สดุ ในการสร้ างทารกได้
ก่อกําเนิดขึ ้นแล้ ว เซลล์เดี่ยวที่เกิดขึ ้นนี ้ เรียกชื่อทางชีววิทยาว่า “ไซโกต (Zygote) ”ซึ่งจะเริ่มแบ่งตัวในทันที ในไม่
ช้ าก็จะก่อเกิดก้ อนเนื ้อก้ อนหนึ่งที่เรี ยกว่า “ตัวอ่อน (Embryo)” และแน่นอนที่สดุ ทางเดียวที่มนุษย์จะสามารถเห็น
ก้ อนเนื ้อนี ้ได้ ก็ด้วยการใช้ กล้ องจุลทรรศน์เท่านัน้
อย่างไรก็ตาม ตัวอ่อนนี ้ไม่ได้ เติบโตอยู่ในที่เวิ ้งว้ าง แต่เกาะติดอยู่กบั ผนังมดลูก เหมือนกับรากของต้ นไม้ ที่
หยัง่ ลึกลงไปในพื ้นดิน จากการที่มนั เกาะติดไว้ อย่างนี ้ ตัวอ่อนจะสามารถรับสารอาหารที่จําเป็ นในการพัฒนา
ตัวเองมาจากร่างกายของมารดาได้
และในขันตอนนี
้ ้เอง ที่ความมหัศจรรย์ที่สดุ อย่างหนึ่งในอัลกุรอานได้ ถกู กล่าวถึงอีกครัง้ หนึ่ง ในการอ้ างถึง
ตัวอ่อนที่กําลังพัฒนา ในครรภ์มารดา พระองค์ใช้ คําว่า “อะลัก” ในอัลกุรอาน
“จงอ่ าน ด้ วยพระนามแห่ งพระเจ้ าของเจ้ าผู้ทรงบังเกิด ทรงบังเกิดมนุษย์ จากก้ อนเลือด
จงอ่ านเถิด และพระเจ้ าของเจ้ านัน้ ผู้ทรงใจบุญยิ่ง”
(อัลกุรอาน 96:1-3)
ความหมายของคําว่า “อะลัก” ในภาษา ในช่ วงแรก ของการพัฒนา
ทารกในครรภ์ มารดาจะอยู่
อาหรับ หมายถึง สิ่งที่เกาะติดอยู่กบั ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งคํา
ในรู ปของ “ไซโกต” ซึ่ง
นี ้ ใช้ อธิบายลักษณะของปลิงที่เกาะติดกับร่างกาย เกาะติดอยู่กับผนังมดลูก
คนหรือสัตว์อื่นเพื่อดูดเลือด ของมารดา เพื่อดูด
แน่นอนที่สดุ ว่า การใช้ คําที่มีความหมาย สารอาหารต่ างๆจากเลือด
ของมารดา ภาพ นี ้ แสดง
ชัดเจนอย่างที่สดุ เพื่ออธิบายลักษณะของตัวอ่อนที่
ให้ เห็นไซโกต ซึ่งดูเหมือน
กําลังพัฒนาอยู่ในครรภ์มารดานี ้ เป็ นเครื่ องพิสจู น์ที่ ก้ อนเนือ้ ก้ อนหนึ่ง ข้ อมูลซึ่งเพิ่งจะค้ นพบโดยนักวิทยา
ชัดเจนอีกครัง้ ว่า อัลกุรอานนัน้ เป็ นวจนะของพระผู้ เอมไบรโอในสมัยนี ้ ได้ กล่ าวไว้ แล้ วในอัลกุรอาน เมื่อ
เป็ นเจ้ าแห่งสากลโลก 1400 ปี กว่ าด้ วยคําว่ า “อะลัก” ซึ่งหมายถึง “สิ่งที่
เกาะติดอยู่กับที่ใดที่หนึ่ง ” คําดังกล่ าวใช้ เพื่ออธิบาย
ลักษณะของการที่ปลิงเกาะติดกับร่ างกายคนหรื อสัตว์
อื่นเพื่อดูดเลือด

หมายเหตุ
คําว่า - - ‫ ﻋﻠﻖ‬มีหลายความหมายคือ ก้ อนเลือด ตัวดูดเลือด ปลิง และ สิง่ ที่แขวนอยู่
ในบทนี ้ คํา ‫ ﻋﻠﻖ‬- – น่าจะหมายถึงสิง่ ที่แขวนอยู่ หรื เกาะติดอยู่ติดแน่น
ซึง่ ตรงกับอัลกุรอานฉบับ ภาษาอังกฤษ ฉบับ The Qur’an, Arabic Text with Corresponding English Meaning, English revised & edited by
Saheeh International, 1977

miracle_thai 01/03/2011 Page 60


กล้ ามเนือ้ ห่ อหุ้มกระดูก

เรื่องสําคัญอีกเรื่ องหนึ่งที่ได้ กล่าวไว้ ในอัลกุรอาน ก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับขันตอนการเจริ


้ ญเติบโตของทารกใน
ครรภ์มารดา อัลกุรอานได้ กล่าวไว้ วา่ ภายในครรภ์ของมารดานัน้ กระดูกจะพัฒนาขึ ้นก่อน และต่อมาจะมี
กล้ ามเนื ้อก่อตัวขึ ้นมาห่อหุ้ม

“แล้ วเราได้ ทาํ ให้ เชือ้ อสุจกิ ลายเป็ นก้ อนเลือด แล้ วเราได้ ทาํ ให้ ก้อนเลือดกลายเป็ นก้ อนเนือ้ แล้ วเราได้
ทําให้ ก้อนเนือ้ เป็ นกระดูก แล้ วเราหุ้มกระดูกนัน้ ด้ วยเนือ้ แล้ วเราได้ เป่ าวิญญาณให้ เขากลายเป็ นอีก
รู ปร่ างหนึ่ง ดังนัน้ อัลลอฮ์ ทรงจําเริญยิ่ง ผู้ทรงเลิศแห่ งปวงผู้สร้ าง”
(อัลกุรอาน 23:14)

วิทยาเอมไบรโอ เป็ นสาขาวิชาหนึ่งของชีววิทยา ที่เป็ นการศึกษาการเจริญเติบโตของตัวอ่อนในครรภ์มารดา


นักวิทยาศาสตร์ในสาขานี ้มีความเข้ าใจมาโดยตลอดว่า กระดูกและเนื ้อนันพั ้ ฒนาขึ ้นพร้ อมกัน ด้ วยเหตุนี ้เองที่มี
การกล่าวหากันมาอย่างยาวนานว่า อัลกุรอานอายะฮ์นี ้ขัดแย้ งกับข้ อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ แต่ด้วย
ความก้ าวหน้ าของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้ มีการทําวิจยั โดยใช้ กล้ องจุลทรรศน์ที่มีความสามารถสูงมากขึ ้น และผล
จากการวิจยั ได้ แสดงให้ เห็นว่า วจนะที่กล่าวไว้ ในอัลกุรอานนันถู ้ กต้ องทุกคํา
จากการเฝ้าสังเกตโดยใช้ กล้ องจุลทรรศน์ ได้ แสดงให้
เห็นว่าพัฒนาการที่เกิดขึ ้นในครรภ์มารดานัน้ เหมือนกับ
เรื่องราวที่ได้ อธิบายไว้ ในอัลกุรอานทุกประการ เริ่มจาก
เนื ้อเยื่อที่เป็ นส่วนของกระดูกอ่อนได้ กลายเป็ นกระดูกที่แข็ง
ขึ ้น ต่อมาเซลล์ของกล้ ามเนื ้อโดยรอบของกระดูกแต่ละส่วน
ก่อตัวขึ ้นและห่อหุ้มกระดูกส่วนนันไว้
้ เรื่องนี ้ได้ มีคําอธิบายใน
วารสาร ทางวิทยาศาสตร์ชื่อ Developing Human
ดังต่อไปนี ้ กระดูก
ทารกที่พัฒนาเสร็ จสมบูรณ์ จะห่ อหุ้มด้ วยกล้ ามเนือ้
ในช่ วงระยะเวลาหนึ่ง

miracle_thai 01/03/2011 Page 61


อัลกุรอานกล่ าวถึงขัน้ ตอนการพัฒนาของทารกในครรภ์ มารดาไว้ ใน
อายะฮ์ ท่ ี 14 ซูเราะฮ์ อัล มุอมินูน ว่ า กระดูกอ่ อนของตัวอ่ อนในครรภ์
มารดาจะถูกพัฒนากลายเป็ นกระดูก หลังจากนัน้ จะมีก้อนเนือ้ มา
ห่ อหุ้ม อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้ อธิบายการพัฒนาในขัน้ ตอนนีด้ ้ วยอายะฮ์ ท่ วี ่ า
“...แล้ วเราได้ ทําให้ ก้อนเลือดกลายเป็ นก้ อนเนือ้ แล้ วเราได้ ทําให้ ก้อน
เนือ้ กลายเป็ นกระดูก แล้ วเราหุ้มกระดูกนัน้ ด้ วยเนือ้ ...”

ในช่วงระยะเวลา 7 สัปดาห์ เค้าโครงของร่างกายได้เริ่ มพัฒนาขึ้นและกระดูกก็ปรากฏเป็ นรู ปร่างชัดเจน


ในช่วงสุดท้ายสัปดาห์ที่ 7 และภายในสัปดาห์ ที่ 8 กล้ามเนื ้อได้ก่อตัวขึ้นรอบๆกระดูก

กล่าวโดยสรุปได้ วา่ การเจริญเติบโตของมนุษย์ในครรภ์มารดา ซึ่งได้ กล่าวไว้ ในอัลกุรอานนัน้ สอดคล้ องตรงกัน


ทุกประการกับความเป็ นจริ งทางวิทยาศาสตร์ ที่เพิ่งค้ นพบเมื่อเร็วๆนี ้

miracle_thai 01/03/2011 Page 62


ทารกในครรภ์ มารดา

อัลกุรอานได้ กล่าวไว้ ในซูเราะฮ์อซั ซุมรั ว่า มนุษย์ถกู สร้ างขึ ้นในครรภ์มารดาตามกระบวนการสามขันตอน


“...พระองค์ ทรงสร้ างพวกเจ้ าในครรภ์ ของมารดาพวกเจ้ า เป็ นการบังเกิดครั ง้ แล้ วครั ง้ เล่ าอยู่ในความมืด
สามชัน้ นั่นคืออัลลอฮ์ พระเจ้ าของพวกเจ้ า พระอํานาจเป็ นสิทธิของพระองค์ ไม่ มีพระเจ้ าอื่นใดที่เที่ยงแท้
นอกจากพระองค์ แล้ วทําไมพวกเจ้ าจึงผินหน้ าไปทางอื่น?”
(อัลกุรอาน 39:6)

ข้ อความในอายะฮ์ข้างต้ น กล่าวว่ามนุษย์จะถูกสร้ างขึ ้นภายในครรภ์มารดาจาก 3 ขันตอนที ้ ่แตกต่างกัน ใน


ความเป็ นจริง ชีววิทยาสมัยใหม่ก็ได้ ยืนยันแล้ วว่า การเจริญเติบโตของตัวอ่อนของทารกในครรภ์มารดานัน้ แบ่ง
ออกเป็ น 3 ระยะด้ วยกัน ปั จจุบนั วิชานี ้เป็ นพื ้นฐานของความรู้เบื ้องต้ นในหนังสืออ้ างอิงทุกเล่มที่ใช้ ในการเรียนใน
คณะแพทยศาสตร์ ตัวอย่างเช่น หนังสือ Basic Human Embryology ซึ่งเป็ นหนังสืออ้ างอิงเบื ้องต้ นของการศึกษา
วิชาวิทยาเอมไบรโอ ได้ กล่าวถึงข้ อเท็จจริงในเรื่องนี ้ว่า “ชีวิตในมดลูกนัน้ มี 3 ระยะ คือ Pre-Embryonic (ระยะก่อน
เป็ นตัวอ่อน) ในช่วงแรกใช้ เวลาสองสัปดาห์ครึ่ง ,Embryonic (ระยะที่เป็ นตัวอ่อน) คือเวลาหลังจากช่วงแรกไปจน
สิ ้นสุดสัปดาห์ที่ 8 และ Fetal (ระยะทารกในครรภ์)นับตังแต่ ้ หลังสัปดาห์ที่ 8 ไปจนถึงช่วงที่มีการเจ็บท้ องเพื่อคลอด
บุตร
ทัง้ 3 ระยะนี ้ได้ บอกถึงขันตอนการเจริ
้ ญเติบโตที่แตกต่างกันของทารกในครรภ์ ลักษณะพัฒนาการในแต่ละ
ขันตอนดั
้ งกล่าวนันสามารถอธิ
้ บายโดยย่อได้ ดงั นี ้
Pre-Embryonic Stage (ระยะก่อนเป็ นตัวอ่อน) ในช่วงแรกนี ้ ไซโกต (เซลล์เดี่ยวที่เกิดจากไข่ที่ได้ รับการผสม
แล้ ว) จะเติบโตโดยการแบ่งตัว จนกลายเป็ นกลุม่ ของเซลล์กลุม่ หนึ่ง ซึ่งจะฝั งตัวติดกับผนังของมดลูก เซลล์เหล่านี ้ได้
จัดเรียงตัวเองเป็ น 3 ชันพร้
้ อมๆกับการแบ่งตัวอย่างต่อเนื่อง
Embryonic Stage (ระยะที่เป็ นตัวอ่อน) ช่วงที่ 2 ใช้ เวลาประมาณ 5 สัปดาห์ครึ่ง ทารกซึ่งเรียกว่า ตัวอ่อน
(Embryo) ในช่วงนี ้ อวัยวะต่างๆและระบบพื ้นฐานของร่างกายเริ่มที่จะปรากฏให้ เห็นชัดขึ ้นในระหว่างชันของเซลล์ ้
Fetal Stage (ระยะทารกในครรภ์) จากช่วงเวลานี ้เป็ นต้ นไป ตัวอ่อน (Embryo) เรี ยกว่า Fetus (ทารกในครรภ์)
ช่วงนี ้เริ่มจากหลังสัปดาห์ที่ 8 ของการตังครรภ์
้ ไปจนถึงนาทีที่คลอดออกมา ลักษณะเด่นของการเจริญเติบโตใน
ระยะนี ้คือ ลักษณะของทารกในครรภ์ ( Fetus) นันจะดู ้ เหมือนกับร่างกายที่สมบูรณ์ทกุ อย่างทัง้ ใบหน้ า มือ และเท้ า
แม้ วา่ จะมีขนาดแค่ 3เซนติเมตรในตอนแรก แต่อวัยวะต่างๆก็ได้ ปรากฏให้ เห็นอย่างชัดเจนแล้ ว ช่วงระยะนี ้ใช้ เวลา
ประมาณ 30 สัปดาห์ และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องไปจนกระทัง่ คลอดออกมา

miracle_thai 01/03/2011 Page 63


ในอายะฮ์ ท่ ี 6 ของซูเราะฮ์ อัซซุมัร ได้ ระบุว่ามนุษย์ ถกู สร้ างขึน้ ภายในครรภ์ มารดา
โดยแบ่ งเป็ น 3 ระยะ และในความเป็ นจริ ง วิทยาเอมไบรโอได้ ยืนยันในเรื่ องนีว้ ่ า
พัฒนาการของทารกเกิดขึน้ ใน 3 ขัน้ ตอนภายในครรภ์ มารดา

ข้ อมูลของการเจริญเติบโตภายในครรภ์มารดานัน้ เพิ่งจะเป็ นที่รับรู้อย่าง


กว้ างขวางจากการเฝ้าสังเกต ด้ วยกล้ องจุลทรรศน์ขนาดเล็กที่มี
ความสามารถสูงเท่านัน้ จึงเหมือนกับข้ อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์อีก
มากมาย ที่ได้ กล่าวไว้ อย่างน่าอัศจรรย์ก่อนหน้ านี ้แล้ วในอัลกุรอาน และ
ความเป็ นจริงที่วา่ ข้ อมูลต่างๆ ซึ่งมีรายละเอียดลึกซึ ้งและมีความถูกต้ อง
แม่นยําเหล่านี ้ ได้ กล่าวไว้ แล้ วในอัลกุรอาน ตังแต่
้ ในยุคที่ผ้ คู นแทบจะไม่มี
ความรู้ในเรื่องแพทยศาสตร์เลยนัน้ เป็ นหลักฐานชัดเจนที่พิสจู น์ได้ วา่ อัลกุ
รอานนัน้ ไม่ได้ เป็ นคํากล่าวของมนุษย์ หากแต่เป็ นวจนะของอัลลอฮ์
(ซ.บ.) เท่านัน้

miracle_thai 01/03/2011 Page 64


นํา้ นมมารดา

นํ ้านมมารดาเป็ นสารอาหารที่ยงั ประโยชน์แก่มนุษย์อย่างไม่มสี ิ่งใดเสมอเหมือน อัลลอฮ์ (ซ.บ.) สร้ างนํ ้านมมา


เพื่อเป็ นแหล่งอาหารอันยอดเยี่ยมของทารกและเป็ นสารที่ก่อให้ เกิดภูมิค้ มุ กันโรคต่างๆให้ แก่ทารก ถึงแม้ วา่
เทคโนโลยีในการผลิตนมเพื่อใช้ เลี ้ยงทารกจะพัฒนาไปมากเพียงใดก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะทดแทนคุณค่าของ
สารอาหารอันน่าอัศจรรย์นี ้ได้
วิทยาศาสตร์ได้ ค้นพบคุณประโยชน์ใหม่ของนํ ้านมมารดาเพิ่มขึ ้นทุกวัน ข้ อเท็จจริงประการหนึ่งที่วิทยาศาตร์
ค้ นพบก็คือ การเลี ้ยงลูกด้ วยนมมารดาเป็ นเวลาอย่างน้ อยสองปี หลังการคลอด นันช่ ้ วยลดภาวะเสี่ยงต่อการเป็ นโรค
ติดเชื ้อต่างๆในเด็ก19 ความจริงอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้ บอกข้ อมูลที่สําคัญนี ้ไว้ แล้ วในซูเราะฮ์ลกุ มาน เมื่อสิบสี่ศตวรรษที่
ผ่านมา แต่ทว่าวิทยาศาสตร์เพิ่งค้ นพบได้ ไม่นานมานี ้

“และเราได้ ส่ งั การแก่ มนุษย์ เกี่ยวกับบิดามารดาของเขา


โดยที่มารดาของเขา ได้ อ้ มุ ครรภ์ เขาจนอ่ อนเพลียครั ง้ แล้ ว
ครั ง้ เล่ า และการหย่ านมของเขาในระยะเวลาสองปี เจ้ าจง
ขอบคุณข้ า และบิดามารดาของเจ้ า ยังเรานัน้ คือการกลับไป
( อัลกุรอาน 31:14 ) ”

miracle_thai 01/03/2011 Page 65


ลักษณะเฉพาะที่พบในลายนิว้ มือ

ในขณะที่อลั กุรอานบอกว่า อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ให้ มนุษย์ฟืน้ จากความตายนันเป็


้ นเรื่องง่ายดาย เรื่ องราวของ
ลายนิ ้วมือก็ถกู เน้ นยํ ้าไว้ ในซูเราะฮ์อลั กิยามะห์เหมือนกันว่า

“แน่ นอนทีเดียว เราสามารถที่จะทําให้ ปลายนิว้ มือของเขาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์”


(อัลกุรอาน 75: 4)

แม้ แต่ แฝดแท้ ท่ หี น้ าตาเหมือนกันก็ยังมีลายนิว้ มือที่


ต่ างกัน ลักษณะเช่ นนีส้ ามารถนํามาพิสูจน์ บุคคลได้
ความเฉพาะตัวของลายนิว้ มือนัน้ เทียบได้ กับรหัส
บาร์ โค้ ดที่ ใช้ อยู่ในปั จจุบันนี ้

การที่อลั กุรอานพูดถึงลายนิ ้วมือนันมี้ ความหมายเป็ นพิเศษ เพราะลายนิ ้วมือเป็ นอัตลักษณ์เฉพาะตัว ทุกๆคน


ที่มีชีวิตอยู่และที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลกนี ้ล้ วนแล้ วแต่มีลายนิ ้วมือเป็ นลักษณะเฉพาะตัวทังสิ ้ ้น นี่เองที่เป็ นสาเหตุวา่ เหตุ
ใดเราจึงใช้ ลายนิ ้วมือไว้ พิสจู น์ตวั บุคคล และประเทศต่างๆทัว่ โลกก็ใช้ ลายนิ ้วมือด้ วยวัตถุประสงค์ดงั กล่าวกันอย่าง
แพร่หลาย
ประเด็นสําคัญก็คือประโยชน์ของลายนิ ้วมือเพิ่งจะถูกค้ นพบมาเมื่อไม่นานนี ้เองในปลายคริสต์ศตวรรษที่สิบ
เก้ า แต่ก่อนหน้ านันผู้ ้ คนทังหลายต่
้ างก็คิดว่าลายนิ ้วมือก็เป็ นเพียงแค่เส้ นที่โค้ งๆไปมาหาความหมายพิเศษอะไรไม่ได้
แต่ในอัลกุรอานนัน้ อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้ ชี ้ให้ เห็นความสําคัญของลายนิ ้วมือเมื่อพันสี่ร้อยปี มาแล้ ว หากแต่ไม่มีใครสนใจ
ความหมายพิเศษนี ้เลย เพิ่งจะเป็ นที่เข้ าใจกันในยุคปั จจุบนั นี ้เอง

miracle_thai 01/03/2011 Page 66


ข้ อมูลอนาคตที่ปรากฏในกุรอาน

ความนํา

ความมหัศจรรย์อีกด้ านหนึ่งของอัลกุรอาน คือการกล่าวล่วงหน้ าถึงเหตุการณ์สําคัญๆต่างๆมากมายที่จะ


เกิดขึ ้นในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น ในซูเราะฮ์ อัลฟั ตฮ์ อายะฮ์ที่ 27 ที่ได้ ให้ ความมัน่ ใจแก่ผ้ ศู รัทธาว่าพวกเขาจะได้ ยึด
ครองนครมักกะห์ ซึ่งในขณะนันอยู้ ่ภายใต้ การยึดครองของกลุม่ ผู้ปฏิเสธอิสลาม

“โดยแน่ นอนอัลลอฮ์ ได้ ทรงทําให้ ความฝั นนัน้ สมจริงแก่ รอซู้ลของพระองค์ ด้ วยความจริงแน่ นอน
พวกเจ้ าจะได้ เข้ าสู่มัสยิดฮะรอม อย่ างปลอดภัยหากอัลลอฮ์ ทรงประสงค์ โดย(บางคน)
โกนผมของพวกเจ้ า และ (อีกบางคน) ตัดผม พวกเจ้ าอย่ าได้ หวาดกลัว เพราะอัลลอฮ์ ทรงรอบรู้
สิ่งที่พวกเจ้ าไม่ ร้ ู ดังนัน้ พระองค์ จงึ ได้ ทรงกําหนดชัยชนะอื่นจากนัน้ ซึ่งชัยชนะอันใกล้ น”ี ้
(อัลกุรอาน 48:27)

หากเราพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ วจะพบว่า อายะฮ์ดงั กล่าวได้ ประกาศถึงชัยชนะที่จะเกิดขึ ้นก่อนชัยชนะที่มกั


กะห์ นัน่ ก็คือการที่บรรดาผู้ศรัทธาสามารถเข้ ายึด ป้อมไคเบอร์ ที่ชาวยิวครอบครองอยู่ และหลังจากนันจึ ้ งเข้ ายึด
ครองมักกะห์
การประกาศถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ ้นในอนาคตเช่นนี ้เป็ นหนึ่งในความรอบรู้ทงปวงทีั้ ่มีอยู่ในอัลกุรอาน สิ่งนี ้
เป็ นหลักฐานยืนยันได้ อีกว่า อัลกุรอานนันเป็ ้ นวจนะของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ผู้ทรงรอบรู้ทกุ ประการ ความพ่ายแพ้ ของ
อาณาจักรไบเซนไทน์ก็เป็ นเหตุการณ์ในอนาคตอีกเหตุการณ์หนึ่งที่กล่าวไว้ พร้ อมกับข้ อมูลอื่นๆ ที่ไม่มีมนุษย์คนใดใน
สมัยนันจะเข้
้ าใจได้ ประเด็นที่น่าสนใจที่สดุ ในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นี ้คือ ข้ อกล่าวที่วา่ ชาวโรมันจะปราชัยใน
ดินแดนที่ตํ่าที่สดุ ของโลก ซึ่งจะได้ กล่าวถึงอย่างละเอียดในบทต่อไป สิ่งที่น่าสนใจก็คือ คําว่า “ดินแดนที่ตํ่าที่สดุ ” ถูก
เน้ นเป็ นพิเศษในอายะฮ์ที่จะกล่าวถึงนี ้ ด้ วยเทคโนโลยีและความรู้ในสมัยนัน้ ไม่มีทางที่จะสามารถวัดและกําหนดได้
ว่า ที่ใดคือ ดินแดนที่ตํ่าที่สดุ ของโลก นี่คือดํารัสของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง

miracle_thai 01/03/2011 Page 67


ทะเลเดดซี ซึ่งเป็ นสถานที่ท่ ีชาวไบเซนไทน์ ปราชัยแก่ ชาวเปอร์ เซีย ด้ านบนเป็ นภาพถ่ ายดาวเทียมในบริ เวณที่กล่ าวว่ า
เป็ น ทะเลสาบแห่ งลูต ดินแดนที่ต่ าํ ที่สุดของโลก ซึ่งตํ่ากว่ าระดับนํา้ ทะเล 395 เมตร

ชัยชนะของชาวไบเซนไทน์

เราจะพบความมหัศจรรย์อีกประการหนึ่งที่เกี่ยวข้ องกับเหตุการณ์ในอนาคตในอัลกุรอาน ได้ ในซูเราะฮ์อรั รูม


อายะฮ์ที่ 1-4 ซึ่งได้ กล่าวถึง อาณาจักรไบเซนไทน์ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของบริเวณที่จะกลายเป็ นอาณาจักรโรมัน
หลังจากนัน้ อายะฮ์นี ้กล่าวถึงอาณาจักรไบเซนไทน์ ที่ต้องพบกับความพ่ายแพ้ ครัง้ ยิ่งใหญ่ครัง้ หนึ่ง แต่พวกเขาก็จะ
กลับมาพบกับชัยชนะได้ ใหม่ไม่นานหลังจากนัน้

ซูเราะฮ์ อัรรูม
“อะลิฟ ลาม มีม พวกโรมันถูกพิชติ แล้ ว ในดินแดนอันใกล้ นี ้
แต่ หลังจากการปราชัยของพวกเขาแล้ วพวกเขาจะได้ รับชัยชนะ ในเวลาไม่ ก่ ีปีต่ อมา
พระบัญชาเป็ นสิทธิของอัลลอฮ์ ทัง้ ก่ อนและหลัง (ชัยชนะ) และวันนัน้ บรรดาผู้ศรัทธาจะดีใจ”
(อัลกุรอาน 30:1-4)

หมายเหตุ
อัลกุรอานฉบับ ภาษาไทย แปลว่ า “...ดินแดนอันใกล้ นี.้ ..” แต่ ความหมายในบทนี ้ จึงน่ าจะหมายถึง “ดินแดนตํ่าสุด”
ทัง้ นีค้ วามหมายของคําว่ า คําว่ า – ‫ﺍﺩﻧﺎ‬- ในพจนานุกรม อาหรั บ-ไทย แปลว่ า ใกล้
แต่ ในพจนานุกรม อาหรั บ-มลายู ยังแปลได้ ว่า yang lebih hina ซึ่งหมายถึง ที่ซ่ งึ ตํ่ากว่ า

miracle_thai 01/03/2011 Page 68


อายะฮ์นี ้ได้ ถกู ประทานมาในราวปี ค.ศ. 620 เกือบ 7 ปี หลังจากที่ชาวคริสเตียนไบเซนไทน์พ่ายแพ้ ยบั เยิน ต่อ
ชาวเปอร์เซีย ผู้บชู าเทวรูป อายะฮ์นี ้ได้ กล่าวถึงชัยชนะของชาวไบเซนไทน์ ที่จะเกิดขึ ้นในไม่ช้า ซึ่งในขณะนัน้ ชาวไบ
เซนไทน์กําลังทุกข์ยากจากความสูญเสียอย่างหนัก จนดูเกือบจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ตอ่ ไปได้ การกลับมาชนะอีกครัง้
จึงเป็ นเรื่องเหนือความคาดหมาย นอกเหนือจากชาวเปอร์เซียแล้ ว ชาวเอวาร์ ชาวสลาฟ และชาวลอมบาร์ ก็กําลัง
คุกคามอาณาจักรไบเซนไทน์อยู่เช่นเดียวกัน พวกเอวาร์ได้ เข้ ามาประชิดกําแพงเมืองคอนสแตนตินโนเปิ ล จักรพรรดิ
เฮราคลิอสุ แห่งอาณาจักรไบเซนไทน์ ได้ มีพระบัญชาให้ นําทองคําและเงินในโบสถ์ไปหลอมเพื่อใช้ เป็ นค่าใช้ จ่ายใน
สงคราม ในยามขัดสนนี ้ แม้ กระทัง่ รูปปั น้ สัมฤทธิ์ก็ถกู นําไปหลอมเพื่อใช้ เป็ นค่าใช้ จ่ายดังกล่าว ผู้ปกครองเขตหลาย
คนต่างก็แสดงความกระด้ างกระเดื่องต่อจักรพรรดิเฮราคลิอสุ ทําให้ อาณาจักรเสี่ยงต่อการล่มสลาย ดินแดนเมโสโป
เตเมีย ซิลิเซีย ซีเรีย ปาเลสไตน์ อียิปต์ และอาร์เมเนีย ซึ่งเคยเป็ นของอาณาจักรไบเซนไทน์ ก็ถกู รุกรานโดยชาว
เปอร์เซีย ผู้บชู าเทวรูป 20
กล่าวอย่างง่ายๆว่า ในขณะนันทุ ้ กคนต่างก็คาดว่าอาณาจักรไบเซนไทน์คงถึงการล่มสลาย แต่ ณ เวลานันเอง ้
ที่อายะฮ์แรกของซูเราะฮ์อรั รูม ได้ ประทานลงมาว่า อาณาจักรไบเซนไทน์จะได้ รับชัยชนะในเวลาไม่นานหลังจากนัน้
ชัยชนะครัง้ นี ้ดูไม่น่าจะเป็ นไปได้ จนชาวอาหรับผู้ไม่ศรัทธาทังหลายต่
้ างก็เย้ ยหยันข้ อความในอายะฮ์นี ้ พวกเขาคิดว่า
ชัยชนะที่กล่าวไว้ ในกุรอานนี ้ไม่มีทางเป็ นไปได้
หลังจากที่อายะฮ์แรกของซูเราะฮ์ อัรรูม นี ้ ได้ ถกู ประทานลงมาเป็ นเวลา 7 ปี ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 627 การ
รบพุ่งระหว่างชาวไบเซนไทน์ และชาวเปอร์ เซีย เกิดขึ ้นที่นิเนเวห์ ในครัง้ นี ้เองที่ชาวไบเซนไทน์ มีชยั ชนะเหนือชาว
เปอร์เซียอย่างเหนือความคาดหมาย อีกไม่กี่เดือนหลังจากนัน้ ชาวเปอร์เซียก็จําเป็ นต้ องทําข้ อตกลงกับชาวไบเซน
ไทน์ โดยจํายอมที่จะคืนดินแดนที่ยึดครองไปทังหมดให้ ้ แก่อาณาจักรไบเซนไทน์21
ในที่สดุ “ชัยชนะของชาวโรมัน” ที่ประกาศไว้ ในอัลกุรอาน โดยพระผู้เป็ นเจ้ าก็เป็ นจริงอย่างน่าอัศจรรย์
สิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งคือคํากล่าวที่เกี่ยวกับข้ อเท็จจริงทางภูมิศาสตร์ ซึ่งไม่มีผ้ ใู ดสามารถล่วงรู้ได้ ในสมัย
นัน้
ในอายะฮ์ที่ 3 ของซูเราะฮ์อรั รูม นี ้ กล่าวว่า ชาวโรมันจะปราชัยในดินแดนที่ตํ่าที่สดุ บนพื ้นโลก คําในภาษา
อาหรับ ที่วา่ “อัดนัลอัรด” หลายคนได้ ให้ ความหมายว่าเป็ น “ดินแดนอันใกล้” ซึ่งไม่ใช่ความหมายตามตัวอักษรของ
คําดังกล่าว หากแต่เป็ นความหมายเชิงอุปมา คําว่า “อัดน่า” มีรากศัพท์ มาจากคําว่า “ดีนี่” ซึ่งหมายถึง ตํ่า และคํา
ว่า “อัรด” หมายถึงโลก ดังนัน้ คํ่าว่า “อัดนัลอัรด” จึงหมายถึงดินแดนที่ตํ่าที่สดุ ของโลก
สิ่งที่น่าสนใจที่สดุ อีกอย่างหนึ่งคือ ในช่วงวิกฤตของสงครามระหว่างอาณาจักรไบเซนไทน์กบั เปอร์เซีย เมื่อ
อาณาจักรไบเซนไทน์ประสบความปราชัยและต้ องเสียเมืองเยรูซาเล็มบนดินแดนที่ตํ่าที่สดุ ของโลก ดินแดนแห่งนัน้
คือบริเวณทะเลเดดซี ซึ่งตังอยู ้ ่ตรงจุดกึ่งกลางของดินแดนของประเทศ ซีเรีย ปาเลสไตน์ และจอร์แดน บริเวณ “เดดซี”
แห่งนี ้ อยู่ตํ่ากว่าระดับนํ ้าทะเล 395 เมตร จึงเป็ นดินแดนที่ตํ่าที่สดุ บนพื ้นโลก

miracle_thai 01/03/2011 Page 69


จากข้ อมูลดังกล่าว อาณาจักรไบเซนไทน์ ประสบความปราชัยบนดินแดนที่ตํ่าที่สดุ บนพื ้นโลก จริงดังที่ได้ กล่าว
ไว้ ในอัลกุรอาน
สิ่งทีน่าสนใจในข้ อเท็จจริงเรื่องนี ้คือ การวัดความลึกของบริเวณเดดซี จะสามารถทําได้ โดยใช้ เทคโนโลยีใน
สมัยใหม่เท่านัน้ ก่อนหน้ านี ้ เป็ นไปไม่ได้ เลยที่จะมีผ้ ใู ดสามารถล่วงรู้วา่ ที่แห่งใดเป็ นดินแดนที่ตํ่าที่สดุ บนพื ้นโลก แต่
ดินแดนดังกล่าวได้ ถกู กล่าวไว้ แล้ วในอัลกุรอานว่าเป็ นดินแดนที่ตํ่าที่สดุ บนโลก และนี่ก็เป็ นหลักฐานอีกประการหนึ่ง
ว่า อัลกุรอาน เป็ นวจนะของอัลลอฮ์ (ซ.บ.)

ด้ านบนเป็ นภาพถ่ ายดาวเทียมบริ เวณทะเลเดดซี ซึ่งระดับความลึกสามารถวัดได้ โดยใช้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ เท่ านัน้ การ
วัดดังกล่ าวทําให้ พบว่ า เดดซี คือ “ดินแดนที่ต่ าํ ที่สุดบนพืน้ โลก”

miracle_thai 01/03/2011 Page 70


ประวัติศาสตร์ กับความมหัศจรรย์ ของอัลกุรอาน
“ฮามาน” ในอัลกุรอาน
ข้ อมูลความรู้ใน อัล กุรอานที่ได้ ระบุไว้ เกี่ยวกับอียิปต์โบราณนัน้ ได้ เปิ ดเผยถึงเรื่องราวความจริงทาง
ประวัติศาสตร์อย่างมากมาย ที่ไม่เป็ นที่เปิ ดเผยจนกระทัง่ เมื่อไม่นานมานี ้เอง ข้ อเท็จจริงเหล่านี ย้ งั ได้ แสดงให้ เราได้ ร้ ู
ว่า ทุกๆคําในอัลกรุอานนันกล่ ้ าวจากภูมิปัญญาที่แท้ จริง
ฮามาน เป็ นผู้ที่มชี ื่อปรากฎในอัลกรุอานคูก่ บั ชื่อ ฟาโรห์ เขาถูกกล่าวถึง 6 ครัง้ ในที่ตา่ งกันใน อัลกุรอาน ใน
ฐานะบุคคลที่ใกล้ ชิดที่สดุ ของฟาโรห์
แต่น่าแปลกใจอย่างยิ่งที่ชื่อ ฮามาน มิได้ ถกู กล่าวถึงเลย ในคัมภีร์เตารอต (Old Testament) ส่วนที่กล่าวถึง
ชีวิตของท่านนบีมซู า อาลัยฮิสสลาม ( Moses) แต่ไปปรากฏอยู่ ในบทสุดท้ ายขอ งคัมภีร์ ดงั กล่าวในฐานะผู้ช่วยของ
กษัตริ ย์บาบิโลน ผู้กระทําทารุณชาวยิวอย่างโหดเหี ้ยมหลายครัง้ เมื่อประมาณ 1,100 ปี หลังจากสมัยนบีมซู า (อล.)
ผู้ที่มิใช่ชาวมุสลิมบางคนกล่าวว่า ท่าน ศาสดามุฮมั มัด (ซล) ได้ เขียนอัลกุรอานขึ ้นมาเอง โดยการคัดลอก
จากคัมภีร์ เตารอต และ คัมภีร์ ไบเบิ ้ล (New Testament) ในระหว่างการคัดลอกนัน้ ท่าน ศาสดามุฮมั มัด (ซล) ได้
คัดลอกเรื่องราวจากทังเตารอตและไบเบิ
้ ้ล มาไว้ ในอัลกุรอานอย่างผิดๆ
ความไร้ สาระของการกล่าวอ้ างเหล่านี ้ เป็ นที่ประจักษ์ ชดั เมื่อมีการอ่านอักษรภาพของ อียิปต์โบราณออ กมา
เมื่อประมาณ 200 ปี ที่ผา่ นมา และชื่อ ฮามาน ก็ถกู พบในต้ นฉบับเอกสารโบราณชิ ้นนี ้
ก่อนหน้ าการค้ นพบนี ้ยังไม่มีใครรู้ความหมายของบันทึก หรือจารึกของชาวอียิปต์โบราณ เนื่องจากในยุคนัน้
ภาษาของชาวอียิปต์โบราณเป็ นอักษรภาพที่เก่าแก่มาก แต่อย่างไรก็ตามจากการขยายตัวของศาสนาคริสต์ รวมทัง้
อิทธิพลทางวัฒนธรรมต่างๆในช่วงคริ สต์ศตวรรษที่ 2 และ 3 ชาวอียิปต์ก็ได้ ละทิ ้งความเชื่ออย่างโบราณๆ รวมไปถึง
อักษรภาพด้ วย ตัวอย่างอักษรภาพชิ ้นสุดท้ ายที่เป็ นที่ร้ ูจกั กันดี ได้ แก่ จารึกในปี ค.ศ. 394 ซึ่งหลังจากนัน้ ภาษาอักษร
ภาพเหล่านี ้ได้ ก็ได้ ถกู ลืมไป ไม่มีผ้ ใู ดที่สามารถอ่าน และเข้ าใจได้ อีก ซึ่งนัน่ เป็ นเหตุการณ์ที่เกิดขึ ้นเมื่อ 200 ปี ที่ผา่ น
มาแล้ ว
ปริศนาของอักษรภาพอียิปต์โบราณได้ ถกู ไขออกในปี ค.ศ. 1799 ด้ วยการค้ นพบแผ่นศิลาจารึก ที่เรี ยกว่า “โร
เซ็ตต้ า สโตน” (Rosetta Stone) ซึ่งมีอายุเก่าแก่ถึง 196 ปี ก่อนคริสต์กาล ความสําคัญของศิลาจารึกนี ้ก็คือ เขียนด้ วย
อักษร 3 รูปแบบต่างกัน คือ อักษรภาพ อักษรเดโมติก (อักษรภาพอียิปต์โบราณที่ดดั แปลงให้ ง่ายขึ ้น) และอักษรกรีก
และจากอักษรกรีกนี ้เองทําให้ สามารถถอดความจากบันทึกของชาวอียิปต์โบราณได้
ผู้ที่ แปลคําจารึกนี ้ได้ เสร็จสมบูรณ์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ จอง ฟร องซัว ส์ ช อง ปอล ลิ ยง (Jean-Francoise
Champollion) ทําให้ ทังภาษาที้ ่ได้ สา บสูญไป และเหตุการณ์ตา่ งๆที่กล่าวไว้ ในจารึก เ ป็ นที่ประจักษ์ และ ความรู้
เกี่ยวกับอารยธรรม ศาสนา และสังคมของชาวอียิปต์โบราณ ก็กลายเป็ นเรื่ องที่ผ้ คู นสามารถศึกษาได้

miracle_thai 01/03/2011 Page 71


ชื่อ ฮามาน นัน้ ไม่ เป็ นที่ร้ ู จกั จนกระทั่งได้ มีการถอดความจากอักษรภาพของชาวอียิปต์ โบราณในศตวรรษที่ 19 เมื่อ
อักษรภาพเหล่ านัน้ ได้ ถกู ถอดความออกมา ก็เป็ นที่ร้ ู กันว่ า “ฮามาน” ก็คือ บุคคลใกล้ ชิดที่คอยช่ วยเหลือฟาโรห์ ในฐานะ
“หัวหน้ าคนงานสกัดหิน” (ภาพข้ างบนแสดงถึง คนงานก่ อสร้ างชาวอียิปต์ โบราณ ) ประเด็นที่สําคัญยิ่งก็คือ ฮามานได้ ถกู
กล่ าวถึงในอัลกุรอานในฐานะผู้ควบคุมงานก่ อสร้ างตามคําสั่งของฟาโรห์ นั่นหมายความว่ า ข้ อมูลความรู้ ท่ ไี ม่ มีผ้ ูใดเคยรู้
มาก่ อนในเวลานัน้ กลับปรากฏอยู่ ในอัลกุรอาน

miracle_thai 01/03/2011 Page 72


จากการถอดความอักษรภาพนัน้ ข้ อมูลสําคัญชิ ้นหนึ่งได้ ระบุถึงชื่อ “ฮามาน” ซึ่ง ปรากฏอยู่ใน จารึกของชาว
อียิปต์ และชื่อนี ้ยังได้ ถกู นําไปไว้ ในอนุสาวรีย์แห่งหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ ฮอฟ (Hof Museum) ในกรุงเวียนนา 22
ในพจนานุกรม “ประชาชาติในอาณาจักรใหม่ ” (People in the New Kingdom) ซึ่งจัดทําขึ ้นเพื่อรวบรวม
จารึกทังหมดนั
้ น้ คําว่า “ฮามาน” หมายถึง “หัวหน้ าคนงานสกัดหิน” 23
สิ่งนี ้แสดงถึงข้ อเท็จจริ งที่สําคัญมาก ซึ่งแตกต่างไปจาก คํายืนยัน อย่างผิดๆ ของฝ่ ายที่ขดั แย้ งกับ อัลกุรอาน
โดยที่อลั กุรอานได้ ระบุไว้ วา่ ฮามาน คือ บุคคลที่มีชีวิตอยู่ในอียิปต์ ใน สมัยท่านนบีมซู า(อล) เขาเป็ นคนใกล้ ชิดของ
ฟาโรห์ และมีหน้ าที่เกี่ยวข้ องกับงานก่อสร้ าง
ยิ่งกว่านัน้ อัล กุรอานยังได้ บรรยายถึงเหตุการณ์ เมื่อฟาโรห์ได้ สงั่ ให้ ฮามานสร้ างหอคอยขึ ้น ซึ่งก็ตรงกับ
หลักฐานต่างๆทางโบราณคดี

“และฟิ รเอาน์ กล่ าวว่ า โอ้ปวงบริพารเอ๋ ย ฉันไม่ เคยรู้จักพระเจ้ าอื่นใดของพวกท่ านนอกจากฉัน


โอ้ ฮามานเอ๋ ย จงเผาดินให้ ฉันด้ วย แล้ วสร้ างโครงสูงระฟ้า
เพื่อที่ฉันจะได้ ขนึ ้ ไปดูพระเจ้ าของมูซาและแท้ จริงฉันคิดว่ าเขานัน้ อยู่ในหมู่ผ้ กู ล่ าวเท็จ”
(อัลกุรอาน 28:38)

กล่าวโดยสรุป การปรากฏชื่อ ฮามาน ในจารึกของชาวอียิปต์โบราณนัน้ มิได้ เพียงแต่ ทําให้ คํา กล่าวอ้ าง ที่
ฝ่ ายตรงข้ ามกับอัลกุรอานที่สรรค์แต่งขึ ้นมานันหมดความหมาย
้ แต่กลับสนับสนุน ยืนยันถึงความจริงอีกครัง้ ว่า อัลกุ
รอานนันมาจากพระผู
้ ้ เป็ นเจ้ า ในแง่ความมหัศจรรย์ อัลกุรอานได้ ถ่ายทอดให้ เรารู้ถึงข้ อมูลทางประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่
ผู้ใดสามารถอธิบาย หรือเข้ าใจมาก่อนเลยในช่วงเวลาของท่านศาสดามูฮมั มัด (ซล.)

miracle_thai 01/03/2011 Page 73


ตําแหน่ งผู้ปกครองอียปิ ต์ ในกรุ อาน

ท่านนบีมซู า(อล.) (Moses) มิใช่ศาสดาเพียงท่านเดียวที่อยู่ในดินแดนอียิปต์ ตามที่ปรากฏใน ประวัติศาสตร์


ของอียิปต์โบราณ ท่านนบียซู ูฟ(อล.) (Joseph) ก็เคยอยู่ในอียิปต์เช่นเดียวกัน ก่อนหน้ าท่านนบีมซู า(อล.)นานแล้ ว
มีบางอย่างที่สอดคล้ องกัน ในเรื่ องราวของท่านนบีมซู า (อล.) กับ ท่านนบียซู ูฟ (อล.) การกล่าวพระนาม
ผู้ปกครองอียิปต์ ในช่วงเวลาของท่านนบียซู ูฟ(อล.) นัน้ ในอัลกุรอานใช้ คําว่า “มาลิก”(กษัตริย์)

“และกษัตริย์ตรั สว่ า จงนําเขามาหาฉันสิ ฉันจะแต่ งตัง้ เขาให้ เป็ นผู้ใกล้ ชดิ ของฉัน
เมื่อยูซุฟได้ สนทนากับพระองค์ แล้ ว พระองค์ ตรัสว่ า
แท้ จริงท่ านอยู่ต่อหน้ าเรา เป็ นผู้มีตําแหน่ งสูงเป็ นที่ไว้ วางใจ”
(อัลกุรอาน 12:54)

แต่ทว่า ผู้ปกครองในช่วงเวลาของท่านนบีมซู า(อล.) กลับเรี ยกกันว่า “ฟาโรห์” หรือ “ฟิ รเอาน์”


“และโดยแน่ นอน เราได้ ให้ แก่ มูซาสัญญาณต่ างๆ อันแจ่ มชัด 9 ประการ
ดังนัน้ เจ้ าจงถามวงศ์ วานของอิสรออีล เมื่อเขา(มูซา) มายังพวกเขา
ฟิ รเอาน์ ได้ พูดกับเขาว่ า โอ้ มูซา เอ๋ ย แท้ จริงฉันคิดว่ าท่ านถูกเวทย์ มนต์ อย่ างแน่ นอน”
(อัลกุรอาน 17:101)

บันทึกทางประวัติศาสตร์ ที่มีในปั จจุบนั แสดงให้ เรารู้ถึงเหตุผลของข้ อแตกต่างในการเรียกชื่อของผู้ปกครอง


ทังสอง
้ คําว่า “ฟาโรห์” นันเดิ
้ มเป็ นชื่อเรี ยกพระราชวังในสมัยอียิปต์โบราณ ผู้ปกครองในราชวงศ์แต่ก่อนไม่ได้ ใช้ คํานี ้
เรี ยก มาเริ่มใช้ ในยุค “อาณาจักรใหม่ ” (New Kingdom) ของประวัติศาสตร์อิยิปต์ สมัยราชวงศ์ที่ 18 ราวปี 1539 -
1292 ก่อนคริสต์กาล และในยุคของราชวงศ์ที่ 20 ในปี 945 -730 ก่อนคริสต์กาล คําว่า “ฟาโรห์ ” ก็ได้ ใช้ หมายถึง
ตําแหน่งที่ควรเคารพยกย่อง
ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานได้ ปรากฏให้ เราได้ รับรู้อีกครัง้ หนึ่งว่า ท่านนบียซู ูฟ(อล.) (Joseph) มีชีวิตอยู่ใน
ช่วงเวลาของ “อาณาจักรเก่า ” (Old Kingdom) ซึ่งคําว่า “มาลิ ก” ใช้ เรียกผู้ปกครองอียิปต์มา ก่อนคําว่า “ฟาโรห์ ”
ในทางตรงกันข้ าม ในช่วงเวลาของท่านนบีมซู า (อล.) ใน “อาณาจักรใหม่ ” นัน้ ผู้ปกครองอียิปต์จึ งจะเรี ยกกัน ว่า
“ฟาโรห์”

miracle_thai 01/03/2011 Page 74


เป็ นที่แน่ชดั ว่า เราต้ องมีความรู้ทางประวัติศาสตร์ของอียิปต์เสียก่อน ถึงจะสามารถเห็นข้ อแตกต่าง นี ้ได้ แต่
อย่างไรก็ตาม ประวัติของอียิปต์โบราณก็ได้ เลือนหายสาบสูญไปหมดสิ ้นในศตวรรษที่ 4 เช่นเดียวกับอักษรภาพ ซึ่ง
ไม่เป็ นที่เข้ าใจได้ ตงแต่
ั ้ นนมาั ้ และเพิ่งจะมีการค้ นพบในศตวรรษที่ 19 ดังนัน้ จึงไม่ปรากฏความรู้ทางประวัติศาสตร์
อียิปต์โบราณอย่างถี่ถ้วนเลย จนกระทัง่ อัลกุรอานเผยแพร่ขึ ้นมา สิ่งนี จ้ ึงเป็ นข้ อเท็จจริงอีกประการหนึ่งจากบรรดา
หลักฐานข้ อเท็จจริงจํานวนมาก ที่พิสจู น์ได้ วา่ อัลกุรอานนัน้ เป็ นวจนะของพระผู้เป็ นเจ้ า

miracle_thai 01/03/2011 Page 75


นักโบราณคดีค้นพบเมืองอิรอม

เมื่อต้ นปี ค.ศ.1990 หนังสือพิมพ์ชื่อดังฉบับหนึ่งได้ ตีพิมพ์เรื่องการค้ นพบเมืองอาหรับที่สาบสูญหรือ อุบรั แอ


ตแลนติสแห่งทะเลทราย สิ่งจูงใจให้ นกั โบราณคดีค้นหาเมืองนี ้คือเรื่องราวที่กล่าวไว้ ในอัลอัลกุรอานนัน่ เอง เรื่องราว
ของชาวอ๊ าดและที่อยู่ของพวกเขาที่อลั กุรอานกล่าวถึงนันยั ้ งไม่มีการระบุสถานที่ที่แน่นอน การค้ นพบสถานที่
ดังกล่าวซึ่งเคยเป็ นเพียงเรื่ องเล่าของชาวเบดูอินเท่านัน้ ทําให้ การค้ นหาสถานที่นี ้เป็ นสิ่งที่ท้าท้ ายและน่าสนใจ
นิโคลัส แคลพ นักโบราณคดี เป็ นผู้ที่ค้นพบดินแดนในตํานานที่กล่าวไว้ ในอัลกุรอาน แคลพเป็ นผู้สนใจศาสนา
เกี่ยวกับอาหรับและเป็ นผู้ทําสารคดีที่ได้ รับรางวัล เขาพบหนังสือประวัติศาสตร์อาหรับที่น่าสนใจโดยบังเอิญขณะที่
เขาค้ นคว้ าเรื่องประวัติศาสตร์ อาหรับ หนังสือเล่มนี ้ชื่อ Arabia Felix เขียนในปี 1932 โดย เบอแทรม โทมัส นัก
ค้ นคว้ าชาวอังกฤษ โดยบรรยายเกี่ยวกับคาบสมุทรอาหรับตอนใต้ ซึ่งปั จจุบนั คือประเทศเยเมนและโอมานซึ่งมีชื่อ
เรี ยกในภาษากรี กว่า “Eudiamon Arabia” และในภาษาอาหรับเรียกว่า “อัลเยเมน แอสไซดะ ”20 ชื่อดังกล่าวนัน้
หมายถึง “ชาวอาหรับที่มีโชค” เพราะว่ากลุม่ ชนที่อาศัยอยู่ดินแดนนี ้ในเวลานันเป็ ้ นพ่อค้ าคนกลางในการค้ าขาย
เครื่องเทศระหว่างคาบสมุทรอาหรับตอนเหนือกับอินเดีย นอกจากนี ้ยังสามารถผลิตยางหอมจากไม้ หายากซึ่งเป็ นสิ่ง
ที่นิยมใช้ ในอดีต ไม้ หอมนี ้ใช้ เป็ นเครื่ องหอมในพิธีทางศาสนาอีกด้ วย ไม้ หอมนี ้มีคา่ เทียบเท่าทองคําในสมัยนัน้
เบอแทรม โทมัส นักค้ นคว้ าชาวอังกฤษที่บรรยายความโชคดีของชนกลุม่ นี ้ 21กล่าวว่า เขาพบร่องรอยของเมือง
โบราณนี ้ซึ่งเป็ นที่ร้ ูจกั ในหมูช่ าวเบดูอินในชื่อว่า อูบาร์ ในการเดินทางไปยังดินแดนนี ้ ชาวเบดูอินที่อาศัยอยู่ใน
ทะเลทรายได้ พาเขาไปดูเส้ นทางที่ไปยังเมือง อูบาร์ แต่ เบอแทรม โทมัส ก็เสียชีวิตลงก่อนที่เขาจะศึกษาสําเร็จ
หลังจากที่ นิโคลัส แคลพ ศึกษารายงานที่ เบอแทรม โทมัส เขียนก็มีความเชื่อมัน่ ในเรื่องดังกล่าวและการ
ค้ นหาของเขาก็เริ่ มต้ นขึ ้น นิโคลัส แคลพ พยายามที่จะพิสจู น์เมือง อูบาร์ โดยใช้ 2 วิธีคือ วิธีแรกเขาหาร่องรอย
เส้ นทางที่ชาวเบดูอินกล่าวถึงโดยใช้ ดาวเทียมขององค์การ NASA ถ่ายรูปบริเวณดังกล่าว 22 หลังจากความพยายาม
อย่างหนักเขาก็สามารถโน้ มน้ าวผู้ที่มีอํานาจให้ ถ่ายภาพบริเวณนันมาได้ ้
วิธีที่สองนิโคลัส แคลพ ศึกษาแผนที่โบราณที่ห้องสมุดฮินติงตันในแคริ ้ ฟอร์เนีย และเขาก็พบแผนที่ที่วาดโดย
ปโตเลมี นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก-อิยิปต์ ซึ่งเขียนไว้ ใน ค.ศ.200 ซึ่งแผนที่นี ้แสดงตําแหน่งและเส้ นทางที่จะนาไปสูเ่ มือง
นี ้ในขณะเดียวกัน นิโคลัส แคลพ ก็ได้ รับภาพถ่ายจากองค์การ NASA ซึ่งสามารถเห็นร่องรอยของเส้ นทางที่คาดว่า
กองคาราวานจะใช้ ในการเดินทาง เมื่อเปรียบเทียบกับแผนโบราณที่ที่ปโตเลมีเขียนแล้ วก็เข้ ากันได้ กบั ภาพที่ได้ จาก
ดาวเทียม และปลายทางของเส้ นทางนี ้จะนําไปสูเ่ มืองที่ค้นหาอยู่ ในที่สดุ เราก็ร้ ูตําแหน่งของเมืองในตํานานแห่งนี ้
และการขุดค้ นก็เริ่ มขึ ้นในเวลาไม่นานเมืองโบราณที่อยู่ใต้ ผืนทรายก็ถกู ค้ นพบและขนานนามว่า “แอตแลนติสแห่ง
ทะเลทราย”
แล้ วจะพิสจู น์ได้ อย่างไรว่าเป็ นเมืองของชาวอ๊ าดที่ถกู กล่าวถึงในอัลกุรอานจริง สิ่งที่เป็ นหลักฐานก็คือการ
ค้ นพบหอคอยหรื ออาคารสูงหลายแห่งซึ่งในอัลกุรอานกล่าวไว้ อย่างเจาะจงว่าเมืองอิรอมมีหอคอยหรืออาคารสูง ดร.
ซารินหนึ่งในคณะค้ นหาเมืองนี ้กล่าวว่าหอคอยเป็ นลักษณะเด่นของเมืองอูบาและเมืองอิรอมก็ได้ รับการกล่าวกันว่ามี
หอคอย นี่เป็ นข้ อพิสจู น์ที่ชดั เจนว่าสถานที่ที่ถกู ขุดค้ นพบนี ้คือเมืองอิรอม เมืองของชาวอ๊ าดที่ถกู กล่าวไว้ ในอัลกุรอาน
miracle_thai 01/03/2011 Page 76
อัลกุรอานกล่าวถึงเมืองอิรอมว่า
“เจ้ าไม่ เห็นดอกหรื อว่ าพระเจ้ าของเจ้ ากระทําต่ อพวกอ๊ าดอย่ างไร
อิรอมพวกมีเสาหินสูงตระหง่ าน ซึ่งเยี่ยงนัน้ มิได้ ถูกสร้ างตามหัวเมืองต่ างๆ”
ซูเราะห์ อัลฟั จรฺ อายะห์ ท่ ี 6-8
เป็ นที่ประจักษ์ แล้ วว่าสิ่งที่บอกไว้ ในอัลกุรอานเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตเป็ นการยืนยันข้ อมูลทางประวัติศาสตร์
และเป็ นเรื่องจริงนัน่ คืออัลกุรอานพระพจนารถของอัลลอฮ์

ชนชาวสะบะอฺและอุทกภัยอะริม
แคว้ นสะบะอฺ (ปั จจุบนั อยู่ในประเทศเยเมน - ผู้แปล) เป็ นหนึ่งในสี่เมืองที่มีวิวฒ
ั นาการก้ าวหน้ ามากที่สดุ ในแถบอาร
เบียตอนใต้ แหล่งข้ อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชาวสะบะอฺ กล่าวว่าชุมชนแห่งนี ้มีวิถีชีวิตเกี่ยวพันกับการค้ าขาย
เป็ นอย่างมาก คล้ ายกับชาวฟี นีเซีย (Pheonicia) ชาวสะบะอฺได้ รับการยอมรับว่าเป็ นผู้ที่มีความเจริญก้ าวหน้ าสูง
ที่สดุ ในประวัติศาสตร์ ในหลักจารึกของผู้ปกครองแคว้ นสะบะอฺ มีการใช้ คําชันสู ้ งอย่างคําว่า “ปฏิสงั ขรณ์” “อุทิศ”
และ “สถาปนา” บ่อยครัง้ เขื่อนมาริ บ (Marib Dam) เป็ นหนึ่งในสิ่งก่อสร้ างที่สําคัญที่สดุ ของชาวสะบะอฺ และยังเป็ น
หลักฐานที่สําคัญที่สดุ ที่แสดงถึงความก้ าวหน้ าด้ านเทคโนโลยีของชาวสะบะอฺอีกด้ วย แคว้ นสะบะอฺมีกองทหารที่
แข็งแกร่งที่สดุ ในภูมิภาคนี ้ มีการวางนโยบายแผ่ขยายอาณาจักรของตนเองไว้ อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถทําได้ เพราะมี
กองทหารที่เข้ มแข็ง และด้ วยอารยธรรมที่ก้าวหน้ าและกองทหารที่เข้ มแข็งนี ้เอง ทําให้ ชาวสะบะอฺเป็ นหนึ่งใน
“มหาอํานาจสูงสุด” ของภูมิภาคในยุคนัน้

อัลกุรอานกล่าวถึงความเข้ มแข็งอย่างที่สดุ ของกองทหารสะบะอฺไว้ ในซูเราะห์ อันนัมลฺ โดยอ้ างถึงคํากล่าวของผู้


บัญชาการทหารที่ถวายต่อพระราชินีแห่งแคว้ นสะบะอฺวา่

“เราเป็ นพวกที่มีพลัง และเป็ นพวกที่มีกําลังรบเข้ มแข็ง (มีกําลังพล และอาวุธยุทโธปกรณ์ มากมาย และมี


ความเข้ มแข็งอดทนในการทําสงคราม) สําหรับพระบัญชานัน้ เป็ นของพระนาง ดังนัน้ พระนางได้ โปรด
ตรึกตรองดู สิ่งใดที่พระนางจะทรงบัญชา” (อัลกุรอาน 27: 33)

เมืองหลวงของแคว้ นสะบะอฺคือเมืองมาริ บ ซึ่งเป็ นเมืองที่มีความมัง่ คัง่ สมบูรณ์อย่างมาก เนื่องจากอยู่ในพื ้นที่ที่มี


ความได้ เปรียบในเชิงภูมิศาสตร์ เมืองหลวงนี ้ตังอยู
้ ่ติดกับแม่นํ ้าอัดฮานะห์ (Adhanah) บริเวณที่แม่นํ ้าไหลมาถึงภูเขา
บาลัคนันเป็
้ นช่วงที่มีความเหมาะสมอย่างยิ่งในการสร้ างเขื่อน ด้ วยความได้ เปรียบนี ้ ชาวสะบะอฺจึงได้ สร้ างเขื่อนและ
miracle_thai 01/03/2011 Page 77
พัฒนาระบบชลประทานขึ ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับการให้ กําเนิดอารยธรรมของตนเอง พวกเขาได้ พฒ ั นาจนมีความ
เจริญมัง่ คัง่ อย่างมาก เมืองหลวงมาริ บจึงเป็ นเมืองที่มีการพัฒนามากที่สดุ ในเวลานัน้ พลีนี่ (Pliny) นักภูมิศาสตร์ ชาว
กรีก ผู้ที่ได้ มาเยือนดินแดนแห่งนี ้ ได้ แสดงความชื่นชมเป็ นอย่างมากและได้ บรรยายความอุดมสมบูรณ์ของดินแดน
แห่งนี ้ไว้ ในงานเขียนของเขาด้ วย40

เขื่อนแห่งมาริบนี ้ มีความสูง 16 เมตร กว้ าง 60 เมตร และยาวถึง 620 เมตร จากการคํานวณพบว่า พื ้นที่ชลประทาน
ทังหมดที
้ ่ได้ รับประโยชน์จากเขื่อนแห่งนี ้ มีมากถึง 9,600 เฮคเตอร์ ซึ่งแบ่งออกเป็ นบริเวณทุ่งทางตอนใต้ 5,300 เฮค
เตอร์ ส่วนที่เหลือเป็ นบริ เวณทุ่งทางตอนเหนือ โดยมีการอ้ างถึงทุ่งทังสองแห่
้ งไว้ ในหลักจารึกของชาวสะบะอฺ41ว่า “มา
ริบและทุ่งทังสอง”
้ ในอัลกุรอานได้ กล่าวถึง “สวนทังสองแห่
้ งทางขวาและทางซ้ าย” เป็ นการชี ้ถึงสวนที่สวยงามและไร่
องุ่นที่มีอยู่ในทุ่งทังสองแห่
้ งนี ้

ผลจากการมีเขื่อนและระบบชลประทาน ทําให้ ดินแดนแห่งนี ้เป็ นที่ร้ ูจกั กันเป็ นอย่างดีวา่ เป็ นดินแดนที่มีระบบ
ชลประทานดีที่สดุ และอุดมสมบูรณ์ที่สดุ ในประเทศเยเมน นาย เจ. โฮลวี่ (J. Holevy) ชาวฝรั่งเศส และนายเกลเซอร์
(Glaser) ชาวออสเตรีย ได้ พบข้ อพิสจู น์จากหลักฐานเอกสารต่างๆว่า เขื่อนมาริบแห่งนี ้มีมาตังแต่ ้ สมัยโบราณ ใน
เอกสารซึ่งเขียนด้ วยภาษา ไฮเมอร์ (Himer) ซึ่งเป็ นภาษาท้ องถิ่น กล่าวว่า เขื่อนแห่งนี ้ทําให้ อาณาบริเวณดังกล่าว
อุดมสมบูรณ์เป็ นอย่างมาก

หากเราพิจารณาอัลกุรอานโดยใช้ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ข้างต้ น เราจะสังเกตเห็นความสอดคล้ องตรงกันอย่าง


ยิ่ง หลักฐานทางโบราณคดีและข้ อมูลทางประวัติศาสตร์ทงสองด้ ั้ านนันตรงกั
้ บสิ่งที่มีอยู่ในอัลกุรอาน อายะห์ของอัลกุ
รอานกล่าวไว้ วา่ พวกเขาเหล่านี ้ ไม่เชื่อฟั งคําแนะนําสัง่ สอนของศาสดา และเป็ นพวกที่ปฏิเสธความศรัทธาโดย
สิ ้นเชิง พวกเขาจึงถูกลงโทษโดยให้ นํ ้าท่วมจนตาย อัลกุรอานได้ บรรยายถึงอุทกภัยครัง้ นี ้ไว้ ในอายะห์ตอ่ ไปนี ้

“โดยแน่ นอน สําหรั บพวกสะบะอฺนัน้ มีสัญญาณหนึ่งในที่อาศัยของพวกเขา มีสวนสองแห่ งทางขวาและ


ทางซ้ าย พวกเจ้ าจงบริโภคจากปั จจัยยังชีพของพระเจ้ าของพวกเจ้ า และจงขอบคุณต่ อพระองค์ อันเป็ น
ดินแดนที่สมบูรณ์ และมีพระเจ้ าผู้ทรงให้ อภัย”
“แต่ พวกเขาได้ ผนิ หลัง ดังนัน้ เราจึงปล่ อยนํา้ จากเขื่อนให้ ท่วมพวกเขา และเราได้ เปลี่ยนให้ พวกเขา สวน
ทัง้ สองแห่ งของพวกเขาแทนสวนอีกสองแห่ ง มีผลไม้ ขม และต้ นไม้ พ่ มุ และต้ นพุทราบ้ างเล็กน้ อย เช่ นนัน้
แหละเราได้ ตอบแทนพวกเขา เนื่องจากพวกเขาเนรคุณ และเรามิได้ ลงโทษผู้ใด (ด้ วยการลงโทษอย่ าง
รุ นแรงเช่ นนี)้ นอกจากพวกเนรคุณ”
(อัลกุรอาน 34:15-17)

miracle_thai 01/03/2011 Page 78


ในอัลกุรอานนัน้ เรียกการลงโทษที่มีตอ่ ชาวสะบะอฺวา่ “ไซลัลอะริ ม” ซึ่งหมายถึง “อุทกภัยแห่งอะริ ม” ข้ อความในอัลกุ
รอานส่วนนี ้ได้ แสดงให้ เห็นถึงรูปแบบของการเกิดหายนะครัง้ นี ้ คําว่า “อะริม” หมายถึง เขื่อน หรือผนัง คําว่า
“ไซลัลอะริม” จึงแสดงถึงนํ ้าท่วมที่เกิดจากการพังทลายของเขื่อนแห่งนี ้ นักวิเคราะห์อิสลามสามารถตอบปั ญหาใน
เรื่องเวลาและสถานที่ของเหตุการณ์นี ้ได้ จากข้ อความในอัลกุรอานที่กล่าวถึง นํ ้าท่วมแห่งอะริม ดังที่เมาดูดิ
(Mawdudi) แสดงความเห็นไว้ วา่

“จากการใช้ ข้อความว่า ไซลัลอะริม นัน้ คําว่า “อะริม” มีรากศัพท์มาจากคําว่า “อะริมีน” เป็ นภาษาท้ องถิ่นทางตอน
ใต้ ของคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งหมายถึงเขื่อน หรื อผนัง ในซากปรักหักพังใต้ พื ้นดินในอุโมงค์ที่ขดุ ขึ ้นในประเทศเยเมน มี
การใช้ คํานี ้ในความหมายเดียวกันนี ้หลายครัง้ เช่นในหลักจารึกที่สร้ างขึ ้นโดยกษัตริย์อบั รอฮะห์(Ebraha) ราชวงศ์
ฮาเบช (Habesh) แห่งประเทศเยเมน ภายหลังการซ่อมแซมเขื่อนใหญ่แห่งมาริบ ในปี ค.ศ. 542 และ 543 คํานี ้ถูกใช้
หมายถึง เขื่อน (ผนัง) หลายครัง้ ด้ วยกัน ดังนัน้ ข้ อความ “ไซลัลอะริ ม” จึงหมายถึง อุทกภัยนํ ้าท่วมที่เกิดขึ ้นหลังจาก
การพังถล่มของเขื่อน

“...และเราได้ เปลี่ยนให้ พวกเขา สวนทัง้ สองแห่ งของพวกเขาแทนสวนอีกสองแห่ ง มีผลไม้ ขม


และต้ นไม้ พ่ มุ และต้ นพุทราบ้ างเล็กน้ อย...” (อัลกุรอาน 34:16)
หมายถึงเหตุการณ์หลังจากการถล่มของเขื่อน ทัว่ ทังประเทศจมอยู
้ ่ใต้ นํ ้า คลองที่ขดุ ขึ ้นโดยชาวสะบะอฺและกําแพงที่
สร้ างเชื่อมต่อกันระหว่างภูเขาได้ พงั ทลายลง ระบบชลประทานก็ใช้ การไม่ได้ ทําให้ อาณาบริเวณซึ่งเคยเป็ นสวนที่
อุดมสมบูรณ์มาก่อน กลายสภาพเป็ นป่ าที่ไม่มีไม้ ผลเหลืออยู่เลย เหลือเพียงต้ นไม้ พ่มุ เล็กๆ และต้ นพุทราเพียง
เล็กน้ อยเท่านัน้ 42

นักโบราณคดีชาวคริสเตียน ชื่อ เวอร์เนอร์ เคลเลอร์ (Werner Keller) ผู้เขียนหนังสือชื่อ “The Holy Book Was
Right” ยอมรับว่า เหตุการณ์อทุ กภัยแห่งอะริ มนันเกิ
้ ดขึ ้นจริงตามที่ได้ บรรยายไว้ ในอัลกุรอาน เขายังเขียนยืนยันไว้ อีก
ว่าเขื่อนในลักษณะดังกล่าวนันมี
้ อยู่จริ ง และการล่มสลายของประเทศที่เกิดจากการพังทลายของเขื่อนนันเป็ ้ น
ั ้ นเรื่องจริง43
หลักฐานว่า เรื่องราวในอัลกุรอานที่กล่าวถึงประชาชาติในสวนที่อดุ มสมบูรณ์นนเป็

หลังจากหายนะจากอุทกภัยแห่งอะริ มแล้ ว พื ้นที่บริเวณดังกล่าวก็แปรเปลี่ยนไปเป็ นทะเลทราย และชาวสะบะอฺต้อง


เสียขุมทรัพย์ที่สําคัญที่สดุ ของพวกเขาไปพร้ อมกับพื ้นที่เกษตรกรรมที่สญ
ู สลายไป ประชาชนผู้ซึ่งเพิกเฉยต่อการเชิญ
ชวนให้ เชื่อในพระเจ้ า และขาดการสํานึกในพระมหากรุณาธิคณ ุ และความเมตตาของพระองค์ ต้ องถูกลงโทษด้ วย
หายนะดังกล่าวในที่สดุ

miracle_thai 01/03/2011 Page 79


การค้ นพบของนักโบราณคดีเกี่ยวกับชาวซะมูด
ในบรรดาประชาชาติตา่ งๆ ที่กล่าวไว้ ในอัลกุรอานนัน้ ชาวซามูตเป็ นหนึ่งในประชาชาติที่เรามีข้อมูลความรู้มากที่สดุ
ในปั จจุบนั หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่พบในปั จจุบนั ยืนยันว่า ชาวซามูตนัน้ มีอยู่จริง

ชุมชนชาวอัลฮิจร ที่กล่าวถึงในอัลกุรอานนัน้ เป็ นชนชาติเดียวกับชาวซามูต ซึ่งอีกชื่อหนึ่งของชาวซามูตคืออะชาบ


อัลฮิจร คําว่า “ซามูต” เป็ นชื่อเรี ยกของคนในชนชาตินี ้ ส่วนอัลฮิจร เป็ นเมืองหนึ่งที่สร้ างขึ ้นโดยชนกลุม่ เดียวกันนี ้ นัก
ภูมิศาสตร์ชาวกรี ก ชื่อ พลีนี่ (Pliny) เห็นด้ วยกับข้ อสันนิษฐานนี ้พลีนี่ เขียนถึง เมืองดมาธา (Domatha) และ เฮกรา
(Hegra) ว่าเป็ นเมืองที่ชาวซามูตอาศัยอยู่ และเฮกราเป็ นส่วนหนึ่งของเมืองฮิจร ในปั จจุบนั 29

แหล่งข้ อมูลเก่าแก่ที่สดุ ที่กล่าวถึงชาวซามูตคือ บันทึกประวัติศาสตร์แห่งชัยชนะของกษัตริย์ซาร์กอนที่สอง (Sargon


II) แห่งอาณาจักรบาบิโลน (ประมาณ 800 ปี ก่อนคริสต์กาล) ผู้ทรงมีชยั ชนะเหนือกลุม่ ชนนี ้ในการสู้รบทางภาคเหนือ
ของคาบสมุทรอาหรับ ชาวกรีกเรียกคนกลุม่ นี ้ว่า ซะมูดี (Thamudaei) พวกเขาสาบสูญไปก่อนช่วงเวลาของท่าน
ศาสดามูฮมั หมัด (ซ.ล.) (ประมาณ ค.ศ. 400-600)

ในอัลกุรอานได้ กล่าวถึงชาวอ๊ าดและชาวซามูตไว้ ด้วยกันเสมอ นอกจากนี ้ ในหลายอายะห์ของอัลกุรอานได้ เตือนชาว


ซามูต ให้ ดกู ารล่มสลายของชาวอ๊ าดเป็ นตัวอย่าง ซึ่งแสดงให้ เห็นว่าชาวซามูตนันรู
้ ้ จกั ชาวอ๊ าดเป็ นอย่างดี

"และพวกท่ านจงรําลึกขณะที่พระองค์ ได้ ทรงให้ พวกท่ านเป็ นผู้สืบช่ วงแทนมา หลังจากชาวอ๊ าด และได้ ทรง
ให้ พวกท่ านตัง้ หลักแหล่ งอยู่ในแผ่ นดินส่ วนนัน้ โดยยึดเอาจากที่ราบของมันเป็ นวัง และสกัดภูเขาเป็ นบ้ าน
พวกท่ านพึงรําลึกถึงความกรุ ณาของอัลลอฮ์ เถิด และจงอย่ าก่ อกวนในแผ่ นดินในฐานะผู้บ่อนทําลาย "
(ซูเราะห์ อัลอะรอฟ: 74)

บทส่งท้ าย อัลกุรอาน วจนะของพระผู้เป็ นเจ้ า


อัลกุรอาน วจนะของพระผู้เป็ นเจ้ า

ทังหมดที
้ ่เราได้ รับรู้มาตังแต่
้ ต้นนัน้ แสดงให้ เราได้ เห็น ความจริง ข้ อหนึ่งที่ชดั เจนว่า อัลกุรอานนันเป็
้ นคัมภีร์
เพียงเล่มเดียวที่ ข้ อมูลความรู้ทงหมดั้ สามารถพิสจู น์ได้ วา่ เป็ นความจริง ไม่วา่ จะเป็ นข้ อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์
หรือเรื่องรา วเกี่ยวกับ อนาคตที่ไม่มีผ้ ใู ดรู้ได้ เลยในขณะนัน้ กลับ ปรากฏอยู่ ในอัล กุรอาน จากระดับความรู้และ

miracle_thai 01/03/2011 Page 80


เทคโนโลยีในสมัยนัน้ เป็ นไปไม่ได้ เลย ที่ความรู้ เรื่องราวต่างๆเหล่านี ้ จะมีใครรับรู้ได้ นี่ก็เป็ นหลักฐานชัดเจนว่า อัลกุ
รอานนันมิ ้ ใช่คําพูดของมนุษย์ แต่อลั กุรอานนันเป็
้ นคําพูดของพระผู้เป็ นเจ้ า ผู้ทรงอํานาจ ผู้ทรงสร้ างทุกสรรพสิ่ง และ
เป็ นผู้เดียวที่กําหนดทุกสิ่งด้ วยความรู้ ของพระองค์ ในอายะฮ์ อัลกุร อาน พระผู้เป็ นเจ้ าตรั สไว้ ใน ซูเราะฮ์ อันนิซะอ์
ความว่า

“ไม่ เป็ นอันสมควรเลยที่พวกเหล่ านัน้ ไม่ พนิ ิจพิเคราะห์ อัลกุรอาน


ถ้ าอัลกุรอานมิได้ มาจากอัลลอฮ์ แล้ ว พวกนัน้ ย่ อมจะพบว่ าในนัน้ มีส่วนขัดแย้ งกัน“
(อัลกุรอาน 4:82)

ไม่เพียงแต่ ไม่มีความขัดแย้ งใน อัล กุรอาน แต่ทกุ ๆเรื่องในกรุอานนันเต็ ้ มไปด้ วยสิ่งมหัศจรรย์มากมายที่ถกู


นํามาเปิ ดเผย และจะถูกเปิ ดเผยเพิ่มมากขึ ้นทุกวันนี ้
เป็ นหน้ าที่ของมนุษย์ที่จะต้ องยึดมัน่ ต่อคัมภีร์เล่มนี ้ที่มาจากพระผู้เป็ นเจ้ า และยอมรั บคัมภีร์เล่มนี ้ ในฐานะ
ทางนําหนึ่งเดียวของชีวิตเท่านัน้ ดังเช่นในอัลกรุอาน ซูเราะฮ์อลั อันอาม ที่พระผู้เป็ นเจ้ าได้ กล่าว่า

“และนี่แหละคัมภีร์ท่ มี ีความจําเริญ ซึ่งเราได้ ให้ คัมภีร์ลงมายังเจ้ าจงปฏิบัติตามคัมภีร์นัน้ เถิด


และจงยําเกรง เพื่อว่ าพวกเจ้ าเพื่อว่ าพวกเจ้ าจะได้ รับความเมตตากรุณา”
(อัลกุรอาน 6:155)

พระผู้เป็ นจ้ าได้ กล่าวไว้ ใน ซูเราะฮ์อลั กะฮ์ฟิ อีกว่า


“และจงกล่ าวเถิด มูฮัมหมัด สัจธรรมนัน้ มาจากพระผู้เป็ นเจ้ าของพวกเจ้ า
ดังนัน้ ผู้ใดปราสงค์ ก็จงศรัทธา และผู้ใดประสงค์ ก็จงปฏิเสธ.... “
(อัลกุรอาน 18:29)
ซูเราะฮ์อลั อะบะซะ
“มิใช่ เช่ นนัน้ แท้ จริง(อัลกุรอาน)นัน้ เป็ นข้ อเตือนใจ ดังนัน้ ผู้ใดประสงค์ ก็ให้ รําลึกถึงข้ อเตือนใจนัน้ ”
(อัลกุรอาน 80:11-12)

miracle_thai 01/03/2011 Page 81


ความเข้ าใจผิดเรื่ องวิวัฒนาการ
ความนํา
เราได้ พิจารณาความมหัศจรรย์บางประการแห่งคัมภีร์ที่อลั ลอฮ์ (ซ.บ.) ได้ ประทานสูม่ วลมนุษยชาติ ด้ วยพระ
เจ้ าได้ ประทานสัญญาณต่างๆว่า อัลกุรอาน คือเป็ นคัมภีร์แห่งความจริงแท้ และได้ เชิญชวนให้ มวลมนุษย์ ใคร่ครวญ
ถึงความจริงแท้ นน. ั ้ ประการสําคัญยิ่งที่พระองค์ทรงเน้ นไว้ในอัลกุรอาน คือความเข้ าใจของมนุษย์เรื่องการสร้ างสรรค์
มวลสรรพสิ่งในโลก และการที่มนุษย์ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคณ ุ ของพระองค์ในเรื่องนี ้ อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี ้มี
แนวความคิดต่างๆที่ทําให้ ผ้ คู นไม่ร้ ูความจริ งเรื่ องการสร้ างสรรค์และพยายามที่จะเบี่ยงเบนพวกเขาจากศาสนาด้ วย
วิธีคิดที่ไร้ เหตุผล
แนวความคิดดังกล่าวที่สําคัญคือ แนวความคิดวัตถุนิยม
ทฤษฎีดาร์วินหรือทฤษฎีวิวฒ ั นาการ เป็ นแนวความคิดสําคัญที่คติวตั ถุนิยมยึดถือเป็ นพื ้นฐานทางวิทยาศาสตร์
ในการอธิบายหลักการของตน ทฤษฎีนี ้อ้ าง ว่าสิ่งมีชีวิตถือกําเนิดจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตอย่างบังเอิญ แต่ข้ออ้ างนันก็
้ ตกไป
อย่างสิ ้นเชิงโดยข้ อเท็จจริ งที่หนักแน่นว่าจักรวาลสร้ างสรรค์โดยพระเจ้ า
พระเจ้ าทรงสร้ างสรรค์จกั รวาล และทรงออกแบบ แม้ รายละเอียดที่เล็กที่สดุ ดังนัน้ จึงเป็ นไปไม่ได้ เลยที่ทฤษฎี
วิวฒั นาการจะอธิบายว่า กําเนิดของสิ่งมีชีวิตไม่ได้ มาจากการสร้ างสรรค์ของพระผู้เป็ นเจ้ า แต่เกิดขึ ้นจากเหตุบงั เอิญ
ไม่น่าแปลกใจเลยเมื่อเราพิจารณาทฤษฎีวิวฒ ั นาการ เราจะพบว่า ทฤษฎีนี ้ตกไปเพราะการค้ นพบทาง
วิทยาศาสตร์ การออกแบบชีวิตมีความสลับซับซ้ อนและน่าสนใจยิ่ง ยกตัวอย่างเช่นในโลกของสิ่งที่ไม่มีชีวิต เราจะ
สังเกตเห็นว่าความสมดุลของอะตอมนันเป็ ้ นเรื่ องละเอียดมาก ยิ่งกว่านันในโลกของสิ
้ ่งมีชีวิตเราจะสังเกตเห็นการ
ออกแบบที่ซบั ซ้ อนให้ อะตอมมาอยู่รวมกัน และความพิเศษของ กลไกและโครงสร้ างของสิ่งต่างๆ เช่น โปรตีน
เอนไซม์ และเซลล์ นันราวกั ้ บผลิตออกมาจากโรงงาน
ความพิเศษในการออกแบบชีวิต ทําให้ทฤษฎีดาร์วินตกไปอย่างสิ ้นเชิงในปลายศตวรรษที่ 20
ได้ มีการพิจารณาเรื่องนี ้อย่างละเอียดมามากแล้ วในการศึกษาของพวกเราและคงดําเนินต่อไป แต่อย่างไรก็
ตามเราคิดว่าการพิจารณาความสําคัญของเรื่องนี ้ ถ้ าจะสรุปสันๆไว้ ้ ตรงนี ้ก่อนก็จะเป็ นประโยชน์ยิ่ง

miracle_thai 01/03/2011 Page 82


ความล้ มเหลวทางวิชาการของดาร์ วนิ

ความเชื่อตามทฤษฎีวิวฒ ั นาการมีมานานย้ อนไปถึงสมัยกรีก แต่ได้ ก้าวหน้ าอย่างยิ่งในศตวรรษที่ 19 นี ้ สิ่ง


สําคัญที่ทําให้ทฤษฎีนี ้กลายเป็ นประเด็นหลักในโลกวิทยาศาสตร์ก็คือตําราของ ชาร์ลส ดาร์วิน ที่เขียนถึงเรื่อง จุด
กําเนิ ดของสิ่ งมีชีวิต (The Original of Species) ที่ตีพิมพ์ ในปี ค.ศ 1859 ในหนังสือนี ้ ชาร์ลส ดาร์วิน ได้ ปฏิเสธว่า
สิ่งมีชีวิตต่างๆในโลกมิได้ เกิดจากการสร้ างสรรค์โดยเอกเทศของพระเจ้ า เขาเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทังหลายมี
้ กําเนิดมาจาก
บรรพบุรุษเดียวกัน แต่วิวฒ ั นาการไปตามกาลเวลาจนมีลกั ษณะที่ตา่ งกัน
ทฤษฎีของชาร์ ลส ดาร์วิน ไม่ได้ มีพื ้นฐานที่เป็ นรูปธรรมทางวิทยาศาสตร์ และเขาก็ยอมรับว่ายังเป็ นแค่เพียง
“สมมติฐาน” ยิ่งไปกว่านัน้ ตัว ดาร์วินเอง ได้ สารภาพไว้ ในตําราของเขาในบทที่ชื่อ “ความยากลําบากแห่งทฤษฎี” ว่า
ทฤษฎีของเขาไม่สามารถตอบคําถามสําคัญๆได้
ดาร์วิน ฝากความหวังของเขาทังหมดไว้
้ กบั การค้ นพบของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งเขาคาดว่าจะเป็ นผู้เฉลย ”
ความยากลําบากแห่งทฤษฎี” แต่ทว่าการค้ นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ได้ ขยายมิติตา่ งๆก็กลับกลายเป็ นข้ อโต้ แย้ ง
สําหรับดาร์วินไป
ภาพหน้ า 82 Charles Darwin (Add Picture Page 82 , Charles Darwin)

ข้ อบกพร่องของดาร์วินในทางวิทยาศาสตร์ อาจจําแนกได้ เป็ น 3 ประเด็นดังนี ้


1. ทฤษฎีนี ้ไม่สามารถอธิบายได้ วา่ ชีวิตเกิดขึ ้นได้ อย่างไร
2. ไม่มีการค้ นพบทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถแสดงให้ เห็นว่า “กลไกแห่งการวิวฒ ั นาการ“ ที่เสนอโดยทฤษฎีนี ้
จะเป็ นไปได้
3. การพิสจู น์ซากฟอสซิลพบข้ อเท็จจริ งที่แย้ งกับทฤษฎีวิวฒ ั นาการ

ในตอนนี ้เราจะพิจารณาทังสามประเด็
้ นหลักไปตามหัวข้ อต่อไปนี ้

miracle_thai 01/03/2011 Page 83


ปฐมเหตุแห่ งชีวติ ขัน้ ตอนแรกเริ่มที่มีปัญหา

ทฤษฎีวิวฒ ั นาการ เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทังหลายวิ


้ วฒ
ั นาการมาจากเซลล์เดี่ยว ซึ่งปรากฏในระยะแรกเริ่มของโลก
เมื่อสามพันแปดร้ อยล้ านปี ที่ผา่ นมา แต่การที่เซลล์เดี่ยวให้ กําเนิดสิ่งมีชีวิตที่ซบั ซ้ อนนับล้ าน ในกรณีที่มีการ
วิวฒั นาการจริง เหตุใดจึงไม่ปรากฏร่องรอยในซากฟอสซิล นี่คือคําถามที่ ทฤษฎีนี ้ไม่สามารถให้ คําตอบได้ อย่างไรก็
ตาม สิ่งที่สําคัญสุด ในกระบวนการวิวฒ ั นาการขันตอนแรกนั
้ นจะต้
้ องตอบคําถามให้ ได้ ว่า อะไรคือปฐมเหตุแห่งการ
เกิดของเซลล์ เดี่ยวนี ้
ทฤษฎีวิวฒ ั นาการปฏิเสธการสร้ างสรรค์ และไม่ยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ ้นจากความเหนือธรรมชาติ แต่ที่
เชื่อว่าเซลล์แรกเริ่มเกิดขึ ้นโดยบังเอิญตามกฎแห่งธรรมชาติ โดยปราศจากการออกแบบ แบบแผนและการจัด
ระเบียบใดๆ. ทฤษฎีนี ้อ้ างว่าด้ วยวิธีการดังกล่าวสิ่งไม่มีชีวิตทําให้ เกิดเซลล์สิ่งมีชีวิตขึ ้นมาโดยบังเอิญ อย่างไรก็ตาม
คํากล่าวอ้ างนี ้ ขัดกับกฎทางชีววิทยาที่ยงั ไม่มีใครลบล้ างได้ เลย

ชีวติ มาจากชีวติ

ดาร์วินไม่เคยอ้ างอิงถึงการกําเนิดของชีวิตไว้ ในตําราของเขาเลย ความเข้ าใจพื ้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ในสมัย


ของเขาตังอยู้ ่บน สมมุติฐานที่วา่ สิ่งมีชีวิต มีโครงสร้ างที่แสนจะเรียบง่าย ในยุคกลาง ซึ่งเป็ นสมัยของความเชื่อเรื่อง
การกําเนิดขึ ้นเอง แนวคิดว่าสิ่งไม่มีชีวิตรวมตัวกันเป็ นอินทรีย์ที่มีชีวิตเป็ นที่ยอมรับกันอย่างกว้ างขวาง ผู้คนเชื่อกันว่า
แมลงเกิดขึ ้นได้ จากเศษอาหาร และหนูเกิดขึ ้นจากข้ าวสาลี มีการทดลองเพื่อพิสจู น์แนวคิดนี ้ โดยเอาข้ าวสาลีวางบน
ผ้ าสกปรก เพราะเชื่อว่าหนูจะถือกําเนิดขึ ้นมาได้ ในเวลาต่อมา ในทํานองเดียวกัน การที่หนอนเกิดจากเนื ้อสัตว์ ก็เป็ น
ข้ อสนับสนุนความเชื่อเรื่องการกําเนิดขึ ้นเอง อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมา จึงเข้ าใจกันได้ วา่ หนอนไม่ได้ เกิดขึ ้นเองบน
เนื ้อ แมลงวันพามันมาในรูปของตัวอ่อนซึ่งมองด้ วยตาเปล่าไม่เห็น
แม้ แต่ในเวลาทีด่ าร์วิน ได้ เขียนตําราเรื่ อง จุดกําเนิ ดของสิ่ งมีชีวิต (The Origin of Species) ความเชื่อที่วา่
แบคทีเรียเกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ก็ยงั เป็ นที่ยอมรับอย่างกว้ างขวางในโลกวิทยาศาสตร์

miracle_thai 01/03/2011 Page 84


อย่างไรก็ตาม 5 ปี หลังจากที่หนังสือของ ดาร์วิน พิมพ์แพร่ออกมา ก็มีการค้ นพบของ หลุยส์ ปาสเตอร์ ที่
หักล้ างความเชื่อซึ่งเป็ นพื ้นฐานของทฤษฏีวิวฒั นาการ ปาสเตอร์ สรุปข้ อค้ นพบหลังจากการศึกษาและทดลองที่เขา
กล่าว่า “การกล่าวอ้างว่าสิ่ งไม่มีชีวิตสามารถเป็ นปฐมเหตุของสิ่ งมีชีวิตนัน้ ได้ถูกฝังไว้ในประวัติศาสตร์ อย่างไม่มีวนั
ฟื ้ นคืนชี พได้เลย” 24
แต่ทว่าผู้สนับสนุนทฤษฏีวิวฒั นาการกลับไม่ยอมรับข้ อค้ นพบของ ปาสเตอร์ อยู่เป็ นเวลานาน อย่างไรก็ตาม
การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ได้ ไขปริศนาเรื่องโครงสร้ างอันสลับซับซ้ อนของเซลล์สิ่งมีชีวิต ทําให้ แนวความคิดที่กล่าว
ว่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ ้นโดยความบังเอิญนันพบทางตั
้ นที่ใหญ่ยิ่ง

ความพยายามที่ยังหาข้ อสรุปไม่ ได้ ในศตวรรษที่ 20

ในศตวรรษที่ 20 ผู้ที่เริ่มต้ นศึกษาเรื่องกําเนิดชีวิตตามทฤษฎีวิวฒ


ั นาการ คือ อเล็กซานเดอร์ โอพาริน
(Alexander Oparin) นักชีววิทยาผู้มีชื่อเสียงชาวรัสเซีย โดยในช่วงทศวรรษ 1930 เขาได้ พยายามที่จะพิสจู น์วา่ เซลล์
ของสิ่งมีชีวิตเกิดขึ ้นเองได้ แต่ทว่าการศึกษาของเขาก็ดเู หมือนจะล้ มเหลว โดยที่โอพารินจําต้ องกล่าวสารภาพว่า “น่า
เสียดายที่ต้นกําเนิดของเซลล์นนั ้ ดูเหมือนจะยังคงเป็ นคําถามที่เป็ นส่วนที่มืดมนที่สดุ จริงๆในทฤษฎีวิวฒ ั นาการ25“
นักวิทยาศาสตร์ที่ศกึ ษาด้ านวิวฒ ั นาการรุ่นต่อมา ได้ พยายามทําการทดลองต่างๆ เพื่อตอบปั ญหาจุดกําเนิด
ของชีวิตต่อไป การทดลองที่ร้ ูจกั กันมากที่สดุ ได้ แก่ การทดลองเมื่อปี 1953 ของ สแตนลี่ มิลเลอร์ นักเคมีชาวอเมริกนั
มิลเลอร์ได้ ทําการทดลองโดยรวมอากาศธาตุที่เขาอ้ างว่ามีอยู่ในบรรยากาศช่วงกําเนิดโลก เมื่อเพิ่มพลังงานเข้ าไปใน
ส่วนผสมนัน้ เขาก็สงั เคราะห์ได้ ออร์แกนิก โมเลกุล กรดอะมิโน ที่พบในโครงสร้ างของโปรตีน
หลังจากนันเพี
้ ยงสามปี ต่อมา ปรากฏว่าการทดลองที่นําเสนอว่าเป็ นก้ าวที่สําคัญของทฤษฎีวิวฒ ั นาการกลับ
กลายเป็ นเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้ กล่าวคือ บรรยากาศที่มิลเลอร์ใช้ ในการทดลองนันมี ้ ความแตกต่างอย่างมากจากสภาพ
บรรยากาศจริงๆ ของโลก 26
หลังจากเงียบอยู่นานมิลเลอร์ ก็ยอมรับออกมาว่า ที่เขาใช้ ในการทดลองนันมิ ้ ใช่บรรยากาศตามสภาพจริง 27
อาจกล่าวได้ วา่ นักวิวฒ ั นาการในศตวรรษที่ 20 ที่พยายามค้ นหาคําอธิบายถึงกําเนิดของชีวิตนัน้ ท้ ายที่สดุ ก็
ประสบความล้ มเหลวอย่างสิ ้นเชิง ดังที่ เจอร์รี่ บาดา นักธรณีเคมีจากสถาบันซานดิเอโก สคริปปส์ (San Diego
Scripps) ได้ เขียนบทความลงในนิตยสารเอิร์ท (Earth Magazine) ปี 1998 โดยยอมรับว่า “วันนี ้ขณะที่กําลังจะผ่าน
พ้ นศตวรรษที่ 20 ไปเราก็ยงั คงมีปัญหาสําคัญที่สดุ ที่มืดมนมาตังแต่ ้ เมื่อเราเริ่มเข้ าสูศ่ ตวรรษนี ้ว่า ชีวิตกําเนิดขึ ้นมา
บนผืนพิภพนี ้ได้ อย่างไร?”28

miracle_thai 01/03/2011 Page 85


โครงสร้ างอันซับซ้ อนของชีวติ

เหตุผลสําคัญที่ทําให้ ทฤษฎีวิวฒ ั นาการต้ องพบทางตันในการค้ นหาจุดกําเนิดของสิ่งมีชีวิตก็คือ แม้ กระทัง่


สิ่งมีชีวิตที่ดเู หมือนว่าจะไม่มีความซับซ้ อนใด ๆ กลับประกอบด้ วยโครงสร้ างอันสลับซับซ้ อนอย่างไม่น่าเชื่อ เราจะเห็น
ได้ วา่ เซลล์ของสิ่งมีชีวิตนันมี
้ ความซับซ้ อนกว่าผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยีใด ๆ ที่มนุษย์เป็ นผู้สร้ างขึ ้น ทุกวันนี ้แม้ กระทัง่
ห้ องทดลองที่มีความทันสมัยมากที่สดุ ในโลกก็ยงั ไม่สามารถสร้ างเซลล์ของสิ่งมีชีวิตจากการประกอบสิ่งไม่มีชีวิตเข้ า
ด้ วยกัน
เงื่อนไขจําเป็ นในการสร้ างเซลล์นนมี ั ้ มากมายเกินกว่าที่จะอธิบายด้ วยการเกิดขึ ้นจากความบังเอิญ ความเป็ นไป
ได้ ที่โปรตีนซึ่งเป็ นหน่วยย่อยของเซลล์ จะถูกสังเคราะห์โดยบังเอิญนันมี ้ เพียง 1 ใน 10 950 สําหรับโปรตีน 1 หน่วยที่
ประกอบขึ ้นจาก กรดอะมิโน 500 ตัว หากคิดในเชิงคณิตศาสตร์ก็จะพบว่าความเป็ นไปได้ นนจะน้ ั้ อยกว่า เศษ 1 ส่วน
1050 ซึ่งเป็ นไปไม่ได้ ในทางปฏิบตั ิ
โมเลกุลของ DNA ที่บรรจุข้อมูลพันธุกรรมซึ่งอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์นนั ้ ก็ถือได้ วา่ เป็ นแหล่งข้ อมูลที่มีข้อมูล
มากมายอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว โดยมีการคํานวณกันว่าหากนําข้ อมูลที่มีอยู่ใน DNA มาเขียน จะได้ ห้องสมุดขนาด
ใหญ่ ที่มีสารานุกรม 900 เล่ม โดยแต่ละเล่มต้ องมีความหนาถึง 500 หน้ า
ปั ญหาที่สําคัญยิ่งก็ปรากฏขึ ้น ณ จุดนี ้ กล่าวคือ ในกระบวนการถอดแบบพันธุกรรมจาก DNA นันจะต้ ้ องใช้
โปรตีน (เอนไซม์) เฉพาะเท่านัน้ และการสังเคราะห์เอนไซม์ ก็จําเป็ นจะต้ องอาศัยรหัสที่ประกอบอยู่ใน DNA เท่านัน้
เช่นกัน ด้ วยเหตุที่เอนไซม์และ DNA ต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันจึงต้ องปรากฏขึ ้นพร้ อม ๆ กันในกระบวนการถอดแบบ
ข้ อค้ นพบนี ้ ทําให้ สมมุติฐานที่วา่ สิ่งมีชีวิตกําเนิดขึ ้นมาเองนัน้ ถึงทางตันและจุดจบ
ศาสตราจารย์ เลสลี่ ออร์ เกล นักวิวฒ ั นาการผู้มีชื่อเสียงแห่งมหาวิทยาลัยซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ ยอมรับ
ความจริงข้ อนี ้ในนิตยสาร Scientific American ฉบับเดือนกันยายน 1994 โดยกล่าวว่า
เป็ นไปไม่ได้อย่างยิ่ งที ่โปรตี นและกรดนิ วคลิ อิก (Nucleic) ซึ่งต่างก็มีโครงสร้างสลับซับซ้อน จะเกิ ดขึ้นเองในเวลา
และสถานที ่เดี ยวกัน นอกจากนัน้ ยังเป็ นไปไม่ได้อีกเช่นกันที่จะมีสิ่งหนึ่งโดยปราศจากอีกสิ่ งหนึ่ง ดังนัน้ หาก
พิ จารณาเพียงผิ วเผิ นก็อาจสรุปได้ว่าตามความเป็ นจริ ง สิ่ งมีชีวิตไม่สามารถก่อกําเนิ ดโดยกระบวนการทางทาง
เคมีได้เลย 29

miracle_thai 01/03/2011 Page 86


คําอธิบายใต้ ภาพ: น.86

ความจริ งประการหนึ่งที่ยืนยันความเป็ นไปไม่ ได้ ของทฤษฎีวิวัฒนาการ คือ ความสลับซับซ้ อนของสิ่งมีชีวิต ตัวอย่ างสําคัญ
ประการหนึ่งคือ โมเลกุลของ DNA ที่อยู่ในนิวเคลียสของเซลล์ ของสิ่งมีชีวิตทัง้ หลาย DNA เป็ นแหล่ งข้ อมูล ประกอบด้ วย
โมเลกุลต่ างกัน 4 ชนิด ที่มีการเรี ยงลําดับที่แตกต่ างกัน แหล่ งข้ อมูลนีบ้ รรจุรหัสของลักษณะทางกายภาพของสิ่งมีชีวิตเข้ าไว้
และเมื่อถอดรหัสพันธุกรรมออกมา คํานวณว่ าจะมีความยาวเท่ ากับสารานุกรมประมาณ 900 เล่ ม ดังนัน้ จึงไม่ เป็ นที่น่า
สงสัยเลยว่ าข้ อมูลที่มีมากมายเพียงนีจ้ ะลบล้ างแนวคิดเรื่ องความบังเอิญได้

แน่นอนหากเป็ นไปไม่ได้ ที่สิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ ้นจากธรรมชาติ ต้ องยอมรับว่าสิ่งมีชีวิตนันเกิ


้ ดขึ ้นจาก “การ
สร้ างสรรค์” ของสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ในที่สดุ ทฤษฎีวิวฒั นาการ ซึ่งมีจดุ ประสงค์หลักที่จะปฏิเสธ “การสร้ างสรรค์ ” ก็
จะ ถูกลบล้ างโดยความจริงข้ อนี ้ได้ อย่างสิ ้นเชิง

กลไกอันเพ้ อฝั นของทฤษฎีววิ ัฒนาการ

ประเด็นสําคัญประเด็นที่สองที่แย้ งทฤษฎีของดาร์วินคือ แนวคิดทังสองตาม ้ “กลไกของวิวฒ ั นาการ” นัน้ มิได้ มี


พลังในการเกิดวิวฒ ั นาการใดๆ
ดาร์วินอิงทฤษฎีวิวฒ ั นาการของเขาเข้ ากับกลไก “การเลือกสรรของธรรมชาติ” ดังปรากฏเป็ นชื่อในหนังสือของ
เขาว่า “จุดกําเนิ ดของสิ่ งมี ชีวิต, โดยวิ ธีการเลือกสรรของธรรมชาติ”
ตามแนวคิดเรื่ องการเลือกสรรของธรรมชาตินนั ้ สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งและเหมาะสมต่อสภาพธรรมชาติจึงจะ
สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ ในภาวะการต่อสู้แย่งชิง ตัวอย่างเช่น ฝูงกวางที่อาศัยอยู่อย่างเสี่ยงภัยจากสัตว์ป่าอื่นๆนัน้
จะต้ องสามารถวิ่งได้ รวดเร็วจึงจะอยู่รอด ดังนันกวางในฝู
้ งแต่ละตัวจึงมีร่างกายแข็งแรงและวิ่งเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม
กลไกนี ้ก็ไม่ได้ เป็ นสาเหตุที่ทําให้ กวางวิวฒ ั นาการและกลายไปเป็ นสัตว์ชนิดอื่น เช่น ม้ า ได้ เลย
ดังนันกลไกการเลื
้ อกสรรของธรรมชาติ จึงไม่มีพลังใดๆที่สามารถทําให้ เกิดวิวฒ ั นาการได้ ดาร์วินเองก็ตระหนัก
ถึงข้ อเท็จจริงนี ้เป็ นอย่างดีดงั ได้ กล่าวไว้ ในหนังสือ จุดกําเนิ ดของสิ่ งมีชีวิต ของเขาว่า:
การเลือกสรรของธรรมชาติ จะไม่มีผลใดๆ จนกว่าลักษณะความผันแปรที่เหมาะสมจะบังเอิ ญเกิ ดขึ้น

miracle_thai 01/03/2011 Page 87


ผลกระทบของลามาร์ ค

“ลักษณะความผันแปรที่เหมาะสม” จะเกิดขึ ้นได้ อย่างไร ? ดาร์วินพยายามอธิบายคําถามนี ้จากความเข้ าใจ


ทางวิทยาศาสตร์ในยุคสมัยของเขา โดยการอ้ างอิงถึงนักชีววิทยาชาวฝรั่งเศส ชื่อ ลา มาร์ค (Lamarck) ซึ่งมีชีวิตอยู่
ในช่วงก่อนดาร์วิน สิ่งมีชีวิตจะส่งผ่านลักษณะเฉพาะที่ตนเองมีอยู่ในช่วงชีวิตไปยังรุ่นถัดไป ลักษณะเหล่านี ้จะสะสม
จากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง ทําให้ เกิดสายพันธุ์ใหม่ๆขึ ้นมา ตัวอย่างที่ลามาร์คกล่าวไว้ คือ ยีราฟมีวิวฒ
ั นาการมาจาก
ละมัง่ เมื่อมันต้ องพยายามดิ ้นรนหาใบไม้ ตามต้ นไม้ สงู ๆกิน คอของมันก็ยืดขยายมากขึ ้นจากรุ่นแล้ วรุ่นเล่า
ดาร์วินเองก็ได้ ยกตัวอย่างไว้ ในหนังสือของเขาว่า หมีบางชนิดหากินในนํ ้าทําให้ มนั วิวฒ ั นาการเป็ นปลาวาฬไป
ในที่สดุ
แต่ทว่ากฎการสืบทอดทางพันธุกรรมซึ่งค้ นพบโดยเมนเดลและได้ รับการพิสจู น์โดยนักวิทยาศาสตร์ด้าน
พันธุกรรมในศตวรรรษที่ 20 ได้ ลบล้ างตํานานความเชื่อนี ้ไปโดยสิ ้นเชิง การเลือกสรรของธรรมชาติจึงไม่อาจเป็ น
กระบวนการของทฤษฎีวิวฒ ั นาการได้

นีโอ ดาร์ วนิ และการกลายพันธุ์


เพื่อที่จะหาทางออก ผู้นิยมทฤษฎีดาร์ วิน จึงได้ เสนอแนวคิด “ทฤษฎีการสังเคราะห์สมัยใหม่ หรือรู้จกั กันในชื่อ
ว่า นีโอ ดาร์วิน ในช่วงปลายทศวรรษ 1930 นีโอ ดาร์วินได้ เสนอทฤษฎีการกลายพันธุ์ (Mutations) ว่า พันธุกรรมของ
สิ่งมีชีวิตจะเปลี่ยนรูปไปเพราะปั จจัยภายนอก เช่น กัมมันตรังสี หรือข้ อผิดพลาดในการถ่ายแบบพันธุกรรมซึ่งอาจทํา
ให้ เกิดลักษณะที่เหมาะสม นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติ
ในปั จจุบนั นีโอ ดาร์ วิน คือทฤษฎีที่เป็ นแบบฉบับของแนวคิดเรื่องการวิวฒ ั นาการ เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตมากมายบน
โลกนี ้ก่อร่างมาโดยที่อวัยวะที่สลับซับซ้ อนของสิ่งมีชีวิต เช่น หู ตา และอื่นๆ ได้ ผา่ นกระบวนการกลายพันธุ์ ซึ่งเป็ น
ข้ อบกพร่องทางพันธุกรรม แต่ทว่าทฤษฎีนี ้ได้ ถกู ลบล้ างอย่างสิ ้นเชิงโดยข้ อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ :การกลายพันธุ์
ไม่ได้ ก่อให้ เกิดการพัฒนาของสิ่งมีชีวิต ในทางตรงกันข้ าม กลับก่อให้ เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทังหลาย้
เหตุผลง่ายๆก็คือว่า DNA มีโครงสร้ างที่สลับซับซ้ อนและผลกระทบโดยเหตุบงั เอิญนันเป็ ้ นไปได้ แต่จะ
ก่อให้ เกิดอันตรายเท่านัน้ นักพันธุกรรมศาสตร์ชาวอเมริกา บี จี รังกะนาธาน (B.G. Ranganathan) ได้ อธิบายไว้
ดังต่อไปนี ้
การกลายพันธุ์เกิ ดขึ้นเพียงเล็กน้อย เกิ ดโดยบังเอิ ญและมี อนั ตราย แต่ก็ยากที ่จะเกิ ด ที ่เป็ นไปได้มากที่สดุ คือ
ไม่มีผลกระทบใดๆ แสดงให้เห็นว่าการกลายพันธุ์ไม่ได้นําไปสู่การพัฒนาด้านวิ วฒ ั นาการใดๆ การกลายพันธุ์
นัน้ ถ้าไม่ไร้ ผลก็เป็ นอันตราย เช่น การเปลี่ยนแปลงที่เกิ ดขึ้นโดยบังเอิ ญในนาฬิกาเรื อนหนึ่งไม่ได้ทําให้นาฬิกา
เรื อนนัน้ ทํางานดี ขึ้นเลย มันอาจจะเกิ ดอันตราย หรื อไม่ก็ไม่เกิ ดผลกระทบใดๆเลย การเกิ ดแผ่นดิ นไหวไม่ทําให้
เกิ ดผลดีต่อบ้านเมือง แต่กลับก่อให้เกิ ดความเสียหาย32

miracle_thai 01/03/2011 Page 88


ไม่น่าประหลาดใจเลยที่ไม่มีตวั อย่างในเรื่องของการกลายพันธุ์ที่ก่อให้ เกิดประโยชน์ ทังๆที ้ ่หวังกันว่าจะเป็ น
การพัฒนาพันธุกรรม การกลายพันธ์ล้วนเป็ นอันตราย ที่กล่าวกันว่าเป็ นกลไกของการวิวฒ ั นาการนัน้ ที่จริงมีผลต่อ
พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตและอาจทําให้ พิการได้ (ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงที่ร้ ูจกั กันโดยทัว่ ไปของสิ่งมีชีวิตก็คือ
มะเร็งนัน่ เอง) วิธีการที่ก่อให้ เกิดการสูญเสียไม่น่าจะเป็ นวิธีของการวิวฒ ั นาการได้ เลย การเลือกสรรของธรรมชาติก็
ไม่สามารถสัมฤทธิผลได้ ด้วยตัวมันเอง ดังที่ ดาร์วินได้ กล่าวยอมรับไว้ แล้ ว ข้ อเท็จจริงนี ้แสดงให้ เราเห็นว่า ไม่มีกลไก
ของการวิวฒ ั นาการอยู่จริงในธรรมชาติ ดังนันกระบวนการที
้ ่เพ้ อฝั นที่เรียกว่า การวิวฒ
ั นาการจึงไม่สามารถเกิดขึ ้นได้
ด้ วย

หลักฐานจากซากฟอสซิล
ไม่ มีร่องรอยของรูปร่ างในขัน้ ตอนการเปลี่ยนแปลง

สิ่งที่ยืนยันว่า ทฤษฎีวิวฒ ั นาการไม่สามารถเกิดขึ ้นได้ ก็คือ หลักฐานจากซากฟอสซิล


ทฤษฎีวิวฒ ั นาการเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดเกิดมาจากบรรพบุรุษ หรือสิ่งที่มีอยู่ก่อนหน้ าซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก็จะ
กลายไปเป็ นสิ่งอื่น สิ่งมีชีวิตทังหลายต่
้ างก็เกิดในลักษณะนี ้ โดยกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ ้นดังกล่าวต้ องใช้
เวลานับล้ านๆปี
ถ้ าเป็ นจริงตามนันสิ้ ่งมีชีวิตที่อยู่ในขันตอนการเปลี
้ ่ยนแปลงจํานวนมากน่าจะยังคงมีให้ เห็นอยู่
ตัวอย่างเช่น น่าจะมีสตั ว์ครึ่งปลาครึ่งสัตว์เลื ้อยคลานที่ได้ ลกั ษณะของสัตว์เลื ้อยคลานเพิ่มขึ ้นจากลักษณะของ
ปลาที่มนั มีอยู่เดิม หรื อน่าจะมีสตั ว์ครึ่งนกครึ่งสัตว์เลื ้อยคลานที่ได้ ลกั ษณะของนกเพิ่มขึ ้นจากลักษณะของ
สัตว์เลื ้อยคลานที่มนั มีอยู่เดิม ด้ วยเหตุที่สตั ว์เหล่านี ้อยู่ในระยะของการเปลี่ยนแปลงตามลําดับขัน้ มันก็น่าจะมี
ลักษณะของความบกพร่อง, ไม่สมบูรณ์ หรื อพิการอยู่ นักวิวฒ ั นาการพวกนี ้ได้ อ้างถึงสัตว์ในจินตนาการซึ่งเชื่อว่าเคย
มีในอดีตว่าเป็ น “รูปแบบของการเปลี่ยนแปลง”
ถ้ าสัตว์ตา่ งๆเหล่านี ้มีอยู่จริ ง มันก็ควรจะมีอยู่นบั ล้ านๆและหลากชนิด ที่สําคัญสุดก็คือ ควรจะมีซากฟอสซิล
ของสัตว์ประหลาดเหล่านี ้ปรากฎให้ เห็นบ้ าง ในหนังสือ จุดกําเนิ ดของสิ่ งมีชีวิต ดาร์ วินได้ อธิบายไว้ วา่
หากทฤษฎีของข้าพเจ้าเป็ นจริ ง สิ่ งที ่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงจะมีจํานวนมากมายหลากหลายจนนับไม่
ถ้วน ทัง้ หมดนี ้ยงั สามารถเชื ่อมโยงกับกลุ่มที่มีความเหมือนกันได้ ซึ่งหลักฐานต่างๆของสิ่ งที่มีมาก่อนหน้าจะ
สามารถค้นพบได้จากซากฟอสซิ ลเท่านัน้ 33

miracle_thai 01/03/2011 Page 89


ความหวังของดาร์ วนิ ดับวูบ
แม้ วา่ นักวิวฒ
ั นาการพยายามค้ นหาซากฟอสซิลทัว่ โลกตังแต่ ้ ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 แต่ก็ยงั คงไม่พบซากที่อยู่
ในขันตอนการเปลี
้ ่ยนแปลงเลย ซากฟอสซิลทังหมดที
้ ่ขดุ ค้ นพบแสดงให้ เห็นว่า สิ่งมีชีวิตบนโลกมีความสมบูรณ์แบบ
ในตัวมันเองแล้ ว ซึ่งตรงข้ ามกับความคาดหวังของนักวิวฒ ั นาการ
นักชีววิทยาชาวอังกฤษ ดีเรค วี เอเกอร์ ยอมรับข้ อเท็จจริงนี ้ ทังๆที
้ ่เขาก็เป็ นนักวิวฒ ั นาการคนหนึ่ง เขากล่าวว่า
สิ่ งที่ประจักษ์ ก็คือ เมื ่อเราตรวจสอบซากฟอสซิ ลโดยละเอียดไม่ว่าจะในระดับชัน้ หรื อชนิ ด เราจะพบซํ้าแล้วซํ้า
เล่าว่า ไม่ได้มีวิวฒ ั นาการอย่างค่อยเป็ นค่อยไป แต่เป็ นการกําเนิ ดของสิ่ งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งพร้อมกับการสิ้ นสุด
ของสิ่ งมีชีวิตอี กกลุ่มหนึ่ง 34

นัน่ ก็คือ ซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดอุบตั ิขึ ้นมาอย่างสมบูรณ์ ไม่ได้ เกิดการกลายรูปแต่อย่างใด ซึ่งตรงกัน


ข้ ามกับข้ อสันนิษฐานของดาร์ วิน ซึ่งนับว่าเป็ นหลักฐานสําคัญว่า สิ่งมีชีวิตทังหลายได้
้ ถกู กําเนิดขึ ้นมา การที่สิ่งมีชีวิต
ทุกชนิดกําเนิดขึ ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่ได้ วิวฒ ั นาการมาจากอดีตย่อมอธิบายได้ วา่ สิ่งเหล่านันถู ้ กสร้ างขึ ้นมา
ดักลาส ฟูตยู าม่า นักชีววิทยาด้ านการวิวฒ ั นาการ ยอมรับความจริงข้ อนี ้ว่า
ข้อโต้แย้งระหว่างการกําเนิ ดกับการวิ วฒ ั นาการนัน้ พูดกันมามากแล้วในการอธิ บายการกําเนิ ดสิ่ งมีชีวิต
สิ่ งมีชีวิตที่อบุ ตั ิ ขึ้นในโลกมี พฒ
ั นาการที ่สมบูรณ์ แบบหรื อยังบกพร่องอยู่ หากยังบกพร่องอยู่ ก็จะต้องมี
กระบวนการพัฒนาจากรุ่นก่อนโดยกระบวนการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่หากสมบูรณ์ แบบแล้วก็แสดงถึงว่า
การกําเนิ ดดังกล่าวต้องมี ผสู้ ร้างที ่ทรงอํานาจอย่างแน่นอน35

ซากฟอสซิลแสดงว่า สิ่งมีชีวิตถูกกําเนิดมาอย่างสมบูรณ์แบบในโลกนี ้ นัน่ ย่อมแสดงว่า “กําเนิดสิ่งมีชีวิต มี


ที่มาจากการสร้ างสรรค์ มิใช่จากวิวฒ
ั นาการตามสมมติฐานของดาร์วิน”

miracle_thai 01/03/2011 Page 90


เรื่องราวการวิวัฒนาการของมนุษย์

ประเด็นที่หยิบยกมากล่าวอ้ างกันมากที่สดุ ตามทฤษฎีวิวฒ ั นาการคือ เรื่องการกําเนิดมนุษย์ นักทฤษฎีดาร์ วิน


อ้ างว่า มนุษย์ในปั จจุบนั นี ้มีกําเนิดมาจากสัตว์คล้ ายลิงตามกระบวนการวิวฒ ั นาการที่เกิดขึ ้นเมื่อ 4-5 ล้ านปี มาแล้ ว
และจากบรรพบุรุษของมนุษย์มาถึงมนุษย์ปัจจุบนั นี ้มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะบางอย่าง กระบวนการตาม
ความคิดดังกล่าว แบ่งได้ 4 ขันดั ้ งนี ้
1. ออสเตรโลพิเทคัส ( Australopithecus )
2. โฮโม ฮาบิลิส ( Homo habilis )
3. โฮโม อีเรคตัส ( Homo erectus )
4. โฮโม เซเปี ยน ( Homo sapiens )
นักวิวฒ ั นาการเรียก บรรพบุรุษลิงในยุคแรกว่า “ออสเตรโลพิเทคัส” ซึ่งหมายถึง “ลิงแอฟริกาใต้” ซึ่งก็คือ ลิง
พันธุ์ดงเดิ
ั ้ มที่ได้ สญู พันธุ์ไปหมดแล้ ว มีการวิจยั อย่างละเอียดเกี่ยวกับสายพันธุ์ตา่ งๆของออสเตรโลพิเทคัสโดยนัก
กายวิภาคศาสตร์ชาวอังกฤษและสหรัฐอเมริกาคือ ลอร์ด ซอลลี่ ซัคเคอร์แมน (Lord Solly Suckerman) และ
ศาสตราจารย์ ชาร์ลส อ็อกซ์นาร์ด (Prof. Charles Oxnard) ได้ พบว่า สายพันธุ์นี ้เป็ นลิงในยุคแรก ซึ่งปั จจุบนั ได้ สญ ู
พันธุ์ไปหมดแล้ ว และไม่มีสว่ นใดที่มีความคล้ ายคลึงกับมนุษย์เลย36
การวิวฒ ั นาการของมนุษย์ในขันถั ้ ดมาคือ “โฮโม” ซึ่งหมายถึง มนุษย์ นักวิวฒ ั นาการที่เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตในกลุม่
โฮโมมีการพัฒนามากกว่าออสเตรโลพิเทคัส นักวิวฒ ั นาการได้ อปุ โลกน์แนวคิดวิวฒ ั นาการขึ ้นมาอย่างแยบยล โดย
จัดวางซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตต่างๆเหล่านี ้ตามลําดับชัน้ แต่ก็ยงั เป็ นเรื่องเพ้ อฝั นเนื่องจากว่ามันไม่สามารถจะ
พิสจู น์ได้ วา่ มีการวิวฒั นาการที่สมั พันธ์กนั กับลําดับชันต่
้ างๆ เอิร์นส เมเออร์ นักทฤษฎีวิวฒ ั นาการคนสําคัญใน
ศตวรรษที่ 20 กล่าวยอมรับข้ อเท็จจริงนี ้ว่า “สายโซ่ที่โยงถึงโฮโมเซเปี ยนได้ สญ ู สิ ้นไปแล้ ว”
จากการโยงสายโซ่ในลักษณะดังนี ้ “ออสเตรโลพิเทคัส > โฮโมฮาบิลิส > โฮโมอีเรคตัส > โฮโมเซเปี ยน” นัก
วิวฒั นาการหมายความว่า แต่ละกลุม่ พันธุ์ตา่ งก็เป็ นบรรพบุรุษของอีกกลุม่ หนึ่งต่างๆกันมา แต่จากการค้ นพบล่าสุด
ของนักชีววิทยาเปิ ดเผยออกมาว่า ออสเตรโลพิเทคัส , โฮโมฮาบิลิส และโฮมโมอิเรคตัส อยู่ตา่ งถิ่นกันในช่วงเวลา
เดียวกัน
นอกจากนันยั ้ งปรากฏว่ามนุษย์จากพวกโฮโมอิเรคตัสมีชีวิตต่อเนื่องมาจนยุคปั จจุบนั ส่วนโฮโมเซเปี ยนนีอนั
ดารธาเลนซิส และโฮโมเซเปี ยนเซเปี ยน (มนุษย์ยคุ ใหม่) นัน้ ก็อยู่ร่วมกันในถิ่นเดียวกัน39

miracle_thai 01/03/2011 Page 91


ประเด็นนี ้ชี ้ให้ เห็นชัดเจนว่าคํากล่าวอ้ างที่วา่ มนุษย์กลุม่ หนึ่งเป็ นบรรพบุรุษของอีกกลุม่ หนึ่งนันเป็
้ นไปไม่ได้
นักฟอสซิลวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชื่อ สตีเฟน เจย์ กลาวด์ (Stephen Jay Gloud) อธิบายการหยุดชะงัก
ของทฤษฎีวิวฒ ั นาการเอาไว้ แม้ วา่ ตัวเขาเองจะเป็ นนักวิวฒ ั นาการก็ตาม
ขัน้ ตอนของเราจะเป็ นอย่างไร ถ้าหากมีการสืบสายตรงของโฮโมนิ คทัง้ 3 ที่อยู่ในสมัยเดียวกัน ได้แก่ เอ
แอฟริ กานุส โรบุสออสเตรโลปิ เทซี นส์ และเอช ฮาบิ ลิส ซึ่งไม่มีทางที่กลุ่มหนึ่งจะมาจากอีกกลุ่มหนึ่งได้อย่าง
แน่นอน นอกจากนัน้ ทัง้ 3 กลุ่มนี้ยงั ไม่แสดงลักษณะแนวโน้มการวิ วฒ ั นาการใดๆอี กด้วย 40
กล่าวโดยสรุปได้ วา่ เรื่องของการวิวฒ ั นาการของมนุษย์ ซึ่งปรากฏเป็ นภาพ “ครึ่งคนครึ่งลิง” ตามสื่อและตํารา
เรียนนันที
้ ่จริงก็คือเรื่องราวโฆษณาชวนเชื่อโดยไร้ พื ้นฐานทางวิทยาศาสตร์นนั่ เอง
ลอร์ด ซอลลี่ ซักเคอร์ แมน หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงชาวอังกฤษ ได้ ทําการวิจยั เรื่องนี ้เป็ นเวลาหลายปี
โดยเฉพาะได้ ศกึ ษาซากฟอสซิลออสเตรโลพิเทคัสเป็ นเวลาถึง 15 ปี ข้ อสรุปของเขาซึ่งเป็ นนักวิวฒ ั นาการเองก็คือ ไม่
มีสาขาของการวิวฒ ั นาการของมนุษย์มาจากลิงแต่อย่างใด
ซักเคอร์แมนยังได้ เสนอแนวคิดเรื่อง “ขอบเขตของวิทยาศาสตร์ (Spectrum of Sience)” ที่น่าสนใจอีกด้ วย
ขอบเขตของเขา เริ่ มตังแต่ ้ สิ่งที่เป็ นวิทยาศาสตร์ไปจนถึงสิ่งที่ไม่เป็ นวิทยาศาสตร์ ตามแนวคิดของซักเคอร์แมน
“วิทยาศาสตร์” อาศัยข้ อมูลสําคัญที่สดุ คือ ข้ อมูลที่เป็ นรูปธรรมทางด้ านเคมี และฟิ สิกส์ ถัดมาก็เป็ นข้ อมูลทาง
ชีววิทยาและสังคมศาสตร์ตามลําดับ ตรงชายขอบของวิทยาศาสตร์คือ ส่วนที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ได้ แก่ “ญาณรับรู้
พิเศษ” ดังเช่น โทรจิต สัมผัสที่ 6 และสุดท้ ายคือ วิวฒ ั นาการของมนุษย์ ซักเคอร์แมนอธิบายเหตุผลของเขาดังนี ้

แล้วเราก็ออกจากความจริ งที่เป็ นรูปธรรมไปสู่วิธีการสันนิ ษฐานทางชี ววิ ทยา เช่น การใช้สมั ผัสที่ 6 และการ
ตีความซากฟอสซิ ล มนุษย์ซึ่งสําหรับนักวิ ทยาศาสตร์ ที่จริ งใจแล้วอะไรก็เป็ นไปได้ ส่วนผูท้ ี่มีความเชื่อชนิ ดฝั ง
ั นาการนัน้ บางที ก็พร้อมจะเชื่อเรื่องต่างๆที่ขดั แย้งกันเองอย่างยิ่ ง 41
หัวในเรื่องวิ วฒ

ภาพ หน้า 92

ไม่ มีหลักฐานฟอสซิลชิน้ ใดๆที่จะสามารถสนับสนุนเรื่ องการวิวัฒนาการของมนุษย์ ได้ ในทางตรงกันข้ าม ซากฟอสซิล


กลับแสดงให้ เห็นว่ า ระหว่ างลิงกับมนุษย์ มีส่ งิ ขวางกัน้ ที่ไม่ สามารถฝ่ าข้ ามถึงกัน ทัง้ ๆที่เผชิญกับความจริ งเช่ นนีน้ ัก
วิวัฒนาการก็ยังปั กใจเชื่อตามภาพวาดและรู ปจําลองที่ปรากฏ พวกเขาส่ งเดชทําหน้ ากากครอบลงบนซากฟอสซิลแล้ ว
สร้ างภาพจินตนาการให้ เป็ นใบหน้ าครึ่ งคนครึ่ งลิงออกมา

เรื่องราวการวิวฒ
ั นาการของมนุษย์นนั ้ ท้ ายที่สดุ ก็ไม่มีอะไรนอกจากการตีความด้ วยอคติจากหลักฐานซาก
ฟอสซิลที่ค้นพบโดยคนบางกลุม่ ที่ยึดติดกับทฤษฎีของตนอย่างเหนียวแน่น

miracle_thai 01/03/2011 Page 92


เทคโนโลยีของตาและหู

ประเด็นสําคัญที่ทฤษฎีวิวฒ ั นาการยังไม่สามารถอธิบายได้ คือ “คุณสมบัติอนั ลํ ้าเลิศของประสาทสัมผัสแห่ง


การมองเห็นและการได้ ยิน“
ก่อนที่จะพิจารณาเรื่องดวงตา เราลองมาตอบคําถามสันๆ ้ ที่วา่ “เรามองเห็นได้ อย่างไร” เสียก่อน รังสีของ
แสงจากวัตถุตกกระทบบนจอตา (Retina) และส่งผ่านในรูปของสัญญาณไฟฟ้าไปสูจ่ ดุ เล็กๆ บริเวณด้ านหลังของ
สมองที่เรียกว่า ศูนย์ควบคุมการมองเห็น ( Center of Vision) ซึ่งจะเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าให้ เป็ นรูปภาพ โดยผ่าน
ขันตอนต่
้ างๆตามลําดับ จากหลักการดังกล่าว ทําให้ เราสามารถพิจารณาการทํางานของกระบวนการมองเห็นได้
ดังนี ้
สมองเป็ นวัตถุทึบแสงที่อยู่ภายในที่ที่มืดสนิทซึ่งแสงไม่สามารถเล็ดลอดเข้ าไปถึงได้ บริเวณที่เรียกว่าศูนย์
ควบคุมการมองเห็นนี ้จึงเป็ นพื ้นที่ที่อาจมืดมิดที่สดุ แห่งหนึ่ง แต่เราสามารถมองเห็นโลกอันสว่างสดใสใบนี ้ได้ จาก
ความมืดนี ้เอง
ภาพที่มนุษย์มองเห็นนันมี ้ ความคมชัดมากเสียจนแม้ แต่ความก้ าวหน้ าจากวิทยาการในศตวรรษที่ 20 ยังไม่
อาจสร้ างขึ ้นมาทัดเทียมได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อมองดูหนังสือที่เรากําลังอ่านในมือ แล้ วเงยหน้ าพิจารณาไปรอบๆตัวจะ
พบว่าไม่มีภาพอื่นใดที่ชดั เจนเท่ากับภาพหนังสือในมือที่เห็นอยู่ แม้ แต่จอโทรทัศน์ที่ทนั สมัยที่สดุ ของบริษัทที่มี
ชื่อเสียงที่สดุ ในโลก ก็ยงั ไม่อาจสร้ างภาพสีสามมิติที่คมชัดเช่นนี ้ได้ เป็ นเวลากว่าศตวรรษที่บรรดาวิศวกรต่าง
พยายามที่จะเลียนแบบคุณสมบัติเช่นนี ้ มีการสร้ างโรงงานหลายแห่งบนเนื ้อที่กว้ างใหญ่ไพศาล รวมทังมี ้ งานวิจยั อีก
หลายชิ ้นที่ผลิตขึ ้นเพื่อวัตถุประสงค์ดงั กล่าว เมื่อมองดูภาพจากจอโทรทัศน์เปรียบเทียบกับหนังสือในมือ เราจะเห็น
ความแตกต่างอย่างชัดเจนในเรื่ องความคมชัดของภาพ นอกจากนี ้ ในขณะที่จอโทรทัศน์แสดงภาพสองมิติ เรา
สามารถมองเห็นภาพสามมิติที่มีความลึกได้ ด้วยสองตาเรานี่เอง

miracle_thai 01/03/2011 Page 93


เป็ นเวลาหลายปี มาแล้ วที่บรรดาวิศวกรได้ พยายามคิดประดิษฐ์ โทรทัศน์แบบสามมิติที่มีคณ ุ สมบัติในการ
แสดงภาพได้ ดีเท่ากับดวงตา แม้ วา่ จะมีการสร้ างโทรทัศน์แบบสามมิติได้ แต่ผ้ ชู มก็ต้องใช้ แว่นในการชม ภาพใน
จอโทรทัศน์เหล่านี ้จึงเป็ นเพียงภาพสามมิติที่หลอกตาเราด้ วยวิธีการที่ทําให้ ภาพด้ านหลังมัวในขณะที่ภาพด้ านหน้ าดู
คมชัดเหมือนจอกระดาษ ด้ วยเหตุผลดังกล่าว โทรทัศน์สามมิติ จึงไม่อาจให้ ภาพที่คมชัดเท่ากับดวงตา เนื่องจากทัง้
กล้ องถ่ายรูปและโทรทัศน์นนขาดคุั้ ณสมบัติที่ดีในการแสดงภาพดังที่ดวงตามี
นักทฤษฎีวิวฒ ั นาการอ้ างว่ากลไกของการเกิดภาพที่ชดั เจนนันเกิ ้ ดขึ ้นโดยบังเอิญ ถ้ าทฤษฎีดงั กล่าวเป็ นจริ ง
แล้ ว ภาพในโทรทัศน์ในห้ องนอนก็เกิดขึ ้นจากความบังเอิญเช่นกัน อะตอมทังหมดบั ้ งเอิญมารวมตัวกันเข้ าเป็ น
อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตภาพขึ ้นมา อะตอมเหล่านี ้ทําสิ่งที่มนุษย์สว่ นใหญ่ยงั ไม่อาจทําได้ กระนันหรื ้ อ เราจะคิดอย่างไร
กับแนวคิดดังกล่าว
หากว่าอุปกรณ์ผลิตภาพที่ไม่ซบั ซ้ อนเท่าลูกตานันไม่ ้ ได้ เกิดขึ ้นโดยบังเอิญแล้ ว ดวงตาและภาพที่มองเห็นก็
ไม่อาจเกิดขึ ้นได้ โดยความบังเอิญเช่นกัน สําหรับการได้ ยินก็เช่นเดียวกัน เกิดจากหูชนนอกที ั้ ่รับเสียงที่ได้ ยิน แล้ ว
ส่งไปยังหูชนกลางซึ
ั้ ่งจะเพิ่มแรงสัน่ สะเทือนของเสียงแล้ วส่งไปยังหูชนในและแปรเป็
ั้ นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยังศูนย์
ควบคุมการได้ ยินในสมอง เช่นเดียวกับระบบการมองเห็น
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ ้นกับระบบการมองเห็นนันเหมื ้ อนกับการได้ ยินในลักษณะที่วา่ สมองไม่อาจสัมผัสทัง้
เสียงและแสงประเภทใดๆได้ ภายในสมองยังคงเงียบสนิทแม้ วา่ จะมีเสียงดังอึกทึกเกิดขึ ้นภายนอก อย่างไรก็ตาม
สมองคือส่วนที่รับรู้เสียงได้ ชดั เจนที่สดุ เราสามารถได้ ยินเสียงดนตรี บรรเลง เสียงประสานของวงมโหรี และเสียง
อึกทึกในที่ชมุ ชนได้ ซึ่งถ้ าหากลองใช้ เครื่ องมือที่แม่นยําวัดระดับเสียงดังภายในสมองในช่วงเวลาใดก็ตาม จะพบ
เพียงความเงียบสนิทเท่านัน้

miracle_thai 01/03/2011 Page 94


เช่นเดียวกับการผลิตภาพที่เลียนแบบการเกิดภาพในดวงตา หลายทศวรรษมาแล้ วที่มนุษย์พยายามสร้ าง
และลอกเลียนเสียงให้ มีคณ ุ สมบัติเช่นเดียวกับต้ นเสียงเดิม ทําให้ เกิดการผลิตเครื่องบันทึกเสียง ระบบไฮ -ไฟ และ
ระบบความไวเสียง อย่างไรก็ดี วิทยาการที่ก้าวหน้ าและความพยายามของบรรดาวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญก็ไม่อาจ
ผลิตเสียงที่มีความคมชัดได้ เท่ากับเสียงที่รับรู้ด้วยโสตประสาทได้ เลย ถ้ าพิจารณาการบันทึกเสียงด้ วยระบบไฮ-ไฟซึ่ง
ถือว่าเป็ นอุปกรณ์ชนเยีั ้ ่ยมที่ผลิตโดยบริ ษัทที่มีชื่อเสียงในวงการเพลงเสียงบางเสียงก็ยงั สูญหายไปจากกระบวนการ
บันทึกเสียง หรือแม้ กระทัง่ เมื่อเปิ ดเครื่ องเสียงระบบไฮ -ไฟ เรามักจะได้ ยินเสียงซ่าก่อนที่เสียงเพลงจะเริ่มขึ ้นเสมอ
อย่างไรก็ดี เสียงที่รับรู้โดยโสตประสาทของมนุษย์นนเป็ ั ้ นเสียงที่ชดั เจนและแจ่มชัดมาก ปราศจากเสียงซ่า หรือ เสียง
จากการสร้ างบรรยากาศเช่นระบบไฮ-ไฟ แต่จะรับรู้เสียงได้ ชดั เจนอย่างที่เป็ นอยู่จริง ซึ่งเป็ นลักษณะเฉพาะที่มีมา
ตังแต่
้ เริ่มสร้ างมนุษย์
จะเห็นได้ วา่ ไม่มีเครื่ องมือชนิดใดซึ่งมนุษย์สร้ างขึ ้น จะ มีความละเอียดอ่อนและมีคณ ุ ภาพดีในการรับรู้ทาง
ประสาทสัมผัสได้ ดีเท่ากับหูและตาอีกแล้ ว
อย่างไรก็ตาม ในเรื่ องของการมองเห็นและการได้ ยินนี ้ มีรายละเอียดที่ลกึ ซึ ้งอีกมากมายที่ยงั ซ่อนเร้ นอยู่

miracle_thai 01/03/2011 Page 95


ใครคือผู้สร้ างประสาทสัมผัสในการมองเห็นและได้ ยนิ ในสมอง

อะไรที่ทําให้ เรามองเห็นโลกที่สวยงาม ได้ ยินเสียงประสานที่ไพเราะของนกและได้ กลิ่นหอมของดอกกุหลาบ


สิ่งเร้ าที่ตา หู และจมูกของเราได้ รับและส่งไปสูส่ มอง คือ การกระตุ้นประสาทด้ วยกระบวนการทางเคมีไฟฟ้า ในตํารา
วิชาการสาขาต่างๆได้ แก่ ชีววิทยา ฟิ สิกส์ และชีวเคมีนนั ้ มีข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดภาพในสมองเป็ นจํานวนมาก
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีผ้ ใู ดเคยพบข้ อมูลที่สําคัญที่สดุ ที่วา่ การกระตุ้นด้ วยกระบวนการทางเคมีไฟฟ้านัน้ ใครเป็ นผู้
แปรเป็ นรูป รส เสียง และ สัมผัส
ถ้ ากล่าวว่าจิตสํานึกในสมองรับรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี ้โดยไม่ต้องอาศัย ตา หู และจมูกแล้ ว ก็จะเกิดคําถาม
ตามมาอีกว่าใครเป็ นผู้สร้ างจิตสํานึก ซึ่งแน่นอนว่า เส้ นประสาท ชันไขมั ้ น และเซลล์ประสาทที่ประกอบกันขึ ้นเป็ น
สมองนันไม่ ้ อาจทําให้ เกิดจิตสํานึกเหล่านี ้ได้ แม้ แต่นกั วัตถุนิยมและนักนิยมทฤษฎีดาร์วินที่มีความเชื่อว่าทุกสิ่ง
ประกอบขึ ้นจากสสารนันก็ ้ ยงั ไม่อาจหาคําตอบมาอธิบายได้
เพราะจิตสํานึกคือจิตวิญญาณซึ่งพระผู้เป็ นเจ้ าทรงสร้ างขึ ้น เป็ นสิ่งที่ไม่ต้องอาศัยดวงตาเพื่อมองดูภาพ ไม่
ต้ องใช้ หเู พื่อฟั งเสียง และไม่ต้องใช้ สมองเพื่อจะคิด
หากว่าผู้ใดได้ รับทราบข้ อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ชดั เจนเช่นนี ้แล้ ว ควรจะตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ในเด
ชานุภาพของพระเจ้ า และขอความคุ้มครองจากพระองค์ พระองค์อลั ลอฮ์ (ซ.บ.) ผู้ทรงกรุณาปรานีได้ ย่อจักรวาลอัน
กว้ างใหญ่ไพศาลให้ มาอยู่ในที่อนั มืดมิดเพียงไม่กี่ลกู บาศก์เซนติเมตรในรูปแบบของภาพสามมิติ

miracle_thai 01/03/2011 Page 96


ศรัทธาแห่ งวัตถุนิยม

จากข้ อมูลที่กล่าวมานี ้ แสดงให้ เห็นชัดเจนว่าทฤษฎีวิวฒ


ั นาการนี ้ขัดแย้ งกับวิทยาศาสตร์ เช่น แนวความคิด
เรื่องการกําเนิดชีวิต นอกจากนี ้ ลําดับขันตอนของวิ
้ วฒั นาการดูไม่น่าเชื่อถือ ซากดึกดําบรรพ์ที่อยู่ในระหว่างขันตอน

ของวิวฒ ั นาการตามที่ทฤษฎีอ้างถึงก็ไม่เคยมีจริง ดังนัน้ แน่นอนว่าทฤษฎีวิวฒ ั นาการนี ้ควรจะถูกลบล้ างเนื่องจากไม่
มีพื ้นฐานทางวิทยาศาสตร์ รองรับ ซึ่งเป็ นเหตุผลเดียวกันกับที่แนวความคิดเรื่องโลกเป็ นศูนย์กลางของจักรวาลไม่เป็ น
ที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีวิวฒ ั นาการยังคงเป็ นประเด็นวิทยาศาสตร์ที่มีการกล่าวถึงเสมอมา บางคนถึงกับเรียก
การวิพากษ์ วิจารณ์เกี่ยวกับทฤษฎีนี ้ว่าเป็ น “การต่อต้ านวิทยาศาสตร์” เลยทีเดียว เพราะเหตุผลใด
ทฤษฎีวิวฒั นาการเป็ นความเชื่อที่จําเป็ นสําหรับคนบางกลุม่ ที่เชื่อมัน่ ในแนวความคิดวัตถุนิยมและทฤษฎี
ดาร์วินอย่างไม่ลืมหูลืมตา เนื่องจากแนวความคิดวัตถุนิยมเป็ นสิ่งเดียวที่สามารถนํามาใช้ อธิบายสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ ้น
ตามกลไกของธรรมชาติได้
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ บางครัง้ นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ได้ ยอมรับเหตุผลที่ทําให้ แนวความคิดวัตถุ
นิยมได้ รับความเชื่อถือ เช่น ริ ชาร์ ด ซี ลูวอนติน นักพันธุกรรมศาสตร์ที่มีชื่อเสียงและเป็ นนักทฤษฎีวิวฒ ั นาการที่มี
ชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ ยอมรับว่า “เคยเป็ นนักวัตถุนิยม ก่อนที่จะผันตัวเองมาเป็ นนักวิทยาศาสตร์”

ไม่มีวิธีการและองค์กรทางวิ ทยาศาสตร์ ใดๆ ที่บีบบังคับให้เรานําแนวความคิ ดวัตถุนิยมมาอธิ บาย


ปรากฎการณ์ ต่างๆ ในโลกนี้ ตรงกันข้าม ความเชื่อมัน่ ในแนวความคิ ดวัตถุนิยมนี่เองที่สร้างกลไกการ
ตรวจสอบและทําให้เกิ ดคําอธิ บายแบบเป็ นรู ปธรรมต่างๆ ถึงแม้ว่าแนวคิ ดนี้จะค้านกับสติ ปัญญาหรื อทําให้
ผูอ้ ื่นสนเท่ห์ก็ตาม ที ่สําคัญ แนวคิ ดวัตถุนิยมถือเป็ นคําตอบของทุกสิ่ ง ดังนัน้ เราจึงไม่อาจเชื่อ ในพลัง
อํานาจเหนื อธรรมชาติ ใด ๆ ทัง้ สิ้ น42

คํากล่าวนี ้เป็ นการยอมรับอย่างเปิ ดเผยว่าการที่ทฤษฎีดาร์วินยังคงได้ รับความเชื่อถือก็เพียงเพื่อสนับสนุน


แนวความคิดวัตถุนิยมซึ่งเชื่อว่า ทุกสิ่งเริ่ มต้ นจากสสาร วัตถุและสิ่งไม่มีชีวิตสามารถสร้ างชีวิตขึ ้นมาได้ ทฤษฎีนี ้ยัง
เน้ นว่าสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ หลากหลายสายพันธุ์ ตัวอย่างเช่น นก ปลา ยีราฟ เสือ แมลง ต้ นไม้ ดอกไม้ ปลาวาฬ และ
มนุษย์ ต่างมีต้นกําเนิดมาจากสิ่งไม่มีชีวิตโดยการปฎิสมั พันธ์กนั ระหว่างสิ่งต่างๆ เช่น สายฝน แสงฟ้าแลบ ซึ่งเป็ น
หลักการที่ค้านกับเหตุผลและวิทยาศาสตร์โดยสิ ้นเชิง แต่ผ้ นู ิยมทฤษฎีดาร์วินกลับยังคงยึดมัน่ ในความเชื่อนี ้เพียง
เพราะว่า “ไม่อาจเชื่อในพลังอํานาจเหนือธรรมชาติใด ๆ ทังสิ ้ ้น”

miracle_thai 01/03/2011 Page 97


ใครก็ตามที่พิจารณาต้ นกําเนิดของสิ่งมีชีวิตโดยไม่ลําเอียงไปในทางวัตถุนิยมย่อมจะมองเห็นสัจธรรม
ต่อไปนี ้ได้ ชดั เจน กล่าวคือ สิ่งมีชีวิตทังมวลล้
้ วน เป็ นสิ่งสร้ างสรรค์ของพระผู้เป็ นเจ้ า ผู้ทรงอํานาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
และผู้ทรงรอบรู้ คือพระองค์อลั ลอฮ์ (ซ.บ.) ผู้ทรงสร้ างจักรวาลและสิ่งมีชีวิตทังมวลจากความว่
้ างเปล่าให้ เป็ นรูปแบบ
ที่งดงามสมบูรณ์ที่สดุ

…………………………………..
พวกเขา (บรรดามะลาอิกะฮ) ทูลว่ า มหาบริสุทธิ์พระองค์ ท่าน
ไม่ มีความรู้ ใดๆ แก่ พวกข้ าพระองค์ นอกจากสิ่งที่พระองค์ ได้ ทรงสอนพวกข้ าพระองค์ เท่ านัน้
แท้ จริงพระองค์ คือผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ
(อัลกุรอาน 2:32)
………………………………………..

miracle_thai 01/03/2011 Page 98


คําศัพท์
อัลลอฮ์ นามของพระผู้เป็ นเจ้ าในศาสนาอิสลาม
ซุบฮานะฮูวะตอาลา คําสรรเสริญพระผู้เป็ นเจ้ าในศาสนาอิสลาม หมายความว่า “มหาบริสทุ ธิ์แด่พระองค์”
อัลกุรอาน คัมภีร์ของศาสนาอิสลามที่ประทานแด่ท่านศาสดามุฮมั มัด (ซ.ล.)
ซ.ล. คําสรรเสริญท่านศาสดามุฮมั มัด
วันแห่งการตัดสิน การฟื น้ คืนชีพหรือการเป็ นขึ ้นจากความตาย เพื่อรอรับการพิพากษา ความดีความชัว่ ที่
กระทําไประหว่างมีชีวิตอยู่ในโลกนี ้
ซูเราะฮ์ ส่วนหนึ่งของคัมภีร์อลั กุรอาน ในภาษาไทยหมายถึง “บท” มีอยู่ทงหมด ั้ 114 บท
อายะฮ์ วรรคตอนในซูเราะฮ์ (บท) ของอัลกุรอาน เช่น ถ้ าเขี่ยนว่า 2:10 ให้ หมายถึง บทที่ 2
วรรคที่ 10
บิ๊กแบง หน้ า 12 ทฤษฎีที่กล่าวถึงการกําเนิดของจักรวาล
กุบรู หน้ า 40 สุสาน
มักกะห์ เมืองสําคัญทางศาสนาอิสลาม เป็ นที่กําเนิดของท่านศาสดามุฮมั มัด (ซ.ล.) และเป็ น
ที่ตงของอั
ั้ ลกะบะห์ ซึ่งเป็ นศาสนสถานที่มสุ ลิมไปแสวงบุญ
พวกนอกศาสนา ผู้ปฏิเสธอิสลาม
รอซูล บุคคลที่อลั ลอฮ์เลือกสรรให้ มาทําหน้ าที่ศาสนทูตเพื่อเผยแผ่ศาสนาอิสลามซึ่งในที่นี ้
หมายถึงท่านศาสดามุฮมั มัด(ซ.ล.)
มัสญิดฮะรอม ศาสนสถานที่ประเสริฐ
ป้อมไคเบอร์ หน้ า 67
อาณาจักรไบเซนติอมุ หน้ า 67
คอนสแตนติโนเปิ ล เมืองหลวงของอาณาจักรไบเซนไทร์ ปั จจุบนั อยู่ในประเทศตุรกี
คัมภีร์เตารอต คัมภีร์ที่ประทานแด่ท่านศาสดามูซา(โมเสส)อลัยฮิสลาม
อลัยฮิสลาม ขอความสันติสขุ จงมีแด่ท่าน
ฟิ รเอาน์ ฟาโรห์ ผู้ปกครองอียิปต์โบราณ

miracle_thai 01/03/2011 Page 99


อ้ างอิง
1- http://www.jps.net/bygrace/index. html Taken from Big Bang Refined by Fire by Dr. Hugh Ross,
1998. Reasons To Believe, Pasadena, CA.
2- Carolyn Sheets, Robert Gardner, Samuel F. Howe; General Science, Allyn and Bacon Inc. Newton,
Massachusetts, 1985, p. 319-322
3- http://muttley.ucdavis.edu/Book/ Atmosphere/beginner/layers-01.html
4- Carolyn Sheets, Robert Gardner, Samuel F. Howe, General Science, Allyn and Bacon Inc. Newton,
Massachusetts, 1985, p. 305
5- http://southport.jpl.nasa.gov/ scienceapps/dixon/report6.html
6- Carolyn Sheets, Robert Gardner, Samuel F. Howe; General Science, Allyn and Bacon Inc. Newton,
Massachusetts, 1985, p. 305
7- National Geographic Society, Powers of Nature, Washington D.C., 1978, p.12-13
8- http://www.2think.org/nothingness. html, Henning Genz - Nothingness: The Science of Empty Space,
p. 205
9- Anthes, Richard A., John J. Cahir, Alistair B. Fraser, and Hans A. Panofsky, 1981, The Atmosphere,
3. edition, Columbus, Charles E. Merrill Publishing Company, p. 268-269; Millers, Albert; and Jack C.
Thompson, 1975, Elements of Meteorology, 2. edition, Columbus, Charles E. Merrill Publishing
Company, p. 141
10- Anthes, Richard A.; John J. Cahir; Alistair B. Fraser; and Hans A. Panofsky, 1981, The Atmosphere,
p. 269; Millers, Albert; and Jack C. Thompson, 1975, Elements of Meteorology, p. 141-142
11- Davis, Richard A., Jr. 1972, Principles of Oceanography, Don Mills, Ontario, Addison-Wesley
Publishing, p. 92-93
12- Elder, Danny; and John Pernetta, 1991, Oceans, London, Mitchell Beazley Publishers, p. 27
13- Gross, M. Grant; 1993, Oceanography, a View of Earth, 6. edition, Englewood Cliffs, Prentice-Hall
Inc., p. 205
14- Seeley, Rod R.; Trent D. Stephens; and Philip Tate, 1996, Essentials of Anatomy & Physiology, 2.
edition, St. Louis, Mosby-Year Book Inc., p. 211; Noback, Charles R.; N. L. Strominger; and R. J.
Demarest, 1991, The Human Nervous System, Introduction and Review, 4. edition, Philadelphia, Lea
& Febiger , p. 410-411
15- Seeley, Rod R.; Trent D. Stephens; and Philip Tate, 1996, Essentials of Anatomy & Physiology, 2.
edition, St. Louis, Mosby-Year Book Inc., p. 211

miracle_thai 01/03/2011 Page 100


16- Moore, Keith L., E. Marshall Johnson, T. V. N. Persaud, Gerald C. Goeringer, Abdul-Majeed A.
Zindani, and Mustafa A. Ahmed, 1992, Human Development as Described in the Qur'an and Sunnah,
Makkah, Commission on Scientific Signs of the Qur'an and Sunnah, p. 36
17- Moore, Developing Human, 6. edition,1998.
18- Williams P., Basic Human Embryology, 3. edition, 1984, p. 64.
19- Rex D Russell,design in Infant Nutrirtion , http://www.icr.org/pubs/imp-259.htm
20- Warren Treadgold, A History of the Byzantine State and Society, Stanford University Press, 1997, p.
287-299.
21- Warren Treadgold, A History of the Byzantine State and Society, Stanford University Press, 1997, p.
287-299.
22- Walter Wreszinski, Aegyptische Inschriften aus dem K.K. Hof Museum in Wien, 1906, J. C. Hinrichs'
sche Buchhandlung
23- Hermann Ranke, Die Ägyptischen Personennamen, Verzeichnis der Namen, Verlag Von J. J.
Augustin in Glückstadt, Band I, 1935, Band II, 1952
24- Sidney Fox, Klaus Dose, Molecular Evolution and The Origin of Life, New York: Marcel Dekker, 1977.
p. 2
25- Alexander I. Oparin, Origin of Life, (1936) New York, Dover Publications, 1953 (Reprint), p. 196
26- "New Evidence on Evolution of Early Atmosphere and Life", Bulletin of the American Meteorological
Society, Vol 63, November 1982, p. 1328-1330
27- Stanley Miller, Molecular Evolution of Life: Current Status of the Prebiotic Synthesis of Small
Molecules, 1986, p. 7
28- Jeffrey Bada, Earth, February 1998, p. 40
29- Leslie E. Orgel, "The Origin of Life on Earth", Scientific American, Vol 271, October 1994, p. 78
30- Charles Darwin, The Origin of Species: A Facsimile of the First Edition, Harvard University Press,
1964, p. 189
31- Charles Darwin, The Origin of Species: A Facsimile of the First Edition, Harvard University Press,
1964, p. 184.
32- B. G. Ranganathan, Origins?, Pennsylvania: The Banner Of Truth Trust, 1988.
33- Charles Darwin, The Origin of Species: A Facsimile of the First Edition, Harvard University Press,
1964, p. 179
34- Derek A. Ager, "The Nature of the Fossil Record", Proceedings of the British Geological Association,
vol 87, 1976, p. 133
miracle_thai 01/03/2011 Page 101
35- Douglas J. Futuyma, Science on Trial, New York: Pantheon Books, 1983. p. 197
36- Solly Zuckerman, Beyond The Ivory Tower, New York: Toplinger Publications, 1970, p. 75-94;
Charles E. Oxnard, "The Place of Australopithecines in Human Evolution: Grounds for Doubt", Nature,
Cilt 258, p. 389
37- J. Rennie, "Darwin's Current Bulldog: Ernst Mayr", Scientific American, December 1992
38- Alan Walker, Science, vol. 207, 1980, p. 1103; A. J. Kelso, Physical Antropology, 1st ed., New York:
J. B. Lipincott Co., 1970, p. 221; M. D. Leakey, Olduvai Gorge, vol. 3, Cambridge: Cambridge
University Press, 1971, p. 272
39- Time, November 1996
40- S. J. Gould, Natural History, vol. 85, 1976, p. 30
41- Solly Zuckerman, Beyond The Ivory Tower, New York: Toplinger Publications, 1970, p. 19
42-Richard Lewontin, "The Demon-Haunted World", The New York Review of Books, 9 January, 1997, p.
28

miracle_thai 01/03/2011 Page 102

You might also like