Professional Documents
Culture Documents
1. นิยามในเรื่องการเคลื่อนที่
1. ระยะทาง (Distance) คือ ความยาวตามเสนทางที่วัตถุเคลื่อนที่จริง เปนปริมาณสเกลาร (คิดเฉพาะ
ขนาด ไมคิดทิศทาง)
2. การขจัด (Displacement) คือ ระยะการเปลี่ยนตําแหนงของวัตถุจากจุดเริ่มตนถึงจุดสุดทายของการ
เคลื่อนที่ เปนปริมาณเวกเตอร (คิดทั้งขนาดและทิศทาง)
จากรูป A คือ จุดเริ่มตน
B คือ จุดสุดทาย
ระยะทาง คือ เสนทางที่เปนเสนประ
การขจัด คือ เสนทางที่เปนลูกศรชี้
3. อัตราเร็ว (Speed) คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดในหนึ่งหนวยเวลา เปนปริมาณสเกลาร สามารถ
คํานวณไดจากสูตร
v = St
Speed is a Scalar
เมื่อ v คือ อัตราเร็ว (เมตรตอวินาที, m/s)
S คือ ระยะทาง (เมตร, m)
t คือ เวลา (วินาที, s)
ดิฟการกระจัดเปนความเร็ว
ดิฟความเร็วเปนความเรง
ดิฟความเรงเปน...?
v -v
ความเรงเฉลี่ย = ความชันของคอรด pg = ∆∆vt = t 2 - t 1
2 1
3. เมื่อปาวัตถุลงมาสูพื้นโลก พบวา
3.1 ความเร็วตนไมเทากับศูนย (u ≠ 0) vu เปนลบ เพราะทิศทางลง
3.2 คา g มีคาเปนลบ จะได v เปนลบ หมายถึง ทิศทางลงพื้น
ตัวอยางขอสอบ
1. ในการทดลองปลอยถุงทรายใหตกแบบเสรี โดยลากแถบกระดาษผานเครื่องเคาะสัญญาณเวลาที่เคาะจุดทุกๆ
1
50 วินาที จุดบนแถบกระดาษปรากฏดังรูป ถาระยะระหวางจุดที่ 9 ถึงจุดที่ 10 วัดได 3.80 เซนติเมตร
และระยะระหวางจุดที่ 10 ถึงจุดที่ 11 วัดได 4.20 เซนติเมตร ความเร็วเฉลี่ยที่จุดที่ 10 จะเปนกี่เมตรตอ
วินาที
0 เวลา 0 เวลา
3) ความเรง 4) ความเรง
0 เวลา
0 เวลา
t t
3) v 4) v
t t
1) ความเร็วเพิ่มขึ้นสม่ําเสมอ 2) ความเรงเพิ่มขึ้นสม่ําเสมอ
3) ความเรงคงตัวและไมเปนศูนย 4) ระยะทางเพิ่มขึ้นสม่ําเสมอ
16. เมื่ออยูบนดวงจันทรชั่งน้ําหนักของวัตถุที่มีมวล 10 กิโลกรัม ได 16 นิวตัน ถาปลอยใหวัตถุตกที่บนผิว
ดวงจันทร วัตถุมีความเรงเทาใด
1) 1.6 m/s2 2) 3.2 m/s2 3) 6.4 m/s2 4) 9.6 m/s2
17. ชายคนหนึ่งเดินทางไปทางทิศเหนือ 100 เมตร ใชเวลา 60 วินาที แลวเดินตอไปทางตะวันออกอีก 100 เมตร
ใชเวลา 40 วินาที เขาเดินทางดวยอัตราเร็วเฉลี่ยเทาใด
1) 1.0 m/s 2) 1.4 m/s 3) 2.0 m/s 4) 2.8 m/s
2. สูตรการคํานวณการเคลื่อนที่แบบโปรเจกไทล
6. เวลาที่วัตถุเคลื่อนที่จากจุดเริ่มตนถึงจุดไกลสุดตามแนวราบ (T)
T = 2u sing
θ
คําอธิบาย : เมื่อเริ่มปลอยวัตถุที่จุด A
1. ความเร็วตน = ความเร็วของวัตถุที่ทิ้งสิ่งของลงมา
2. ความเร็วตนตามแนวดิ่ง uy = O
ที่จุด B วัตถุตกกระทบกับพื้น
1. ความเร็วตามแนวราบ = ความเร็วตนตามแนวราบที่สุด A (vx = u)
2. ความเร็วตามแนวดิ่ง vy = gt
สูตรที่ใชในการคํานวณ คือ
1. Sx = uxt = ut
g ⋅ S2
2. H = 12 gt2 = 2x
2u
3. vy = gt
หมายเหตุ : สูตรเหลานี้ใชหลักการของสูตรการเคลื่อนที่อิสระภายใตแรงดึงดูดของโลก แตพิจารณาใน
เงื่อนไขของการเคลื่อนที่แบบโปรเจกไทลแนวราบ
2. อิเล็กโตรสโคปแผนโลหะ
นั่นคือ E = qF
นั่นคือ E = KQ2
r
เมื่อ E คือ ความเขมของสนามไฟฟา (N/C)
K คือ Permittivity Constant
Q คือ ประจุไฟฟาที่ทําใหเกิดสนาม
r คือ ระยะระหวางประจุ Q ถึงตําแหนงใดๆ
สําหรับทิศของสนามขึ้นอยูกับประจุ Q ที่ทําใหเกิดสนามไฟฟา
5. สนามไฟฟาเนื่องจากประจุบนตัวนําทรงกลม
1. สนามไฟฟาภายในตัวนําใดๆ นับจากผิวเขามา มีคาเปนศูนย
2. สนามไฟฟา ณ ตําแหนงที่ติดกับผิวของตัวนํา จะมีทิศตั้งฉากกับผิวเสมอ
3. ณ ตําแหนงที่หางจากผิวของตัวนํา ขนาดของสนามไฟฟาจะมีคาลดลง
แมเหล็กไฟฟา
1. สนามแมเหล็กและเสนแรงแมเหล็ก
1. แมเหล็ก (Magnet) คือ สารที่สามารถดูดและผลักกันเอง และสามารถดูดสารแมเหล็กได โดยการ
เหนี่ยวนํา ปกติแมเหล็กมี 2 ขั้ว ไดแก ขั้วเหนือและขั้วใต
2. สนามแมเหล็ก (Magnetic Field) คือ บริเวณที่แมเหล็กสามารถสงแรงไปกระทําถึง
3. เสนแรงแมเหล็ก (Magnetic lines of force) คือ เสนที่แสดงทิศทางของสนามแมเหล็ก แบงเปน
2 ประเภท คือ
1. เสนแรงแมเหล็กภายนอกแทงแมเหล็ก จะมีทิศพุงออกจากขั้วเหนือไปสูขั้วใต
2. เสนแรงแมเหล็กภายในแทงแมเหล็ก จะมีทิศพุงออกจากขั้วใตไปสูขั้วเหนือ
F = qvB sin θ
แตถาเปนประจุลบแรงที่กระทําตอประจุลบจะมีทิศทางตรงขามกัน
v
ในกรณีที่ vv ⊥ B (θ = 90°) ประจุไฟฟาจะเคลื่อนที่เปนวงกลมในสนามแมเหล็ก แสดงไดดังนี้
v
ในกรณีที่ vv ⊥ B (θ = 90°) ประจุจะเคลื่อนที่เปนวงกลมในสนามแมเหล็ก
r = mv
qB
F = IlB sin θ
ตัวอยางขอสอบ
1. จุด A และ B อยูภายในเสนสนามไฟฟาที่มีทิศตามลูกศรดังรูป ขอใดตอไปนี้ถูกตอง
A B
N S
1) 2) 3) N S 4) S N
S N
5. ลําอนุภาค P และ Q เมื่อเคลื่อนที่ผานสนามแมเหล็ก B ที่มีทิศพุงออกตั้งฉากกับกระดาษมีการเบี่ยงเบนดังรูป
ถานําอนุภาคทั้งสองไปวางไวในบริเวณที่มีสนามไฟฟาสม่ําเสมอ แนวการเคลื่อนที่จะเปนอยางไร
B
P
Q
1) เคลื่อนที่ไปทางเดียวกันในทิศทางตามเสนสนามไฟฟา
2) เคลื่อนที่ไปทางเดียวกันในทิศทางตรงขามกับเสนสนามไฟฟา
3) เคลื่อนที่ในทิศตรงขามกันโดยอนุภาค P ไปทางเดียวกับสนามไฟฟา
4) เคลื่อนที่ในทิศตรงขามกันโดยอนุภาค Q ไปทางเดียวกับสนามไฟฟา
6. อนุภาคแอลฟา อนุภาคบีตา รังสีแกมมา เมื่อเคลื่อนที่ในสนามแมเหล็ก ขอใดไมเกิดการเบน
1) อนุภาคแอลฟา 2) อนุภาคบีตา 3) รังสีแกมมา 4) อนุภาคแอลฟาและบีตา
7. วางลวดไวในสนามแมเหล็กดังรูป เมื่อใหกระแสไฟฟาเขาไปในเสนลวดตัวนําจะเกิดแรงเนื่องจากสนามแมเหล็ก
กระทําตอลวดนี้ในทิศทางใด
N S
I
S S
1) 2)
N N
N N
3) 4)
S S
2. ความเร็วของการเคลื่อนที่เปนวงกลม
1. ความเร็วเชิงเสน (Linear Velocity) คือ ความยาวตามสวนโคงของการเคลื่อนที่ที่วัตถุเคลื่อนได
ใน 1 หนวยเวลา หนวยเปนเมตรตอวินาที (m/s)
2. ความเร็วเชิงมุม (Angular Velocity) คือ มุมที่จุดศูนยกลางที่รองรับสวนโคงของการเคลื่อนที่ที่
วัตถุเคลื่อนไดใน 1 หนวยเวลา หนวยเปนเรเดียนตอวินาที (rad/s)
3. ความเรงสูศูนยกลาง (Centripetal Acceleration) คือ ความเรงแหงการเคลื่อนที่ของวัตถุที่เปน
วงกลม โดยมีทิศเขาสูจุดศูนยกลางของวงกลม หนวยเปนเมตรตอวินาที2 (m/s2)
4. คาบ (Period) คือ เวลาที่วัตถุใชในการเคลื่อนที่เปนวงกลม 1 รอบ หนวยเปนวินาที (s)
5. ความถี่ (Frequency) คือ จํานวนรอบที่วัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลมไดใน 1 หนวยเวลา หนวยเปนเฮิรตซ (Hz)
6. แรงเขาสูศูนยกลาง (Centripetal Force) คือ แรงที่กระทําตอวัตถุใหมีการเคลื่อนที่เปนวงกลม โดย
มีทิศพุงเขาสูจุดศูนยกลางของวงกลมและตั้งฉากกับความเร็วของวัตถุ ณ จุดนั้น หนวยเปนนิวตัน (N)
7. สูตรในการคํานวณการเคลื่อนที่เปนวงกลม
1. θ = สวรันโค
ศมี
ง 2. v = 2 πt r = 2πrf = ωr
2
3. ω = θt = 2Tπ = 2πf = vr 4. ac = vr = ω2r
2
5. T = 1f 6. Fc = mvr = mω2r
เมื่อ θ คือ ระยะทางเชิงมุม (เรเดียน, rad)
r คือ รัศมีของวงกลม (เมตร, m)
v คือ ความเร็วเชิงเสน (เมตรตอวินาที, m/s)
ω คือ ความเร็วเชิงมุม (เรเดียนตอวินาที, rad/s)
T คือ คาบ (วินาที, s)
f คือ ความถี่ (เฮิรตซ, Hz)
ac คือ ความเรงเขาสูศูนยกลาง (เมตรตอวินาที2, m/s2)
Fc คือ แรงเขาสูศูนยกลาง (นิวตน, N)
5. การเคลื่อนที่ของรถยนตและจักรยานยนตบนทางโคง
พิจารณาทางดานบน
แรงเสียดทาน = แรงสูศูนยกลาง
2
µ(mg) = mvr
µ = v2
rg
1) T2 เปนปฏิภาคโดยตรงกับ l 2) T เปนปฏิภาคโดยตรงกับ l
2 2
3) T เปนปฏิภาคโดยตรงกับ l 4) T เปนปฏิภาคโดยตรงกับ l
3. รถไตถังเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วสม่ําเสมอและวิ่งครบรอบได 5 รอบในเวลา 2 วินาที หากคิดในแงความถี่ของ
การเคลื่อนที่ ความถี่จะเปนเทาใด
1) 2.5 Hz 2) 1.5 Hz 3) 0.5 Hz 4) 0.4 Hz
4. เหวี่ยงจุกยางใหเคลื่อนที่เปนแนววงกลมในระนาบระดับศีรษะ 20 รอบ ใชเวลา 5 วินาที จุกยางเคลื่อนที่
ดวยความถี่เทาใด
1) 0.25 รอบ/วินาที 2) 4 รอบ/วินาที 3) 5 รอบ/วินาที 4) 10 รอบ/วินาที
5. การเคลื่อนที่ใดที่แรงลัพธที่กระทําตอวัตถุมีทิศตั้งฉากกับทิศของการเคลื่อนที่ตลอดเวลา
1) การเคลื่อนที่ในแนวตรง 2) การเคลื่อนที่แบบวงกลมดวยอัตราเร็วคงตัว
3) การเคลื่อนที่แบบโปรเจกไทล 4) การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย
6. การทดลองเรื่องการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย
ถาใหลูกตุมเคลื่อนที่จาก A ไป B ไป C แลวไป B ดังรูป
ใชเวลา 3 วินาที คาบของการเคลื่อนที่มีคาเทาใด
A C 1) 2 s 2) 3 s
B 3) 4 s 4) 6 s
7. ขอความใดถูกตองเกี่ยวกับคาบของลูกตุมอยางงาย
1) ไมขึ้นกับความยาวเชือก 2) ไมขึ้นกับมวลของลูกตุม
3) ไมขึ้นกับแรงโนมถวงของโลก 4) มีคาบเทาเดิมถาไปแกวงบนดวงจันทร
A A เสนปกติ (แนวสมดุล)
A A
O π 2π 3π 4π เฟส
3. ความสัมพันธระหวางอัตราเร็วของเสียงกับอุณหภูมิ หาไดจาก
vt = 331 + 0.6t
เมื่อ vt คือ อัตราเร็วของเสียงที่อุณหภูมิ t°C (m/s)
t คือ อุณหภูมิ (°C)
v1 T
หรือ v2 = T1
2
v = Y
ρ
v = B
ρ
v = KP
ρ
ระยะระหวางบัพหรือระหวางปฏิบัพของคูถัดไปเทากับ λ2
4L = (2n - l )λ n = 1, 2, 3, ...
เมื่อ L คือ ความยาวของทอ
λ คือ ความยาวคลื่นของคลื่นในทอ
2. ทอปลายปด 2 ปลาย ปลายทอทั้งสองปลายเปนจุด Antinode
A A A A A
N N N
2L = nλ n = จํานวนบัพ = 1, 2, 3, ...
4. การไดยิน
1. กําลังเสียง (Power of Sound) คือ พลังงานที่สงออกมาจากแหลงกําเนิดเสียงในหนึ่งหนวยเวลา
2. ความเขมเสียง (Sound Intensity) คือ กําลังเสียงที่ตกกระทบตั้งฉากกับพื้นที่ของหนาคลื่นของ
ทรงกลมหนึ่งตารางหนวย หาไดจาก
I = P
4 πR 2
เมื่อ I คือ ความเขมเสียง (W/m2)
P คือ กําลังเสียง (W)
R คือ ระยะจากแหลงกําเนิดเสียงไปยังตําแหนงที่จะหาคาความเขมเสียง (m)
จากสมการพบวา เมื่อระยะระหวางผูฟงกับแหลงกําเนิดเสียงเพิ่มขึ้น ความเขมเสียงจะลดลง
ความเขมเสียงที่หูของมนุษยจะทนฟงไดดี คือ 1 W/m2
นั่นคือ L = n ⋅ λ2
fL = fS cc -- vvL
S
2. กรณีที่มีลมพัด
fL = fS cc ++ vvW -- vvL
W S
จากการศึกษาแนวการเคลื่อนที่ของรังสีที่ออกมาจากธาตุกัมมันตภาพรังสี จะพบวาในบริเวณสนามแมเหล็ก
แนวการเคลื่อนที่ของรังสีจะมี 3 ลักษณะ (ดังรูป) ทําใหสามารถแบงชนิดของรังสีที่ออกมาจากธาตุกัมมันตรังสีได
3 ชนิด ดังนี้
1. รังสีแอลฟา (Alpha rays, α) หรืออนุภาคแอลฟา เปนนิวเคลียสของอะตอมของธาตุฮีเลียม
4
( 2 He ) มีคุณสมบัติดังนี้
1.1 มีมวลประมาณ 4u มีประจุไฟฟา +2e และมีพลังงานประมาณ 4 - 10 MeV
1.2 มีความสามารถทําใหเกิดการแตกตัวเปนไอออนเมื่อรังสีแอลฟาพุงผานสารใดๆ
1.3 มีอํานาจทะลุทะลวงต่ํา กลาวคือสามารถวิ่งผานอากาศไดเพียง 3 - 5 เซนติเมตร
1.4 จะเบี่ยงเบนเมื่อผานสนามไฟฟาและสนามแมเหล็ก เพราะรังสีแอลฟามีประจุ
1.5 มีปฏิกิริยาออนมากตอฟลมถายรูป
จะไดวา ∆N = -λ N
∆t
มวง
เหลือง
1) เครื่องกําเนิดไฟฟาโดยกังหันลม
2) การเตือนวามีอันตรายจากกัมมันตภาพรังสี
3) การเตือนวามีอันตรายจากสารเคมี
4) เครื่องกําเนิดไฟฟาโดยเซลลแสงอาทิตย
9. นิวเคลียสของเรเดียม-226 ( 226
88 Ra ) มีการสลายโดยการปลอยอนุภาคแอลฟา 1 ตัวและรังสีแกมมาออกมา
จะทําให 226
88 Ra กลายเปนธาตุใด
1) 218
84 Po
2) 222
86 Rn
3) 23090Th
4) 234
92 U
10. อนุภาคใดในนิวเคลียส 236 234
92 U และ 90Th ที่มีจํานวนเทากัน
1) โปรตอน
2) อิเล็กตรอน
3) นิวตรอน
4) นิวคลีออน
11. ในธรรมชาติ ธาตุคารบอนมี 3 ไอโซโทป คือ 126 C 136 C และ 146 C ขอใดตอไปนีถ้ ูก
1) แตละไอโซโทปมีจํานวนอิเล็กตรอนตางกัน
2) แตละไอโซโทปมีจํานวนโปรตอนตางกัน
3) แตละไอโซโทปมีจํานวนนิวตรอนตางกัน
4) แตละไอโซโทปมีจํานวนโปรตอนเทากับจํานวนนิวตรอน
หนาคลื่นกระทบ หนาคลื่นสะทอน
θI θ R
ผิวสะทอน
มุมตกกระทบ θI θR มุมสะทอน
รูปที่ 2 แสดงการสะทอนของคลื่น
กฎการสะทอน มีอยู 2 ขอ
1. มุมตกกระทบ = มุมสะทอน
2. รังสีตกกระทบ เสนตั้งฉากและรังสีสะทอน ตองอยูบนระนาบเดียวกัน
การหักเห (Interference)
เกิดจากการที่คลื่นเคลื่อนที่เปลี่ยนตัวกลางที่มีคุณสมบัติของตัวกลางบางประการไมเหมือนกัน สงผล
ใหคลื่นเปลี่ยนแปลงความเร็ว โดยเปลี่ยนทิศการเคลื่อนที่ และ(หรือ)เปลี่ยนอัตราเร็วคลื่น แตความถี่ยังคงเทาเดิม
กฎของสเนลล
เปนกฎที่อธิบายการหักเหของคลื่น ระหวางตัวกลางคูหนึ่งๆ มีสมการเปน
sin θ1 v1 λ1
sin θ = v = λ
2 2 2
...(3)
ตัวอยางขอสอบ
1. คลื่นตามขวางรูปไซนบนเสนเชือกกําลังเคลื่อนที่ไปทางขวามือ ขณะหนึ่งจุด A ซึ่งเปนจุดสีแดงแตมเล็กๆ บน
เสนเชือกกําลังอยูที่สันคลื่นพอดี อีกนานเทาใดจุด A จึงจะเคลื่อนลงมาอยูที่ตําแหนงปกติ (ระดับเสนประ)
(A-NET’51)
λ = 0.8 m
A
เสนเชือก
v = 5 m/s
1) 20 ms 2) 40 ms 3) 60 ms 4) 80 ms
2. ถาความเร็วของคลื่นน้ําเทากับ 6.0 เมตรตอวินาที ขณะทีส่ ันคลื่นที่หนึ่งและที่สี่หางกัน 7.2 เมตร คลื่นนี้มี
ความถี่เทาใด (A-NET’49)
1) 0.8 Hz 2) 2.5 Hz 3) 3.3 Hz 4) 4.3 Hz
λ λ
อัตราเร็วของเสียงในอากาศ
เสียงสามารถเคลื่อนที่ไดทั้งในของแข็ง, ของเหลว และแกส
- อัตราเร็วเสียงในอากาศขึ้นอุณหภูมิของอากาศ มีสูตรคํานวณเปน
vt = 331 + 0.6 ⋅ t ...(1)
เมื่อ vt คือ อัตราเร็วเสียงในอากาศ ขณะอุณหภูมิ t°C (m/s)
t คือ อุณหภูมิของอากาศในหนวยเซลเซียส (°C)
จากสมการที่ (1) จะไดวาคลื่นเสียงจะมีอัตราเร็วเปลี่ยนแปลงไป 0.6 m/s เมื่ออุณหภูมิของ
อากาศเปลี่ยนแปลงไป 1°C และสมการนี้สามารถใชคํานวณไดดเี มือ่ อุณหภูมิของอากาศอยูใ นชวง -40°C ถึง 40°C
v ∝ T
เมื่อ v คือ อัตราเร็วของคลื่นเสียง (m/s)
T คือ อุณหภูมิของอากาศขณะนั้นๆ ในหนวยเคลวิน (K)
ถามีการเปรียบเทียบอัตราเร็วของคลื่นเสียง 2 บริเวณที่มีอุณหภูมิแตกตางกัน จะไดสมการเปน
v1 T1
v2 = T2 ...(2)
- อัตราเร็วของคลื่นเสียงที่มีความยาวคลื่น λ และความถี่ f มีสูตรคํานวณเปน
v = fλ ...(3)
- อัตราเร็วของคลื่นเสียงในตัวกลางเดียว (บริเวณเดียว) จะมีอัตราเร็วคงที่ มีสูตรคํานวณเปน
v = st ...(4)
ซึ่งสมการที่ (4) นี้ใชในการออกขอสอบ ม.3 บอยมาก เชน กรณีใชเสียง SONAR ในการประมง
1) การทดลองมีการเคลื่อนปลายดินสอไปทางซายดวยอัตราเร็วเทากับอัตราเร็วของคลื่น
2) การทดลองมีการเคลื่อนปลายดินสอไปทางขวาดวยอัตราเร็วเทากับอัตราเร็วของคลื่น
3) การทดลองมีการเคลื่อนปลายดินสอไปทางซายดวยอัตราเร็วมากกวาอัตราเร็วของคลื่น
4) การทดลองมีการเคลื่อนปลายดินสอไปทางขวาดวยอัตราเร็วมากกวาอัตราเร็วของคลื่น
ตัวอยางขอสอบ
1. ฉายลําแสงเลเซอรความยาวคลื่น 625 นาโนเมตรผานเกรตติงในแนวตั้งฉากเพื่อตองการใหจุดสวางอันดับที่
หนึ่งเบนจากแนวกลางประมาณ 30 องศา จะตองเลือกใชเกรตติงอันไหนใน 4 อัน A, B, C และ D ซึ่งมี
จํานวนเสนตอมิลลิเมตรเปน 500, 650, 780 และ 940 ตามลําดับ (A-NET’51)
1) A 2) B 3) C 4) D
2. ภาพที่เกิดโดยเลนสนูนในรูปเปนตามขอใด (A-NET’51)
วัตถุ 1) ภาพหัวตั้ง ขนาดโตขึ้น
f 2) ภาพหัวกลับ ขนาดโตขึ้น
3) ภาพหัวตั้ง ขนาดเล็กลง
2f 4) ภาพหัวกลับ ขนาดเล็กลง
3. แสงความถี่ 4.00 × 1014 Hz ในเสนใยนําแสงมีความยาวคลื่นในเนื้อเสนใยเทากับ 4.50 × 10-7 m จงหา
คาดรรชนีหักเหของเนื้อเสนใยนําแสงนี้ (A-NET’51)
1) 1.33 2) 1.50 3) 1.67 4) 1.76
4. กําหนดใหวา I1 = 12.5% ของ I0 จงหาคาของมุม θ ที่แกนของ B ทํากับแกนของ A (A-NET’51)
แสงไมโพลาไรซ แสงโพลาไรซ
ความเขม I 0 ความเขม I 1
แผนโพลารอยด A แผนโพลารอยด B
1) 60° 2) 69° 3) 76° 4) 83°
1) 53 cm 2) 80 cm
3) 120 cm 4) 125 cm
C = a a คือ รัศมีทรงกลม
k
9.2 ความจุของตัวเก็บประจุแผนโลหะขนาน
C = Q
Vระหวางแผน
9.3 การตอตัวเก็บประจุมี 2 แบบ คือ อนุกรมและขนาน
- แบบอนุกรม Qรวม = Q1 = Q2 = Q3
Vรวม = V1 + V2 + V3
1 1 1 1
C รวม = C1 + C2 + C3
- แบบขนาน Vรวม = V1 = V2 = V3
Qรวม = Q1 + Q2 + Q3
Cรวม = C1 + C2 + C3
9.4 พลังงานที่สะสมในตัวเก็บประจุ หาไดจาก
W = 1 QV = 1 CV2 = 1 Q 2
2 2 2 C
- I = nevA
2. ความตานทาน (R) ของลวดตัวนํา
ρl
หา R ไดจาก R = A
3. กฎของโอหม
เมื่อมีกระแสไฟฟาผานความตานทาน ไดวาอัตราสวนระหวางกระแสที่ผานและความตางศักยของตัว
ตานทานมีคาคงที่
I 1
V = R หรือ V = IR
B
ทิศของ B หาไดจากการใชมือขวา กําลวดใหนิ้วหัวแมมือแทน I นิ้วทั้ง 4 แทน B
2.2 เมื่อมีกระแสไหลในขดลวดจะเกิดการเหนี่ยวนําแมเหล็ก หาขั้วแมเหล็กไดจากการใชมือขวากําลวด
นิ้วทั้ง 4 แทน I นิ้วหัวแมมือแทนขั้วเหนือ
N S
3. แรงจากสนามแมเหล็ก
3.1 ประจุ q เคลื่อนที่เขาไปในสนามแมเหล็กจะมีแรงกระทํา คือ
v v
F = q vv × B
หรือ F = qvB sin θ θ เปนมุมระหวาง v กับ B
F จะตั้งฉากกับ v ทําใหประจุวิ่งโคงวงกลม โดยแรงนี้เปนแรงเขาสูศูนยกลาง
2
FC = mvR
3.2 เมื่อมีกระแสไหลในเสนลวดที่อยูในสนามแมเหล็กจะเกิดแรงกระทํา
F = I l B sin θ
3.3 การหาทิศ F หาไดจากการใชมือขวา นิ้วทั้ง 4 แทนทิศ I ฝามือหันหา B นิ้วหัวแมมอื แทนทิศ F
ที่กระทําตอประจุ +
R V2
N1 N2
E N
5.1 E1 = N 1
2 2
5.2 E1 อาจเขียนเปน V1 แต E2 จะเทากับ V2 เมื่อขดลวดไมมีความตานทาน
5.3 เมื่อประสิทธิภาพ 100% ไดวา I1V1 = I2V2
vR
iR vC iL
ตัวตานทาน i, v เฟสตรงกัน ตัวเก็บประจุ i เฟสนํา v 90° ตัวเหนี่ยวนํา v เฟสนํา i 90°
6.1 i เทากัน
6.2 v รวมกันแบบ phasor vรวม = v 2R + (v L - v C ) 2
6.3 z = R 2 + (x L - x C ) 2
7. การตอ R, L, C แบบขนาน
R iC i รวม iC - iL
L iR
C vR , vC , vL iR v
iL
7.1 v เทากัน
7.2 i รวมกันแบบ phasor iรวม = i 2R + (i C - i L ) 2
2
7.3 z รวมหาไดจาก 1z = 1
+ x1 - x1
R2 L C
8. กําลังที่สูญเสียในวงจร
8.1 P = iรวมvรวม cos φ
8.2 P = กําลังที่สูญเสียในตัวตานทาน
ความถี่เชิงมุม IC I 0 sin ωt
เทากับ ω C R
ตัวอยางขอสอบ
1. ฟงกชันงานของโลหะโซเดียมเทากับ 2.0 อิเล็กตรอนโวลต ถาแสงความยาวคลื่น 300 นาโนเมตร ตกกระทบ
ผิวโซเดียม โฟโตอิเล็กตรอนที่เกิดขึ้นจะมีพลังงานจลนสูงสุดกี่อิเล็กตรอนโวลต (A-NET’49)
1) 1.2 eV 2) 2.1 eV 3) 4.2 eV 4) 6.1 eV
2. ถาระดับพลังงานชั้นที่ n ของอะตอมไฮโดรเจนในหนวยอิเล็กตรอนโวลต เขียนไดเปน En = - 13.6
n2
ถาอิเล็กตรอนของอะตอมไฮโดรเจนเปลี่ยนสถานะจากชั้นที่ 2 ลงมาชั้นที่ 1 จะปลดปลอยโฟตอนที่มีโมเมนตัม
เทาใด (A-NET’49)
1) 3.40 × 10-8 kg ⋅ m/s 2) 4.89 × 10-10 kg ⋅ m/s
3) 1.63 × 10-18 kg ⋅ m/s 4) 5.44 × 10-27 kg ⋅ m/s
3. เมื่อฉายแสงความถี่หนึ่งลงบนผิวโลหะที่มีคาฟงกชันงาน 1.0 อิเล็กตรอนโวลต ไดพลังงานจลนสูงสุดของ
อิเล็กตรอนเปน 2.0 อิเล็กตรอนโวลต ถาใชแสงความถี่ใหมเปน 1.5 เทาของความถี่เดิม คาพลังงานจลน
สูงสุดของอิเล็กตรอนเปนเทาใด (A-NET’50)
1) 2.5 eV 2) 3.0 eV 3) 3.5 eV 4) 4.0 eV
r r
4. อนุภาคโปรตอนเคลื่อนที่ในสนามไฟฟา ( E ) หรือในสนามแมเหล็ก ( B ) ดังรูปในขอใดที่ความยาวคลื่น
เดอบรอยลของอนุภาคไมเปลี่ยน (A-NET’50)
r r
P r v P r v
v r v
1) 2) P r 3) r 4) P r
E E E B
t t
3) v 4) v
t t
2. กราฟในขอใดที่แสดงการกระจัด (s) กับเวลา (t) สําหรับการดีดลูกบอลขึ้นไปในแนวดิ่งและตกลงมาภายใต
แรงโนมถวง
1) s 2) s
t t
3) s 4) s
t t
3. รถยนตคันหนึ่งวิ่งดวยความเร็วคงที่ 10 เมตรตอวินาที ขณะที่อยูหางจากสิ่งกีดขวางเปนระยะทาง 35 เมตร
คนขับตัดสินใจหามลอรถโดยเสียเวลา 1 วินาที กอนที่หามลอจะทํางาน เมื่อหามลอทํางานแลว รถจะตองลด
ความเร็วในอัตราเทาใด จึงจะทําใหรถหยุดพอดีเมื่อถึงสิ่งกีดขวางนั้น
1) 1.0 m/s2 2) 1.5 m/s2 3) 2.0 m/s2 4) 3.0 m/s2
ขอสังเกต
จุดที่การเคลื่อนที่แบบโปรเจกไทล มีความเร็วต่ําสุดไดแกจุดที่อยูสูงสุด โดยจะมีอัตราเร็วเทากับอัตราเร็ว
ตนในแนวราบ (เพราะอัตราเร็วในแนวดิ่งเทากับศูนย)
ระยะสูงสุด
จุดสูงสุดของการเคลือ่ นที่วิถีโคง อัตราเร็วในแนวดิง่ เทากับศูนย จะมีคา
u2
H = 2gy เมตร
ระยะไกลที่สุด
ระยะไกลที่สุดหาไดจากการหาเวลาที่การขจัดทางแกน y = 0 เมตร และนําเวลาไปแทนในสมการหาคา
ระยะทางตามแนวราบ
2u x u y
R = g เมตร
ถาเรายิงวัตถุดวยอัตราเร็วตน u เมตรตอวินาที ทํามุม θ กับแนวระดับ ระยะไกลสุดสามารถเขียนในรูป
ของอัตราเร็ว u และมุม θ ไดวา
2 2
R = 2u sin (gθ) cos ( θ) = u sing (2θ) เมตร
ดังนั้น จะเห็นไดวาระยะทางไกลสุดที่วัตถุจะไปไดที่อัตราเร็วตนคงที่ จะเกิดเมื่อยิงวัตถุเปนมุม 45 องศา
ระยะไกลสุดเมื่อยิงวัตถุดวยมุม 30 องศาจะเทากับยิงดวยมุม 60 องศา ถาอัตราเร็วตนเทากัน (จริงๆ แลวถามุม
บวกกันได 90 องศาจะไดระยะทางเทากัน
1) 2) 3) 4)
θ θ
A B C D
1) A 2) B 3) C 4) D
3. เมื่อขวางกอนหินกอนหนึ่งดวยความเร็วตน 20 เมตรตอวินาที พบวากอนหินตกถึงพื้นราบดวยความเร็วที่ทํา
มุม 60 องศากับแนวดิ่ง หินกอนนี้ขวางไปไดสูงสุดเทาใด
1) 5 m 2) 10 m 3) 15 m 4) 20 m
4. ชายคนหนึ่งยืนอยูบนพื้นสนามราบ เขาขวางลูกบอลขึ้นไปในอากาศ ลูกบอลลอยอยูในอากาศนาน 4.0 วินาที
โดยไมคิดแรงตานของอากาศ ถาลูกบอลไปไดไกลในแนวระดับ 60.0 เมตร ความเร็วที่ใชขวางลูกบอลมีคา
เทาใด
1) 15.0 เมตรตอวินาที 2) 20.0 เมตรตอวินาที
3) 25.0 เมตรตอวินาที 4) 30.0 เมตรตอวินาที
5. ชายคนหนึ่งโยนลูกบอลจากยอดพื้นเอียงดวยความเร็ว 20 เมตรตอวินาที เอียงทํามุม 30 องศากับแนวระดับ
ถาพื้นเอียงนั้นเอียงลง 30 องศาจากแนวระดับเชนกัน จะใชเวลาเทาใดลูกบอลจึงจะตกกระทบพื้นเอียงนับ
จากเริ่มโยน
1) 2.0 วินาที 2) 2.6 วินาที 3) 3.5 วินาที 4) 4.0 วินาที
0.8 m
2.0 m
ตัวอยางขอสอบ
1. รถเข็นมวล 100 กิโลกรัม เดิมอยูนิ่ง ถูกแรงในแนวระดับขนาด 50 นิวตัน ผลักใหเคลื่อนที่ไปบนพื้นราบ
ถาแรงเสียดทานที่กระทําตอรถทั้งหมดเทากับ 30 นิวตัน ถามวาถาแรงกระทําเปนเวลา 12 วินาที จะทําให
รถเข็นมีความเร็วเทาใด
1) 2.4 m/s 2) 7.2 m/s 3) 9.6 m/s 4) 14.4 m/s
2. แรง 5 นิวตัน และ 12 นิวตัน ในระนาบระดับ มีทิศ
5N
ตั้งฉากกันกระทําตอมวล 10 กิโลกรัมบนพื้นระดับลื่น
90° จงหาขนาดของความเรงของมวลนี้
1) 0.7 m/s2
10 kg 12 N
2) 1.2 m/s2
3) 1.3 m/s2
4) 1.7 m/s2
“แรงซาย = แรงขวา”
สมดุลตอการหมุน
ในเรื่องสมดุล ในเรื่องนี้นอกจากสมดุลตอการเคลื่อนที่แลวยังมีสมดุลตอการหมุนดวย การหมุนนั้นจะเกิด
ตอเมื่อมีแรงกระทําตอวัตถุในแนวที่ไมผานจุดตรึง หรือที่เรียกวา จุดหมุน แรงนี้จะทําใหเกิด ปริมาณหนึ่งขึ้น มีชื่อ
เรียกวา ทอรก (Torque) โดยนิยาม ทอรก ไดแก ผลคูณของแรงในแนวตั้งฉากกับรัศมีของแกนหมุน คูณกับ
ระยะหางจากแกนหมุนของจุดที่แรงกระทํา
จุดหมุน
R F sin θ
θ
F
F cos θ
ดังนั้น ทอรกจะมีขนาดเทากับ
| vτ | = RF sin θ
ทั้งนี้ทอรกจะทําใหเกิดการหมุนในสองทิศทาง บางครั้งจึงเรียกทอรกวา โมเมนต (Moment) โดย
กําหนดใหมีทิศตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกา ในสภาพสมดุล เราสรุปไดวา ทอรกลัพธของระบบเทากับศูนย
v
Στ = θ
หรือ
ผลรวมของโมเมนตทวนเข็ม = ผลรวมของโมเมนตตามเข็ม
m
3. คานสม่ําเสมอหนัก W วางพิงกําแพงลื่นและพื้นลื่นดังรูป ถามีเชือกในแนวระดับดึงรั้งระหวางกําแพงกับ
จุดศูนยกลางมวลของคานเพื่อไมใหคานลม เชือกนี้มีความตึงเทาใด
กําแพงลื่น
1) W
g 3
T 2) 3 W
เชือก
3) 2 W
พื้นระดับลื่น 30° 4) W
2
4. ชายคนหนึ่งถือแผนไมขนาดสม่ําเสมอยาว 2 เมตรน้ําหนัก 100 นิวตัน ใหสมดุลตามแนวระดับโดยมือขาง
หนึ่งยกแผนไมขึ้นที่ตําแหนง 40 เซนติเมตร จากปลายใกลตัวและมืออีกขางหนึง่ กดแผนไมลงที่ปลาย
เดียวกันนั้น จงคํานวณหาแรงกดและแรงยกจากมือทั้งสอง ตามลําดับ ที่ทําใหแผนไมอยูนิ่งได
1) 120 และ 220 นิวตัน 2) 130 และ 230 นิวตัน
3) 140 และ 240 นิวตัน 4) 150 และ 250 นิวตัน
5. ชายคนหนึ่งหนัก 500 นิวตัน กําลังขึ้นบันไดสม่ําเสมอยาว 5.0 เมตร และหนัก 100 นิวตัน ถาบันไดพาดอยู
กับผนังลื่นโดยปลายบันไดบนพื้นอยูหางจากผนัง 3.0 เมตร และสัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหวางพื้นกับ
บันไดเทากับ 0.5 ชายคนนี้จะขึ้นบันไดไปไดระยะกี่เมตรกอนที่บันไดจะไถล
ระยะทาง (เมตร)
X
“งาน คือ พื้นที่ใตกราฟของแรงกับระยะทาง”
f = kX
(Newton)
kx
Force
X x (m)
ถาสปริงยืดจากจุดสมดุลถึงระยะยืด x งานสามารถหาไดจากพื้นที่ใตกราฟ
งาน = พื้นที่ใตกราฟ
= 12 × ฐาน × สูง
W = 12 kx2
กําลัง
กําลังโดยความหมายหมายถึง อัตราการทํางาน คือทํางานไดมากพียงใดในเวลาที่กําหนด โดยหลักการแลว
กําลัง หมายถึง งานที่ทําหารดวยเวลาที่ใช
ถา P แทนกําลัง ในหนวยจูลตอวินาที หรือวัตต (Watt)
และ W แทนงานในหนวยจูล
และ t แทนเวลาในหนวยวินาที
เราสามารถเขียนความสัมพันธไดวา
P = Wt
ตัวอยางขอสอบ
1. กราฟของแรงกับตําแหนงของวัตถุเปนดังรูป จงหางานที่ระยะ 10 เมตร
50
(Newton)
40
30
20
10
F
00 5 10 15
X (m)
0 0 2 4 6 8 10
S (m)
F = kX
ของระยะยื ด เป น x โดยหาพื้ น ที่ ใ ต ก ราฟ งานนี้
เรี ย กอี ก อย า งหนึ่ ง ว า พลั ง งานศั ก ย ยื ด หยุ น
(Elastic Potential Energy) คาพลังงานศักย-
ยืดหยุนมีคา
Force
ตัวอยางขอสอบ
1. รถทดลองมวล 0.5 กิโลกรัม วิ่งดวยอัตราเร็ว 2.0 เมตรตอวินาทีบนพื้นราบ เขาชนสปริงอันหนึ่งซึ่ง มีปลาย
ขางหนึ่งยึดติดกับผนังและมีคาคงตัวสปริง 200 นิวตันตอเมตร สปริงจะหดตัวเทาใด ในจังหวะที่มวลลด
อัตราเร็วลงเปนศูนยพอดี
5. ชายคนหนึ่งกําลังวิ่งอยูปรากฏวาพลังงานจลนของเขาเทากับครึ่งหนึ่งของเด็กซึ่งกําลังวิ่งอยู เด็กคนนี้มีมวล
ครึ่งหนึ่งของเขา ถาชายคนนี้เพิ่มอัตราเร็วขึ้นอีก 1 เมตรตอวินาที ปรากฏวาเขามีพลังงานจลนเทากับ
พลังงานจลนของเด็กพอดี จงหาอัตราเร็วของเด็ก
จากกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน
F = ma = m(vt- u)
F = mv -t mu
เราสามารถนิยาม โมเมนตัม p = mv
แรง คือ อัตราการเปลี่ยนโมเมนตัม
การดล คือ การเปลี่ยนโมเมนตัม มีคาเทากับ แรงเฉลี่ย คูณดวยเวลาที่วัตถุรับแรง
∆p = mv - mu
= Favg × t
เมื่อนําแรงมาพลอตเปนกราฟกับเวลา เราจะไดวา พื้นที่ใตกราฟระหวาง แรงกับเวลา ไดแก โมเมนตัมที่
เปลี่ยนไป หรือการดลนั่นเอง
แรง (นิวตัน)
การเปลี่ยน
โมเมนตัม
เวลา (วินาที)
กอนชน หลังชน
40
30
20
10
00 0.1 0.2 0.3 0.4 0.5
เวลา (วินาที)
v
R
o ac
สนามแมเหล็กจากขั้วแมเหล็กตางขั้วกัน สนามแมเหล็กจากแมเหล็กเหมือนกัน
y หนวยของสนามแมเหล็กเปน “เทสลา” (T)
y 1 เทสลา = 1 เวเบอร/ตารางเมตร = 1 นิวตัน/แอมแปร ⋅ เมตร
y 1 เกาส (Gauss) = 10-4 เทสลา
y แมเหล็กทั่วไปจะมีความเขมสนามประมาณ 25000 G หรือ 2.5 T
y สนามแมเหล็กโลกขนาดประมาณ 0.5 G
N S
เข็มทิศ
N S
4) S N
N S
1) 2) 3)
S N
การเคลื่อนที่ของประจุไฟฟาในสนามแมเหล็ก
เมื่อประจุไฟฟาเคลื่อนที่เขาในสนามแมเหล็กมันจะเบี่ยงเบนเปนสวนโคงของวงกลม
แรงแมเหล็กบนประจุไฟฟาเคลื่อนที่
พบวาแรงแมเหล็กจะเกิดขึ้นตอประจุไฟฟาที่เคลื่อนที่เทานั้นและมีทิศทางตั้งฉากกับ
ทั้งความเร็วและสนามแมเหล็ก เปนไปตามกฎมือขวาดังสมการ
F = qV × B
การใชกฎมือขวา
1. หันมือขวาใหปลายนิ้วทั้ง 4 ชี้ไปในทิศเดียวกับความเร็ว
2. กํามือโดยใหหมุนเขาหาทิศของสนามแมเหล็ก
3. ถาทิศของสนามแมเหล็กชี้ไปดานหลังมือใหพลิกมือกลับ
4. นิ้วโปงจะชี้ทิศของแรงตอประจุบวก
5. ประจุลบแรงจะกลับทิศ
1) เคลื่อนที่ไปทางเดียวกันในทิศทางตามเสนสนามไฟฟา
2) เคลื่อนที่ไปทางเดียวกันในทิศทางตรงขามกับเสนสนามไฟฟา
3) เคลื่อนที่ในทิศตรงขามกันโดยอนุภาค P ไปทางเดียวกับสนามไฟฟา
4) เคลื่อนที่ในทิศตรงขามกันโดยอนุภาค Q ไปทางเดียวกับสนามไฟฟา
2. อนุภาคโปรตอนเคลื่อนที่เขาไปในทิศขนานกับสนามแมเหล็ก ซึ่งมีทิศพุงเขากระดาษแนวการเคลื่อนที่ของ
อนุภาคโปรตอนจะเปนอยางไร
1) วิ่งตอไปเปนเสนตรงดวยความเร็วคงตัว 2) เบนไปทางขวา
3) เบนไปทางซาย 4) วิ่งตอไปเปนเสนตรงและถอยหลังกลับในที่สุด
3. อนุภาคแอลฟา อนุภาคบีตา รังสีแกมมา เมื่อเคลื่อนที่ในสนามแมเหล็ก ขอใดไมเกิดการเบน
1) อนุภาคแอลฟา 2) อนุภาคบีตา
3) รังสีแกมมา 4) อนุภาคแอลฟาและอนุภาคบีตา
4. วางลวดไวในสนามแมเหล็กดังรูป เมื่อใหกระแสไฟฟาเขาไปในเสนลวดตัวนําจะเกิดแรงเนื่องจากสนามแมเหล็ก
กระทําตอลวดนี้ในทิศทางใด
N S
I
ถาความเร็วมีทิศตัง้ ฉากกับสนามแมเหล็ก
ประจุจะเคลื่อนที่เปนวงกลม
รัศมีความโคง R = mv qB
ความถี่การหมุน f = 2qB πm มีชื่อเรียกวา cyclotron frequency
ถาความเร็วไมตั้งฉากกับสนามแมเหล็ก
mv
ประจุจะเคลื่อนที่เปนเกลียว (spiral) โดยมีรัศมีของเกลียว R = qB⊥ และประจุจะเคลื่อนที่ตามแนว
สนามแมเหล็ก ดวยอัตราเร็ว v //
ขอสังเกต ถามองเขาหาตามแนวสนามแมเหล็ก ประจุบวกจะวนในทิศทวนเข็มนาฬิกา ขณะที่ประจุลบจะวนในทิศ
ตามเข็มนาฬิกาแสมอ
ตัวอยาง
1. ถาอนุภาคไฟฟาบวกมีขนาดประจุเทากัน มวลไมเทากัน เคลื่อนที่เขาสูสนามแมเหล็กในแนวตั้งฉากดวย
ความเร็วเทากัน แลวประจุตางเคลื่อนที่วิถีเปนวงกลม ขอใดตอไปนี้ทถี่ ูกตอง
1) รัศมีของการเคลื่อนที่ไมเทากัน
2) อัตราเร็วเชิงมุมของอนุภาคที่มีมวลมากจะมีคามากกวาของอนุภาคที่มีมวลนอย
3) แมเหล็กที่กระทําตอแตละอนุภาคมีคาเทากัน
4) พลังงานจลนของอนุภาคทั้งสองขณะวิ่งโคงเทากัน
2. อิเล็กตรอนมวล m กิโลกรัม ประจุ e คูลอมบ เคลื่อนที่ดว ยอัตราเร็วคงตัว v เมตรตอวินาที เขาไปในบริเวณ
สนามแมเหล็กสม่ําเสมอ ขนาด B เทสลา ในทิศที่ตั้งฉากกับการเคลื่อนที่ ทําใหเกิดการเคลื่อนที่เปนวงกลม
อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่ไดกี่รอบตอวินาทีในสนามแมเหล็กนั้น
5. อิเล็กตรอนและโปรตอนที่มีพลังงานจลนเทากันและเขาไปในสนามแมเหล็กเดียวกัน รัศมีความโคงของการ
เคลื่อนที่ของโปรตอนจะเปนกี่เทาของอิเล็กตรอน
เปนเครื่องแยกประจุไฟฟาที่มีมวลตางกันออกจากกัน โดยการเรงประจุไฟฟาใหเคลื่อนที่เขาสูสนามแมเหล็ก
โดยมีอัตราเร็วเทากัน หรือมีพลังงานเทากัน เมื่อเขาสูสนามแมเหล็กประจุก็จะเคลื่อนเปนวงกลมโดยมีรัศมีมาก
นอยตามแตอัตราสวนประจุตอมวลของประจุ โดยที่ระยะที่ไปกระทบ x = 2R
กรณีประจุมีความเร็วเทากัน
x = 2R
x = 2 mv
qB
X ∝ qm
สนามแมเหล็กจากกระแสไฟฟา (แมเหล็กไฟฟา)
y ป พ.ศ. 2362 (ค.ศ. 1819) Hans Oersted ขณะที่กําลังทําการสาธิตเรื่องกระแสไฟฟา สังเกตเห็นวา
เมื่อผานกระแสไฟฟาในเสนลวด สามารถทําใหเข็มทิศเปลี่ยนทิศได
y ตอมา Andre’ Ampère เสนอกฎเกณฑแสดงความสัมพันธระหวางแรงแมเหล็กระหวางเสนลวดที่มี
กระแสไหล
y ในทศวรรษ 1820 ฟาราเดยและเฮนรี แสดงวากระแสไฟฟาสามารถเกิดขึ้นไดจากการเปลี่ยนแปลง
สนามแมเหล็ก ซึ่งนําไปสูการผลิตกระแสไฟฟาจากเครื่องกําเนิดไฟฟาในเวลาตอมา
µ0 ∝ 4π × 10-7 T / mA
µ0 ∝ 1.26 × 10-6 T / mA
1) ปลายเหนือของ A จะเบนไปทางตะวันตก
2) ปลายเหนือของ B จะเบนไปทางตะวันออก
3) ปลายเหนือของ C ยังคงชี้ไปยังทิศเหนือดังเดิม
P I ออก
1) 135° 2) 45°
P P
P
3) P 45° 4) 135°
แรงระหวางลวดตัวนําที่มีกระแสไฟฟา
ตัวอยาง นักเรียนคนหนึ่งทําการทดลองเรื่องแรงระหวางลวดตัวนําสองเสนที่มีกระแสไฟฟาไหลผานและขนานกัน
ครั้งที่ 1 เขาจายใหกระแสไฟฟาไหลผานลวดทั้งสองในทิศทางตรงกันขาม ครั้งที่ 2 เขาจายใหกระแสไฟฟาที่ผาน
ลวดทั้งสองมีทิศไปทางเดียวกัน ขอใดตอไปนี้ถูกตองเกี่ยวกับแรงระหวางลวดทั้งสองสําหรับการทดลองครั้งที่ 1
และครั้งที่ 2 ตามลําดับ
1) แรงดูดและแรงผลัก
2) แรงดูดทั้งสองกรณี
3) แรงผลักทั้งสองกรณี
4) แรงผลักและแรงดูด
ฟลักซแมเหล็ก
ฟลักซแมเหล็ก คือ ผลคูณระหวางพื้นที่กับสนามแมเหล็กที่ผานพื้นที่ในแนวตั้งฉาก
1) 1.0 Wb
2) 0.8 Wb
3) 0.6 Wb
30° 4) 0.4 Wb
r
B
กฎของเลนซ
กระแสไฟฟาเหนี่ยวนําจะเกิดขึ้นในทิศทางที่จะสรางสนามแมเหล็กตานความเปลี่ยนแปลงของสนามแมเหล็ก
ภายนอก
1) ก., ข. และ ค.
2) ก. และ ข.
3) ค. เทานั้น
4) คําตอบเปนอยางอื่น
A B
S
+- R P Q
1) ไมมีกระแสไหล
2) กระแสไฟฟาไหลในทิศ R → P → Q
3) กระแสไฟฟาไหลในทิศ Q → P → R
4) กระแสไฟฟาไหลในทิศ R → P → Q แลวกลับทิศเปน Q → P → R
รูป ก. รูป ข.
1) B B 2) B B
e E e E
3) B B 4) B B
e E e E
∆Φ
ε = -N ∆t B
เมื่อมีลวดตรงยาวเคลื่อนที่ผานสนามแมเหล็กดวยอัตราเร็ว v แรงไฟฟาจะทําใหปลายทั้งสองมีความตางศักย
เทากับ
∆Φ
ε = - ∆t B โวลต
ε = BLv
ตัวอยาง เครื่องบินซึ่งกําลังบินในแนวระดับมุงหนาทางทิศเหนือในสนามแมเหล็กโลกจะถูกเหนี่ยวนําใหเกิด
แรงเคลื่อนไฟฟาระหวางปลายปกซายกับขวามีคาเทาใด กําหนดใหสนามแมเหล็กโลกในแนวดิ่งตรงตําแหนง
เครื่องบินมีคา B เครื่องบินบินดวยอัตราเร็ว v และระยะจากปลายปกซายไปถึงปลายปกขวาเทากับ D
โดยที่อัตราการเปลี่ยนฟลักซแมเหล็กในขดลวดปฐมภูมิเทากับอัตราการเปลี่ยนฟลักซแมเหล็กในขดลวดทุติยภูมิ
ε1 ∆Φ B ε
N1 = ∆t = N2
2
หรือ
ε1 N
ε2 = N1
2
6. หมอแปลงมีแกนเหล็กเพื่อใหฟลักซแมเหล็กผานจากขดลวดปฐมภูมิไปยังขดลวดทุติยภูมิ ขอใดตอไปนี้ถูกตอง
1) แกนเหล็กมีสมบัตเิ ปนเหล็กออน
2) แกนเหล็กมีสมบัตเิ ปนสารแมเหล็กถาวร
3) หมอแปลงที่มีประสิทธิภาพดี ตองมีกระแสวนในแกนเหล็กมาก
4) หมอแปลงที่มีประสิทธิภาพดี ตองมีกระแสวนในแกนเหล็กนอย
องคประกอบของคลื่นแมเหล็กไฟฟา
องคประกอบของคลื่นแมเหล็กไฟฟาประกอบดวยสนามแมเหล็ก และสนามไฟฟาในทิศทางที่ตั้งฉากกันที่
สําคัญอัตราสวนระหวางสนามแมเหล็กและสนามไฟฟาจะเทากับอัตราเร็วของแสงในตัวกลางนั้น
electric
field
magnetic
field
propa
ga tion
c = E
B
I R +q
V C -q
1) I2R q2
2) 2C q2
3) I2R + 2C 4) IR + Cq I
3. กระแสไฟฟา I มีคาเทาใด
หลอดไฟ I 5W 6V
15 W 12 V
12 V 5W 6V
B 3 µF
1) 2 × 10-6 J 2) 3 × 10-6 J 3) 4 × 10-6 J 4) 6 × 10-6 J
2. ทรงกลมตัวนํารัศมี 10 เซนติเมตร มีประจุ 1 ไมโครคูลอมบ ศักยไฟฟาที่ระยะ 5 เซนติเมตรจากจุด
ศูนยกลางภายในทรงกลมเปนเทาใด
1) 0 V 2) 9 × 103 V
3) 9 × 104 V 4) 1.8 × 105 V
3. จํานวนขดลวดปฐมภูมิและทุติยภูมิของหมอแปลงไฟฟาเทากับ 200 รอบ และ 20 รอบ ตามลําดับ
หมอแปลงนี้ใชกับไฟบาน 220 โวลต ถาขดลวดทุติยภูมิตอกับความตานทาน 10 โอหม ถามวากําลัง
ความรอนที่เกิดขึ้นที่ความตานทานนี้เปนเทาใด ถาไมมีการสูญเสียพลังงานในหมอแปลงเลย
1) 4840 W 2) 220 W 3) 48.4 W 4) 22.0 W
งาน
V
V1 V2
ตัวอยาง
1. ใหพลังงานความรอน 30000 จูลแกน้ําแข็งมวล 50 กรัม อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ผลลัพธจะเปนอยางไร
ถากําหนดใหความรอนแฝงจําเพาะของการหลอมเหลวของน้ําแข็งเทากับ 333 จูลตอกรัม และความจุ
ความรอนจําเพาะของน้ําเทากับ 4.2 จูลตอกรัม ⋅ องศาเซลเซียส
1) ไดน้ํารอนอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส 2) ไดน้ํารอนอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส
3) ไดน้ําเย็นอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส 4) ไดน้ําเย็นผสมน้ําแข็งอุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส
2. แกสอุดมคติในกระบอกสูบเดิมมีอุณหภูมิ 293 เคลวิน มวล 15 1 โมล ถาแกสนี้รับความรอน 75 จูล และ
ขยายตัว สุดทายอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเปน 343 เคลวิน ถามวาในการนี้แกสทํางานเทาใด
1) 34 J 2) 47 J
ความรอน 3) 72 J 4) 117 J
A
5 × 105
2 × 105 C
B
ปริมาตร (m3)
0.2 0.4