Professional Documents
Culture Documents
Overview of Drug Discovery and Design
Overview of Drug Discovery and Design
เราจึงสงสัยว่าทำไมมันจึงเกิดเหตุการณ์แบบข้างบน เมื่อดูจากการทำยาใหม่ๆจะเห็นว่าจากการที่โรคในปัจจุบันมีความ
สลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ และยาใหม่ๆก็มักจะทำเป็นยาโมเลกุลใหญ่ จึงอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้มียาที่ถูกขึ้นทะเบียนลดลง
ในการพัฒนายาหนึ่งตัวตั้งแต่เริ่มจนยาออกสู่ตลาดจะใช้เวลาประมาณ 10 – 15 ปี ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็สูง หากดู
ปริมาณจำนวนสารที่ยังเหลืออยู่ในแต่ละขั้นตอนของการพัฒนายา จะพบว่าเริ่มต้นที่ขั้น Drug discovery จะมีจำนวนสารที่
นำมาพัฒนา 5,000 – 10,000 ตัว แต่เมื่อทำการพัฒนาไปเรื่อยๆ ผ่านขั้นตอนต่อๆไปมากขึ้น จำนวนสารที่ยังไปต่อได้ก็เริ่ม
น้อยลงๆ
Drug Discovery, Design and Development (4D) กิ่ง 090 หมวย 103 3
Midterm ครั้งที่ 1 : An Overview of Drug Discovery and Design (16/08/60)
สิ่งที่น่าสนใจคือ จากสาร 10,000 ตัว หากพัฒนาต่อไปจนเหลือใช้เป็นยาได้อยู่ 1 ตัว แล้วถ้าเราสังเคราะห์เพิ่มมากขึ้น
อีก เช่น ให้ได้สารมาเป็นแสนตัว ที่จริงมันก็ยังไม่จำเป็นเสมอไปว่าเราจะได้ยาเพิ่มขึ้นอีก เพราะขึ้นอยู่ว่าสารแสนตัวนั้นมันมี
ความหลากหลายมากขนาดไหน หากแสนตัวที่ได้มามีความคล้ายกันหมด หากเจอว่าสารหนึ่งในนั้นไม่มีฤทธิ์ มันก็อาจจะไม่มี
ฤทธิ์ทั้งกลุ่มเลยก็ได้ แต่ถ้ามีความหลากหลายมาก ก็ช่วยเพิ่มโอกาสที่จะได้สารมีฤทธิ์มาทำเป็นยาได้ ดังนั้นในการสังเคราะห์สาร
ความหลากหลายจึงสำคัญ โดยเราก็ต้องมาคิดอีกว่าจะสังเคราะห์ยังไงให้มันหลากหลาย
ความล้มเหลวในการพัฒนาสารหนึ่งๆ มักเจอตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นจนถึงการทำ preclinical study โดยปัญหาส่วนใหญ่ที่
ทำให้ไม่สามารถพัฒนาสารนั้นๆเป็นยาต่อได้เกิดจากคุณสมบัติทาง pharmacokinetic ของสารนั้นๆ เนื่องจากในช่วงแรก
ของการพัฒนา เรามักทดสอบสารผ่าน cell จึงยังไม่เจอปัญหาอะไร พอศึกษามาจนถึงขั้น preclinical study ที่เริ่มทำใน
สัตว์ทดลอง เราจึงเริ่มเจอปัญหาพวกการดูดซึมต่างๆ จึงต้องหยุดพัฒนาสารนั้นๆต่อ ส่วนการพัฒนาจาก preclinical ไปจนถึง
clinical ก็ยังพบว่าจำนวนสารที่ไปต่อได้ลดลงไปเกือบ 50 เท่า เนื่องจากมีปัญหาว่าสารนั้นยังใช้ในคนไม่ได้ เนื่องจากความ
แตกต่างทางสรีระระหว่างในสัตว์กับในคน แม้สารจะใช้ในสัตว์ได้ แต่ก็อาจจะใช้ในคนไม่ได้ เช่น หนูมี CYP isoform ที่ไม่
เหมือนกับคน ดังนั้นเราจะต้องมี model ที่ดีในการ extrapolate จากผลการทดลองของสัตว์ให้ใช้กับในคนได้
ในการพัฒนายา จะสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ยาโมเลกุลเล็ก และยาโมเลกุลใหญ่ ซึ่งทั้งสองกลุ่มก็มีความ
แตกต่างหรือความยากในการพัฒนาที่ไม่เหมือนกัน (โดยครั้งนี้เราจะเน้นที่ยาโมเลกุลเล็ก)
เป็นการสังเคราะห์สารอย่างมีเหตุมีผล เนื่องจากเรามี
เป้าหมายยาที่ต้องการชัดเจน จึงมีหลักการและเหตุผล
ในการหาสารที่จะมาออกฤทธิ์ตรงเป้าหมายที่เรา
ต้องการ (ซึ่งคาบนี้เราก็จะมาโฟกัสที่เรื่องนี้กัน)
Drug Discovery, Design and Development (4D) กิ่ง 090 หมวย 103 4
Midterm ครั้งที่ 1 : An Overview of Drug Discovery and Design (16/08/60)
Creation of a new drug
Drug target discovery -> Target identification & validation เกี่ยวกับการเลือก drug target
2. Systems approach
Target identification: ดูเป็นระบบเลย คือดูที่ตัวคนไข้หรือสัตว์ทดลอง แล้วจึงมาหาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร
Target validation: ในสัตว์ทดลองจะใช้การ Knockout gene ออกไป เช่น ถ้าเรานำสัตว์ทดลองมา Knockout gene ของ
DPP4 ออกไป มันก็จะไม่ express gene ของ DPP4 ออกมา เราก็จะได้ model สัตว์ทดลองที่ไม่มี DPP4 เหมือนการที่
สัตว์ทดลองได้รับยา DPP4 inhibitor
รูปหน้าที่แล้วเดี๋ยวเราจะได้เรียนกันในครั้งต่อไป คร่าวๆคือสิ่งที่เราจะใช้ในการหาเป้าหมายยาได้จะเป็นพวก
Genomics จะเป็นระดับยีน ซึ่งดูกันที่ DNA จากนั้นมันก็จะค่อยๆเกิดการ Transcriptomics เพื่อที่จะเป็นโปรตีน ส่วน
Metabolomics ก็จะเกี่ยวข้องกับการเกิด Metabolism ก็คือมันจะมีชื่อที่บอกที่มาที่ไปของแต่ละอัน
รูปนี้แค่เอามาให้ดูว่ามันใช้วิธีไหนได้บ้าง ให้เห็นภาพรวมเฉยๆ
หลังจากเราได้เป้าหมายยาแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ รู้ว่าสารที่จะออกฤทธิ์ที่เป้าหมายยาเรามันเป็นอะไรได้บ้าง
Drug Discovery, Design and Development (4D) กิ่ง 090 หมวย 103 8
Midterm ครั้งที่ 1 : An Overview of Drug Discovery and Design (16/08/60)
Hit & lead identification
Hit compound ตาม definition หมายความว่าเป็น Primary active compound หรือเป็นสารตัวแรกๆที่เรารู้ว่ามัน
active โดยสารมันจะจับกับเป้าหมายเราได้จริง ไม่ใช่การจับแบบ random ถ้าเราเรียกสารว่า Hit compound ส่วนใหญ่
สารนั้นจะมาจากการ screen ว่ามันมีฤทธิ์ แล้วได้ threshold เกินกว่าค่าที่เราตั้งไว้
Lead compound คือ สารที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา แต่ฤทธิ์อาจจะยังไม่ได้ดีมาก ต้องมีการปรับปรุงพัฒนาโครงสร้าง
ต่อไป โดยตัว Lead compound นี้มีที่มาได้หลายอย่าง เช่น มาจากการ search literature แล้วเจอว่ามันมีฤทธิ์ หรืออาจจะ
ผ่าน screen มาก็ได้เหมือนกัน
จะเห็นว่านิยามของสองคำนี้มีนคล้ายๆกัน บางคนเลยเรียกรวมไปเลยว่า Hit to lead compound แต่ก็เน้นว่า Hit คือ
จะผ่านการ screen มา ส่วน lead นี่คือยังไงก็ได้ ไม่เจาะจงเท่า Hit แต่คือทั้งสองคำนี้มันหมายถึงสารที่มีฤทธิ์นะ
Hit identification
การ screen จะแบ่งได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่ Binding assay และ Functional assay
Binding assay คือจะดูการจับของสารกับเป้าหมายยาที่เราสนใจ ถ้าเราวัด response ได้ เราก็จะรู้ว่ามันจับได้ดีหรือไม่ดี
Functional assay คือดูว่าเมื่อสารจับแล้วเข้าไปในเซลล์ได้แล้ว มันก็ควรจะมีสัญญาณต่างๆเกิดขึ้น เช่น receptor ที่เป็น
ionotropic ก็คือจะมีไอออนผ่านเข้าเซลล์ ถ้าเราวัดไอออนที่ผ่านเข้าเซลล์ได้ เราก็จะรู้ได้ว่าสารมันมี response ต่อเซลล์ยังไง
บ้าง เน้นดู response ที่เกิดขึ้นในเซลล์เป็นหลัก
ในการ screen สาร ถ้ามันมีสารเยอะมาก (เหมือนที่บอกไปตอนแรกๆว่าเราเริ่มทำที่สารจำนวน 5 พันถึง 1 หมื่นสาร
เลย) ดังนั้นในการ screen เราจำเป็นจะต้อง screen สารครั้งละมากๆได้
Source
- High throughput screening (HTS) นิยมใช้อันนี้ ตอนนี้ที่คณะวิทย์ม.เรามีเครื่อง Excellent Center เป็น robot เอาไว้
screen แบบ HTS ได้
- อาจจะใช้ Computer modeling มาช่วย screen สารที่น่าจะจับกับ receptor อันนั้นออกมา
หลักการของ Hit identification คือ ต้องการสารที่เป็น right compound นอกจากสารจะจับเป้าหมายได้แล้ว ยังต้อง
เป็นสารที่ใช่ เพื่อที่จะได้พัฒนาต่อไปได้ด้วย
Lead identification
จากรูปคือ เมื่อได้ Hit มาแล้ว จะถูกเปลี่ยนมาเป็น Lead ซึ่งก็ยังต้องการการ optimize ต่อไป แต่อย่างที่บอกไปเมื่อกี้
ว่าบาง textbook ก็จะเรียกรวมว่าเป็น Hit to lead identification เลย ไม่ได้แยกย่อย
ใช้รูปประกอบเป็นรูปเดิมว่าเพื่อบอกว่ายังไงมันก็ยังคงต้องถูกพัฒนาต่อไป โดนการพัฒนาข้ามผ่านพวกนี้ไป เรียกว่า
เป็นการ optimization
Drug Discovery, Design and Development (4D) กิ่ง 090 หมวย 103 10
Midterm ครั้งที่ 1 : An Overview of Drug Discovery and Design (16/08/60)
ในการ identified เราอาจจะใช้
- Molecular modeling/ virtual screening แบ่งเป็น
Target based virtual screening รู้เป้าหมายยาที่แน่นอนแล้ว โดยอาจทำ docking ก็ได้
Ligand based virtual screening เรายังไม่มีโครงสร้างสามมิติของเป้าหมายยานั้นๆเลย ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือหา
pharmacophore ของมัน หรือทำ QSAR
- Combinatorial chemistry
เป็นวิธีที่ทำให้ได้สารทีละมากๆ โดยการสังเคราะห์สารของวิธีนี้จะมีความเป็นระบบระเบียบมากกว่าการสังเคราะห์ปกติ
เพราะสารเหล่านี้จะมี building blocks เช่น ถ้ามี A B C D E เค้าก็จะนำทุกตัวมา cross กัน ทำให้ได้สารจำนวนค่อนข้างมาก
และครบในการเปลี่ยนแปลงทุกหมู่ฟังก์ชั่น
ถ้าเปรียบเทียบกับแบบ random ก็จะเห็นว่าแบบ Combinatorial มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอย่างเป็นระบบ
มากกว่า จึงทำให้ได้สารจำนวนมากกว่า แต่มันก็มีข้อเสียคือ หาก building blocks เราไม่ดี ก็อาจทำให้สารทุกตัวใน library ไม่
มี drug like property ไปเลยก็ได้ ความสามารถในการเป็นยาของทั้ง library อาจจะแย่มากไปเลย เช่น สังเคราะห์มาหมื่นสาร
อาจจะใช้ได้จริงแค่ 10 สาร ก็คือได้แต่ mass ออกมา
สไลด์นี้เราไม่ใช้นะ เพราะเนื้อหามันเป็นของพวก
โมเลกุลใหญ่ ไม่ค่อยได้ใช้ในสารโมเลกุลเล็กที่เราเน้น
เรียนกันคาบนี้
Drug Discovery, Design and Development (4D) กิ่ง 090 หมวย 103 11
Midterm ครั้งที่ 1 : An Overview of Drug Discovery and Design (16/08/60)
Hit-to-lead approaches
Fragment expansion
นำตัวที่ตัดมาได้ไปต่อกับตัวอื่น
Fragment linking/merging
นำตัวที่ตัดมาได้มา link กันเอง
สิ่งที่เราต้องการ
- ปรับปรุงความแรงให้เพิ่มขึ้น
- ปรับปรุงความเฉพาะเจาะจงให้เพิ่มขึ้น
- ปรับปรุง metabolic stability ให้
เพิ่มขึ้น
รูปนี้จะเป็นภาพรวมของทั้ง drug discovery process ในส่วนแรก (Drug discovery phase) เราจะเห็นว่า จากที่เรา
ได้ target มาแล้ว เราก็จะต้องทำการ screen สารที่เตรียมไว้เป็น library ซึ่งในขั้นตอนนี้เราอาจจะใช้เทคนิคทางคอมพิวเตอร์
มาช่วยในการ screen สารให้เหลือลดลงก่อนก็ได้เช่นกัน ก่อนที่เอาไปทดสอบในเซลล์ต่างๆ เมื่อเราได้สารที่มาเป็น Lead
compound มาแล้ว เราก็ยังคงต้องพัฒนาหรือ optimize สารต่อไป โดยเรา optimize เพื่อแก้ไขปัญหา DMPK ความแรง
ความเฉพะเจาะจง เพื่อให้ได้สารที่เป็น drug candidate จะได้เข้าสู่การทดลอง preclinical หรืออื่นๆต่อไป
Drug Discovery, Design and Development (4D) กิ่ง 090 หมวย 103 15
Midterm ครั้งที่ 1 : An Overview of Drug Discovery and Design (16/08/60)
Drug Development
ขั้นตอนตอนไป คือ Drug Development มี 3 ขั้นตอน
- Preclinical development
- Clinical development
- Regulatory
ขั้นตอนการขึ้นทะเบียน
- เก็บข้อมูลต่างๆเพื่อประกอบการขึ้นทะเบียน ได้แก่ ข้อมูลด้านคุณภาพ
ข้อมูลความปลอดภัย ข้อมูลประสิทธิภาพ
การพัฒนายาโมเลกุลใหญ่
- เช่น GLP1 , ฮอร์โมน
- มักเป็นสารธรรมชาติในร่างกายเรา จึงไม่ต้องหา target
identification and validation, ไม่ต้องหา lead finding and
optimization
- ข้อจำกัด คือ เป็นรูปร่าง 3 มิติ เป็น primary secondeary, tertiary
หากเปลี่ยนแปลงอะมิโนแอซิดตัวเดียวอาจผลต่อการออกฤทธิ์และ
คุณสมบัติเปลี่ยนแปลง จึงทำให้การพัฒนาโครงสร้างยาก
- ข้อดี ลดขั้นตอนการหา lead compound มีความพิษน้อย ไม่ค่อยเกิด
reactive metabolites เพราะเป็นสารในร่างกายเรา เป็น peptide ถูก
metabolize ง่าย
- ปัญหา ต้องดูเรื่อง Yield, consistency, quality control, unstable
หากเปลี่ยนวิธีผลิตอาจได้สารหน้าตาเปลี่ยนไป คิวซีจึงต้องตรวจสอบ
Drug Discovery, Design and Development (4D) กิ่ง 090 หมวย 103 17
Midterm ครั้งที่ 1 : An Overview of Drug Discovery and Design (16/08/60)
Case study
ตัวอย่าง Januvia (sitagliptin) เป็น DPP-4 Inhibtor ช่วยเพิ่มระดับ GLP1 (ยา GLP1 ได้จากพัฒนาจากน้ำลายของ
gilamonster) โดยเริ่มแรกจะต้องดู target ของ GLP-1 ก่อน
แล้วความมีพิษต่างกันยังไงล่ะ?
พบว่าในหนูและหมาเกิดพิษต่างกันมาก
โดยหากเป็น DPP-4 selective จะไม่มีพิษ
แต่หากเป็น DPP8/9 selective พิษจะ
เพิ่มขึ้น ดังนั้นความเป็นพิษมาจากส่วน
off-target จึงต้องมี selectivity ซึ่งเป็น
ส่วนสำคัญด้วยในการพัฒนายา
Drug Discovery, Design and Development (4D) กิ่ง 090 หมวย 103 19
Midterm ครั้งที่ 1 : An Overview of Drug Discovery and Design (16/08/60)
บริษัทนี้จึงทำพัฒนายา 2 ส่วน
- ส่วนแรก คือ High throughput screening (HTS) ซึ่งใช้ระยะ
เวลานาน ดังนั้นระหว่างที่รอ จึงทำอีกส่วน โดย planว่าจะ
review สารทั้งหมดที่เคยมีคนทำอยู่และค่อยๆปรับปรุง
โครงสร้างไป เพื่อให้ได้ข้อมูลไปใช้ตอน HTS เสร็จ จึงทำคู่กันไป
โดยช่วงแรกทำแบบไม่รู้ crystals structure ก่อน พอรู้
crystal structure ก็เก็บเป็น Back up ไว้ เพื่อที่ว่าถ้าตัวนี้ fail
ยังมีตัว Back up ไว้อยู่