Professional Documents
Culture Documents
ส่วนที่จะเรียนวันนี้ก็คือ
บัญชียาหลักแห่งชาติ
การทาข้อมูลยาเพื่อนาเสนอต่อคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบาบัด
บัญชียาของโรงพยาบาลและเภสัชตารับโรงพยาบาล
ทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องของการบริหารจัดการการใช้ยาในโรงพยาบาล ซึ่งตอนตอนไปออก clerk ship ของ DIS ฝึกเรื่อง
สารสนเทศทางยาก็จะได้หัดทาพวกการทาข้อมูลยา การนาเสนอยาต่อคณะกรรมการ
วัตถุประสงค์การเรียนรูใ้ นวันนี้
1
คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบาบัด
คาทั่วๆไปที่เรียกกันในโรงพยาบาล คือ PTC ย่อมาจาก Pharmacy and Therapeutic Committee (ฝั่งอเมริกา)
แต่จะมีคาที่คล้ายกันในฝั่งอังกฤษ คือ DTC ย่อมาจาก Drug and Therapeutic Committees หรือบางครั้งก็เรียกเป็น MTC
ย่อมาจาก Medicines and Therapeutics Committees
(ซึ่งทั้งสามคานี้ ก็คือคณะกรรมการชุดเดียวกันนั่นแหล่ะ)
ที่มาของคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบาบัด
คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบาบัด คือใคร?
2
PTC ก็คือ คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบาบัด
คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบาบัด มีหน้าที่ส่งเสริมการใช้ยาอย่างเหมาะสมตามหลักฐานวิชาการ
การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลคืออะไร?
ใช้ยาอย่างถูกต้องเหมาะสมกับอาการทางคลินิกของผู้ปุวยแต่ละคนด้วยระยะเวลาที่เพียงพอกับการรักษา และค่าใช้จ่าย
ต้องน้อยที่สุดแต่เกิดประสิทธิภาพที่สุด (Cost effective ที่สุด)
เป็นที่ปรึกษาทางการแพทย์ และเภสัชกรรม
เป็นคนให้ข้อมูล แพทย์ เภสัชกรคนอื่นๆในรพ. ว่ายานี้ดี หรือไม่ดีอย่างไร ; ถ้าคนที่ทาหน้าที่นี้เป็นคนที่ชอบ
ตอบคาถามทางยาก็จะสนุกกับงานนี้
3
กาหนดบัญชียา
กากับการใช้ และจัดการบัญชียาของรพ. ; ยานี้ดีใช้ต่อ, ยาที่ไม่ดีเอาออกไป, ยานี้แพงเกินไป
คัดเลือกยา
ทานโยบายการใช้ยาของรพ. ; ถ้าใช้ยากลุ่ม statin ต้องเริ่มที่ simvastatin ถ้าคุมไม่ได้ค่อยเปลี่ยนเป็น
atrovastatin ซึ่ง ถ้าตอนแรกมารพ. แล้วจะเริ่มจ่าย simvastatin เป็นอันแรกเลยไม่ได้
จัดการระบบสั่งจ่ายยา ; ยาตัวไหน จ่ายให้คนไหนได้บ้าง (สิทธิบัตรทอง , สิทธิข้าราชการ)
กาหนดกิจกรรมคุณภาพต่างๆ ในการใช้ยา ; ยาควรให้กับใคร ความปลอดภัยเป็นอย่างไรบ้าง ห้ามใช้กับใคร
บ้าง
ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านยา โดยจะมีเงินงบประมาณแผ่นดินจัดมาให้ต่อปี (ปีงบประมาณ 56 = 1ตุลา 55 ถึง
กันยา 56 ) ดังนั้น เราต้องควบคุมเงินที่ได้มาว่าจะแบ่งใช้อย่างไร ปกติซื้อยาอะไรบ้าง ถ้างบที่ให้มาไม่พอ ต้อง
ควรจากัดการจ่ายยาตัวไหนมั๊ย หรือถ้ายาตัวไหนไม่สามารถให้ฟรีแล้ว ก็ต้องเบิกจ่าย หรือ co-shared
ระหว่างคนไข้กับรพ. เพื่อให้รักษาคนไข้ได้ทั้งปี เช่น ถ้าได้เงินมา 100 ล้าน/ปี แล้วย้อนกลับไปดูสถิติแล้วปีที่
ผ่านมาซื้อยาไปทั้งหมด 300 ล้าน -- > ปีนี้ขาดทุนไป 200 ล้าน เราก็จะต้องออกนโยบายควบคุมยาราคาแพง
ถ้าไม่ตัดยาที่ราคาแพงออกจารพ.เลย ก็จะต้องมีเงื่อนไขการสั่งจ่ายยาที่มากขึ้น มีข้อบ่งใช้ที่ชัดเจนมากขึ้นใน
การจะจ่ายยานั้น หรือ แบ่งจ่ายเงินร่วมกัน (คนไข้ออกครึ่งนึง + รพ.ออกครึ่งนึง) พอถ้างบประมาณที่ได้มา
หมดก่อนปีงบประมาณ ก็จะไม่สามารถมีเงินไว้ซื้อยาที่เหลือสาหรับคนไข้ที่เหลือ
ตอนนี้มีนโยบายของการตลาดในบริษัทมากขึ้นคือ ครั้งนึงจะให้ของกานันได้ไม่เกิน 3,000 บาท เป็นธรรมเนียมเฉยๆ
แล้วแต่ใครจะทาหรือไม่ทาตามก็ได้ อาจารย์เล่าให้ฟังว่าสมัยก่อน (10 ปีที่แล้วววว ว ) ถ้าบริษัทยามาขอเอายาเข้าบัญชีรพ. แล้ว
หัวหน้าเภสัชก็บอกไปว่า ยานี้ต้องเก็บในที่เย็น ห้องยายังไม่มีแอร์เลย เช้าวันรุ่งขึ้น ช่างแอร์จะมาทันที ถามว่าจะเอาแอร์กี่ตัว
อย่างไรบ้าง
ดังนั้น การตลาดที่บริษัทยาลงทุนแจกของเยอะๆ (กระเปา, เครื่องคิดเลข, หนังสือ, Jounal ไปจนถึงแพคเกจทัวร์) พร้อม
กับการนายาเข้าบัญชี ก็จะทาให้ราคายาแพงขึ้น ซึ่งราคายาประเทศไทยแพงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คณะกรรมการชุดนี้ก็จะต้องประเมินการใช้ยาด้วยความเที่ยงตรง ต้องวางตัวให้เป็นกลาง และต้องใจแข็งพอ ใช้หลักฐาน
ทางวิชาการเป็นหลัก เช่น ที่รพ. มน. ก็จะงดพบผู้แทนยาโดยตรง แต่ให้ฝากแฟูมข้อมูลยาไว้ ซึ่งผู้แทนยาเอง หน้าที่ของเค้าคือ
ต้องขายยาให้ได้ แต่ถ้าเราไปเป็นเภสัชผู้ให้ข้อมูลยาก็ต้องมีจุดยืนว่าเราจะให้ข้อมูลยาเป็นหลัก ส่วนอื่นเป็นกิจกรรมเสริม มี
paper ไปสู้กับที่อื่นๆ ราคายาของเราแพงเพราะอะไร ฯ เพราะภาพลักษณ์ของผู้แทนยายาก็ไม่ค่อยจะดี เหมือนไม่ค่อยมีความรู้
แต่งตัวสวยๆไปวันๆ พร้อมกับของฝากเยอะๆ
การพบกับผู้แทนยา ไม่ได้มีข้อเสียทั้งหมด มันก็ยังมีข้อดีอยู่ เช่น มียา original สาหรับผู้ปุวยโรคไต dose นึง 3,000 บาท
แล้ววันนึงยาก็หมดสิทธิบัตร ก็มีบริษัท local มาเสนอราคายา โดยเหลือ dose ละ 300 บาท ผ่านการรับรองจากกระทรวงแล้ว
เปรียบเทียบ bioequivalent แล้วก็ผ่าน ผู้แทนยาบริษัท original ก็รู้ว่าบริษัท local เสนอมาที่ราคา 300 บาท ผู้แทนยาบริษัท
original ก็ลดราคายาลงมาเป็น ซื้อ 1 แถม 10 : ราคาไม่ลด แต่แถมยาแทน เพราะถ้าลดราคายา ก็จะเสียเกรดราคา เอาไปขาย
รพ.อื่นไม่ได้
4
ดังนั้น คนที่ทาหน้าที่นี้ก็ต้องยืนอยู่ที่ความเป็นกลาง มีความรู้เยอะด้วย ในการ review ข้อมูลพื้นฐานยา อ่านค่า
bioequivalent ให้ได้ ประเมินให้ได้
โดยหน้าที่ของเภสัชกรในการคัดเลือกยา นาเสนอข้อมูลที่เป็นหลักฐานทางวิชาการยังไม่ค่อยประสบความสาเร็จเท่าไร
ก็แพ้ทางการตลาดเพราะถ้าตัวใดลดราคาลงมา, มีของแถมเยอะหรือ detail เข้าหาบ่อย โดยเฉพาะหัวหน้าภาควิชาก็จะ
ชนะใจได้ เช่น
5
ดังนั้นจะเห็นว่ามีปัญหาในการทางานค่อนข้างเยอะ เช่น การนัดประชุมยาก หรือประสบการณ์ในการใช้ยาต่างกัน
การตลาดจึงรุนแรง ฉะนั้นถ้าเราเสนอแต่ Evidence base อย่างเดียวก็จะไม่เพียงพอ ควรหา backup มาช่วย
6
ตัวอย่าง ถ้าเป็นกรรมการเภสัชกรรมและการบาบัดดีๆจะมีหลักฐานเยอะแยะว่ามันช่วยในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลจริงๆ เช่น
ตัวอย่างในประเทศไทยคือรพ.สงขลานครินทร์
ซึ่งเป็น 1 ในไม่กี่แห่งในประเทศไทยที่คณะกรรมการทางานได้ดี เริ่มตั้งแต่ปี 2540
หลังจากควบคุมโดยยาในบัญชียาหลักแห่งชาติทุกคนมีสิทธิใช้เท่าเทียมกัน
แต่ยาที่อยู่นอกบัญชียาหลักแห่งชาติต้องเป็นแพทย์ผเู้ ชี่ยวชาญเท่านัน้ จึงจะมีสิทธิสั่งจ่าย ซึ่งจะควบคุมอย่างเข้มงวดและถ้าเป็นผู้ที่ยังไม่มี
ความจาเป็นต้องใช้ยานั้นแต่ต้องการใช้ เช่น อยากลองใช้ ARB เลย ไม่อยากลอง ACEI (หมอไปกระตุน้ คนไข้หรือคนอื่นบอกมา) ถ้าไม่ใช่
คนที่มีข้อบ่งใช้ที่เหมาะสมจะไม่ให้จ่าย ถ้าจะจ่ายต้องออกเงินเอง หรือยาที่อยู่นอกเหนือบัญชียาหลักแห่งชาติ เช่น Glucosamine จะใช้
ก็ได้ อยู่ในบัญชียารพ. แต่ทุกคนต้องออกเงินเองเท่านั้น
และทุกครั้งที่มียาเข้ารพ. ถ้ามี generic จะใช้ generic เสมอ ถ้ามี local made จะใช้ local made เสมอ ซึ่งจะมีการประกันคุณภาพ
ให้แพทย์ที่รพ.สบายใจว่ายา local made นอกจากใบตรวจจาก อย. แล้ว เค้าสุม่ ยาในคลังส่งตรวจที่ศนู ย์วิทย์ว่าปริมาณยาได้ตามที่
กาหนด ใช้เงินประมาณปีละ 1-2 ล้านบาทเพื่อสุม่ ยาในคลังไปส่งตรวจว่ายา local made มีคุณภาพ ตัวยาสาคัญ เท่าเทียมกับ original
จริงๆ
o ถ้ายาตัวไหนตกมาตรฐานจะแบนไม่รับยาบริษัทนั้นไปเลย 3 ปี ไม่ใช่แค่ยานั้นๆ ซึ่งค่อนข้างเข้มงวด จึงทาให้แพทย์สบายใจ
ได้มากขึ้น (แต่กม็ ีการบ่นว่าทาไมต้องเงินไปลงทุนเพื่อตรวจยาเองทัง้ ๆที่ควรผ่านการตรวจที่เข้มงวดก่อนที่จะไปขึ้นทะเบียน
กับอย. ทาไมยาทีผ่ ่านการตรวจจากอย.แล้วมาตรวจที่นี่ถึงไม่ผ่าน เกิดอะไรขึ้นกับระบบการขึ้นทะเบียนยาในประเทศไทย ..
แต่ก็ทาอะไรไม่ได้) แถวภาคเหนือก็พยายามทาเลียนแบบโดยที่คณะเราก็มีศูนย์รับตรวจให้ แต่ค่าใช้จ่ายก็จะสูง
ยึดบัญชียาหลักแห่งชาติเป็นหลัก ถ้าเป็นยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติใช้ได้ทุกคน ทุกสิทธิ ทุกรายการ แต่ถ้าเป็นยานอกบัญชียาหลัก
แห่งชาติต้องมีเงื่อนไขการสั่งใช้ที่เฉพาะเจาะจงเท่านั้น
ถ้ามีหมอยืนยันจะใช้ถึงแม้จะมีเงื่อนไขการใช้นอกบัญชียาหลัก แต่คนไข้ยังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะใช้ ฝุายเภสัชไม่สามารถต้านทานหมอได้
จาเป็นต้องจ่ายไป ถ้าผอ.ตรวจเจอ หมอที่ทาผิดเงื่อนไขต้องจ่ายเงินคืนให้รพ. (ถ้าฝุายเภสัชบันทึกข้อมูลไว้แล้วว่าคัดค้านหรือ consult
7
แล้ว แต่หมอยืนยันว่าจะจ่ายให้ได้) ถ้าผอ.ตรวจเจอหรือเสนอเรื่องไปแล้วผอ.เห็นว่ามันไม่จาเป็น ก็จะเรียกเก็บเงินคืนจากหมอคนนั้น
(เข้มงวดแต่ก็มีแรงต่อต้านเยอะ)
มีกระบวนการติดตามการใช้ยาอย่างเข้มงวด ยาตัวไหนใช้ได้/ไม่ได้ มีเงื่อนไขการใช้อย่างไรบ้าง เช่น เนือ่ งจากรพ.สงขลามีระบบการสั่ง
จ่ายยาของรพ. (จ้างทา) สมมุติว่ามียาที่กาหนดเงื่อนไขในการสั่งใช้ ต้องเป็นแพทย์ 3 คนนี้เท่านั้นที่จะจ่ายได้ ทุกครั้งที่มีการคียร์ ายการ
ยานี้ขึ้นมาจะต้องมีการลงโค้ดของแพทย์คนนั้นด้วย ต้องเป็นโค้ดของแพทย์ที่สั่งจ่ายได้เท่านั้นและต้องเลือก indication ด้วยว่าใช้ใน
indication ไหน ถ้าแพทย์ไม่ลงโค้ดผู้สั่งและเงื่อนไขการสั่งจ่ายยา DUE ตัวนั้น ระบบจะไม่ยอมสั่งยาให้ ปริ้นรายการยาไม่ได้ เป็นการ
ปูองกันหลายชั้น หลายระบบ ถ้ามีการมั่วใส่รหัสแพทย์หรือ indication ถ้าตรวจเจอทีหลังต้องจ่ายค่าปรับคืนให้รพ.
มีการสนับสนุนการใช้ยาสามัญ ยา local จึงมีการแข่งขัน มีการสืบราคายาก่อน เมื่อจัดซื้อเข้ามา จะมีการส่งตรวจวิเคราะห์
physiochemical และคุณสมบัตขิ องยา ถ้าผ่านก็ใช้ ถ้าไม่ผ่านก็แบน 3 ปี
ด้วยกระบวนการทั้งหมดของรพ.สงขลา การใช้ generic ต้องติดตามผลการใช้ว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่ การเกิด ADR
ค่าใช้จ่ายด้วยวิธีนี้รพ.สงขลา ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาที่ไม่เหมาะสมไปเกินครึ่งจากปีก่อน ซึ่งเอาไปซือ้ เครื่องมือแพทย์หรือ
สร้างตึกใหม่ได้ จะเห็นผลชัดเจน ฉะนั้นถ้าเราจะเก็บข้อมูลเราต้องเก็บพวกตัวเลขหรือรายงานให้ชัดๆ เพื่อให้เห็นผลของประสิทธิภาพใน
การทางาน
8
Drug monograph (ข้อมูลยาเฉพาะเรือ่ ง) ซึง่ Monograph ที่ดี
เภสัชกรต้องทาได้ มีอะไรบ้าง มาดูกัน
ข้อมูลจาเพาะชนิดและปริมาณของตัวยาสาคัญ กลุ่มยา ข้อบ่งใช้ และข้อควรระวัง ซึ่งข้อบ่งใช้ที่สามารถใช้ได้
นั้นจะต้องได้รับการรับรองโดย FDA หรือ อ.ย. เท่านั้น ซึ่งเราจะไม่ใช้ข้อบ่งใช้ที่เป็น Un-labeled use หรือ
ข้อมูลที่ไม่ได้รับการรับรอง เช่น ปกติยา dextrometrophan ปกติใช้เป็นยาแก้ไอ แต่ถ้าใช้ในขนาด 2 เท่า
พบว่า สามารถใช้ในการรักษาอาการปวดข้อ หรือปวดกระดูก (Un-labeled use ) ซึ่งถ้าเราจะทาเรื่องยา
dextrometrophan เราจะเขียนข้อบ่งใช้สาหรับ แก้ไอ (FDA Approved) เท่านั้น ยาที่เป็น Un-
labeled use ไม่เอา
รวบรวมข้อมูลพืน
้ ฐานและหลักฐานทางวิชาการของยาที่เป็นประโยชน์ต่อการตอบคาถามในการทบทวน
Database of Abstracts oF Reviews of Effect (DARE)
www.york.ac.uk/inst/crd/crddatabases.htmเป็นข้อมูลฝั่งอังกฤษ และเป็นยาที่ขายอยู่ในโซน
ยุโรป
Pubmed เป็นข้อมูลของอเมริกา
การประเมินวรรณกรรม ว่าอันไหนดี ไม่ดี พวกเราคงจะเปฺะกันแล้วทุกคนนน ฮ่าๆๆ
รวบรวมข้อมูลประสิทธิภาพและความปลอดภัย การเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่น ข้อจากัด ข้อควรพิจารณาทาง
คลินิก
บทสรุป
คาแนะนาในการพิจารณา ประกอบด้วยอะไรบ้าง
9
ข้อมูลคุณภาพของยา เช่น ตัวยาสาคัญ BE ขนาด สี รูปร่าง ความคงตัว ความบริสุทธิ์ ต้องเขียนให้หมด แม้แต่ยาบางตัว
ผสมกับน้าเกลือแล้วเปลี่ยนสี ซึ่งเราก็ไปดูในหนังสือ Drug of injectable drug ว่าถ้าเปลี่ยนสี แล้วเป็นอะไรไหม ยา
บางตัวเปลี่ยนสีได้เช่น azitromycin ปกติถ้าผสมแล้ว ได้สีชมพู แต่ถ้าผสมได้สีน้าตาลก็แสดงว่ายามีปัญหาใช้ไม่ได้ ก็
ต้องอายัดยาและก็ส่งคืน >>> อ.บอกเวลาเค้ามาเสนอยาเราจะต้องลองผสม หรือยางบางตัวก็อาจจะต้องลองกินด้วย
(เหมือนหนูลองยาเลยอ่าส์) เพราะเวลาจ่ายยาให้เด็กจะได้รู้ว่าขมหรือปุาว ไม่ใช่หลอกเด็กว่า ยาไม่ขมลูกเดียว เพราะยา
บางตัวมันขมจริงๆๆ เราก็ต้องบอกเค้าไป
ข้อบ่งใช้
ประสิทธิภาพ
ขนาดยา
อันตรกิริยา
อาการไม่พึงประสงค์
ข้อห้ามใช้
ข้อควรระวัง
การทดลองทางคลินิก (Clinical trial) มีกี่อัน มีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน บางครั้งมีจานวนเยอะมากแต่เกือบ
ทั้งหมดไม่มีความน่าเลย เพราะฉะนั้นเภสัชจะต้องเป็นผู้ประเมินแล้วเลือกเฉพาะ paper ที่ดีเท่านั้นมานาเสนอในการ
คัดเลือกยา รูปแบบการศึกษาควรเลือก Good RCT ส่วน case report ถ้ามันไม่จาเป็นจริงๆก็ไม่ควรใช้ ควรเลือก
ผลลัพธ์ทางคลินิกที่ดีๆ เป็นตัวบ่งบอกประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของยาได้ เช่นยาลดความดัน ตัวชีวัดที่เหมาะสม
ก็คือประสิทธิภาพในการลดความดัน ( BP หลังการใช้ยา ) end point อัตราการตาย ต้องเลือกเฉพาะตัวที่เกี่ยวข้อง
คาแนะนาจากแพทย์หรือเภสัชกรผู้เชียวชาญ ถ้ามีก็สามารถเขียนประกอบได้
ราคา
ข้อสรุป ซึ่งเราต้องกล้าฟันธงว่ายานี้ดีหรือไม่ดีเพราะอะไร แล้วนาเสนอต่อคณะกรรรมการเภสัชกรรมและการบาบัด
รวมทั้งข้อเสนอในทางปฏิบัติ คาแนะนาในการใช้ ข้อจากัดในการสั่งใช้ด้วย ส่วนเค้าจะเชื่อเราหรือไม่ก็เป็นหน้าที่ของ
เค้าแล้ว
ทาไมต้องทาบัญชียาของโรงพยาบาล ??
10
เพื่อคัดเลือกที่ยาที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมจะใช้ในโรงพยาบาลนั้นๆ เช่นโรงพยาบาลโรคมะเร็ง ก็จะมียามะเร็ง
เยอะ
เพื่อควบคุมการใช้จ่ายด้านยา
เป็นยาที่เหมาะสมจะใช้กับระดับโรงพยาบาลเท่านั้น เช่น โรงพยาบาลชุนชนก็อาจจะไม่มียาโรคที่รุนแรง
ระบบบัญชียาของโรงพยาบาลกรรมการเภสัชกรบาบัดจะเป็นผู้ทาให้
รายการยาจาเป็น เรียกว่า Essential drug list หรือ ED คือ รายการยาที่จาเป็นต้องมี ต้องใช้ ทุกโรงพยาบาลต้องมีเท่า
ๆ กัน ซึ่งอาจจะมีค่านิยมที่คิดว่าเป็น ยาคนจน เพราะว่าทุกโรงพยาบาลต้องมี
ทาไมต้องมีบัญชียาหลักแห่งชาติ ??
70% ของยาในตลาดเป็นแบบ me-too คือ ยาที่หมดลิขสิทธิ์แล้ว คนอื่นทาได้ฉันก็ทาได้ ส่วนใหญ่เป็นยาซ้าๆ
เพราะฉะนั้นเราต้องทาการเลือกยาเข้าบัญชียาหลัก โดยคานึงถึงทุก ๆ อย่างรวมทั้งราคาด้วย
ข้อมูลยาบางตัวมีข้อมูลไม่ชัดเจน ถึงแม้จะเป็นชื่อการค้าเดียวกัน เราจึงจาเป็นต้องเลือกยาที่ดีที่สุดในทุก ๆ ด้านเข้า
บัญชียาหลัก
ยาบางอย่างอาจจะมีการสั่งจ่ายไม่สมเหตุสมผล จึงต้องเลือกยาที่เหมาะสมเข้ามาในบัญชียาของเรา เพื่อให้ใช้ยาอย่าง
ปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
ขัน้ ตอนในการจัดทาระบบบัญชียา
1. จัดคณะกรรมการขึ้นมาเตรียมข้อมูลยา
2. นาข้อมูลยามาทบทวน
3. ทาเป็นบัญชียา
4. ปรับปรุงรักษาบัญชียาอย่างต่อเนื่อง
11
เภสัชตารับโรงพยาบาล Hospital Preparations
ยาที่ผลิตเองในโรงพยาบาลหรือในสถานพยาบาลนั้น ๆ หรืออาจจะเป็นยาง่าย ๆ ที่สามารถทาเองได้และมีราคาถูกกว่า
ท้องตลาด เช่น ยาหม่อง
โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นยาที่ให้ทางหลอดเลือดหรือทางตาสาหรับผู้ปุวยเฉพาะราย จึงต้องคานึงถึงเทคนิคปลอดเชื้อด้วย
ช่วงนึงที่มีไข้หวัดนกระบาด เด็กไม่มียากิน ก็ต้องมีการเตรียมยาพิเศษ
I = information
S= safety
a= administration restriction
f= frequency of dosage
E=Efficacy
12
อีกหลักการคือ EMCI (Essential Medicine Cost Index) คือพิจารณาดูราคาด้วย ยาทุกชนิดที่ผ่านเข้ามาในบัญชี
ยาหลักแห่งชาติแล้ว คนไข้ทุกสิทธิ์การรักษา สามารถใช้ยานี้ได้
1. เป็นยาที่มีข้อบ่งชี้ชัดเจน ต้องได้รับการรับรองและจดทะเบียนแล้ว
2. มี evidence ว่ามีประสิทธิผลจริง มีกลไกออกฤทธิ์ชัดเจนและอธิบายกลไกได้
3. มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
4. ราคาเหมาะสม
5. ขนาดการใช้พอเหมาะ ใช้ง่าย
6. มีความเสี่ยงที่ยอมรับได้ คุ้มค่าเมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบ
7. วิธีการให้ยาง่ายสะดวก
8. ความถี่ในการให้ยาเหมาะสม
9. ระยะเวลาเหมาะสมในแต่ละโรคนั้น
13
10. ความสะดวกในการใช้ยา
เช่น Seratiopeptidase เขาจะ claim ว่าเป็นยาลดบวม ทุกชนิดตั้งแต่หัวจรดเท้า (หัว แขน ขา บวม ใช้ได้หมด) แต่ไม่มีกลไกการออกฤทธิ์ที่
ชัดเจน มันเป็นแค่ enzyme ตัวหนึ่งที่ไปย่อยสลายกล้ามเนื้อที่อักเสบ ที่เกาะตัวเป็นพังพืด ที่ทาให้บวม ไม่มีการลด inflammation หรือ
prostaglandin ใดๆทั้งสิ้น ฉะนั้นยานี้ ไม่เป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพราะไม่สามารถอธิบายกลไกการออกฤทธิ์ได้
เช่น ใน รพ.แห่งหนึ่ง คนไข้เป็นหวัด มาตรวจด้วยอาการ ไอ หวัด มีน้ามูก ยาที่ได้กลับบ้านไปมี Codeine จากอาการเป็นไข้ เมื่อยเนือ้
เมื้อยตัว เป็นหวัดมีน้ามูกได้ Desloratadine ไป แล้วยังให้ Loratdine ไปอีก โดยให้ Desloratadine กินเช้า ก่อนนอนกิน Loratadine แล้ว
ยังจะให้ Maxifed (Pseudoephedrine) น้ามูกจะได้แห้งๆ กินเช้าเย็น แล้วคนไข้เป็นคนแก่มีโรคเรื้อรั ง ยังให้ aspirin ไปปูองกันหลอดเลือด
อุดตัน แล้วคนไข้กินยาเยอะ กลัวเป็นโรคกระเพาะแต่ไม่มีอาการนะ ยังให้ Zantac (ranidine) ไปอีก นอกจากนั้นยังมีเวียนหัว ให้ cinnarizine
กลัวเวียนไม่หายให้ betahistine besylate ที่ออกฤทธิ์ที่peripheral ไปอีก แล้วยังให้วิตามิน B1-B6-B12 ไปอีก ได้ Dihydroegotyptine ให้
เลือดไปเลี้ยงสมองเยอะๆ แล้วยังจะให้ Flunarizine กินก่อนนอนอีก แล้วทีนี้เวียนหัวอยากอ้วก เลยให้ Dimenhydrinate ไปอีก …. โครต
father โครต mother เวียนหัวเลยอันนี้ เฉพาะยาที่เป็นข้อบ่งใช้แก้เวียนหัว 4 อย่าง ยาแก้หวัดลดน้ามูกอีก 3-4 อย่าง จะเห็นว่ามี
ความซับซ้อนเยอะมาก
1. ดูค่าใช้จ่ายว่าจ่ายไหวไหม
2. ขนาดยาที่กิน กินง่ายไหม กินทีละเท่าไหร่ เช่น ไข้ เจ็บคอที่ไม่ได้ติดเชื้อแบคทีเรีย ถ้าจะจ่ายฟูาทลายโจร เขาใช้
เท่าไหร่? Ans. ให้กิน 2 capsule วันละ 4 ครั้งถึงจะใช้ได้ผล ซึ่งถ้าเกิดความถี่ในการใช้เยอะขนาดนี้ก็ไม่สะดวกใน
การใช้ เลยไม่ถูกบรรจุเป็นยาบัญชียาหลักแห่งชาติ
3. วิธีการบริหารยา ถ้ายากก็ไม่จัดเป็นยาในบัญชียาหลัก
14
ตัวอย่าง เกี่ยวกับ ค่าใช้จ่ายในการเลือกยา คนไข้ได้รับยา
1. Acetylcysteine
2.Paracetamol+orphenadrine
3.Meloxicam
4.Clarithromycin
คนไข้มาด้วยอาการหวัด มีไข้ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเพิ่งมารับการรักษาที่โรงพยาบาลครั้งแรก ไม่ได้แพ้ยาใดๆทั้งสิ้น แต่ให้ clarithromycin ตั้งแต่
แรกเลย ให้ Meloxicam กับ Paracetamol เพื่อบรรเทาอาการปวดไป Acetylcysteine ก็เอาไปละลายเสมหะ มาดูคา่ ใช้จ่าย ค่ายาทัง้ หมดคือ
631 บาท ซึ่งอาจจะไม่เยอะนะ แต่ ยาที่เขาเบิกได้ 414 บาท เบิกไม่ได้เป็นยานอกบัญชี 210 บาท (เฉพาะ Clarithromycin) แล้วมาคิดดูสิว่า ถ้า
คนไข้เป็นข้าราชการซัก 50 คนต่อจังหวัด ค่าใช้จ่ายที่เกินความจาเป็นจะประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี ซึ่งมูลค่าเท่านีส้ ามารถไปซื้อยาปูองกันโรค
ไข้หวัดนกมาฉีดให้คนได้ 1 ล้านคน ในกรณี ถ้าเราใช้ amoxicillin ไปก่อน Clarithromycin ก็จะช่วยประหยัดได้ 210 บาทต่อคนแล้ว ถ้าเรา
ช่วยกันจ่ายยาตาม guildline ตาม step ที่เหมาะสมและเลือกยาในบัญชียาหลักก่อนก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศชาติได้
https://www.facebook.com/rational.druguse จะมีข้อมูลการใช้ยาอย่างถูกต้องและเหมาะสมในแต่ละ
โรค เจ้าของเพจเป็นกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติ
ทาไมเราต้องเชือ่ มั่นบัญชียาหลักแห่งชาติ ?
ขั้นตอน เริ่มตั้งแต่ คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติ แล้วก็มีคณะอนุกรรมการของแต่ละโรค
15
ผู้ที่จะมาทาหน้าที่ต้องมีความรู้ความสามารถ และ คนที่จะเข้ามาอยู่ในทีมคณะกรรมการนี้ ต้อง ไม่มี Conflict of
Interest
Conflict of Interest : การมีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆก็ตาม ไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อม จะต้องไม่ถูก
เลือกเข้าร่วมคณะกรรมการ เช่น
สามี เป็นเภสัชกรพิจารณา ยาโรคไต แต่มีภรรยาเป็นทีมพัฒนายาโรคไตในบริษัทยา ถึงแม้ภรรยา จะมีconflict และมิได้รับเลือกเข้าเป็น
คณะกรรมการตามข้อห้าม แต่ว่าสามี-ภรรยา อาจมีการพูดคุยกันที่บ้านได้ ดังนั้นจึงต้อง ไม่มี Conflict of Interest ทั้งโดยทางตรงและ
ทางอ้อม
16
ปัจจุบัน คณะจัดทาข้อมูลยา อย. ยังมีคนสนใจเข้าไปทาน้อย จึงรับสมัครไม่จากัดจานวน
ใครที่สนใจงานค้นคว้าข้อมูล ให้ไปสมัครได้ : อาจารย์ กล่าว
เริ่มจากการนายาที่ approved แล้วว่า รักษา vertigo ได้จริง มาเรียงกัน เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่าง ตามหลัก ISafE (เพื่อนๆลอง
นึกถึงตอนเขียน SOAPก็ได้ จะมีการพิจารณาตาม IESAC แต่ในกรณีนี้ จะไม่มี C:Cost นะครับ !)
ใช้การเปรียบเทียบหลักฐานทางวิชาการ ของยาที่มีgeneric name เดียวกัน
17
Generic name I E S A ISafE
Dimenhydrinate 0.75 1.00 0.90 0.90 0.61
Cinarizine 0.88 0.90 0.85 0.90 0.60
Flunarizine HCl 0.73 0.90 0.80 1.00 0.53
Betahistine mesilate 6mg 0.90 0.90 0.90 0.81 0.59
Meclizine HCl 0.83 0.90 1.00 0.90 0.68
Betahistine HCl 0.90 0.90 0.90 0.81 0.59
Betahistine mesilate 12 mg 0.90 0.90 0.90 0.81 0.59
Almitrine +Raubasine 0.70 0.80 0.90 0.95 0.48
18
ดู Safety การพิจารณาความปลอดภัยต้องดูหึครอบคลุมคนจานวนมากและ ทุกกลุ่มประชากร ทั้งคนแก่ เด็ก หญิง
ตั้งครรภ์ และอื่นๆ ให้ครบ จะเห็นว่า Meclizine เป็นยาปลอดภัยที่สุด เป็นยาที่แก้ Vertigo และ Anti-emetic เป็น
drug of choice ในคนท้องด้วย เพราะฉะนั้นปลอดภัยสูง จึงได้คะแนนเต็มไป
ดู Adherance การพิจารณาที่ความสะดวกในการใช้ และความร่วมมือของผู้ปุวย จะเห็น Flunarizine ได้เต็มเพราะ
มันกินง่าย กินแค่วันละครั้งก่อนนอน สะดวกสบายในการใช้ยา รวมถึงว่า ทุกตัวในนี้ทาให้ง่วงได้ จึงอาจมีปัญหาหาก
ขับยวดยานพาหนะ แต่Flunarizine กินก่อนนอนอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาใดๆ ได้เต็ม 1.00 ไป
Betahistine กินวันละ 3 ครั้ง คะแนนก็จะลดลงไปกว่าตัวอื่นๆ
19
- Dimenhydrinate ราคาถือว่า ถูก (1.0)
- Betahistine แพง (15.8)
การจัดประเภทบัญชียา หมายความถึงอะไร ?
20
บัญชี ง คือยาที่ต้องติดตามการใช้อย่างใกล้ชิด(คือมีการทา DUE นั่นเอง)
บัญชี จ1 คือบัญชียาพิเศษที่ใช้เฉพาะตามโครงการเท่านั้น
เช่นโครงการโรคเอดส์ ก็จะมียาบัญชี จ 1 ที่ใช้สาหรับโรคเอดส์ ซึ่งทุกคนที่ขึ้นทะเบียนว่าเป็นโรคเอดส์จะสามารถใช้ยาบัญชี จ
ได้ โดยจะต้องขึ้นทะเบียนหรือกล้ารายงานตัวก่อนว่าเป็นโรคนี้ จึงจะมีสิทธ์ใช้ยาโรคนี้ได้ และจะต้องมีแพทย์รับรองว่าคนไข้เป็น
โรคนี้จริงๆ โดยยาโครงการหมดเมื่อไหร่ ก็จะเลิกใช้เมื่อนั้น >>> ซึง่ เงือ่ นไขทีแ่ พทย์และเภสัชกรต้องแจ้งให้คนไข้ทราบคือ ยานี้
เป็นยาโครงการ เป็นยาบริจาค ยาหมดเมื่อไหร่คนต้องเลิกใช้เมื่อนั้น T-T ส่วนใหญ่จะเป็นยาเกี่ยวกับโรคที่หายยาก ยาราคาแพง
หรือกาลังทา clinical trial อยู่ เช่นยามะเร็ง ยาโรคเอดส์
21
ตัวอย่างยาระบาย ในบัญชียาหลักแห่งชาติ
22
เรามาส่วนที่สาคัญกันดีกว่า แนวข้อสอบครับพี่น้องงง แต่ถ้าออกไม่ตรง/ไม่เหมือนก็อย่ามาว่าปมนะคร๊าบ
เพราะแกะมาตามที่ อ. พูด
23