Professional Documents
Culture Documents
1
สารบัญ
Other หน้าที่
1. Epidemiology & Economics 3 - 11
2. Biopharmaceutics 12 - 14
2
MCQ Reviewed: Epi & Econ
จานวนข้อสอบต่อปี
Epi 1-3 ข้อ
Econ 1-3 ข้อ
รวมประมาณ 6 ข้อ ต่อปี (อ้างอิงจากข้อสอบเดิม ที่เพิ่มอัพโหลดให้ใน Google Drive)
Epidemiology
Study Design 24%: ให้โจทย์มาแล้วถามประเภทของงานวิจัย หรือ ให้เงื่อนไขมาแล้วออกแบบ
การวิจัยที่เหมาะสม
Data Interpretation 18%: ให้ตารางมาแล้วให้แปรผลจากตาราง เช่น ผลเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ
ตัวยา ว่ายาตัวใดมีประสิทธิภาพสูงกว่า
Relation 18%: ให้คานวณหาความสัมพันธ์ของผลการทดลอง เช่น Odd Ratio, Relative
Risk
Research Statistic 12%: ให้เงือ่ นไขการวิจัยมาแล้วถามว่าควรใช้สถิติใดในการทดสอบผล
Others 30%: มีหลายเรื่อง ซึ่งแต่ละปีอาจออกไม่ซ้ากัน เช่น ความน่าเชื่อถือของงานวิจัย
แต่ละประเภท คานิยาม (ความชุก อุบัติการณ์) กาหนดเงื่อนไขของงานวิจัย
มาให้แล้วให้เลือกชนิดของผลลัพธ์ที่เหมาะสม ให้คาถามงานวิจัยมาแล้วให้
ตั้งสมมติฐาน ถามประเภทของ Bias ในงานวิจัย ถามค่าตัวแปรทางสถิติ
(Alpha, Beta, I2)
(% ที่แสดงเป็น % ของข้อสอบทั้งหมดที่รวบรวมมาได้ เพราะในแต่ละปีข้อสอบออกเพียง 1-3 ข้อ)
3
Economic
Economic Evaluation 50%: ให้เงื่อนไขของงานวิจัยมา แล้วถามประเภทของการประเมินทาง
เศรษฐศาสตร์ CBA CMA CUA CEA
Definition 25%: ถามคาจากัดความของคาศัพท์ต่างๆ ทางเศรษฐศาสตร์ เช่น Efficacy,
Efficiency, Effectiveness, Direct Cost, Indirect Cost
Drug Assessment 20%: กาหนดเงื่อนไข แล้วให้เลือกยาที่เหมาะสมที่สุด โดยมักจะเปรียบเทียบจาก
ค่า ICER
Others 5%: เงื่อนไขในการเลือกยาเข้าโรงพยาบาล หรือให้คานวณความคุ้มค่าคุ้มทุน
(% ที่แสดงเป็น % ของข้อสอบทั้งหมดที่รวบรวมมาได้ เพราะในแต่ละปีข้อสอบออกเพียง 1-3 ข้อ)
4
รูปแบบการศึกษาทางเภสัชระบาดวิทยา (Pharmacoepidemiology Study Design)
1. การศึกษาเชิงพรรณนา (Descriptive studies)
วัตถุประสงค์เพื่อที่จะอธิบายความถีแ่ ละการกระจายของโรคที่สนใจศึกษาโดยพิจารณาว่าโรค เกิดขึ้นกับใคร ที่
ไหน เมื่อไร และมากน้อยแค่ไหน ผลที่ได้จะช่วยในการตั้งสมมุติฐานเพื่อหาปัจจัยที่เป็นสาเหตุต่อไป
2. การศึกษาเชิงวิเคราะห์ (Analytical studies)
วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลหรือโรคที่เกิดขึ้น
การศึกษาเชิงพรรณนา (Descriptive studies)
1. การศึกษาความสัมพันธ์ระดับประชากร (Populational studies, Correlational studies หรือ
Ecological studies) ความสัมพันธ์ของโรคและปัจจัยในระดั บประชากร ถการศึกษาในระดับ มหภาค ทาให้
ทราบขนาด ( strength) และทิ ศ ทาง (direction) ของความสั ม พั น ธ์ โ ดยใช้ สั ม ประสิ ท ธิ์ ส หสั ม พั น ธ์
(correlation coefficient;-1<r<1)
ข้อดีของการศึกษาได้แก่
เป็นการศึกษาที่ใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วรวดเร็วและไม่สิ้นเปลือง
เป็นพื้นฐานในการสร้างสมมุติฐานเกี่ยวกับสาเหตุของโรคสาหรับการวิจัยเชิงวิเคราะห์ต่อไป
ข้อด้อยของการศึกษาได้แก่
ไม่ส ามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่พบได้ในระดับบุคคล หากนามาเชื่อมโยงอาจเกิดความ
ผิดพลาด
ไม่สามารถการควบคุมอิทธิพลจากตัวแปรกวนได้
ไม่สามารถสรุปความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลได้จริง
2. การศึกษาในระดับปัจเจกบุคคล (Individuals)
1. Case reports
เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาขั้นพื้นฐานที่สุดประกอบด้วยการรายงานประวัติผู้ป่วย 1 รายโดยแพทย์ 1 คนขึ้นไป
2. Case series
เป็นการรายงานผู้ป่วยหลายๆคนที่ป่วยด้วยโรคเดียวกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง มักจะเป็นโรคที่เกิดใหม่
ข้อดีของ case reports และ case series
ทาให้เกิดการค้นพบโรคใหม่ๆ
เป็นข้อมูลพื้นฐานในการสร้างสมมุติฐานเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงของโรคนั้นๆ
ข้อด้อยของ case reports และ case series
การนาผลไปอ้างอิงกับผู้ป่วยในโรคเดียวกันอาจไม่ถูกต้องเสมอไป
ไม่สามารถพิสูจน์สมมุติฐานของสาเหตุการเกิดโรคได้ เนื่องจากไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบ
3. Descriptive Cross-sectional studies หรือการศึกษาแบบภาคตัดขวาง
การสารวจเพื่อหาขนาดปัญหาของการเกิดโรค เป็นการศึกษาการเกิดโรคที่จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง (snapshot)
ของประชากรโดยวัดการเจ็บป่วยและปัจจัยที่เกี่ยวข้องในเวลาเดียวกัน ทาให้ทราบ “ความชุก” ของโรค
ข้อดีของการศึกษาแบบภาคตัดขวาง
ใช้เวลาระยะในการศึกษาสั้น และประหยัด
มั ก ท าในกลุ่ ม ประชากรขนาดใหญ่ จึ ง สามารถน าผลที่ ไ ด้ ไ ปใช้ กั บ ประชากรกลุ่ ม อื่ น ๆได้
5
(generalizability)
ข้อด้อยของการศึกษาแบบภาคตัดขวาง
เป็นการประเมิน disease และ exposure ในเวลาเดียวกันทาให้ไม่สามารถระบุได้ว่าอะไรเกิด
ก่อน
มีประโยชน์ในการตอบคาถามที่ว่าปัจจัยและการเกิดโรคมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ มากกว่าที่จะ
ใช้ในการทดสอบสมมุติฐาน
7
การวัดความถี่หรือขนาดของการเกิดโรคในประชากร (Measure of magnitude or frequency)
1. ความชุก (Prevalence) = จานวนผู้ป่วยทั้งหมด
จานวนประชากรทั้งหมด
Point Prevalence = จานวนผู้ป่วยในระยะเวลาที่สารวจ
จานวนประชากรที่สารวจทั้งหมด
Period Prevalence = จานวนผู้ป่วยในระยะเวลาที่กาหนด
จานวนประชากรที่สารวจทั้งหมดในระยะเวลาที่กาหนด
2. อุบัติการณ์ (incidence)เป็นการวัดสัดส่วนจานวนผู้ป่วยใหม่ที่เกิดขึ้นในประชากรที่มีความเสี่ยงในเวลาที่
กาหนดจะใช้กับ cohort study และ การทดลอง
Cumulative Incidence (CI) =จานวนผู้ป่วยใหม่ในระยะเวลาที่กาหนด
จานวนประชากรที่มีความเสี่ยงในช่วงเดียวกัน
Incidence density (ID) = จานวนผู้ป่วยใหม่ในระยะเวลาที่กาหนด
Person-time ของช่วงเวลาเสี่ยงทั้งหมด
ความสัมพันธ์ของ Prevalence และ Incidence
P = I*D ; D = ระยะเวลาเฉลี่ยของการเป็นโรค
BIAS
Bias เป็น Systematic error เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากการออกแบบการศึกษาและการดาเนินการวิจัย
1. Selection Bias หรือ Sample distortion bias เป็นอคติที่เกิดในขั้นตอนการคัดเลือก subject แก้ไขได้
ด้วยการ randomization หรือ blinding ผู้คัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง
Non-respondent Bias เป็นอคติที่เกิดจากการปฏิเสธหรือการยินยอมเข้าร่วม
Missclassification Bias เป็นอคติที่เกิดจากการแบ่งกลุ่ม subject ตาม exposure หรือตามการเกิดโรคผิด
สามารถลดอคตินี้โดยการใช้ criteria ที่ชัดเจนในการแบ่งกลุ่ม
- Non-differential Missclassificationเป็นอคติที่มีความผิดพลาดในการจัดกลุ่มปัจจัยทั้ง 2 กลุ่ม
(exposue และ non-exposure) ทาให้ค่า OR เข้าใกล้ 1 มากขึ้น (Toward the Null)
8
- Differential Missclassificationเป็นอคติที่มีความผิดพลาดในการจัดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ค่า OR ไกล
จาก 1 มากขึ้น (Away from the Null)
2. Information Biasเป็นอคติที่เกิดจากความแตกต่างในการได้มาซึ่งข้อมูลที่ต่างกัน
Recall Bias เป็นอคติที่เกิดมากในการถามหรือเก็บข้อมูลย้อนหลังแก้ไขโดยการสัมภาษณ์คนใกล้ชิด
Interviewer Bias อคติที่เกิดขึ้นเมื่อผู้สัมภาษณ์ทราบว่าปัจจัยหรือผลลัพธ์ที่ศึกษาคืออะไร ทาให้ลาเอียง
หรือชี้นาในการเก็บข้อมูลแก้ไขได้โดยการ blinding หรือ standardize ผู้เก็บข้อมูล
3. ตัวแปรกวน (Confounding Factor) หมายถึงตัว แปรที่มีผ ลต่อการเกิดโรคและมีความสัมพัน ธ์กับ
exposure หากไม่มีการควบคุมตัวแปรนั้นอาจมีผลต่อผลการศึกษาได้ วิธีการลดผลจากตัวแปรกวนมีได้หลาย
วิธีเช่น Randomization Matching Stratified Sampling หรือการใช้สถิติวิเคราะห์ สมการถดถอย
Regression Analysis
ตารางสรุป
Correlation x-sectional cohort Case-control
Selection bias - ปานกลาง น้อย มาก
Recall bias - มาก น้อย มาก
Loss to follow- - - มาก น้อย
up
confounding มาก ปานกลาง น้อย ปานกลาง
เวลา &ค่าใช้จ่าย น้อย ปานกลาง มาก ปานกลาง
นาหนักความเชื่อมั่นและความสามารถในการระบุเหตุผลของการศึกษาทางระบาดวิทยา :
Meta-analysis > RCT > Cohort > Case-control > Analytical cross-sectional > Correlational
study
ค่าทางสถิติ ในงานวิจัย
ระดับของการวัด (Level of measurement)
1. Nominal Scale: ไม่มีลาดับ ไม่สามารถบอกความมากน้อยได้ เช่น เพศ สี ลักษณะ
2. Ordinal Scale: สามารถจัดลาดับได้แต่ไม่สามารถบอกระยะห่างของแต่ละอันดับได้ เช่น ลาดับที่นั่งสอบ
3. Interval Scale: ข้อมูลที่มีระยะห่างคงที่ สามารถเปรียบเทียบได้ ไม่มีศูนย์ที่แท้จริง เช่น อุณหภูมิ
4. Ratio Scale or Continuous Scale: ข้อมูลจานวน ที่มีศูนย์ที่แท้จริง สามารถเทียบจานวนกันได้ เช่น
ส่วนสูง ความยาว
ค่า Alpha คือการ ที่นักวิจัย ปฏิเสธสมมติฐานศูนย์ (Null hypothesis; H0) ทั้งๆ ที่สมมติฐานนั้นถูกต้องแล้ว
โดยทั่วไปมีค่าที่ 0.05 หรือ 0.01
ค่า Beta คือการที่นักวิจัย ยอมรับสมมติฐานศูนย์ ทั้งๆที่สมมติฐานที่ผิด โดยทั่วไปมักมีค่า 0.8 หรือมากกว่า
9
ตัวแปรตาม
ประเภทของกลุ่มทดลอง ค่าต่อเนื่อง ค่าเป็นช่วง
(Interval or Continuous) (Nominal, Ordinal)
1 กลุ่ม 2 กลุ่ม 3 กลุ่มขึ้นไป 1 กลุ่มขึ้นไป
Parametric Dependent One Sample
Paired T-Test ANOVA, Chi-Square Test
(กระจายตัว T-Test
Multiple
ปกติ) Independent Independent
Comparison McNemar Test
T-Test
Non- Dependent Wilcoxon Wilcoxon
Parametric Signed-Rank Signed-Rank
(กระจายตัว Test Test Kruskal
ไม่ปกติ) Independent Mann- Wallis Test
Whitney U
Test
Pharmacoeconomic
Efficacy (ประสิทธิ์ศักย์) ผลของการรักษาภายใต้สถานการณ์ที่ถูกควบคุม (Phase I-III)
Effectiveness (ประสิทธิผล) ผลของการรักษาภายใต้สถานการณ์ที่เป็นจริง (Phase IV)
Efficiency (ประสิทธิภาพ) เปรียบเทียบผลลัพธ์กับทรัพยากรที่ใช้ไป
Direct Medical Cost – ค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการรักษาโรคหรือความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น ตั้งแต่การวินิจฉัย รักษา
ฟื้นฟู เช่น ค่ายา ค่าแพทย์ ค่าวัสดุอุปกรณ์การแพทย์ ค่าห้องของโรงพยาบาล
Direct Non-medical Cost – เป็นค่าใช้จ่ายส่วนอื่นนอกเหนือจากการรักษา เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าที่
พักของญาติ
Indirect Cost – ต้นทุนที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากความเจ็บปวด ซึ่งทาให้ผู้ป่วยต้องเสียรายได้ในช่วงที่ทาการรักษา
Pharmacoeconomic Evaluation
ทางเลือกในการ การพิจารณาต้นทุนกับผลลัพธ์
เปรียบเทียบ เฉพาะต้นทุน เฉพาะผลลัพธ์ ทั้งต้นทุนและผลลัพธ์
มีเพียงทางเลือกเดียว Cost Descriptive Outcome Description Cost-Outcome Description
มีทางเลือกตั้งแต่ 2 Cost Analysis Effectiveness Cost-Benefit Analysis
Evaluation/ Efficacy Cost-Minimization Analysis
ทางเลือกขึ้นไป
Evaluation Cost-Effectiveness Analysis
Cost-Utility Analysis
10
ชนิดการประเมิน ต้นทุน ผลลัพธ์
CBA บาท หน่วยเงิน (บาท)
CMA บาท หน่วยธรรมชาติที่มีค่าเท่ากัน
CEA บาท หน่วยธรรมชาติ เช่น จานวนปีที่มีชีวิตเพิ่มขึ้น จานวนผู้ป่วยที่รักษาหาย
CUA บาท หน่วยธรรมชาติที่มีการรวมคุณภาพเข้ากับปริมาณ เช่น QALY
Pharmacoeconomic Calculating
Net Benefit (ผลได้สุทธิ) หรือ อัตราส่วนผลได้ต่อต้นทุน (B/C RAtio) [ยิ่งมากยิ่งดี]
Net benefit = (Total Benefit)- (Total Cost)
11
Review ข้อสอบ Biopharm 24 ข้อ
1. คานวณ 11 ข้อ (45.83%)
- ความเข้มข้น 4 ข้อ
- ครึ่งชีวิต 4 ข้อ
- Crcl 3 ข้อ
2. กราฟ 4 ข้อ (16.67%)
- therapeutic 1 ข้อ
- toxic 1 ข้อ
- เปรียบเทียบยา 2 ข้อ
3. Bioavaiability/Bioequivalence 2 ข้อ (8.33%)
- BA 1 ข้อ
- BE 1 ข้อ
4. Order kinetic (zero, first) 2 ข้อ (8.33%)
5. อื่นๆ 4 ข้อ (16.67%)
- first pass 3 ข้อ
- ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ onset,duration 1 ข้อ
แยกปี2545-2558
2545 1 ข้อ
2549 2 ข้อ
2553 1 ข้อ
2554 2 ข้อ
2555 4 ข้อ
2558 3 ข้อ
Unknown 10 ข้อ
เตรียมสอบของ PSU 1 ข้อ
12
Biopharmaceutics Cp ความเข้มข้นของยาในเลือด
Pharmacokinetic Parameter Cp =
onset ระยะเวลาตั้งแต่ให้ยาจนเริ่มเกิดฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา Css ค่าความเข้มข้นของยาในเลือดขณะที่อยู่ใน steady state ซึ่งมักเป็น
Duration ระยะเวลาที่แสดงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ช่วงเวลาหลังจากให้ยาซ้าๆ ระดับยาจะค่อยๆสะสมจนเข้าสู่ steady
Therapeutic ช่วงระหว่าง maximum therapeutic concentration (MTC( และ state ซึ่งโดยมากใช้เวลา 3-5 T1/2
index minimum therapeutic concentration (MEC( Loading dose ขนาดยาที่ให้เข้าไประยะแรกเพื่อให้ Cp ใกล้เคียงกับ Css โดยเร็ว นิยม
Bioavaiability ค่าชีวสมมูล ร้อยละของระดับยาในเลือดที่ได้รับจากยารูปแบบต่างๆ ในยาที่มีค่า T1/2 ยาวแต่ต้องการให้ออกฤทธิ์โดยไว parameter สาคัญ
(F) เทียบกับยาฉีด ของ LD คือ Vd
Bioavailability Parameters : Cmax, Tmax, AUC
LD = =
Salt factor (S) ค่าที่แสดงสัดส่วนของ moiety ที่ออกฤทธิ์ของยาที่เป็นรูปเกลือ เช่น
aminophylline มี theophylline ร้อยละ 80 คานวณได้วา่ Maintenance ขนาดยาที่ให้เพื่อรักษาระดับยาในเลือดให้เท่ากับ Css parameter
aminophylline มี S=0.8 dose สาคัญของ MD คือ Cl
Tmax ระยะเวลาตั้งแต่ให้ยาจนระดับยาในเลือดมีค่าสูงสุด (time to Cmax( MD =time interval x
บอกถึงอัตราเร็วในการดูดซึมยา หากเปรียบเทียบยา 2 ตารับทีเ่ ป็นยา CrCl
เดียวกัน (เช่น generic local made กับ original ( ก็ควรจะมีค่า ( x 0.85 ในเพศหญิง(
Tmax ใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากัน First pass การที่ยาถูกแปรสภาพอย่างรวดเร็วทาให้ความเข้มข้นของยาในเลือด
Cmax ระดับยาในเลือดทีส่ ูงที่สุดที่วัดได้ ซึ่งเป็นช่วงที่มีอัตราการให้ยาเข้าสู่ metabolism ลดลงก่อนที่ยาจะเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตทั่วร่างกาย ส่วนใหญ่จะเกิด
ร่างกายเท่ากับอัตราการกาจัดยาออกจากร่างกาย เมื่ อ ให้ ย าโดยรั บ ประทาน ถู ก น าเข้ า ผ่ านตั บ และถู ก แปรสภาพท าให้
AUC พื้นที่ใต้กราฟ concentration-time ซึ่งแสดงถึงปริมาณรวมทีร่ ่างกาย bioavaiability ต่า การให้ยาโดยการฉีดเข้าทางหลอดเลือดดา ทาผิว
ได้รับยา หรือสูดดม รวมถึงยาอมใต้ลิ้น จะไม่ผ่าน first-pass effect
Half life ระยะเวลาที่ใช้เพื่อให้ระดับยาในเลือดลดลงครึ่งหนึ่ง สาหรับยาที่มีการ
กาจัดเป็น first order reaction
T1/2 = 0.693 x =
Vd ปริมาณสมมติที่ต้องใช้เพื่อให้ยาปริมาณหนึ่งที่ร่างกายได้รับมีความ
เข้มข้นเท่ากับที่วัดได้ในเลือด
Vd = Bioequivalence ชีวสมมูล : ความเทียบเท่ากันของผลิตภัณฑ์ยากับผลิตภัณฑ์ยามาตรฐาน
Ka, Ke ค่าคงที่ของการดูดซึม (absorption rate constant(, ค่าคงที่ของการ ในการออกฤทธิ์หรือผลการรักษา โดยที่ตารับยาทั้งสองนั้นต้องมีตัวยา
กาจัดยา (elimination rate constant( สาคัญ ขนาด และรูปแบบเหมือนกันแต่กรรมวิธีการผลิตหรือผูผ้ ลิตนั้น
Cl ความสามารถในการกาจัดยาออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นผลรวมจากก อาจจะต่างกัน
ทางานของไต ตับ และทางอื่น Cl=Ke x Vd (ml/min)
13
การเปลี่ยนสถานะและตาแหน่งของยาในร่างกาย
Zero-Order Kinetics คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่มีอตั ราการ
เปลี่ยนแปลงที่ไม่ขึ้นกับความเข้มข้นเริ่มต้น
ปริมาณ
Slope = -Ke =
Ct = C0- K0t
14