Professional Documents
Culture Documents
เนื้อหาคณิตศาสตร์ (ม 4-ม 6) PDF
เนื้อหาคณิตศาสตร์ (ม 4-ม 6) PDF
* เนื้อหาตามหลักสูตรใหม่ครบทุกบทเรียน ม.4-5-6
* โจทย์แบบฝึกหัดเตรียมความพร้อมกว่า 2,000 ข้อ
* ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยครบทัง้ 14 ฉบับ (2541-2548)
* พร้อมเฉลยคําตอบ วิธคี ดิ และเรือ่ งที่น่ารู้อกี มากมาย..
เหมาะสําหรับเตรียมสอบประจําภาค ม.4-5-6
สอบโควตารับตรง และสอบเข้ามหาวิทยาลัย
Release 2.2
เซต ตรรกศาสตร์/การให้เหตุผล
ระบบจํานวนจริง/ทฤษฎีจํานวน
เรขาคณิตวิเคราะห์
ความสัมพันธ์/ฟังก์ชัน
กําหนดการเชิงเส้น
ฟังก์ชันตรีโกณมิติ
เอกซ์โพเนนเชียล/ลอการิทึม
เมตริกซ์ เวกเตอร์
จํานวนเชิงซ้อน ทฤษฎีกราฟ
ลําดับ/อนุกรม ลิมิต/ความต่อเนื่อง
อนุพันธ์/การอินทิเกรต สถิติ
ความน่าจะเป็น
เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต
ที่เว็บไซต์ http://math.reads.it และไทยแวร์ดอตคอม
Release 2.0 13 ตุลาคม 2548
Release 2.1 28 ธันวาคม 2548
Release 2.2 14 มิถุนายน 2549
สงวนลิขสิทธิต์ ามกฎหมาย
ห้ามลอกเลียนไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดของหนังสือ
เว้นแต่ได้รับอนุญาต
ฉบับตีพิมพ์มีจําหน่ายแล้วที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
ร้านซีเอ็ด ร้านขายแบบเรียนทั่วไป และ
ถนนราชดําเนิน
ตรอกสาเก
ธรรมบัณฑิต โรงแรม
รัตนโกสินทร์ 7-Eleven ร้านธรรมบัณฑิต วัดบูรณศิริ
¤íÒªÕé樧
ภายในหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย เนือ้ หาคณิตศาสตร์ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้น
พื้นฐาน พ.ศ.2544 ช่วงชัน้ ที่ 4 (หรือ ม.4 – ม.6) ครบทุกหัวข้อ (ซึ่งพยายามเขียนให้กระชับ
ที่สุด) และ โจทย์แบบฝึกหัด ที่เรียงลําดับจากง่ายไปยาก พร้อมทั้งเนื้อหาและเทคนิคการ
คํานวณที่ควรทําความเข้าใจเพิ่มเติม เนื้อหาบางบทเรียนสามารถเริ่มทําความเข้าใจได้ทันที แต่
บางบทเรียนก็จําเป็นต้องใช้พนื้ ฐานความรู้จากบทเรียนอื่นประกอบด้วย ดังนั้นเพื่อป้องกันการ
สับสนผู้อ่านควรศึกษาเรียงตามหัวข้อดังนี้
ความน่าจะเป็น เมตริกซ์
ทฤษฎีกราฟ
เอกซ์โพ.+ลอการิทึม อนุพันธ์+อินทิเกรต
แนวโจทย์ข้อสอบเข้าฯ ในปัจจุบัน
โจทย์ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยปัจจุบันนี้เปลี่ยนแนวไป ทําให้หลายคนบ่นว่ายากขึ้นมาก
ส่วนตัวผู้เขียนว่าเป็นข้อสอบที่ดีเพราะเริ่มเน้นความเข้าใจในเนื้อหา ในนิยามหลักๆ ของบทเรียน
ลักษณะข้อสอบแบบนี้อันที่จริงไม่ถือว่ายาก แต่ค่อนไปในทางลึกซึ้งมากกว่า คนที่จะทําข้อสอบแบบนี้
ได้ถูก จะต้องรู้ลึกและแม่นจริง สูตรลัดกลายเป็นสิ่งไร้ค่า และการขยันเรียนที่โรงเรียนโดยตลอด
พร้อมกับทําความเข้าใจในแบบฝึกหัดเพิ่มเติมด้วยตนเอง จะได้ผลดีมากกว่าการกวดวิชา
เรียนคณิตศาสตร์ยังไงให้ได้ผลดี
(1) ปัญหาแรกของคนที่บอกว่าตัวเองเรียนไม่รู้เรื่องเลย ทําโจทย์ไม่เป็นเลย อยู่ที่เรียนผิดวิธี
ครับ ถ้าไม่เข้าใจบทเรียนให้ลองถามตัวเองว่าเกิดจากเหตุใดต่อไปนี้
(ก) ไม่ตั้งใจเรียน กรณีนี้ไม่มีวิธีแก้วิธีใดดีไปกว่าการบังคับตัวเองให้ตั้งใจเรียน :]
(ข) ถ้าตั้งใจแล้วแต่ไม่เข้าใจ แปลว่าผู้สอนอาจจะถ่ายทอดได้ไม่ดี แบบนี้คงต้องย้ายไปเรียนกับคนที่
สอนแล้วเข้าใจ (เข้าใจกับสนุก หรือเข้าใจกับมีสูตรลัดเยอะ เป็นคนละเรื่องกันนะครับ!)
(2) ทีนี้พอเข้าใจบทเรียนแล้ว การที่จะทําได้ดีไม่ดี อยู่ที่การฝึกฝนอีกอย่างหนึ่งด้วย (ถ้านั่ง
ฟังอย่างเดียวแต่ไม่ได้ลงมือฝึกด้วยตัวเองเลย ก็คงคล้ายกับเรียนว่ายน้ําทางทีวีนั่นแหละครับ) ยิ่งทํา
โจทย์เยอะและแปลก จะยิ่งได้เปรียบ เพราะความแม่นยําลึกซึ้งในวิชานั้นสอนกันไม่ได้
อีกสิ่งหนึ่งที่ควรปรับปรุงคือ แทนที่จะจําวิธีแก้โจทย์เป็นรูปแบบตายตัว อยากให้ “มอง
คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือ” คือฝึกมองให้กว้างว่าแต่ละเรื่องที่เรารู้นั้น เอาไปเป็นเครื่องมือช่วย
แก้ปัญหาจุดไหนของเรื่องไหนได้บ้าง ต้องบอกได้ว่าทําไมโจทย์ข้อนี้ถึงควรทําด้วยวิธีนี้ หรือรู้จักมองว่า
เนื้อหาบทไหนเชื่อมโยงถึงกันได้บ้าง (ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ได้แทรกคําอธิบายถึงความเกี่ยวโยงไว้ให้บ้าง
แล้ว) การฝึกแบบนี้น่าจะทําข้อสอบได้ดีขึ้นครับ..
นับตั้งแต่เริ่มลงมือพิมพ์จนวันนี้ (ตุลาคม 2548) ใช้เวลาถึง 2 ปี และหนังสือเล่มนีค้ งจะยังไม่
สําเร็จด้วยดีถ้าขาดบุคคลเหล่านี้ หากหนังสือเล่มนี้มีส่วนดีประการใด ก็เป็นเพราะบุคคลทัง้ หมดนีค้ รับ..
- อาจารย์ทุกท่านโดยเฉพาะอาจารย์คณิตศาสตร์ ที่ได้ให้วิชาความรู้กับผม ขอขอบพระคุณ
อ.ชัยศักดิ์ และ อ.จงดี (สาธิตปทุมวัน) เป็นพิเศษครับ ทั้งสองท่านเป็นต้นแบบที่ดีในการสอน
- ป๊า ม้า ยังคงเข้าใจและยอมเรื่อยมา บอยกับน้องยุ ช่วยพิมพ์เฉลยอย่างขยันขันแข็ง
- ผู้เขียนหนังสือเรียนและคู่มือต่างๆ ผู้ออกข้อสอบเข้าฯ รวมทั้งเว็บไซต์ของ สกอ.
- อ.สมพล (กวงเจ็ก) และ อ.พนม สนพ. Science Center ที่ให้โอกาสนําเสนอผลงาน
- ชง สําหรับความคิดริเริ่มพิมพ์ชีท และกล้า สําหรับความคิดเรื่องข้อสอบพื้นฐานวิศวะ
- น้องภัค น้องหนึ่ง น้องโอ๊ต น้องเคน สําหรับข้อสอบทั้งสองวิชา รวมไปถึงน้องๆ ทั้งหลาย
ที่เคยเป็นศิษย์กันมา ตั้งแต่ใช้ชีทลายมือเขียนมาจนกระทั่งพิมพ์เสร็จ (ขึ้นหลักร้อยแล้ว แต่ยังจําได้
ทุกคนครับ) โดยเฉพาะแอน, เนย์, เภา, ตูน เป็นน้องกลุ่มแรกที่ได้ใช้หนังสือเล่มนี้ ให้คําแนะนํา และ
ช่วยตรวจแก้ข้อสอบด้วย
- ความร้ายกาจของ “เจ๊ชุดดํา” แห่งฟู้ดเซ็นเตอร์ชั้น 3 ที่ทําให้เกิดความคิดว่า คนเราควร
ทํางานในหน้าทีข่ องตัวเองให้ดีที่สุด แล้วผมก็เดินกลับบ้านมาเริ่มพิมพ์หนังสือเมื่อสองปีที่แล้ว!
- Thaiware.com, se-ed.net, f0nt.com ... สามเว็บไทยใจดี
ÊÒÃa¡ÒÃeÃÕ¹ÃÙ
(e¹×éoËÒ·ÕèãªÊoº O-NET / A-NET)
ตั้งแต่ปีการศึกษา 2549 เป็นต้นไป การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยจะเปลี่ยนระบบ
เป็นแอดมิสชัน่ ส์ (Central University Admissions System) ซึ่งแบ่งคะแนนสอบออกเป็น 4 ส่วน
1. GPAX รวมทุกวิชาในระดับ ม.ปลาย [10%]
2. GPA เฉพาะวิชาหลัก 4-5 วิชา ต่างๆ กันไปแล้วแต่คณะที่เลือก [20%]
3. O-NET (Ordinary National Educational Test) สอบรวมทั้งประเทศ [35%-40%]
เป็นข้อสอบบังคับ นักเรียนทุกสาขาจะต้องสอบ มี 5 วิชาได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษา (ระยะเวลาในการสอบ วิชาละ 2 ชั่วโมง) ... ซึ่ง
นักเรียนแต่ละคนสอบ O-NET ได้เพียงปีเดียว หลังจบ ม.6
4. A-NET (Advanced National Educational Test) สอบรวมทั้งประเทศ [30%-35%]
เป็นข้อสอบฉบับเพิ่มเติม มีรายวิชาต่างกันไปตามสาขาที่สอบ (ไม่เกิน 3 วิชา และอาจมี
วิชาความถนัดของแต่ละสาขาด้วย เช่น วิศวะฯ สถาปัตย์ ครู ศิลปะ ดนตรี สุขศึกษา) ข้อสอบจะ
ครอบคลุมเนื้อหากว้างและลึกกว่า O-NET (ระยะเวลาในการสอบ วิชาละ 2 ชั่วโมง ยกเว้น
วิทยาศาสตร์ 3 ชั่วโมง) โดยคณิตศาสตร์จะใช้สอบสําหรับนักเรียนที่เลือกสาขาคํานวณเท่านั้น ...
นักเรียนแต่ละคนสอบ A-NET ได้ 3 ปี
ค่าน้ําหนักของวิชาคณิตศาสตร์ในการสอบแต่ละสาขา
- สาขาบริหารธุรกิจ พาณิชย์ บัญชี เศรษฐศาสตร์ | GPA 4% | O-NET 7% | A-NET 20%
- สาขาวิศวกรรมศาสตร์ และสาขาเกษตร | GPA 4% | O-NET 8% | A-NET 10%
- สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม | GPA 5% | O-NET 7% | A-NET 10%
- สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ | GPA 4% | O-NET 7% | A-NET 10%
- สาขาสังคมศาสตร์ | GPA 5% (เลือกวิชาอื่นแทนได้) | O-NET 20%
- สาขาการจัดการ การท่องเที่ยว | GPA 5% | O-NET 14%
- สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ | GPA 5% | O-NET 8%
- สาขาครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ | GPA 4% | O-NET 8%
- สาขาวิทยาศาสตร์สาธารณสุข พลศึกษา การกีฬา | GPA 4% | O-NET 7%
- สาขาศิลปกรรม วิจิตรศิลป์ ประยุกต์ศิลป์ | GPA ไม่ใช้คณิตศาสตร์ | O-NET 7%
- สาขามนุษยศาสตร์ | GPA 5% (เลือกวิชาอื่นแทนได้) | O-NET 7-10% | A-NET ไม่แน่นอน
ÊÒúa
เรื่อง หน้า
บทที่ 1 เซต 11
1.1 สับเซตและเพาเวอร์เซต 12
1.2 แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ และการดําเนินการของเซต 15
1.3 โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับเซต 21
บทที่ 2 ระบบจํานวนจริง 31
2.1 สมบัติของจํานวนจริง 32
2.2 ทฤษฎีบทเศษเหลือ และตัวประกอบ 36
2.3 อสมการ 39
2.4 ค่าสัมบูรณ์ 44
2.5 ทฤษฎีจํานวนเบื้องต้น 48
เรื่องแถม ถ้าไม่มีเครื่องคํานวณ จะหาค่ารากที่สองได้อย่างไร 58
บทที่ 3 ตรรกศาสตร์ 59
3.1 ตัวเชื่อมประพจน์ และตารางค่าความจริง 60
3.2 สัจนิรันดร์ 63
3.3 การอ้างเหตุผล 65
3.4 ประโยคเปิดและตัวบ่งปริมาณ 67
3.5 การให้เหตุผลแบบอุปนัยและนิรนัย 69
เรื่องแถม มองตรรกศาสตร์ให้เป็นการคํานวณ จากพื้นฐานของดิจิตัล 82
บทที่ 4 เรขาคณิตวิเคราะห์ 83
4.1 เบื้องต้น : จุด 84
4.2 เบื้องต้น : เส้นตรง 86
4.3 ภาคตัดกรวย : พื้นฐานการเขียนกราฟ 92
4.4 ภาคตัดกรวย : วงกลม 94
4.5 ภาคตัดกรวย : พาราโบลา 96
4.6 ภาคตัดกรวย : วงรี 99
4.7 ภาคตัดกรวย : ไฮเพอร์โบลา 102
เรื่อง หน้า
5.4 ลักษณะของฟังก์ชัน 127
5.5 ฟังก์ชันประกอบ และฟังก์ชันผกผัน 131
เรื่องแถม หลักในการหาโดเมนและเรนจ์ของฟังก์ชัน fog 146
เรื่อง หน้า
บทที่ 11 จํานวนเชิงซ้อน 251
11.1 การคํานวณเบื้องต้น 252
11.2 สังยุค และค่าสัมบูรณ์ 254
11.3 รูปเชิงขั้ว 256
11.4 สมการพหุนาม 259
เรื่องแถม ใช้จาํ นวนเชิงซ้อนช่วยคํานวณเกี่ยวกับวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ 268
เรื่อง หน้า
บทที่ 17 สถิติ 359
17.1 การรวบรวมและนําเสนอข้อมูล 360
17.2 ค่ากลางของข้อมูล 363
17.3 ตําแหน่งสัมพัทธ์ของข้อมูล 374
17.4 ค่าการกระจายของข้อมูล 378
17.5 ค่ามาตรฐาน และการแจกแจงแบบปกติ 383
17.6 ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล 388
โจทย์ทดสอบ : เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ชุดที่ 1 (มี 2 ส่วน, 70 ข้อ) 588
ชุดที่ 2 (35 ข้อ) 606
{ s,e,t }
º··Õè 1 e«µ
“กลุ่มของสิ่งต่างๆ” ในวิชาคณิตศาสตร์จะ
เรียกว่า เซต (Set) เช่น เซตของชื่อวันทั้งเจ็ด, เซต
ของจํานวนเต็มที่ยกกําลังสองแล้วมีค่าน้อยกว่า 7, เซต
ของจํานวนเฉพาะบวกที่หาร 360 ลงตัว, ฯลฯ สิ่งที่อยู่
ภายในแต่ละเซต เรียกว่า สมาชิก (Element หรือ
Member)
นิยมตั้งชื่อเซตด้วยอักษรตัวใหญ่ เช่น A, B, C และเขียนสัญลักษณ์แทนเซตด้วยวงเล็บ
ปีกกา ดังนี้ { } เช่น ให้ A แทนเซตของชื่อวันทั้งเจ็ด, B แทนเซตของจํานวนเต็มที่ยกกําลังสอง
แล้วมีค่าน้อยกว่า 7, C แทนเซตของจํานวนเฉพาะบวกที่หาร 360 ลงตัว, D แทนเซตของจํานวน
เฉพาะบวกที่น้อยกว่า 7, และ E แทนเซตของจํานวนเต็มที่อยู่ระหว่าง 3 ถึง 33 จะได้ว่า
A = { อาทิตย์, จันทร์, อังคาร, พุธ, พฤหัสบดี, ศุกร์, เสาร์ }
การเขียนแจกแจงสมาชิกของเซต จะคั่นระหว่างสมาชิกแต่ละตัวด้วยจุลภาค (comma)
B = {−2, −1, 0, 1, 2} หรือ B = {0, 1, −1, 2, −2}
การเขียนแจกแจงสมาชิกของเซต สามารถสลับที่สมาชิกในเซตได้โดยความหมายไม่เปลี่ยน
C = {2, 3, 5} D = {2, 3, 5} จะกล่าวได้ว่า C = D
สมาชิกตัวที่ซ้ํากันนับเป็นตัวเดียวกัน และไม่ต้องเขียนซ้ํา ( 360 = 2 × 2 × 2 × 3 × 3 × 5 )
E = {4, 5, 6, 7, ..., 32}
หากมีสมาชิกเป็นจํานวนมาก อาจใช้เครื่องหมายจุด “...” เพื่อละสมาชิกบางตัวไว้ในฐานที่เข้าใจ
ข้อควรทราบ
1. เซตว่างเป็นสับเซตของทุกเซต ∅ ⊂ A
2. เซตทุกเซตเป็นสับเซตของตัวเอง A ⊂ A
3. เซตที่มีสมาชิก n ตัว จะมีสับเซตทั้งสิ้น 2 n แบบ ... (เช่นในตัวอย่างข้างต้น 2 4 = 16 )
4. บางตําราใช้สัญลักษณ์ ⊂ แทนการเป็น สับเซตแท้ (Proper Subset) ซึ่งจะมีเพียง 2 n − 1 แบบ
เท่านั้น (คือนับเฉพาะเซตที่เล็กกว่าเท่านั้น ไม่นับตัวมันเอง) และใช้สัญลักษณ์ ⊆ แทนการเป็นสับ
เซตใดๆ (นั่นคือ A ⊆ A แต่ A ⊄ A ) ... แต่ในเล่มนี้จะรวบใช้เครื่องหมาย ⊂ แทนการเป็นสับ
เซตใดๆ ทุกแบบ รวมถึงตัวมันเองด้วย
เพิ่มเติม จากเนื้อหาเรื่องการเรียงสับเปลี่ยนและจัดหมู่
(กฎการนับนี้จะได้ศึกษาอย่างละเอียดในบทที่ 16 หัวข้อ 16.3)
⎛n⎞ n!
มีของ n ชิ้น หยิบออกมาทีละ r ชิ้น ได้ไม่ซ้ํากันทัง้ สิ้น ⎜r ⎟ = ชุด
⎝ ⎠ (n −r)! ⋅ r !
โดยที่ x ! = 1 ⋅ 2 ⋅ 3 ⋅ ... ⋅ x
เช่นถ้าเซตหนึ่งมีสมาชิก 7 ตัว จะมีสับเซตที่หยิบสมาชิกมาเพียง 3 ตัว
7
อยู่ ⎛⎜ 3 ⎞⎟ = 7 ! = 1 ⋅ 2 ⋅ 3 ⋅ 4 ⋅ 5 ⋅ 6 ⋅ 7 = 35 แบบ
⎝ ⎠ 4!⋅ 3! 1⋅2 ⋅ 3 ⋅ 4 ⋅ 1⋅2 ⋅ 3
แบบฝึกหัด 1.1
(1) กําหนด A, B เป็นเซตที่มีลักษณะ A ⊂ B และ A ≠ B ถ้า x ∈ A และ y ∈B แล้ว
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(1.1) {x} ⊂ B (1.3) {A} ⊂ {B}
(1.2) {y} ⊄ A (1.4) {A} ≠ {B}
(3) ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องหรือไม่
(3.1) ถ้า A ⊂ B และ B ⊂ C แล้ว A ⊂ C
(3.2) ถ้า A ∈ B และ B ∈ C แล้ว A ∈ C
(3.3) ถ้า A ⊄ B และ B ⊄ C แล้ว A ⊄ C
(5) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(5.1) ถ้า n (A) = 5 แล้ว สับเซตของ A มีทั้งหมด 32 แบบ
(5.2) ถ้า n (A) = 5 แล้ว สับเซตแท้ของ A มีทั้งหมด 32 แบบ
(5.3) ถ้า n (A) = 5 แล้ว เพาเวอร์เซตของ A มีทั้งหมด 32 แบบ
(5.4) ถ้า n (A) = 5 แล้ว สมาชิกของเพาเวอร์เซตของ A มีทั้งหมด 32 ตัว
(6) ถ้า A มีสับเซตแท้ 511 เซต แสดงว่า A มีสมาชิกกี่ตัว
และในจํานวน 511 เซตนั้น สับเซตที่มีสมาชิกเพียง 5 ตัวมีกี่เซต
(7) ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องหรือไม่
(7.1) ∅ ∈ ∅ (7.5) ∅ ∈ P (∅)
(7.2) ∅ ⊂ ∅ (7.6) ∅ ⊂ P (∅)
(7.3) ∅ ∈ {∅} (7.7) {∅} ∈ P (∅)
(7.4) ∅ ⊂ {∅} (7.8) {∅} ⊂ P (∅)
(9) ถ้า A = {∅, 1, 2, 3, {1}, {1, 2}, {1, 2, 3}} แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(9.1) {∅, {1}, {1, 2}} ∈ P (A) (9.3) {{1}, {2}, {3}} ∈ P (A)
(9.2) {∅, {1}, {1, 2}} ⊂ P (A) (9.4) {{1}, {2}, {3}} ⊂ P (A)
(10) [Ent’39] ให้ S = {1, 2, 3, 4, 5, 6, 7} แล้วจงหา n (X) และ n (Y)
เมื่อกําหนด X = { A ∈ P (S) | 1 ∈ A และ 7 ∉ A }
และ Y = { A ∈ X | ผลบวกของสมาชิกภายใน A ไม่เกิน 6 }
U U U
A
A B A B B
A และ B ไม่มีสมาชิกร่วมกัน A และ B มีสมาชิกร่วมกัน A เป็นสับเซตของ B
สมมติว่า A = {0, 1, 2, 3, 4} U
B = {1, 3, 5, 7, 9} 04 1 9 B
A
C = {2, 3, 5, 7, 11} 2 3 57
จะเขียนแผนภาพได้ดังนี้ 11
C
การดําเนินการเกี่ยวกับเซต เป็นการทําให้เกิดเซตใหม่ขึ้นจากเซตที่มีอยู่เดิม
1. ยูเนียน (Union : ∪ ) ... เซต A ∪ B คือเซตของสมาชิกที่อยู่ใน A หรือ B ทั้งหมด
U U U
A
A B A B B
ยูเนียนของ A กับ B ได้เป็น B
2. อินเตอร์เซกชัน (Intersection : ∩ ) ... เซต A ∩ B คือเซตของสมาชิกที่อยู่ในทั้ง A และ B
บางตําราใช้สัญลักษณ์เป็น AB (คือ ละเครื่องหมายอินเตอร์เซคชันไว้)
U U U
A
A B A B B
อินเตอร์เซกชันของ A กับ B เป็นเซตว่าง อินเตอร์เซกชันของ A กับ B เป็น A
A B A B B
ข้อสังเกต โดยทั่วไป n (B − A) ≠ n (B) − n (A) แต่ n (B − A) = n (B) − n (A ∩ B)
สมบัติที่เกี่ยวกับการดําเนินการของเซต
• การแจกแจง • คอมพลีเมนต์ และเพาเวอร์เซต
A ∩ (B ∪ C) = (A ∩ B) ∪ (A ∩ C) (A ∪ B) ' = A '∩ B '
A ∪ (B ∩ C) = (A ∪ B) ∩ (A ∪ C) (A ∩ B) ' = A '∪ B '
A − (B ∪ C) = (A − B) ∩ (A − C) P (A) ∩ P (B) = P (A ∩ B)
A − (B ∩ C) = (A − B) ∪ (A − C) P (A) ∪ P (B) ⊂ P (A ∪ B)
• ตัวอยาง ถา C = {∅, {∅}, 0, {{∅}, 0}, {∅, {0}}, {{∅, {0}}}} ใหหาคาของ
ก. n (P (C))
6
ตอบ เนื่องจาก n (C) = 6 ดังนั้น n (P (C)) = 2 = 64
ข. n (P (C) − C)
ตอบ n (P (C) − C) ไมไดคิดจาก 64 − 6 = 58 ... เพราะโดยทั่วไปสมาชิกของ C นัน้ ไมไดอยูใน
P (C) ทั้งหมด การจะคิด n (P (C) − C) ตองดูวา สมาชิกของ C นั้นอยูใ น P (C) กี่ตัว
เริ่มพิจารณาเรียงไปทีละตัว เริ่มจาก ∅ “อยู” (เพราะ ∅ เปนสับเซตของทุกเซต นอกจากนั้น
การเขียนเพาเวอรเซตใหเปนระเบียบยังมักจะเริ่มดวย ∅ ) ... ตอมา {∅} ก็ “อยู” อยูในขั้นตอนที่หยิบ
สมาชิกจาก C ไปหนึ่งตัว (เซตวางที่ปรากฏในนี้เปนสมาชิกตัวแรกสุดใน C ) หรือกลาววา “อยู” เพราะ
∅ ∈ C ... ตอมา 0 อันนี้ “ไมอยู” เพราะไมใชเซต สิ่งที่อยูใ นเพาเวอรเซตใดๆ ได ตองเปนเซต!... ตอมา
{{∅}, 0} อันนี้ “อยู” มาจากขั้นตอนที่หยิบสมาชิกจาก C ไปสองตัว (ในที่นี้เปนตัวสองกับตัวสาม) หรือ
กลาววา “อยู” เพราะ {∅} ∈ C และ 0 ∈ C ... ตอมา {∅, {0}} อันนี้ “ไมอยู” เพราะ {0} ∉ C ...
และสุดทาย {{∅, {0}}} อันนี้ก็ “อยู” เพราะวา {∅, {0}} ∈ C มาจากขั้นตอนที่หยิบสมาชิกจาก C ไป
หนึ่งตัว (เปนตัวที่หา) นั่นเอง
สรุปแลว สมาชิกของ C นั้นอยูใน P (C) 4 ตัว ดังนั้น n (P (C) − C) = 64 − 4 = 60
ค. n (C − P (C))
ตอบ n (C − P (C)) ก็ไมไดคดิ จาก 6 − 64 ... แตตองดูวา สมาชิกของ P (C) นัน้ อยูใ น C กี่ตัว ซึ่งมี
วิธีคิดเชนเดียวกับขอ ข. คือได 4 ตัว หรือกลาววา n (C ∩ P (C)) = 4 ... ดังนั้น จึงทําให
n (C − P (C)) = 6 − 4 = 2
หากดูแผนภาพประกอบจะเขาใจยิ่งขึ้น
เราทราบวา (ขอ ก.) n (C) = 6 และ n (P (C)) = 64 2 4 60
จากนั้นนับในขอ ข. วา n (C ∩ P (C)) = 4
จึงได (ข.) n (C − P (C)) = 2 และ (ค.) n (P (C) − C) = 60 C P(C)
ง. n [(P (C) − C) ∪ (C − P (C))]
ตอบ จากขอ ข. กับ ค. (หรือจากแผนภาพ) ไดคําตอบเปน 60 + 2 = 62
แบบฝึกหัด 1.2
(11) กําหนดให้ A ∪ B = {0, 1, 2, 3, 4, 5} A ∩ B = {1, 3, 5} B ∩ C = {2, 3, 5}
A ∪ C = {0, 1, 2, 3, 5} A ∩ C = {0, 3, 5} แล้ว ข้อใดผิด
ก. A ∩ B ' = {0} ข. B ∩ C ' = {1} ค. A ∩ C ' = {1} ง. B ∩ A ' = {2, 4}
(13) [Ent’38] ถ้า A = {0, 1} และ B = {0, {1}, {0, 1}} แล้ว
(13.1) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด A ∈ P (B)
(13.2) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด {1} ∈ P (A) ∩ P (B)
(13.3) ค่าของ n (P (A ∪ B)) − n (P (A ∩ B)) เป็นเท่าใด
(14) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(14.1) ∅ ' = U (14.7) A ∩ A ' = ∅
(14.2) U ' = ∅ (14.8) A ∪ A ' = U
(14.3) A ⊂ (A ∪ B) (14.9) A − U = ∅ และ U − A = A '
(14.4) B ⊂ (A ∪ B) (14.10) A − ∅ = A และ ∅ − A = ∅
(14.5) (A ∩ B) ⊂ A (14.11) A − A = ∅
(14.6) (A ∩ B) ⊂ B (14.12) A − B = A ∩ B '
(15) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(15.1) ถ้า A ⊂ B แล้ว P (A) ⊂ P (B)
(15.2) ถ้า A ∪ B = ∅ แล้ว A = ∅ และ B = ∅
(15.3) ถ้า A ∩ B = ∅ แล้ว A = ∅ และ B = ∅
(15.4) ถ้า A − B = ∅ และ B − C = B แล้ว A ' ∪ C ' = U
(15.5) ถ้า A − B = ∅ และ B − C ≠ ∅ แล้ว A − C ≠ ∅
(16) สําหรับเซต A, B ใดๆ ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(16.1) A ∩ B ≠ A ∪ B (16.5) ถ้า x ∉ A แล้ว x ∉ A ∪B
(16.2) A − B ≠ B − A (16.6) ถ้า x ∈ A แล้ว x ∉ A '∩B'
(16.3) A ∩ B = A − B ' (16.7) ถ้า x ∉ A แล้ว x ∈ A '∩B'
(16.4) (A ∪ B) ' = B '− A (16.8) ถ้า x ∈ A แล้ว x ∈ (A ' ∪ B ') '
(17) เขียนเซตต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปที่สั้นที่สุด
(17.1) A − (A ∩ B) (17.6) (A ∪ B) − B
(17.2) (A − B) ∪ B (17.7) (A ∩ B) − B
(17.3) (A − B) ∩ B (17.8) A − (A − B)
(17.4) A ∩ (A − B) (17.9) (A − B) ∩ (B − A ')
(17.5) A ∪ (A − B)
(18) ข้อความต่อไปนี้เป็นจริงหรือไม่
(18.1) ถ้า A ∪ C = B ∪ C แล้ว A = B
(18.2) ถ้า A ∩ C = B ∩ C แล้ว A = B
(18.3) ถ้า A − C = B − C แล้ว A = B
(18.4) ถ้า A ' = B ' แล้ว A = B
(19) ให้บอกเงื่อนไขที่ทําให้ A −B = A อย่างน้อย 3 กรณี
(20) เขียนเซตต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปที่สั้นที่สุด
(20.1) [Ent’21] (A − B) ∪ (B − A) ∪ (A ∩ B)
(20.2) [A ∩ (A '∪ B)] ∪ [B ∩ (B '∪ A ')]
(20.3) ([(A − B) ∪ (B − A)] − A ') ∪ ( A '− [(A − B) ∪ (B − A)])
(20.4) [(A ∪ B) '∩ (B − C ')] ∪ ([(D − E) ∩ (C '− E ')] ∪ (A − E ')) '
(21) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(21.1) (A ∩ B ∩ C) ∪ (A '∩ B ∩ C) ∪ (B '∪ C ') = U
(21.2) (A ∩ B ∩ C ∩ D ') ∪ (A '∩ C) ∪ (B '∩ C) ∪ (C ∩ D) = C
(21.3) P (A ∩ B) ⊂ P (A ∪ B)
(21.4) P (A − B) ∩ P (B − A) = {∅}
(21.5) ถ้า A ⊂ B แล้ว P (A ∪ B) = P (A) ∪ P (B)
(22) ให้ A = {0, 1, 2, 3} , B = {{0}, 1, 2, {3}} และ C = {0, {1}, {2}, 3}
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(22.1) P (A) ∩ P (B) ∩ P (C ') = {∅, {1}, {2}, {1, 2}}
(22.2) P (A) ∩ P (B ') ∩ P (C) = {∅, {0}, {3}, {0, 3}}
(22.3) P (A ') ∩ P (B) ∩ P (C) = {∅, {0}}
(22.4) P (A) ∩ P (B ') ∩ P (C ') = {∅}
(23) ถ้า n (U) = 35 , n (A) = 22 , n (B) = 18
ให้หาว่า n (A '∩ B ') จะมีค่ามากที่สุดได้เท่าใด
(24) ถ้า n (A) = a , n (B) = b , n (C) = c , n (D) = d
n (A ∩ B) = b , n (B ∩ C) = c , n (C ∩ D) = d แล้ว
ให้หา n (A ∩ B ∩ C ∩ D) และ n (A ∪ B ∪ C ∪ D)
1.3 โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับเซต
• โจทย์ปัญหาที่เป็นเหตุการณ์ จะใช้แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ ช่วยในการคํานวณส่วนประกอบต่างๆ
และมีสูตรในการหาจํานวนสมาชิกในเซตเพิ่มเติมดังนี้
สําหรับ 2 เซต ·íÒ¤ÇÒÁe¢Ò㨴ÇÂÃÙ»ÀÒ¾¡ç´Õ¹a¤Ãaº..
n (A ∪ B) = n (A) + n (B) − n (A ∩ B) = + -
สําหรับ 3 เซต
n (A ∪ B ∪ C) = n (A) + n (B) + n (C) − n (A ∩ B) = + +
− n (A ∩ C) − n (B ∩ C) + n (A ∩ B ∩ C)
- - - +
แบบฝึกหัด 1.3
(37) นักเรียน 80 คน เป็นนักกีฬา 35 คน เป็นนักดนตรี 27 คน และไม่ได้เป็นทั้งนักกีฬาและนัก
ดนตรี 32 คน ถามว่ามีนักเรียนที่ไม่ได้เป็นนักกีฬา หรือ ไม่ได้เป็นนักดนตรี อยู่กี่คน
(38) [Ent’33] จากการสํารวจนักเรียนห้องหนึ่ง พบว่ามี 20 คนที่เรียนฝรั่งเศสหรือคณิตศาสตร์
(โดยที่หากเรียนฝรั่งเศสแล้วต้องไม่เรียนคณิตศาสตร์) มี 17 คนที่ไม่เรียนคณิตศาสตร์ และมี 15
คนที่ไม่เรียนฝรั่งเศส แล้วมีกี่คนที่ไม่เรียนทั้งสองวิชานี้เลย
(39) [Ent’34] จากการสอบถามผู้ดื่มกาแฟ 20 คน พบว่าจํานวนผู้ใส่ครีม น้อยกว่าสองเท่าของผู้ใส่
น้ําตาลอยู่ 7 คน และจํานวนผู้ที่ใส่ทั้งครีมและน้ําตาล เท่ากับจํานวนผู้ที่ไม่ใส่ทั้งครีมและน้ําตาล
ดังนั้นมีผู้ที่ใส่ครีมทั้งหมดกี่คน
(40) พนักงานบริษัท 34 คน ถูกสํารวจเกี่ยวกับการสวมนาฬิกา แว่นตา และแหวน ปรากฏว่าสวม
แว่นอย่างเดียว 5 คน จํานวนคนสวมนาฬิกามากกว่าจํานวนคนสวมแว่นตาอยู่ 1 คน จํานวนคนไม่
สวมนาฬิกาเป็น 3 เท่าของจํานวนคนสวมแหวน นอกจากนั้น คนสวมแหวนทุกคนสวมแว่น แต่คน
สวมนาฬิกาไม่มีคนใดสวมแว่น จะมีคนสวมนาฬิกากี่คน
(41) [Ent’26] นักเรียนคนหนึ่งไปพักผ่อนที่พัทยา ตลอดช่วงเวลานั้นเขาสังเกตได้ว่ามีฝนตก 7 วัน
ในช่วงเช้าหรือเย็น โดยถ้าวันใดฝนตกช่วงเช้าแล้วจะไม่ตกในช่วงเย็น, มี 6 วันที่ฝนไม่ตกในช่วงเช้า
และมี 5 วันที่ฝนไม่ตกในช่วงเย็น ถามว่านักเรียนคนนี้ไปพักผ่อนที่พัทยากี่วัน
(42) จากการสํารวจสายตาและสุขภาพฟันของนักเรียน 160 คน ซึ่งมีนักเรียนชายอยู่ 100 คน
(นักเรียนชายสายตาไม่ดี 30 คน และฟันผุ 35 คน) พบว่ามีนักเรียนที่สายตาดีและฟันไม่ผุอยู่ 80
คน (เป็นชาย 55 คน) และมีนักเรียนที่สายตาไม่ดีทั้งหมด 50 คน ฟันผุทั้งหมด 60 คน ถามว่ามี
นักเรียนที่สายตาดี หรือ ฟันไม่ผุ รวมทั้งหมดกี่คน
(43) ในจํานวนนักเรียน 35 คนซึ่งเป็นหญิง 11 คน ถ้าพบว่าชอบเล่นบาสเกตบอลกับฟุตบอลอย่าง
น้อยคนละอย่าง โดยมีนักเรียนชาย 16 คนชอบบาสเกตบอล นักเรียนหญิง 7 คนชอบฟุตบอล
นักเรียนชอบบาสเกตบอลทั้งหมด 23 คน ฟุตบอล 21 คน ถามว่านักเรียนชายที่ชอบทั้งสองอย่างมีกี่
คน
(44) โรงเรียนแห่งหนึ่งมีนักเรียนชาย 600 คน หญิง 500 คน ในจํานวนนี้มีนักเรียนที่มาจาก
ต่างจังหวัดรวม 300 คน เป็นผู้ชาย 200 คน และมีนักกีฬารวม 50 คน เป็นผู้ชาย 30 คน โดยมี
นักกีฬาที่มาจากต่างจังหวัด 25 คน เป็นชาย 15 คน ถามว่านักเรียนชายที่ไม่ได้มาจากต่างจังหวัด
และไม่ได้เป็นนักกีฬาด้วย มีกี่คน
(45) เซตของจํานวนเต็มเซตหนึ่ง หากนํา 3 หรือ 4 ไปหารจะปรากฏว่า 4 หารลงตัวอย่างเดียว 6
จํานวน, 3 หารลงตัวทั้งหมด 8 จํานวน ซึ่งเป็นจํานวนคู่ 3 จํานวน, ทั้ง 3 และ 4 หารลงตัว มี 2
จํานวน, และ 4 หารไม่ลงตัว 18 จํานวน ซึ่งเป็นจํานวนคู่ 4 จํานวน ถามว่าจํานวนสมาชิกของเซตนี้
เป็นเท่าใด, จํานวนคู่ในเซตนี้มีกี่จํานวน, และมีจํานวนที่ 3 หรือ 4 หารไม่ลงตัวกี่จํานวน
(46) [Ent’31] จากการสํารวจความนิยมของผู้ไปเที่ยวสวนสัตว์ 100 คน พบว่า 50 คนชอบช้าง, 35
คนชอบลิง, 25 คนชอบหมี, 32 คนชอบแต่ช้าง, 20 คนชอบหมีแต่ไม่ชอบลิง, 10 คนชอบช้างและลิง
แต่ไม่ชอบหมี, ให้หาจํานวนคนที่ไม่ชอบสัตว์ทั้งสามชนิดนี้เลย
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) ข้อ (1.1) และ (1.4) ถูก (17.1) A − B (17.2) A ∪ B (29.1) 16
(2) ข้อ (2.1) และ (2.3) ถูก (17.3) ∅ (17.4) A − B (29.2) (8 − 1)× 16
(3) ข้อ (3.1) ถูก (17.5) A (17.6) A − B (30.1) 64
(4) ข้อ (4.3) ผิด (17.7) ∅ (17.8) A ∩ B (30.2) (16 − 1)× 64
(5) ข้อ (5.1) และ (5.4) ถูก (31.1) 16 (31.2) 16
(6) 9 ตัว, 126 เซต (17.9) ∅ (31.3) 8 (31.4) 24
(7) ข้อ (7.1) และ (7.7) ผิด (18) ข้อ (18.4) ถูก (32) 16 (33) 4
(8) ข้อ (8.6), (8.8), (8.10) ผิด (19) A = ∅ หรือ B = ∅ (34) 56 (35) 31
(9) ข้อ (9.3) ผิด หรือ A ∩ B = ∅ (36) 13 (37) 66
(10) 32, 6 (20.1) A ∪ B (20.2) B (38) 6 (39) 11
(11) ข. (20.3) B ' (20.4) (A ∩ E) ' (40) 13 (41) 9
(12) {1, 2, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10} (21) ถูกทุกข้อ (22) ข้อ (22.3) ผิด (42) 130 (43) 6
(13) ผิด, ผิด, 16-2 (23) 13 (24) d, a (25) ง. (44) 385
(14) ถูกทุกข้อ (26) ข้อ (26.4) ผิด (45) 26, 12, 24
(15) ข้อ (15.3) และ (15.5) ผิด (27) 61+3 (46) 13 (47) 20
(16) ข้อ (16.3),(16.4),(16.6) ถูก (28.1) 8 (28.2) 32 (48) ค. (49) 22-13
(50) 26
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1.1) ถูก เพราะ ถ้า x ∈ A (7.1) ผิด เพราะเซตว่างตัวขวาต้องไม่มีสมาชิก
แสดงว่า x ∈ B ด้วย ดังรูป A → แต่ถ้าเป็นแบบข้อ (7.3) จะถูก
(1.2) ผิด เพราะโจทย์บอกแค่ x (7.2) ถูก เพราะว่าเซตว่างตัวขวามีซับเซต 20 = 1
เพียง y ∈ B , ยังไม่ชัดเจนว่า B แบบ คือ ∅ (ตัวมันเอง)
y ∈ A หรือไม่ (อาจจะอยู่หรือไม่อยู่) หรืออาจบอกว่าเพราะ “ ∅ (ตัวซ้าย) จะเป็นสับเซต
(1.3) ผิด ถ้า {A} ⊂ {B} แสดงว่า A ∈ {B} ซึ่ง ของเซตใดๆ ทุกเซต” ก็ได้
ผิด เพราะ {B} มีสมาชิกตัวเดียวคือ B (7.4) ถูก เหตุผลเดียวกับข้อ (7.2) นั่นคือ รูปแบบ
∅ ⊂ , จะถูกเสมอ → ดังนั้น (7.6) ก็ถก ู เช่นกัน
(1.4) ถูก เพราะ A ≠ B (โจทย์กําหนด) ดังนั้น
{A} ≠ {B} แน่นอน (7.5) ถูก เพราะ ∅ ∈ P(∅) แปลว่า ∅ ⊂ ∅ (จะ
(2.1) ถูก (ในโจทย์นั้น A มีสมาชิกอยู่ 5 ตัว และ เหมือนกับโจทย์ขอ้ 7.2)
{∅} เป็นสมาชิกอยู่ในลําดับแรกสุด) (7.7) ผิด เพราะ {∅} ∈ P(∅) แปลว่า {∅} ⊂ ∅
(2.2) ผิด เพราะ {∅} ⊂ A แปลว่า ∅ ∈ A ซึ่งไม่ และแปลว่า ∅ ∈ ∅ (จะเหมือนกับโจทย์ขอ้ 7.1)
จริง (7.8) ถูก เพราะ {∅} ⊂ P(∅) แปลว่า ∅ ∈ P(∅)
(2.3) ถูก เพราะ {{a}, b} ⊂ A แปลว่า {a} ∈ A และแปลว่า ∅ ⊂ ∅ ถูก (จะเหมือนกับโจทย์ข้อ
และ b ∈ A ซึ่งจริง 7.2)
(2.4) {a, b} ∈ A ถูก (เป็นสมาชิกอยู่ในลําดับ (8.1) ∅ ∈ P(A) แปลว่า ∅ ⊂ A → ถูกเสมอ ไม่
สุดท้ายในโจทย์) แต่ {a, b} ⊄ A นัน้ ผิด ว่า A เป็นเซตใดๆ ก็ตาม (รูปแบบ ∅ ⊂ , )
เพราะว่า a ∈ A และ b ∈ A ด้วย แสดงว่า (8.2) {∅} ∈ P(A) แปลว่า {∅} ⊂ A และแปลว่า
{a, b} เป็นสับเซตของ A แน่ๆ ดังนั้นตอบ ผิด ∅ ∈ A → ถูก (เพราะในโจทย์ มี ∅ อยู่ใน A
(9.1) {∅, {1}, {1, 2}} ∈ P(A) แปลว่า (13.1) A ∈ P(B) คือ A ⊂ B ดังนั้น ผิด
{∅, {1}, {1, 2}} ⊂ A (เพราะ 1 ∉ B )
แปลว่า ∅ ∈ A และ {1} ∈ A และ {1, 2} ∈ A ซึ่ง (13.2) จาก P(A) ∩ P(B) = P(A ∩ B)
เป็นจริงทัง้ หมด ดังนัน้ ข้อนี้ถูก = P({0}) = {∅, {0}} ดังนั้น ข้อนี้ก็ผด
ิ
(9.2) {∅, {1}, {1, 2}} ⊂ P(A) แปลว่า (เพราะ {1} ∉ P(A) ∩ P(B) )
∅ ∈ P(A) → ∅ ⊂ A และ (13.3) A ∪ B = {0, 1, {1}, {0, 1}} จะได้
{1} ∈ P(A) → {1} ⊂ A → 1 ∈ A n(P(A ∪ B)) = 24 = 16
และ {1, 2} ∈ P(A) → {1, 2} ⊂ A → 1 ∈ A, 2 ∈ A A ∩ B = {0} จะได้ n(P(A ∩ B)) = 21 = 2
ซึ่งพบว่าเป็นจริงทุกอย่าง ดังนัน้ ข้อนี้ถูก ดังนัน้ ตอบ 16 − 2 = 14
(9.3) {{1}, {2}, {3}} ∈ P(A) แปลว่า (14.1) และ (14.2) ถูก เพราะ U กับ ∅ เป็น
{{1}, {2}, {3}} ⊂ A และแปลว่า ส่วนเติมเต็ม (complement) ของกันและกัน
{1} ∈ A, {2} ∈ A, {3} ∈ A ซึ่งผิด (14.3) ถึง (14.6) ถูกทั้งหมด พิจารณาจาก
(9.4) {{1}, {2}, {3}} ⊂ P(A) แปลว่า แผนภาพจะง่ายที่สดุ
{1} ∈ P(A), {2} ∈ P(A), {3} ∈ P(A) (14.7) และ (14.11) A − A = ∅ ถูก
ก็คือ {1} ⊂ A, {2} ⊂ A, {3} ⊂ A หรือแปลอีกที (14.8) ถึง (14.10) ถูก ... (14.12) ถูก (ต้อง
1 ∈ A, 2 ∈ A, 3 ∈ A ซึ่งถูก รู้!)
(10) สําหรับการหา n(X) แปลว่า “ให้หาว่ามีเซต (15.1) ถูก (เป็นสิ่งที่ควรทราบ)
A ที่เป็นไปได้กี่แบบตามเงือ ่ นไขนี”้ (15.2) ถูก A ∪ B = ∅ แสดงว่าต้องไม่มีเซตใดมี
(ก) A ∈ P(S) (แปลว่า A ⊂ S ) สมาชิกอยู่เลย
กับ (ข) 1 ∈ A และ 7 ∉ A (แปลว่าใน A ต้องมี 1 (15.3) ผิด ถ้า A กับ B ไม่มีสมาชิกร่วมกัน ก็
และต้องไม่มี 7) สามารถทําให้ A ∩ B = ∅ ได้ หรือเมือ่ A กับ B
แสดงว่า มีเฉพาะ 2, 3, 4, 5, 6 เท่านั้นที่เลือกได้ ว่า เป็นเซตว่าง เพียงเซตใดเซตหนึ่งก็ได้
จะอยูห่ รือไม่อยู่ใน A ... ก็เปรียบเสมือนการหา (15.4) A − B = ∅ แสดงว่า A ⊂ B
จํานวนสับเซตแบบต่างๆ ของ {2, 3, 4, 5, 6} ..ฉะนั้น B − C = B แสดงว่า B กับ C แยกจากกัน
(B ∩ C = ∅) ดังรูป
n(X) = 25 = 32
A
ส่วน n(Y) ให้หาว่ามี A เป็นไปได้กี่แบบ ซึ่ง A ∈ x
และผลบวกไม่เกิน 6 C
วิธีคดิ ต้องนับเอาโดยตรงเท่านัน้ ได้แก่ B
ดังนัน้ A ' ∪ C ' = (A ∩ C) ' = ∅ ' = U ถูก
{1} {1, 2} {1, 3} {1, 4} {1, 5} และ {1, 2, 3}
(เพราะ A กับ C ก็แยกจากกัน)
พบว่ามี A ที่เป็นไปได้ 6 แบบ ..ฉะนั้น n(Y) = 6 (15.5) A − B = ∅ แปลว่า A ⊂ B
(11) จาก A ∩ B, A ∩ C, B ∩ C จะทําให้ทราบว่า B − C ≠ ∅ แปลว่า B ⊄ C
A ∩ B ∩ C = {3, 5} จากนัน ้ วาดแผนภาพ A − C ≠ ∅ แปลว่า A ⊄ C
B จาก A ∪ C = {0, 1, 2, 3, 5} ดังนัน้ เปลี่ยนโจทย์กลายเป็น
1 4 แสดงว่าใน A กับ C ส่วนที่ " A ⊂ B และ B ⊄ C
A 35 เหลือไม่มีสมาชิกใดเลย และ แล้ว A ⊄ C " อันนี้เท็จ A
0 2 C
4 ∈ B ดังนัน ้ เช่น รูปนี้ A ⊂ C ได้
ก. A − B = {0} ถูก B
C (16.1) ผิด เช่นถ้า A = B จะได้
ข. B − C = {1} ผิด ..ต้องได้ {1, 4} A ∩ B = A ∪ B = A = B ด้วย
ค. A − C = {1} ถูก (16.2) ผิด เช่นถ้า A = B จะได้
ง. B − A = {2, 4} ถูก A −B = B−A = ∅
(25) จาก P(C) ในโจทย์ จะได้ C = {a, c} (33) U = {−2, −1, 0, 1, 2, ..., 6}
n(P(A)) = 8 คือ n(A) = 3 A = {0, 1, 4} → เกินจากนีจ้ ะไม่อยู่ใน U
n(P(B)) = 16 คือ n(B) = 4 B = {0, 1, 2} ดังนั้น
และจาก C ⊂ A และ C ⊂ B จะได้วา่ {0, 1} ⊂ X ⊂ {0, 1, 2, 4} → n(C) = 22 = 4
A = {a, c, ,} และ B = {a, c, Δ, Ο} (34) x ⊂ {a, b, c, d, e, f} และ
จาก {b, d, e} ⊂ A ∪ B โดย b ∈ A ∩ B ' จะได้ว่า {a, c, d} ∩ X ≠ ∅ แสดงว่า
A = {a, c, b} และ B = {a, c, d, e} X = { สับเซตของ{a,c,d}ที่ไม่ใช่ ∅ , สับเซตใดๆ
ก. d ∈ A '∩ B (อยู่ใน B และไม่อยู่ใน A ) ถูก ของ{b,e,f} } → (23 − 1)(23) = 56 แบบ
ข. e ∈ C '∩ B → ถูก (35) เนื่องจาก n(A) = 5 และ
ค. b ∉ A ∩ B → ถูก S1 = {B | B ⊂ A, n(B) = 1} ,
ง. {b, e} ⊂ A ∩ B ' ผิด S2 = {B | B ⊂ A, n(B) = 2} , ...
เพราะ A ∩ B ' = A − B = {b} ไปจนถึง S5 = {B | B ⊂ A, n(B) = 5} จะได้วา่
(26) A ∩ B ' = A − B = ∅ แสดงว่า A ⊂ B S = S1 ∪ S2 ∪ S3 ∪ S4 ∪ S5 = เซตของสับเซต
(คือ A ∩ B = A ) ของ A ทุกแบบ ยกเว้น ∅ (n(B)=0)
(26.1) n[P(A ∩ B)] = n[P(A)] = 23 = 8 ถูก ดังนัน้ n(S) = 25 − 1 = 31
(26.2) {1} ∈ P(A ∩ B) คือ {1} ⊂ A ∩ B คือ (36) จากแผนภาพ U
1 ∈ A ∩ B ถูก n(A ∩ B ') = n(A − B)
(26.3) P(A − B) = P(∅) = {∅} ถูก ก ข ค
= 32 = ก 32 55
(26.4) ผิด เพราะ B − A ≠ ∅ ก็เป็นไปได้ ง
n(B) = ข+ค = 55 A B
(27) สมาชิกที่ในส่วนที่ซอ้ นกันได้แก่ ∅, {∅}, {0} ต้องการหา n(A '∩ B ') คือ n(A ∪ B) ' = ง
ดังนัน้ ได้ (26 − 3) + (6 − 3) = 61 + 3 = 64 หาได้จาก n(U) = 100 = ก+ข+ค+ง
(28.1) A = {2, 4, สับเซตของ{1,3,5} } จึงมี ดังนัน้ ง = 100 − 32 − 55 = 13
23 = 8 แบบ (หมายเหตุ .. n(A ') = 40 ไม่ได้ใช้)
(28.2) A = {1, 3, 5, 7, 9, 11, 12, 13, 14, 15, สับเซต (37) นักกีฬา 35 คน U
ของ{2,4,6,8,10} } จึงมี 25 = 32 แบบ → ก+ข = 35
ก ข ค
(29.1) X = {1, 2, 3, สับเซตของ{4,5,6,7} } จึงมี นักดนตรี 27 คน ง
24 = 16 แบบ → ข+ค = 27 นักกีฬา นักดนตรี
(29.2) X = { สับเซตของ{1,2,3}ที่ไม่ใช่ ∅ , สับ ไม่เป็นเลย 32 คน → ง = 32
เซตใดๆของ{4,5,6,7} } ... (23 − 1)(24) = 112 แบบ รวมกันสามสมการจะได้ ก+2ข+ค+ง = 94
(30.1) n(C) = จํานวนแบบของ S = 26 = 64 แต่มีนักเรียนรวม 80 คน (ก+ข+ค+ง)
∴ ลบกันเหลือ ข = 14 คน
(30.2) n(C) = จํานวนแบบของ S โจทย์ถาม ก+ค+ง = 80 − 14 = 66 คน
= (24 − 1)(26) = 960
(หมายเหตุ .. n(A '∪ B ') = n(A ∩ B) ' = ก+ค+ง)
(31.1) {0} ⊂ X ⊂ {0, 2, 4, 6, 8} (38) เซตในข้อนี้แยกจาก
มี 24 = 16 แบบ กัน เพราะเรียนฝรั่งเศสแล้ว ก
(31.2) {0} ⊄ X และ X ⊂ {0, 2, 4, 6, 8} ข ค
ต้องไม่เรียนคณิตศาสตร์
วิธีทงั้ หมด ลบข้อ 31.1 → 25 − 24 = 16 แบบ 20=ก+ข, 17=ก+ค, ฝรั่งเศส คณิต U
(31.3) {0, 2} ⊂ X ⊂ {0, 2, 4, 6, 8} 15=ข+ค
มี 23 = 8 แบบ รวมกันจะได้ 2(ก+ข+ค)=20+17+15 → ก+ข+ค=26
(31.4) {0, 2} ⊄ X และ X ⊂ {0, 2, 4, 6, 8} ดังนัน้ ค = 26 − 20 = 6
วิธีทงั้ หมด ลบข้อ 31.3 → 25 − 23 = 24 แบบ
(32) {3, 5, 8} ⊂ D ⊂ {2, 3, 4, ..., 8}
มี 24 = 16 แบบ
S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
¨Ò¡¢o (50) ËÒ¡o¨·Âe»ÅÕè¹ä»e»¹ A ¤×oe«µ¢o§¨íҹǹ·ÕèËÒà 6 ŧµaÇ æÅa B ¤×oe«µ¢o§¨íҹǹ·ÕèËÒà 8 ŧµaÇ
æÅÇ A ∩ B ¨ae»¹e«µ¢o§¨íҹǹ溺㴤Ãaº..
ËÅÒ¤¹µoºÇÒ ËÒ÷aé§ 6 æÅa 8 ŧµaÇ ¡çæ»ÅÇÒËÒà 48 ŧµaÇ ... äÁ㪹a¤Ãaº! ...
eoÒ 6 ¡aº 8 ÁÒ¤Ù³¡a¹¹aé¹¼i´! ¨aµo§ãª ¤.Ã.¹. ¤×o ËÒà 24 ŧµaÇ ¨Ö§¨a¶Ù¡
a
Re +l
º··Õè 2 Ãaºº¨íҹǹ¨Ãi§
จํานวนที่มนุษย์คิดขึ้นใช้ครั้งแรกเป็นจํานวนที่ใช้
นับสิ่งของต่างๆ เรียกว่า จํานวนธรรมชาติ (Natural
Number) หรือ จํานวนนับ (Counting Number)
ได้แก่ 1,2,3,4,... ซึ่งสัญลักษณ์แทนเซตของจํานวนนับ
คือ N = {1,2, 3, 4, ...}
หากนําจํานวนนับเหล่านี้มาบวกหรือคูณกัน ผลลัพธ์ย่อมเป็นจํานวนนับเสมอ เรียกว่า “เซต
ของจํานวนนับมี สมบัติปิด สําหรับการบวกและการคูณ” (คําว่า สมบัติปิด หมายความว่า เมื่อนํา
สมาชิกใดๆ ในเซตมาดําเนินการแล้ว ผลที่ได้ยังคงเป็นสมาชิกของเซตนั้นอยู่) แต่หากนําจํานวนนับ
บางจํานวนมาลบหรือหารกันจะมีปัญหาขัดข้องเนื่องจากผลที่ได้ไม่เป็นจํานวนนับ ด้วยเหตุนี้จํานวนลบ
จํานวนศูนย์ รวมทั้งจํานวน เศษส่วน (Fraction) จึงถูกคิดขึ้นมาใช้
ข้อควรทราบ
1. จํานวนตรรกยะที่เป็นเศษส่วนของจํานวนเต็ม จะเขียนเป็นทศนิยมซ้ําได้เสมอ
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 32 ระบบจํานวนจริง
2.1 สมบัติของจํานวนจริง
นอกจากสมบัติปิดซึ่งได้รู้จักแล้ว ระบบจํานวนจริงยังมีสมบัติอีกหลายลักษณะที่ควรทราบ
เนื่องจากเป็นพื้นฐานที่จําเป็นสําหรับวิชาคณิตศาสตร์ (ส่วนใหญ่จะเคยพบมาแล้วในระดับ ม.ต้น)
สมบัติของการเท่ากัน
[1] สมบัติการสะท้อน (Reflexive Property) a = a
[2] สมบัติการสมมาตร (Symmetric Property) a = b ↔ b = a
[3] สมบัติการถ่ายทอด (Transitive Property) a = b ∧ b = c → a = c
[4] สมบัติการบวกและคูณด้วยจํานวนที่เท่ากัน a = b → a+c = b+c
a = b → ac = bc
สมบัติเกี่ยวกับการบวกและการคูณ
[1] “เอกลักษณ์ (Identity)” คือจํานวนที่ไปดําเนินการกับจํานวนจริง a ใดก็ตามแล้วได้ผลลัพธ์เป็น
จํานวน a เดิม ... ดังนั้น เอกลักษณ์การบวกในระบบจํานวนจริง คือ 0 และเอกลักษณ์การคูณใน
ระบบจํานวนจริง คือ 1
[2] “อินเวอร์ส (Inverse) ของ a” คือจํานวนที่ไปดําเนินการกับจํานวนจริง a แล้วได้ผลลัพธ์เป็น
เอกลักษณ์ ... ดังนั้น เอกลักษณ์การบวกของจํานวนจริง a คือ –a และเอกลักษณ์การคูณของจํานวน
จริง a คือ 1/a หรือ เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ a − 1
[3] สมบัติปิด (Closure Property) a, b ∈ R → a + b ∈ R
a, b ∈ R → a ⋅ b ∈ R
[4] สมบัติการสลับที่ (Commutative Property) a+b = b+a
ab = ba
ทฤษฎีบทเพิ่มเติมที่ควรทราบ
(พิสูจน์ได้จากสมบัติที่กล่าวแล้วข้างต้น)
[1] กฎการตัดออกสําหรับการบวกและการคูณ a+c = b+c → a = b
a⋅c = b⋅c → a = b เมื่อ c≠0
[2] การคูณด้วยศูนย์ และจํานวนลบ 0a = a0 = 0 (−1)a = −a
(−a) b = a (−b) = −a b
(−a)(−b) = a b − (−a) = a
* [3] ผลคูณเท่ากับศูนย์ ab = 0 → a =0 หรือ b=0
[4] บทนิยามของการลบและการหาร a − b = a + (−b)
a ÷ b = a b−1 เมื่อ b≠0 (ไม่นิยาม 0−1 )
[5] การแจกแจงสําหรับการลบ a (b − c) = a b − a c
[6] อินเวอร์สการคูณไม่เป็นศูนย์เสมอ a − 1 ≠ 0 เมื่อ a ≠ 0
a ac
[7] การคูณทั้งเศษและส่วน =
b bc
a d ac + bd a d ad
[8] การบวกและการคูณเศษส่วน + = ⋅ =
b c bc b c bc
−1
[9] อินเวอร์สการคูณของเศษส่วน ⎛a⎞ = b
⎜ ⎟
⎝b⎠ a
ab a a ac ab ad
[10] เศษส่วนซ้อน = = =
c bc bc b cd bc
หมายเหตุ
1. ข้อ [7] ถึง [10] ตัวส่วนต้องไม่เท่ากับศูนย์
2. อาจนิยามการหารด้วยการคูณ คือ a ÷ b = c ↔ a = b c ก็ได้
แต่ต้องกํากับว่าเป็นจริงเมื่อ b ≠ 0 เท่านั้น (การหารด้วย 0 ในที่นี้จะไม่นิยาม)
ก. เซตของจํานวนนับ N
ตอบ A ถูก เพราะไมวาจะยกจํานวนนับจํานวนใดมาบวกกัน ผลลัพธก็ยังคงเปนจํานวนนับ
B ถูก เพราะไมวาจะยกจํานวนนับจํานวนใดมาคูณกัน ผลลัพธกย็ ังคงเปนจํานวนนับ
C ถูก เพราะจํานวนนับทุกจํานวนเปนจํานวนตรรกยะ
D ถูก เพราะจํานวนนับทุกจํานวนเปนจํานวนเต็ม
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 34 ระบบจํานวนจริง
ข. เซตของจํานวนอตรรกยะ
ตอบ A ผิด เพราะมีจํานวนอตรรกยะบางจํานวน ที่บวกกันแลวกลายเปนจํานวนตรรกยะ เชน 2 บวก
กับ − 2 แลวได 0
B ผิด เพราะมีจาํ นวนอตรรกยะบางจํานวน ที่คณู กันแลวกลายเปนจํานวนตรรกยะ เชน 2 ⋅ 2 = 2
C ผิดอยางแนนอน เพราะเซตของจํานวนตรรกยะและอตรรกยะ เปนคอมพลีเมนตกัน
D ผิดเชนกัน เพราะไมใชวาจํานวนอตรรกยะทุกจํานวนเปนจํานวนเต็ม (ที่จริงไมมีเลยสักตัว)
ค. { x | x < 0 }
ตอบ A ถูก จํานวนลบหรือจํานวนศูนย เมื่อนํามาบวกกันยอมยังเปนจํานวนลบหรือศูนย
B ผิด เพราะจํานวนลบคูณกันยอมไดผลลัพธเปนจํานวนบวก
C และ D ผิด เพราะจํานวนลบบางจํานวนไมใชจํานวนตรรกยะ (และจํานวนเต็ม) เชน − 2
ง. {1.414, 22/7}
ตอบ A และ B ผิด เพราะเมื่อหยิบจํานวนจากเซตนี้มาบวก (หรือคูณ) กัน ผลลัพธไมอยูใ นเซตนี้
C ถูก เพราะเลขทศนิยม และเศษสวนของจํานวนเต็ม เปนจํานวนตรรกยะเสมอ ( 22/7 ≠ π )
D ผิดแนนอน เพราะสมาชิกในเซตนี้ไมใชจํานวนเต็ม
จ. {−1, 0, 1}
ตอบ A ผิด เพราะเมื่อหยิบบางจํานวนมาบวกกัน ผลลัพธที่ไดไมอยูในเซตนี้ เชน 1 + 1 = 2
B ถูก เพราะไมวาจะหยิบจํานวนใดมาคูณกัน ผลลัพธที่ไดก็ยังอยูในเซตนี้เสมอ
C และ D ถูก เพราะสมาชิกทุกตัวเปนจํานวนเต็ม (จํานวนเต็มทุกจํานวนเปนจํานวนตรรกยะ)
ฉ. { 10 x | x ∈ I }
ตอบ { 10 x | x ∈ I } = {0, ±10, ±20, ±30, ...} เขียนแจกแจงสมาชิกเพือ่ ใหพิจารณางาย
A และ B ถูก เพราะไมวาจะหยิบจํานวนใดในเซตนี้มาบวก (หรือคูณ) กัน ผลลัพธที่ไดยังอยูในเซตนี้
C และ D ถูก เพราะสมาชิกทุกตัวเปนจํานวนเต็ม (จํานวนเต็มทุกจํานวนเปนจํานวนตรรกยะ)
แบบฝึกหัด 2.1
(1) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
(1.1) 0.343443444... เป็นจํานวนตรรกยะ o¨·Âã¹Ãٻ溺¢o¤ÇÒÁ¶Ù¡ËÃ×o¼i´¹aé¹ ÊǹÁÒ¡
(1.2) 0.112112112... เป็นจํานวนอตรรกยะ ¶ÒoÒ¹¢o¤ÇÒÁe¾Õ§e¼i¹æ ¨a´ÙeËÁ×o¹ÇÒ¶Ù¡ æµ·èÕ
(1.3) ถ้า a 2 เป็นจํานวนคู่ แล้ว a ต้องเป็นจํานวนคู่ ¨Ãi§ºÒ§¢o¤ÇÒÁ¡ç¼i´..
(1.4) ถ้า a 2 เป็นจํานวนคี่ แล้ว a ต้องเป็นจํานวนคี่ ¡Òõoºo¨·ÂÅa¡É³a¹Õé¤ÇþÂÒÂÒÁ¡¡Ã³Õ·èÕ
(2) ถ้า a, b, c ∈ R แล้ว ข้อความในแต่ละข้อต่อไปนี้ถูกหรือผิด ¼i´¢Öé¹ÁÒÊa¡ 1 ¡Ã³Õ ¶ÒËÒä´¡çæÊ´§ÇÒ¢o¤ÇÒÁ
(2.1) ถ้า a b = a แล้ว b = 1 ¹aé¹¼i´ (¡ÒáµaÇoÂÒ§¨íҹǹ oÂÒÅ×Á·´Êoº
¨íҹǹµi´Åº ¨íҹǹµi´ÃÙ· æÅa¨íҹǹ·È¹iÂÁ·Õè
(2.2) ถ้า a b = 0 แล้ว a = 0 และ b = 0 äÁ¶Ö§ 1 ´ÇÂ) ... 浶ÒËÒÂa§ä§¡çËÒäÁä´ ¢o¤ÇÒÁ
(2.3) เมื่อ b ≠ 0 ถ้า a = c แล้ว a = c ¹a鹡çÁoÕ o¡Òʨa¶Ù¡ÊÙ§ (¶Ò¨aºo¡ÇÒ¶Ù¡ªaÇÃæ ¤§
b b
a a µo§ãªÇi¸¾Õ iÊÙ¨¹ «Ö觺ҧ¢o¡çÂÒ¡¹a¤Ãaº..)
(2.4) เมื่อ b, c ≠ 0 ถ้า = แล้ว b = c
b c
3 2
• ตัวอยาง 2x − x + 6x − 1 หารดวย x + 1 เหลือเศษเทาใด
3 2
ตอบ ใชทฤษฎีเศษ จะไดวาเศษจากการหาร 2x − x + 6x − 1 ดวย x + 1 ก็คือ
3 2
2(−1) − (−1) − 6(−1) + 1 = 4 ... (สามารถตรวจคําตอบไดโดยการตั้งหารยาว หรือหารสังเคราะห)
3 2
• ตัวอยาง ใหแยกตัวประกอบพหุนาม 3x − 7x + 4
วิธีคิด เนื่องจากตัวประกอบของ 4 (สัมประสิทธิต์ ัวสุดทาย) ไดแก ±1, ±2, ±4
และตัวประกอบของ 3 (สัมประสิทธิ์ตัวแรกสุด) ไดแก ±1, ±3
จากทฤษฎีตัวประกอบจํานวนตรรกยะ จะไดวาจํานวนทีน่ าจะเปนคําตอบ ไดแก
±1, ± 2, ± 4, ± 1/3, ± 2/3, ± 4/3 ...
1 3 −7 0 4
จากนั้นทดลองนําจํานวนเหลานีม้ าหารสังเคราะหทีละจํานวน 3 −4 −4
หากพบวาตัวใดทําใหเศษเปน 0 ตัวนั้นก็จะเปนคําตอบ ... 2 3 −4 −4 0
6 4
ซึ่งจากการหารสังเคราะหในตัวอยางดานขวานี้ ทําใหทราบวา
3 2 0
3x3 − 7x2 + 4 = (x − 1)(x − 2)(3x + 2)
แบบฝึกหัด 2.2
(12) ถ้าหาร 4x3 − 21x2 + 26x − 17 ด้วย x − 4 แล้วเหลือเศษ a
และหาร 3x3 + 13x2 + 11x + 5 ด้วย x + 3 แล้วเหลือเศษ b แล้วให้หาค่าของ b – a
(13) ถ้า x−1 หาร x2 + 2a และ x +2 หาร x+ a แล้วเหลือเศษเท่ากัน ค่า a เป็นเท่าใด
2.3 อสมการ
สมบัติของการไม่เท่ากัน
[1] บทนิยามของการมากกว่าและน้อยกว่า a < b ↔ b − a ∈ R+
a > b ↔ a − b ∈ R+
[2] สมบัติการถ่ายทอด (Transitive Property) a > b ∧ b > c → a > c
[3] สมบัตกิ ารบวกและคูณด้วยจํานวนที่เท่ากัน a > b → a+c > b+c
a > b → ac > bc , c>0
a > b → ac < bc , c<0
[4] กฎการตัดออกสําหรับการบวกและการคูณ a+c > b+c → a > b
ac > bc → a > b , c>0
ac > bc → a < b , c<0
[5] สมบัติไตรวิภาค (Trichotomy Property)
ถ้า a, b ∈ R แล้ว a = b หรือ a < b หรือ a > b อย่างใดอย่างหนึ่ง
[6] บทนิยามของการไม่มากกว่าและไม่น้อยกว่า
a < b ↔ a ไม่มากกว่า b (น้อยกว่าหรือเท่ากับ)
a > b ↔ a ไม่น้อยกว่า b (มากกว่าหรือเท่ากับ)
[7] การเปรียบเทียบสองด้าน
a<b<c ↔ a<b และ b<c a<b<c ↔ a<b และ b < c
a<b<c ↔ a<b และ b<c a<b < c ↔ a<b และ b < c
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 40 ระบบจํานวนจริง
ช่วง และการแก้อสมการ
ช่วง (Interval) คือเซตที่บอกสมาชิกด้วยขอบเขต
นิยมแสดงเป็นกราฟบน เส้นจํานวน (Number Line)
a b
ช่วงเปิด (a, b) หมายถึง { x | a < x < b }
ช่วงปิด [a, b] หมายถึง { x | a < x < b }
ช่วงครึ่งเปิด (a, b] หมายถึง { x | a < x < b }
และช่วงครึ่งเปิด [a, b) หมายถึง { x | a < x < b}
* สองกรอบนี้ใช้ประกอบโจทย์แบบฝึกหัดข้อ 23 ถึง 25
2
ขอบเขตของ x เมื่อกําหนด a < x < b
2 2
- ถา a > 0 และ b > 0 จะไดขอบเขตเปน (a , b )
2 2
- ถา a < 0 และ b < 0 จะไดขอบเขตเปน (b , a )
- ถา a < 0 ขณะที่ b > 0 ขอบเขตที่ไดจะมีคา ต่ําสุดเปน 0 และเปนชวงครึ่งปด (เปน 0 ได)
2 2
คาสูงสุดใหเลือกระหวาง a กับ b วาตัวใดมากกวากัน
เชนถา x ∈ (−4, 3) จะเห็นวา x มีคาตั้งแตติดลบจนถึงบวก
แสดงวาผานคานอยๆ เชน −1, 0, 1 ฯลฯ ดวย ...เมื่อนําไปยกกําลังสอง คาต่ําสุดจึงตองเปน 0
2
สวนคาสูงสุดเลือกระหวาง 9, 16 ... สรุปวา x อยูในชวง [0, 16)
2
หมายเหตุ : ขอบเขตของ x ก็คดิ ในลักษณะเดียวกันกับ x
หลักในการคํานวณ (บวกลบคูณหาร) ระหวาง 2 ชวง คือ a < x < b และ c < y < d
สมมติตองการผลคูณ xy ใหหาผลคูณ ac, ad, bc, bd ใหครบ
แลวพิจารณาวาในผลคูณทั้งสี่ทีไ่ ด ตัวใดมีคาต่ําสุดและตัวใดสูงสุด ... คา xy จะอยูในชวงนั้น
เชน ถา x ∈ (−1, 3) และ y ∈ (−5, 4) ถามวา xy อยูในชวงใด
เนื่องจากผลคูณทั้งสี่คือ 5, −4, −15, 12 ... ดังนัน้ xy อยูในชวง (−15, 12)
กับการบวก ลบ และหาร ก็ทําเชนเดียวกัน เชนในตัวอยางเดิมนี้
ผลหารทั้งสี่เปน 1/5, −1/4, −3/5, 3/4 ... ดังนัน้ x / y อยูในชวง (−3/5, 3/4)
ขอสังเกต คา x + y จะมีขอบเขตเปน (a+c, b +d) เสมอ
(ตัวนอยสุดยอมเกิดจากนอยบวกนอย และตัวมากสุดยอมเกิดจากมากบวกมาก)
และคา x − y จะมีขอบเขตเปน (a−d, b−c) เสมอ
เนื่องจากการนําลบคูณ y จะกลับดานเปน −d < −y < −c ... แลวนํามาบวกกันกับ x
เทคนิคการหาช่วงคําตอบของอสมการพหุนาม
1. เมื่อแยกตัวประกอบเรียบร้อยแล้ว อสมการโดยทั่วไป (ในตัวอย่างสมมติว่าเครื่องหมายเป็น >)
2
จะอยู่ในรูป (x − c1)(x − c2)(x − c3)... > 0 เช่น (x + 3)(x −31) > 0
(x − d1)(x − d2)... x (x − 2)
ข้อควรระวัง S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
การใช้เส้นจํานวนในการหาคําตอบ สัมประสิทธิ์หน้า x ทุกๆ ¡ÒÃe¢Õ¹¤íÒµoº¢o§ÊÁ¡ÒÃæÅaoÊÁ¡ÒèaµÒ§¡a¹
วงเล็บจะต้องไม่ติดลบ (หากติดลบให้นํา -1 คูณทั้งสองข้าง ¹a¤Ãaº.. ¶Òe»¹ÊÁ¡ÒÃeÃÒ¨aºæµÅaǧeÅçºe»¹ 0
เพื่อให้เครื่องหมายกลายเป็นบวก และอย่าลืมกลับด้าน ä´ eª¹ (x-2)(x-3) = 0 ¨aä´ x = 2, 3
เครื่องหมายมากกว่า/น้อยกว่าด้วย) เช่น (x+1)(3-x) > 0 ¶Ù¡µo§ ..浶Òe»¹oÊÁ¡Òà (x-2)(x-3) < 0
แบบนี้ต้องเปลี่ยนเป็น (x+1)(x-3) < 0 ก่อน ¨a¡ÅÒÂe»¹ x < 2, 3 äÁä´e´ç´¢Ò´!
µo§ËҪǧ¤íÒµoº¨Ò¡eʹ¨íҹǹe·Ò¹aé¹¹a¤Ãaº!
x 2+ 2x − 19
• ตัวอยาง ใหหาเซตคําตอบของสมการ = 4
x−4
วิธีคิด สามารถยายขางไปคูณไดทนั ที (แตตองกํากับเงื่อนไขวา x − 4 ≠ 0 → x ≠ 4 ดวย)
2 2
จะได x + 2x − 19 = 4 (x − 4) ... จากนัน้ ยายทางขวามาลบเปน x − 2x − 3 = 0
หรือ (x + 1)(x − 3) = 0 ... ดังนั้น คําตอบคือ {−1, 3}
x 2+ 2x − 19
• ตัวอยาง ใหหาชวงคําตอบของอสมการ < 4
x−4
วิธีคิด อสมการนี้ยายขาง x−4 ไปคูณไมได เพราะไมแนใจวาตองกลับเครื่องหมาย < หรือไม
2
x + 2x − 19
ดังนั้นจึงใชวิธียายเลข 4 ทางขวามาลบแทน ... ไดเปน − 4 < 0
x−4
x 2− 2x − 3 (x + 1)(x − 3)
จัดรูปฝงซายใหเปนเศษสวนเดียว คือ < 0 จากนัน้ เปน < 0
x−4 x−4
อยูในรูปที่ตอ งการแลว เขียนเสนจํานวนเพื่อหาคําตอบ
- + - +
(อยาลืม x ≠ 4 ) ... และคําตอบทีไ่ ดคือ (−∞, −1] ∪ [3, 4) -1 3 4
หมายเหตุ
ถ้ามีพหุนามดีกรีสองที่แยกตัวประกอบเป็นจํานวนจริงไม่ได้ (คือใช้ S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
−B ± B2 − 4AC ¡Ò÷ÕèeÃÒ桵aÇ»Ãa¡oºã¹ã¨æÅǹ֡eÅ¢
สูตร แล้วพบว่าในรู้ทติดลบ) เวลาเขียนเส้นจํานวน
2A äÁoo¡ äÁä´æ»ÅÇÒ¡o¹¹aé¹æ¡äÁä´¹a
ให้ละทิ้งก้อนนั้นไปได้เลย เขียนจุดเฉพาะตัวประกอบที่แยกเป็นกําลัง ¤Ãaº.. ¨aµo§Åo§ãªÊµÙ ô١o¹ eª¹
หนึ่งได้ (เพราะก้อนนั้นจะเป็นบวกเสมอ และไม่มีผลต่อความจริงเท็จ x2+x-3 < 0 ãªÊÙµÃä´ −1 ± 1 + 12
ของอสมการ) เช่น 2
2
(x + 2)(x − 5)(x + 2x + 2) 溺¹Õ Ê
é ÒÁÒöe¢Õ¹eÊ ¹¨í
Ò ¹Ç¹ä´ æÅa
< 0 จะได้เส้นจํานวนดังนี้
x−3 ªÇ§¤íÒµoº¤×o ⎢
⎡ −1 − 13 −1 + 13 ⎤
,
- + - + ⎣ 2 2
⎥⎦
-2 3 5
แบบฝึกหัด 2.3
(21) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(21.1) ถ้า (a − b)(b − c)(c − d) > 0 แล้ว a > b > c > d
(21.2) ถ้า a < b และ n ∈ N แล้ว an < bn
a+b
(21.3) ถ้า a > 0 , b > 0 และ a ≠ b แล้ว > ab
2
b a 1 1
(21.4) ถ้า a > 0, b > 0 และ a ≠ b แล้ว + 2 > +
a2 b a b
(28) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
ก. ผลบวกของค่าสัมบูรณ์ของคําตอบที่เป็นจํานวนเต็มของ 20 − 3x − 2x2 > 0 คือ 13
2
ข. ค่าสัมบูรณ์ของผลบวกของคําตอบที่เป็นจํานวนเต็มของ 3x + 7x − 30 < 0 คือ 7
(32) จงหา
x (x − 1)(x − 2)
(32.1) เซตคําตอบของอสมการ < 0
(x + 1)(x − 2)
(32.2) เซต (A '∩ B ') ' เมื่อ A เป็นเซตคําตอบของ (x + 2)(x − 3)(x − 1)4 < 0 และ B
เป็นเซตคําตอบของ (x + 4)(x − 3)(x + 2)3 > 0
(x + 4)(x + 1)(x − 2)3
(32.3) ผลบวกค่าสัมบูรณ์ของจํานวนเต็มใน {x | > 0}'
x (x − 5)2
2x − 5 2x − 1
(36) ถ้า A เป็นเซตคําตอบของ > 0 และ B เป็นเซตคําตอบของ < 1 แล้ว
x+2 x+5
ให้หาผลบวกของจํานวนเต็มที่มากที่สุดกับจํานวนเต็มที่น้อยที่สุด ในเซต B ∩ A'
x−1
(37) [Ent’38] ให้ S เป็นเซตคําตอบของ > 2 และ a เป็นขอบเขตบนน้อยสุดของ S แล้ว
x +2
ค่าของ a2 + 1 เป็นเท่าใด
(38) ให้หาขอบเขตบนน้อยสุดของแต่ละเซตที่กําหนดให้
(38.1) { x | x2 < 7 } (38.3) (−2, 6] ∪ [3, 8)
(38.2) { 1, 5, 7, 9 } ∪ [6, ∞) (38.4) { x = 2n | n ∈ I }
n
(39) ถ้า a เป็นขอบเขตบนน้อยสุดของ A = {x | x = , n ∈ I+ }
n+1
1
และ b เป็นขอบเขตล่างมากสุดของ B = {x | x = , n ∈ I− } แล้ว ให้หาค่า a+b
n
2.4 ค่าสัมบูรณ์
“ค่าสัมบูรณ์ (Absolute Value หรือ Modulus) ของจํานวนจริง a” ใช้สัญลักษณ์ว่า a
ค่าสัมบูรณ์มีความหมายเชิงเรขาคณิต คือ a เท่ากับระยะห่างระหว่างจุดที่แทน a กับจุด 0
และ a − b เท่ากับระยะห่างระหว่างจุดที่แทน a กับจุดที่แทน b
⎧ a ,a > 0
ดังนั้น นิยามของค่าสัมบูรณ์ของจํานวนจริงเป็นดังนี้ a = ⎨
⎩−a ,a < 0
⎧⎪ a , n = จํานวนคู่
* [7] รากที่ n ของกําลัง n n an = ⎨
⎪⎩ a , n = จํานวนคี่
ทฤษฎีที่ช่วยแก้สมการและอสมการที่มีค่าสัมบูรณ์แบบง่าย
(คือมีค่าสัมบูรณ์เดียว และอีกข้างของสมการเป็นค่าคงที่)
* [1] สมการ x = b
มีความหมายเดียวกับสมการ x2 = b2 (ยกกําลังสองทั้งสองข้างได้)
และยังสรุปได้ว่า “ x = b หรือ x = −b ” ด้วย (วิธีนี้สะดวกกว่าการยกกําลังสอง)
* [2] อสมการ x < b ความหมายเดียวกับ −b < x < b
อสมการ x < b ความหมายเดียวกับ −b < x < b
อสมการ x > b ความหมายเดียวกับ “ x < −b หรือ x > b ”
อสมการ x > b ความหมายเดียวกับ “ x < −b หรือ x > b ”
-b b
• ตัวอยาง ใหหาเซตคําตอบของสมการ 3− x = 1 S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
วิธีคิด จาก 3 − x = 1 จะได ÊÁ¡Ò÷Õèo¡Õ ¢Ò§Ë¹Ö觵i´µaÇæ»Ã eª¹
3 − x = 1 หรือ 3 − x = −1 ... x + 2 = x ·íÒ溺¹Õéä´..
แปลวา x = 2 หรือ x = 4 ... x + 2 = x ËÃ×o x + 2 = − x
ดังนั้น คําตอบคือ {2, −2, 4, −4} eËÁ×o¹Çi¸ÂÕ ¡¡íÒÅa§Êo§·aé§Êo§¢Ò§ æÅÇÂÒÂ
ÁÒź¡a¹ (¼ÅµÒ§¡íÒÅa§Êo§) «Ö觨aµo§µÃǨ
• ตัวอยาง ใหหาชวงคําตอบของอสมการ 3 − x < 1 ¤íÒµoºeÊÁo¹a¤Ãaº e¾ÃÒa¤íÒµoºã´·Õè·íÒãË
¤ÒÊaÁºÙóµi´Åº ¨aãªäÁä´..
วิธีคิด จาก 3 − x < 1 จะได ... −1 < 3 − x < 1 ...
浶Òe»¹oÊÁ¡Òà eª¹
นํา 3 ลบทั้งสามสวนของสมการ −4 < − x < −2 …
x + 2 < x äÁ¤Ç÷íÒ溺¹Õé!
นําลบคูณทั้งสมการ 2 < x < 4 … −x < x + 2 < x e¾ÃÒaµÃǨ¤íÒµoº
ดังนั้น คําตอบคือ [−4, −2] ∪ [2, 4] ÅíÒºÒ¡ ... ¤ÇÃãªÇi¸Õ桪ǧÂoµÒÁ·Õè¨a
o¸iºÒÂã¹ËaÇ¢o¶a´ä»¤Ãaº..
เทคนิคการหาคําตอบของสมการและอสมการที่มีค่าสัมบูรณ์ใดๆ
1. กําหนดจุดที่ทําให้ค่าสัมบูรณ์แต่ละพจน์เป็นศูนย์ ลงบนเส้นจํานวนให้ครบทุกจุดเรียงตามค่าน้อยไป
มาก เช่นสมการ 2x + 1 − x − 2 = x + 3 ... มีค่าสัมบูรณ์อยู่ 2 พจน์ ก็กําหนดจุดบนเส้นจํานวน
2 จุด
แบบฝึกหัด 2.4
(41) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(41.1) ถ้า n ∈ I+ และ n > 1 จะได้ n an = a
(41.2) ถ้า a, b > 0 แล้ว a−b = a − b
(44) ให้หาคําตอบของสมการต่อไปนี้
(44.1) x2 − 6 x + 8 = 0
(44.2) x − 1 + x + 1 = 2
(44.3) [Ent’30] x − 4 + x − 3 = 1
5 − 3x
(47) ถ้า A = { x ∈ I | x2 + 3x + 3 = 2x + 3 } และ B = {x ∈ I | = 2}
x+2
แล้ว ให้หาค่า a2 + b2 เมื่อ a, b เป็นค่าขอบเขตบนน้อยสุดและขอบเขตล่างมากสุดของ A ∪B
2
(48) ให้หาคําตอบทั้งหมดของสมการ ( x )x = x 3
(49) ให้หาคําตอบของอสมการต่อไปนี้
3
(49.1) 2x − 1 < 3x + 2 (49.4) < x
x−1 − 2
x
(49.2) 3 < x −2 < 6 (49.5) < 2
x −1
1
(49.3) x + > 0 และ x2 − x − 2 < 0
x
x+2
(50) ถ้า A เป็นเซตคําตอบของอสมการ + x < 4
2
และ B เป็นเซตคําตอบของอสมการ x < x−7 แล้วให้หาเซต (A ∩ B) '
4x + 5
(51) ถ้า A = {x ∈ R | x < < 5} แล้วข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
2
(51.1) ถ้า a, b ∈ A แล้ว (a + b)/2 ∈ A
(51.2) ถ้า a, b เป็นขอบเขตบนค่าน้อยสุด และขอบเขตล่างค่ามากสุดของ A
แล้ว a+b ∈ A
1
(52) ถ้า A = { x ∈ R | x2 − 2 < 14 } และ B = {x ∈ R | − 1 > 0}
x
แล้ว มีจํานวนเต็มใน A ∩B' กี่จํานวน
(53) ให้หาค่า a, b, c ที่เป็นจํานวนนับที่น้อยที่สุด ที่ทําให้
(53.1) −4 < x < 1 เป็นคําตอบของอสมการ ax + b < c
(53.2) x < −10 หรือ x > 8 เป็นคําตอบของอสมการ ax + b > c
(54) ให้หาคําตอบของอสมการต่อไปนี้
(54.1) 3x + 2 < 4x + 1
x −2
(54.2) [Ent’41] < 2
x+1
2.5 ทฤษฎีจํานวนเบื้องต้น
* ในหัวข้อนี้เราจะกล่าวถึงจํานวนเต็มเท่านั้น
สมบัติของจํานวนเต็มกับการหาร
[1] บทนิยามของการหารจํานวนเต็มลงตัว
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนประโยค “m หารด้วย n ลงตัว” คือ n m
เรียก m ว่า ตัวตั้ง (Dividend) และเรียก n ว่า ตัวหาร (Divisor)
สําหรับจํานวนเต็ม m, n โดยที่ n ≠ 0 จะได้ว่า n m ก็ต่อเมื่อ m = n q และ q ∈ I
[1.1] สมบัติการถ่ายทอด ถ้า a b และ b c แล้ว a c
[1.2] ตัวหารที่ลงตัวย่อมน้อยกว่า ถ้า a b แล้ว a < b เสมอ
[1.3] การหารผลรวมเชิงเส้นลงตัว ถ้า a b และ a c แล้ว a (bx + cy)
“ผลรวมเชิงเส้น (Linear Combination) ของ b กับ c” คือจํานวนในรูป bx + cy ซึ่ง x, y ∈ I
S Êi觷Õè¤Ç÷ÃÒº! S
1. ¶Ò a b æÅa a c æÅÇ a (b ± c) 3. ¶Ò a b æÅÇ a bn
2. ¶Ò a b æÅÇ a (b ⋅ c) 4. ¶Ò an b æÅÇ a b
* »Ãao¤´Ò¹º¹¹Õé¶Ù¡·u¡¢o 浶ҡÅaº´Ò¹»Ãao¤eËÅÒ¹Õé¨a¼i´¹a¤Ãaº!
»Ãao¤´Ò¹ÅÒ§¹Õé¼i´·u¡¢o!
1. ¶Ò a (b ± c) æÅÇ a b æÅa a c 3. ¶Ò a bn æÅÇ a b
2. ¶Ò a (b ⋅ c) æÅÇ a b 4. ¶Ò a b æÅÇ an b
[2] บทนิยามของการหารจํานวนเต็มใดๆ
สําหรับจํานวนเต็ม m, n โดยที่ n ≠ 0 จะได้ว่า m = n q + r และ q ∈ I , 0 < r < n
มีจํานวนเต็ม q, r ชุดเดียวเท่านั้น เรียก q ว่า ผลหาร (Quotient) และ r คือ เศษ (Remainder)
[5] บทนิยามของ ตัวหารร่วมมาก (ห.ร.ม. : the Greatest Common Divisor : GCD) และตัว
คูณร่วมน้อย (ค.ร.น. : the Least Common Multiple : LCM)
“ d เป็น ห.ร.ม. ของ a กับ b ก็เมื่อ d a และ d b และถ้ามี n a และ n b แล้ว n d ”
สัญลักษณ์ที่ใช้แทน ห.ร.ม. ของ a กับ b ที่เป็นบวก คือ (a, b)
“ c เป็น ค.ร.น. ของ a กับ b ก็เมื่อ a c และ b c และถ้ามี a n และ b n แล้ว c n ”
สัญลักษณ์ที่ใช้แทน ค.ร.น. ของ a กับ b ที่เป็นบวก คือ [a, b]
[5.1] ห.ร.ม. คูณกับ ค.ร.น. (a, b) × [a, b] = a × b เสมอ
[5.2] ห.ร.ม. ของผลหาร ถ้า (a, b) = d แล้ว (a/d, b/d) = 1
แบบฝึกหัด 2.5
(57) เศษของการหาร (19)3(288)2 ด้วย 5 เป็นเท่าใด
(58) ให้หา ห.ร.ม. ของ 252 กับ 34 และเขียนในรูปผลรวมเชิงเส้น d = 252 x + 34 y
เมื่อ x, y เป็นจํานวนเต็ม
(59) ให้หา ห.ร.ม. ของ –504 กับ –38 และเขียนในรูปผลรวมเชิงเส้นด้วย
(60) ถ้า ห.ร.ม. และ ค.ร.น. ของ x กับ 128 เป็น 16 และ 384 แล้วค่า x เป็นเท่าใด
(61) [Ent’37] ให้ x, y เป็นจํานวนเต็มบวก โดยที่ x < y ถ้า (x, y) = 9 , [x, y] = 28215 และ
จํานวนเฉพาะที่หาร x ลงตัวมี 3 จํานวน แล้ว x, y มีค่าเท่าใด
(62) [Ent’38] ให้ x, y เป็นจํานวนเต็มบวก โดยที่ 80 < x < 200
และ x = p q เมื่อ p, q เป็นจํานวนเฉพาะซึ่งไม่เท่ากัน
ถ้า x, y เป็นจํานวนเฉพาะสัมพัทธ์ และมี ค.ร.น. เป็น 15015 แล้วค่า y เป็นเท่าใดได้บ้าง
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 50 ระบบจํานวนจริง
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) ผิดทุกข้อ (25) อยู่ในช่วง [7.5, 10) ซม. (47) 90 (48) 1, 6
(2) ข้อ (2.3) ถูก นอกนั้นผิด (26) 2, 4 (27) 2 (49.1) (−1/5, ∞)
(3) ง. (28) ถูกทุกข้อ (49.2) (−4, −1) ∪ (5, 8)
(4) ข้อ (4.1) และ (4.3) ถูก (29) (−1 + 0 + 1 + 2) + (0) (49.3) (−1, 2) − {0}
(5) ถูกทุกข้อ (6) ง. (30) ถูกทุกข้อ 3 + 21
(7) 6 + 5 และ 1 (49.4) (−1, 3) ∪ [ , ∞)
(31) a ∈ (−∞, −2) ∪ (3, ∞) 2
(8) ค. (9) ง. (10) เท่ากัน (32.1) (−∞, −1) ∪ (0, 1) (49.5) (−∞, −2] ∪ (−1, 1) ∪ [2, ∞)
(11.1) ผิด (11.2) ถูก (32.2) [−4, ∞) − {1} (50) (2, ∞) (51) ถูกทุกข้อ
(12) 1 (13) –3 (14) –81 (32.3) 11
(15) 4+3 (16) –155/9 (52) 7 (53.1) 2, 3, 5
(33) [−2, 1] ∪ [2, ∞) (53.2) 1, 1, 9
(17) (x − 1)(x − 2)
(34) –5 (54.1) (−∞, −3/7) ∪ (1, ∞)
(18) (x − 1)(x − 2)(x − 3)(x + 2)(x + 4) (35.1) (−∞, −1) ∪ (1/3, 1) (54.2) (−∞, −4) ∪ (0, ∞)
(19) (x − 2)(x − 4)(x + 5)(3x + 1)(x + 1)
2
(35.2) (2, 8] (36) 0 (54.3) (2, 4) ∪ (6, 12)
(20.1) {b, −b} (20.2) {0} (37) 5 (38.1) 7 (54.4) (−1, 3)
(20.3) {0, −2b} (38.2) ไม่มี (38.3) 8 (54.5) (−∞, −1] ∪ [−1/ 3, 3] − {1, −2}
(20.4) {−a − 1, −a + 1} (38.4) ไม่มี (39) 0 (55) (−∞, −1/2) ∪ (5/2, ∞)
(21) ข้อ (21.1) และ (21.2) ผิด (40) 5/2 (41) ผิดทุกข้อ
(42.1) 3.5 (42.2) 17/3 (56.1) (−∞, −1) ∪ (−1, 1)
(22) ข้อ (22.4) ผิด นอกนั้นถูก
(23.1) (−6, 46) (42.3) 96 (43) [0, 12) (56.2) (1, ∞) (57) 1
(23.2) (−252, 180) (44.1) 2, −2, 4, −4 (58) 2 = (252)(5) + (34)(−37)
(24.1) (−18, −4) (44.2) [−1, 1] (59) 2 = (−504)(−4) + (−38)(53)
(24.2) (−9, −4) (44.3) [3, 4] (60) 48 (61) 495, 513
(24.3) (−3, −2/3) (45) [−2/3, 0) (46) –8 (62) 105, 165
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1.1) ผิด ทศนิยมไม่ซ้ํา เป็นจํานวนอตรรกยะ 3 −3
ค. ไม่มีการบวกและคูณเลย (เช่น +( ) = 0
(1.2) ผิด ทศนิยมซ้ํา เป็นจํานวนตรรกยะ 4 4
3 4
(1.3) ผิด เช่น a = 2 และ ⋅ = 1)
4 3
(1.4) ผิด เช่น a = 3 ง. ถูก (เพราะ บวกกันแล้วย่อมยังหาร 4 ลงตัว,
(2.1) ผิด เช่น a=0 แล้ว b จะเป็นเท่าใดก็ได้ คูณกันก็ยงั หาร 4 ลงตัว)
(2.2) ผิด ต้องเป็น a=0 หรือ b=0 (ไม่จําเป็นต้อง (4.1) ถูก (จํานวนจริงลบกัน ย่อมเป็นจํานวนจริง)
เป็น 0 พร้อมกันทั้งคู)่ (4.2) ผิด เพราะ (a − b) − c ≠ a − (b − c)
(2.3) ถูก (ตามกฎการคูณเข้าทั้งสองข้าง เอา b (4.3) ถูก (นําจํานวนจริงที่ไม่ใช่ 0 มาหารกัน ย่อม
คูณ จะได้ a = c ) เป็นจํานวนจริง) ... (แต่ถ้ารวม 0 ด้วย ข้อนีจ้ ะผิด
(2.4) ผิด เช่น a=0 แล้ว b กับ c ไม่จําเป็นต้อง เพราะส่วนเป็น 0 นัน้ ไม่นิยาม)
เท่ากัน
(3) ก. มีการบวก แต่ไม่มีการคูณ (4.4) ผิด เพราะ [ a ] ÷ c ≠ a ÷ [b ]
b c
(เพราะ ลบคูณลบ ได้บวก) (5) A = {x | x เป็นจํานวนนับ และ x เป็น
ข. ไม่มีการบวก (เช่น 3 + 5 = 8 → 8 ไม่อยู่ใน จํานวนตรรกยะ } = {1, 4, 9, 16, 25, 36, ...} หรือ
เซตนี้) และไม่มกี ารคูณ (เช่น 3 ⋅ 5 = 15 ) มองว่า A เป็นเซตของจํานวนนับยกกําลังสองก็ได้..
B = N - A = { จํานวนนับอืน ่ ๆ ที่ไม่อยู่ใน A}
(5.1) A มีสมบัตปิ ิดการคูณ เพราะจํานวนนับ2 (14) เศษ (5)4 − (5)3 + 3(5)2 − (5) − 1
คูณกัน ย่อมยังเป็นจํานวนนับ2 = 2(5)3 + (5)2 + 75(5) + a
... ดังนัน้ a = −81
B ไม่มีสมบัติปดิ การคูณ เช่น (15) เป็นตัวประกอบ แสดงว่า หารแล้วเหลือเศษ 0
2 × 2 = 4 → 4 ∉ B ... ดังนัน ้ ข้อนีถ้ ูก a
(2)3 − a(2)2 + (2) + 2b = 0 .... (1)
(5.2) A ไม่มีสมบัติปิดการบวก เช่น 4
1+ 1 = 2 → 2∉ A 1 2
(2) + (2) − b = 0 .... (2)
B ไม่มีสมบัติปดิ การบวก เช่น a
(6) ก. ไม่จริง เช่น ถ้า x = 2 จะไม่มี y ที่เป็น (16) จาก (x2 − 2x − 3) = (x − 3)(x + 1)
⎧(3)4 + a(3)3 + b(3)2 + 3(3) + 4 = 0
จํานวนเต็ม ที่ xy = 1 แสดงว่า ⎨( 1)4 a( 1)3 b( 1)2 3( 1) 4 0
⎩− + − + − + − + =
ข. ไม่จริง เช่น ถ้า x = 0 จะไม่มี y ที่เป็นจํานวน
−19 −37
จริง ที่ xy = 1 จะได้ a = ,b =
9 9
ค. ไม่จริง เพราะถ้า xy = 1 นั้น xy ∉ A แน่นอน และจาก (x2 + x − 2) = (x + 2)(x − 1)
( 1 ไม่ใช่จํานวนอตรรกยะ) ⎧(−2)3 + 10(−2)2 + c(−2) + d = 0
ง. จริง ไม่วา่ x เป็นจํานวนตรรกยะใด y จะเป็น แสดงว่า ⎨ 3 2
⎩(1) + 10(1) + c(1) + d = 0
จํานวนตรรกยะเสมอ (x, y ≠ 0) จะได้ c = 7, d = −18
(7) อินเวอร์สการคูณของ a คือ 1/a ... ดังนัน้ ดังนัน้ a + b + c + d = −155
1 9
อินเวอร์สการคูณของ คือ 6 + 5
6+ 5 (17) แยกตัวประกอบแต่ละพหุนามก่อน
เอกลักษณ์การคูณของจํานวนจริงใดๆ คือ 1 เสมอ (โดยการหารสังเคราะห์)
(8) ก. (a ∗ b) ∗ a = b ∗ a = b → ผิด จะได้ (x3 − 7x + 6) = (x − 1)(x − 2)(x + 3)
ข. (b ∗ c) ∗ b = a ∗ b = b → ผิด และ (3x3 − 7x2 + 4) = (x − 1)(x − 2)(3x + 2)
ค. (a ∗ b) ∗ (c ∗ b) = b ∗ a = b → ถูก และ (x − 3x + 6x − 4) = (x − 1)(x − 2)(x − 2)(x +
4 3
2)
(เป็นจริงเสมอ เมื่อ a ≠ b)
A คือ - + - + ดังนัน้ a = −2 → a2 + 1 = 5
B = (−5, ∞) -3 -1 2 (38.1) ได้ x ∈ (− 7, 7) ตอบ 7
∴A∩B คือ (38.2) ไม่มีขอบเขตบน (38.3) ตอบ 8
-5 -3 -1 2 (38.4) {..., −6, −4, −2, 0, 2, 4, ...} ไม่มีขอบเขตบน
ดังนัน้ ตอบ −4 − 3 − 1 + 0 + 1 + 2 = −5 (39) A = { 1 , 2 , 3 , ...} จะได้ a = 1
(35.1) ห้ามคูณไขว้เพราะตัวส่วนอาจติดลบ แล้ว 2 3 4
1 1
เครื่องหมายจะผิด ควรทําดังนี้ 1 − 2 < 0 B = {−1, − , − , ...}
2 3
จะได้ b = −1
x − 1 3x − 1
3x − 1 − 2x + 2 (x + 1) ดังนัน้ a + b = 1 − 1 = 0
→ < 0 → < 0
(x − 1)(3x − 1) (x − 1)(3x − 1) (40) ยกกําลังสองได้เพราะเป็นบวกทั้งสองข้าง
- + - + → 2x2 − 5x + 2 < 5 → 2x2 − 5x − 3 < 0
-1 1/3 1 → (2x + 1)(x − 3) < 0
(48) ถอดค่าสัมบูรณ์ได้ 2 กรณีคอื x < 0 กับ (49.4) แยกช่วงย่อย ก. เมือ่ x < 1 จะได้
x > 0 แต่พบว่า x < 0 ไม่ได้ เพราะขวามือจะติด 3 3
<x → <x →
ลบ ... จึงเหลือแค่กรณี x > 0 เท่านัน้ − x + 1 − 2 − x −1
3 3 + x2 + x
(โดยที่จริงแล้ว x ≠ 0 เพราะ 00 ไม่นิยาม) −x<0 → <0 →
1 −x − 1 −x − 1
2 x2
→ ( x)x = x3 → x 2 = x3 x2 + x + 3
> 0 → x + 1 > 0 → x > −1
1 2 x +1
ก. มองเฉพาะเลขชี้กําลัง x = 3 →
2 → (−1, 1)
x2 = 6 → x = 6 ข. เมื่อx > 1 จะได้
ข. มองว่าฐานของเลขยกกําลัง x = 1 ก็ได้ เพราะ 3 3
<x → −x <0 →
x − 1−2 x −3
1 ยกกําลังอะไรก็ได้ 1 เท่ากัน 3 − x2 + 3x x2 − 3x − 3
∴ ตอบ {1, 6} 0 → 0 →
x−3 x−3
(หมายเหตุ โจทย์ข้อนี้ควรจะใช้เรือ่ ง log ช่วยคิด) 3 + 21 3 − 21
(x − )(x − )
(49.1) แยกช่วงย่อยเหมือนข้อ 44, 45 ก็ได้ 2 2 > 0 (แยกด้วยสูตร)
ก. เมื่อ x < 1/2 จะได้ (x − 3)
−2x + 1 < 3x + 2 → −1 < 5x → x > − 1/5 แล้วเขียนเส้นจํานวน โดยคิดว่า 21 ≈ 4 กว่าๆ
→ (−1/5, 1/2)
จะได้ [ 3 − 21 , 3) ∪ [ 3 + 21 , ∞) อินเตอร์เซคกับ
2 2
ข. เมื่อ x > 1/2 จะได้
3 + 21
2x − 1 < 3x + 2 → −3 < x → x > − 3 → [1/2, ∞) เงื่อนไขช่วง ได้เป็น [1, 3) ∪ [ , ∞)
2
∴ ตอบ (−1/5, ∞) 3 + 21
∴ ตอบ (−1, 3) ∪ [ , ∞)
(49.2) นอกค่าสัมบูรณ์เป็นตัวเลข จึงแก้แบบนี้ได้ 2
−6 < x − 2 < −3 หรือ 3 < x − 2 < 6 x < 0
(49.5) แยกช่วงย่อย ก. เมือ่ จะได้
−4 < x < −1 5 < x < 8 −x −x
<2 → −2<0 →
∴ ตอบ (−4, −1) ∪ (5, 8) −x − 1 −x − 1
−x + 2x + 2 x+2
(49.3) จาก x + 1 > 0 แยกช่วงย่อยคิด −x − 1
0 →
x+1
0
|x|
เขียนเส้นจํานวนได้เป็น (−∞, −2] ∪ (−1, ∞)
ก. เมื่อ x < 0 จะได้
1 x2 − 1
อินเตอร์เซคกับเงือ่ นไขช่วง ได้ (−∞, −2] ∪ (−1, 0)
x− > 0 → > 0 ข. เมื่อ x > 0 จะได้
x x
(x − 1)(x + 1) x x
> 0 เขียนเส้นจํานวนได้เป็น <2 → −2<0 →
x x−1 x−1
x − 2x + 2 x−2
(−1, 0) ∪ (1, ∞) นําไปอินเตอร์เซคเงื่อนไขได้ (−1, 0) 0 → 0
x−1 x −1
ข. เมื่อ x >0 จะได้ เขียนเส้นจํานวนได้เป็น (−∞, 1) ∪ [2, ∞)
1 x2 + 1
x+ > 0 → > 0 อินเตอร์เซคกับเงือ่ นไขช่วง ได้ [0, 1) ∪ [2, ∞)
x x
(ด้านบนแยกตัวประกอบไม่ออก) เขียนเส้นจํานวนได้ ∴ ตอบ (−∞, −2] ∪ (−1, 1) ∪ [2, ∞)
เป็น (0, ∞) นําไปอินเตอร์เซคเงื่อนไขได้ (0, ∞) (50) A; แยกช่วงย่อย ก. เมื่อ x < −2 จะได้
−x − 2
ฉะนั้น คําตอบในส่วนนีค้ ือ (−1, 0) ∪ (0, ∞) + x − 4 < 0 → −x − 2 + 2x − 8 < 0 →
2
2
ต่อมา จาก x − x − 2 < 0 → (x − 2)(x + 1) < 0 x − 10 < 0 → x < 10 → (−∞, −2)
เขียนเส้นจํานวนได้คําตอบเป็น (−1, 2) ข. เมื่อ x > −2 จะได้
สรุปคําตอบของข้อนี้ x +2
+ x − 4 < 0 → x + 2 + 2x − 8 < 0 →
x ∈ (−1, 0) ∪ (0, ∞) และ x ∈ (−1, 2) 2
เชื่อมด้วยคําว่า “และ” แปลว่า อินเตอร์เซค 3x − 6 < 0 → x < 2 → [−2, 2]
ได้คําตอบ x ∈ (−1, 0) ∪ (0, 2) ดังนัน้ A = (−∞, 2]
eÃ×èo§æ¶Á
ถ้าไม่มีเครื่องคํานวณ จะหาค่ารากที่สองได้อย่างไร..
(1)
5 14 . 00 00
(1) สมมติว่า จะถอดรากที่สองของ 514
เริ่มต้น ให้แบ่งตัวเลขในจํานวน 514 ออกเป็นกลุ่มๆ ทีละ 2 ตัว โดยวัดจาก (2)
จุดทศนิยมมาทางซ้าย ได้แก่ 14 และ 5 (หลักหน่วยอยู่กับสิบ หลักร้อยอยู่กับพัน 2
หลักหมื่นอยู่กับแสน ไปเรื่อยๆ) และวัดทศนิยมไปทางขวากลุ่มละ 2 ตัวเช่นกัน 2 5 14 . 00 00
(โจทย์ข้อนี้ไม่มีทศนิยมจึงใส่ 00 และ 00 ไปเรื่อยๆ)
(3) 2
(2) หาจํานวนนับที่คูณตัวเองแล้วได้ใกล้เคียงกลุ่มแรก (คือ 5) ที่สุด 2 5 14 . 00 00
(แต่ไม่เกิน 5) นั่นคือ 2 คูณ 2 ... ก็ใส่ 2 ไว้ที่ช่องตัวหาร กับช่องผลลัพธ์ 4
1
(3) จาก 2 คูณ 2 ได้ 4 ... ใส่ผลคูณคือ 4 ไว้ใต้เลข 5 แล้วนํามาลบกัน เหลือ 1 (4) 2
2 5 14 . 00 00
(4) นําผลลัพธ์ที่ได้ในขณะนี้ (บรรทัดบนสุด) คือ 2 มาคูณสองกลายเป็น 4 4
ใส่ไว้ที่ช่องตัวหารด้านหน้า ... แล้วดึงเลขกลุ่มถัดไปลงมา (คือ 14) กลายเป็น 114 4 1 14
(5) ต่อมาให้หาค่า x ซึ่งทําให้ 4x คูณ x ได้ใกล้เคียง 114 ที่สุด (แต่ไม่เกิน 114) (5) 2 2 .
... เช่น 41 คูณ 1 ได้ 41, 42 คูณ 2 ได้ 84, 43 คูณ 3 ได้ 129 (เกิน) 2 5 14 . 00 00
ดังนั้น ต้องใช้ 42 คูณ 2 ... ใส่ 2 ไว้ที่ตัวหาร (ต่อท้าย 4) และใส่ 2 ไว้ช่อง 4
ผลลัพธ์ด้วย จากนั้น 42 คูณ 2 ได้ 84 เอาไปตั้งลบออกจาก 114 (เหลือ 30) 42 1 14
84
(6) ทําเช่นเดียวกับข้อ (4) และ (5) ไปเรื่อยๆ 30
คือ เอาผลลัพธ์ในขณะนี้ (22) มาคูณสองกลายเป็น 44 ใส่ไว้ช่องตัวหาร (6) 2 2 .
และดึงกลุ่มถัดไป (คือ 00) ลงมาต่อท้าย 30 กลายเป็น 3000 2 5 14 . 00 00
4
(7) หาค่า x ซึ่งทําให้ 44x คูณ x ได้ใกล้เคียง 3000 ที่สุด 42 1 14
(แต่ไม่เกิน 3000) ... พบว่า ต้องใช้ 446 คูณ 6 84
ใส่ 6 ไว้ที่ตัวหาร (ต่อท้าย 44) และใส่ 6 ไว้ช่องผลลัพธ์ 44 30 00
จากนั้น 446 คูณ 6 ได้ 2676 เอาไปตั้งลบออกจาก 3000 (เหลือ 324) (7) 2 2 . 6
2 5 14 . 00 00
(8) เอาผลลัพธ์ในขณะนี้ (226) มาคูณสองเป็น 452 ใส่ไว้ช่องตัวหาร 4
และดึงกลุ่มถัดไป (คือ 00) ลงมาต่อท้าย 324 กลายเป็น 32400 42 1 14
หาค่า x ซึ่งทําให้ 452x คูณ x ได้ใกล้เคียง 32400 ที่สุด (แต่ไม่เกิน 32400) ... 84
พบว่า ต้องใช้ 4527 คูณ 7 ... ใส่ 7 ไว้ที่ตัวหาร (ต่อท้าย 452) และใส่ 7 ไว้ 446 30 00
ช่องผลลัพธ์ จากนั้น 4527 คูณ 7 ได้ 31689 เอาไปตั้งลบออกจาก 32400 ... 26 76
ทําไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้คําตอบที่มีจาํ นวนทศนิยมเท่าที่ต้องการ 3 24
(8) 2 2 . 6 7
สรุปว่า รากที่สองของ 514 มีค่าประมาณ 22.67...
2 5 14 . 00 00
4
ข้อสังเกต จํานวนหลักของคําตอบ จะเท่ากับจํานวนกลุ่มที่แบ่งในโจทย์ 42 1 14
เช่น 514 แบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ 5,14 ดังนั้นคําตอบจะมี 2 หลัก (ไม่รวมทศนิยม) 84
หรือถ้าเป็น 903601 แบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ 90,36,01 คําตอบก็จะมี 3 หลัก... 446 30 00
26 76
อ่านแล้วทดลองถอดรากที่สองเองดูสิครับ 4527 3 24 00
อย่างเช่น หารากที่สองของ 225, รากที่สองของ 3000, รากที่สองของ 214.7 3 16 89
.... ....
ตรวจสอบคําตอบกับเครื่องคํานวณ ถ้าตรงกันแสดงว่ารู้หลักในการคิดแล้ว :]
~ ∧ → lgc
º··Õè 3 µÃáÈÒʵÃ
ตรรกศาสตร์ (Logic) เป็นวิชาเกี่ยวกับการใช้
เหตุผลเพื่อวิเคราะห์ค่าความจริง (จริงหรือเท็จ) ของ
ประโยคต่างๆ ความเข้าใจในตรรกศาสตร์เบื้องต้นจะ
ช่วยให้ศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ได้อย่างมีเหตุผล
ประโยคทุกประโยคที่มี ค่าความจริง (Truth Value) เป็นจริงหรือเป็นเท็จอย่างใดอย่างหนึ่ง
เราจะเรียกว่า ประพจน์ (Proposition หรือ Statement) ดังนั้นประพจน์อาจเป็นประโยคบอกเล่า,
ประโยคปฏิเสธ เช่น “เมื่อวานฝนตกที่บางกะปิ”, “1 มากกว่า 2”, “เก่งไม่ใช่คนร้าย” เหล่านี้ถือเป็น
ประพจน์ เพราะสามารถให้ค่าความจริงกํากับว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จได้
แต่ประโยคคําถาม ประโยคคําสั่ง ขอร้อง ประโยคแสดงความปรารถนา ประโยคอุทาน
เหล่านี้ไม่ใช่ประพจน์เพราะไม่สามารถให้ค่าความจริงได้ เช่น “กรุณางดใช้เสียง”, “ใครเป็นคนทําแก้ว
แตก”, “อยากไปเที่ยวหัวหินจังเลย” หรือ “โอ้โห วิเศษไปเลยจอร์จ”
S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
»Ãao¤·Õè´ÙeËÁ×o¹e»¹»Ãa¾¨¹ ºÒ§¤Ãa駡çäÁe»¹»Ãa¾¨¹ ... eª¹
1. ÊÁÈÃÕÊÇ·ÕèÊu´ã¹«o eÃ×èo§¤ÇÒÁÊǹaé¹e»¹eªi§¨iµÇiÊa äÁÊÒÁÒö¿¹¸§ä´ÇÒ¨Ãi§ËÃ×oe·ç¨ ¨Ö§äÁe»¹»Ãa¾¨¹!
2. e¢Ò¡íÒÅa§¡i¹¢ÒÇ oa¹¹Õé¡çäÁe»¹»Ãa¾¨¹ e¾ÃÒaäÁä´e¨Òa¨§ÇÒ e¢Ò ËÁÒ¶֧ã¤Ã ´a§¹aé¹oÒ¨¨a¨Ãi§ËÃ×oe·ç¨¡çä´ äÁ湪´a
(eÃÕ¡»Ãao¤·Õèµi´µaÇæ»Ã溺¹ÕéÇÒ »Ãao¤e»´ ¨aä´ÈÖ¡ÉÒã¹ËaÇ¢o 3.4 ¤Ãaº..)
สิ่งที่ควรทราบ
ตัวเชื่อม และ มีสมบัติคล้ายอินเตอร์เซคชันของเซต
ตัวเชื่อม หรือ มีสมบัติคล้ายยูเนียนของเซต
และ นิเสธ มีสมบัติคล้ายคอมพลีเมนต์ของเซต
แบบฝึกหัด 3.1
(1) ให้เติมค่าความจริงหรือประพจน์ที่เหมาะสม ลงในช่องว่าง เมื่อ p เป็นประพจน์ใดๆ
T ∧p ≡ T∨p ≡ T →p ≡ T ↔p ≡
F∧p ≡ F∨p ≡ F→p ≡ F↔p ≡
p∧p ≡ p∨p ≡ p→T ≡ p↔p ≡
p ∧ ~p ≡ p ∨ ~p ≡ p →F ≡ p ↔~p ≡
p→p ≡
p →~p ≡
(12) ข้อความในข้อใดสมมูลกันบ้าง
ก. ถ้า a เป็นจํานวนเต็ม แล้ว a เป็นจํานวนคู่ หรือ a เป็นจํานวนคี่
ข. ถ้า a ไม่เป็นจํานวนคู่ และ a ไม่เป็นจํานวนคี่ แล้ว a ไม่เป็นจํานวนเต็ม
ค. a ไม่เป็นจํานวนเต็ม หรือ a เป็นจํานวนคู่ หรือ a เป็นจํานวนคี่
(13) ข้อใดถูกหรือผิดบ้าง
ก. ~ (p ∧ ~ r) ∨ ~ q สมมูลกับ q → (r ∨ ~ p)
ข. p → (q → r) สมมูลกับ q → (p → r)
ค. (p ∧ q) → r สมมูลกับ (p → ~ q) ∨ (p → r)
(14) กําหนดค่าความจริงของตัวเชื่อม ∗ ดังตาราง p q p ∗q
(14.1) (p ∗ p) ∗ (q ∗ q) สมมูลกับข้อใด
T T F
ก. p ∧ q ข. p ∨ q T F F
ค. p → q ง. p ↔ q F T F
(14.2) [Ent’34] p ∗ q สมมูลกับข้อใด F F T
ก. ~ (~ p → q) ข. ~ p → q
ค. ~ (q → ~ p) ง. q → ~ p
(15) กําหนดให้ p ∗ q ≡ ~ (p ∨ q) ถามว่าอัตราส่วนจํานวนกรณีที่ p ∗ (q ∗ r) เป็นจริง ต่อจํานวน
กรณีที่เป็นเท็จ เป็นเท่าใด
3.2 สัจนิรันดร์
หากรูปแบบของประพจน์ใดให้ค่าความจริงเป็นจริงเสมอทุกๆ กรณี (สร้างตารางค่าความจริง
แล้วพบว่าเป็นจริงทุกแบบ) เราเรียกรูปแบบนั้นว่าเป็น สัจนิรันดร์ (Tautology)
• ตัวอยาง ประพจนนี้เปนสัจนิรนั ดรหรือไม
ก. (r ∨ p) → (p → r) ข. (r ∨ ~ p) ↔ (p → r)
วิธีคิด เขียนตารางแสดงคาความจริงของ p กับ r ใหครบทุกกรณีที่เปนไปได (4 กรณี)
p r r ∨ p p → r (r ∨ p) → (p → r) p r r ∨ ~ p p → r (r ∨ ~ p) ↔ (p → r)
T T T T T T T T T T
T F T F F T F F F T
F T T T T F T T T T
F F F T T F F T T T
เราพบวา ขอ ก. เกิดกรณีที่เปนเท็จไดดวย จึงไมเปนสัจนิรันดร
แตขอ ข. ผลเปนจริงทุกกรณี จึงเปนสัจนิรันดร
การตรวจสอบรูปแบบประพจน์ว่าเป็นสัจนิรันดร์หรือไม่ นอกจากจะใช้วิธีเขียนตารางค่าความ
จริงให้ครบทุกกรณีแล้ว โดยทั่วไปนิยมใช้ “วิธีพยายามทําให้เป็นเท็จ” คือถ้าหากรณีที่ทําให้รูปแบบนั้น
เป็นเท็จไม่ได้เลย รูปแบบนั้นก็จะเป็นสัจนิรันดร์ แต่ถ้าทําเป็นเท็จได้แม้เพียงกรณีเดียว รูปแบบนั้น
ย่อมไม่ใช่สัจนิรันดร์
แบบฝึกหัด 3.2
(16) ประพจน์ต่อไปนี้เป็นสัจนิรันดร์หรือไม่
(16.1) (p ∧ q) → [(p ∨ q) → r]
(16.2) (p ∨ q) → [(p ∧ q) → r]
(16.3) [Ent’29] [(p → q) ∧ (q → r)] → (p → r)
(16.4) [(p → r) ∧ (q → r)] → [(p ∧ q) → r]
(16.5) [(p → r) ∧ (q → r)] → [(p ∨ q) → r]
(16.6) [(p → r) ∧ (q → s) ∧ (p ∧ q)] → (r ∨ s)
(16.7) [Ent’29] ⎡⎣[(p ∧ q) → r ] ∧ (p → q)⎤⎦ → (p → r)
(17) ประพจน์ต่อไปนี้เป็นสัจนิรันดร์หรือไม่
(17.1) [Ent’23] ~ (p → ~ q) ↔ (p ∧ q)
(17.2) [(~ p ∧ q) ∨ p] ↔ (p ∧ q)
(17.3) [(p ∨ q) ∧ ~ p] ↔ (~ p ∧ q)
3.3 การอ้างเหตุผล
การอ้างเหตุผล คือการกล่าวว่าถ้ามีเหตุเป็นข้อความ p1, p2 , p3 , ..., pn ชุดหนึ่ง แล้ว
สามารถสรุปผลเป็นข้อความ q อันหนึ่งได้ การอ้างเหตุผลมีทั้งแบบที่ สมเหตุสมผล (valid) และ ไม่
สมเหตุสมผล (invalid) ซึ่งเราสามารถตรวจสอบความสมเหตุสมผลได้โดยหลายวิธี คือ
1. ตรวจสอบสัจนิรันดร์
การอ้างเหตุผลจะสมเหตุสมผล ก็เมื่อ (p1 ∧ p2 ∧ p3 ∧ ... ∧ pn) → q เป็นสัจนิรันดร์
หรือกล่าวว่า จะไม่สมเหตุสมผลเพียงกรณีเดียวเท่านั้น คือเมื่อ “เหตุเป็นจริงทุกข้อแต่ผลเป็นเท็จ”
2. เทียบกับรูปแบบที่พบบ่อย
การอ้างเหตุผลทุกรูปแบบต่อไปนี้ สมเหตุสมผล
(1) เหตุ p → q (2) เหตุ p → q (3) เหตุ p→q (4) เหตุ p→q
p ~ q q→r r→s
ผล q ผล ~ p ผล p→r p∨r
แบบฝึกหัด 3.3
(22) [Ent’39] การอ้างเหตุผลดังต่อไปนี้ สมเหตุสมผลหรือไม่
(22.1) เหตุ 1. p → q (22.2) เหตุ p → (r ∨ s)
2. q → s ผล ~ p ∨ (r ∨ s)
3. ~ s
ผล ~ p
(23) การอ้างเหตุผลดังต่อไปนี้ สมเหตุสมผลหรือไม่
(23.1) เหตุ 1. ถ้า x เป็นจํานวนคู่แล้ว 2 | x
2. ถ้า x เป็นจํานวนคู่และ 2 | x แล้ว x เป็นจํานวนเต็ม
3. ไม่จริงที่วา่ “x เป็นจํานวนเฉพาะและ x เป็นจํานวนเต็ม”
4. x เป็นจํานวนคู่
ผล x เป็นจํานวนเฉพาะ
(23.2) เหตุ 1. ถ้า a เป็นจํานวนตรรกยะแล้ว a ไม่เป็นจํานวนอตรรกยะ
2. a2 = 2 หรือ a2 = −1
3. ถ้า a2 = 2 แล้ว a เป็นจํานวนอตรรกยะ
4. a2 ≠ −1
ผล a เป็นจํานวนตรรกยะ
(24) จงเติมข้อความที่ทําให้การอ้างเหตุผลนี้สมเหตุสมผล
(24.1) เหตุ 1. p → (q → r) (24.2) เหตุ 1. ~ p → q
2. ~ s ∨ p 2. q → ~ r
3. q 3.
ผล ผล p
(25) จงเติมข้อความที่ทําให้การอ้างเหตุผลนี้ สมเหตุสมผล
เหตุ 1. ถ้าฉันขยัน ฉันจะไม่ตกคณิตศาสตร์
2. ฉันตกคณิตศาสตร์
ผล
(26) กําหนดเหตุให้ดังนี้
เหตุ 1. ถ้าฉันขยันแล้วฉันจะสอบได้
2. ถ้าฉันไม่ขยันแล้วพ่อแม่จะเสียใจ
3. ถ้าฉันเรียนในมหาวิทยาลัยแล้วพ่อแม่จะไม่เสียใจ
4. ฉันสอบไม่ได้
ให้หาว่าผลในข้อใดทําให้การอ้างเหตุผลสมเหตุสมผล
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 67 ตรรกศาสตร
ผล ก. ฉันไม่ได้เรียนในมหาวิทยาลัย หรือฉันขยัน
ข. ฉันเรียนในมหาวิทยาลัย และฉันขยัน
ค. พ่อแม่ฉันไม่เสียใจ และฉันไม่ได้เรียนในมหาวิทยาลัย
ง. ฉันขยัน แต่ฉันสอบไม่ได้
3.4 ประโยคเปิดและตัวบ่งปริมาณ
ประโยค “x มากกว่า 2” (หรือ “เขาไม่ใช่คนร้าย”) ไม่ใช่ประพจน์ เนื่องจากยังไม่ทราบแน่
ชัดว่ามีค่าความจริงเป็นจริงหรือเป็นเท็จ ค่าความจริงขึ้นอยู่กับว่า x เป็นจํานวนใด (หรือ “เขา” เป็น
ใคร) เช่น ถ้า x เป็น 3 ประโยคนี้จะเป็นจริง แต่ถ้า x เป็น 2 ประโยคนี้จะเป็นเท็จ เราเรียก
“ประโยคที่ยังคงติดค่าตัวแปร และเมื่อแทนค่าตัวแปรแล้วจึงกลายเป็นประพจน์” ว่า ประโยคเปิด
(Open Sentence)
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนประโยคเปิดใดๆ (ที่ติดค่าตัวแปร x) ได้แก่ P (x), Q (x), R (x) ฯลฯ ซึ่ง
ประโยคเปิดเหล่านี้สามารถใช้ตัวเชื่อมได้เช่นเดียวกับประพจน์ p, q, r ทั่วๆ ไป
แบบฝึกหัด 3.4
(27) ให้ U = {−2, −1, 0, 1, 2} ข้อใดเป็นจริง
ก. ∀x [x เป็นจํานวนเต็ม และ x2 > 0]
ข. ∃x [x3 > x2 และ x < x2 ]
ค. ∀x [ ถ้า x เป็นจํานวนเต็มบวก แล้ว x เป็นจํานวนเฉพาะ ]
ง. ∃x [x เป็นจํานวนเฉพาะ และ x เป็นจํานวนคี่ ]
(32) จงหาค่าความจริงของประโยคต่อไปนี้
หากกําหนดเอกภพสัมพัทธ์เป็น U = {−1, 0, 1} S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
溺½¡Ëa´¢o 32.2 ¡aº 32.3 Çi¸¤Õ i´äÁeËÁ×o¹¡a¹¹a¤Ãaº
(32.1) ∃x (x2 ≠ 1) → ∀x (x2 ≠ 1) e¾ÃÒa ËÒÁ¡Ãa¨Ò some e¢Òä»ã¹ æÅa
(32.2) ∃x (x + 1 > 0) ∧ ∃x (x2 ≠ 1)
ã¹¢o 32.2 eÃÒ¤i´¤Ò¤ÇÒÁ¨Ãi§æ¡«Ò·չ֧ ¢ÇÒ·Õ¹Ö§
(32.3) ∃x (x + 1 > 0 ∧ x2 ≠ 1) æÅǤoÂeoÒÁÒeª×èoÁ¡a¹´Ç æÅa
(32.4) ∀x (x2 > 0) ∨ ∀x (x = 0) æµã¹¢o 32.3 eÃÒµo§¤i´ã¹Ç§eÅçºÃÇ´e´ÕÂÇ ËÁÒ¶֧ÇÒ
(32.5) ∀x (x2 > 0 ∨ x = 0) ¤Ò x ·Õèãªã¹Ç§eÅ纷a§é ˹ÒæÅaËÅa§ µo§e»¹µaÇe´ÕÂÇ¡a¹...
3.5 การให้เหตุผลแบบอุปนัยและนิรนัย
การให้เหตุผล (Reasoning) เป็นการกระทําเพื่อหาข้อสรุปหรือข้อสนับสนุนความเชื่อ ซึ่งถือ
เป็นอีกกระบวนการที่สําคัญในทางตรรกศาสตร์ การให้เหตุผลมีอยู่ 2 ลักษณะ ได้แก่ การให้เหตุผล
แบบอุปนัย และแบบนิรนัย
• ตัวอยางการใหเหตุผลแบบอุปนัย ในคณิตศาสตร
1. ในเซต A = {2, 4, 6, 8, 10, ...} เมือ่ สังเกตลักษณะของสมาชิกทั้งหาตัว พบวาเกิดจาก
การบวกทีละ 2 เราจึงสรุปผลวา สมาชิกตัวที่เหลือที่ละไวคือ 12, 14, 16, ... (จํานวนนับคู)
2. จาก 1 = 1 , 1 + 3 = 4 , 1 + 3 + 5 = 9 , 1 + 3 + 5 + 7 = 16 , 1 + 3 + 5 + 7 + 9 = 25
2
เราจึงสรุปไดวา จํานวนนับคี่ n จํานวนแรก มีผลบวกเทากับ n
3. ลําดับ 1, 3, 7, 15, 31, ... สังเกตไดวา ผลตางของแตละพจนติดกัน เปน 2, 4, 8, 16
ดังนั้นพจนถัดไปของลําดับคือ 63 (เพราะผลตางเทากับ 32 )
4. จาก 11 × 11 = 121 , 111 × 111 = 12321 , 1111 × 1111 = 1234321 …
จึงสรุปไดวา 11111 × 11111 = 123454321
5. เมือ่ ยกตัวอยางจํานวนนับที่หารดวย 3 ลงตัว เชน 12 , 51 , 96 , 117 , 258 , 543 , 2930 ,
5022 , 7839 … พบวาผลบวกของเลขโดดเปนจํานวนที่หารดวย 3 ลงตัว
จึงสรุปวาถาผลบวกของเลขโดดเปนจํานวนที่หารดวย 3 ลงตัวแลว จํานวนนับนัน้ จะหารดวย 3 ลงตัว
ข้อควรระวังในการให้เหตุผลแบบอุปนัยคือ ข้อสรุปที่ได้ไม่จําเป็นต้องถูกต้องทุกครั้ง
เนื่องจากเป็นการสรุปผลเกินขอบเขตที่เราพิจารณาออกไป
สิ่งที่มีผลต่อความน่าเชื่อถือ ได้แก่
1. จํานวนข้อมูลที่มีเพียงพอหรือไม่ ... (ไม่ควรพิจารณาข้อมูลปริมาณน้อยๆ แล้วสรุปทันที)
เช่น – สุ่มหยิบลูกบอลได้สีแดงติดกัน 4 ครั้ง จึงสรุปเอาว่าบอลทุกลูกมีสีแดง ซึ่งอาจผิดก็ได้
– สมมติฐาน (n+ 1)2 > 2(n − 1) สําหรับจํานวนนับ n ใดๆ
พบว่าเมื่อแทน n = 1, 2, 3, 4 จะได้ 4 > 1, 9 > 2, 16 > 4, 25 > 8 ซึ่งล้วนเป็นจริง
แต่ที่แท้สมมติฐานนี้จะเป็นเท็จ เมื่อแทน n = 7, 8, 9, ... เป็นต้นไป
– สมมติฐาน n2 − n + 5 เป็นจํานวนเฉพาะ สําหรับจํานวนนับ n ใดๆ
พบว่าเมื่อแทน n = 1, 2, 3, 4 จะได้ n2 − n + 5 = 5, 7, 11, 17 ซึ่งเป็นจํานวนเฉพาะจริงๆ
แต่เมื่อแทน n = 5 จะได้ n2 − n + 5 = 25 ซึ่งไม่ใช่จํานวนเฉพาะ
2. ข้อมูลที่ใช้นั้นเป็นตัวแทนที่ดีแล้วหรือไม่ ... (อาจมีข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อสรุปอยู่ แต่นึกไม่
ถึง) เช่น สุ่มถามคน 100 คนในบริเวณสยามสแควร์ พบว่าอายุไม่เกิน 22 ปีถึง 70 คน จึงสรุปเอา
ว่าในกรุงเทพฯ มีประชากรวัยรุ่นจํานวนมากกว่าวัยทํางานอยู่เท่าตัว ซึ่งอาจเป็นข้อสรุปที่ผิด
3. ข้อสรุปที่ต้องการมีความซับซ้อนเกินไปหรือไม่ ... (บางเรื่องสรุปได้ยาก โดยเฉพาะที่
เกี่ยวกับความนึกคิดของมนุษย์ เช่น ความเชื่อ ความพึงพอใจ มักจะขึ้นกับเหตุผลต่างๆ กัน)
• ตัวอยางการใหเหตุผลแบบนิรนัย
1. เหตุ (1) นักเรียนทุกคนตองทําการบาน ... (2) สุดาเปนนักเรียน ผล สุดาตองทําการบาน
2. เหตุ (1) นกเทานั้นที่บินได ... (2) คนบินไมได ผล คนไมใชนก
* 3. เหตุ (1) สัตวปกทุกตัวบินได ... (2) แมวบางตัวเปนสัตวปก ผล แมวบางตัวบินได
การตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการให้เหตุผลแบบนิรนัย สามารถทําได้อย่างรอบคอบ
โดยใช้แผนภาพของเซต (แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์) ช่วยในการคิด
นก
นก นก
สิ่งที่บินได้ สิ่งที่บินได้ สิ่งที่บินได้
ไม่มีนกตัวใดบินได้ นกบางตัวบินได้ นกทุกตัวบินได้
(หรือ นกทุกตัวบินไม่ได้) (หรือ นกบางตัวบินไม่ได้)
ตัวอย่างเช่น
1. เหตุ (1) นักเรียนชายทุกคนลงแข่งกีฬา ผู้ลงแข่งกีฬา
นร.ชาย
(2) สมศักดิ์เป็นนักเรียนชาย
ผล สมศักดิ์ลงแข่งกีฬา ... สมเหตุสมผล สมศักดิ์
นร.ชาย ผู้ลงแข่งกีฬา
2. เหตุ (1) นักเรียนชายทุกคนลงแข่งกีฬา
(2) สมศรีไม่ได้เป็นนักเรียนชาย สมศรี
ผล สมศรีไม่ได้ลงแข่งกีฬา ... ไม่สมเหตุสมผล (เป็นไปได้ 2 แบบ) สมศรี
A B
C
2 เซต
เช่น 3 เซต
หากมีประโยคว่า “เพนกวินเป็นนก”
จะต้องจุดแทน “เพนกวิน” ลงในช่อง “นก” ทางซ้ายเท่านั้น
นก
เนื่องจากช่องกลางถูกแรเงาทึบไปแล้ว
สิ่งที่บินได้
ไม่มีนกตัวใดบินได้ * แต่บางตําราก็ใช้การแรเงาเพื่อบ่งบอกว่าชิ้นส่วนนั้นต้องมีสมาชิกอยู่!
แบบฝึกหัด 3.5
(40) ให้บอกค่าของ a ที่ปรากฏในลําดับต่อไปนี้
(40.1) −1, −3, −5, −7, a (40.5) 3, 1, −1, −3, a
1 2 3 4
(40.2) 2, 7, 12, 17, a (40.6) , , , ,a
2 3 4 5
(40.3) 1, −2, 3, −4, a (40.7) 1, 4, 9, 16, a
9 × 9 = 81 1089 × 1 = 1089
(41.2) 9 × 99 = 891 (41.6) 1089 × 2 = 2178
9 × 999 = 8991 1089 × 3 = 3267
1 × 9 = 11 − 2 2 (3) = 3 (3 − 1)
(41.3) 12 × 9 = 111 − 3 (41.7) 2 (3) + 2 (9) = 3 (9 − 1)
123 × 9 = 1111 − 4 2 (3) + 2 (9) + 2 (27) = 3 (27 − 1)
9 × 9 + 7 = 88 3 × 4 = 2 (1 + 2 + 3)
(41.4) 9 × 98 + 6 = 888 (41.8) 4 × 5 = 2 (1 + 2 + 3 + 4)
9 × 987 + 5 = 8888 5 × 6 = 2 (1 + 2 + 3 + 4 + 5)
(42) ให้ตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการอ้างเหตุผลต่อไปนี้
โดยอาศัยการให้เหตุผลแบบนิรนัย ประกอบกับแผนภาพของเวนน์-ออยเลอร์
(42.1) เหตุ – คนบางคนว่ายน้าํ ได้ (42.2) เหตุ – คนบางคนว่ายน้าํ ได้
– สมชายเป็นคน – สมชายเป็นคน
ผล สมชายว่ายน้ําได้ ผล สมชายว่ายน้ําไม่ได้
(42.3) เหตุ – ไม่มีเด็กดีคนใดคุยในเวลาเรียน
– นักเรียนห้องนี้ทุกคนเป็นเด็กดี
ผล ไม่มีนักเรียนคนใดในห้องนี้คุยในเวลาเรียน
(42.4) เหตุ – นักเรียนบางคนทําการบ้านไม่เสร็จ
– นักเรียนบางคนชอบเล่นฟุตบอล
ผล นักเรียนที่เล่นฟุตบอลบางคนทําการบ้านไม่เสร็จ
(42.5) เหตุ – วันนี้ฉันเงินหมด
– ไม่มีใครที่เงินหมดแล้วโดยสารรถเมล์ได้
ผล วันนี้ฉันไม่สามารถโดยสารรถเมล์ได้
(42.6) เหตุ – ไม่มีสัตว์น้ําตัวใดบินได้ (42.12) เหตุ – ไม่ใช่ปลาทุกตัวที่มีสองตา
– นกแก้วเป็นสัตว์น้ํา – กุ้งไม่ได้เป็นปลา
ผล นกแก้วบินไม่ได้ ผล กุ้งมีสองตา
(42.7) เหตุ – คนที่มีความสุขทุกคนยิ้มแย้ม (42.13) เหตุ – ไม่มีช่างคนใดที่ขยัน
– ฉันยิ้มแย้ม – สมนึกเป็นช่าง
ผล ฉันมีความสุข ผล สมนึกไม่ขยัน
(42.8) เหตุ – นักเรียนทุกคนสวมแว่นตา (42.14) เหตุ – ไม่มีช่างคนใดที่ขยัน
– ผู้ร้ายบางคนสวมแว่นตา – สมนึกไม่ขยัน
ผล นักเรียนบางคนเป็นผู้ร้าย ผล สมนึกเป็นช่าง
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) p|F|p|F (21) → หรือ ↔ (40.1) –9 (40.2) 22 (40.3) 5
(22) สมเหตุสมผลทัง้ สองข้อ (40.4) 48 (40.5) –5 หรือ 3
T|p|p|T
(23) ไม่สมเหตุสมผลทั้งสองข้อ (40.6) 5/6 (40.7) 25
p | T | T |~ p | T |~ p
(24.1) s → r (24.2) r (40.8) 3 3 3 3 3 (40.9) 5047
p |~ p | T | F
(25) ฉันไม่ขยัน (26) ก. (41.1) 37 × 12 = 444 , 37 × 15 = 555
(2) ข้อ 2.6 ถึง 2.10 เท็จ
(27) ข. (28) ก. (41.2) 9 × 9999 = 89991 ,
นอกนั้นจริง
(29) ก. ถูก ข. ผิด 9 × 99999 = 899991
(3) ข้อ 3.5, 3.7, 3.9,
(30) จริง (31) เท็จ (41.3) 1234 × 9 = 11111 − 5 ,
3.12 เท็จ นอกนัน้ จริง
(32) ข้อ 32.1, 32.4 เป็นเท็จ 12345 × 9 = 111111 − 6
(3.11) T, T, F
นอกนั้นจริง
(4) ก. ถูก ข. ถูก (41.4) 9 × 9876 + 4 = 88888 ,
(33) ข้อ 33.1 จริง นอกนั้นเท็จ
(5) ถูกทุกข้อ 9 × 98765 + 3 = 888888
(34) ข้อ 34.2, 34.4 จริง
(6) ก. ผิด ข. ถูก (41.5) 11 × 14 = 154 , 11 × 15 = 165
นอกนั้นเท็จ (35.1) เท็จ
(7) ก. (p ∧ q) ∨ (~ r ∧ ~ s) (35.2) จริง (36) ง. (37) ง. (41.6) 1089 × 4 = 4356 ,
ข. p ∧ ~ q ∧ r (38.1) ∃x [P (x) ∧ Q (x)] 1089 × 5 = 5445
(8) ง. (9) ค. (38.2) ∃x [P (x) ∧ Q (x) ∧ ~ R (x))] (41.7) 2 (3) + 2 (9) + 2 (27)
(10.1) ข. (10.2) ง. + 2 (81) = 3 (81 − 1) ,
(38.3) ∀x [P (x)] → ∃x [Q (x)]
(10.3) ก. (11) ค. 2 (3) + 2 (9) + 2 (27) + 2 (81)
(12) สมมูลกันทุกข้อ (38.4) ∀x∀y [(x + y = 5) ∧ (x − y ≠ 1)] + 2 (243) = 3 (243 − 1)
(13) ถูกทุกข้อ (38.5) ∀x∀y [x 0 ∨ y = 0 ∨ xy 0] (41.8) 6 × 7 = 2 (1 + 2 + 3 +
(14.1) ก. (14.2) ก. (38.6) ∀x∃y (xy > 0 ∧ x > 0 ∧ y > 0) 4 + 5 + 6) , 7 × 8 = 2 (1 +
(15) 3:5 (38.7) ∀x∀y [P (y) ∧ ~ R (x) ∧ Q (x)] 2 + 3 + 4 + 5 + 6 + 7)
(16 ถึง 19) เป็นทุกข้อ ยกเว้น (38.8) ∃x∀y∃z (x + y < z หรือ xy > z)
16.1, 16.2, 17.2, 17.7, 19.1 (42) ข้อทีส่ มเหตุสมผลได้แก่
(20) ข. และ ค. เป็นจริง (39) ก. ถู ก ข. ผิ ด (42.3), (42.5), (42.6),
(42.9), (42.13)
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1) ก. เครื่องหมาย “และ” (3.1) (....) → (p → q) ≡ T
T ∧ p ≡ p ... จริง “และ” อะไร ก็จะได้ตามตัวนัน
้ T
T
(หมายความว่า T ∧ T ≡ T, T ∧ F ≡ F ) (3.2) (....) → (p → q) ≡ T
F ∧ p ≡ F ... เท็จ “และ” อะไร จะได้เท็จเสมอ F .
p ∧ p ≡ p ... เหมือนกันเชือ
่ มด้วย “และ” ได้ตัวเดิม T
(3.3) (~ r ∧ p) ∨ (....) ≡ T
p ∧ ~ p ≡ F ... ตรงข้ามกันเชื่อมด้วย “และ” จะได้
T
เท็จเสมอ (เพราะต้องมีตัวใดตัวหนึ่งเป็นเท็จ) (3.4) r → q ≡ T โดย r เป็นจริง
ข. เครื่องหมาย “หรือ” แสดงว่า q เป็นจริงด้วย
(วิธีคิดลักษณะเดียวกับ “และ”) (p → q) ∧ (s → p) ∧ (s → q) ≡ T
T ∨ p ≡ T, F ∨ p ≡ p, p ∨ p ≡ p, p ∨ ~ p ≡ T
T T T T
ค. เครือ่ งหมายถ้า-แล้ว (3.5) p ≡ T, q ≡ F, r ≡ T ดังนั้น
T → p ≡ p, F → p ≡ T, p → T ≡ T, p → F ≡ ~ p
(~ q ∧ (p ∨ r)) → (~ r) ≡ F
(เพราะ T → F ≡ F, F → F ≡ T ) T T F
p → p ≡ T, p → ~ p ≡ ~ p (3.6) n ≡ F ดังนั้น n → [....] ≡ T
ง. เครือ่ งหมาย “ก็ต่อเมื่อ” (3.7) q ≡ F ดังนั้น (....) ∧ q ≡ F
T ↔ p ≡ p, F ↔ p ≡ ~ p, (3.8) q ≡ F, s ≡ F, r ≡ T, p ≡ F ดังนั้น
p ↔ p ≡ T, p ↔ ~ p ≡ F (q ∨ p) → (....) ≡ T
(หมายเหตุ ข้อ 1 นี้จะทําได้ก็เมือ่ คุ้นเคยลักษณะของ F
ตัวเชือ่ มทั้งสี่แล้ว) (3.9) p ∨ r ≡ T, q ∨ s ≡ F
(2.1) [(p ∧ s) ∨ (p ∧ r)] → (p ∨ s) ≡ T (แสดงว่า q ≡ F, s ≡ F )
T T p → q ≡ T แสดงว่า p ≡ F ดังนัน ้ r≡T
(2.2) [(q → s) ∨ r] ∨ [.....] ≡ T
T และจะได้ r → s ≡ T → F ≡ F
(2.3) [(r ↔ q) ∨ (p → q)] → [.....] ≡ T (3.10) p → q ≡ F แสดงว่า p ≡ T, q ≡ F
F F ดังนัน้ (....) → ~ q ≡ T
(2.4) [(p ↔ q) ∨ (q → r)] ∨ ~ s ≡ T T
T (3.11) p ∧ q ≡ T แสดงว่า
(2.5) [(q → p) ∧ r] ↔ r ≡ T p ≡ T, q ≡ T p → r ≡ F แสดงว่า r ≡ F
T T T (3.12) p ≡ T, p ↔ ~ r ≡ T แสดงว่า r ≡ F
(2.6) [(p ∧ q) → ~ r] → [(~ p ∨ q) ↔ r] ≡ F
(3.13) และ (3.14) ไม่บอกค่าของ p, q, r, s มา
F F T
T F เลย แสดงว่า น่าจะเป็นสัจนิรนั ดร์ (คือเป็นจริงทุก
(2.7) [(p ∧ ~ q) ∨ ~ r] ↔ [(p → q) ∧ .....] ≡ F กรณี ไม่ว่า p, q, r, s จะเป็นอย่างไร)
T F . ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นสัจนิรนั ดร์จริงๆ จึงตอบว่า
T F เป็นจริงทัง้ สองข้อ ... วิธตี รวจสอบเป็นดังนี้
(2.8) (p ∧ q) ∧ ~ r ∧ [... ∧ ...] ≡ F (3.13) พยายามทําให้เป็นเท็จ แสดงว่า
F ก้อนหน้าต้องเป็นจริง ก้อนหลังต้องเป็นเท็จ
(2.9) [p → (q ∧ r)] ∧ [.....] ≡ F (เนื่องจากเชื่อมด้วย “ถ้า-แล้ว”)
F ((p ∧ ~ q) → ~ p) → (p → q)
(2.10) [q → (....)] → [p → (q ∧ ~ r)] ≡ F F
F T F . T F
T F T F
(2.11) [(~ p → ....) ∧ (~ r → ....)] ∨ [.....] ≡ T ซึ่งถ้าก้อนหลังเป็นเท็จ แปลว่า p จะต้องเป็นจริง
T T เท่านั้น และ q จะต้องเป็นเท็จเท่านั้น ... เอาค่าความ
จริงของ p กับ q ไปใส่ในก้อนหน้า พบว่าก้อนหน้า
p q r q*r p*(q*r) T
T T T F F ≡ q∨p ดังนั้นไม่เป็นสัจนิรันดร์
T T F F F (17.3) (p ∨ q) ∧ ~ p ≡ (p ∧ ~ p) ∨ (q ∧ ~ p)
T F T F F F
T F F T F
F T T F T ≡ q∧ ~ p ดังนัน้ เป็นสัจนิรันดร์
F T F F T (17.4) (p ↔ q) ≡ (p → q) ∧ (q → p)
F F T F T
F F F T F ≡ (~ p ∨ q) ∧ (~ q ∨ p) ดังนั้น เป็นสัจนิรันดร์
(17.5) (p ∧ q) → (p ∨ q) ≡ ~ (p ∨ q) → ~ (p ∧ q)
คําตอบคือ จริง:เท็จ เท่ากับ 3:5
(16.1) (p ∧ q) → [(p ∨ q) → r] ≡ (~ p ∧ ~ q) → (~ p ∨ ~ q) เป็นสัจนิรนั ดร์
F (17.6) ~ p ∨ (q ∧ r) ≡ (~ p ∨ q) ∧ (~ p ∨ r)
T F
T T T T F ≡ (p → q) ∧ (p → r) เป็นสัจนิรน
ั ดร์
ทําเป็นเท็จได้ แสดงว่าไม่เป็นสัจนิรันดร์ (17.7) ซ้ายมือ ~ p ∨ ~ q ∨ r
(16.2) (p ∨ q) → [(p ∧ q) → r] ขวามือ ~ (~ p ∨ q) ∨ r ≡ (p ∧ ~ q) ∨ r
F
T F ดังนัน้ ไม่เป็นสัจนิรันดร์
T T T T F
ทําเป็นเท็จได้ แสดงว่าไม่เป็นสัจนิรันดร์ (17.8) ข้อนี้แจกแจงยาก
(16.3) [(p → q) ∧ (q → r)] → (p → r) ใช้วิธีพจิ ารณาความสมมูลแต่ละกรณีดกี ว่า
F p q r ซ้าย ขวา
T T F T T T T T
T T F F T F T T F F F
ทําเป็นเท็จไม่ได้ เพราะค่า q ขัดแย้งกัน T F T F F
แสดงว่า เป็นสัจนิรันดร์ T F F T T
(16.4) [(p → r) ∧ (q → r)] → [(p ∧ q) → r] F T T F F
F F T F T T
T T F F F T T T
T T T T T T F F F F F F
ทําเป็นเท็จไม่ได้ เพราะค่า r ขัดแย้งกัน ซ้ายกับขวามีค่าตรงกันเสมอ ดังนัน้ เป็นสัจนิรันดร์
แสดงว่า เป็นสัจนิรันดร์ (18.1) [(p ∨ r) → (q ∨ r)] ∨ (p ∨ q)
(16.5) [(p → r) ∧ (q → r)] → [(p ∨ q) → r] F
F F F
T T F F F
T F นําค่า p และ q เป็นเท็จไปใส่ดา้ นหน้า จะลดรูป
F F F F F F
ทําเป็นเท็จไม่ได้ เพราะค่า p กับ q ต้องเป็นเท็จ หายไปเหลือเพียง r → r ซึ่งพบว่าเป็นจริงเสมอ ไม่มี
เท่านั้น ทําให้ p ∨ q เป็นจริงไม่ได้ ทางทําให้ด้านหน้าเป็นเท็จได้เลย ดังนัน้ ข้อนี้
แสดงว่า เป็นสัจนิรนั ดร์ เป็นสัจนิรันดร์
(16.6) [(p → r) ∧ (q → s) ∧ (p ∧ q)] → (r ∨ s) (18.2) [(~ p ∧ q) → ~ p] ∨ (p → q)
F F
T T T F F F
F F F F T T F F F T T T F
ทําเป็นเท็จไม่ได้ เพราะค่า p ขัดแย้งกัน, q ก็ขัดแย้ง ทําเป็นเท็จไม่ได้ เพราะค่า q ขัดแย้งกัน
กัน ... แสดงว่า เป็นสัจนิรันดร์ แสดงว่า เป็นสัจนิรันดร์
(16.7) ⎣⎡[(p ∧ q) → r ] ∧ (p → q)⎦⎤ → (p → r) (19.1) (p ∧ ~ p) → (q ∧ ~ q) ≡ F → F ≡ T
F เสมอ (เป็นสัจนิรันดร์) ดังนั้น นิเสธของประพจน์นี้
T T F ไม่เป็นสัจนิรนั ดร์ (แต่จะเป็นเท็จทุกกรณี)
T F F T T T F
ทําเป็นเท็จไม่ได้ เพราะค่า q ขัดแย้งกัน (19.2) [p ∧ T] ↔ [~ p ∨ F] ≡ p ↔ ~ p ≡ F
แสดงว่า เป็นสัจนิรันดร์ เสมอ ดังนั้น นิเสธของประพจน์นี้ เป็นสัจนิรันดร์
(17.1) ~ (p → ~ q) ≡ ~ (~ p ∨ ~ q) ≡ p ∧ q
ดังนัน้ เป็นสัจนิรนั ดร์
(28) ก. “สําหรับทุกๆ x ถ้า x เป็นจํานวนอตรรก (32.5) ∀x(x2 > 0 หรือ x = 0) จริง (ไม่วา่
ยะแล้ว 2 เป็นจํานวนตรรกยะ” x = −1, 0, 1 ก็จะจริงอันใดอันหนึ่งเสมอ) T
... เท็จ (เช่น x = 3 ) (33.1) มี x บางตัวและ y บางตัว ที่ทาํ ให้
ข. “มีบาง x ซึ่ง...ถ้า x เป็นจํานวนตรรกยะแล้ว x2 + y > 2 จริง เช่น x = 1, y = 1
0.5 เป็นจํานวนอตรรกยะ” (33.2) มี x บางตัว ใช้ y ได้ทุกตัว เท็จ
... จริง (เช่น x = 2 จะได้ F → F เป็น T ) เข่น x = −1 → y = 0 ไม่ได้
ค. “สําหรับทุกๆ x ... x เป็นจํานวนอตรรกยะ หรือ x = 0 → y = 0 ไม่ได้
π ไม่เป็นจํานวนตรรกยะ” x = 1 → y = 0 ไม่ได้
... จริง เพราะ π ไม่เป็นจํานวนตรรกยะ จริงเสมอ (33.3) x ทุกตัว ใช้ y ได้บางตัว เท็จ
(, ∨ T ≡ T )
เช่น x = 0 จะใช้ y ไม่ได้เลย
ง. “มีบาง x ซึ่ง... x เป็นจํานวนตรรกยะ และ (33.4) x ทุกตัว y ทุกตัว เท็จ แน่นอน
22
ไม่เป็นจํานวนอตรรกยะ” เช่น x = 0, y = 0 ก็ไม่ได้แล้ว
7
... จริง เพราะ 22 ไม่เป็นจํานวนอตรรกยะ จริง (34.1) เท็จ เช่น x = 1, y = −1 จะได้วา่ 2 ≠ 0
7
(34.2) ทุกๆ x จะใช้ y ได้บางตัว จริง เช่น
เสมอ และลองแทนด้านหน้าให้จริงด้วย เช่น x = 1 x = 0, y = 0 x = 0, y = 1 x = − 1, y = − 1
หมายเหตุ ∀x พิสจู น์ให้เท็จง่าย
∃x พิสจู น์ให้จริงง่าย (34.3) บาง x ใช้ y ได้ทุกตัว เท็จ
(29) ก. “สําหรับทุก x ... x > x2 ” เช่น x = −1 ใช้ y = 1 ไม่ได้
x = 0 ใช้ y = 1 ไม่ได้
ใน U = (0, 1) ... จริง
x = 1 ใช้ y = −1 ไม่ได้
ข. “สําหรับทุก x ... x เป็นจํานวนเฉพาะ หรือ
(34.4) บาง x บาง y จริง
ห.ร.ม. ของ 3 กับ x เป็น 1 ” ... จริง เพราะ
2, 3, −5 เป็นจํานวนเฉพาะ, และ 8 มี ห.ร.ม. กับ
(34.5) บาง x ใช้ y ได้ทุกตัว เท็จ
3 เป็น 1
เช่น x = 0, y = 0 ไม่ได้ x = 1, y = 1 ไม่ได้
ดังนัน้ ก. ถูก ข.ผิด x = −1, y = −1 ก็ไม่ได้
(30) ∃x (x3 + 5x − 1 < 4) เป็นจริง เช่น x = −1 (35.1) บาง x ใช้ y ได้ทุกตัว เท็จ
จะได้ −7 < 4 จริง ( y = x ไม่ได้)
∀x(|x2 − 1| < 0 → x > − 2) เป็นจริง (35.2) x ทุกตัว ใช้ y ได้บางตัว จริง
เพราะส่วนที่ขีดเส้นใต้เป็นเท็จเสมอ คือ x = 2, y = −2 ได้, x = −2, y = 2 ได้
และ F → , ≡ T สรุปข้อนีต้ อบ T ∧ T ≡ T (36) ก. ∀x∃y(xy = 1) เท็จ
2
(31) ∃x(x − 1 เป็นจํานวนนับ) จริง เช่น x = 2 เช่น x = 2 จะไม่มี y ∈ I ที่ใช้ได้เลย
จะได้ 22 − 1 = 3 เป็นจํานวนนับ ∃x∀y(xy = y) จริง
∀x(x + 1 > 0) จริง (จํานวนนับใดๆ + 1 ย่อม ถ้า x = 1 จะได้วา่ xy = y เสมอทุกๆ y
มากกว่า 0 ) ดังนัน้ สรุปข้อนี้ F ↔ T ≡ F
2 2 ข. ∀x∃y(xy = 1) เท็จ ∃x∀y(xy = y) จริง
∀x( < 0) เท็จ เช่น x = 1 จะได้ <0
x 1 (เหตุผลเดียวกับข้อ ก.) ข้อนีจ้ ึงได้ F ↔ T ≡ F
ดังนัน้ ข้อนี้ตอบ (T ∧ T) → F ≡ F ค. ∀x∃y(xy = 1) เท็จ เช่น x = 0 จะไม่มี
(32.1) ∃x(x2 ≠ 1) จริง เช่น x = 0 , y ∈ R ที่ใช้ได้เลย
∀x(x2 ≠ 1) เท็จ เช่น x = 1 , ดังนัน
้ T→F≡F ∃x∀y(xy = y) จริง (เหตุผลเดิม)
(32.2) ∃x(x + 1 > 0) จริง เช่น x = 0 ดังนัน้ ข้อนี้ F ↔ T ≡ F
∃x(x2 ≠ 1) จริง ดังนั้น T ∧ T ≡ T ง. ∀x∃y(xy = 1) จริง ไม่วา่ x ∈ R+ ใด
(32.3) ∃x(x + 1 > 0 และ x2 ≠ 1) จริง จะมี y ∈ R+ ใช้ได้เสมอ
เช่น x = 0 ดังนัน้ T ∃x∀y(xy = y) จริง (เหตุผลเดิม)
(32.4) ∀x(x2 > 0) เท็จ เช่น x = 0 ดังนัน้ ข้อนี้ T ↔ T ≡ T ... ตอบ ง.
∀x(x = 0) เท็จ เช่น x = 1 ดังนัน้ F∨F ≡F
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 80 ตรรกศาสตร
(42.8) (42.13)
นักเรียน สมนึก
ผู้ร้าย
คนสวมแว่นตา ช่าง คนขยัน
อาจเป็นตามนี้ได้ ∴ ไม่สมเหตุสมผล สมเหตุสมผล
(42.9) (42.14)
สมนึก
พระเอกหนัง สมนึก
นางแบบ
ผู้ชาย ช่าง คนขยัน
สมเหตุสมผล
(42.10) ไม่สมเหตุสมผล เป็นไปได้ 2 แบบ ∴ ไม่สมเหตุสมผล
เพราะในเหตุไม่ได้ระบุว่า คนเป็นอะไร (42.15)
(ไม่ได้พูดถึงคน, พูดถึงแต่สตั ว์) สุนัข
“ไม่ได้บอกว่าคนเป็นสิง่ มีชีวติ ”
ห้ามใช้ความจริงบนโลกในการตัดสิน! สัตว์
(42.11)
สิ่งที่ต้องหายใจ
ผู้ชาย อาจเป็นตามนี้ได้ ∴ ไม่สมเหตุสมผล
ครู
ผู้ชอบดื่มกาแฟ (42.16) ไม่สมเหตุสมผล
อาจเป็นตามนี้ได้ ∴ ไม่สมเหตุสมผล เพราะในเหตุไม่ได้กล่าวว่าอะไรคือ “ผลไม้ทที่ านได้”
(42.12) (คล้ายข้อ 42.10 คือห้ามใช้ความรู้สึกในการตัดสิน,
ห้ามใช้ความจริงบนโลกในการตัดสิน ให้ยดึ ถือเฉพาะ
กุ้ง เหตุที่ให้มาเท่านัน้ )
(42.17)
ปลา
สิ่งที่มีสองตา
อาจเป็นตามนี้ได้ ∴ ไม่สมเหตุสมผล เพนกวิน
นก
สิ่งที่บินได้ สิ่งที่มีปีก
อาจเป็นตามนี้ได้ ∴ ไม่สมเหตุสมผล
eÃ×èo§æ¶Á
มองตรรกศาสตร์ให้เป็นการคํานวณ จากพื้นฐานของดิจิตัล..
วิชาตรรกศาสตร์ถูกใช้เป็นพื้นฐานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบดิจิตัล ซึง่ ส่งสัญญาณด้วยค่าแรงดันไฟฟ้า
เป็นสัญญาณ “0” กับ “1” เท่านัน้ ...สัญญาณ “0” ใช้แรงดัน 0 โวลต์, เทียบได้กบั “False” ในตรรกศาสตร์
และสัญญาณ “1” ใช้แรงดัน 5 โวลต์ (หรือ 12 โวลต์ แล้วแต่อุปกรณ์), เทียบได้กับ “True” ในตรรกศาสตร์
ชิพที่ฝงั อยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะมีหลักการทํางานเสมือนเป็น
ตัวเชือ่ มทางตรรกศาสตร์ เรียกตัวเชื่อมเหล่านีว้ ่า เกต (Gate) เข้า ออก
เกตที่นิยมใช้กนั ทั่วไปมีดงั นี้ inv
0 1
G (e,o)
º··Õè 4 eâҤ³iµÇie¤ÃÒaË
เรขาคณิตวิเคราะห์ (Analytic Geometry)
เป็นวิชาคํานวณเกี่ยวกับรูปเรขาคณิต โดยการเขียน
กราฟลงบนพิกัดฉาก เช่น การหาระยะระหว่างจุดสอง
จุด, ระหว่างเส้นตรงคู่ขนานสองเส้น, การหาพื้นที่รูป
หลายเหลี่ยม, หรือการหาความชันของเส้นตรง เป็น
ต้น ซึ่งจะใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับ
ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ในบทถัดไปได้ นอกจากนี้
ความสัมพันธ์ที่พบบ่อยอาจมีกราฟเป็นเส้นโค้ง ได้แก่
วงกลม พาราโบลา วงรี และไฮเพอร์โบลา
y
ใน ระนาบ (Plane) หนึ่งๆ เราจะอ้างถึงตําแหน่งหรือจุดใดๆ
ได้ด้วยค่า พิกัด (Coordinate) โดยระบบที่นิยมใช้มากที่สุดคือระบบ Q2 Q1
(−, +) (+, +)
พิกัดฉาก (Cartesian Coordinate) ประกอบด้วยเส้นจํานวน 2 เส้น x
ตั้งฉากกัน ณ จุดที่สมมติให้เป็น จุดกําเนิด (Origin; หรือจุด O) Q3 O Q4
เรียกชื่อเส้นนอนและเส้นตั้ง ว่าแกน x และแกน y ตามลําดับ (−, −) (+, −)
แกนทั้งสองนี้ตัดกัน แบ่งพื้นที่ในระนาบ xy ออกเป็น 4 ส่วน
เรียกแต่ละส่วนว่า จตุภาค (Quadrant; Q) ได้แก่ จตุภาคที่ 1, 2, 3, และ 4 ดังภาพ
การอ้างถึงพิกัดในระบบพิกัดฉาก นิยมเขียนในรูป คู่อันดับ (Ordered Pair) ที่สมาชิกตัว
แรกแทนระยะทางในแนว +x และตัวหลังแทนระยะทางในแนว +y เช่น คู่อันดับ (2, 4)
[1] ระยะห่างระหว่างจุดสองจุด
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนระยะห่าง ระหว่างจุด P กับ Q คือ PQ
แบบฝึกหัด 4.1
(1) กําหนดจุด P1 (1, 7) และ P2 (−5, 2) ให้หาค่า PP
1 2
(12) สามเหลี่ยม ABC มีจุดยอดเป็น B (6, 7) , C (−4, −3) ถ้าจุด P (4/3, 1) เป็นจุดตัดของเส้น
มัธยฐานแล้ว เส้นมัธยฐานที่ลากจาก A มีความยาวเท่าใด
(13) P เป็นจุดกึ่งกลางระหว่าง (13, 2) และ (−13, −2) , Q เป็นจุดกึ่งกลางระหว่าง (6, 10) และ
(0, 14) , R เป็นจุดกึ่งกลางระหว่าง (8, 4) และ (16, −4) ให้หาพื้นที่และตําแหน่งจุดตัดของเส้นมัธย
ฐาน ของรูปสามเหลี่ยม PQR
(14) จงหาผลต่างของพื้นที่สามเหลี่ยม ABC และ PQR เมื่อกําหนดตําแหน่งจุดยอดให้ ดังนี้
A (1, 3) , B (−2, 0) , C (3, −5) , P (0, 0) , Q (8, 18) , และ R (12, 27)
ข้อควรทราบ
1. สมการเส้นตรงมีรูปทั่วไป (Common Form) เป็น A x + B y + C = 0
2. สมการเส้นตรงที่นิยมใช้ประโยชน์มีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่
Slope-Intercept Form y = mx + c เมื่อ c คือระยะตัดแกน y
Slope-Point Form y − y1 = m (x − x1)
S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
x y
Intercept-Intercept Form + = 1
a b eÁ×èo¨aËÒ¤ÇÒÁªa¹o´Â –A/B ¹aé¹
A C ¤ÇèíÒÇÒ µi´ÅºË¹Ò x Êǹ´ÇÂ
3. เมื่อนํารูปทั่วไป มาจัดข้างตัวแปรใหม่ จะได้ y = − x −
B B Ë¹Ò y e¾×èoäÁãË㪼i´µaÇ æÅaµo§
A C
ทําให้ทราบว่า ค่าความชัน m = − และระยะตัดแกนวาย c = − ¨a´ÊÁ¡ÒÃãËoÂÙã¹ÃÙ» Ax+By+C
B B
=0 ¡o¹eÊÁo ¹a¤Ãaº..
x y
เสนตรง L อาจสรางไดโดยระยะตัดแกนทั้งสอง −1/2
5 +
1/3
= 1 จัดรูปเปน 2x − 3y = −1
[3] ระยะห่างระหว่างเส้นตรงคู่ขนานสองเส้น
S ¢o¤ÇÃÃaÇa§! S
Ax+By+C1=0 C2− C1 ¨aµo§¨a´ÃÙ»ÊÁ¡ÒÃeʹµÃ§·a§é Êo§eʹãËoÂÙ
d = ã¹ÃÙ» Ax+By+C=0 eÊÁo... æÅa¶Ò¤Ò A,
d A2+ B2
B ¢o§Êo§ÊÁ¡ÒÃäÁeËÁ×o¹¡a¹ µo§ËÒ
Ax+By+C2=0 ¤Ò¤§·ÕèÁÒ¤Ù³ãËeËÁ×o¹¡a¹¡o¹¹a¤Ãaº
[4] ระยะห่างระหว่างจุดกับเส้นตรง
P (x1,y1) A x1 + B y1 + C
d =
d A2+ B2
Ax+By+C=0
• ตัวอยาง กําหนดเสนตรง L : 2x + 3y − 24 = 0
1
2x1 + 3y1 − 24
2 13 = ซึ่งจะพบวา ติดสองตัวแปร ... แตในทีน่ ี้เราสามารถแกไดเพราะโจทยกําหนด
22 + 32
มาดวยวาจุด (x , y ) อยูบนเสนตรง 2x + y − 6 = 0 ... ดังนัน้ 2x + y − 6 = 0
1 1 1 1
ก. เสนตรงที่ขนานกับ L จะตองมีความชันเทาใด
3
6 3 −2 3 4 3
ดังนั้น dL3L4 = = = 2 3 ... สรุปวาวงกลมที่จะอยูระหวาง L3 กับ L4 ได
3 +1
2 2 2
[5] ขนาดของมุมที่เกิดจากเส้นตรงสองเส้นตัดกัน
m1 m2
m1 − m2
tan θ =
θ 1 + m1m2
P (x1,y1) P2 (x2,y2)
L: Ax+By+C=0
Q P1 (x1,y1) Q 2
L: Ax+By+C=0 Q1
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 90 เรขาคณิตวิเคราะห
แบบฝึกหัด 4.2
(17) ถ้า A (1, 2) , B (2, k) , C (3, 4) อยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน ให้หาค่า k
(18) จุด (1, y) อยู่บน PR ซึ่งมีพิกัด P (−2, 6) และ R (4, −2) ให้หาค่า y
(19) AB ตัดแกน x และ y โดยมีระยะตัดแกน x ทางบวก 4 หน่วย และแกน y ทางบวก 3
หน่วย จุดตัดสองจุดนี้แบ่ง AB ออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆ กันพอดี จงหาพิกัดของ A กับ B
(20) หากกําหนดพิกัด A (4, 5) , B (1, 2) , C (2, 8) , D (−2, 4) แล้ว AB ขนานกับ CD หรือไม่
(21) จงหาจุด D ที่ทําให้ ABCD เป็นสี่เหลี่ยมด้านขนาน เมื่อ A (−4, 1) , B (−5, −4) , C (1, −2)
(22) ถ้าเส้นตรงที่ผ่านจุด (k, 7) , (−3, −2) ตั้งฉากกับเส้นตรงที่ผ่านจุด (3, 2) , (1, −4) แล้ว ค่า k
เป็นเท่าใด
(23) ถ้าเส้นตรงที่ผ่านจุด A (1, 5) และ B (3, 6) ตั้งฉากกับเส้นตรงที่ผ่านจุด C (m, 4) และ
D (−1, −m) แล้ว จงหาค่า m
(30) รูปสี่เหลี่ยม ABCD มีจุดมุมอยู่ที่ A (1, 2) , B (−2, −1) , C (−3, −6) , D (2, −5)
ถ้า P เป็นจุดตัดของเส้นทแยงมุม แล้ว P จะอยู่ห่างจากจุดกําเนิดกี่หน่วย
(31) จงหาสมการเส้นตรงที่ขนานกับ 2x + 3y + 10 = 0 และผ่านจุดที่ x+y=1 ตัดกับ 2x + y = 5
ตัวอย่างการนําความรู้เรื่องภาคตัดกรวยไปใช้ในชีวิตจริง เช่น
1. การหาตําแหน่งศูนย์กลางของแผ่นดินไหว (วงกลม)
2. เลนส์ จานรับดาวเทียม โคมไฟหน้ารถยนต์ การเคลื่อนที่วิถีโค้ง (พาราโบลา)
3. ห้องกระซิบ สลายนิ่ว โครงสร้างอะตอม วงโคจรของดาวเคราะห์ ดาวหาง ดาวเทียม (วงรี)
4. การหาตําแหน่งของต้นกําเนิดเสียง โดยใช้ผลต่างเวลาระหว่าง 2 จุด (ไฮเพอร์โบลา)
พื้นฐานการเขียนกราฟ
ก่อนจะศึกษาภาคตัดกรวยแต่ละรูป ควรทราบพื้นฐานการเขียนกราฟ ว่าลักษณะของกราฟ
โดยทั่วๆ ไปนั้นจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร หากมีค่าคงที่มาบวกลบคูณหารอยู่กับตัวแปร x หรือ y ซึ่ง
พื้นฐานเหล่านี้เป็นสิ่งสําคัญ เพราะเป็นจริงเสมอไม่ว่าจะใช้กับกราฟใดๆ นอกเหนือจากในบทนี้ เช่น
ค่าสัมบูรณ์, ตรีโกณมิติ, เอกซ์โพเนนเชียล ฯลฯ
y y
[1] เมื่อมีค่าคงที่มาบวกหรือลบ
2
จะเกิดการ เลื่อนแกนทางขนาน y=x y = (x-3)2
(Translate หรือ Shift) กล่าวคือ
หากเปลี่ยนรูปสมการจาก f (x, y) = 0
ไปเป็น f (x −h, y-k) = 0 เมื่อ x x
O (3,0)
h, k เป็นค่าคงที่ กราฟรูปเดิมจะ
ถูกเลื่อนไปทางขวา h หน่วย y y
และเลื่อนขึ้นด้านบนอีก k หน่วย 2
(หรือกล่าวว่า จุดกําเนิดถูกเลื่อน y+1 = x y+1 = (x-3)2
ไปยังคู่อันดับ (h, k) และรูปกราฟ
ทั้งหมดถูกเลื่อนตามไปด้วย) x x
(0,-1) (3,-1)
y y
[2] เมื่อมีค่าคงที่ (ที่เป็นบวก) มาคูณหรือหาร
จะเกิดการ ปรับขนาด (Scale) ทางแกนนั้น y = x2 3y = x2
กล่าวคือ หากเปลี่ยนรูปสมการจาก y = f (x)
ไปเป็น my = f (nx) เมื่อ m, n เป็นค่าคงที่
x x
ที่มากกว่า 1 ... กราฟรูปเดิมจะถูกบีบลงทาง O ความสูงทุกตําแหน่งเหลือ 1 ใน 3
แนวนอน n เท่า และบีบลงทางแนวตั้ง m เท่า
(ส่วนกรณีที่ m, n น้อยกว่า 1 จะมองว่า y y
เป็นการหาร และกราฟจะถูกขยายออกแทน)
ทั้งนี้ต้องใช้แกน h, k ที่ได้จากการเลื่อนแกน y = (2x)2 y/4 = x2
แล้ว เป็นแกนกลางสําหรับบีบหรือขยาย
รูปกราฟ x x
ความกว้างทุกตําแหน่งเหลือ 1 ใน 2 ความสูงทุกตําแหน่งเพิ่มเป็น 4 เท่า
x
O
เลื่อนแกนไปอยู่ที่ (3,-1) และ
พลิกรูปกราฟ สลับบนล่าง
วงกลม
(x −h)2 + (y −k)2 = r 2
จุดศูนย์กลาง C (h, k)
r
รัศมี r หน่วย
C
(h,k) รูปทั่วไป
x 2+ y 2+ Dx + Ey + F = 0
2 2
วิธีคิด จัดกลุม x และ y แยกกันและยายตัวเลขไวทางขวา (x + 2x) + (y − 4y) = 10
ตอมา เติมตัวเลขลงในวงเล็บทั้งสอง เพื่อใหเปนกําลังสองที่สมบูรณ (อยาลืมเติมทางขวาดวย)
2 2 2 2
ไดเปน (x + 2x + 1) + (y − 4y + 4) = 10 + 1+ 4 นัน่ คือ (x + 1) + (y − 2) = 15
ตอบ จุดศูนยกลางคือ (−1, 2) และรัศมียาว 15 หนวย
ข้อสังเกต
1. จากรูปทั่วไปของสมการวงกลม x 2+ y 2+ Dx + Ey + F = 0 เมื่อจัดรูปด้วยวิธีกําลังสองสมบูรณ์แล้ว
จะทําให้ทราบว่า (h, k) = (−D/2, −E/2)
2.1 สมการวงกลมมีค่าคงที่ซึ่งบอกลักษณะกราฟ อยู่ 3 ตัว คือ D, E, F หรือ h, k, r
ดังนั้นการสร้างสมการวงกลมจากจุดที่กราฟผ่าน ต้องกําหนดจุดมาให้ 3 จุด แล้วจึงแก้ระบบสมการ
3 สมการ ซึ่งกรณีนี้สมการ x 2+ y 2+ Dx + Ey + F = 0 จะคํานวณง่ายกว่า
2.2 แต่ถ้าบอก r มาให้ จะต้องการจุดเพิ่มอีกเพียง 2 จุด เพื่อหาค่า h, k หรือถ้าบอก h, k มาให้ ก็
ต้องการอีกเพียงจุดเดียวเพื่อหาค่า r โดยใช้สมการ (x −h)2 + (y −k)2 = r 2
แบบฝึกหัด 4.4
(58) สมการต่อไปนี้ต้องการเลื่อนแกนเพื่อให้ได้รูปที่กําหนด ต้องเลือกจุดใดเป็นจุดกําเนิดจุดใหม่
(58.1) (x −4)(y + 3) = 1 → xy = 1
(58.2) y = x + 1 − 2 → y = x
(58.3) x 2+ y 2+ 2x − 4y + 5 = 9 → x 2+ y 2= k
พาราโบลา (ตะแคง)
(y −k)2 = 4 c (x −h)
⎫ จุดยอด V (h, k)
⎪
⎬ 2c ระยะโฟกัส c หน่วย
c c ⎪
⎭ เลตัสเรกตัม ยาว 4c หน่วย
Axis : y=k V F (h+c,k)
(h,k)
รูปทั่วไป
Directrix : y 2+ Dx + Ey + F = 0
x=h-c
ข้อสังเกต
1. พาราโบลาอ้อมแกนใด อาจสังเกตได้จาก ตัวแปรนั้นจะยกกําลังหนึ่ง
2. สมการพาราโบลามีค่าคงที่ 3 ตัว (คือ D, E, F หรือ h, k, c) เช่นเดียวกับวงกลม ดังนั้นการ
สร้างสมการจะใช้วิธีคล้ายกัน แต่พาราโบลาต้องทราบก่อนด้วยว่าเป็นพาราโบลาอ้อมแกนใด
2
วิธีคิด สังเกตวาไมมีพจน y แสดงวาเปนพาราโบลาออมแกนตั้ง (หงายหรือคว่ํา)
การจัดรูปสมการพาราโบลาแบบนี้ เราจัดกลุม x ไวทางซาย และยาย y กับตัวเลขไวทางขวา
2 2
คือ (x − 2x) = 2y + 3 ... จากนัน้ เติมตัวเลข (x − 2x + 1) = 2y + 3 + 1 เพื่อเปนกําลังสองสมบูรณ
2 2 2
ไดเปน (x − 1) = 2y + 4 → (x − 1) = 2 (y + 2) → (x − 1) = 4 (0.5)(y + 2)
ตอบ เปนสมการพาราโบลาหงาย จุดยอดคือ (1, −2) จุดโฟกัสคือ (1, −2 + 0.5) = (1, −1.5)
และสมการไดเรกตริกซคือ y = −2 − 0.5 = −2.5 (หรืออาจเขียนเปน 2y + 5 = 0 ก็ได)
(ถายังไมแมนยํา ควรเขียนกราฟเพื่อชวยในการคิดเลขดวย)
แบบฝึกหัด 4.5
(68) จงหาสมการรูปทั่วไปของพาราโบลา ทีม่ ีลักษณะดังแต่ละข้อต่อไปนี้
(68.1) จุดยอดอยู่ที่ (−2, 3) และจุดโฟกัสอยู่ที่ (5, 3)
(68.2) จุดยอดอยู่ที่ O และจุดปลายเลตัสเรกตัมจุดหนึ่งอยู่ที่ (−3, 6)
(68.3) จุดยอดอยู่ที่ O และผ่านจุด (−4, −6) โดยมีแกน x เป็นแกนสมมาตร
(68.4) จุดยอดอยู่ที่ (2, −3) และผ่านจุด (8, −2.1) โดยแกนสมมาตรตั้งฉากแกน x
(68.5) จุดยอดอยู่ที่ (5, −2) และผ่านจุด (3, 0) โดยแกนสมมาตรขนานกับแกน y
(68.6) จุดโฟกัสอยู่ที่ (2, 2) และสมการไดเรกตริกซ์เป็น x + 2 = 0
(68.7) ผ่านจุด (1, 3) , (9, 1) , และ (51, −2) โดยแกนสมมาตรขนานกับแกน x
(68.8) ผ่านจุด (−2, 3) , (3, 18) , และ (0, 3)
(69) ให้หาระยะจากจุด P (4, −3) ซึ่งอยู่บนพาราโบลา 2x 2+ 3y = 0 ไปถึงจุดโฟกัส
(70) ให้หาส่วนประกอบต่างๆ ของพาราโบลา
(70.1) จุดโฟกัส ความกว้างที่จุดโฟกัส และสมการไดเรกตริกซ์ ของ x 2− 12y = 0
(70.2) ส่วนประกอบทั้งหมดของ y 2− 10y + 12x + 61 = 0
(70.3) จุดโฟกัสของพาราโบลาที่มีจุดยอดที่ (4, 2) และมีไดเรกตริกซ์เป็น x − 1 = 0
(70.4) จุดตัดแกน x ของพาราโบลาที่มีจุดยอดอยู่ที่ (0, −1/3) และจุดโฟกัสอยู่ที่ (0, 7/6)
(71) ให้หาสมการแสดงทางเดินของจุด P (x, y) ซึ่ง
(71.1) อยู่ห่างจากเส้นตรง y = −4 เท่ากับระยะห่างจากจุด (−2, 8)
(71.2) อยู่ห่างจากเส้นตรง x = −4 มากกว่าระยะห่างจากจุด (3, 1) อยู่ 5 หน่วย
(72) จุดบนโค้ง 4y = (x − 1)2 ซึ่งอยู่ห่างจากจุดโฟกัส 13 หน่วย จะห่างจากแกน x เท่าใด
วงรี (นอน)
(x −h)2 (y −k)2
2
+ = 1
B1 (h,k+b) a b2
⎫ จุดศูนย์กลาง C (h, k)
a ⎬b แกนเอกยาว 2a แกนโทยาว 2b
⎭ ระยะโฟกัส c = a − b 2 2
V2 F2 C F1 V1
c (h,k) (h+c,k) (h+a,k)
B2 รูปทั่วไป
Ax 2+ By 2+ Dx + Ey + F = 0
วงรี (ตั้ง)
V1 (h,k+a) (y −k)2 (x −h)2
2
+ = 1
a b2
F1 จุดศูนย์กลาง C (h, k)
(h,k+c) แกนเอกยาว 2a แกนโทยาว 2b
B2 b C (h,k) B (h+b,k)
⎧
1 ระยะโฟกัส c = a2− b2
⎪ ⎫
c
a ⎪⎨ ⎬
⎪
⎪ ⎭ รูปทั่วไป
⎪⎩ F2
⎪
Ax 2+ By 2+ Dx + Ey + F = 0
V2
ข้อสังเกต
1. สมการวงรีเกิดจากการขยายขนาดทางแกน x, y ของวงกลมรัศมี 1 หน่วย
2. สําหรับวงรีนั้น a > b เสมอ ดังนั้นตัวเลขใดมีค่ามากกว่า ตัวนั้นก็จะเป็น a (เป็นแกนเอก)
3. สมการวงรีมีค่าคงที่ถึง 4 ตัว การสร้างสมการวงรีจากจุดที่กราฟผ่าน ต้องใช้ถึง 4 จุด (ไม่นิยม
กระทํา เพราะต้องแก้ระบบสมการที่มีถึง 4 สมการ)
2 2
วิธีคิด ในขอนีส้ มั ประสิทธิ์หนา x กับ y ไมเปน 1 จึงตองแยกออกมาหนาวงเล็บดวย
2 2 2 2
ดังนี้ (7x + 28x) + (16y − 96y) = −60 → 7 (x + 4x) + 16(y − 6y) = −60 ...
จากนั้นเติมตัวเลขลงในวงเล็บทั้งสองและเติมทางขวาดวยเชนเดิม
แตใหระวังเนื่องจากมีตัวคูณอยูหนาวงเล็บทางซาย ทําใหตัวเลขที่เติมทางขวาเปลี่ยนไป
2 2
ไดเปน 7 (x + 4x + 4) + 16(y − 6y + 9) = −60 + 28 + 144 ... ( 28 = 7 × 4 , 144 = 16 × 9 )
แบบฝึกหัด 4.6
(79) จงหาสมการรูปทั่วไปของวงรี ที่มีลักษณะดังแต่ละข้อต่อไปนี้
(79.1) จุดศูนย์กลางอยู่ที่ (3, −1) แกนเอกขนานกับแกน y และยาว 8 หน่วย
ส่วนแกนโทยาว 6 หน่วย
(79.2) จุดศูนย์กลางอยู่ที่จุดกําเนิด มีจุดยอดอยู่ที่ (0, 8) และมีโฟกัสอยู่ที่ (0, −5)
(79.3) จุดยอดอยู่ที่ (−4, 2) และ (2, 2) โดยแกนโทยาว 4 หน่วย
(79.4) จุดศูนย์กลางอยู่ที่ (−2, 1) มีจุดโฟกัสที่ (−2, 4) และผ่านจุด (−6, 1)
(79.5) จุดศูนย์กลางอยู่ที่ (2, 1) มีจุดยอดที่ (2, −4) และค่า c : a = 2 : 5
(80) ให้หาส่วนประกอบต่างๆ ทั้งหมดของวงรี
(80.1) 4x 2+ 9y 2= 36
(80.2) 9x 2+ 5y 2− 54x − 50y + 26 = 0
(80.3) 5x 2+ 9y 2− 10x = 40
(81) ให้หาสมการแสดงทางเดินของจุด P (x, y) ซึ่ง
(81.1) ระยะห่างจากจุด (4, 0) และจุด (−4, 0) รวมกันเป็น 12 หน่วย
(81.2) ระยะห่างจากจุด (2, 7) และจุด (2, 1) รวมกันเป็น 10 หน่วย
(82) ฐานของสามเหลี่ยมยาว 6 หน่วย และผลบวกของอีกสองด้านเป็น 10 หน่วย
(82.1) ถ้าฐานตรึงอยู่กับที่ กราฟที่ประกอบด้วยจุดยอดของสามเหลี่ยมจะเป็นรูปใด
(82.2) ให้หาสมการกราฟดังกล่าว ถ้าฐานตั้งอยู่บนแกน x โดยมีจุดกําเนิดอยู่ตรงกลาง
(83) [Ent’39] ให้หาสมการเส้นตรงที่ผ่านจุดศูนย์กลางของวงรี 4x 2+ 9y 2− 48x + 72y + 144 = 0
และตั้งฉากกับ 3x + 4y = 5
(84) [Ent’37] ระยะห่างระหว่างเส้นตรงคู่ขนานที่ทํามุม 45° กับแกน x และผ่านจุดโฟกัสทั้งสอง
ของวงรี x 2+ 3y 2− 4x − 2 = 0 มีค่าเท่าใด
(85) [Ent’38] ให้จุด F1 และ F2 เป็นจุดโฟกัสของวงรี kx 2+ 4y 2− 4y = 8 และวงรีนี้ตัดแกน y ที่
จุด B ซึ่งอยู่เหนือแกน x ถ้าสามเหลี่ยม FF1 2B มีพื้นที่ 3 7 /4 ตารางหน่วย แล้วค่า k เป็นเท่าใด
(86) นายแดงปีนขึ้นไปบนสะพานโค้งที่มีลักษณะเป็นครึ่งวงรี ปลายทั้งสองห่างกัน 4 เมตร และมี
ระยะสูงสุด 1 เมตร ถ้าเขาอยู่บนสะพานในตําแหน่งที่ห่างจากปลายข้างหนึ่ง เป็นระยะตามแนวราบ
80 ซม. เขาจะอยู่สูงจากพื้นกี่เซนติเมตร
ไฮเพอร์โบลา (ตะแคง)
(x −h)2 (y −k)2
2
− = 1
B1 (h,k+b) a b2
⎫ จุดศูนย์กลาง C (h, k)
c ⎬b แกนตามขวาง 2a แกนสังยุค 2b
⎭ ระยะโฟกัส c = a2+ b2
F2 V2 a C V1 F1
(h,k)(h+a,k) (h+c,k)
รูปทั่วไป
B2 Ax 2+ By 2+ Dx + Ey + F = 0
Asymptote Asymptote
a(y-k)=b(x-h)
ไฮเพอร์โบลา (ตั้ง)
Asymptote (y −k)2 (x −h)2
F1 (h,k+c) − = 1
b(y-k)=a(x-h) a2 b2
ข้อสังเกต
1. การวาดกราฟไฮเพอร์โบลา เปรียบเสมือนว่ามีวงรีอยู่ในกรอบตรงกลาง โดยใช้จุดศูนย์กลางร่วมกัน
และแกนตามขวางกับแกนสังยุคจะทับแกนเอกและโทของวงรีพอดี
แต่สําหรับไฮเพอร์โบลา a ไม่จําเป็นต้องมากกว่า b (แกนใดเครื่องหมายบวก จะอ้อมแกนนั้น)
2. ถ้า a = b (สี่เหลี่ยมจัตุรัส) รูปวงรีตรงกลางจะกลายเป็นวงกลม สามารถเรียกไฮเพอร์โบลานั้น
ว่า ไฮเพอร์โบลามุมฉาก (Rectangular Hyperbola)
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 103 เรขาคณิตวิเคราะห
2 2
วิธีคิด จัดกําลังสองสมบูรณเหมือนเดิม x − 5(y − 2y) = 25 ...
สังเกตไดวา ไมมีพจน x กําลังหนึ่ง แสดงวาที่แกน x ไมมีการเลือ่ นแกน และไมตองจัดรูป
2 2 2 2
เติมตัวเลขทั้งสองขาง เปน x − 5(y − 2y + 1) = 25 - 5 ... นั่นคือ x − 5(y − 1) = 20
(การจัดรูปกําลังสองสมบูรณในขอนี้ หลายจุดตองระวังพลาดเรื่องเครื่องหมายลบ)
x2 (y − 1)2
นําตัวเลขที่เหลือทางขวา คือ 20 หารตลอดสมการ จะได − = 1
20 4
F2 F2 (− 2k, − 2k)
ไฮเพอร์โบลามุมฉาก
xy = −k k > 0
จุดศูนย์กลาง C (0, 0)
F1
V1 จุดยอด V1 (− k, k)
C (0,0) V2 ( k, − k)
V2 จุดโฟกัส F1 (− 2k, 2k)
F2 F2 ( 2k, − 2k)
แบบฝึกหัด 4.7
(87) จงหาสมการรูปทั่วไปของไฮเพอร์โบลา ที่มีลักษณะดังแต่ละข้อต่อไปนี้
(87.1) จุดศูนย์กลางอยู่ที่ (−3, 1) มีจุดยอดที่ (2, 1) และแกนสังยุคยาว 6 หน่วย
(87.2) จุดโฟกัสอยู่ที่ (−1, −6) และ (−1, 4) โดยแกนตามขวางยาว 6 หน่วย
(87.3) จุดโฟกัสอยู่ที่ (0, 4) และ (0, −4) และมีจุดปลายแกนสังยุคเป็น (3, 0)
(88) ให้หาส่วนประกอบต่างๆ ทั้งหมดของไฮเพอร์โบลา
(88.1) 9x 2− 4y 2= 36
(88.2) 9x 2− 16y 2− 18x − 64y − 199 = 0
(88.3) 6x 2− y 2− 36x − 2y + 59 = 0
(88.4) 6x 2− 10y 2− 12x − 40y − 94 = 0
(89) ให้หาสมการแสดงทางเดินของจุด P (x, y) ซึ่งผลต่างของระยะทางจาก P (x, y) ไปยังจุด
(3, 0) กับ (−3, 0) เป็น 4 หน่วย
(91) ให้หาส่วนประกอบของกราฟรูปต่อไปนี้
(91.1) จุดยอด และจุดโฟกัสของ xy = −4
(91.2) จุดศูนย์กลางของ xy + 2x − y = 3
(92) [Ent’32,36] ถ้าภาคตัดกรวยรูปหนึ่งมีสมการเป็น 9x 2− 18x = 16y 2+ 64y + 199 แล้ว ผลรวม
ของระยะทางจากจุดโฟกัสทั้งสองไปถึงเส้นตรง 3x + 4y = 8 เป็นเท่าใด
(93) [Ent’34] ถ้า F1 เป็นจุดโฟกัสของไฮเพอร์โบลา 6x 2− 10y 2− 12x − 40y − 94 = 0 และอยู่ใน
ควอดรันต์ที่ 4 แล้ว ให้หาสมการพาราโบลาที่มีจุดยอดอยู่ที่ F1 และมีไดเรกตริกซ์เป็นแกนสังยุคของ
ไฮเพอร์โบลา
(94) [Ent’39] กําหนดไฮเพอร์โบลา 9(x −1)2− 4 (y −2)2= 36 ให้หาสมการวงรีซึ่ง ผลบวกของ
ระยะทางจากจุดใดๆ บนวงรี ไปยังจุดที่ไฮเพอร์โบลาตัดแกน x ทั้งสองจุด เป็น 8 หน่วย
(95) [Ent’37] กําหนด E แทนวงรี 6x 2+ 5y 2+ 12x − 20y − 4 = 0 จงหาสมการไฮเพอร์โบลาที่มีจุด
ศูนย์กลางร่วมกับ E, มีจุดยอดอยู่ที่เดียวกับจุดโฟกัสของ E, และมีความยาวแกนสังยุคเท่ากับความ
ยาวแกนโทของ E พอดี
(96) ให้สังเกตว่ากราฟของสมการแต่ละข้อเป็นภาคตัดกรวยรูปใด โดยไม่ต้องคํานวณ
(96.1) x 2+ y 2− 6x − 8y + 12 = 0 (96.6) 3x 2+ 3y 2− 9x − 6y + 20 = 0
(96.2) x 2+ 2y 2− 2x + 4y − 13 = 0 (96.7) 3x 2− 3y 2− 9x − 6y + 20 = 0
(96.3) x 2+ 2x − y + 3 = 0 (96.8) 3x 2− 2 = − y 2+ 4y
(96.4) x 2− y 2− 2x − 2 = 0 (96.9) 3x 2− 2 = y 2+ 4y
(96.5) x 2− y 2= 4 (96.10) 3x 2− 2 = 4y
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(26) ... (27) 2x + 3y = 6 (46) −11/12 + 41/12 = 2.5
(1) 61 (2) 2
(28) 1/48 (29) y = 4 x − 16 (47) 40/ 58
(3) 5 (4) หน้าจั่ว
(5) 2 × (9 2 + 34) (30) 5 (31) 2x + 3y + 1 = 0 (48) −88 + 16 = −72
(32) (0, −20/9) (33) (−7/3, 0) (49) (2, −11/4) , (8, 1/4)
(6) 3 10 (7) ถูกทุกข้อ
(8) (29/4 , 0) (9) (4, 3) (34) y = x + 3/5 (35) 10 (50) 45° (51) 75°
(52) 3
(10) 41 + 26 + 17 (36) (−2, 3) , Q2 (37) 16/3
(53) x − 7y − 7 = 0 หรือ
(11) –3 (12) 10 (38) ถูกทั้งสองข้อ 7x + y − 5 = 0
(13) 72, (5, 4) (14) 15 (39) y = (11/2) x + 1 ,
(54) y = 3x + 6
(15) ผิดทั้งสองข้อ (16) 31 a = −2/11 , b = 1
(55) 4x − 3y + 20 = 0 ,
(17) 3 (18) 2 (40) x + 2y − 7 = 0 3x + 4y + C = 0
(19) (−4, 6),(8, −3) (41) −1/2, (6, 0) หรือ 4, (−3, 0)
(20) ขนาน (21) (2, 3) (56) (−1/2, −1/2)
(42) 7.5 (43) 19.5 (57) (4, 2)
(22) –30 (23) –2 (44) 13/2 (45) 0, 5
(24) –8/5 (25) 10
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 106 เรขาคณิตวิเคราะห
(58.1) (4, −3) (58.2) (−1, −2) (58.3) (−1, 2) (79.4) 25x 2+ 16y 2+ 100x − 32y − 284 = 0
(59.1) x 2+ y 2− 6x − 8y + 12 = 0 (79.5) 25x 2+ 21y 2− 100x − 42y − 404 = 0
(59.2) x 2+ y 2− 3x − 3y + 4 = 0 (80.1) C (0, 0) , V (±3, 0) , F (± 5, 0) ,
(59.3) x 2+ y 2− 4x + 2y = 0 B (0, ±2)
(59.4) x 2+ y 2+ 4x − 6y − 3 = 0 (80.2) C (3, 5) , V (3, 5±6) , F (3, 5± 4) ,
(59.5) x 2+ y 2− 3x + 3y − 8 = 0 B (3± 20, 5)
(60) 3 (61.1) x + y = 4 (80.3) C (1, 0) , V (1± 3, 0) , F (1±2, 0) ,
(61.2) 4x − y = ± 17 B (1, ± 5)
(61.3) 4x + 3y = 20 , 12x − 5y = −52 (81.1) 5x 2+ 9y 2= 180
(62.1) (x −2)2+ (y −2)2= 4 (81.2) 25x 2+ 16y 2− 100x − 128y − 44 = 0
(62.2) (x −2)2+ (y −2)2= 1 , (x + 1)2+ (y + 1)2= 1 (82.1) วงรี (82.2) 16x 2+ 25y 2= 400
(62.3) (x + 1)2+ (y −2)2= 13 (63) k < 25 (83) 4x − 3y = 36 (84) 2 2
(64) 4 3 (65) y = 2x , (x + 1)2+ (y +2)2= 5 (85) 9/4 (86) 80
(66) 9 (67) 12x 2− 4y 2= 3 (87.1) 9x 2− 25y 2+ 54x + 50y − 169 = 0
(68.1) y 2− 28x − 6y − 47 = 0 (87.2) 9x 2− 16y 2+ 18x − 32y + 137 = 0
(68.2) y 2+ 12x = 0 (68.3) y 2+ 9x = 0 (87.3) 7x 2− 9y 2+ 63 = 0
(68.4) x 2− 4x − 40y − 116 = 0 (88.1) C (0, 0) , V (±2, 0) , F (± 13, 0) ,
B (0, ±3)
(68.5) x 2− 10x − 2y + 21 = 0
(88.2) C (1, −2) , V (1± 4, −2) , F (1±5, −2) ,
(68.6) y 2− 8x − 4y + 4 = 0
B (1, −2± 3)
(68.7) 2y 2− x − 12y + 19 = 0
(88.3) C (3, −1) , V (3, −1± 6) ,
(68.8) x 2+ 2x − y + 3 = 0
F (3, −1± 7) , B (3 ± 1, −1)
(69) 1465/8 (70.1) (0, 3) , y + 3 = 0 , 12
(88.4) C (1, −2) , V (1± 10, −2) ,
(70.2) V (−3, 5) , F (−6, 5) , เลตัสเรกตัมยาว
F (1± 4, −2) , B (1, −2± 6)
12, ไดเรกตริกซ์คือแกน y
(70.3) (7, 2) (70.4) (± 2, 0) (89) 5x 2− 4y 2= 20
(71.1) x 2+ 4x − 24y − 44 = 0 (90) 16x 2− 9y 2+ 64x + 18y + 55 = ± 144
(71.2) y 2− 4x − 2y + 9 = 0 (91.1) V (±2, ∓2) , F (±2 2, ∓2 2)
(72) 12 (73) 6 5 (74) 4x − 3y + 14 = 0 (91.2) (1, −2) (92) 6
(75) x 2− 6x + 12y − 15 = 0 (93) y 2− 16x + 4y + 84 = 0
(76) y 2+ 3x = 0 (77) 145/16 (94) 23x 2+ 36y 2− 46x = 345
(78) 2/3 หน่วย (95) x 2− 5y 2+ 2x + 20y − 14 = 0
(79.1) 16x 2+ 9y 2− 96x + 18y + 9 = 0 (96.1) วงกลม (96.2) วงรี
(79.2) 64x 2+ 39y 2= 2496 (96.3) พาราโบลา (96.4) ไฮเพอร์โบลา
(96.5) ไฮเพอร์โบลา (96.6) วงกลม
(79.3) 4x 2+ 9y 2− 16x + 18y − 11 = 0 (96.7) ไฮเพอร์โบลา (96.8) วงรี
(96.9) ไฮเพอร์โบลา (96.10) พาราโบลา
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
2 2 2 2
(1) |PP
1 2 | = (1 + 5) + (7 − 2) = 6 + 5 = 61 ข. |DE| = 42 + 82 = 80 = 4 5
2+6 7 −3 −2 + 8 5 + 1 |EF| = 72 + 142 = 245 = 7 5
(2) P( , ) = (4, 2) Q( , )
2 2 2 2
|DF| = 32 + 62 = 45 = 3 5
= (3, 3) ∴|PQ| = 12 + 12 = 2
พบว่า |DE| + |DF| = |EF|
แสดงว่า
(3) |OD| = 22 + 42 = 20 ดังนัน้
D, E, F อยู่บนเส้นตรงเดียวกัน ... ถูกต้อง
20
|PC| = = 5 หน่วย ∴|PQ| = 5 ด้วย (จุด E กับ F เป็นจุดปลาย)
2
และเนือ่ งจาก DC อยู่ที่ความสูง y = 4 ค. |AB| = 42 + 22 = 20 = 2 5
ดังนัน้ PQ อยูท่ ี่ y = 2 |BC| = 42 + 22 = 2 5,| AC| = 82 + 42 = 4 5
ความสูงของ Δ จาก C มายัง PQ คือ 2 หน่วย พบว่า |AB| + |BC| = |AC| แสดงว่า
จะได้ พื้นที่ Δ = 1 × 2 × 5 = 5 ตร.หน่วย A, B, C อยู่บนเส้นตรงเดียวกัน ... ถูกต้อง
2
(8) สมมติจดุ P มีพิกัด (x, 0) ก็จะได้วา่
(4) |AB| = 112 + 42 = 137 , |BC| =
(x − 1)2 + 22 = (x − 3)2 + 52 กระจายได้
72 + 72 = 98 ,|AC| = 42 + 112 = 137
x2 − 2x + 1 + 4 = x2 − 6x + 9 + 25
→ |AB| = |AC| แสดงว่าเป็น Δ หน้าจั่ว นั่นคือ 4x = 29 → x = 29 ∴ P(29 , 0)
(5) เส้นรอบรูป Δ ABC จะยาวเป็น 2 เท่าของเส้น 4 4
BC
(12) จุดกึ่งกลางของ คือ (16) ลําดับที่เขียน ต้องเรียงทวนเข็มนาฬิกา
6−4 7−3 เช่น A, E, D, B, C, A E
D( , ) = (1, 2)
2 2 1 4 D
A(x, y) โดย
วิธีคดิ 1 หาจุด −2 7 A
1 −4 5
x +6−4 y + 7 −3 4 พื้นที่ = ⋅ −3 −2
( , ) = ( , 1) → 2
3 3 3 −1 −3
1 4 B
(x, y) = (2, −1)ดังนั้น เส้นมัธยฐาน จาก A(2, −1) C
1
= (8 + 28 + 15 − 2 + 3 + 7 − 10 + 8 + 9 − 4)
ไปยัง D(1, 2) มีขนาด 12 + 32 = 10 ... ตอบ 2
วิธีคดิ 2 หาระยะจาก P(4 , 1) ไปยัง D(1, 2) ได้เป็น = 31 ตร.หน่วย
3 k −2 4−2
(17) mAB = mAC → = ∴k = 3
1 10 2−1 3−1
( )2 + 12 = และใช้สมบัติว่า เส้นมัธยฐาน
3 3
(18) วิธีคดิ เหมือนข้อที่แล้ว
|AD| = 3 เท่าของ |PD| → ∴ ตอบ 10
คือ y − 6 = −2 − 6 ดังนั้น y = 2
(13) P(0, 0) , Q(3, 12) , R(12, 0) 1+2 4+2
1 (19) จากภาพ A
พื้นที่ = × สูง × ฐาน
2 จะได้ A (−4, 6) 3
1
Q (3,12)
= × 12 × 12 และ B (8, −3) 4 3
2
= 72 ตร.หน่วย P R (12,0) 4 3
จุดตัดของเส้นมัธยฐาน B
0 + 3 + 12 0 + 12 + 0
4
( , ) = (5, 4)
3 3 5−2 8−4
(20) mAB = = 1, mCD = = 1
(14) พล็อตจุดคร่าวๆ เพื่อหาลําดับ 4−1 2+2
A ∴ mAB = mCD → ขนานกัน
ของจุดบนเส้นรอบรูปได้ดังภาพ B
1 3 (21) สมมติ D(x, y) จะได้ว่า mAB = mCD
1 −2 0
พื้นที่ ΔABC = ⋅ 3 −5 1+ 4 y+2
2 C → = → 5x − y = 7 ..... (1)
1 3 −4 + 5 x−1
1 y −1 −2 + 4
= (6 + 5 + 10 + 9) = 15 ตร.หน่วย และ mAD = mBC → =
2 x +4 1+5
ส่วน PQR ไม่เป็น Δ เพราะอยู่บนเส้นตรงเดียวกัน → 3y − x = 7 ..... (2)
ดังนัน้ พื้นที่ = 0 ∴ ตอบ 15 ตร.หน่วย แก้ระบบสมการได้ D(x, y) = (2, 3)
(15) ก. |PQ| = 52 + 52 = 5 2 (22) ความชัน (3, 2), (1, −4) คือ −4 − 2 = 3
2 2 2 2
1− 3
|QR| = 2 + 1 = 5, |PR| = 3 + 6 = 3 5 1
∴ ความชัน (k, 7), (−3, −2) คือ −
จะได้ความยาวรอบรูป = 4 5 +5 2 หน่วย 3
3 −2 1 7+2
ดังนัน้ − = → k = −30
1 0 4 R 3 k +3
ข. พืน้ ที่ = ⋅ Q
2 −2 3 6−5 1
3 −2 (23) mAB = = ∴ mCD = −2
3−1 2
1 4+m
= (8 − 9 + 12 + 4) = 7.5 ตร.หน่วย P จะได้ −2 = → m = −2
2 m+1
ดังนัน้ ก. ผิด และ ข. ผิด (24) ความชันของรัศมีทผี่ ่าน (5, 6) กับ (−3, 1) คือ
6−1 5
= ... และเนือ่ งจากเส้นสัมผัสจะตั้งฉากกับ
5+3 8
8
รัศมีเสมอ จึงได้ว่า mL = −
5
1 4 3
(25) mAB = − , mAC = − , mBC = 7 แสดง (32) ความชันของ 3x − 4y + 5 = 0 คือ →
7 3 4
ว่า AB ⊥ BC ดังรูป B 4
ความชันของอีกเส้น คือ −
และเนือ่ งจาก 3
A 5
วงกลมที่ลอ้ มรอบ Δ มุมฉาก ผ่านจุดตัดแกน x คือ (− , 0) →
3
จะทําให้ ด้านตรงข้ามมุมฉาก C
เป็นเส้นผ่านศูนย์กลาง เสมอ สร้างสมการ y = − (x + 5)
4
3 3
∴ ความยาวเส้นผ่านศูนย์กลาง = |AC| จะหาจุดตัดแกน y ของเส้นนี้ได้เป็น
= 62 + 82 = 10 หน่วย 4 5 20
(0, − ⋅ ) = (0, − )
3 7 5 3 3 9
(26) ก. mAB = , mBC = − , mAC = (33) ความชันของ 2x + 3y + 5 = 0 คือ
7 3 2
→ AB ⊥ BC 2 3
− → mL =
3 2
ข. mDE = −2, mEF = −2 → DE // EF 3
สมการ L คือ y −5 = (x − 1) →
ค. mAB = 1 , mBC = 1 → AB // BC 2
2 2 7
จุดตัดแกน x (แทน y ด้วย 0) คือ (− , 0)
ดังนัน้ ถูกทุกข้อ 3
(27) x-intercept = 3 , y-intercept = 2 → (34) mM = 1 → mL = 1,
x y 3
+ = 1 → 2x + 3y − 6 = 0 ระยะตัดแกน y ของ N (แทน x = 0) คือ
3 2 5
3+5 8 3
(28) สร้างสมการของ L ก่อน → mL = = ∴ L มีความชัน 1 และผ่านจุด (0, )
1+2 3 5
8 3 3
→y − 3 = (x − 1) → 8x − 3y + 1 = 0 → y− = 1x → y = x +
3 5 5
จากนั้น หาระยะตัดแกน x และ y (โดยแทน (35) L1 ; y = (2 − 0)(x + 2) → y = 1 x + 1
2+2 2
y = 0 และแทน x = 0 ตามลําดับ)
L2 ; mL2 = −2 → y = −2(x + 2) = −2x − 4
ได้เป็น − 1 และ 1 L x y
8 3 L3 ; + = 1 → y = 3x − 4
1/3 (4 / 3) −4
AB →
จุดกึง่ กลางของด้านที่สนั้ คือ กึ่งกลาง หาจุด B จากสมการ AB ได้ เป็น
−2 + 4 5 + 8 13 B(−3, 7.5) → ∴|BC| = 7.5
( , ) = (1, )
2 2 2 (43) หาพิกดั จุด B โดยสร้างสมการ AB และ
−2 + 2 5 − 3
และกึ่งกลาง AC → ( , ) = (0, 1) BC นํามาแก้หาจุดตัด..
2 2
3 3 19
AB : y − 5 = (x + 3) → y = x +
ดังนัน้ สมการเส้นตรง คือ y − 1 = (13/2 − 1)(x) 2 2 2
1−0 2 2 4
11 BC : y + 4 = − (x − 4) → y = − x −
→ y = x+1 3 3 3
2
หาจุดตัด (จุด B ) ได้เป็น (−5, 2)
ตอบ ระยะตัดแกน x = − 2 , แกน y = 1
11 ∴ พืน้ ที่ Δ = 1 × | AB| × |BC|
x y 2
(40) + = 1 → ผ่านจุด (1, 3) 1 1
2b b = × 2 + 32 × 92 + 62 = ×
2
13 × 3 13
2 2
จะได้ 1 + 3 = 1 → b = 7 ∴ a = 7 = 19.5 ตร.หน่วย
2b b 2
สมการเส้นตรงนี้ คือ หมายเหตุ หาพิกัดจุด B โดยความชันก็ได้
x y 3 y −5 3
+ = 1→ x + 2y − 7 = 0 mAB = → =
7 (7 / 2) 2 x+3 2
2 y+4 2
mBC = − → = −
3 x−4 3
ซึ่งรูปสมการก็เหมือนกับการสร้างเส้นตรงอยูน่ ั่นเอง..
(44) 2x − 3y = 6 คือ 4x − 6y − 12 = 0 →
| −12 − (−25) | 13 13
ระยะห่าง = = =
2
4 +6 2 42 2
(71.2) เทคนิคการคิด คือ ขยับเส้นตรง x = −4 จุดยอด V(3, 2), จุดโฟกัส F(1, 2) → ไดเรกตริกซ์
ไปทางขวาเข้าหาจุด F(3, 1) เป็นระยะ 5 หน่วย จะ x = 3 + 2 = 5 → จุดตัดของไดเรกตริกซ์กับแกน
ได้ Directrix: x = −4 + 5 = 1 → อ้อมแกน x สมมาตร ก็คือ P(5, 2) ดังนัน้ โจทย์ให้หาวงกลมที่
จุดยอดคือ V(2, 1) → c = 1 → ได้สมการเป็น ผ่านจุด (0, 0), (1, 2), (5, 2) →
2
(y − 1) = 4(1)(x − 2) แก้ระบบสมการ หา D, E, F จาก
→ y2 − 4x − 2y + 9 = 0 x2 + y2 + Dx + Ey + F = 0
(79.1) C(3, −1), a = 4, b = 3, รีตามแกน y (80.2) 9(x2 − 6x +9) + 5(y2 − 10y +25)
(y + 1)2 (x − 3)2 = −26 + 81 + 125
→ + = 1
42 32 → 9(x − 3)2 + 5(y − 5)2 = 180
→ 9(y + 1) + 16(x − 3)2 = 144
2
(x − 3)2 (y − 5)2
→ 16x2 + 9y2 − 96x + 18y + 9 = 0 นํา 180 หาร → + = 1
20 36
(79.2) C(0, 0), V(0, 8) แสดงว่า a = 8 และ รีตามแกน y (a = 6, b = 20, c = 4)
รีตามแกน y, F(0, −5) แสดงว่า c = 5 ตอบ C(3, 5), V(3, 5±6)
→ b = 82 − 52 = 39 จะได้สมการเป็น F(3, 5± 4), B(3 ± 20, 5)
y2 x2 (80.3) 5(x2 − 2x +1) + 9(y2) = 40 +5
2
+ = 1 → 64x2 + 39y2 = 2496
8 39
→ 5(x − 1)2 + 9y2 = 45 →
(79.3) V(−4, 2), (2, 2) แสดงว่า รีตามแกน x และ (x − 1)2 y2
จุดศูนย์กลาง C(−1, 2) → a = 3 นํา 45 หาร → + = 1
9 5
(x − 2)2 (y + 1)2 รีตามแกน x (a = 3, b = 5, c = 2)
→ + = 1
32 22
ตอบ C(1, 0), V(1± 3, 0), F(1±2, 0), B(1, ± 5)
→ 4(x − 2)2 + 9(y + 1)2 = 36
→ 4x2 + 9y2 − 16x + 18y − 11 = 0
(81.1) F(4, 0), (−4, 0) แสดงว่า รีตามแกน x
c = 4, C(h, k) = (0, 0) → ระยะทางรวมเป็น 12
(79.4) C(−2, 1), F(−2, 4) แสดงว่ารีตามแกน y
2 2
และ C = 3 , ผ่านจุด (−6, 1) แสดงว่าจุดปลายแกน แสดงว่า a = 6 → b = 6 − 4 = 20
2 2
โทเป็น B(−6, 1) สมการทีต่ ้องการคือ x2 + y = 1
6 20
จะได้ b = 4, a = 32 + 42 = 5 → → 5x2 + 9y2 = 180
(y − 1)2 (x + 2)2
+ = 1 (81.2) F(2, 7), (2, 1)
แสดงว่ารีตามแกน y
52 42
→ 16(y − 1)2 + 25(x + 2)2 = 400 c = 3, C(h, k) = (2, 4) → ระยะทางรวม เป็น 10
2 2
2 2
→ 25x + 16y + 100x − 32y − 284 = 0 แสดงว่า a = 5 → ∴b = 5 −3 = 4 →
(79.5) C(2, 1), V(2, −4) แสดงว่า รีตามแกน y (y − 4)2 (x − 2)2
สมการทีต่ ้องการ คือ + = 1
และ a = 5 , ค่า c : a = 2 : 5 แสดงว่า c = 2 25 16
→ 25x2 + 16y2 − 100x − 128y − 44 = 0
→ b = 52 − 22 = 21 ดังนั้นได้สมการ
(y − 1)2 (x − 2)2
(82.1) รูปวงรี (เพราะตรงตามนิยามของวงรีพอดี)
→ + = 1 (82.2) 6 = 2c → c = 3
52 21
10 = 2a → a = 5 ∴b = 4
→ 21(y − 1) + 25(x − 2)2 = 525
2
2 2
→ 25x2 + 21y2 − 100x − 42y − 404 = 0 x y
ได้สมการ + 2 = 1
52 4
x2 y2
(80.1) นํา 36 หาร → + = 1→ → 16x2 + 25y2 = 400
9 4
รีตามแกน x (83) 4(x2 − 12x +36) + 9(y2 + 8y +16)
ตอบ C(0, 0), V(3, 0), (−3, 0), → 4(x − 6)2 + 9(y + 4)2 = 144 เป็นสมการวงรีที่มี
F( 5, 0), (− 5, 0), B(0, 2), (0, −2) C(h, k) = (6, −4) → หาสมการเส้นตรงที่ผา่ น
3
(6, −4) และตัง้ ฉากกับ 3x + 4y = 5 (m = − )
4
4 4
แสดงว่า mL = → y + 4 = (x − 6)
3 3
ตอบ 4x − 3y − 36 = 0
(84) (x2 − 4x + 4) + 3(y2) = 2 + 4 (87.3) F(0, 4), (0, −4) แสดงว่า อ้อมแกน y
2 2
(x − 2) y C(0, 0), c = 4 ... จุด B(3, 0) แสดงว่า
→ (x − 2)2 + 3y2 = 6 → + = 1→
6 2
b = 3 → a = 42 − 32 = 7
รีตามแกน x C(h, k) = (2, 0), c = 6−2 = 2 2 2
y x
∴ F(2 ± 2, 0) = (4, 0)กับ (0, 0) → โจทย์ให้หา สมการคือ − 2 = 1
7 3
ระยะระหว่างเส้นตรงที่ผ่าน (4, 0) และผ่าน (0, 0) → 9y2 − 7x2 − 63 = 0
โดยทํามุม 45° กับแกน x (หรือ 7x2 − 9y2 + 63 = 0 ก็ได้)
ดังภาพ (88.1) 9x2 − 4y2 = 36 → นํา 36 หาร
4
∴ d = 4 sin 45° x2 y2
d → − = 1→ อ้อมแกน x,
= 2 2 หน่วย 4 9
a = 2, b = 3 → c = 4+9 = 13
2 1 2 ตอบ C(0, 0), V(±2, 0), F(± 13, 0), B(0, ±3)
(85) kx + 4(y − y + ) = 8 +1
4
(88.2) 9(x2 − 2x +1) − 16(y2 + 4y +4)
1
→ kx2 + 4(y − )2 = 9 = 199 +9 −64
2
1 → 9(x − 1)2 − 16(y + 2)2 = 144
(y − )2
x2 2 (x − 1)2 (y + 2)2
→ + = 1 → − = 1→ อ้อมแกน x
(3 / k)2 (3 / 2)2 B 16 9
พบว่าต้องรีตามแกน x 3/2 c a = 4, b = 3, c = 5
จึงจะเกิด Δ ได้ ดังภาพ ตอบ C(1, −2), V(1± 4, −2), F(1±5, −2)
F1 (0,1/2) F2
B(1, −2± 3)
9 9
c = a −b2 2
= − (88.3) 6(x2 − 6x +9) − (y2 + 2y +1)
k 4
= −59 +54 − 1
3 7 1 9 9 3
∴ พืน้ ที่ Δ = = ⋅ (2 − )⋅( ) → 6(x − 3)2 − (y + 1)2 = −6
4 2 k 4 2
9 (y + 1)2 (x − 3)2
→ k = → − = 1→ อ้อมแกน y
4 6 1
(86) ตั้งแกนไว้ให้จดุ C(h, k) = (0, 0) จะได้ว่า a = 6, b = 1, c = 7
2 2
x y ตอบ C(3, −1), V(3, −1± 6), F(3, −1± 7)
+ 2 = 1 โจทย์ถามตําแหน่ง P ซึ่งห่างจาก
22 1 B(3 ± 1, −1)
ปลายหนึ่ง 80 ซม. → แสดงว่า x = 1.2 → หา (88.4) 6(x2 − 2x +1) − 10(y2 + 4y +4)
(1.2)2 y2
ค่าความสูง y → 2
+ 2 = 1 = 94 +6 − 40
2 1
→ y = 0.8 จึงตอบว่า สูงจากพื้น 80 ซม. → 6(x − 1)2 − 10(y + 2)2 = 60
f(n)=c+tn
º··Õè 5 ¤ÇÒÁÊaÁ¾a¹¸/¿§¡ªa¹
ความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์และฟังก์ชัน จะ
เป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตัวแปร
และเป็นพื้นฐานของการประยุกต์ใช้คณิตศาสตร์ในการ
ทํางาน ทั้งด้านพาณิชยศาสตร์ ด้านวิศวกรรม ฯลฯ ซึ่ง
ในบทนี้เราจะได้รู้จักลักษณะเบื้องต้นของความสัมพันธ์
และฟังก์ชัน
คู่อันดับ (Ordered Pair) ประกอบด้วยสมาชิกสองตัวในรูป (a, b) ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยน
ลําดับสมาชิกตัวหน้ากับตัวหลังได้ และ (a, b) = (c, d) ก็ต่อเมื่อ a = c และ b = d เท่านั้น
ผลคูณคาร์ทีเซียน (Cartesian Product) คือผลคูณระหว่างเซตสองเซต
เซต A × B (เอคูณบี) คือเซตของคู่อันดับ ที่สมาชิกตัวหน้ามาจากเซต A และสมาชิกตัว
หลังมาจากเซต B ครบทุกคู่ หรือเขียนแบบเงื่อนไขได้ว่า A × B = {(a, b) | a ∈ A และ b ∈ B }
เช่น A = {0, 1, 2} , B = {1, 3} จะได้ A × B = {(0, 1), (0, 3), (1, 1), (1, 3), (2, 1), (2, 3)}
A × A = {(0, 0), (0, 1), (0, 2), (1, 0), (1, 1), (1, 2), (2, 0), (2, 1), (2, 2)}
ข้อสังเกต
1. n (A × B) = n (A) ⋅ n (B)
2. n (A × ∅) = n (A) ⋅ n (∅) = 0 ดังนั้น A × ∅ = ∅
3. A × B = B × A ก็ต่อเมื่อ A = B หรือมีเซตใดเซตหนึ่งเป็น ∅
5.1 ลักษณะของความสัมพันธ์
ความสัมพันธ์ (Relation : r) คือเซตที่สมาชิกทุกตัวเป็นคู่อันดับ
หรือกล่าวว่า เซตที่นําไปเขียนกราฟ (2 มิติ บนแกน x,y) ได้ จัดว่าเป็นความสัมพันธ์
หมายเหตุ
1. เนื่องจากความสัมพันธ์จัดเป็นเซตชนิดหนึ่ง จึงเขียนแสดงความสัมพันธ์ได้ 2 ลักษณะ ได้แก่ แจก
แจงสมาชิก และบอกเงื่อนไข
2. r = {(x, y) ∈ A × A | .....} เรียกว่า “ความสัมพันธ์ภายใน A” (in A)
3. ถ้าไม่ระบุว่าเป็นความสัมพันธ์จากเซตใดไปเซตใด จะหมายถึงเซตจํานวนจริง R × R
แบบฝึกหัด 5.1
(1) กําหนดให้เอกภพสัมพัทธ์เป็นเซตของจํานวนจริง ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(1.1) ∀a∀b [ (a, b) ≠ (b, a) ]
(1.2) ∀a∀b [ (a, b) ≠ (c, d) → a ≠ c และ b ≠ d ]
(1.3) ∃a∃b [ (a + 2b, 1) = (−1, b + a/2) ]
(2) ถ้า (3x + 5, 8 − 4y) = (−5, −6) และ (y, 2) = (−p, 2) แล้ว ให้หา (xp, x/p)
(5) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(5.1) ถ้า A = {4, 5, 6, {4, 5, 6}} และ B = {4, 5, {4, 5}}
แล้ว n [P (A) × P (B)] = 128
(5.2) ถ้า A = {3, 4, 5, ..., 32} , B = {7, 8, 9, ..., 40} และ C = {0, 1, 2, ..., 25} แล้ว
n [(A × B) ∩ (A × C)] = 570
(5.3) ถ้า A = {0, 1, 2, ..., 28} และ B = {−3, −2, −1, ..., 4}
แล้ว n [(A × B) ∪ (B × A)] = 439
y
• หมายเหตุ หากไดศึกษาเรื่องกราฟวงกลมในบทเรียน 2
2
“เรขาคณิตวิเคราะห” จะทราบวาสมการ y = 4 − x
2 2
อยูในรูปแบบของวงกลม x + y = 4 ดังภาพ x
(แตกลายเปนครึง่ วงกลม เนื่องจากมีเครื่องหมายรากที่สอง -2 O 2
ทําให y > 0 เทานัน้ ) ซึ่งถาเขียนกราฟจะมองเห็นโดเมนและเรนจไดชัดเจนกวาการคํานวณ
เช่น ถ้า r = {(2, 1),(3, 3),(4, 5),(0, −1)} จะได้ r −1 = {(1, 2),(3, 3),(5, 4),(−1, 0)}
แต่ถ้าเป็นแบบเงื่อนไข r = {(x, y) | y = 2x − 3 } สามารถเขียน r −1 ได้หลายแบบ
เช่น r = {(y, x) | y = 2x − 3 } หรือ r = {(x, y) | x = 2y − 3 } หรือ r = {(x, y) | y = x + 3 }
2
ซึ่งแบบสุดท้าย (เขียนในรูปของ y) นี้เป็นที่นิยมมากกว่า
ข้อสังเกต Dr = Rr และ Rr = Dr เสมอ
−1 −1
แบบฝึกหัด 5.2
(13) ให้หาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ต่อไปนี้
(13.1) r = {(x, y) | xy = 2 }
(13.2) r = {(x, y) | (x − 2)(y − 1) = 1 }
(13.3) r = {(x, y) | y = 1 }
x−1
2x − 3
(13.4) r = {(x, y) | y = }
x+1
x+1
(13.5) r = {(x, y) | y = , x > 1}
x−1
(14) ให้หาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ต่อไปนี้
[ Hint : บางสมการควรจัดรูปให้เป็นกําลังสองสมบูรณ์ ]
(14.1) r = {(x, y) | y = x2}
(14.2) r = {(x, y) | y = x }
(14.3) r = {(x, y) | y = x2 − 2x − 3 }
(14.4) r = {(x, y) | y = 3 + x + 1 }
(14.5) r = {(x, y) | x2 + y2 = 16 }
(14.6) r = {(x, y) | y = 16 − x2 }
(14.7) r = {(x, y) | y = 1 4 − 3x − x2 }
2
(14.8) r = {(x, y) | x + y2 − 6x + 4y − 3 = 0 }
2
(15) ให้หาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ต่อไปนี้
(15.1) r = {(x, y) | y = 2 1 }
x −x
1
(15.2) r = {(x, y) | y = 2
}
x − 4x + 3
x+1
(15.3) r = {(x, y) | y = }
x
(15.4) r = {(x, y) | 2x2 + y2 − 2xy + x + 1 = 0 }
(15.5) r = {(x, y) | x2y2 − y2 − x − 2 = 0 }
(15.6) r = {(x, y) | xy2 − xy − 2y2 + 2y − 6x + 11 = 0 }
(16) ให้หาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ต่อไปนี้
3
(16.1) r = {(x, y) | y = }
x+3 −4
(16.2) r = {(x, y) | y = x+2 − x }
(16.3) r = {(x, y) | y = x2 − 4 }
1
(17.2) r = {(x, y) | y = }
2
x −4
x
(17.3) r = {(x, y) | y = }
x −2
1
(21) ถ้า r = {(x, y) | y = } แล้ว ให้หาคอมพลีเมนต์ของ Dr−1
x2 − 2x − 3
5.3 กราฟของความสัมพันธ์
“กราฟของความสัมพันธ์ r” ก็คือเซตของจุดบนแกนมุมฉาก (x, y) ซึ่งแต่ละจุดแทนสมาชิก
ใน r (โดยให้สมาชิกตัวหน้าเป็นแกนนอน และสมาชิกตัวหลังเป็นแกนตั้ง)
เช่น ถ้า r1 = {(1, 2),(−1, 2),(2, 3),(−2, 0),(0, −2)}
r2 = {(x, y) ∈ I × I | y = x2 } = {(0, 0),(±1, 1),(±2, 4), ...}
การเขียนกราฟของความสัมพันธ์ จะช่วยให้เห็นโดเมนและเรนจ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
รูปแบบของกราฟที่ควรรู้จักมีดังนี้ ...
หมายเหตุ ควรศึกษาเทคนิคการเขียนกราฟ (การเลือ่ นแกน, การปรับขนาดกราฟ) ซึ่งอธิบายไว้ในบทเรียน
“เรขาคณิตวิเคราะห์” เพื่อช่วยในการหาโดเมนและเรนจ์ต่อไป
2 y > 3x2
x
x x -2 O 2
O O
x2 + y2 > 4 -2
กราฟของอินเวอร์ส ( r −1 ) มีความเกี่ยวข้องกับกราฟของ r คือ เกิดจากการหมุนกราฟโดยมี
เส้นตรง y = x เป็นแกนหมุน … เท่ากับเป็นการสลับแกน x กับ y กันนั่นเอง
y เส้นตรง y
y=x
r r-1
x x
(-3,-1) O
(-1,-3)
แบบฝึกหัด 5.3
(23) ให้หาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ต่อไปนี้ โดยอาศัยการเขียนกราฟ
(23.1) r = {(x, y) | x + y = 4 }
(23.2) r = {(x, y) | x − 2 + y = 2 }
(23.3) r = {(x, y) | y = x2 + 2x − 2 }
(23.4) r = {(x, y) | y = x2 + 2x − 2 , − 3 < x < 2 }
(24) ขนาดพื้นที่ของบริเวณในแต่ละข้อเป็นกี่ตารางหน่วย เมื่อกําหนดให้
r1 = {(x, y) | x + y < 1 } r2 = {(x, y) | x − y < 1 } r3 = {(x, y) | y − x < 1 }
r4 = {(x, y) | y > 0 } และ r5 = {(x, y) | x > 0 }
(24.1) r1 ∩ r2 ∩ r5 (24.3) r1 ∩ r3 ∩ r4
(24.2) r1 ∩ r4 ∩ r5 (24.4) r3 ∩ r4 ∩ r5
5.4 ลักษณะของฟังก์ชัน
จากที่ศึกษาผ่านมาแล้วว่า ความสัมพันธ์ คือเซตของคู่อันดับ (และที่พบบ่อยจะเขียนอยู่ใน
รูปสมการ) หากความสัมพันธ์ใดมีลักษณะดังต่อไปนี้ด้วย จะเรียกว่าเป็น ฟังก์ชัน (Function : f)
“สมาชิกตัวหน้าแต่ละตัว จะคู่กบั สมาชิกตัวหลังได้เพียงแบบเดียวเท่านั้น”
หรือกล่าวว่า สําหรับ x แต่ละตัว จะคู่กับ y ได้เพียงแบบเดียวเท่านั้น
S e¾ièÁeµiÁ! S
เช่น r1 = {(0, 1),(1, 2),(1, 3),(2, 4)}
ไม่เป็นฟังก์ชัน เพราะ 1 คู่กับทัง้ 2 และ 3 ¿§¡ªa¹ e»ÃÕºeÊÁ×o¹e¤Ã×èo§¨a¡Ã·Õeè ÃÒãÊ x e¢Òä»
r2 = {(0, 1),(1, 2),(3, 1),(2, 4)} æÅa¼Ò¹¡ÃaºÇ¹¡Òäíҹdz¨¹¡Ãa·aè§ä´ y oo¡ÁÒ..
เป็นฟังก์ชัน เพราะไม่มีการใช้สมาชิกตัวหน้าซ้ําเลย ´a§¹aé¹ ¡Òèae»¹¿§¡ªa¹ä´ ¶ÒeÃÒãÊ x 溺e´iÁ
e¢Ò仡ç¤Çèaä´¤Ò y e·Òe´iÁoo¡ÁÒ¹aè¹eo§..
(ห้ามใช้สมาชิกตัวหน้าซ้ํา แต่ใช้สมาชิกตัวหลังซ้ําได้)
r1 r2
0 1 0 1
2 1
1 2 2
3
2 4 3 4
ไม่เป็นฟังก์ชัน เป็นฟังก์ชัน
x x
O O
ไม่เป็นฟังก์ชัน เป็นฟังก์ชัน
สิ่งที่ควรทราบ
1. ความสัมพันธ์ที่เขียนในรูป y = ...(x)... ได้แบบเดียว จะเป็นฟังก์ชันเสมอ
* 2. ถ้า f เป็นฟังก์ชัน จะเขียนแทน y ด้วยคําว่า f (x) (อ่านว่า เอฟเอกซ์) เช่น f (x) = x2
ลักษณะของฟังก์ชัน S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
“ฟังก์ชันจาก A ไป B” (from A into B หรือ f : A >B)
¿§¡ªa¹¨Ò¡ A ä» B ¨aµo§ãª
คือฟังก์ชันซึ่ง Df = A และ Rf ⊂ B o´eÁ¹ (¤×oe«µ A) ãˤú·u¡µaÇ
“ฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B” (from A onto B หรือ f : A onto >B) ¹a¤Ãaº ¼i´¡aº¤ÇÒÁÊaÁ¾a¹¸¨Ò¡
คือฟังก์ชันซึ่ง Df = A และ Rf = B A ä» B «Öè§äÁµo§ãª A ËÁ´¡çä´
r5 r6 r7
0 0 a 0 a
1
a 1 b 1
b 2 c 2 b
2 3 d 3 c
A B A B A B
เป็นฟังก์ชัน เป็นฟังก์ชันจาก A ไป B เป็นฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B
r5 r8 r9
0 1 a 0 a
a b 1 b
1 b 2 c 2 c
2 4 d 3 d
A B A B A B
เป็นฟังก์ชัน 1-1 เป็นฟังก์ชัน 1-1 จาก A ไป B เป็นฟังก์ชัน 1-1 จาก A ไปทั่วถึง B
x x x
O O O
ฟังก์ชันแบบเฉพาะต่างๆ ที่ควรรู้จัก
ฟังก์ชันคงตัว (Constant Function) f (x) = a (กราฟเส้นตรงแนวนอน)
ฟังก์ชันเชิงเส้น (Linear Function) f (x) = ax + b (กราฟเส้นตรงเฉียงๆ)
ฟังก์ชันกําลังสอง (Quadratic Function) f (x) = ax2 + bx + c (กราฟพาราโบลาหงายหรือคว่ํา)
ฟังก์ชันพหุนาม (Polynomial Function) f (x) = anxn + an − 1xn − 1 + an − 2xn − 2 + ... + a0
ฟังก์ชันตรรกยะ (Rational Function) f (x) = p (x) ..เมื่อ p (x), q(x) เป็นฟังก์ชันพหุนาม
q(x)
ฟังก์ชันค่าสัมบูรณ์ (Absolute Value Function) f (x) = ax + b + c (กราฟรูปตัววีหงายหรือคว่ํา)
ตัวอยางการแกฟงกชัน (1)
• ถา f (x) = 2x − 3 ใหหา f (3x − 1)
วิธีคิด จาก f (Δ) = 2 (Δ) − 3 จะได f (3x − 1) = 2 (3x − 1) − 3 = 6x − 5 ... ตอบ
• f (3x − 1) = 6x − 5 ใหหา f (x)
A+1
วิธีคิด ให A = 3x − 1 นั่นคือ x =
3
A+1
จะไดวา f (3x − 1) = 6x − 5 กลายเปน f (A) = 6( ) − 5 = 2A − 3
3
ดังนั้น f (x) = 2x − 3 ... ตอบ
• f (3x − 1) = 6x − 5 ใหหา f (2)
วิธีคิด ให 2 = 3x − 1 ไดเลย นั่นคือ x = 1
จะไดวา f (3x − 1) = 6x − 5 กลายเปน f (2) = 6 (1) − 5 = 1 ... ตอบ
• f (x) = 2x − 3 ใหหา f (3x − 1) ในรูปของ f (x)
วิธีคิด หา f (3x − 1) = 2 (3x − 1) − 3 = 6x − 5 กอน
f (x) + 3
จากนั้นเปลี่ยน x เปน f (x) โดย f (x) = 2x − 3 → x =
2
f (x) + 3
จะไดวา f (3x − 1) = 6( ) − 5 = 3 f (x) + 4 ... ตอบ
2
แบบฝึกหัด 5.4
(33) f ที่กําหนดให้ในแต่ละข้อ เป็นฟังก์ชันจริงหรือไม่
และถ้าเป็นฟังก์ชันให้ระบุเพิ่มเติมด้วยว่า เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งหรือไม่
(33.1) f (x) = x2 (33.6) f (x) = 1/ x
2
(33.2) [f (x)] = x (33.7) f (x) = x2 + x + 1
(33.3) f (x) = x (33.8) f (x) = x3
(33.4) f (x) = x (33.9) f (x) = 1/ x2
(33.5) f (x) = x (33.10) f (x) = x 2/ 3
(34) ความสัมพันธ์ต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันหรือไม่
(34.1) r = {(x, y) | x + y < 1 }
(34.2) r = {(x, y) | x + y = 1 }
(35) ความสัมพันธ์ต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันหรือไม่
(35.1) r = {(x, y) | x + y = 1}
(35.2) r = {(x, y) | x + y = 1}
(35.3) r = {(x, y) | x + y = 1}
(35.4) r = {(x, y) | x + y = 1}
(36) ฟังก์ชันต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งหรือไม่
(36.1) f = {(x, y) | 2x + y − 3 = 0 }
(36.2) f = {(x, y) | (x − 4)(y + 3) = 1}
(36.3) f = {(x, y) | y − 3 = (x + 4)3}
(36.4) f = {(x, y) | x2 − y + 3 = 0 }
f f
g g
A B C A B C
หา gof ได้ หา gof ไม่ได้
ตัวอยางการแกฟงกชัน (2)
• ถา f (x) = 2x − 3 และ g(x) = 3x + 4 ใหหา (g D f)(x)
วิธีคิด จาก (g D f)(x) = g (f (x)) = g (2x − 3) = 3 (2x − 3) + 4 = 6x − 5 ... ตอบ
• (g D f)(x) = 6x − 5 และ g(x) = 3x + 4 ใหหา f (x)
วิธีคิด จาก (g D f)(x) = g (f (x)) = 3 (f (x)) + 4 แตโจทยกําหนด (g D f)(x) = 6x − 5
ดังนั้น 3 (f (x)) + 4 = 6x − 5 ยายขางสมการได f (x) = 2x − 3 ... ตอบ
• (g D f)(x) = 6x − 5 และ g(x) = 3x + 4 ใหหา f (2)
วิธีคิด จาก (g D f)(2) = g (f (2)) = 3 (f (2)) + 4 แต (g D f)(2) = 6 (2) − 5 = 7
ดังนั้น 3 (f (2)) + 4 = 7 ยายขางสมการได f (2) = 1 ... ตอบ
• (g D f)(x) = 6x − 5 และ f (x) = 2x − 3
ใหหา g (x)
วิธีคิด จาก (g D f)(x) = g (f (x)) = g(2x − 3) แตโจทยกําหนด (g D f)(x) = 6x − 5
ดังนั้น g(2x − 3) = 6x − 5 ใชเทคนิคการแกฟงกชันตามเดิมได g(x) = 3x + 4 ... ตอบ
จากหลักการเขียนกราฟของอินเวอร์ส ทําให้พบว่า
−1
f จะเป็นฟังก์ชัน ก็เมื่อ f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง เท่านั้น
และ f − 1(,) = Δ มีความหมายเดียวกับ f (Δ) = ,
ตัวอยางการแกฟงกชัน (3)
−1
• ถา f (x) = 2x − 3 ใหหา f (x)
−1
วิธีคิด จาก f (x) = 2x − 3 → f (2x − 3) = x
−1
จากนั้นใชเทคนิคการแกฟงกชันตามเดิมได f (x) = 0.5 x + 1.5 ... ตอบ
(หมายเหตุ อาจใชวิธีหาอินเวอรส เหมือนในบทเรียนความสัมพันธ คือสลับตัวแปร x กับ y )
−1
• ถา f (x) = 2x − 3 ใหหา f (5)
−1
วิธีคิด จาก f (x) = 2x − 3 → f (2x − 3) = x
แลวให 2x − 3 = 5 นั่นคือ x = 4 ดังนัน้ แทนคา x ดวย 4 จะได f − 1(5) = 4 ... ตอบ
−1
• ถา f (x − 1) = 4x − 3 ใหหา f (x)
−1
วิธีคิด จาก f (x − 1) = 4x − 3 → f (4x − 3) = x − 1
−1
จากนั้นใชเทคนิคการแกฟงกชันตามเดิมได f (x) = 0.25 x − 0.25 ... ตอบ
−1
• ถา f (x − 1) = 4x − 3 ใหหา f (5)
−1
วิธีคิด จาก f (x − 1) = 4x − 3 → f (4x − 3) = x − 1
แลวให 4x − 3 = 5 นั่นคือ x = 2 ดังนัน้ แทนคา x ดวย 2 จะได f − 1(5) = 1 ... ตอบ
x
• [Ent’35] ถา f − 1(x) = และ (f D g)(x + 2) = 3x + 6 ใหหา g (2)
x −2
วิธีคิด ตองการ g(2) จึงให x + 2 = 2 นัน่ คือ x = 0
แทนคาใน (f D g)(x + 2) = 3x + 6 จะไดวา (f D g)(2) = 6 หรือ f (g (2)) = 6
−1
จากนั้นใชสมบัตขิ องอินเวอรส กลายเปน f (6) = g(2)
ซึ่ง f (6) = 6 6− 2 = 1.5 ดังนั้น g(2) = 1.5 ... ตอบ
−1
แบบฝึกหัด 5.5
(43) ให้หา g D f และ f D g ของฟังก์ชันที่กําหนดให้ในแต่ละข้อ
(43.1) f (x) = 2x และ g(x) = x + 3
(43.2) f (x) = x + 1 และ g(x) = x
(43.3) f (x) = 4x + 1 และ g(x) = x2
⎧⎪ 4 − x , x < 0
* (43.4) f (x) = ⎨ และ g(x) = x2 + 1 เมื่อ x >2
⎪⎩ 6 − x , x > 4
⎧⎪2x + 2 , x > 0
(50) ให้หา f −1(x) เมื่อกําหนดให้ f (x) = ⎨ 2
⎪⎩−x − 1 , x < 0
x x
(51.2) [Ent’21] f ( + 1) = −1
2 2
5x − 7
(51.3) f (x + 1) =
x−3
(51.4) f − 1[ 3 f (2x + 1) − 3x + 2 ] = 2x + 1
⎧2x + 1 , x > 0
(54) กําหนดให้ f (x + 1) = 2x + 3 และ g(x) = ⎨ ให้หาค่าของ
⎩3x + 1 , x < 0
(54.1) (f −1 D g−1)(0) (54.2) (g−1 D f −1)(0)
f
(58) ถ้า f (x) = x + 5 และ (g D f)(x) = x2 − 25 แล้ว ให้หา ( )(x)
g
⎧x + 1 , x > 0
(59) ถ้า f (x) = 4x , g(x) = x2 + 1 และ h (x) = ⎨ แล้ว ให้หา
⎩x − 1 , x < 0
(59.1) (f −1 + g + h−1)(−2) (59.2) [(g D f −1) ⋅ h](2)
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) ผิดทุกข้อ (23.4) [−3, 2) , [−3, 6) x2 − 4
(49.2) เมื่อ x > 0
(2) (35/3, 20/21) (3) (6, 0) 5
(24.1) 1 (24.2) 0.5
(24.3) 1 (24.4) หาค่าไม่ได้ (49.3) 3x + 1
(4) ข้อ (4.2) และ (4.6) ถูก
(5) ถูกทุกข้อ (6) 2mk − m2 (25) 6.75 (26.1) 24 (49.4) 1 + 1 / x เมื่อ x ≠ 0
(26.2) 12 (26.3) π 3x − 2
(7) 220 (8) 2 1,000 (49.5) เมื่อ x ≠ 1
(26.4) 4π (27) 85.33 x−1
(9) ถูกทุกข้อ (10) ถูกทุกข้อ
(28) 0 (29) [−7, −5] ∪ [5, 7] x 1
(11.1) {(2, −1)} (49.6) เมื่อ x ≠
2x − 1 2
(11.2) {(0, 4), ( 7, −3), (− 7, −3)} (30) [−1, 8] (32) 4
2x − 3 2
(12) 310 (31) ข้อ (31.2) และ (31.3) ถูก (49.7) เมื่อ x ≠
3x − 2 3
(13.1) Dr = R − {0} , (33) ข้อ (33.2) และ (33.5)
ไม่เป็นฟังก์ชัน ข้อ (33.3), (33.6), ⎧⎪ 0.5x + 1 , x > 2
Rr = R − {0} (50) f −1
(x) = ⎨
(33.8) เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง ⎪− − x − 1 , x < − 1
⎩
(13.2) R − {2} , R − {1} (34.1) ไม่เป็น (34.2) เป็น 3x − 25
(13.3) R − {1} , R − {0} (51.1) (51.2) x + 2
(35) ข้อ (35.4) เท่านั้นที่เป็น 4
(13.4) R − {−1} , R − {2} (36) ข้อ (36.4) เท่านั้นที่ไม่เป็น (51.3) 4x − 12 เมื่อ x ≠ 5
(13.5) (1, ∞) , (1, ∞) (37) ข้อ (37.2) เท่านัน้ ที่เป็น x −5
(14.1) R , [0, ∞) (38) ข้อ (38.2) เท่านั้นไม่เป็น (51.4) 4x + 7 (52) –1
(14.2) [0, ∞) , [0, ∞) (39) ข้อ (39.1), (39.5), 3
(14.3) R , [−4, ∞) (39.6) เป็น (40.1) R , [3, ∞) (53.1) –33 (53.2) –19
(14.4) [−1, ∞) , [3, ∞) (40.2) R − {5} , R − {10} (53.3) 4 (53.4) –4
(14.5) [−4, 4] , [−4, 4] (40.3) R − {0} , R − (−2, 2) (54.1) –2/3 (54.2) –1/2
(41) (t + 3)2 เมื่อ −5 < t < 5 (55.1) 3 + x, x < 0 และ
(14.6) [−4, 4] , [0, 4]
−x, 0 < x < 3 และ
(14.7) [−4, 1] , [0, 1.25] (42.1) x2 + x + 7 (42.2) 7
−2x − x2 , x > 3
(14.8) [−1, 7] , [−6, 2] (42.3) 4 f (x)
(15.1) R − {0, 1} , R − (−4, 0] 3 f (x) + 1 (55.2) R − {0}
(15.2) R − {1, 3} , R − (−1, 0] (43.1) (g D f)(x) = 2x + 3 , (56.1) 1 − x + 1 + 1 − x2
(15.3) [−1, ∞) − {0} , R (f D g)(x) = 2x + 6 เมื่อ −1 < x < 0
(15.4) ∅ , ∅ (43.2) (g D f)(x) = x + 1 1+ 1− x
(15.5) [−2, −1) ∪ (1, ∞) , R เมื่อ x > −1 , (56.2) 2
1− x
(15.6) R − (46/25, 2] , R − {3, −2} (f D g)(x) = x + 1 เมื่อ x > 0 เมื่อ x ∈ (−∞, 1) − {−1}
(16.1) R − {−7, 1} , R − (−3/ 4, 0] (43.3) (g D f)(x) = (4x + 1)2 ,
(16.2) R , [0, 2] (57.1) x2 + x − 43
2
(f D g)(x) = 4x + 1 6
(16.3) R , [0, ∞) 2
5 − x , x < 0 (57.2) 2x − x − 11
(17.1) R − {−2, 2} (43.4) (g D f)(x) = ⎧⎪⎨ 2 3x + 5
⎪⎩(6 − x) + 1 , x > 8
(17.2) R − [−2, 2] และ (f D g)(x) = 5 − x2 เมื่อ x ≠ −5/3
(17.3) R − {2} (17.4) [2, ∞) x+5
เมื่อ x > 2 (44) 11/4 หรือ 2 (58) x (x − 10) เมื่อ x ≠ 0, 10
(18) {1} (19) 5 (20) 2
(21) (−1/4, 0] (22) ข. (45) 1 เมื่อ x ≠ 1 (59.1) 7/2 (59.2) 15/4
x−1
(23.1) [−4, 4] , [−4, 4] (60.1) 5/3 (60.2) 5/3
(46) x − 1 หรือ −x (47) –3 (61.1) 6 (61.2) 7/2
(23.2) [0, 4] , [−2, 2]
(23.3) R , [−3, ∞)
(48) ข้อ (48.1) เท่านัน้ ที่เป็น (62.1) 7 1 (62.2) 43
(49.1) 5 − x2 เมื่อ x > 0 43
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1.1) ผิด เพราะมีบาง a, บาง b (5.3) จากสูตรเรื่องเซต n[(A × B) ∪ (B × A)] =
ซึ่ง (a, b) = (b, a) เช่น a = 2, b = 2 n(A × B) + n(B × A) −n[(A × B) ∩ (B × A)]
(1.2) ผิด เพราะ (a, b) ≠ (c, d) ไม่ได้แปลว่า พบว่า A ∩ B = {0, 1, 2, 3, 4}
a ≠ c และ b ≠ d พร้อมๆ กันเสมอไป ดังนัน้ (A × B) ∩ (B × A) จะมีอยู่ 5 × 5 คู่อนั ดับ
ต้องใช้ว่า a ≠ c หรือ b ≠ d จึงจะถูก ทําให้ได้ (29 × 8) + (8 × 29) − (5 × 5) = 439 ถูก
(1.3) ข้อนีจ้ ะถูกก็เมื่อ a + 2b = −1 และ
a
(6) จาก n[(A × B) ∪ (B × A)]
1= b+ → 2 = 2b + a ซึ่งเป็นไปไม่ได้ = n(A × B) + n(B × A) − n[(A × B) ∩ (B × A)]
2
เพราะสมการทั้งสองขัดแย้งกัน (ไม่มีคําตอบ) (ตัวที่ขดี เส้นใต้ โจทย์ให้เป็น (A ∩ B) × (B ∩ A) )
ดังนัน้ ข้อนีจ้ ึงผิด จะได้ = mk + km − mm = 2mk − m2
(2) 3x + 5 = −5 → x = −10 / 3 (7) n(A '∩ B ') = 2 แสดงว่า n(A ∪ B) = 8
และ 8 − 4y = −6 → y = 7 / 2
(วาดรูปประกอบจะเห็นชัด)
y = −p → p = −7 / 2
n(A '∪ B ') = 9 แสดงว่า
ดังนัน้ (xp, x) = (35 , 20) n(A ∩ B) = 1
x 1 y
2
p 3 21
(3) (3, 4) ∗ (0, 0) = (3 − 0, 4 + 0) = (3, 4) และจาก n(B) − n(A) = 1 A B
และ (x, y) ∗ (3, 4) = (x − 3, y + 4) จะได้วา่ (y + 1) − (x + 1) = 1 และ x + 1 + y = 8
ดังนัน้ 3 = x − 3 → x = 6 และ แก้ระบบสมการได้ x = 3 , y = 4 ดังนั้น
4 = y + 4 → y = 0 ตอบ (6, 0) n(A) = 4 , n(B) = 5 และความสัมพันธ์จาก A ไป
(4.1) ผิด มีกรณีที่ A × B กลายเป็นเซตจํากัด B มีทั้งสิ้น 24 × 5 = 220 แบบ
คือเมือ่ B = ∅ จะทําให้ A × B = ∅ (8) 2n(A × A)⋅ n(A) = 2100 × 10 = 21,000 แบบ
(4.2) ถูก เพราะถ้า n(A × B) หาค่าไม่ได้ (9.1) 23 × 2 = 26 = 64 ถูก
แสดงว่า n(A) หรือ n(B) ต้องหาค่าไม่ได้ (9.2) โดเมนเป็น {1, 2, 3} ครบทุกจํานวน ดังนัน้
(4.3) ผิด ไม่จาํ เป็นว่า B = C หากว่า A = ∅ ต้องคิดแบบการนับ
(4.4) ผิด A = ∅ หรือ B = ∅ ส่วนของโดเมนเป็น 1 จะมีได้ 3 แบบ คือ
(1, 1) / (1, 2) / (1, 1), (1, 2)
อย่างใดอย่างหนึง่ ก็ได้ ไม่ต้องเป็น ∅ ทั้งคู่
(4.5) ผิด ถ้า A = ∅ คิดจาก 22 − 1 (สับเซตของ B ทุกแบบ ที่ไม่ใช่ ∅ )
ก็ทําให้ A × B = B × A ได้ โดเมนเป็น 2 ก็มี 3 แบบ, เป็น 3 ก็มี 3 แบบ
(4.6) ถูก เพราะ A ∩ B ⊂ A ⊂ A ∪ B ดังนัน้ ประกอบกันทั้งสามส่วน ได้ 3 × 3 × 3 = 27 ถูก
(4.7) ผิด เช่น A = ∅ จะทําให้ A × B = A ได้ (10.1) ถูก คือ 212 แบบ
(หรือ B = ∅ จะทําให้ A × B = B ) (10.2) โดเมนเป็นตัวแรก มี 15 แบบ → คิดจาก
(4.8) ผิด เพราะสมาชิกของ A กับสมาชิก 24 − 1 (สับเซตของ B ทุกแบบที่ไม่ใช่ ∅ )
ของ A × B ย่อมไม่มีตวั ใดซ้าํ กันอยู่แล้ว ตัวสองและสาม ก็ 15 แบบ
( A × B มีสมาชิกเป็นคูอ่ ันดับ) ดังนัน้ ได้ 15 × 15 × 15 ถูก
ดังนัน้ A ∩ (A × B) = ∅ เสมอ (10.3) คิดเช่นเดียวกับข้อ (10.2) คือ แต่ละตัวของ
(5.1) n(P(A)) = 24 , n(P(B)) = 23 โดเมน B จะมีได้ 23 − 1 = 7 แบบ
→ n(P(A) × P(B)) = 24 ⋅ 23 = 128 ถูก รวมกันทั้ง 4 ตัว เป็น 7 × 7 × 7 × 7 = 2,401 ถูก
(5.2) เนื่องจาก (A × B) ∩ (A × C) = A × (B ∩ C) (10.4) คิดเช่นเดิม
23 − 1 = 7 → 7 × 7 × 7 = 343 ถูก
n(A) = 30 n(B ∩ C) = 19 →
n[(A × B) ∩ (A × C)] = 30 × 19 = 570 ถูก (11.1) r1 ∩ r2 ได้จากการแก้ระบบสมการ
คือ (x, y) = (2, −1) เท่านั้น (เป็นจํานวนเต็มพอดี)
จึงตอบ r1 ∩ r2 = { (2, −1) }
→
2
> 0 → y > 1 ดังนั้น Rr = (1, ∞)
เป็นวงกลมที่มีจดุ ศูนย์กลางที่ (3, −2) รัศมี 4
y−1 หน่วย ดังนัน้ Dr = [−1, 7], Rr = [−6, 2]
(15.1) ก. x2 − x ≠ 0 → x(x − 1) ≠ 0 1 21
2(y − )2 −
→ Dr = R − {0, 1} (15.6) ก. x = 2 2 →
1 1
1 1 1 1 (y − )2 −
ข. 2
x −x = → x2 − x + = + 2 4
y 4 y 4
มอง (y-1/2) เป็นก้อนๆ หนึ่ง
1 y+4 y +4
→ (x − )2 = → >0 แล้วย้ายข้างแบบข้อ (13.4) จะได้
2 4y 4y
1 25x − 46 25x − 46
(y − )2 = → >0
เขียนเส้นจํานวน จะได้ Rr = R − (−4, 0] 2 4x − 8 4x − 8
(15.2) ก. x2 − 4x + 3 ≠ 0 → (x − 3)(x − 1) ≠ 0 46
เขียนเส้นจํานวนได้ Dr = R − ( , 2]
25
→ Dr = R − {1, 3}
2y2 − 2y − 11
1 1 ข. x = → (y − 3)(y + 2) ≠ 0
ข. x2 − 4x + 3 =
→ x2 − 4x + 4 = + 1 y2 − y − 6
y y
→ Rr = R − {3, −2}
y+1 y +1
→ (x − 2)2 = → >0
y y (16.1) ก. | x + 3 | − 4 ≠ 0 → x + 3 ≠ ±4
เขียนเส้นจํานวน จะได้ Rr = R − (−1, 0] → Dr = R − {−7, 1}
3 3
(15.3) ก. x + 1 > 0 → x > −1 , และ ข. | x + 3 |− 4 =
→ | x + 3 |= +4
y y
x ≠ 0 → Dr = (−1, ∞) − {0}
3 3 + 4y
x+1 x+1 → +4>0 → >0
ข. y = → y2 = → y y
x x2 3
ดังนัน้ Rr = R − (− , 0]
2 2 1± 1 + 4y2 4
x y −x−1= 0 → x = →
2y2 (16.2) ก. x ∈ R → Dr = R
1
2
1 + 4y > 0 → y > − 2
(เป็นจริงเสมอ) เนื่องจากไม่มีข้อจํากัดใดๆ สําหรับค่า x
4
∴ Rr = R
ข. y = |x + 2| − |x | → แยกช่วงย่อยคิด..
(15.4) ก. y2 − 2xy + 2x2 + x + 1 = 0
ถ้า x > 0 → y = | x + 2 − x | = 2
2x ± 4x2 − 8x2 − 4x − 4
ถ้า −2 < x < 0 → y = |x + 2 + x | = |2x + 2|
→ y =
2 ถ้า x < −2 → y = | −x − 2 + x | = 2
→ y = x ± −x2 − x − 1 จะได้กราฟดังภาพ
→ − x − x − 1 > 0 → x2 + x + 1 < 0
2 และ Rr = [0, 2]
2
แยกตัวประกอบไม่ออก แสดงว่าก้อนนี้เป็นบวกเสมอ
หรือทดลองจัดกําลังสองสมบูรณ์ก็ได้ ได้ผลดังนี้ -1
1 3
→ (x + )2 + < 0 เป็นไปไม่ได้ ∴ Dr = ∅
2 4 (16.3) กราฟสร้างจากพาราโบลา y = x2 − 4
ข. เนือ่ งจาก Dr = ∅ จะได้ Rr = ∅ ด้วย แต่วา่ มีค่าสัมบูรณ์
(15.5) ก. y2 = x2 + 2 → x2 + 2 > 0 → ทําให้ y > 0 เสมอ
x −1 x −1
x +2
กราฟด้านล่างทีค่ า่ y ติดลบ
> 0 เขียนเส้นจํานวนได้ จะถูกพลิกขึน้ ด้านบนให้เป็น
(x − 1)(x + 1)
Dr = [−2, −1) ∪ (1, ∞) ค่าบวก ดังภาพ
∴ Dr = R, Rr = [0, ∞)
หมายเหตุ x2 − 1 ≠ 0 รวมอยู่ในเส้นจํานวนแล้ว
(17.1) Rr−1 = Dr ⇒
ข. x2y2 − x − y2 − 2 = 0
2
x − 4 ≠ 0 → (x − 2)(x + 2) ≠ 0
1± 1 + 4y4 + 8y2
→ x = ดังนัน้ Rr = R − {2, −2}
2y2 −1
4 2
→ 1 + 4y + 8y > 0 เป็นจริงเสมอ (17.2) x2 − 4 ≠ 0, x2 − 4 > 0
ดังนัน้ Rr = R ดังนัน้ x2 − 4 > 0 → Rr = R − [−2, 2]
−1
(17.3) Rr = R − {2} −1
1
(26.3) พื้นที่ = × (π × 22) 2
4
= π ตร.หน่วย
(31.3) ถูก (31.4) ผิด
1
(26.4) (32) พื้นที่ = 4( × 1 × 2)
2 2
4 = 4 ตร.หน่วย
r1 r2 = r1−1
4 1
→ g(x) =
1
; x ≠ 1 (49.6) จาก y = x กลายเป็น
x −1 2x − 1
(46) f(x)2 + f(x) + 2 = x2 − x + 2 y
x = → 2xy − x = y
1 1 2y − 1
→ [f(x) + ]2 = [x − ]2 x 1
2 2 → y = ;x ≠
→ f(x) = x − 1 หรือ f(x) = −x 2x − 1 2
1 1
2
1 5
ดังนัน้ ตอบ 1 + 7 = 7 1
43 43
→ f −1(2) = ; g( ) = +1=
2 2 4 4 (62.2) f −1(1) หาจาก x +1= 1→ x = 0
5 15 −1
h(2) = 2 + 1 = 3 → ได้คาํ ตอบ ⋅3 = → f (1) = 2(0) + 3 = 3
4 4
(60.1) f(x) + g(x) = 2x + 1 และ หา (fg)(3) = f(3) ⋅ g(3)
f(x) − g(x) = 3 − 4x
หาแล้วจากข้อแรก คือ 1 ⋅ 43 = 43
แก้ระบบสมการ จะได้
f(x) = 2 − x และ g(x) = 3x − 1
→ (fog)(x) = 2 − (3x − 1) = 3 − 3x
5
หา (fog)−1(−2) → ให้ 3 − 3x = −2 → x =
3
5
→ (fog)−1(−2) =
3
eÃ×èo§æ¶Á
หลักในการหาโดเมนและเรนจ์ของฟังก์ชัน fog..
สมมติวา่ f (x) = x2 + 6 และ g (x) = 3 − x 2 ต้องการหา Dfog
ไม่ควรคิดโดยหา fog ก่อนแล้วจึงหาโดเมนและเรนจ์ เพราะคําตอบที่ได้อาจผิด
ในตัวอย่างนี้ หากคิดโดยหา fog ก่อน จะเป็น
( )
2
(f D g)(x) = 3 − x2 +6 = 3 − x2 + 6 = 9 − x2
1
ตัวอย่าง กําหนดให้ f (x) = และ g (x) = 4 − x2 ให้หาเซต Dfog และ Rfog
1 − x2
1
เริ่มต้น เขียน (f D g)(x) = ก่อน
1 − g(x)2
ก. หาโดเมน; พิจารณาเงือ่ นไขรูท้ และเป็นตัวส่วน ดังนั้น 1 − g(x)2 > 0
แยกตัวประกอบแล้วเขียนเส้นจํานวน จะได้ −1 < g (x) < 1
จากนั้นจึงแทน x ลงไปได้วา่ −1 < 4 − x 2 < 1 → 0 < 4 − x 2 < 1 → 3 < x2 < 4
ดังนัน้ Dfog = [−2, − 3) ∪ ( 3, 2]
linear
º··Õè 6 ¡íÒ˹´¡ÒÃeªi§eʹ
กําหนดการเชิงเส้น (Linear Programming)
เป็นเทคนิคที่เริ่มใช้ในปี ค.ศ. 1947 ในช่วงที่
สหรัฐอเมริกากําลังประสบปัญหาทรัพยากรไม่เพียงพอ
และต้องหาวิธีจัดสรรให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด เทคนิค
การแก้ปัญหาแบบนี้นําไปใช้ในหลายด้าน เช่น การ
ผลิตสินค้าแต่ละประเภทด้วยวัตถุดิบที่มีให้ได้กําไรสูง
ที่สุด การขนส่งให้สิ้นเปลืองน้อยที่สุด การหาปริมาณ
วัตถุผสมให้ได้ส่วนประกอบตามต้องการโดยเสีย
ค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด การมอบหมายงานให้แต่ละกลุ่ม
เพื่อให้งานสําเร็จในเวลาน้อยที่สดุ ฯลฯ
ข้อสังเกต
1. ฟังก์ชันที่ต้องการค่าสูงสุดมักให้ชื่อเป็น P (Profit), ค่าต่ําสุดเป็น C (Cost)
2. ในทุกสถานการณ์ นอกจากข้อจํากัดที่โจทย์ให้มาแล้ว มักจะต้องเพิ่มอสมการ x > 0, y > 0
ด้วยเสมอ (คือ ค่า x และ y โดยส่วนมากไม่สามารถเป็นค่าลบได้)
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 149 กําหนดการเชิงเสน
หมายเหตุ
1. การแก้ปัญหาด้วยกําหนดการเชิงเส้น นอกจากใช้หาค่าสูงสุดของฟังก์ชันจุดประสงค์แล้ว ยังใช้กับ
หาค่าต่ําสุดได้เช่นกัน โดยจุดคําตอบจะเป็นหนึ่งในบรรดาจุดยอดมุม ที่ทําให้ค่าฟังก์ชันน้อยกว่าจุดอื่น
2. การที่คําตอบทุกข้อจะเป็นหนึ่งในจุดยอดมุมเสมอ ก็เพราะฟังก์ชันจุดประสงค์ Z = a x + b y มี
ลักษณะเป็นสมการเส้นตรง (ความชัน –a/b) ที่แปรเปลี่ยนระดับความสูงไปตามค่า Z ดังภาพ จะ
เห็นว่าค่าสูงสุดหรือต่ําสุดของ Z ย่อมเกิดที่จุดยอดมุมสุดท้าย ก่อนเส้นตรงเส้นนี้จะหลุดออกนอก
บริเวณที่แรเงา (ดูภาพในหน้าถัดไปประกอบ)
y y
3. ในตัวอย่างข้อนี้หากเปลี่ยนตัวเลขเป็น S e¾ièÁeµiÁ! S
ค่าโดยสารที่นั่งละ 8,000 บาท จะทําให้ ËÅa§¨Ò¡ÅÒ¡eʹµÃ§æµÅaeʹæÅÇ eʹµÃ§¨a溧ÃÙ»oo¡e»¹Êo§Êǹ ... eÃÒ
ฟังก์ชันจุดประสงค์เปลี่ยนเป็น ¾i¨ÒóÒÇÒ¨aæÃe§Òã¹Êǹã´ä´ËÅÒÂÇi¸Õ eª¹
Z = 8000 x + 100 y (ความชันเปลี่ยน) (1) ·´Åo§¹íÒ¨u´ã´¡çä´ã¹ºÃiedz˹Öè§ä»æ·¹ã¹oÊÁ¡Òà ¶Ò¾ºÇÒoÊÁ¡ÒÃ
ซึ่งจุดยอดมุมที่ทําให้เกิดค่ามากที่สุด e»¹¨Ãi§¡ç¨aæÃe§ÒÊǹ¹aé¹ ¶Òe»¹e·ç¨¡çãËæÃe§Òã¹oÕ¡Êǹ·ÕèeËÅ×o
กลายเป็นจุด (15,375) ก็จะไม่มีปัญหา (2) ãªÇi¸ÕÁo§Åa´ ¤×o¶Ò x > .. æÃe§Ò´Ò¹¢ÇÒ, ¶Òe»¹ x < .. æÃe§Ò´Ò¹«ÒÂ
เรื่องค่า x เป็นทศนิยม ËÃ×o´Ù·èÕ y ¡çä´ ¶Òe»¹ y > .. æÃe§Ò´Ò¹º¹, ¶Òe»¹ y < .. æÃe§Ò´Ò¹ÅÒ§
** æµËÒÁ´ÙµaÇæ»Ã·ÕèÊaÁ»ÃaÊi·¸iìµi´Åº¹a¤Ãaº! (e¾ÃÒa¼Å¨a¡Åaº´Ò¹¡a¹)
แบบฝึกหัด
(1) จงเขียนกราฟแสดงบริเวณที่เป็นคําตอบของระบบอสมการแต่ละข้อ พร้อมทั้งหาจุดยอดมุมที่
เกิดขึ้นทั้งหมดด้วย
x+y < 4 x+y < 4
(1.1) 3x −2y < 6 (1.2) 2x−y < 4
x > 0, y > 0 x > 0, y > 0
3x+y < 6
x−y < 1
S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
(1.5) x+y < 4 ÊíÒËÃaºº·¹ÕéËÒ¡ÁÕ¡ÃÒ¿eʹµÃ§ÁÒ¡¡ÇÒ 2 eʹæÅÇ ¤ÇÃe¢Õ¹
x > 0, y > 0 ¡ÃÒ¿ãËã¡Åe¤Õ§Êa´Êǹ¨Ãi§ÁÒ¡·ÕèÊu´ e¾×èoäÁãËÊaºÊ¹ÇÒ¨u´
Âo´ÁuÁ¢o§¾×é¹·ÕèæÃe§Ò¹aé¹ e¡i´¨Ò¡eʹ㴵a´¡aºeʹ㴺ҧ..
(2) สําหรับข้อ (2.1) ถึง (2.3) ให้หาค่า P ทีส่ ูงที่สุด หรือค่า C ที่ต่ําที่สุด
และสําหรับข้อ (2.4) ถึง (2.8) ให้หาทั้งค่าสูงสุดและต่ําสุดของฟังก์ชันจุดประสงค์
P = 5x+3y C = 2x+3y
2 x + 5 y < 300 x+y > 4
(2.1) x + y < 90 (2.2) [พื้นฐานวิศวะ’37] 5 x + 2.5 y < 25
0 < x < 70 0 < x < 5
y > 0 0 < y < 5
P = 2x+3y
Z = 3x+2y
2 x + 3 y < 30
2 x + 3 y < 12
(2.3) y−x < 5 (2.4) 2x+y < 8
x+y > 5
x > 0, y > 0
x > 10, y > 0
Z = 20 x + 30 y Z = 40 x + 35 y
4 x + 2 y > 100 3 x + 5 y > 62
(2.5) 2x + 4 y > 140
(2.6) 5 x + y > 30
x < 60, y < 40 x > 0, y > 0
Z = x −2y + 4 Z = 8x +5y
x+y < 4 3x+y > 6
(2.7) x + 2 y > −2 (2.8) x +5y > 8
x − y > −2 x+y > 4
x < 3 x > 0, y > 0
(3) บริเวณที่แรเงาเป็นกราฟของระบบอสมการใด
(3.1) y (3.2) y
x+y=3 15
x-y=2 5
x x
O O 4 8
(3.3) y
450
400
x
O 600 1200
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1.1) (0,0), (0,4), (2,0), (14/5,6/5) (4) ลิ้นจี่ 120 กระป๋อง, สับปะรด 360 กระป๋อง
(1.2) (0,0), (0,4), (2,0), (8/3,4/3) (5) จาน 48 ใบ, ชาม 84 ใบ
(1.3) (0,2), (0,3), (4,0), (6,0) (6) ชนิดทีห่ นึ่ง 8 ชิ้น, ชนิดทีส่ อง 5 ชิน้
(1.4) (2,1), (4,2), (2,-10/3), (4,-20/3) (7) สินค้า x 6 ชิ้น, สินค้า y 3 ชิ้น
(1.5) (0,0), (0,4), (1,0), (1,3), (7/4,3/4) (8) รุ่น A 80 เครื่อง, รุ่น B 120 เครือ่ ง,
(2.1) 410 (2.2) 8 (2.3) 30 กําไร 56,000 บาท
(2.4) 13, 0 (2.5) 2400, 1100 (9) ผลิตเตียง 10 หลังโดยไม่ผลิตตู้เลย
(2.6) หาค่าไม่ได้, 434 (2.7) 12, -1 (10) ยี่หอ้ A 8 ตู,้ ยี่ห้อ B 3 ตู,้ เก็บได้ 100 ลบ.ฟุต
(2.8) หาค่าไม่ได้, 23 (11) คนแรก 2 ช.ม., คนที่สอง 3 ช.ม.
(3.1) x − y < 2 , x + y < 3 , x > 0 , y > 0 (12) 220 บาท (ชนิดที่ 1 สองถุง ชนิดที่ 2 สามถุง)
(3.2) 5x + 8y < 40 , 15x + 4y < 60 , (13) เหมืองแรก 36 วัน เหมืองที่สอง 22 วัน
หรือ เหมืองแรก 34 วัน เหมืองที่สอง 24 วัน ก็ได้
x>0, y>0
(14) 5 : 14
(3.3) 3x + 4y < 1800 , x + 3y < 1200 ,
x>0, y>0
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
y y
(1.1) (1.2)
4 3x-2y=6 4 2x-y=4
(14/5,6/5) (8/3,4/3)
x x
O 2 4 x+y=4 O 2 4 x+y=4
(1.3) y (2.4) y
Zmax = 13 ทีจ่ ุด (3, 2)
3
Zmin = 0 ทีจ่ ุด (0, 0)
4 (3,2)
2 2x+4y=12
x
O 4 6 x
x+2y=4
O 4
y (2.5) y Zmax = 2,400 ที่จดุ (60, 40)
(1.4) x=2 x=4 x-2y=0 Zmin = 1,100 ที่จดุ (10, 30)
(2,1) (4,2) (5,40) (60,40)
x
O
(2,-10/3) (10,30) (60,5)
(4,-20/3) x
5x+3y=0 O 4
(2.6) y Zmax หาค่าไม่ได้
(1.5) y
62
Zmin = 434 ทีจ ่ ุด (0, )
5
6 x-y=1 (0,62/5)
4 (1,3)
(7/4,3/4) (4,10) x
x O (30,0)
O 12 4 x+y=4
3x+y=6 (2.7) y
(2.1) y Zmax = 12 ทีจ่ ุด (3, −2.5)
Pmax เกิดที่ (70, 20) Zmin = −1 ที่จดุ (1, 3)
90 (1,3)
60 (50,40) (-2,0) (3,1)
Pmax = 5(70) + 3(20)
= 410 x
(70,20) O
x 4 (3,-2.5)
O 70 90 150 y
(2.8)
y Zmax หาค่าไม่ได้
(2.2) (0,6) Zmin = 23 ที่จดุ (1, 3)
Cmin เกิดที่ (4, 0) (2.5,5)
5 (1,3)
Cmin = 2(4) + 3(0) (3,1) (8,0) x
= 8 4 O
x
O 4 5 (3.1) x + y < 3, x − y < 2,
x > 0, y > 0
(2.3) y
10 (3.2) ต้องสร้างสมการเส้นตรงด้วย intercept form
Pmax เกิดที่ (10, )
3
( x + y = 1 ) ก่อน.. ได้เป็น
10 a b
10 x y
Pmax = 2(10) + 3( ) 5 + = 1 → 15x + 4y < 60 ,
3 (10,10/3) 4 15
= 30 x x y
O 5 10 15 + = 1 → 5x + 8y < 40
8 5
x > 0, y > 0
x
O 600 (80,120)
Pmax = 3,000 ที่จดุ (120, 360) (80,100) (100,100)
ตอบ ลิ้นจี่ 120 กระป๋อง สับปะรด 360 กระป๋อง x
(5) P = x + 1.2y O
2x + y < 180 (นาที) Pmax = 56,000 ที่จดุ (80, 120)
x + 3y < 300 (นาที)
ตอบ รุน่ A 80 เครื่อง รุ่น B 120 เครื่อง
x > 0, y > 0 y และกําไร 56,000 บาท
(9) P = 500x + 400y
15x + 5y < 60
100 (48,84) 12x + 4y < 40 y
x > 0, y > 0
x
O 90 10
Pmax = 148.80 ที่จดุ (48, 84)
ตอบ จาน 48 ใบ ชาม 84 ใบ x
(6) P = 30x + 25y O 40/12
10x + 25y < 250 Pmax = 4,000 ที่จดุ (0, 10)
20x + 20y < 260
y ตอบ ผลิตเตียง 10 หลัง โดยไม่ผลิตตู้
10x + 4y < 100
(10) P = 8x + 12y
x > 0, y > 0
400x + 800y < 5, 600
(5,8) 6x + 8y < 72
10 x > 0, y > 0
y
(8,5)
x
O 10
7 (8,3)
Pmax = 365 ที่จดุ (8, 5)
ตอบ ชนิดที่หนึ่ง 8 ชิ้น ชนิดทีส่ อง 5 ชิ้น x
O 12
Pmax = 100 ที่จดุ (8, 3)
ตอบ ยีห่ อ้ A 8 ตู้ ยี่หอ้ B 3 ตู้
และจุได้ 100 ลบ.ฟุต
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 156 กําหนดการเชิงเสน
(0,28/17)
(5/17,14/17)
(25/51,28/51) x
O (25/17,0)
5 14
Cmin = 86 ที่จดุ ( , )
17 17
ตอบ 5 : 14
π = rˆig + θn
º··Õè 7 ¿§¡ª¹a µÃÕo¡³Áiµi
ตรีโกณมิติ (Trigonometry) เป็นวิชาที่
เกี่ยวกับการวัดส่วนประกอบของรูปสามเหลีย่ ม เช่น
ความยาวด้าน, ขนาดของมุม, และขนาดพื้นที่ โดยมี
ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องอยู่ 6 ฟังก์ชัน เรียกว่า ฟังก์ชัน
ตรีโกณมิติ (Trigonometric Function) ได้แก่
ฟังก์ชันไซน์ (Sine; sin) โคไซน์ (Cosine; cos)
แทนเจนต์ (Tangent; tan) โคแทนเจนต์
(Cotangent; cot) ซีแคนต์ (Secant; sec) และโคซี
แคนต์ (Cosecant; cosec หรือ csc)
แต่ละฟังก์ชันมีโดเมนเป็นขนาดของมุม θ และค่าเรนจ์ที่ได้ออกมานั้นเป็นจํานวนจริง ซึ่งจะ
พบว่า หาก 0° < θ < 90° แล้ว ค่าฟังก์ชันทีไ่ ด้คือ “อัตราส่วนระหว่าง 2 ด้านในรูปสามเหลี่ยมมุม
ฉาก ที่มุมหนึ่งมีขนาดเท่ากับ θ”
a 1 c
sin θ = cosec θ = =
c sin θ a
b 1 c
cos θ = sec θ = = c a
c cos θ b
sin θ a 1 cos θ b
tan θ = = cot θ = = =
cos θ b tan θ sin θ a θ
b
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 158 ฟงกชันตรีโกณมิติ
ค่าของฟังก์ชันตรีโกณมิติที่ควรทราบ
θ 0° 30° 45° 60° 90°
sin θ 0 1/2 1/ 2 3 /2 1
cos θ 1 3 /2 1/ 2 1/2 0
tan θ 0 1/ 3 1 3 หาค่าไม่ได้
7.1 ฟังก์ชันตรีโกณมิติในวงกลมหนึ่งหน่วย
จากความสัมพันธ์ที่ว่า sin 2 θ + cos 2 θ = 1 เสมอ (ทุกๆ ค่า θ ) ถ้าให้ sin θ , cos θ
เป็นแกน x, y แล้ว จะได้กราฟเป็นรูปวงกลมรัศมี 1 หน่วย โดยมีข้อตกลงที่ใช้เป็นมาตรฐาน คือให้
“แกน x เป็น cos θ และแกน y เป็น sin θ ” กําหนดแบบนี้ก็เพื่อให้ θ เป็นมุมที่ทํากับแกน x
โดยเริ่มวัดเป็น 0° ในแนว +x และเพิ่มขึ้นในทิศทวนเข็มนาฬิกา เรียงไปตามลําดับควอดรันต์
(คือเป็น 90° ในทิศ +y, เป็น 180° ในทิศ –x, ...) พอดี
y
90° (0,1)
sin 45° = 1/ 2
120° 60° ( 1 , 3 )
cos 60° = 1/2 3 /2 2 2
1
sin 90° = 1
1 3
(− , ) 2 /2 45 °( , 1 )
2 2
2 2 3 1
cos 90° = 0 1/2 30° ( , )
2 2
sin 120° = 3 /2
cos 120° = −1/2 0° (1,0)
180° θ
sin 180° = 0
1 2 3
x
(-1,0) O
cos 180° = −1 2 2 2
sin 225° = −1/ 2
cos 225° = −1/ 2
225°
sin 300° = − 3 /2 1
cos 300° = 1/2
(− ,− 1 ) 300° ( 1 , − 3
)
2 2 2 2
270° (0,-1)
หมายเหตุ 1° (องศา; degree) แบ่งเป็น 60 ' (ลิปดา; minute)
ข้อสังเกต
จากกราฟวงกลมนี้ทําให้เราได้ทราบว่า
1. sin θ , cos θ มีค่าได้ตั้งแต่ –1 ถึง 1 เท่านั้น
2. sin (−θ) = − sin θ ... เพราะ θ, −θ จะอยู่เหนือแกนและใต้แกนตรงข้ามกันเสมอ
และ cos (−θ) = cos θ ... เพราะ θ, −θ จะอยู่ซ้ายหรือขวาเท่าๆ กันเสมอ
ดังนั้น tan (−θ) = − tan θ ... ได้จากการนํา sin (−θ) หารด้วย cos (−θ)
แบบฝึกหัด 7.1
(1) ให้หาค่าของ
(1.1) sin x + sin 2x + sin 4x เมื่อ x = 60°
(1.2) cos 4x − cos 3x + cos x เมื่อ x = 120°
(4) จงเขียนให้อยู่ในรูปอย่างง่าย
1 1 1 1
(4.1) 2
+ + +
1 + sin θ 1 + cos 2θ 1 + sec 2θ 1 + cosec 2θ
(4.2) 2 (sin 6 x + cos 6 x) − 3 (sin 4 x + cos 4 x) + 1
[Hint: กระจาย (sin 2x + cos 2x)3 และ (sin 2x + cos 2x)2 ก่อน]
(5) ถ้า sin θ − cos θ = a แล้ว sin θ cos θ มีค่าเท่าใด
(6) ถ้า (sin θ − cos θ)2 = a2 แล้ว cosec θ − sec θ มีค่าเท่าใด
(7) ถ้า ABC เป็นสามเหลี่ยมมุมฉากซึ่งมี A เป็นมุมฉาก และ tan B = 3/4 แล้ว ให้หาค่าของ
sec C cot B cosec A
(10) ถ้า sin θ = 0.7310 และ 0 < θ < 90° ให้หาค่า θ นั้น
(ตารางระบุค่า cos 43° = 0.7314 และ cos 43° 10 ' = 0.7294 )
การลดรูปขนาดมุม
หากขนาดของมุมที่จะหาค่าฟังก์ชันตรีโกณมิตินั้น มี nπ หรือ nπ/2 ไปบวกลบอยู่ เช่น
sin(2π−θ) , cos (π+θ) , sin(π /2−θ) , ฯลฯ เราสามารถกําจัดค่าคงที่เหล่านี้ทิ้งได้ ให้เหลือเพียงมุม
แบบฝึกหัด 7.2
(11) วงกลมวงหนึ่งมีรัศมี 24 ซม. ให้หาความยาวส่วนโค้งที่รองรับมุมที่จุดศูนย์กลางขนาด
(11.1) 2/3 เรเดียน
(11.2) 130°
(12) มุมที่จุดศูนย์กลางวงกลมที่รัศมียาว 4 ซม. และส่วนโค้งรองรับมุมนี้ยาว 8 ซม. จะมีขนาดเป็น
กี่เรเดียน
(13) ให้หารัศมีวงกลมซึ่งมุมที่จุดศูนย์กลางมีขนาด 5 เรเดียน และส่วนโค้งที่รองรับมุมนี้ ยาว 20
นิ้ว
(14) สามเหลี่ยมหน้าจั่วมีมุมยอด 22.5° บรรจุอยู่ในวงกลม โดยจุดยอดอยู่ที่จุดศูนย์กลางของ
วงกลม ถ้าส่วนโค้งของวงกลมที่ถูกแบ่งด้วยฐานของสามเหลี่ยม ยาว 4 ซม. ให้หาความยาวรัศมีของ
วงกลมนี้
2π 4π 5π
sin − cos − tan
(15) ให้หาค่าของ 3 3 3
cos
π + tan
3π
+ sin
7π
3 4 6
(17) ตอบคําถามต่อไปนี้
(17.1) เมื่อ 0 < θ < π/2 ค่าของ θ กับ sin θ ค่าใดมากกว่ากัน
(17.2) ถ้า θ มากขึ้นจาก π/2 ไปสู่ π แล้ว ค่า cosec θ เป็นอย่างไร
(18) ประโยคใดจริงหรือเท็จบ้าง
(18.1) sin 1° > sin 1 (18.4) sin(− π /6) < 0
(19) ให้หาค่าของ
sin(2π−θ) tan(π−θ) cot (3π −θ)
(19.1)
cot (2π+θ) tan(π +θ)
7.3 สมการตรีโกณมิติ
หลักในการแก้สมการที่เป็นฟังก์ชันตรีโกณมิติ เช่น 4 sin 2x + 11 cos x − 1 = 0 หรือ
2
2ta n θ − sec θ = 1 โดยรวมเป็นดังนี้
ขั้นแรก ถ้าในสมการ มีฟังก์ชันอื่นๆ ที่ไม่ใช่ sin กับ cos ให้แปลงเป็น sin กับ cos ก่อน
ขั้นที่สอง เมื่อได้สมการที่มีเพียง sin กับ cos แล้ว
- หากเหลือแค่ sin หรือ cos อย่างใดอย่างหนึ่ง สามารถแยกตัวประกอบต่อได้ทันที
- แต่ถ้าเหลือทั้ง sin และ cos ปนกัน ... ให้ใช้เอกลักษณ์ sin 2 θ + cos 2 θ = 1 มาเป็นสมการช่วย
มองเป็นระบบ 2 สมการ 2 ตัวแปร (คือตัวแปร sin กับ cos) จึงจะหาคําตอบต่อได้ และต้องตรวจ
คําตอบเสมอ เพราะมีการยกกําลังสองเกิดขึ้นอาจทําให้ได้คําตอบเกิน
2
นํา sin x คูณทั้งสองขางของสมการ ไดเปน 2 − 2 sin x = 2 cos x ________ (1)
2 2
เนื่องจากมีทั้ง sin และ cos เราจึงอาศัยเอกลักษณ sin θ + cos θ = 1 ______ (2)
2 2
โดยแทนคา sin θ = 1 − cos θ ลงไปในสมการแรก
2 2
กลายเปน 2 − 2(1 − cos x) = 2 cos x → 2 cos x − 2 cos x = 0
แยกตัวประกอบ ... ( 2 cos x) ( 2 cos x − 1) = 0 ... นัน่ คือ cos x = 0, 1/ 2
หมายเหตุ เนื่องจากในโจทยมีตวั สวนเปน sin x แตในคําตอบไมมีคาใดที่ทําให sin x = 0
ดังนั้นจึงตรวจสอบคําตอบ (เนื่องจากมีการยกกําลังสองเอง) พบวาใชไดทั้งสองคําตอบ
S ¡ÒÃæ¡ÊÁ¡ÒõÃÕo¡³ÁiµiÁÕ¢o¤ÇÃÃaÇa§´a§¹Õé
1. ¡Ò÷ÃÒº¤Ò¿§¡ªa¹¤Ò˹Öè§ eª¹ ·ÃÒºÇÒ sin θ = 1/2 ¨aÂa§äÁÊÒÁÒöÊÃu»ä´·a¹·ÕÇÒ θ oÂÙµÒí æ˹§ã´ e¾ÃÒa¨aÁÕ
Êo§¤íÒµoºoÂÙ㹤¹Åa¤Ço´Ãa¹µeÊÁo (eª¹ã¹¡Ã³Õ¹éÕ θ oÒ¨e»¹µíÒæ˹§ 30° ËÃ×o 150° ) ´a§¹aé¹eÃÒµo§·ÃÒº
e¾ièÁeµiÁ´ÇÂÇÒ ¤Ò θ ¹ÕéoÂÙ㹤Ço´Ãa¹µã´
o´Â»¡µieÃÒÊÒÁÒö·ÃÒº¤Ço´Ãa¹µä´¨Ò¡e¤Ã×èo§ËÁÒ¢o§¤Ò¿§¡ªa¹o×è¹ eª¹¶Ò·ÃÒºe¾ièÁÇÒ cos θ > 0 ¡ç
æÊ´§ÇÒe»¹¤Ço´Ãa¹µ 1 ¤×o 30° 浶ҷÃÒºÇÒ cos θ < 0 ¡çµo§e»¹
¤Ço´Ãa¹µ 2 ¤×o 150°
æ¼¹ÀÒ¾µo仹Õée»¹¡ÒÃÊÃu»e¤Ã×èo§ËÁÒ e¾×èo¤ÇÒÁÊa´Ç¡ã¹¡ÒÃËÒ¤íÒµoº
Q1 e»¹ºÇ¡·a§é 6 ¤Ò
sin + ALL + Q2 ÁÕe©¾Òa sin æÅa cosec ·Õèe»¹ºÇ¡
Q3 ÁÕe©¾Òa tan æÅa cot ·Õèe»¹ºÇ¡
tan + cos +
Q4 ÁÕe©¾Òa cos æÅa sec ·Õèe»¹ºÇ¡
แบบฝึกหัด 7.3
(24) เมื่อ cos θ = 4/5 และ 0 < θ < π/2 แล้ว ให้หาค่าของ 5 tan θ + 4 sec 2θ
(25) เมื่อ sin θ = −3/5 และ tan θ > 0 ให้หาค่าของ tan θ − cos θ
(26) เมื่อ tan θ = 15/8 และ π < θ < 3π /2 ให้หาค่าของ sin θ + cos θ
(27) เมื่อ sin x = 5/13 และ cos x < 0 ให้หาค่าของ sin (x − π) + cos (x − π)
sin θ − cos θ
(28) กําหนดให้ sec θ = 5/3 และ 0 < θ < π แล้ว ให้หาค่าของ
tan θ − csc θ
sin 2 x cos 2 x
(34) เมื่อ 2 sin x = sec x ให้หาค่าของ 1− −
1 + cot x 1 + tan x
(35) เมื่อ sin θ + cos θ = 1/5 และ 0 < θ < π ให้หาค่าของ tan θ
(36) เมื่อ 2 tan 2θ − sec θ = 1 และ 0 < θ < π/2 แล้ว ให้หาค่าของ sec θ
(38) [Ent’36] กําหนดให้ 4 sin 2θ + 11 cos θ − 1 = 0 แล้ว cot 2(θ+ π/2) + sec (θ− 3π) มีค่าเท่าใด
(39) ให้หาค่า x จากสมการ cos 22x + 3 sin 2x − 3 = 0
(41) [Ent’25] ค่าของ 0 < θ < 2π ที่ทําให้ sin θ + cos θ < 0 จะอยู่ในช่วงใด
⎡ 2 sin x 2 sin2x ⎤
(42) [Ent’35] สําหรับจํานวนจริง x ใดๆ ให้ Ax เป็นเมตริกซ์ซึ่ง Ax = ⎢ 2 ⎥
⎣⎢ 2 cos x cos x ⎦⎥
ถามว่า S = {x | −2π < x < 2π และ Ax เป็นซิงกูลาร์เมตริกซ์ } มีจํานวนสมาชิกกี่ตัว
(43) จงหาผลบวกคําตอบทั้งหมดของสมการ x3 − 9x2 + 23x − 15 = 0 เมื่อเอกภพสัมพัทธ์
U = { x ∈ A | cos (−x) > − cos x } และ A = [0, 2π]
7.4 กราฟของฟังก์ชันตรีโกณมิติ
• การศึกษาเรื่องกราฟของฟังก์ชันตรีโกณมิติ โดยเฉพาะฟังก์ชัน sin และ cos จะเป็นประโยชน์ใน
การศึกษาเรื่องอื่นๆ ได้ เช่น คลื่น, เสียง, การเคลื่อนที่แบบเป็นคาบ (การแกว่ง), ไฟฟ้ากระแสสลับ
y = sin x
Dsin = R
1 Rsin = [−1, 1]
period = 2π
x
O π 2π amplitude = 1
-1
y = cos x
1 Dcos = R
x Rcos = [−1, 1]
O π 2π period = 2π
-1 amplitude = 1
y = tan x
1
Dtan = R − {π /2 ± nπ}
x Rtan = R
O π 2π
period = π
-1
y = cosec x
1
Dcosec = R − {±nπ}
x Rcosec = R − (−1, 1)
O π 2π period = 2π
-1
y = sec x
1
Dsec = R − {π /2 ± nπ}
x Rsec = R − (−1, 1)
O π 2π
period = 2π
-1
y = cot x
Dcot = R − {±nπ}
Rcot = R
1
period = π
x
O π 2π
-1
แบบฝึกหัด 7.4
(45) ให้ A = (−π /2, 0) ∪ (0, π /2) ฟังก์ชันใดต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันลด บนเซต A
ก. sin x ข. cos x ค. cosec x ง. sec x
(46) กราฟของ y = sin x และ y = cos x เมื่อ 0 < x < 2π ตัดกันกี่จุด และจุดใดบ้าง
สูตรชุดที่หนึ่ง .. สูตรเบื้องต้น
เราสามารถพิสูจน์สูตรหลัก คือ cos (α−β) = cos α cos β + sin α sin β ก่อน
(วิธีพิสูจน์ไม่ได้แสดงไว้ในที่นี้) และจากนั้นถ้าแทน β ด้วย −β จะได้สูตร cos (α+β)
รวมทั้งได้สูตร sin (α+β) กับ sin (α−β) จาก sin (α+β) = cos (90° − (α+β))
(1) cos (α+β) = cos α cos β − sin α sin β
⎧tan (α+β) = tan α + tan β
(2) cos (α−β) = cos α cos β + sin α sin β ⎪⎪ 1 − tan α tan β
⎨
(3) sin (α+β) = sin α cos β + cos α sin β ⎪tan (α−β) = tan α − tan β
(4) sin (α−β) = sin α cos β − cos α sin β ⎩⎪ 1 + tan α tan β
สูตรชุดที่สอง .. สูตรผลคูณ
เกิดจากสมการที่ (1) บวกลบกับ (2) … และสมการที่ (3) บวกลบกับ (4)
(5) 2 cos α cos β = cos (α+β) + cos (α−β) ... จาก (1)+(2)
(6) −2 sin α sin β = cos (α+β) − cos (α−β) ... จาก (1)-(2)
(7) 2 sin α cos β = sin (α+β) + sin (α−β) ... จาก (3)+(4)
(8) 2 cos α sin β = sin (α+β) − sin (α−β) ... จาก (3)-(4)
A +B A −B
(11) sin A + sin B = 2 sin ( ) cos ( ) ... จาก (7)
2 2
A +B A −B
(12) sin A − sin B = 2 cos ( ) sin ( ) ... จาก (8)
2 2
แบบฝึกหัด 7.5
(47) ให้หาค่าของ sin (75°) , cos (5π /12) , และ tan (π /12)
(48) กําหนด cot A = 2.4 โดย A ∈ (π, 3π/2) และ sin B = 0.6 โดย B ∈ (π /2, π)
(48.1) cos (A +B) และ sin (A +B) มีค่าเท่าใด
(48.2) มุม A +B อยู่ในควอดรันต์ใด
(49) จงหา cos A เมื่อ sin (A +B) = 1/5 , cos (A −B) = 2/5 และ sin B = 3/5
(53) ให้หาค่าของ
(53.1) sin 2A + sin 2(60°+ A) + sin 2(60°− A)
(53.2) [Ent’20] cos 2A + cos 2(60°+ A) + cos 2(60°− A)
(54) ให้หาค่าของ
(54.1) cos 10° + sin 40°
sin 70°
sin 75° − sin 15°
(54.2)
cos 75° + cos 15°
tan 178° − tan 108°
(54.3) เมื่อ tan 10° = B
1 + tan 178° tan 108°
⎛ cot A ⎞ ⎛ cot B ⎞
(54.4) ⎜⎜ ⎟⎟ ⎜⎜ ⎟⎟ เมื่อ A +B = 225°
⎝ 1+ cot A ⎠ ⎝ 1+ cot B ⎠
sin 3θ cos 3θ
(54.5) −
sin θ cos θ
(55) ให้หาค่าของ
(55.1) sin 50° + sin 10° − cos 20°
(55.2) sin 10° + cos 40° − cos 20°
(55.3) cos 20° + cos 100° + cos 140°
(55.4) cos 10° + cos 20° + cos 40° + cos 50°
sin 10° + sin 20° + sin 40° + sin 50°
(57) ให้หาค่าของ
(57.1) cos π cos 3π [Hint: นํา 2 sin
π คูณเศษและส่วน]
5 5 5
(57.2) cos π + cos
3π
5 5
(57.3) π
cos cos
2π
cos
4π
7 7 7
5π π
(57.4) sin cos
24 24
(57.5) [Ent’33] 8 sin 70° sin 50° sin 10°
(59) กําหนด 4 sin 2A + 3 cos 2B = −2 และ sin 2A sec A = sin B เมื่อ A, B ∈ [0, π /2] ให้หา
ค่าของ 2 cos (A +B)
(60) [Ent’38] ถ้า 3 cos 2A − 2 cos 2B = −3 และ sin A − 2 sin B = 0 เมื่อ A, B ∈ [0, π /2]
แล้ว ให้หาค่าของ sin (A +B)
(61) [Ent’37] กําหนด sin 3θ + sin θ = 1 − 4 sin3θ จงหาค่าของ sec 2θ + cos (3π /2 + θ)
3 − 4 3 3 + 4 3
(62) [Ent’38] ถ้า cos (α+β) = และ cos (α−β) = แล้ว
10 10
จงหาค่า sin 2α sin 2β
sin 2x
(63) ถ้า tan x = 2 แล้ว จงหาค่า
1 + cos 2x
(64) จงหาค่า sin 4θ เมื่อ tan θ = 1/3 และ 0 < θ < π/2
5 +1
(65) ถ้า cos A = จงหา sin(A +B) − sin(A −B) + sin(2A −B) − sin(2A +B)
4
(66) ข้อใดต่อไปนี้ผิด
ก. cos (x + y) + cos (x − y) = 2 cos x cos y
ข. sin(x + y) sin(x − y) = sin2x − sin2y
ค. cos (x + y) cos (x − y) = cos 2x − sin 2y
ง. cos 5x cos x + sin 5x sin x = cos 6x
7.6 ฟังก์ชันผกผันของตรีโกณมิติ
ฟังก์ชันตรีโกณมิติทั้งหกฟังก์ชนั (เช่น y = sin x ) สามารถหาอินเวอร์สได้โดยสลับที่
ระหว่างโดเมนและเรนจ์ตามปกติ (กลายเป็น x = sin y ) แต่อินเวอร์สที่ได้เหล่านี้ไม่เป็นฟังก์ชันเลย
เนื่องจาก x ค่าเดียว ให้ค่า y ได้หลายค่าไม่สิ้นสุด ดังนั้นหากจะกําหนดอินเวอร์สให้เป็นฟังก์ชันด้วย
เราจําเป็นต้องจํากัดช่วงของเรนจ์ และเราเรียกชื่อฟังก์ชันผกผันเหล่านี้โดยใช้คําว่า arc นําหน้า (เช่น
อินเวอร์สของ y = sin x คือ y = arcsin x ) หรือบางตําราใช้สัญลักษณ์ sin-1 x , cos-1 x , tan-1 x ,
… แทนคําว่า arc–
π
π/2
-1 1 -1 1
O x = sin y O x
−π/2
−π
1 0 = cos ∞
π/2 π/2
0 = sin -1 1 0 = tan
π 0
−π/2 −π/2 −∞
-1
ข้อสังเกต
ฟังก์ชัน arcsin (กับ arctan) จะอยู่ในช่วงที่ cos เป็นบวกเสมอ
ส่วนฟังก์ชัน arccos จะอยู่ในช่วงที่ sin เป็นบวกเสมอ
ความสัมพันธ์ที่มีประโยชน์ในเรื่องฟังก์ชันตรีโกณมิติผกผัน คือ
x + y
arctan x + arctan y = arctan
1 − xy
ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้จากการใส่ฟังก์ชัน tan ทั้งสองข้างของสมการ
โดยความสัมพันธ์นี้ใช้ได้เมื่อ arctan x + arctan y ยังอยู่ในช่วง (−π/2, π/2)
แบบฝึกหัด 7.6
(67) ให้หาค่าของ arcsin ( 3 /2) และ arccos (−1/2)
(70) ให้หาค่าของ
(70.1) cos (arccos (4/5) + arccos (12/13))
(70.2) sin (arccos (3/5) + arcsin (−4/5))
(70.3) cos (2 arcsin (3/5))
(70.4) [Ent’39] tan (2 arcsin (−1/ 5))
(71) ให้หาค่าของ sin(
π + 2 arctan( 2 − 1))
2
และ cos (3π /2 − 2 arctan x)
7.7 เอกลักษณ์ตรีโกณมิติ
สมการใดๆ ที่มีฟังก์ชันตรีโกณมิติปรากฏอยู่ จะเรียกว่า สมการตรีโกณมิติ การแก้สมการ
ตรีโกณมิตินั้นมีข้อควรระวัง ซึ่งได้กล่าวไปแล้วทั้งหมดในหัวข้อ 7.3 และหากสมการตรีโกณมิตินั้น
เป็นจริงเสมอสําหรับทุกๆ ค่า (ที่หาค่าฟังก์ชันได้) จะเรียกว่าเป็น เอกลักษณ์ของตรีโกณมิติ
cos (α+β) = cos α cos β − sin α sin β , 2 cos α cos β = cos (α+β) + cos (α−β) ,
sin (2α) = 2 sin α cos α ฯลฯ
ซึ่งนอกจากนี้ยังมีเอกลักษณ์อีกมากมาย ดังจะได้ฝึกพิสูจน์เอกลักษณ์ในแบบฝึกหัดต่อไปนี้
แบบฝึกหัด 7.7
(79) ให้หาคําตอบของสมการต่อไปนี้ ภายในช่วงที่กําหนดให้
1 1
(79.1) − = 4 0 < x < 2π
sin x + 1 sin x − 1
(79.2) sin 4θ + sin 2θ = 2 cos θ 0 < θ < 2π
(79.3) 2 sin 2θ + 3 cot 2θ − 3 cosec 2θ = 0 0 < θ < π/2
(80) ให้หาช่วงคําตอบของอสมการต่อไปนี้
(80.1) [Ent’38] 2 sin4x + 3 sin2x − 2 > 0 0 < x < 2π
(80.2) 3 sin x + cos x < 1 0 < x < 2π
(82) จงแสดงว่าเอกลักษณ์ต่อไปนี้เป็นจริง
(82.1) tan (90° − A) = cot A
(82.2) 1 − cos x = tan2 x
1 + cos x 2
sin x + sin y x + y
(82.3) = tan
cos x + cos y 2
(82.4) tan2x − sin2x = tan2x sin2x
2
⎛ A A⎞
(82.5) ⎜ cos − sin ⎟ = 1 − sin A
⎝ 2 2⎠
sin A + sin B C
(83) ถ้า A, B, C เป็นมุมในรูปสามเหลี่ยม จงแสดงว่า = cot
cos A + cos B 2
7.8 กฎของไซน์และกฎของโคไซน์
กฎของไซน์ และกฎของโคไซน์ เป็นความสัมพันธ์ที่ใช้กับรูปสามเหลี่ยมใดๆ ที่ทราบบาง
ส่วนประกอบ (ความยาวด้าน และขนาดมุม) เพื่อหาค่าของส่วนประกอบที่เหลือ มีประโยชน์กับ
การศึกษาเรขาคณิตวิเคราะห์ และเวกเตอร์
1. กฎของไซน์ (Law of Sine)
B “อัตราส่วนของค่าไซน์ของมุมๆ หนึ่ง ต่อความยาวด้าน
ตรงข้าม จะเท่ากันทั้งสามมุม”
c sin A sin B sin C
a = =
a b c
โดยกฎของไซน์นี้พิสูจน์มาจาก พื้นที่สามเหลี่ยม
A ( 1 bc sin A = 1 ca sin B = 1 ab sin C )
b 2 2 2
C
2. กฎของโคไซน์ (Law of Cosine)
“เราสามารถหาความยาวด้านที่เหลือ ได้จากความยาวด้านสองด้านและขนาดมุมตรงกลาง”
a 2 = b 2+ c 2− 2bc cos A
(ถ้ามุมตรงกลางนั้นเป็น A = 90° กฎนี้จะกลายเป็นทฤษฎีบทปีทาโกรัส)
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 173 ฟงกชันตรีโกณมิติ
แบบฝึกหัด 7.8
(84) กําหนดสามเหลี่ยม ABC มีด้าน a ยาว 10 หน่วย, b ยาว 10 3 หน่วย และ c ยาว 10
หน่วย ให้หาขนาดมุมทั้งสาม
(85) ΔABC มีด้าน a = 2 5, b = 4 5 และ c = 3 5 ให้หาค่า sin (B/2)
7.9 การประยุกต์หาระยะทางและความสูง
ในชีวิตจริงการวัดระยะทางหรือความสูงของสิ่งต่างๆ ไม่สามารถใช้เครื่องมือวัดโดยตรงได้
เสมอไป เราจึงใช้ความรู้เรื่องตรีโกณมิติในรูปสามเหลี่ยมมุมฉากช่วยในการคํานวณ
ศัพท์ที่ใช้เรียกมุมที่เกิดจากการสังเกตนั้น คือ มุมก้ม (Angle of Depression) และ มุม
เงย (Angle of Elevation) โดยมุมก้มคือมุมที่วัดลงไปจากแนวราบ (ระดับสายตา) ส่วนมุมเงยคือ
มุมที่วัดขึ้นจากแนวราบ
แบบฝึกหัด 7.9
(96) ชายคนหนึ่งอยู่ริมเขื่อนซึ่งสูงเหนือระดับน้ําทะเล 300 เมตร มองเห็นเรือ A กับ B อยู่ใน
ระนาบเดียวกัน เป็นมุมก้ม 33° และ 20° ตามลําดับ เรือสองลํานี้อยู่ห่างกันเท่าใด
(กําหนด sin 33° = 0.5446, cos 33° = 0.8387, sin 20° = 0.3430, cos 20° = 0.9397 )
(97) หากมองจากจุด A ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของตึก จะเห็นยอดตึกเป็นมุมเงย 45° แต่หากมองจากจุด
B ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของจุด A อีก 40 เมตร จะเห็นยอดตึกเป็นมุมเงย 30° แสดงว่าความสูง
ของตึกเป็นกี่เมตร
* (98) สามเหลี่ยมมุมฉาก PQR และ PQS ซ้อนทับกันโดยมีมุม Q เป็นมุมฉากร่วมกัน และ
QR : RS = 1 : 3 ให้หาค่า tan SPQˆ ˆ = arctan 0.6
เมื่อกําหนด SPR
[Hint: ใช้ความสัมพันธ์ arctan x ± arctan y ]
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1.1) 3 /2 (1.2) –2 (33) 1/2 (34) 1/2 (56) 1 − 2 sin 25°
(2.1) 7/5 (2.2) 7/5 หรือ –1 (35) –4/3 (36) 3/2 (57.1) –1/4 (57.2) 1/2
(3.1) 1 (3.2) 1/2 (4.1) 2 (37) −(1 + 3 15)/4 (38) 19 (57.3) –1/8
(4.2) 0 (5) (1−a )/2 2 (39) π /4 ± nπ (57.4) ( 2 + 1)/4
(6) ±2a/(1 − a 2) (7) 20/9 (40) [π/ 4, 3π/ 4] ∪ [5π / 4, 7π / 4] (57.5) 1 (58) 4 (59) –1
(8) 4/5, 3/5, 13.33, 10.67 (41) [3π/4, 7π/4] (42) 9 (60) 1 (61) 39/28
(9) 8 3 ตารางหน่วย (62) 12 3 /25 (63) 2
(43) 1+5=6 (44) ค. (45) ค. (64) 24/25 (65) sin B
(10) 46°58 ' (11.1) 16 ซม. (46) 2 จุด คือ
(11.2) 52π/3 ซม. (π/4, 1/ 2),(5π /4, −1/ 2)
(66) ง. (67) 60° , 120°
(12) 2 เรเดียน (13) 4 นิ้ว (68) 7π/12 (69) 0
(47) ( 3 + 1) / 2 2 ,
(14) 32/ π ซม. (70.1) 33/65 (70.2) 0
( 3 − 1) / 2 2 , ( 3 − 1) /( 3 + 1)
(15) −(3 3 + 1)/2 (16) 0 (70.3) 7/25 (70.4) –4/3
(48.1) 63/65, –16/65 (71) 1/ 2 , −2x/(1+ x 2)
(17.1) θ (48.2) Q4 (49) 5/7
(17.2) เพิ่มขึ้นจาก 1 ถึง ∞ (72) π/4 (73) 9−4 2
(50) ±1 (51.1) 1/2 (74) π/4 (75) ...
(18) เท็จทุกข้อ ยกเว้น (18.4) จริง (51.2) 1/2 (51.3) 0
(19.1) − sin θ (19.2) 2 (51.4) 1/2 (51.5) 0 (76.1) 7/25 (76.2) -1, 4
(20) 1/2 (21) 1 (51.6) 1/ 2 (52.1) 0 (76.3) 3 (76.4) 1/2, –1
(22.1) เป็น 3 เมื่อ x = π/2, 3π/2 (52.2) 0 (53.1) 3/2 (76.5) 1 (76.6) ± 2
(22.2) เป็น –3 เมื่อ x = π (76.7) ไม่มีคาํ ตอบ (77) 1
(53.2) 3/2 (54.1) 3 (78) −3 3 /2
(23) {0, − 3 /2} (24) 10 (54.2) 1/ 3
(25) 31/20 (26) –23/17 (79.1) π/ 4, 3π/ 4, 5π/ 4, 7π/ 4
(54.3) ( 3 +B) /(1− 3B)
(27) 7/13 (28) 12/5 (79.2) π/6, π/2, 5π/6, 3π/2
(54.4) 1/2 (54.5) 2
(29) –1/3 (30.1) π/6, 11π/6 (55.1) 0 (55.2) 0 (79.3) π/6 (79.4) 0, π, 2π
(30.2) π/ 12, 11π/ 12, 13π / 12, 23π / 12 (55.3) 0 (55.4) 3 (79.5) π/4
(31) 4/5 (32) 15/17 (79.6) 2π/ 3, 5π/ 4, 4π/ 3, 7π/ 4
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1.1) sin 60° + sin 120° + sin 240° 1 1
(4.1) จาก +
3 3 3 3 1 + sin θ 1 + cosec2 θ
2
= + + (− )=
2 2 2 2 1 sin2 θ 1 + sin2 θ
= 2
+ 2
= = 1
(1.2) cos 480° − cos 360° + cos 120° 1 + sin θ sin θ + 1 1 + sin2 θ
= cos 120° − cos 0° + cos 120° 1 1
และเช่นเดียวกัน +
1 1 1 + cos2 θ 1 + sec2 θ
= (− ) − 1 + (− ) = −2
2 2 1 cos2 θ 1 + cos2 θ
y = 2
+ 2
= = 1
(2.1) 1 + cos θ cos θ + 1 1 + cos2 θ
(4,3) sin θ + cos θ ∴ ตอบ 2
5 4 3 7
4 = + = (4.2) ให้ A = sin2 x และ B = cos2 x
5 5 5
θ x จะได้วา่ A + B = 1
3 โจทย์ถาม 2(A3 + B3) − 3(A2 + B2) + 1
ลองกระจาย (A + B)3 = 13
(2.2) แก้ระบบสมการ หาจุดตัดของเส้นตรง
→ A3 + 3A2B + 3AB2 + B3 = 1
y = 2x − 1 กับวงกลม x2 + y2 = 1 จะได้เป็น
→ A3 + B3 = 1 − 3AB2 ..... (1)
x2 + (2x − 1)2 = 1 →
4 และกระจาย (A + B) = 1
2 2
5x2 − 4x = 0 → x = 0 หรือ →
5 → A + 2AB + B2 = 1
2
1 π
(35) cos θ = − sin θ ..... (1) ∴ sin 2x = 1 → 2x = ± 2nπ
5 2
แต่cos2 θ + sin2 θ = 1 ..... (2) π
→ x = ± nπ
1 4
∴ ( − sin θ)2 + sin2 θ = 1
5 (40) 2 sin4 x + 3 sin2 x − 2 > 0 →
→ 25 sin2 θ − 5 sin θ + 12 = 0 (2 sin2 x − 1)(sin2 x + 2) > 0
(5 sin θ − 4)(5 sin θ + 3) = 0 ซึ่งพบว่า sin2 x + 2 มากกว่า 0 เสมออยู่แล้ว
4
sin θ = หรือ − 3 ดังนัน้ 2 sin2 x − 1 > 0 → sin2 x > 1
5 5 2
4
โจทย์กาํ หนด 0 < θ < π ดังนัน้ sin θ =
5 sin x = 1 / 2
3 4
จาก (1) ได้ cos θ = − ตอบ tan θ = −
5 3
sin x = − 1 / 2
(36) แทนค่า tan2 θ ด้วย sec2 θ − 1
(เอกลักษณ์) จะได้ 2(sec2 θ − 1) − sec θ = 1
→ 2 sec2 θ − sec θ − 3 = 0
ตอบ [ π , 3π ] ∪ [5π , 7π ]
4 4 4 4
(2 sec θ − 3)(sec θ + 1) = 0 (41) sin θ + cos θ < 0 คือ y+x<0
sec θ =
3
หรือ −1 ตอบ 3 (ควอดรันต์ที่ 1) งนัน้ จากภาพ
ดั
2 2
ตอบ [ 3π , 7π ]
(37) แทน sin2 x ด้วย 1 − cos2 x (เอกลักษณ์) 4 4
→ 4(1 − cos2 x) + 11 cos x − 1 = 0 →
y+x=0
4 cos2 x − 11 cos x − 3 = 0 →
(4 cos x + 1)(cos x − 3) = 0 → (42) Ax เป็นซิงกูลาร์เมตริกซ์
1 แสดงว่า det(Ax) = 0
cos x = − หรือ 3
4
→ 2 sin x cos x − 2 2 sin2 x cos2 x = 0
1
แต่ cos x = 3 เป็นไปไม่ได้ ∴ cos x = − → 2 sin x cos x (1 − 2 sin x cos x) = 0
4
โจทย์ให้หาค่า sin(−x) + cos(−x) + tan(−x) → sin x = 0 หรือ cos x = 0
= − sin x + cos x − tan x 1
หรือ sin x cos x = → แก้สมการ
15 1 2
= −(− ) + (− ) − ( 15) 1
4 4 sin x cos x = ต่อ
2
1 + 3 15
= − ... พบว่าไม่มีคําตอบ
4
(หาค่า sin x โดย − 1− cos2 x ..ติดลบเพราะ Q3 ) งนัน้ ค่า x ในช่วง
ดั sin x = 0
[−2π, 2π] มี 9 ตัวดังภาพ
1
(38) จากข้อ 37 พบว่า cos θ = − → cos x = 0
4 3 2
π (43) x − 9x + 23x − 15 = 0
โจทย์ถาม cot2(θ + ) + sec(θ − 3π) → → (x − 1)(x − 3)(x − 5) = 0
2
π x = 1 หรือ 3 หรือ 5
cos2(θ + )
2 − sec(θ − π) แต่ U = {x | cos(−x) > − cos x}
π
sin2(θ + )
2 หรือ cos x > − cos x → 2 cos x > 0
sin2 θ 15 / 16 → cos x > 0 (Q1, Q4)
= + (− sec θ) = + 4 = 19 1
cos2 θ 1 / 16
(39) (1 − sin 2x) + 3 sin 2x − 3 = 0
2 3
พบว่า cos 1 > 0 ,
→ sin2 2x − 3 sin 2x + 2 = 0 → cos 3 < 0 , cos 5 > 0
(sin 2x − 2)(sin 2x − 1) = 0 → ดังนัน้ ตอบ 1+5 = 6 5
sin 2x = 2 หรือ 1 [sin 2x = 2 เป็นไปไม่ได้ ]
= sin 45° cos 30° + cos 45° sin 30° จะได้ (1) sin A + 3 cos A = 1
4
5 5 5
1 3 1 1 3 +1 3 4 2
= ⋅
2 2
+ ⋅ =
2 2 2 2
และ (2) sin A + cos A =
5 5 5
5π π π 5
cos = cos( + ) แก้ระบบสมการได้ cos A = ... ตอบ
12 4 6 7
π π π π 5π
= cos cos − sin sin (50) tan A = 1 → tan( − B) = 1
4 6 4 6 4
1 3 1 1 3 −1 5π
= ⋅ − ⋅ = tan − tan B
2 2 2 2 2 2 4 1 − tan B
→ = 1→ = 1
5π 1 + tan B
π π 1 + tan tan B
tan − tan 4
π π π 4 6
tan = tan( − )= ∴ tan B = 0 → ถ้า 0 < B < π
12 4 6 π π
1 + tan tan
4 6 แสดงว่า B = 0 หรือ π ก็ได้ ...
1 จึงตอบ cos B = 1 หรือ −1
1−
3 = 3 −1
=
1
(51.1) 2 cos 75° cos 75°
1+ 3 +1
= cos(75° + 15°) + cos(75° − 15°)
3
1
12 = cos 90° + cos 60° =
(48) จาก cot A = 2.4 = และ A ∈ Q3 2
5
5 12 (51.2) 2 sin 25° cos 5° − sin 20°
จะได้ sin A = −, cos A = −
13 13 1
= (sin 30° + sin 20°) − sin 20° =
จาก sin B = 0.6 = 3 และ B ∈ Q2 2
5 (51.3) 2[sin 90° + sin 60°] + 2[cos 180° + cos 150°]
4
จะได้ cos B = − 3 3
5 = 2[1 + ] + 2[−1 − ] = 0
2 2
(48.1) cos(A + B) = cos A cos B − sin A sin B
1 1
12 4 5 3 63 (51.4) [sin 150°+ sin 66°] + [sin 150°+ sin(−66°)]
= (− )(− ) − (− )( ) = 2 2
13 5 13 5 65 = sin 150° = 1 / 2
sin(A + B) = sin A cos B + cos A sin B
หรือมองเป็นสูตร sin A cos B + cos A sin B
5 4 12 3 16 = sin(A + B) = sin 150° = 1 / 2
= (− )(− ) + (− )( ) = −
13 5 13 5 65
3−4 3 3 π
(62) cos α cos β − sin α sin β = (67) arcsin( )=
10 2 3
..... (1) และ 1 2π
arccos(− ) =
3+4 3 2 3
cos α cos β + sin α sin β = ..... (2)
10 π π 7π
(68) 2(− )+ + π=
(1) + (2) 3 3 4 12
→ cos α cos β =
2 10 2π 2π
(69) cos(arcsin(cos )+ )
(2) − (1) 4 3 7 7
→ sin α sin β =
2 10 2π
π 2π π
= cos(( )+− ) = cos = 0
∴ sin 2α sin 2β = 4 sin α cos α sin β cos β 2
7 7 2
3 4 3
= 4( )( )=
12 3 (70.1) ให้ A = arccos 4 จะได้ cos A = 4
5 5
10 10 25
3
sin 2x 2 sin x cos x และ sin A =
(63) = 5
1 + cos 2x 1 + 2 cos2 x − 1
sin x ให้ B = arccos 12 จะได้ cos B = 12 และ
= = tan x = 2 13 13
cos x 5
sin B =
(64) tan θ = 1 → แสดงว่า sin θ = 1 13
3 10
3
[ sin ของ arccos เป็นบวกเสมอ]
และ cos θ = (เพราะ θ อยู่ใน Q1 ) โจทย์ถาม cos(A + B)
10
∴ sin 4θ = 2 sin 2θ cos 2θ = cos A cos B − sin A sin B
2 4 12 3 5 33
= 2(2 sin θ cos θ)(1 − 2 sin θ) = ⋅ − ⋅ =
5 13 5 13 65
1 3 2 96 24
= 2(2)( )( )(1 − ) = = 3 4
10 10 10 100 25 (70.2) ให้ A = arccos และ B = arcsin(− )
5 5
(65) [sin(A + B) − sin(A − B)]
โจทย์ถาม sin(A + B)
− [sin(2A + B) − sin(2A − B)]
= sin A cos B + cos A sin B
= 2 cos A sin B − 2 cos 2A sin B 4 3 3 4
= 2 sin B (cos A − cos 2A) = ⋅ + ⋅ (− ) = 0
5 5 5 5
5 +1 5 + 12 [ cos ของ arcsin ก็เป็นบวกเสมอเช่นกัน]
= 2 sin B ( − 2( ) + 1)
4 4 (70.3) cos(2A) = 1 − 2 sin2 A
5 +1 3+ 5 = 1 − 2 (9/25) = 7 / 25
= 2 sin B ( − + 1) = sin B
4 4
2 tan A 2 (−1 / 2) 4
(66) ก. ถูก (ตรงตามสูตรชุดทีส่ อง) (70.4) tan(2A) = = = −
1 − tan2 A 1 − 1/ 4 3
ข. −2 sin(x + y) sin(x − y) 1 2
−2 [หมายเหตุ sin A = − , cos A =
cos 2x − cos 2y 5 5
= 1
−2 ∴ tan A = − ]
2
1 − 2 sin2 x − 1 + 2 sin2 y
= π
−2 (71) ก. sin( + 2A)
2 2
2
= sin x − sin y ถูก π π
= sin cos 2A + cos sin 2A = cos 2A
ค. 2 cos(x + y) cos(x − y) 2 2
2 = 2 cos2 A − 1 → หาค่า cos A โดยที่
cos 2x + cos 2y
= tan A = 2 −1 ก่อน ...
2
2 cos2 x − 1 + 1 − 2 sin2 y แก้ระบบสมการ sin A = ( 2 − 1) cos A
= 1
2 กับ sin2 A + cos2 A = 1 ได้ cos2 A =
2
= cos x − sin y2
ถูก 4−2 2
1 2 −1 1
ง. ผิด เพราะต้องได้ cos(5x − x) = cos 4x ∴ ตอบ 2( )− 1 = =
4−2 2 2− 2 2
3π arctan จะได้
วิธีท2ี่ ใช้สูตร
ข. cos( − 2A)
2 5 16 3
3π 3π arctan + arctan = arctan
= cos cos 2A + sin sin 2A = − sin 2A 12 63 4
2 2 5 / 12 + 16 / 63 3
→ arctan = arctan
= −2 sin A cos A → หาค่า sin A กับ cos A 5 ⋅ 16 4
1−
โดยที่ tan A = x ... ได้เป็น 12 ⋅ 63
3 3
x 1 → arctan = arctan ..OK..
sin A = , cos A = 4 4
1 + x2 1 + x2
(76) การแก้สมการในข้อนี้ ส่วนมากทําได้ 2 วิธี
ดังนัน้ ตอบ −2x2 (เช่นเดียวกับข้อที่แล้ว) คือ 1. ใส่ฟังก์ชัน sin, cos,
1+ x
1 1 หรือ tan ทั้งสองข้าง กับ 2. ใช้สูตร arctan
(72) A + B = arctan + 2 arcsin
7 10 แต่บางกรณีจะทําเป็น arctan ไม่ได้ คือ เมื่อเป็น
แปลงเป็น arctan เพื่อใช้สูตร ได้เป็น arccos (-) [เพราะนิยามไว้คนละควอดรันต์กัน]
1 1 ...ในข้อ (76.1) จะแสดงไว้ทั้งสองวิธี แต่หลังจากนั้น
arctan + 2 arctan
7 3 จะเลือกแสดงเพียงวิธที ี่สนั้ กว่าเพียงวิธีเดียวเท่านัน้ ..
1 2/3
= arctan + arctan
7 1 − 1/ 9 (76.1) วิธที ี่ 1 cos(arccos 4 − arcsin(− 3)) = x
5 5
1 3 4 4 3 3 7
= arctan + arctan → ⋅ + ⋅ (− ) = x → x =
7 4 5 5 5 5 25
1/ 7 + 3 / 4 π 3 3
= arctan = arctan 1 = วิธีที่ 2 arctan
− arctan(− ) = arccos x
1 − 3 / 28 4 4 4
1 8 3/4 + 3/4
(73) sin A = → cos A = − → arctan = arccos x
3 3 1 − 9 / 16
1 24 7
(ติดลบ เพราะ A อยู่ใน Q2 ) → tan A = − arctan = arccos x → x =
8 7 25
π x2 7 4
tan + tan A (76.2) − x = tan(arcsin + arccos )
π 4
และ 7 tan( + A) = 7 ⋅ 3 25 5
4 π
1 − tan tan A x2 7 / 24 + 3 / 4 4
4 → −x = =
3 1 − 7 / 32 3
1 − 1/ 8 8 −1 7( 8 − 1)2
= 7⋅ = 7( )= → x2 − 3x − 4 = 0 → (x − 4)(x + 1) = 0
1 + 1/ 8 8 +1 7
→ x = 4, − 1
= 9−4 2
1 1 1 1/ 7 + 1/ 8 1
(74) A + B + C = arctan+ arctan + arctan (76.3) arctan + arctan = arccot x
2 5 8 1 − 1 / 56 18
1/ 2 + 1/ 5 1 3 1
= arctan + arctan → arctan + arctan = arccot x
1 − 1 / 10 8 11 18
7 1 7 / 9 + 1/ 8 3 / 11 + 1 / 18
= arctan + arctan = arctan → arctan = arccot x
9 8 1 − 7 / 72 1 − 1 / 66
π 1
= arctan 1 = → arctan = arccot x → x = 3
4 3
sin ทั้งสองข้าง จะได้
(75) วิธีที่1 ใส่ (76.4) arctan 2x + 1 + 22x − 1 = arccos 1
1 − (4x − 1) 5
12 16 3
sin(arccos + arcsin )= 2x 1
13 65 5 → arctan = arccos
5 63 12 16 3 1 − 2x2 5
→ ⋅ + ⋅ = 2x 1
13 65 13 65 5 → = 2 (เพราะ arccos = arctan 2 )
315 + 192 3 3 3 1 − 2x2 5
→ = → = ..OK.. 1
13 ⋅ 65 5 5 5 → แก้สมการได้ x = , − 1
2
π 3π
(76.5) arctan x + 2( ) =
4 4
π
→ arctan x = → x = 1
4
(79.8) 2 sin2 x + sin x + 1 = 2 2 sin2 x + sin x (82.1) [โคฟังก์ชัน] อาจพิสจู น์จากสูตร tan(α − β)
ให้ 2 sin2 x + sin x = A จะได้วา่ คือ tan(90° − A) = tan 90° − tan A
1 + tan 90° tan A
A + 1 = 2 A → A2 + 2A + 1 = 4A
2
→ A − 2A + 1 = 0 → A = 1
[ tan 90° = ∞ จึงต้องนําไปหารทั้งเศษและส่วน]
tan A
1−
∴ 2 sin2 x + sin x = 1 tan 90° 1−0
= = = cot A
→ (2 sin x − 1)(sin x + 1) = 0 1 0 + tan A
+ tan A
1 π 5π 3π tan 90°
→ sin x = หรือ −1 → x = , ,
2 6 6 2 (82.2) จาก cos 2A = 1 − 2 sin2 A
1 − cos 2A
(79.9) ใช้ผลทีค่ ิดไว้ในข้อ (61) คือ → sin2 A = ..... (1)
2
sin 3x = 3 sin x − 4 sin3 x ดังนั้นโจทย์กลายเป็น
sin x − 2 sin x cos x + 3 sin x − 4 sin3 x = 0
และ cos 2A = 2 cos2 A − 1
1 + cos A
→ 2 sin x (2 − cos x − 2 sin2 x) = 0 → cos2 A = ..... (2)
2
→ 2 sin x (2 − cos x − 2(1 − cos2 x)) = 0 (1) 1 − cos 2A
; tan2 A =
→ 2 sin x (− cos x + 2 cos2 x) = 0 (2) 1 + cos 2A
→ 2 sin x (cos x)(2 cos x − 1) = 0 ถ้าให้ A = x จะได้ tan2 x = 1 − cos x
2 2 1 + cos x
1
→ sin x = 0 หรือ cos x = 0 หรือ cos x = (82.3) จาก
2
x+y x +y
π π 3π 5π (1) sin x + sin y= 2 sin( ) cos( )
∴ x = 0, , , π, , , 2π 2 2
3 2 2 3
(80.1) (2 sin2 x − 1)(sin2 x + 2) > 0 → และ (2) cos x + cos y = 2 cos(x + y) cos(x + y)
2 2
1 1
sin2 x > → sin x > หรือ sin x < − 1 (1)
;
sin x + sin y
= tan(
x+ y
)
2 2 2 (2) cos x + cos y 2
(82.4) จาก 1 − cos2 x = sin2 x
sin x = 1 / 2
นํา tan2 x คูณสองข้าง
→ tan2 x − sin2 x = tan2 x sin2 x
sin x = − 1 / 2
(82.5) (cos A − sin A)2
2 2
ตอบ [ π , 3π ] ∪ [5π , 7π ] = cos2 A A
− 2 sin cos
A
+ sin2
A
4 4 4 4
2 2 2 2
3 1 1
(80.2) sin x + cos x < = 1 − sin A
2 2 2
π π 1 (83) ผลจากข้อ (82.3) จะได้วา่
→ cos sin x + sin cos x < sin A + sin B A+B
6 6 2 = tan( )
π 1 cos A + cos B 2
→ sin(x + )<
6 2 แต่A + B = 180° − C
180° − C C
∴ จะได้เป็น tan( ) = tan(90° − )
2 2
π 5π 13π 2π C
→ x+ ∈( , ) ตอบ x ∈( , 2π) = cot [โคฟังก์ชัน]
6 6 6 3 2
(81) 1 − 2 sin2 θ = sin θ (84) ใช้กฎของ cos หามุม A ก่อน ...
→ (2 sin θ − 1)(sin θ + 1) = 0 102 = (10 3)2 + 102 − 2(10 3)(10) cos A
1 3
→ sin θ = หรือ −1 → cos A = ∴ A = 30°
2 2
π 2π จากนั้นอาจใช้กฎของ cos หามุม B, C
ตอบ ± n
6 3 หรือจะใช้กฎของ sin ก็ได้ แต่จากการสังเกตพบว่า
เมื่อ n คือจํานวนเต็ม ΔABC เป็นสามเหลี่ยมหน้าจัว่ (เพราะ a = c )
ดังนัน้ c = 30° ด้วย
และ B = 180° − 30° − 30° = 120°
(85) 2 2 2
(4 5) = (2 5) + (3 5) − 2(2 5)(3 5) cos B (94) (x2 + xy + y2) = x2 + y2 − 2xy cos A
1 1
→ cos B = − (แสดงว่า B อยูใ่ น Q2 ) จะได้ cos A = − คือเป็นสามเหลี่ยมมุมป้าน
4 2
B (95) x = 3202 + 3802 − 2(320)(380)(0.788)
จาก cos B = 1 − 2 sin2
2
= 234.86 ไมล์ 320
B 5 B 5 x
∴ sin2 = → sin =
2 8 2 8
38°
B
(เป็นบวกเท่านั้น เพราะ ต้องอยูใ่ น Q1 ) (96) 380
2
h
(86) ให้ a = 4x, b = 5x, c = 6x จะได้ว่า = tan A → x = h cot A
x A B
(4x)2 = (5x)2 + (6x)2 − 2(5x)(6x) cos A h
3 = tan B → y = h cot B
→ cos A = ... y h
4 ∴ y − x = h (cot B − cot A)
และด้วยวิธเี ดียวกันได้ cos B = 9 , cos C = 1 ดังนัน้ เรืออยู่หา่ งกัน
A B
16 8 x
32 1 0.9397 0.8387
2
พบว่า 2 cos A − 1 = 2( ) − 1 = = cos C = 300 ( − ) y
4 8 0.3430 0.5446
→ ∴ C = 2A = 359.9 เมตร
(87) b
2 2 2
= 4 + 8 − 2(4)(8)(0.422) = 52.992 (97) h = tan 45° → AC = h cot 45°
AC
→ b = 7.28
h
sin C 0.454 = tan 30° → BC = h cot 30°
(88) กฎของ sin → = ดังนัน้ BC h
15 12
sin C = 0.5675 → C ≈ 34.6° หรือ 145.4° A 45°
sin B sin 45° 3 40 30° C
(89) = → sin B =
2 3 2 2 2 แต่ AC2 + 402 = BC2 B N
ดังนัน้ B = 60° → C = 75° ∴ h2 cot2 45° + 402 = h2 cot2 30°
หรือ B = 120° → C = 15° 40
→ h =
sin C sin 30° 3 cot2 30° − cot2 45°
(90) = → sin C = 40
150 50 3 2 = = 20 2 เมตร
ดังนัน้ C = 60 → A = 90° สามเหลีย่ มมุมฉาก 3−1
e logar
xp+
n ตัว
1
นิยามให้ a0 = 1 , a−n = (โดยที่ a ≠ 0)
an
และ a 1/ n = n
a
ทฤษฎีบทที่เกี่ยวกับเลขยกกําลังได้แก่
⎧ am ⋅ an = am + n ⎧⎪ (ab)n = an ⋅ bn
⎪ • ⎨
• ⎨ a m n n n
= am − n ⎪⎩ (a/b) = a / b
⎪
⎩ an ⎧ n ab = n a ⋅ n b
⎧ (am)n = amn ⎪⎪
⎪ • ⎨ a n a
• ⎨ m =
⎪ n
⎪
⎩
n am = a n ⎪⎩ b n b
หมายเหตุ
1/ 2
คําว่า รากที่สอง กับเครื่องหมาย กรณฑ์ (radical : • หรือ • ) มีความหมายต่างกัน
“รากที่สอง ของ 16 ” ได้แก่ 4 และ –4
แต่ “ 16 หรือ 16 1/ 2 ” มีค่าเท่ากับ 4 อย่างเดียวเท่านั้น
การหารากที่สองของ M± N
พิจารณา ( a + b) = (a+b) + 2 ab และ ( a − b)2 = (a+b) − 2 ab
2
การแก้สมการที่มีเครื่องหมายกรณฑ์
(1) สมการที่มี ax +b บวกลบกันอยูห่ ลายพจน์ ควรย้ายข้างให้จํานวนพจน์เท่าๆ กัน และ
สัมประสิทธิ์หน้า x รวมเท่าๆ กันที่สุด จากนั้นจึงยกกําลังทั้งสองข้างไปจนกว่าเครื่องหมายกรณฑ์จะ
หมดไป ... การยกกําลังเช่นนี้ มักทําให้ได้คําตอบเกิน ดังนั้นต้องตรวจคําตอบเสมอ
(2) หากสิ่งที่อยู่ในเครื่องหมายกรณฑ์นั้นยาวมาก ให้สมมติสิ่งนั้นเป็นตัวแปร A ไปก่อน แล้วทําตัว
แปรที่เหลือในสมการให้อยู่ในรูป A ทั้งหมด เพื่อให้สมการสั้นลงและคํานวณสะดวกขึ้น
• ตัวอยาง ใหหาเซตคําตอบของสมการตอไปนี้
ก. x + 1 = 4x + 9
2 2
วิธีคิด ยกกําลังสองทั้งสองขาง จะได x + 2x + 1 = 4x + 9 → x − 2x − 8 = 0
แยกตัวประกอบไดเปน (x − 4)(x + 2) = 0 ... ดังนัน้ คําตอบนาจะเปน 4, − 2
แตเมื่อลองแทนคาแลวพบวา 4 ทําใหสมการเปนจริง แต −2 ใชไมได ... ดังนัน้ ตอบ {4}
2 2
ข. x − 7 + x − 12 = 5
ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล คือฟังก์ชันเลขยกกําลัง
กําหนดรูปทั่วไปเป็น f (x) = a x โดยค่าของฐาน a อยู่ในช่วง (0, 1) หรือ (1, ∞) เท่านั้น
นํามาเขียนกราฟได้ดังนี้
y y
(0,1) (0,1)
O x x
O
y = a x, a>1 y = a x, 0<a<1
ฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด
ข้อสังเกต
1. ค่า x เป็นอะไรก็ได้ แต่ค่า y เป็นบวกเสมอ ... Dexp = R , Rexp = R+
2. ในที่นี้กราฟผ่านจุด (0, 1) เสมอ ... เนื่องจาก a0 = 1 ทุกๆ ค่า a ที่ไม่ใช่ศูนย์
3. จากการเลื่อนแกนทางขนาน จะได้สมการเอกซ์โพเนนเชียลเป็น y −k = a x − h
แบบฝึกหัด 8.1
(1) จงทําให้เป็นรูปอย่างง่าย
1
7 − 17 ⎛ 729n + 812n ⎞ n
(1.1) 32 ⋅ 4 (1.4) ⎜ n ⎟
⎝ 27 + 243n ⎠
⎛ 4 n ⋅ 9 n + 1 + 3 2n ⋅ 2 2n + 1 ⎞
(1.2) (x −3y −2z0)−2 (1.5) ⎜⎜ n 2n + 2 ⎟
⎝9 ⋅ 2 + 4 n ⋅ 3 2n + 1 ⎟⎠
⎛ 4x −2 − 4x −1 + 1 ⎞
(1.3) ⎜⎜ −2 −1 ⎟⎟
⎝ 2x − x ⎠
(2) จงทําให้เป็นรูปอย่างง่าย
2
⎛ 3 a 75 4a ⎞
(2.1) ⎜ a + − a + ⎟
⎝ 5 3 3 3⎠
⎛ 2 ⎞
(2.2) ⎜⎜ 2
x − x 4
+ 2x2
+ 1
⎟⎟
⎝ ⎠
(3) ให้หาค่าของ
(3.1) ⎛⎜ 1 +1 2 +
1
2+ 3
+
1
3+ 4
+ ... +
1 ⎞
8 + 9 ⎟⎠
⎝
⎛ 5− 2 5 + 2⎞
(3.2) ⎜⎜ + ⎟
⎝ 5+ 2 5 − 2 ⎟⎠
(3.3) ( 18 + 320 )
(3.4) ( 10 + 84 − 10 − 84 )
⎛ 2 3 5 ⎞
(3.5) ⎜⎜ + − ⎟
⎝ 12 − 2 35 7 − 2 10 9 − 2 14 ⎟⎠
⎛ (6 + 35) − (6 − 35)3 2 ⎞
32
(3.6) ⎜ ⎟
⎝ 13 10 ⎠
(4) ตอบคําถามต่อไปนี้
6+ 3 6− 3
(4.1) [Ent’20] ให้หาค่าของ x2 − 4xy + y2 เมื่อ x = และ y =
6− 3 6+ 3
(4.2) ให้เรียงลําดับจํานวนจากน้อยไปมาก
ก. 3 25 3 ข. 5 20 3 ค. 7 15 3 ง. 9 10 3
(4.3) ถ้า 2.44 × 7.17 = 0.56 แล้ว ให้หาค่าของ 0.0244 × 71.7
3.9 × 8 390 × 0.008
(5) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(5.1) ถ้า a x > 1 และ 0 < a < 1 แล้ว x > 0
(5.2) ถ้า x < 0 และ a > 1 แล้ว 0 < ax < 1
(5.3) 5 2 < 5 3
(5.4) (sin 1°) 3 < (sin 1°) 2
(5.5) (ta n 46°) 2 < (ta n 46°) 3
(6) ให้หาคําตอบของสมการ S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
(6.1) [Ent’33] x 1/ 2 − x 1/ 4 − 6 = 0
ãËËÒ¤Ò x ·Õè·Òí ãË 2x = 0
(6.2) 2x + 1 = x + 1 ¹o§æ ËÅÒ¤¹µoºÇÒ 0 ... æµ·è¨Õ Ãi§¤×o äÁÁÕ¤Òí µoº
(6.3) [Ent’33] 2x + 1 − x −3 = 2 1. 20 = 1 ¹a
(6.4) 2x −3 + x +2 = 7x −5 2. 2 ¡¡íÒÅa§´Ç¨íҹǹ¨Ãi§ã´¡çäÁÁÕ·Ò§ä´ 0 ¹a¤Ãaº
æÅaäÁÇÒ¨ae»¹eo¡«o¾e¹¹eªÕÂÅã´æ ¡çäÁÁ·Õ 񤊫 0
(6.5) x2 + 6 x2 −2x +5 = 11 + 2x
(´Ù¨Ò¡¡ÃÒ¿¡çä´¤Ãaº ¤Ò y ·Õèä´µo§e»¹ºÇ¡eÊÁo)
(6.6) (x + 1) 2 = 5( x2 +2x +2 − 1)
(6.7) x2 + 3x +15 + x2 + 3x +6 = 9
(6.8) 2x2 −6x −27 − x2 −6x −2 = x − 5
(6.9) 3 6(5x +6) − 3 5(6x −11) = 1
• ตัวอยาง ใหหาคําตอบของสมการตอไปนี้
ก. (0.1)x +2 = 10 x
f(x) g(x)
วิธีคิด สมการอยูในรูป a = b จึงทําฐานใหเทากัน เชน ทําเปนฐาน 0.1
จะได (0.1)x +2 = ((0.1)−1)x ... ดังนั้น x + 2 = −x → 2x = −2 → x = −1
x x x
ข. 8 − 3 ⋅ 4 − 6 ⋅ 2 + 8 = 0
x
วิธีคิด สมการนีม้ ีเอกซโพเนนเชียลฐาน 2 ลวนๆ ดังนั้นสมมติให 2 = A เพื่อใหมองงายขึน้
3x 2x x 3 2
จะได 2 − 3 ⋅ 2 − 6 ⋅ 2 + 8 = 0 → A − 3A − 6A + 8 = 0
แยกตัวประกอบไดเปน (A − 4)(A − 1)(A + 2) = 0 ... ดังนัน้ A = 4, 1, − 2
x
นั่นคือ 2 = 4, 1, − 2 ... แสดงวา x = 2, 0
x
(สวนกรณี 2 = − 2 นั้นเปนไปไมได เพราะเอกซโพเนนเชียลตองมีคาเปนบวกเสมอ)
แบบฝึกหัด 8.2
(7) ให้หาคําตอบของสมการ
x x+3 x
(7.1) ⎛⎜ 1 ⎞⎟ = ⎛⎜ 1 ⎞⎟ (7.5) ⎛ 1⎞
⎜ ⎟ ⋅2 2x + 1
= 1
⎝4⎠ ⎝2⎠ ⎝2⎠
2
(7.2) 101 + x = 1002x (7.6) 18 8 − 4x = (54 2) 3x − 2
2x + 1 −4
(7.3) ⎛3⎞ = ⎛⎜
8 ⎞
(7.7) (5 + 2 6) x = 3+ 2
⎜ ⎟ ⎟
⎝2⎠ ⎝ 27 ⎠
x x−1
(7.4) ⎛ 4 ⎞ ⎛ 27 ⎞ = 1
⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎝9⎠ ⎝ 8 ⎠
(8) ให้หาคําตอบของสมการ
(8.1) 4 x + 1 + 64 = 2 x + 5
(8.2) 4 x + 2 − 2(4 x + 1) = 2 4x
(8.3) 2 2x + 2 − 9 ⋅ 2 x + 2 = 0
(8.4) [Ent’29,32] 2 2x + 1 − 9 ⋅ 2 x − 1 + 1 = 0
(8.5) 3 2x + 2 − 3 x + 3 − 3 x + 3 = 0
(8.6) 3 2x + 3 − 55 = 28 (3 x − 2)
(8.7) [Ent’31,33] 6(2 5x) + 11(2 3x) − 3 (2 x) = 2 5x + 1
2 2
(8.8) [Ent’34] 3 1+ x + x − 2 + 9(3 − x + x − 2) = 28
(9) ให้หาคําตอบของสมการ
x x
(9.1) 3 (3 x + 3 − x) = 10 (9.3) ⎛ 4 ⎞ + ⎛ 3 ⎞ = 25
⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎝3⎠ ⎝4⎠ 12
x 1− x 1
(9.2) 3 (3 2x + 3 − 2x) = 10 (9.4) [Ent’35] + = 2
1− x x 6
(10) ให้หาคําตอบของสมการ
(10.1) 5 2x + 1 − 25 x = 4 x + (1/ 2) + 2 2x + 3
(10.2) 4 x − 3 x −(1/ 2) = 3 x + (1/ 2) − 2 2x − 1
(10.3) 6(3 2x) − 13 (6 x) + 6(2 2x) = 0
(10.4) 25(16 x) − 40 (20 x) + 16(5 2x) = 0
2 2
(10.5) [Ent’39] 3 x + 2x − 3 x + 1 − 9 x + 1 + 27 = 0
(11) ให้หาช่วงคําตอบของอสมการ
(11.1) 10 x + 1 < 1/10 x + 1 (11.5) (sin 1°)x + 5 > (sin 1°)2
2
(11.2) 2 x − 5 > 1/16 (11.6) (cot 1°)x + 5 < (cot 1°)2
2
(11.3) (0.5)x − 3x < (0.5)x − 3 (11.7) (cos 45°) x + 2 < (sin 45°)5
x2 + 2x + 8 x + 12
(11.4) ⎛ 1⎞ 1
< ⎛⎜ ⎞⎟ (11.8) ax
2 +7
< a 8(x − 1)
⎜ ⎟
⎝2⎠ ⎝4⎠
x (1,0)
O O x
(1,0)
ฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด
ข้อสังเกต
1. ค่า x ต้องเป็นบวกเสมอ ส่วนค่า y เป็นอะไรก็ได้ ... Dlog = R+ , Rlog = R
2. ในที่นี้กราฟผ่านจุด (1, 0) เสมอ ... แสดงว่า loga 1 = 0 ทุกๆ ค่า a ที่เป็นฐานได้
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 193 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม
กฎของลอการิทึมได้แก่
q
⎧ loga 1 = 0 • loga p b q = loga b
• ⎨ p
⎩ loga a = 1 ⎧⎪ mloga n = nloga m
⎧ loga(mn) = loga m + loga n • ⎨ log n
⎪ ⎪⎩ a a = n
• ⎨ ⎛m⎞
⎪ loga ⎜⎝ n ⎟⎠ = loga m − loga n • loga b =
logc b
=
1
⎩
logc a logb a
การหาค่าลอการิทึมสามัญโดยใช้ตาราง
เนื่องจากในตารางระบุเพียงค่า log 1 จนถึง log 9.99 เท่านั้น
หากต้องการหาค่า log N เราจะต้องเขียนจํานวน N เป็นรูป N0 × 10 n เมื่อ 1 < N0 < 10
และใช้กฎของลอการิทึม ว่า log N = log (N0 × 10 n) = log N0 + n
ตัวอย่างเช่น log 1, 150 มีค่าเท่ากับ log (1.15 × 103) หรือ log (1.15) + 3
จากตารางพบว่า log (1.15) ≈ 0.0607 ดังนั้น log 1, 150 ≈ 3.0607
หมายเหตุ
1. หากค่า N0 ในตารางไม่ละเอียดพอ จะต้องใช้วิธีประมาณโดยเทียบสัดส่วนระยะทาง
2. เราเรียก n (เป็นจํานวนเต็มเสมอ) ว่า แคแรกเทอริสติก (Characteristic) ของ log N
และเรียก log N0 (มีค่าระหว่าง 0 ถึง 1 เสมอ) ว่า แมนทิสซา (Mantissa) ของ log N
3. ตารางที่กําหนดให้ เป็นค่าลอการิทึมสามัญ (ฐาน 10) เท่านั้น
ถ้าต้องการหาค่าลอการิทึมฐานอื่นๆ ต้องอาศัยกฎของลอการิทึมช่วยแปลงฐาน
นั่นคือ loga b = log b ÷ log a และ ln b = log b ÷ log e ( log e ≈ 0.4343 )
การหาค่าแอนติลอการิทึมโดยใช้ตาราง
จากตัวอย่างที่แล้ว เราทราบว่าค่า log ของ 1,150 เป็น 3.0607 (โดยประมาณ)
สามารถกล่าวแบบย้อนกลับได้ว่า ค่า antilog ของ 3.0607 เป็น 1,150
แบบฝึกหัด 8.3
(12) ให้หาค่าของ
(12.1) log 0.01 + log2 0.25 + log5 0.04 + log50 0.0004
(12.2) log2 cos 60° + 7 log3 tan 30° − log8 sin 90° + log4 sin 30°
(12.3) log 1 8 + log 1 2 + log2 1 + log8 1
2 8
8 2
15 24 ⎞ ⎛ 80 ⎞
(12.4) log (20) + 7 log ⎛⎜ ⎞⎟ + 5 log ⎛⎜ ⎟ + 3 log ⎜ ⎟
⎝ 16 ⎠ ⎝ 25 ⎠ ⎝ 81 ⎠
2 2 2
(12.5) + +
log5 50 log 50 log2 50
log2 24 log2 192
(12.6) −
log96 2 log12 2
(12.7) log2 1 ⋅ log3 2 ⋅ log4 3 ⋅ log4 5
(12.8) log2 3 ⋅ log3 4 ⋅ log4 5 ⋅ ... ⋅ logn(n+ 1) ⋅ log3132
(12.9) log4(log 81) − log4(log 3)
(12.10) 7 log 52 + 5 log2 4−3 − 2 log9 33
7
(13) ให้หาค่าของ
(13.1) 491− 0.25 log 7 25
1
( + 8 log81 5 + log9 4 + log3 5)
(13.2) 81 2 /9
log4096 64 log3 9
(13.3) 3 − 2
1 − log5 4 1 − log8 2 1 − log6 2 2 − log2 5
(13.4) 25 ⋅ 64 ⋅ 36 ⋅4
1/ 2
⎛ 161 − log4 3 ⋅ 361 − log6 3 ⎞
(13.5) ⎜ 1 − log 3
⎜ 25 − log7 3 ⎟
⎟
⎝
5 ⋅ 49 ⎠
1 1 1
(14) ให้เขียน + + เป็นรูปอย่างง่าย
1 + loga bc 1 + logb ca 1 + logc ab
(15) ตอบคําถามต่อไปนี้
(15.1) ให้หาค่า (g D f)(2) เมื่อกําหนด g (x) = log3 x และ f (x) = log2 x
(15.2) ให้หาค่า g (2 b) เมื่อกําหนด g (x) = log2b xx
(15.3) ให้หาค่า log 5 เมื่อทราบว่า log8 3 = p และ log3 5 = q
(15.4) [Ent’34] ถ้า x = log 3 (9−1)(27−4 / 3) และ y = log 25 − 2 log 5 + log 24 แล้ว
8 3 9
ให้หาค่าของ x + y
(15.5) ถ้า log7(11−6 2) = a และ log7(45+29 2) = b แล้ว ให้หาค่าของ 3a + 2b
(15.6) ถ้า loga x = 1 , logb x = 1/10 , logc x = 1/100 , logd x = 1/1000 แล้ว ให้หาค่า
ของ logabcd x
logb(logb a)
(15.7) ถ้า p = เมื่อ a, b > 1 แล้ว ให้หาค่าของ ap
logb a
(15.8) [Ent’33] ถ้า 2 log2 a − 3 log2 b = 4 และ 3 log2 a − 4 log2 b = 6 แล้ว ให้หาค่า
ของ (a2b + log2a b ) 1/ 2
(15.9) ถ้า loga(x − m) = log a x − log a m แล้วให้หาค่าของ x2 − m2x + m3
(16) ให้หาโดเมนและเรนจ์ของฟังก์ชันต่อไปนี้
(16.1) y = log6(2−x) (16.4) y = log2 x − 3
(16.2) y = log1/ 3(−x) (16.5) y = − log5(3x2 −2)
(16.3) y = log x
(17) ให้หาแมนทิสซาและแคแรกเทอริสติกของค่าต่อไปนี้
(17.1) log 257 (17.3) 3.3010
(17.2) log 0.024 (17.4) −2.3010
• ตัวอยาง ใหหาคําตอบของสมการตอไปนี้
ก. log (2x − 1) + log (x + 3) = 2
2 2
วิธีคิด ใชสมบัตขิ อง log เปลี่ยนผลบวกกลายเปน log ผลคูณ ... log [(2x − 1)(x + 3)] = 22
2 2
นํา A คูณทั้งสมการ แลวจัดรูปไดดังนี้ ... 2A + 1 = 3A → 2A − 3A + 1 = 0
แยกตัวประกอบ (2A − 1)(A − 1) = 0 ดังนัน้ A = 1/2, 2
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 196 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม
1/ 2 1
เนื่องจาก log x = 1/2, 1 ... จึงไดคําตอบเปน x = 9 , 9 นั่นคือ x = 3, 9
9
แบบฝึกหัด 8.4
(19) ให้หาคําตอบของสมการ
(19.1) x + 8 = 10 log 8
(19.2) x log (2/ 3) = 2/3
(19.3) x 3 log x = 3 10, 000
(19.4) [Ent’38] 9 x − 3 x + log 2 = −1
3
2
(19.5) log4 log3 log2 7 log (x + 2x) = 0
7
1
(19.6) [Ent’33] log 1 log 1 log 1 = 0
3 2 6
x2 − x + 4
(19.7) logx + 4(x2− 1) = logx + 4(5− x)
(20) ให้หาคําตอบของสมการ
(20.1) [Ent’32] log (2x −5) + log (x + 1) = log (x2− x + 3)
(20.2) log (2x −1) + log (x + 1) = 2 log x2+ 1
(20.3) log 2 + log (4−5x −6x2) = 3 log 3 2x −1
(20.4) x2 log2(x2+2x −6) − 2x log2(x2+2x −6) = x2−2x
(20.5) 3 log8( x2+ 1+ x) + log2( x2+ 1− x) = log16(4x + 1) − 0.5
(21) ให้หาคําตอบของสมการ
(21.1) (log x)2 = log x2
(21.2) log x = log x
(21.3) [Ent’25] log2 x + 4 logx 2 = 5
(22) ให้หาคําตอบของ
(22.1) สมการ 3 2(x + 7) − 6(3 x + 7) + 8 = 0
(22.2) ระบบสมการ 5 x = 4 − y และ 5 2 + y = 42 − x
(23) ให้หาช่วงคําตอบของอสมการ
2
(23.1) (x3)x < (x)x (23.4) log a 5 > log 5 a
2
(23.2) [Ent’34] e x ln 2 < 2 x (23.5) log 100 x < 1 − log x + 15
4 2
(23.3) log x − 2(2x −3) > log x − 2(24−6x) (23.6) log x−1
(x −8x −2x + 1) > 4
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1.1) 2 (1.2) x6y4 (11.1) (−∞, −1] (17.1) แมนทิสซา log 2.57
(1.3) 2 − x (1.4) 27 (11.2) R − [−1, 1] แคแรกเทอริสติก 2
(1.5) 11/7 (2.1) 3a2 /5 (11.3) R − [1, 3] (17.2) แมนทิสซา log 2.4
(2.2) –2 (3.1) 2 (11.4) R − [−4, 4] แคแรกเทอริสติก –2
(3.2) 14/3 (3.3) 10 + 8 (11.5) (−∞, −3) (11.6) (−∞, −3) (17.3) แมนทิสซา 0.3010
(11.7) R − [−7, 3] (11.8) (3, 5) แคแรกเทอริสติก 3
(3.4) 2 3 (3.5) 2 5 (17.4) แมนทิสซา 0.6990
(3.6) 1 (4.1) 30 เมื่อ a > 1 และ R − [3, 5] เมื่อ
0 < a < 1 (12.1) –8 แคแรกเทอริสติก –3
(4.2) ง-ก-ค-ข (4.3) 0.56 (18) 45 (19.1) 0
(5) ถูกทุกข้อ ยกเว้น (5.1) ผิด (12.2) –5 (12.3) –20/3
(12.4) 1 (12.5) 4 /(1 + log 5) (19.2) 10 (19.3) 10 ± 2/ 3
(6.1) 81 (6.2) 0, 4 (19.4) 0 (19.5) –4, 2
(6.3) 4, 12 (6.4) 2, 5/2 (12.6) 3 (12.7) 0 (12.8) 5 (19.6) –1, 2 (19.7) 2
(6.5) 1 (6.6) −1, − 1± 15 (12.9) 1 (12.10) 19 (20.1) 4 (20.2) 1
(6.7) –5, 2 (6.8) 9 (13.1) 49/5 (13.2) 24 ⋅ 512 (20.3) –3/2 (20.4) –4, 2
(6.9) 6, − 161/30 (13.3) 3 − 2 (13.4) 144 (20.5) 3/4 (21.1) 1, 100
(7.1) 3 (7.2) 2 ± 3 (13.5) 4.8 (14) 1 (15.1) 0 (21.2) 1, 104 (21.3) 2, 16
(7.3) 11/2, –13/2 (7.4) 3 (15.2) 2b (15.3) 3pq /(1+ 3pq) (21.4) 3, 3 5/ 2
(7.5) ไม่มีคาํ ตอบ (7.6) 22/17 (15.4) − log 3 (15.5) 6 (22.1) 2 log3 2−7, log3 2−7
(7.7) 1/2 (8.1) 2 (15.6) 1/1111 (15.7) log b a (22.2) x = 4 log 2 /(1+log 2)
(8.2) 3/2 (8.3) –2, 1 (15.8) 4 (15.9) 0 y = 2 (log 2− 1) /(1+log 2)
(8.4) –2, 1 (8.5) –2, 1 (16.1) (−∞, 2) กับ R
(8.6) –3, 0 (8.7) –1 (23.1) R+ − [1, 3]
(16.2) R − กับ R (23.2) (0, 1)
(8.8) –3, 2 (9.1) –1, 1
(9.2) –1/2, 1/2 (9.3) –1, 1 (16.3) R+ กับ [0, ∞) (23.3) (2, 3) ∪ (27/8, 4)
(9.4) 4/13, 9/13 (10.1) 1/2 (16.4) R − {3} กับ R (23.4) (0, 1/5) ∪ (1, 5)
(10.2) 3/2 (10.3) –1, 1 (16.5) R − [− 2/ 3, 2/ 3] กับ R
(23.5) (0, 5)
(10.4) 1 (10.5) 1/2, ± 2 (23.6) (1, 2) ∪ (3, ∞)
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1.1) (25)7 ⋅ (22)−17 = 235 − 34 = 2 3 1 75 4 2
(2.1) a2( + − + )
(1.2) x6y4z0 = x6y4 5 3 3 3
3 1 5 3 4 2
(1.3) นํา x2 คูณทั้งเศษและส่วน = a2( + − + )
5 3 3 3
4 − 4x + x2 (2 − x)2
= =2−x 3 1 5 4 2 3 3a 2
2−x 2−x = a2( + − + ) = a2( )2 =
1 1 5 3 3 3 5 5
36n + 38n n 36n(1 + 32n) n
(1.4) ( 3n 5n
) = [ 3n ] 2 2
3 +3 3 (1 + 32n) (2.2) = 2
1 x2 − (x2 + 1)2 x − |x2 + 1|
= (33n)n = 33 = 27 ซึ่ง x2 + 1 เป็นบวกเสมอ ถอดค่าสัมบูรณ์ได้เลย
n n
4 ⋅ 9 (9 + 2) 11 2 2
(1.5) = → = = −2
4n ⋅ 9n(4 + 3) 7 x2 − (x2 + 1) −1
(3.1) พิจารณา 1
⋅
1− 2
=
1− 2 (5.1) ax > a0 แต่ 0 < a < 1 (ฟังก์ชันลด)
1+ 2 1− 2 −1 ดังนัน้ x < 0 ข้อนี้ผดิ
1 2 − 3 2 − 3 (5.2) ถูก a > 1, x < 0 → 0 < ax < 1
และ ⋅ = ... ฯลฯ
2 + 3 2 − 3 −1 y
อาจดูจากกราฟ
จะได้วา่ โจทย์กลายเป็น ในกรณีฟังก์ชันเพิ่ม
1− 2 2− 3 3− 4 8− 9 ซีกซ้ายของแกน y 1
( + + + ... + )
−1 −1 −1 −1
1− 9 O x
= = 2
−1
(5.3) 5
มากกว่า 1 → ฟังก์ชนั เพิ่ม
( 5 − 2)2 + ( 5 + 2)2
(3.2) → 2 <
3 ถูก
( 5 + 2)( 5 − 2)
7 − 2 10 + 7 + 2 10 14 (5.4) sin 1° น้อยกว่า 1 → ฟังก์ชนั ลด
= =
3 3 → 3 > 2 ถูก
→
A
=
5 25
→ ( )x =
5
→ x =
1 (11.7) ( 1 )|x + 2| < ( 1 )5 → ฟังก์ชนั ลด
B 2 4 2 2 2 2
→ | x + 2 |> 5 →
ตอบ (−∞, −7) ∪ (3, ∞) หรือ R − [−7, 3]
0.5
2
→ x − 8x + 15 < 0 → (x − 5)(x − 3) < 0 = 49 ÷ 25 = 49 / 5
→ (3, 5) (9 ⋅ 58 ⋅ 42 ⋅ 54)
(13.2) = 24 ⋅ 512
ถ้า 0 < a < 1 → x2 + 7 > 8x − 8 9
1
log 26 log3 32 2
→ x2 − 8x + 15 > 0 → R − [3, 5] (13.3) 3 212
− 2 = 32 − 2
∴ ตอบ (3, 5) เมื่อ a > 1 และ = 3 −2
R − [3, 5] เมื่อ 0 < a < 1 25 64 36 16
(13.4) ⋅ ⋅ ⋅ = 144
42 22 22 52
(12.1) log 10−2 + log2 2−2 + log5 5−2 + log50 50−2 1/ 2
⎛ 16 ⋅ 36 ⎞
= −2 − 2 − 2 − 2 = −8 ⎜ 32 32 ⎟ 4⋅6
(13.5) ⎜ 25 1 ⎟ = = 4.8
[หมายเหตุ 0.01 = 1 = 10−2 , 0.25 = 1 = 2−2 ⎜⎜ 2 ⋅ 2 ⎟⎟
5
100 4 ⎝3 3 ⎠
1 −2 [หมายเหตุ ข้อ 13.1, 13.2, 13.4, 13.5
0.04 = = 5 , ... ]
25
ใช้กฎที่วา่ Alog B = Blog A ]
m m
eÃ×èo§æ¶Á
จําเป็นต้องตรวจคําตอบของสมการ (หรืออสมการ) เมื่อใดบ้าง..
(1-บทที่ 2) เมื่อในโจทย์มีตวั แปรอยูท่ ี่ส่วน (เศษส่วน)
1 2x
เช่น = ย้ายข้างคูณไขว้ได้ แต่ตอ้ งมีเงื่อนไขตัวส่วนห้ามเป็นศูนย์ด้วย
x−1 3x − 1
1 2x
> อสมการห้ามคูณไขว้ ให้ยา้ ยมาลบกัน แล้วเมือ่ เขียนเส้นจํานวนก็ต้องระวัง
x−1 3x − 1
อย่าแรเงาค่า x ที่ทาํ ให้ส่วนเป็นศูนย์
[m t r x]
º··Õè 9 eÁµÃi¡«
เมตริกซ์ (Matrix) เป็นกลุ่มของจํานวนที่เรียง
กันเป็นรูปสี่เหลี่ยม ภายในเครื่องหมายวงเล็บ ( )
หรือ [ ] เรียกจํานวนแต่ละจํานวนที่อยู่ในเมตริกซ์ว่า
สมาชิก (Entry) เราศึกษาเรื่องเมตริกซ์เพื่อใช้ช่วยใน
การแก้ระบบสมการเชิงเส้นหลายตัวแปร ซึ่งจะได้
อธิบายไว้ในหัวข้อสุดท้ายของบทนี้
⎛ 7 5⎞
ตัวอย่างเมตริกซ์ เช่น ⎜ 6 0 ⎟ , ⎡ 1 0 −2 ⎤ , ⎡3 4⎤
⎜⎜ ⎟⎟ ⎣ ⎦ ⎢2 2 ⎥
⎣ ⎦
⎝ −5 2 ⎠
ขนาดของเมตริกซ์ เรียกว่า มิติ (Dimension) (คิดจากจํานวน แถว; row คูณ หลัก; column)
ในตัวอย่างเป็นเมตริกซ์ที่มีมิติ 3×2, 1×3, 2×2 ตามลําดับ ... เมตริกซ์สองเมตริกซ์ จะเท่ากันได้ก็
ต่อเมื่อ “มีมิติเดียวกัน” (แปลว่า ขนาดเท่ากัน) และสมาชิกในตําแหน่งเดียวกันต้องมีค่าเท่ากัน
เมตริกซ์ที่ควรรู้จัก
1. เมตริกซ์จัตุรัส (Square Matrix) คือเมตริกซ์ที่มีจํานวนแถว เท่ากับจํานวนหลัก
สมมติว่ามี n หลัก และ n แถว ( n × n ) เรียกสมาชิกในแนว 11, 22, 33, ..จนถึง nn ว่า เส้น
ทแยงมุมหลัก (Main Diagonal) และสมาชิกตัวอื่นที่เหลือจะเรียงเป็นรูปสามเหลี่ยม เรียกว่า
สามเหลี่ยมบน (Upper Triangle) และ สามเหลี่ยมล่าง (Lower Triangle)
⎡6 2 1 ⎤
⎡ 2 0⎤ ⎢3 1 −2⎥
⎣⎡ 5 ⎦⎤ 1× 1 ⎢ ⎥
⎣ − 1 1 ⎦2 × 2 ⎢ ⎥
⎣⎢3 0 1 ⎦⎥ 3 × 3
2. เมตริกซ์ศูนย์ (Zero Matrix; 0 ) คือเมตริกซ์ที่สมาชิกทุกตัวเป็นเลข 0 (จัตุรัสหรือไม่ก็ได้)
⎡0 0 0⎤
⎡0⎤ ⎡0 0 0⎤ ⎢0 0 0⎥
⎣⎡ 0 ⎦⎤ ⎢0⎥ ⎢0 0 0⎥ ⎢ ⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎣⎢0 0 0⎦⎥
3. เมตริกซ์หนึ่งหน่วย (Unit Matrix; I) คือเมตริกซ์จัตุรัส ที่มีสมาชิกในแนวเส้นทแยงมุมหลัก เป็น
1 และสมาชิกตัวอื่นที่เหลือทั้งหมดเป็น 0 อาจเขียนขนาดกํากับเป็นตัวห้อยเพียง 1 ตัว
⎡ 1 0 0⎤
⎡ 1 0⎤
I1 = ⎣⎡ 1 ⎦⎤ I2 = ⎢ ⎥ I3 = ⎢0 1 0⎥
⎣0 1 ⎦ ⎢ ⎥
⎣⎢0 0 1 ⎦⎥
⎡ 1 −2 3⎤ ⎡0 2 − 1⎤ ⎡ 1 − 4 4⎤
⎢ − 4 5 6⎥ − ⎢3 −2 4 ⎥ = ⎢ − 7 7 2 ⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
เอกลักษณ์การบวกของเมตริกซ์ ก็คือ เมตริกซ์ 0
2. การคูณเมตริกซ์ด้วยสเกลาร์ ผลที่ได้จะเป็นการคูณสมาชิกทุกตัวด้วยสเกลาร์นั้น
⎡ 1 2 3⎤ ⎡2 4 6 ⎤
2⎢ ⎥ = ⎢0 − 10 14⎥
⎣0 −5 7 ⎦ ⎣ ⎦
3. ส่วนการคูณเมตริกซ์คู่หนึ่งจะทําได้เมื่อ จํานวนหลักของตัวตั้งเท่ากับจํานวนแถวของตัวคูณ
และผลคูณที่ได้จะเป็นเมตริกซ์ที่มีจํานวนแถวเท่าตัวตั้ง จํานวนหลักเท่าตัวคูณ
หรือเขียนง่ายๆ ได้ดังนี้ Am × n × Bn × r = Cm × r
วิธีการหาสมาชิกของผลลัพธ์ ขอให้สังเกตจากตัวอย่าง (ยึดแถวตัวตั้ง ยึดหลักตัวคูณ)
⎡ 2 3⎤ ⎡0 1⎤ ⎡1 3 2⎤
A = ⎢ ⎥ , B = ⎢3 2⎥ , C = ⎢ − 1 0 −2⎥
⎣ − 1 4 ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡ 2⋅0 + 3⋅3 2⋅1+ 3⋅2 ⎤ ⎡ 9 8⎤
จะได้ AB = ⎢−1⋅0+ 4 ⋅3 −1⋅1+ 4 ⋅2⎥ = ⎢12 7 ⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡ 0⋅1+ 1(
⋅ −1) 0⋅3+ 1⋅0 0⋅2+ 1(⋅ −2)⎤ ⎡ − 1 0 −2⎤
BC = ⎢ ⎥ = ⎢1 9 2⎥
⎣ 3⋅1+2(⋅ −1) 3⋅3 +2⋅0 3⋅2 + 2(
⋅ −2)⎦ ⎣ ⎦
เอกลักษณ์การคูณของเมตริกซ์ ก็คือ เมตริกซ์ I
จะเรียกว่า เมตริกซ์เอกลักษณ์ (Identity Matrix) ก็ได้
สมบัติการบวกและการคูณ
การบวกเมตริกซ์ การคูณด้วยเมตริกซ์
• A +B = B + A
• AB ไม่จําเป็นต้องเท่ากับ BA
• (A + B) + C = A + (B + C)
• (AB) C = A (BC)
• A t + Bt = (A + B)t
• A (B + C) = AB + AC
• A + 0 = 0 + A = A
• (A + B) C = AC + BC
• A + (−A) = 0
• (AB)t = BtA t
การคูณด้วยสเกลาร์ • AI = IA = A
• (kA)t = k ⋅ A t
• k1(k2A) = k2(k1A) = (k1k2) A
• k(A + B) = kA + kB
แบบฝึกหัด 9.1
⎡2 3 − 1⎤ ⎡ −3 2 ⎤
(1) A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ 5 4⎥ จงหาค่าของ a11 +b22 และ 2a12 − 3b21
⎣ 4 0 8 ⎦ ⎣ ⎦
⎧i + j ,i > j
⎪
(2) ให้เมตริกซ์ A มีมิติ 3×3 โดยที่ aij = ⎨ 1 ,i = j จงเขียนเมตริกซ์ A นั้น
⎪⎩i − j ,j > i
⎡ 2 − 4⎤ ⎡cosec 30° log 10−4 ⎤
(3) เมื่อ A = ⎢ 0 ⎥ , B = ⎢ ⎥ ถามว่า A = B หรือไม่
⎣2 + 1 5 ⎦ ⎢⎣ 4 25 ⎥⎦
⎡x2 x − x2 ⎤ ⎡x −1 1 ⎤
(4) ถ้า x2 − x + 1 = 0 และ A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ ⎥ แล้ว A = B หรือไม่
⎣0 x ⎦ 2
⎣ 0 x + 1⎦
(5) จงหาค่าของ
⎡ 2 1⎤
⎡ 1 3 2⎤ ⎡2 6 1 ⎤
(5.1) ⎢0 1 5⎥ + ⎢4 1 2⎥ (5.3) 5 ⎢ 4 3⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎢ ⎥
⎢⎣ −2 8⎥⎦
⎡6 2 ⎤ ⎡ 1 5⎤
(5.2) ⎢8 4⎥ − ⎢ − 1 3⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡ 2 3 ⎤ ⎡0 1 ⎤
(6) A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ 3 2⎥ จงหา A + B, A t + Bt , (A + B)t , A + 0
⎣ − 1 4⎦ ⎣ ⎦
⎡2 −1 4⎤
(7) A = ⎢ ⎥ จงหา A t , 2A, −A
⎣3 0 1 ⎦
⎡a a ⎤ ⎡b11 b12 b13 ⎤
(8) A = ⎢ 11 12 ⎥ , B = จงเขียนเมตริกซ์ AB
⎣a21 a22 ⎦
⎢b21 b22 b23 ⎥
⎣ ⎦
(9) จงหาค่า x, y เมื่อกําหนดให้
(9.1) A2 × 5 × B5 × 3 = Cx × y (9.3) A x × 2 × B2 × 5 = C7 × y
(9.2) A3 × 5 × Bx × y = C3 × 4 (9.4) A2 × x × By × 5 = C2 × 5
(10) A3 × 2 , B2 × 4 จงหามิตขิ อง AB และ BA
⎡1 2⎤ ⎡3 0 ⎤
(11) A = ⎢ , B = ⎢ ⎥ จงหา AB, BA
⎣ −1 0⎥⎦ ⎣ 1 1⎦
S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
⎡1 0⎤ ⎡ 3 − 4⎤
(12) A = ⎢ , B = ⎢
⎣4 2 ⎥⎦ ⎣ −1 5 ⎦
⎥
e¹×èo§¨Ò¡ AB Áa¡äÁe·Ò¡aº BA
2 2 2
จงหา AB, BA, (A + B) , A + 2AB + B ´a§¹aé¹ (A + B)2 ≠ A2 + 2AB + B2 ¹a¤Ãaº
⎡2 1 ⎤ ⎡ 3 2⎤ æÅa¡çËÒÁ桵aÇ»Ãa¡oºÊÁ¡ÒáíÒÅa§Êo§´ÇÂ
(13) A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ 1 2⎥ จงหา A t × (B × A)
⎣0 3⎦ ⎣ ⎦ eª¹ (A + 2B)(3A + B) ≠ 3A2 + 7AB + 2B2
⎡3 0 1 ⎤ ⎡ 1 0 ⎤ æµe¹×èo§¨Ò¡ AI e·Ò¡aº IA eÊÁo
(14) ถ้า ⎢2 − 1 0⎥ ⎢ 1 − 1⎥ ⎡ − 1 0⎤ = C จงหาค่า c22
⎢ ⎥⎢ ⎥ ⎢⎣ 4 2 ⎥⎦ ´a§¹aé¹ (A + 2I)(3A + I) = 3A2 + 7A + 2I
⎣⎢ 1 1 2 ⎦⎥ ⎢⎣2 3 ⎦⎥
⎡2 1 ⎤ n
(15) A = ⎢ ⎥ จงหา A
⎣0 2⎦
⎡ x + y 2⎤ ⎡ 2 y⎤ ⎡ 1 a⎤
(16) [Ent’33] กําหนด A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ −2 y ⎥ , C = ⎢0 1⎥ ถ้า AB = C จงหาค่า a
⎣ 3 z⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡3 x ⎤
(17) A = ⎢
⎡1 2 0 ⎤
, B = ⎢ 1 y ⎥ , C = ⎡5 7 ⎤ ถ้า AB = C จงหาค่า x + y − z
1 0 2 ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ 7 5⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎣⎢ z 1 ⎥⎦
9.2 ดีเทอร์มินันต์
ดีเทอร์มินันต์ (ตัวกําหนด; Determinant) เป็นคุณสมบัติของเมตริกซ์จัตุรัสเท่านั้น
และดีเทอร์มินันต์มีค่าเป็นตัวเลข โดยเมตริกซ์หนึ่งๆ จะคํานวณดีเทอร์มินันต์ได้ค่าเดียวเสมอ
เครื่องหมายแสดง “ดีเทอร์มินันต์ของเมตริกซ์ A” คือ A หรือ det (A)
วิธีหาดีเทอร์มินันต์
เมตริกซ์ 1 × 1 เมตริกซ์ 2×2
ถ้า A = ⎣⎡ a ⎦⎤ ⎡a b ⎤
ถ้า A = ⎢ ⎥
⎣c d⎦
จะได้ว่า det (A) = a
จะได้ว่า det (A) = ad − bc
⎡2 1 − 1⎤
ตัวอย่างเช่น ต้องการหาเมตริกซ์โคแฟกเตอร์ของ A = ⎢2 0 1 ⎥
⎢ ⎥
⎣⎢5 0 8 ⎥⎦
เริ่มจากหาค่าตัวเลขไมเนอร์ให้ครบทุกตําแหน่ง
0 1 2 1 2 1
M11 = = 0, M12 = = 11, ..., M33 = = −2
0 8 5 8 2 0
⎡0 11 0 ⎤ ⎡ +0 −11 +0 ⎤
∴ M (A) = ⎢8 21 −5⎥ → C (A) = ⎢ −8 +21 −(−5)⎥
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢ 1 4 −2⎥⎦ ⎣⎢ +1 −4 +(−2)⎦⎥
จากเมตริกซ์โคแฟกเตอร์ที่ได้ ทําให้หาค่า det (A) ได้ดังนี้
det (A) = 2⋅0 + 1 ⋅ (−11) + (−1) ⋅ 0 = − 11 (คิดจากแถวที่ 1)
det (A) = 5 ⋅ 1 + 0 ⋅ (−4) + 8 ⋅ (−2) = − 11 (คิดจากแถวที่ 3)
det (A) = 1 ⋅ (−11) + 0 ⋅ 21 + 0 ⋅ (−4) = − 11 (คิดจากหลักที่ 2)
จะพบว่า ไม่ว่าจะคิดจากแถว หรือหลักใด ก็จะได้ค่า det (A) เท่าเดิมเสมอ แต่โจทย์ข้อนี้คิดจาก
หลักที่ 2 จะง่ายที่สุด เพราะพจน์ที่สองกับสาม เป็น 0 ไม่จําเป็นต้องหาค่าโคแฟกเตอร์
det (A) = a12C12 + a22C22 + a32C32
=0 =0
= −a12M12 + a22 M22 − a32 M32
2 1
= −1 ⋅ = −11
5 8
สมบัติของดีเทอร์มินันต์
• det (AB) = det (A) ⋅ det (B) • det (I) = 1
• det (A t) = det (A) • det (0) = 0
• det (An) = (det (A))n เมือ
่ n∈I
• det (kA) = kn ⋅ det (A) เมือ
่ n = ขนาดของ A
S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
เมตริกซ์ที่ค่า det เป็นศูนย์ เรียกว่า เมตริกซ์เอกฐาน ¶Ö§æÁÊa Åa¡É³¢o§ det ¨aeËÁ×o¹¤Ò
(Singular Matrix) เช่น เมตริกซ์ที่มีแนวใดแนวหนึ่งเป็น 0 ทุกตัว ÊaÁºÙó æÅaÊÁºaµi¡ÒáÃa¨Ò¼Ťٳ
¼ÅËÒáçeËÁ×o¹¡a¹.. 浨u´·Õµè Ò§¡a¹¤×o
หรือเมตริกซ์ที่มี 2 แนวซ้ํากัน หรือเป็น k เท่าของกันและกัน 1. ¤Ò det µi´Åºä´ eª¹ | -2 | = -2
2. ¡Òô֧ÊaÁ»ÃaÊi·¸iìoo¡ÁÒµo§Â¡¡íÒÅa§
n
เมตริกซ์ที่มีสามเหลี่ยมล่างหรือบน เป็น 0 ทุกตัว Áiµi´Ç eª¹ | 3A | = 3 | A |
เรียกว่า เมตริกซ์สามเหลี่ยม (Triangular Matrix)
จะมีค่า det เป็น “ผลคูณของสมาชิกในเส้นทแยงมุมหลัก”
แบบฝึกหัด 9.2
(22) A = ⎡⎣ 2⎤⎦ , B = ⎡⎣ −5 ⎤⎦ จงหา det (A), det (B), det (01)
⎡2 −5⎤ ⎡ −2 − 4⎤
(23) A = ⎢ , B = ⎢ จงหา det (A), det (B)
⎣4 −6⎥⎦ ⎣3 6 ⎥⎦
⎡ 1 −5⎤ ⎡x x⎤ ⎡5 0 ⎤
(24) A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ −1 , C = ⎢ จงหาค่า x ที่ทําให้ det (A) < det (B) < det (C)
⎣2 2 ⎦ ⎣ x ⎥⎦ ⎣0 4⎦
⎥
⎡ 3 −4 0 ⎤
(25) A = ⎢ −5 4 − 3⎥ จงหา det (A), M11(A), M32(A), C11(A), C32(A)
⎢ ⎥
⎣⎢ 2 −2 1 ⎦⎥
⎡ 6 1 2⎤
(26) จงหา det (A) เมื่อ A = ⎢ − 3 0 5⎥ โดยใช้วิธีโคแฟกเตอร์
⎢ ⎥
⎣⎢ 7 2 1 ⎦⎥
⎡ 5 3 −5⎤ n n
(27) A = ⎢4 2 1 ⎥ จงหา det (A) โดยใช้วิธี ∑ aijCij, ∑ aijCij, คูณทแยง
⎢ ⎥
⎣⎢ − 1 − 3 1 ⎦⎥
i=1 j=1
⎡ x y 4⎤
(28) [Ent’40] ให้ A = ⎢ −3 8 0 ⎥ โดยโคแฟกเตอร์ของ a21 คือ –6, โคแฟกเตอร์ของ a23 คือ
⎢ ⎥
⎣⎢ x − y − 1⎦⎥
4 แล้ว จงหาโคแฟกเตอร์ของ a33
⎡a − 1 0 ⎤
(29) [Ent’39] A = ⎢b 1 1 ⎥ ถ้า C12 (A) = 1 และ det (A) = −5 จงหาค่า a
⎢ ⎥
⎢⎣c 1 −1⎥⎦
⎡ −4 1 1 0⎤
⎢2 0 1 − 3⎥ C11 C21
(30) A = ⎢ ⎥ จงหา
⎢0 0 2 1⎥ C32 C44
⎣⎢ 1 −1 3 2 ⎥⎦
2 0 4 −6
1 a b+c n n+ 1 n+2
0 −4 0 0
(31) จงหาค่า และ 1 b a+c และ n+ 1 n+2 n+ 3
5 −2 0 0
1 c a +b n+2 n+ 3 n+ 4
1 3 −1 −3
⎡ −1 1 ⎤
(32) [Ent’36] ถ้า A = ⎢ จงหาค่า det (−2 A3A t(A + A t))
⎣ 3 −1⎦
⎥
⎡ 1 1⎤
(33) A = ⎢ จงหา det (−2 AnA t(A + A t)) เมื่อ n ∈ I+
⎣0 1⎦
⎥
⎡2 0⎤ ⎡0 5⎤ ⎡ 3 4⎤ ⎡ −1 4 ⎤
(34) กําหนด A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ 1 0⎥ , C = ⎢2 1 ⎥ , D = ⎢ 3 −2⎥
⎣0 1 ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
ถ้า AXB = CD จงหา X
⎡ −2 0 0⎤ ⎡12 4 10⎤
(35) จงหา det (X) เมื่อกําหนดให้ ⎢ 4 3 0⎥ X = ⎢ 0 −5 8 ⎥
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎢⎣ 2 1 5⎥⎦ ⎢⎣ 0 0 1 ⎥⎦
1 ⎡ −2 −2⎤
(36) [Ent’36] ให้ A, B เป็น non-singular matrix โดย A = , B = ⎢ ⎥ และ
4 ⎣x y⎦
AB + 4A = 2I จะได้ค่า x + y เท่ากับเท่าใด
(37) [Ent’31] กําหนดให้ A, B, C, I เป็นเมตริกซ์มีมิติ 2×2 ถ้า det (− A3) = det (2 2 I) ,
⎡ −6 1 ⎤
det (C−1) = 4 และ ABtC = ⎢ ⎥ แล้ว det (B) มีค่าเท่าใด
⎣ 4 −2⎦
⎡ sin x 2 cos x ⎤
(38) A = ⎢ ⎥ จงหาค่า x ที่ทําให้ A เป็นเมตริกซ์เอกฐาน
⎣ − cos x 2 sin x ⎦
⎡ 1 0 − x2 ⎤
(39) [Ent’39] จงหาจํานวนจริง x ทั้งหมดที่ทําให้ ⎢2 1 0 ⎥ เป็นเมตริกซ์เอกฐาน
⎢ ⎥
⎢⎣x 3 5 ⎦⎥
⎡ 1 2 −1⎤
(40) จงหาค่า x ที่ทําให้ ⎢ −2 x −2⎥ เป็นเมตริกซ์เอกฐาน
⎢ ⎥
⎣⎢ 1 −2 1 ⎦⎥
⎡ log 2x −2x ⎤
(41) A = ⎢ x−1 ⎥ จงหาค่า x ที่ทําให้ A ไม่เป็นเมตริกซ์เอกฐาน
⎣⎢log 2 x ⎥⎦
(42) [Ent’34] ข้อใดถูกหรือผิดบ้าง เมื่อ A เป็นเมตริกซ์จัตุรัส มิติ 2 × 2
ก. ถ้า A = −At แล้ว สมาชิกในแนวทแยงมุมบนซ้ายถึงล่างขวาของ A เป็น 0 หมด
ข. ถ้า A2 = B และ B เป็นนอนซิงกูลาร์เมตริกซ์แล้ว A เป็นนอนซิงกูลาร์ด้วย
9.3 อินเวอร์สการคูณ
เรื่องเมตริกซ์ไม่มีการหาร มีแต่การคูณด้วย อินเวอร์ส (เมตริกซ์ผกผัน; Inverse Matrix)
และ อินเวอร์สการคูณของเมตริกซ์ A ใช้สัญลักษณ์ A−1
โดยนิยามให้ A ⋅ A−1 = A−1⋅ A = I (เปรียบเสมือน A −1 = I )
A
วิธีหาอินเวอร์สการคูณ
เมตริกซ์ 1 × 1 เมตริกซ์ 2×2
ถ้า A = ⎡⎣ a ⎤⎦ ⎡a b ⎤
ถ้า A = ⎢ ⎥
⎣c d⎦
จะได้ว่า A −1 = ⎣⎡ 1/a ⎦⎤
1 ⎡ d −b ⎤
จะได้ว่า A −1 = ⋅ ⎢
det (A) ⎣ −c a ⎥⎦
สมบัติของอินเวอร์สการคูณ
• (AB)−1 = B−1A −1
1 • (A −1)n = (An)−1 = A −n
• (kA)−1 = ⋅ A −1
k • (A −1)−1 = A
−1 1
• A −1 = A =
A
S ¡ÒÃæ¡ÊÁ¡ÒÃeÁµÃi¡«ÁÕ¢o¤ÇÃÃaÇa§´a§¹Õé
1. eÁ×èo·íÒ¡ÒÃÂÒ¢ҧµaǤٳ ä»e»¹oi¹eÇoÃÊoÂÙo¡Õ ½§ µo§¤íÒ¹Ö§¶Ö§ÅíÒ´aº´Ç e¾ÃÒa¡ÒäٳäÁÁÕÊÁºaµ¡i ÒÃÊÅaº·Õ.è . eª¹
AB = C ¡ÅÒÂe»¹ B = A −1C ä´.. æµe»¹ B = CA −1 äÁä´
แบบฝึกหัด 9.3
⎡ − 3 −2⎤ ⎡2 − 3⎤ −1 −1 −1 −1
(43) A = ⎢ ⎥ , B = ⎢4 −6⎥ จงหา A , B , 02 , I2
⎣ 4 2 ⎦ ⎣ ⎦
⎡4 3⎤ ⎡2 3 ⎤ −1 −1 −1
(44) A = ⎢
2 2 ⎥ , B = ⎢4 5⎥ จงหา (AB) , B A
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
(45) จงหาอินเวอร์สการคูณของ
⎡ 1 2⎤ ⎡2 4⎤
(45.1)⎢2 3⎥ (45.3) ⎢ 1 2⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡ cos θ sin θ ⎤
(45.2) ⎢−sin θ cos θ⎥
⎣ ⎦
(52) [Ent’40] กําหนด A = ⎡⎢23 43⎤⎥ , B = ⎡⎢−11 23⎤⎥ , X = ⎡⎢ac bd⎤⎥ และ AX + B = A
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
จงหา b + c
⎡0 1 ⎤ ⎡ 2 − 1⎤ ⎡ −1 0 ⎤
(53) [Ent’38] A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ −1 3 ⎥ , C = ⎢ 1 −2⎥ ถ้า X = (B + C) A จงหา X −1
⎣ 1 2⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡ 1 2 − 1⎤ ⎡0 2 − 3⎤
1
(54) [Ent’37] ถ้า B = ⎢ 3 0 1 ⎥ , C = ⎢3 − 1 2 ⎥ และ AB − AC − I = 0 จงหา A −1
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ 2
⎢⎣ −2 1 0 ⎥⎦ ⎢⎣0 2 1 ⎥⎦
⎡2 1 − 2⎤
* (55) A = ⎢3 0 0 ⎥ จงหา adj A, A (adj A), (adj A) A, det (A), A −1
⎢ ⎥
⎢⎣4 6 − 1 ⎥⎦
⎡2 − 3 2 ⎤
(56) จงหาอินเวอร์สการคูณของเมตริกซ์ A เมื่อ A = ⎢6 3 0⎥
⎢ ⎥
⎢⎣0 − 3 1 ⎥⎦
⎡3 4 ⎤ ⎡30 18⎤
(57) [Ent’41] A = ⎢ ⎥ , C = ⎢ 12 8 ⎥ , B เป็นเมตริกซ์ที่ทําให้ AB = C ข้อใดถูก
⎣ 1 2⎦ ⎣ ⎦
ก. det (B−1) = 12 ค. det (2 Bt) = 24
ข. det (B−1A −1) = 24 ง. det (A2B) = 48
⎡2 5 1 ⎤
(58) A −1 = ⎢ 3 0 0⎥ จงหา det (A t)−1
⎢ ⎥
⎢⎣4 −2 7 ⎥⎦
(59) 2A −1 = B และ det (A) ⋅ det (B) = 16 จงหามิติของเมตริกซ์ B
1 −1 3
(60) A มีมิติ 3×3 และ det (A) = 4 , ถ้า A2 − 3A + I = 0 และ B = A − I
2 2
จงหา det (B)
⎡ 1 2⎤ ⎡ −1 1⎤
(61) [Ent’27] A = ⎢ ⎥ , B = ⎢2 , C = 2AB−1 + B−1 จงหาค่า x เมื่อ det (C) = 1
⎣ x 3 ⎦ ⎣ 1⎥⎦
⎡c − 1 ⎤ 2 2 3 −1 t
(62) [Ent’32] A = ⎢ ⎥ และ det (2A ) + (1− c ) det (A ) = 45 จงหา c
⎣ 1 −c⎦
⎡ 1 a 0⎤
1
(63) A = ⎢1− a − a 1 ⎥ จงหาค่า a ที่ทําให้ a det (A −1)t + det (2A) + 4 = 0
⎢ ⎥ 4a
⎢⎣ 1 0 1 ⎥⎦
(64) [Ent’35] ข้อใดถูก
⎡5⎤ ⎡ 1⎤
ก. ถ้าเมตริกซ์ U = ⎣⎡ 1 − 1 − 4 ⎦⎤ , X = ⎣⎡ 0 1 2 ⎦⎤ , V = ⎢0⎥ , Y = ⎢ − 1⎥ แล้ว เมตริกซ์
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢ 1 ⎦⎥ ⎣⎢ 2 ⎦⎥
3UV − 2XY = ⎡⎣ 3 ⎤⎦
2 1
ข. ถ้า ⎡⎢a2 a⎤⎥ เป็นซิงกูลาร์เมตริกซ์แล้ว a = 2
⎣ ⎦
ค. ถ้า A, B เป็นเมตริกซ์จัตุรัสที่มีมิติเดียวกัน และ det (AB) = 0
แล้ว det (A) = 0 หรือ det (B) = 0
ง. ถ้า A เป็นนอนซิงกูลาร์เมตริกซ์มิติ 2 × 2 แล้ว det ((2A)−1) = det (2A −1)
⎡2 − 1⎤ ⎡ x −x ⎤
(65) [Ent’41] A = ⎢ ⎥ , M = ⎢3/7 x + 3⎥ จงหาเซตจํานวนจริง x ที่ทําให้
⎣1 3 ⎦ ⎣ ⎦
det (M) = det ((2A + A t) A −1)
1
(66) [Ent’36] กําหนด A, B เป็น non-singular matrix โดย det (A −1) = − และ
2
⎡ − 1 −2⎤
B = ⎢ ⎥ จงหา x + y ถ้า AB + 3A = 2I
⎣x y ⎦
⎡ 1 2 − 1⎤
* (67) [Ent’39] ให้ A = ⎢2 1 1 ⎥ ถ้า AB = BA = I จงหาค่า det (adj B−1)
⎢ ⎥
⎢⎣ − 1 1 0 ⎥⎦
⎡ 1 1 − 1⎤
* (68) [Ent’37] ถ้า A = ⎢2 1 3 ⎥ และ AB = BA = I จงหาเมตริกซ์ผูกพันของ B
⎢ ⎥
⎢⎣ 1 0 1 ⎥⎦
1 1 t
ก. A ข. −3A ค. A ง. −3A t
3 3
* (69) [Ent’38] ให้ A, B เป็นเมตริกซ์จัตุรัสมีมิติ 4×4 โดย A (adj A) − BA = I
ถ้า det (B) = 0 แล้ว det (A) มีค่าเท่าใด
หมายเหตุ
จากข้อ 55, 67, 68, 69 ซึ่งเป็นการคํานวณเกี่ยวกับ adj A นั้น เราสามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์
จากสมการ A−1 = adj A ก่อน เพื่อความสะดวกในการคํานวณ
det (A)
A (adj A) A (adj A)
เช่น A ⋅ A −1 = → I = → det (A) ⋅ I = A (adj A)
det (A) det (A)
adj A A
ส่วนความสัมพันธ์อื่น ก็หาได้จาก A −1 = เหมือนกัน เช่น adj A −1 = ,
det (A) det (A)
det (adj A) = (det (A))n − 1 ฯลฯ
9.4 การดําเนินการตามแถว
การดําเนินการตามแถว (Row Operation) ใช้หาอินเวอร์สการคูณ (A −1) ได้
ซึ่งการดําเนินการตามแถวนั้น สามารถกระทําได้ 3 ลักษณะ คือ
a) นําค่าคงที่ k (ที่ไม่ใช่ 0) ไปคูณไว้แถวใดแถวหนึ่ง
b) นําค่าคงที่ k ไปคูณแถวใดแถวหนึ่ง แล้วเอาไปบวกไว้ที่แถวอื่น
c) สลับแถวกัน 1 ครั้ง
ข้อสังเกต
1. เราใช้เครื่องหมาย ~ แทนการดําเนินการแต่ละขั้นตอน และเขียนวิธีกํากับไว้
2. นิยมเขียนแถวที่ถูกดําเนินการไว้ด้านหลัง เช่น 2R1 +R2 แสดงว่า R2 จะเปลี่ยนไป
3. เทคนิคการทําให้เป็น I โดยเร็วที่สุดคือ ทําสมาชิกเป็น 0 ให้ครบทีละสามเหลี่ยม (ล่างหรือบน)
4. หากต้องการสลับที่ระหว่างแถว R1, R2 ก็จะใช้สัญลักษณ์กํากับว่า R12
แบบฝึกหัด 9.4
⎡a b c⎤ ⎡d f e⎤
(70) ถ้า A = ⎢d e f ⎥ , B = ⎢2a 2c 2b ⎥ ถามว่า B เป็นกี่เท่าของ A
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢g h i ⎥⎦ ⎣⎢ g i h ⎥⎦
⎡ a b c⎤ ⎡4x 4y 4z⎤ ⎡p − a + x x ⎤
(71) ถ้า A = ⎢p q r ⎥ , det (A) = 3, B = ⎢ 2a 2b 2c ⎥ , C = ⎢ q −b + y y ⎥ จงหา det (3B−1)
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢x y z ⎥⎦ ⎣⎢ −p − q −r ⎦⎥ ⎣⎢ r − c + z z ⎦⎥
และ det (2C−1)
(72) [Ent’38] ให้ A เป็นเมตริกซ์จัตุรัส 4 × 4 และ M23(A) = 5 จงหา M32(2A)t
(73) [จากข้อ 43,55,56] จงหาอินเวอร์สการคูณของเมตริกซ์ A, B, C, D โดยใช้วิธีดําเนินการ ตาม
⎡2 1 −2⎤ ⎡2 − 3 2⎤
⎡ − 3 −2⎤ ⎡2 − 3 ⎤ ⎢3 0 0 ⎥ , D = ⎢6 3 0⎥
แถว เมื่อ A = ⎢ ⎥ , B = ⎢4 −6⎥ , C =
⎣4 2⎦ ⎣ ⎦ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎢⎣4 6 −1 ⎥⎦ ⎢⎣0 − 3 1 ⎥⎦
9.5 การใช้เมตริกซ์แก้ระบบสมการเชิงเส้น
ระบบสมการเชิงเส้น ที่มีจํานวนตัวแปรเท่ากับจํานวนสมการ เราจะเขียนให้อยู่ในรูปสมการ
เมตริกซ์ได้ เป็น AX = B (เรียก A ว่า เมตริกซ์สัมประสิทธิ์, X เป็นเมตริกซ์ตัวแปร, และ B เป็น
เมตริกซ์ค่าคงที่) สิ่งที่เราต้องการหาก็คือเมตริกซ์ X
⎧ 4x + 2y − z = 0
⎪
เช่น ระบบสมการ ⎨x − y = 3 มี 3 สมการ และมี 3 ตัวแปร
⎪ 5x − 3y + 2z + 1 = 0
⎩
⎡4 2 − 1⎤ ⎡ x ⎤ ⎡0⎤
แปลงเป็นสมการเมตริกซ์ AX = B ได้ว่า ⎢ 1 −1 0 ⎥ ⎢y ⎥ = ⎢ 3 ⎥
⎢ ⎥⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢5 − 3 2 ⎦⎥ ⎣⎢ z ⎦⎥ ⎢⎣ − 1⎦⎥
วิธีแก้สมการเมตริกซ์นี้ มี 3 แบบ
1. วิธีอินเวอร์ส AX = B → X = A −1B เป็นวิธีทําแบบตรงๆ
−1
⎡x ⎤ ⎡4 2 − 1⎤ ⎡0⎤
นั่นคือ ⎢y ⎥ = ⎢ 1 −1 0 ⎥ ⎢3⎥ ก็ต้องหาอินเวอร์สก่อน แล้วคูณกันได้เป็นคําตอบ
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎢⎣ z ⎥⎦ ⎢⎣5 − 3 2 ⎥⎦ ⎢⎣ − 1⎥⎦
det (Ai)
2. กฎของคราเมอร์ (Cramer’s Rule) xi =
det (A)
เมื่อ Ai คือนําเมตริกซ์ B มาแทนลงในหลักที่ i ของเมตริกซ์ A
0 2 −1 4 0 −1 4 2 0
3 −1 0 1 3 0 1 −1 3
−1 −3 2 5 −1 2 5 −3 −1
เช่น จากตัวอย่าง จะได้ x = 4 2 −1
, y = 4 2 −1
, z = 4 2 −1
1 −1 0 1 −1 0 1 −1 0
5 −3 2 5 −3 2 5 −3 2
⎡4 2 − 1 0 ⎤ ⎡ 1 0 0 x⎤
จากตัวอย่างก็ตอ้ งเริ่มจาก ⎢ 1 −1 0 3 ⎥ แล้วทําให้เป็น ⎢0 1 0 y ⎥
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢5 −3 2 −1⎥⎦ ⎢⎣0 0 1 z ⎥⎦
แบบฝึกหัด 9.5
(74) จงหาคําตอบของระบบสมการต่อไปนี้ โดยใช้วิธีอินเวอร์ส
(74.1) x − 2y = 5 (74.2) 2x − 5y = 1
3x + 2y = −1 3x − 7y = 2
4x + 3y + 2z = 5
(75) จงหาคําตอบของระบบสมการ 3x − y − z = 6 โดยใช้วิธีอินเวอร์ส
−x + 2y + z = 1
3x + 2y = 6
(76) จงหาคําตอบของระบบสมการ − 4x + y = 14
โดยใช้กฎของคราเมอร์
(77) จงหาคําตอบระบบสมการนี้โดยใช้กฎของคราเมอร์
2x + 3y + z = 3 x + 2y + 3z = −1
(77.1) x + 2y + z = 1 (77.3) 2x + y − 4z = 9
−x + 4y = −2 x − y + 2z = −2
2x + y + z = 1
(77.2) x − 2y − 3z = 1
3x + 2y + 4z = 5
2x + 4y + z = 1
(78) [Ent’38] กําหนดระบบสมการเชิงเส้น x + 2y = −2 จงหาค่า x
−x − 3y + 2z = 3
(80) จงหาคําตอบของระบบสมการ
x − 2y − z = 1 x − 2y − z = 1
(80.1) 4x + 3y + 2z = −5 (80.2) 4x + 3y + 2z = −5
−2x + 4y + 2z = −4 −2x + 4y + 2z = −2
(81) จงหาคําตอบของระบบสมการ
2
x + 1
z = 0 2
x + 3 y + z = 3
(81.1) [Ent’25] 4
x + 2
y = 4 (81.2) 1
x +2 y + z = 1
3
y + 1
z = 2 − 1
x + 4 y = −2
−1
⎡ 1 0 2⎤ ⎡ 1⎤ ⎡x ⎤
(82) [Ent’25] ให้ A = ⎢2 − 1 1 ⎥ และ B = ⎢2 ⎥ จงหาค่า y ที่ได้จากสมการ A −1 ⎢ y ⎥ = B
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢5 1 2⎦⎥ ⎣⎢0⎦⎥ ⎣⎢ z ⎦⎥
s (x + y) − s = −x − 2y ___(1)
s (x + y) − y = 0 _______(2)
⎡ 1 2 3⎤ ⎡p ⎤ ⎡ 1⎤
(84) [Ent’40] ให้ A = ⎢0 − 1 0⎥ และ X = ⎢ q⎥ ถ้า A2(adj A) X = ⎢6⎥ จงหาค่า p
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎢⎣2 1 0⎥⎦ ⎢⎣ r ⎥⎦ ⎢⎣0⎥⎦
⎡1 − 1 2⎤ ⎡ 1⎤
(85) [Ent’41] ให้ A = ⎢1 a 1 ⎥ และ B = ⎢0⎥ จงหาค่าของ a ที่ทําให้ AX = B หาคําตอบได้
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢1 − 1 a ⎦⎥ ⎣⎢ − 1⎦⎥
⎡ 1 2 a⎤ ⎡x ⎤ ⎡ 1⎤
(86) [Ent’40] ให้ A = ⎢ 2 3 b⎥ , X = ⎢y ⎥ และ B = ⎢ 1⎥ ถ้า AX = B และ
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢ − 1 0 c ⎦⎥ ⎢⎣ z ⎦⎥ ⎣⎢0⎦⎥
⎡1 2 3⎤
A ~ ⎢⎢−01 − 1 − 1⎥ R2−2 R1
0 2 ⎦⎥
⎥
แล้ว x มีค่าเท่าใด
⎣⎢
_____ (20) I = 0
_____ (21) 0 = 0
_____ (22) 2 I = 2
_____ (23) A2 + 5A + 6I = (A + 2I)(A + 3I)
_____ (24) A2 + 5AB + 6B2 = (A + 2B)(A + 3B)
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) 6 และ –9 (26) –34 (27) 60 ⎡ − 1/4 1/4 1/2⎤
(56) ⎢ 1/2 − 1/6 − 1 ⎥
⎡ 1 − 1 −2⎤ (28) 14 (29) 2 ⎢ ⎥
⎢⎣ 3/2 − 1/2 −2 ⎥⎦
(30) −517 −04 = 28
(2) ⎢3 1 −1⎥ (3) เท่ากัน
⎢ ⎥
⎣⎢4 5 1 ⎦⎥ (57) ง. (58) -111
⎡ 3 9 3⎤ (31) –360, 0, 0 1
(4) เท่ากัน (5.1) (59) 4 × 4 (60) −
⎢4 2 7 ⎥
⎣ ⎦ (32) (−2)2(−2)4(−12) = −768 2
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1) a11 + b22 = 2 + 4 = 6 , สังเกต โดยปกติ AB มักจะไม่เท่ากับ BA
2a12 − 3b21 = 2(3) − 3(5) = −9 จึงทําให้ (A + B)2 ไม่เท่ากับ A2 + 2AB + B2 ด้วย
⎡ ○ ○⎤ i=j เพราะ (A + B)2 = (A + B)(A + B)
(2) ⎢Δ ○⎥ Δ i>j
⎢⎣ Δ Δ ⎥⎦ ○ j>i = A2 + AB + BA + B2 ... ซึง่ AB + BA ≠ 2AB
⎡ 1 1− 2 1− 3⎤ ⎡ 1 −1 −2⎤ 20 ⎛ 32 2 1 ⎞
จะได้ ⎢2 + 1 1 2 − 3⎥ = ⎢3 1 −1 ⎥ (13) A t(BA) = ⎡⎢ 1 3⎤⎥ ⎜ ⎡⎢ 1 2⎤⎥ ⎡⎢0 3⎤⎥ ⎟
⎣ ⎦ ⎝⎣ ⎦⎣ ⎦⎠
⎢⎣3 + 1 3 + 2 1 ⎥⎦ ⎢⎣4 5 1 ⎥⎦
20 69 12 18
(3) เท่ากัน เพราะ 2 = cosec 30° , = ⎡⎢ 1 3⎤⎥ ⎡⎢2 7 ⎤⎥ = ⎡⎢12 30⎤⎥
⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦
−4 = log 10−4 , 20 + 1 = 4 และ 5 = 25 ⎡3 0 1 ⎤ ⎡ 1 0 ⎤ ⎡ −1 0⎤
(14) ⎢2 −1 0⎥ ⎢ 1 −1⎥ ⎢ 4 2⎥
(4) เท่ากัน ⎢⎣ 1 1 2 ⎥⎦ ⎣⎢2 3 ⎦⎥ ⎣ ⎦
(จากการย้ายข้างสมการ x2 − x + 1 = 0 จะได้ว่า ⎡ ⎤ −1 0 ⎡ ⎤
x2 = x − 1 , x − x2 = 1 , x = x2 + 1) = ⎢ 1 ⎥ ⎢⎡ 4 2 ⎥⎤ = ⎢ 2⎥ → ∴ c22 = 2
⎣ ⎦ ⎢ ⎥⎦
⎣⎢ ⎦⎥ ⎣
(5.1) ⎡3 9 3⎤
(5.2) ⎡5 −3⎤
⎢⎣4 2 7 ⎥⎦ ⎢⎣9 1 ⎥⎦ (เมื่อคุ้นเคยแล้วจะไม่จําเป็นต้องหาผลคูณให้ครบทุก
⎡ 10 5⎤ ตําแหน่งก็ได้)
(5.3) ⎢ 20 15 ⎥ (6) A + B = ⎡⎢22 64⎤⎥ (15) จาก A = ⎡⎢20 21⎤⎥ จะได้
⎢⎣ −10
40⎦ ⎥ ⎣ ⎦
⎣ ⎦
2 2 2 1 ⎤ ⎡2 1 ⎤ 44
A t + Bt = ⎡⎢4 6⎤⎥ = (A + B)t ⎡
→ A = ⎢0 2⎥ ⎢0 2⎥ = ⎡⎢0 4⎤⎥
2
⎣ ⎦ ⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦
2 3 4 4⎤ ⎡2 1 ⎤ 8 12⎤
และ A + 0 = ⎢⎡ −1 4⎤⎥ = A 3 ⎡
→ A = ⎢0 4⎥ ⎢0 2⎥ = ⎢0 8 ⎥ ⎡
⎣ ⎦ ⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡ 2 3 ⎤ 4 −2 8 4 ⎡ 8 12⎤ ⎡2 1 ⎤ ⎡ 16 30⎤
(7) A t = ⎢ −1 0⎥ , 2A = ⎡⎢6 0 2 ⎤⎥ , → A = ⎢0 8 ⎥ ⎢0 2⎥ = ⎢ 0 16 ⎥ ...ฯลฯ ...
⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎣⎢ 4 1 ⎦⎥
⎣ ⎦
⎡2n n ⋅ 2n ⎤
−2 1 −4 ดังนัน้ รูปทัว่ ไป An = ⎢ 2 n ⎥
และ −A = ⎡⎢ −3 0 −1 ⎤⎥
⎣ ⎦ ⎢0 2 ⎥⎦
⎣
a b +a b a b +a b a b +a b
(8) AB = ⎡a 11b11 + a12 b21 a 11b12 + a12 b22 a 11b13 + a12 b23 ⎤ (16) ตําแหน่ง 11; 2(x + y) − 4 = 1 .....(1)
⎣⎢ 21 11 22 21 21 12 22 22 21 13 22 23 ⎦⎥
(9.1) x = 2, y = 3 ตําแหน่ง 12; (x + y)(y) + 2y = a .....(2)
(9.2) x = 5, y = 4 ตําแหน่ง 21; 6 − 2z = 0 → z = 3 .....(3)
(9.3) x = 7, y = 5 ตําแหน่ง 22; 3y + zy = 1 .....(4)
แทน (3) ใน (4) ได้ y = 1 / 6 ,
(9.4) x = y และเป็นจํานวนนับเท่านัน้
(10) AB3 × 4 , ส่วน BA ไม่มี จาก (1) ได้ (x + y) = 5 / 2
ดังนัน้ จากสมการ (2) จะได้
(11) AB = ⎡⎢−11⋅⋅ 33 ++ 02 ⋅⋅ 11 −11⋅⋅00++20⋅ ⋅11⎤⎥ (5 / 2)(1 / 6) + 2(1 / 6) = a → a = 3/4
⎣ ⎦
5 2 (17) ตําแหน่ง 21; 3 + 2z = 7 → z = 2
= ⎡⎢ −3 0⎤⎥
⎣ ⎦ ตําแหน่ง 22; x + 2 = 5 → x = 3
3 ⋅ 1 + 0 ⋅ (−1) 3 ⋅ 2 + 0 ⋅ 0 36
BA = ⎢⎡ 1 ⋅ 1 + 1 ⋅ (−1) 1 ⋅ 2 + 1 ⋅ 0 ⎥⎤ = ⎢⎡0 2⎥⎤ ตําแหน่ง 12; x + 2y = 7
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
3 −4 −13 − 8
แทน x = 3 ได้ y = 2 ∴ x + y − z = 3
(12) AB = ⎡⎢10 −6⎤⎥ , BA = ⎡⎢ 19 10 ⎤⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ (18) X2 + 2X + I = 0 → (X + I)2 = 0
4 −4 4 −4 4 −44
(A + B)2 = ⎡⎢ 3 7 ⎤⎥ ⎡⎢ 3 7 ⎤⎥ = ⎡⎢33 37 ⎤⎥ (ทําได้เพราะ XI = IX )
⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦ 2
a+1 0 00
1 0 1 0 6 −8 → ⎡⎢ 0 −b + 1⎤⎥ = ⎡⎢0 0⎤⎥ (ใช้เมตริกซ์คูณกันนะ)
A2 + 2AB + B2 = ⎡⎢4 2 ⎤⎥ ⎡⎢4 2⎤⎥ + ⎡⎢20 −12⎤⎥ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡(a + 1)2 0 ⎤ ⎡0 0⎤
3 −4 3 −4 20 −40 → ⎢ 2 ⎥ = ⎢0 0 ⎥ ∴ a = −1 , b = 1
+ ⎢⎡ −1 5 ⎥⎤ ⎢⎡ −1 5 ⎥⎤ = ⎡⎢24 21 ⎤⎥ ⎣ 0 (−b + 1) ⎦ ⎣ ⎦
⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦
(19) A2 + 4A − 5I = 0 3 0
M32(A) = −5 −3 = −9
2
⎡ a + 8 4a + 4b ⎤ ⎡4a 16 ⎤ ⎡5 0⎤ ⎡0 0⎤
⎢2a + 2b 8 + b2 ⎥ + ⎢⎣ 4 4b ⎥⎦ − ⎢⎣0 5⎥⎦ = ⎢⎣0 0⎥⎦ C11(A) = −2 , C32(A) = 9
⎣ ⎦
แสดงว่า a2 + 4a + 3 = 0 .....(1) (26) เลือกหลักที่ 2
→ det(A) = a12c12 + a22c22 + a32c32
4a + 4b + 16 = 0 .....(2)
−3 5 62 6 2
2a + 2b + 4 = 0 .....(3) = −(1) 7 1 + (0) 7 1 − (2) −3 5
และ b2 + 4b + 3 = 0 .....(4) = 38 − 72 = −34
→ แก้ระบบสมการ ได้เป็น a = −1, b = −3 n
(27) วิธี ∑ aijcij (ตามหลัก) เลือกหลักที่ 1 (j = 1)
หรือ a = −3, b = −1 ก็ได้ i=1
= 0 − 18 − 20 + 12 + 0 + 24 = −2 = 0 + 0 − 4 + 0 + 0 + 0 = −4
C C −7 0
คูณขึน้ คูณลง ∴ C 11 C 21 = C −4 = 28
32 44 32
4 −3
M11(A) = −2 1 = −2
2 0 4 −6 −6 1
2 4 −6 จาก ABtC = ⎡⎢ 4 −2⎤⎥
0 −4 0 0 ⎣ ⎦
(31) 5 −2 0 0 = (−4) 5 0 0
1 3 −1 −3 1 −1 −3 −6 1
→ A ⋅ B ⋅ C = 4 −2 = 8
⎛ 4 −6 ⎞
= (−4) ⎜ −(5) −1 −3 ⎟ = (−4)(−5)(−18) = −360 8
⎝ ⎠ → B = = 16
(2)(1 / 4)
ส่วนอีกสองเมตริกซ์นนั้ det มีค่าเป็น 0 (38) det(A) = 2 sin2 x + 2 cos2 x = 2 เสมอ
จะคิดโดยวิธีปกติ (คูณทแยง) ก็ได้ แต่ในทีน่ ี้จะแสดง (จากเอกลักษณ์ของตรีโกณมิติ) ดังนัน้ det ไม่มีทาง
โดยใช้สมบัตทิ ี่ว่า เป็น 0 ∴ ข้อนี้ ไม่มค
ี ําตอบ
(1) นําหลักบวกกัน ค่า det ไม่เปลีย่ น 1 0 −x2
(2) ถ้ามี 2 หลัก เป็น k เท่าของกัน det = 0 (39) 2 1 0 = x3 − 6x2 + 5 = 0
... จากเมตริกซ์แรก นําหลัก 2 ไปบวกหลัก 3 x 3 5
1 a a+b+c 5±3 5
= 1 b a+b+c = 0 → (x − 1)(x2 − 5x − 5) = 0 → x = 1,
1 c a+b+c 2
1 2 −1
(เพราะหลักที่ 3 เป็น a+b+c เท่าของหลักที่ 1) (40) −2 x −2 = x + 4 − 4 + x − 4 − 4
... จากเมตริกซ์ทสี่ อง นําหลัก 1 ไปบวกหลัก 3 1 −2 1
n n + 1 2n + 2 = 2x − 8 = 0 → x = 4
= n + 1 n + 2 2n + 4 = 0
n + 2 n + 3 2n + 6 [สังเกต หลักที่ 2 จะเป็น −2 เท่าของหลักที่ 3]
log 2x −2x
(เพราะหลักที่ 3 เป็น 2 เท่าของหลักที่ 2) (41) log 2x − 1 x
≠ 0
(32) det(−2A3A t(A + A t))
3 → x log 2x + 2x log 2x − 1 ≠ 0
= (−2)2 ⋅ A ⋅ A ⋅ A + At
4
→ x2 log 2 + (2x2 − 2x) log 2 ≠ 0
−1 1 −2 4 2
= 4 ⋅ 3 −1 ⋅ 4 −2
→ 3x2 − 2x ≠ 0 → x ≠ 0,
3
= 4 ⋅ (−2)4 ⋅ (−12) = −768
(42) ⎡a b ⎤ ⎡ −a −c ⎤
(33) det(−2AnA t(A + A t)) ⎢⎣c d⎥⎦ = ⎢⎣ −b −d⎥⎦ →
n
= (−2)2 ⋅ A ⋅ A ⋅ A + A t แสดงว่า a
กับ d เป็น 0 (ก. ถูก)
n+1 2
1 1 2 1 A = B และ B ≠ 0 → แสดงว่า A ≠ 0 ด้วย
= 4⋅ 01 ⋅ 12 = 4 ⋅ (1)n + 1 ⋅ (3) = 12 2
( A = B) → ข. ก็ถูก
(34) A ⋅ X ⋅ B = C ⋅ D ⎡ 1 1 ⎤
1 2 2
C ⋅ D (−5)(−10) (43) A −1 = ⋅ ⎢⎡ −4 −3⎥⎤ = ⎢ 3⎥ ,
→ X = = = −5 2 ⎣ ⎦ ⎢⎣ −2 − 2 ⎥⎦
A ⋅ B (2)(−5)
−2 0 0 12 4 10 1 ⎡ −6 3⎤
B−1 = ⋅ → หาไม่ได้ เพราะ B = 0
(35) 4 3 0 ⋅ X = 0 −5 8 0 ⎢⎣ −4 2⎥⎦
2 15 0 0 1 1 ⎡0 0⎤
02−1 = ⋅ → หาไม่ได้ เพราะ 0 = 0
→ (−30) X = (−60) → X = 2 0 ⎢⎣0 0⎥⎦
สังเกต ข้อนี้เป็นเมตริกซ์สามเหลีย่ ม จะหา det ง่าย 1 1 0 1 0
I2−1 = ⋅ ⎡⎢0 1 ⎤⎥ = ⎡⎢0 1 ⎤⎥ = I2
(36) AB + 4A = 2I → A(B + 4I) = 2I 1 ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
−1
20 27
→ A ⋅ B + 4I = 2I (44) (AB)−1 = ⎡⎢ 12 16⎤⎥
⎣ ⎦
⎛ 1 ⎞ 2 −2 1 ⎡ 16 −27 ⎤
→ ⎜ ⎟ ⋅ x y + 4 = (2)2 −4 27/4
⎝4⎠ = = ⎡⎢ 3 −5 ⎤⎥
−4 ⎣⎢ −12 20 ⎦⎥ ⎣ ⎦
1
→ (2y + 8 + 2x) = 4 → x + y = 4 1 ⎡ 5 −3 ⎤⋅ ⎡ 1 2 −3⎤
4 B−1A −1 =
3
−2 ⎣⎢ −4 2 ⎦⎥ 2 ⎣⎢ −2 4 ⎦⎥
(37) จาก −A3 = 2 2I → (−1)2 A = (2 2)2 1 ⎡ 16 −27 ⎤ −4 27/4
= = ⎡⎢ 3 −5 ⎤⎥
−4 ⎣⎢ −12 20 ⎦⎥
3
→ A = 8 → A = 2 ⎣ ⎦
1 1 หมายเหตุ (AB)−1 = B−1 ⋅ A −1 เสมอ
จาก C−1 = 4 → = 4 → C =
C 4 −1
1 ⎡ 3 −2⎤
(45.1) ⎡ 1 2⎤ =
−3 2
= ⎡⎢ 2 −1⎤⎥
⎣⎢2 3⎥⎦ −1 ⎣⎢ −2 1 ⎦⎥ ⎣ ⎦
24 ⎡ 0 3 18 ⎤ ⎡ 0 −11 0 ⎤
(45.3) 12 = 0 ดังนั้นไม่มีคําตอบ → C(A) = ⎢ −11 6 −8⎥ → adj(A) = ⎢ 3 6 −6⎥
⎢⎣ 0 −6 −3 ⎥⎦ ⎢⎣18 −8 −3 ⎥⎦
1 ⎡4 2⎤ ⎡ −1 2⎤
(46) 2A −1Bt = 2 ⋅ ⋅
−2 ⎣⎢3 1⎦⎥ ⎢⎣ 1 1 ⎥⎦ โจทย์ถาม A ⋅ adj(A) กับ adj(A) ⋅ A
−2 10 2 −10 ⎡ −33 0 0 ⎤
= − ⎡⎢ −2 7 ⎤⎥ = ⎡⎢2 −7 ⎤⎥ ได้เป็น ⎢ 0 −33 0 ⎥ ทั้งสองอย่าง
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎢⎣ 0 0 −33⎥⎦
−1 t t
(47) BA = A → B = A ⋅A
1 ⎡ 0 −11 0 ⎤
1 ⎡ −1 − 3 ⎤ 1 ⎡ −1 3 ⎤ det(A) = −33 , A −1 = − ⎢ 3 6 −6⎥
= ⎢ ⎥⋅ ⎢ ⎥ 33 ⎢⎣18 −8 −3 ⎥⎦
2 ⎣ 3 −1 ⎦ 2 ⎣ − 3 −1 ⎦
1 ⎡4 0 ⎤ 1 0 [หมายเหตุ A ⋅ adj(A) = adj(A) ⋅ A = A ⋅ I
= = ⎡⎢0 1 ⎤⎥
4 ⎢⎣0 4⎥⎦ ⎣ ⎦
เสมอ → แสดงที่มาไว้ในเฉลยข้อ 69]
(48) ⎢ 1 −2⎥ X = ⎢⎡31 20⎥⎤ − ⎢⎡21 24⎥⎤ = ⎢⎡−21 −−22⎥⎤
⎡2 −5⎤
⎡ 3 6 −18⎤
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ (56) จาก M(A) = ⎢ 3 2 −6 ⎥
2 −5⎤
−1
2 −2 ⎢⎣ −6 −12 24 ⎥⎦
→ X = ⎡⎢ 1 −2⎦⎥ ⋅ ⎡⎢ −1 −2⎤⎥
⎣ ⎣ ⎦ ⎡ 3 −6 −18⎤
1 −2 5 ⎡ 2 −2⎤ ⎡ −9 −6⎤ → C(A) = ⎢ −3 2 6 ⎥
= ⎢⎡ −1 2⎥⎤ ⎢⎣ −1 −2⎦⎥ = ⎣⎢ −4 −2 ⎦⎥ ⎢⎣ −6 12 24 ⎥⎦
1⎣ ⎦
4 6
−1
1 2 → det(A) = (แถว2) 6(−3) + 3(2) = −12
(49) A = ⎡⎢8 12⎤⎥ ⋅ ⎡⎢3 4⎤⎥ ⇒ หาไม่ได้
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎡ 3 −3 −6⎤
และ adj(A) = ⎢ −6 2 12 ⎥ ดังนั้น
4 6 ⎢⎣ −18 6 24⎥⎦
เพราะ 8 12 = 0 ดังนั้นข้อนี้ไม่มคี ําตอบ
1 4 1 ⎡ 3 −3 −6⎤ ⎡ −1/ 4 1/ 4 1/2⎤
(50) จาก A ⋅ 4 ⎡⎢9 16⎤⎥ = 4I A −1 = − ⎢ −6 2 12 ⎥ = ⎢ 1/2 −1/6 −1 ⎥
⎣ ⎦ 12 ⎢ −18 6 24⎥ ⎢⎣ 3/2 −1/2 −2 ⎥⎦
⎣ ⎦
→ ⎡ 1 4 ⎤ = A −1 ⋅ I = A −1 ตอบ ⎡1 4 ⎤
⎢⎣9 16⎥⎦ ⎢⎣9 16⎥⎦ (57) A = 2 , C = 24 → ∴ B = C ÷ A = 12
AB = I แสดงว่า A −1 = B
(51) ก. B−1 = 1 = 1 ข้อนี้ผดิ
B 12
⎡1⎤ ⎡3 0 −1⎤ ⎡1⎤ ⎡2⎤
→ A −1 ⋅ ⎢1⎥ = ⎢4 2 0 ⎥ ⎢1⎥ = ⎢6⎥ 1 1
ข. B−1A −1 = = ข้อนี้ผดิ
⎢⎣1⎥⎦ ⎢⎣3 −1 1 ⎥⎦ ⎢⎣1⎥⎦ ⎢⎣3⎥⎦ B ⋅ A 24
A = 0 B = 0 ข้อนี้ถูก
หรือ ab c
(70) จาก A = de f
1 1 gh i
ง. 2A −1 = =
2A 4 A
de f
แต่ 2A−1 = 4 → ข้อนี้ผดิ สลับ R12 ได้เป็น ab c = − A
gh i
A
→ (7x − 11)(x + 5) = 0 ∴ x ∈
11
7
,−5 { } ดังนัน้ ตอบ 2 เท่า
a b c
−1
(71) ก. A = p q r = 3 → สลับ R12 แล้วสลับ
(66) A(B + 3I) = 2I → B + 3I = 2A x y z
→ B + 3I = 22 ⋅ A −1 x y z
R13 อีกครั้ง → a b c = 3 (สลับ 2 ครั้ง det เท่า
2 −2 ⎛ 1⎞ p q r
→ x y + 3 = 4 ⋅ ⎜⎝ − 2 ⎟⎠
4, 2, −1 คูณแต่ละแถว
เดิม) จากนัน้ นํา
→ 2y + 6 + 2x = −2 → x + y = −4
4x 4y 4z
(ข้อ 67 ถึง 69 ควรศึกษาขั้นตอนการพิสจู น์ เพือ่ → 2a 2b 2c = 3 ⋅ (4)(2)(−1) = −24 = B
−p −q −r
นําไปปรับใช้กับโจทย์นอกเหนือจากนี้)
33 9
→ ∴ 3B−1 = = −
−24 8
~
a b c ⎡ 1 0 0 −1/ 4 1/ 4 1/2⎤
ข. จาก A = p q r = 3 → สลับ R12 → ⎢2 1 0 0 1/ 3 0 ⎥
x y z −(1/ 4)R1
(1/ 3)R2
⎢⎣6 0 1 0 1 1 ⎥⎦
~
p q r ⎡ 1 0 0 −1/ 4 1/ 4 1/2⎤
a b c = −3 → ทรานสโพส (det ไม่เปลี่ยน) และ ⎢0 1 0 1/2 −1/6 −1 ⎥
x y z −2R1 + R2 ⎢⎣0 0 1 3/2 −1/2 −2 ⎥⎦
−6R1 + R3
p −a x
นํา -1 คูณหลักที่ 2 → q −b y = −3 ⋅ (−1) = 3 (74.1) ⎡ 1 −2 ⎤ ⎡ x ⎤ = ⎡ 5 ⎤
r −c z ⎢⎣3 2 ⎥⎦ ⎢⎣y ⎥⎦ ⎢⎣ −1⎥⎦
−1
x 1 −2 5 1 ⎡ 2 2⎤ ⎡ 5 ⎤
หลักที่ 3 บวกหลักที่ 2 จะได้ → ⎡y ⎤ = ⎢⎡3 2 ⎥⎤ ⋅ ⎡ −1⎤ =
p −a + x x ⎣⎢ ⎦⎥ ⎣ ⎦ ⎢⎣ ⎦⎥ 8 ⎢⎣ −3 1⎥⎦ ⎣⎢ −1⎦⎥
23 8
q −b + y y = 3 = C ∴ 2C−1 = = 1
r −c + z z C 3 = ⎢⎡ −2⎥⎤ → ∴ x = 1, y = −2
⎣ ⎦
(72) M23(A) = 5 → หาค่า M32(2A)t ⎡ x ⎤ = ⎡2 −5⎤
−1
1
(74.2) ⋅ ⎡⎢2⎤⎥
3 t 3
= 2 ⋅ M32(A) = 2 ⋅ M23(A) = 2 ⋅ 5 = 40 3 ⎢⎣ y ⎥⎦ ⎢⎣3 −7 ⎥⎦ ⎣ ⎦
x 1 −7 5 1 3
หมายเหตุ → ⎡y ⎤ = ⎡⎢ −3 2 ⎤⎥ ⎡⎢2⎤⎥ = ⎡⎢ 1 ⎤⎥
⎢⎣ ⎥⎦ 1⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦
1. M32(A)t = M23(A) เพราะทรานสโพสแล้วค่า det ∴ x = 3, y = 1
เท่าเดิม 4 3 2
−1
5
x
2. ค่า M คือ det ดังนั้นจึงดึง 2 ออกมาได้, แต่ (75) ⎡⎢y ⎤⎥ = ⎢⎡ 3 −1 −1⎥⎤ ⋅ ⎡⎢6⎤⎥
ต้องกลายเป็น 23 เพราะ M คือ det 3 × 3 ⎢⎣ z ⎥⎦ ⎢⎣ −1 2 1 ⎥⎦ ⎢⎣ 1 ⎥⎦
~
⎡2 1 −2 1 0 0⎤ ⎡ 3 0 0 0 1 0⎤ 3 3 1 2 3 1
C; ⎢ 3 0 0 0 1 0⎥ ⎢2 1 −2 1 0 0⎥ −10
⎢4 6 −1 0 0 1 ⎥ R12 ⎢4 6 −1 0 0 1 ⎥ (77.1) x = 1 2 1 ÷ 1 2 1 = = 2
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ −2 4 0 −1 4 0 −5
~
(1/ 3)R1
⎡ 1 0 0 0 1/ 3 0 ⎤
⎢ −6 −11 0 1 0 −2⎥
แทนในสมการสุดท้าย ได้ y = 0
−2R3 + R2
⎢⎣ 4 6 −1 0 0 1 ⎥⎦ จากนั้นแทน x และ y ในสมการใดสมการหนึง่ ที่
~ ⎡ 1 0 0 0 1/ 3 0 ⎤ เหลือ ได้ z = −1
⎢0 −11 0 1 2 −2⎥ 1 1 1 2 1 1
6R1 + R2 ⎢⎣0 6 −1 0 −4/ 3 1 ⎥⎦ −9
−4R1 + R3 (77.2) x = 1 −2 −3 ÷ 1 −2 −3 = = 1
5 2 4 3 2 4 −9
~
(−1/ 11)R2
⎡1 0 0 0
⎢⎣0 −6 1 0
1/ 3 0 ⎤
⎢0 1 0 −1/ 11 −2/ 11 2/ 11⎥
4/ 3 −1 ⎥⎦
2 1 1 27
− R3 → y = 1 1 −3 ÷ (−9) = = −3
35 4 −9
~
6R2 + R3
⎡1 0 0 0 1/ 3 0 ⎤
⎢0 1 0 −1/ 11 −2/ 11 2/ 11⎥
⎢⎣0 0 1 −6/ 11 8/ 33 1/ 11 ⎥⎦
แทน x และ y ลงในสมการใดก็ได้ จะได้ z = 2
−1 2 3 1 2 3 −39 13
~
⎡2 −3 2 1 0 0⎤ ⎡8 0 2 1 1 0⎤ (77.3) x = 9 1 −4 ÷ 2 1 −4 = =
D; ⎢6 3 0 0 1 0⎥ ⎢6 3 0 0 1 0⎥ −2 −1 2 1 −1 2 −27 9
⎢0 −3 1 0 0 1 ⎥ R2 + R1 ⎢6 0 1 0 1 1 ⎥
⎣ ⎦ R2 + R3 ⎣ ⎦ 1 −1 3 −21 7
~ ⎡ −4 0 0 1 −1 −2⎤ → y = 2 9 −4 ÷ (−27) = =
⎢6 3 0 0 1 0⎥ 1 −2 2 −27 9
−2R3 + R1 ⎢⎣ 6 0 1 0 1 1 ⎥⎦
แทน x, y ลงในสมการใดก็ได้ จะได้ z = −4 / 3
x ควรใช้กฎคราเมอร์
(78) ต้องการหาค่าเฉพาะ ⎡ 2 3 1⎤ ⎡1/ x ⎤ ⎡3⎤
1 4 1 2 4 1 (81.2)⎢ 1 2 1⎥ ⎢ y⎥ = ⎢ 1 ⎥
20 ⎢⎣ −1 4 0⎥⎦ ⎢⎣ z ⎦⎥
→ x = −2 2 0 ÷ 1 2 0 = = −20 ⎣⎢ −2⎦⎥
3 −3 2 −1 −3 2 −1
1 3 3 1 2 3 1 −10
(79.1) [A | B] ~ [I | X] → = 1 2 1 ÷ 1 2 1 = = 2
x −2 4 0 −1 4 0 −5
~
⎡ 1 1 1 10⎤ ⎡ 1 1 1 10⎤
⎢3 0 1 13⎥ ⎢2 −1 0 3 ⎥ ∴ x = 1/2 แทนลงในโจทย์ ได้ y = 0, z = −1
⎢2 1 −1 9 ⎥ R1 + R3 ⎢3 2 0 19⎥
⎣ ⎦ −R1 + R2 ⎣ ⎦ ⎡x ⎤ ⎡ 1 0 2⎤ ⎡ 1 ⎤ ⎡ ⎤
(82) ย้ายข้าง.. ⎢ y ⎥ = ⎢2 −1 1 ⎥ ⎢2 ⎥ = ⎢0 ⎥
~ ~
⎡ 1 1 1 10 ⎤ ⎡ 1 1 1 10 ⎤ ⎢⎣ z ⎥⎦ ⎢⎣5 1 2⎥⎦ ⎢⎣0⎥⎦ ⎢⎣ ⎥⎦
⎢2 −1 0 3 ⎥ ⎢2 −1 0 3 ⎥
2R2 + R3 ⎢7 0 0 25⎥ (1/ 7)R3 ⎢ 1 0 0 25/7 ⎥ ∴y = 0
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
~
⎡2 1 −1 5 ⎤ ⎡ 2 1 −1 5 ⎤
⎢ 3 −2 2 − 3 ⎥ ⎢7 0 0 7 ⎥ s(s − 1) s(s − 1)
(79.2) = = −
⎢ 1 −3 − 3 − 2 ⎥
⎣ ⎦
2R1 + R2
−3R1 + R3
⎢ −5 −6 0 −17 ⎥
⎣ ⎦ (s + 1)(s − 1) − s(s + 2) 2s + 1
~ ~
⎡7 0 0 7 ⎤ ⎡ 1 0 0 1 ⎤ s+1 s s + 1 s +2
และ y = s 0 ÷ s s −1
⎢ −5 −6 0 −17 ⎥ ⎢ −5 −6 0 −17 ⎥
⎣ 2 1 −1 5 ⎦
ั แถว....⎢
สลับ ⎥ (1/ 7)R1 ⎢ 2 1 −1 5 ⎥
⎣ ⎦ −s2 s2
= =
~ ~
⎡1 0 0 1 ⎤ ⎡1 0 0 1 ⎤ (s + 1)(s − 1) − s(s + 2) 2s + 1
⎢0 −6 0 −12⎥ ⎢0 1 0 2 ⎥
5R1 + R2 ⎢
−2R1 + R3 ⎣0 1 −1 3 ⎥⎦ (−−1/R6)R2 ⎢0 −1 1
⎣ −3⎥⎦ ⎡ 1⎤
3
(84) A2(adj A) X = A ⋅ AX = ⎢6⎥
~ ⎣⎢0⎦⎥
⎡1 0 0 1 ⎤ x = 1
⎢0 1 0 2 ⎥ ∴ y = 2
หาค่า A ได้ 6 ดังนัน ้
⎣0 0 1 −1⎦ z = −1
R2 + R3 ⎢ ⎥
⎡ 1 2 3⎤ ⎡p ⎤ ⎡1/6⎤
(80) เนื่องจาก สมการที่ (1) กับ (3) มีสัมประสิทธิ์ ⎢0 −1 0⎥ ⎢q⎥ = ⎢ 1 ⎥ → กฎคราเมอร์
เป็น −2 เท่าของกัน ..ดังนั้น A = 0 ทําให้หา ⎢⎣2 1 0⎥⎦ ⎢⎣ r ⎥⎦ ⎣⎢ 0 ⎦⎥
คําตอบที่แน่นอนชุดหนึ่งไม่ได้ 1/6 2 3 1 2 3 3 1
(80.1) สมการ (1) กับ (3) ขัดแย้งกัน ไม่มีคําตอบ p = 1 −1 0 ÷ 0 −1 0 = =
0 1 0 2 1 0 6 2
(80.2) สมการ (1) กับ (3) เป็นสมการเดียวกัน
(85) หาคําตอบได้เสมอเมื่อ A ≠ 0
(จึงเหลือแค่ 2 สมการ) ... มีคําตอบหลายชุด 2
∴ a − a − 2 ≠ 0 → (a − 2)(a + 1) ≠ 0
⎡2 0 1 ⎤ ⎡1/ x ⎤ ⎡0 ⎤
(81.1) ⎢4 2 0⎥ ⎢1/ y ⎥ = ⎢4 ⎥ → a ≠ 2, −1
⎢⎣0 3 1 ⎥⎦ ⎢⎣ 1/ z ⎥⎦ ⎣⎢2 ⎦⎥
1 00 1
= 420 ÷ 42
2 0 1
0 =
8 1 (86)
⎡1 2
⎢2 3
⎢⎣ −1 0
a⎤
b⎥
c ⎥⎦
~ ⎡ 1 2 3⎤
⎢ 0 −1 −1⎥
⎣⎢ −1 0 2 ⎦⎥
→ = −2R1 + R2
x 2 3 1 0 3 1 16 2
แสดงว่า a = 3, b − 2a = − 1 → b = 5, c = 2
∴x = 2 แทนลงในโจทย์ ได้ y = 1, z = −1
⎡ 1 2 3⎤ ⎡x ⎤ ⎡ 1⎤
ดังนัน้ จะได้สมการ ⎢ 2 3 5⎥ ⎢y ⎥ = ⎢ 1 ⎥
⎣⎢ −1 0 2 ⎥⎦ ⎢⎣ z ⎥⎦ ⎣⎢0⎦⎥
1 2 3 1 2 3 2
และ x = 1 35 ÷ 2 35 = = −2 / 3
002 −1 0 2 −3
˜
v ⋅ cTR
º··Õè 10 eÇ¡eµoÃ
ปริมาณในโลกมีสองชนิด คือ ปริมาณสเกลาร์
(Scalar Quantity) และปริมาณเวกเตอร์ (Vector
Quantity) โดยที่ปริมาณสเกลาร์นั้นระบุเฉพาะขนาด
เช่น ระยะเวลา มวล ราคาสิ่งของ แต่ปริมาณเวกเตอร์
นั้นจะระบุทั้งขนาดและทิศทาง เช่น แรง ความเร็ว
ความเร่ง โมเมนตัม บทเรียนเรื่องเวกเตอร์นี้เป็น
พื้นฐานที่สําคัญของวิชากลศาสตร์ ไฟฟ้า และอื่นๆ
การเขียนปริมาณเวกเตอร์จะใช้รูปลูกศร โดยให้ความยาวลูกศรแทนขนาด และหัวลูกศร
ชี้บอกทิศทาง เช่น จากภาพ เวกเตอร์มี “ขนาด” 4 หน่วย และมี “ทิศทาง” ทํามุม 45° กับแกน x
ในทิศทวนเข็มนาฬิกา
B เขียนชื่อเวกเตอร์ ตามจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดของลูกศร เช่น ˜
AB
หรือใช้ตัวพิมพ์เล็ก (ที่เติมขีดด้านบน) ก็ได้ เช่น u, v, w
u ขนาดของเวกเตอร์ u เขียนเป็นสัญลักษณ์ว่า u
y D
เวกเตอร์สองอันจะเท่ากัน ก็ต่อเมื่อ มีขนาด B
45°
x เท่ากัน และมีทิศทางเดียวกัน (ไม่จําเป็นต้อง
A
มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดเดียวกัน เช่น
˜AB = ˜ CD ก็ได้ ถ้ามีขนาดเท่ากัน และทิศ
เดียวกัน ดังภาพ) C
A
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 228 เวกเตอร
10.1 การบวกและลบเวกเตอร์
เวกเตอร์บวกกัน สามารถหาผลลัพธ์ได้สองวิธี คือ หัวต่อหาง และหางต่อหาง
1. หัวต่อหาง ให้นําเวกเตอร์มาเขียนต่อกัน โดยเอาหางลูกศรใหม่มาวางต่อที่หัวลูกศรเดิม
เวกเตอร์ลัพธ์ที่ได้ คือเวกเตอร์ที่ลากจากหางแรกสุด ไปถึงหัวลูกศรปลายสุด
˜ ˜ ˜
AB + BC = AC ในสี่เหลี่ยมด้านขนาน ABCD
v v w
w
u v
u u
u+v u+v+w
w u+v+w
u v u
u+v u+v
v w
u v
u−v
u u−v u
−v
หรือหาได้จากวิธีหางต่อหางแบบใหม่ ให้เขียนเวกเตอร์ตัวตั้งและตัวลบแบบหางชนกัน
เวกเตอร์ลัพธ์ที่ได้ จะลากจากปลายลูกศรของตัวลบ มายังปลายลูกศรของตัวตั้ง
˜AB − ˜AD = ˜ DB ในสี่เหลี่ยมด้านขนาน ABCD
u v u
u−v
S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
ÁuÁ θ ÃaËÇÒ§ u ¡aº v ¨aµo§Ça´¢³a¹íÒËÒ§µoËÒ§eÊÁo¹a¤Ãaº æÅaÁÕ¢¹Ò´äÁe¡i¹ 180 o§ÈÒ
a
a a2+ b2− 2 a b cos θ
a2+ b2+ 2 a b cos θ
θ θ
b b
แบบฝึกหัด 10.1
(1) กําหนดเวกเตอร์ u และ v ดังภาพ ให้วาดรูปหา u+v และ u−v โดยวิธีหัวต่อหาง และหาง
ต่อหาง (สี่เหลี่ยมด้านขนาน)
(2) ให้เขียนเวกเตอร์แสดงการเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 40 กม.ต่อ ชม. ไปทางทิศตะวันออก และ 60
กม.ต่อ ชม. ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
(3) ให้เขียนเวกเตอร์ขนาด 10 หน่วย ทิศ 030 ° , เวกเตอร์ 12 หน่วย ทิศ 135 ° , และเวกเตอร์ 5
หน่วย ทิศ 330 °
หมายเหตุ การบอกมุมในระบบ 3 หลัก (Three Figure System) จะให้ทิศเหนือเป็น 000 องศา
และเพิ่มขึ้นในทิศตามเข็มนาฬิกา (เช่น 090 องศา แทนทิศตะวันออก, 180 องศา แทนทิศใต้)
(4) ถ้า u แทนระยะทาง 50 กม. ในทิศ 170 ° จะได้ว่า −u คืออะไร
(5) นาย ก ออกเดินทางไปในทิศ 030 ° เป็นระยะทาง 1,000 กม. แล้วเดินทางต่อในทิศ 150 °
เป็นระยะทาง 500 กม. จงหาว่าเขาอยู่ทางทิศใดของจุดเริ่มต้น และอยู่ห่างเท่าใด
(6) เครื่องบินออกแรงบินไปทางทิศเหนือด้วยความเร็ว 240 กม.ต่อ ชม. ในบริเวณที่มีพายุพัดไปใน
ทิศตะวันออกด้วยความเร็ว 180 กม.ต่อ ชม. ถามว่า ความเร็วของเครื่องบินจะเป็นเท่าใด
(7) เครื่องบินออกแรงบินด้วยความเร็ว 200 กม.ต่อ ชม. ไปในทิศ 030 ° ถ้ากระแสลมพัดด้วย
ความเร็ว 50 กม.ต่อ ชม. ไปในทิศ 330 ° จงหาอัตราเร็วของเครื่องบินที่แท้จริง
(8) ชายคนหนึ่งพายเรือในน้ํานิ่งได้อัตราเร็ว 4 กม.ต่อ ชม. ถ้าเขาต้องการเดินทางไปทางทิศเหนือ
ขณะที่กระแสน้ําไหลไปทางทิศตะวันตกด้วยอัตราเร็ว 3 กม.ต่อ ชม. แล้ว เขาต้องออกแรงพายเรือไป
ในทิศใด ด้วยอัตราเร็วเท่าใด จึงได้อัตราเร็วเท่ากับการพายปกติในน้ํานิ่ง
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 230 เวกเตอร
10.2 การคูณเวกเตอร์ด้วยสเกลาร์
ผลที่ได้จากการคูณเวกเตอร์ u ด้วยสเกลาร์ a เป็นดังนี้
1. ถ้า a = 0 จะได้ au = 0
2. ถ้า a > 0 จะได้ au เป็นเวกเตอร์ที่มีทิศเดียวกันกับ u แต่มีขนาดเป็น a ⋅ u
3. ถ้า a < 0 จะได้ au เป็นเวกเตอร์ที่มีทิศตรงข้ามกับ u และมีขนาดเป็น a ⋅ u
การคูณด้วยสเกลาร์ มีสมบัติการเปลี่ยนกลุ่ม และการแจกแจง เช่นเดียวกับจํานวนจริง นั่น
คือ a (bu) = (ab) u , (a+b) u = au + bu , และ a (u + v) = au + av
แบบฝึกหัด 10.2
(21) กําหนดให้ u + 4v = 3v − 2w และ 3v − 4w = 2w + 5u
ถ้า w = 12 จงหาค่า u + v + w
(22) u = 2v − w โดยที่ v = w = 1 และมุมระหว่าง v กับ w เป็น 120 °
จงหามุม θ ระหว่าง u กับ v
(23) กําหนดให้ u ≠ 0 , v ≠ 0 และ u ขนานกับ v
จงหาค่า x ที่ทาํ ให้ (x2+ 6x − 2) u − v = (x − 2x2) u + x v
(24) กําหนดให้ u ≠ 0 , v ≠ 0 และ (x2− 5) u − v = (1 − x) u − 3 v แล้ว
u จะขนานกับ v เมื่อ x มีค่าเท่าใด
2 2
(26) u กับ v มีทิศทางเดียวกัน ถ้า u + (6 − 3x2) v = 100 u + v จงหาค่า x
5 3
10.3 เวกเตอร์กับเรขาคณิต
เราสามารถใช้ความรู้เกี่ยวกับเวกเตอร์ พิสูจน์ส่วนประกอบของรูปเรขาคณิตหลายเหลี่ยมได้
รวมทั้งแก้โจทย์ปัญหาประเภท “เขียนเวกเตอร์ที่กําหนด ในรูปผลรวมเชิงเส้นของเวกเตอร์อื่น”
เทคนิคที่ใช้ในการแก้โจทย์ปัญหาแบบนี้ คือ .. (ดูตัวอย่างประกอบ)
1. เขียนเวกเตอร์ที่กําหนด ในรูปผลรวมของเวกเตอร์อื่น แบบใดก็ได้ก่อน
2. พยายามเปลี่ยนเวกเตอร์ที่ไม่ต้องการ เป็นผลรวมของเวกเตอร์ที่ต้องการ ไปทีละขั้นๆ
3. เมื่อเหลือเพียงเวกเตอร์ที่ต้องการแล้ว ก็จัดเป็นรูปอย่างง่าย แล้วจึงตอบ
4. บางครั้งเราต้องอาศัยสมการเวกเตอร์อื่น เพื่อช่วยแปลงให้เป็นเวกเตอร์ที่ต้องการ
ตัวอยาง [Ent’35] สี่เหลี่ยมจัตุรัส ABCD มีจุด M และ N อยูท ี่กึ่งกลางดาน BC และ CD ตามลําดับ
จงหา ˜ AB ในเทอมของ ˜ AM กับ ˜ AN
วิธีคิด วาดภาพตามโจทยไดดังรูป
• เริ่มตน เขียน ˜
AB ในเทอมของเวกเตอรใดๆ กอน
A B ˜
เชน AB = AM + MB ˜ ˜ ____________________ (1)
จากนั้นพยายามเปลี่ยน MB AM หรือ ˜
˜ ใหเปน ˜ AN ใหได
M ˜ ˜
• จากรูป เราเชื่อม MB กับ AN ไดดังนี้
˜ AN + ˜
AB = ˜ NC + ˜
CB
C ˜ 1˜ ˜
D N = AN + AB + 2 MB
2
˜ 1˜ 1
หรือจัดรูปสมการไดวา MB = AB − ˜ AN _________________ (2)
4 2
1 1
เมื่อแทนคาจากสมการ (2) ลงใน (1) ก็จะไดคําตอบ ˜
AB = ˜
AM + ( ˜
4
AB − ˜
2
AN)
4˜ 2
= AM − ˜AN ตอบ
3 3
แบบฝึกหัด 10.3
(30) [Ent’26] สี่เหลี่ยมด้านขนาน ABCD มีจุด P เป็นจุดที่เส้นทแยงมุมตัดกัน จุด Q อยู่บนด้าน
AB โดย AQ : QB = 3 : 5 ถ้า ˜ AB = u และ ˜
AD = v จงหา ˜ PQ ในรูปของ u กับ v
E 4a D D
N
F O
b M
2a a
C
A B C
B
ข้อ (31) A
ข้อ (32)
(32) จากภาพจุด B แบ่งครึ่งด้าน AC , จุด M แบ่งครึ่งด้าน AD , และจุด N กับ O แบ่งด้าน DC
ออกเป็นสามส่วนเท่าๆ กัน ถ้า ˜ AB = a และ ˜ BD = a + b ให้หา MN˜ ในรูปของ a กับ b
(33) สามเหลี่ยม ABC เป็นรูปสามเหลี่ยมใดๆ ให้ ˜ AB = a และ ˜ AC = b ถ้า ˜AD , ˜ BE , ˜
CF
คือมัธยฐานของสามเหลี่ยม ตัดกันที่จุด O จงเขียน ˜ DO ในรูปของ a กับ b
1
(34) สี่เหลี่ยม ABCD เป็นสี่เหลี่ยมด้านขนาน จุด E อยู่บน CB โดย ˜ CE = ˜ CB , จุด F เป็น
3
AC กับ ˜
จุดตัดของ ˜ DE , หาก ˜
EF = a ˜
˜ ˜
ED และ CF
= b CA จงหาค่า a กับ b
แบบฝึกหัด 10.4
(38) จงเขียน ˜PQ ให้อยู่ในระบบแกนฉาก เมื่อกําหนดจุดดังนี้
(38.1) P (2, 4), Q (3, 7) (38.2) P (−2, 3), Q (4, −5)
⎡ − 3⎤
(39) ถ้า ˜
PQ = ⎢ ⎥ ให้หา
⎣2⎦
(39.1) จุดเริ่มต้น เมื่อสิ้นสุดที่ Q (−2, −5)
(39.2) จุดสิ้นสุด เมื่อเริ่มต้นที่ P (4, −6)
⎡3⎤ ⎡2⎤ ⎡ − 3⎤
(41) u = ⎢ ⎥, v = ⎢ ⎥, w = ⎢ ⎥ จงหา 2u − 3v + w และ 2u − 3v + w
−
⎣ ⎦4 −2
⎣ ⎦ ⎣4⎦
⎡3⎤ ⎡2⎤ ⎡ − 1⎤
(43) u = ⎢ ⎥, v = ⎢ ⎥, w = ⎢ ⎥ จงเขียน w ในรูปของ au + bv
4
⎣ ⎦ −
⎣ ⎦1 ⎣2⎦
⎡6⎤ ⎡4⎤ ⎡ 1⎤
(44) ให้เขียนเวกเตอร์ w = ⎢ ⎥ ในรูปผลรวมเชิงเส้นของ u = ⎢ ⎥, v = ⎢ ⎥
⎣9⎦ 1
⎣ ⎦ ⎣4⎦
⎡2⎤ ⎡3⎤
(45) สี่เหลี่ยมด้านขนาน ABCD มี ˜
AB = ⎢ ⎥, ˜
3
AD = ⎢ ⎥ จงหาผลบวกของกําลังสองของความ
−
⎣ ⎦ ⎣4 ⎦
ยาวเส้นทแยงมุมทั้งสองเส้น
⎡3⎤ ⎡ − 4⎤ ⎡5⎤
(46) กําหนดให้ u = ⎢ ⎥, v = ⎢ ⎥, w = ⎢ ⎥ จงเขียนเวกเตอร์ต่อไปนี้ในรูป i กับ j
⎣ −2⎦ ⎣ 1⎦ ⎣ − 3⎦
(46.1) u (46.2) v (46.3) w
(46.4) u + v (46.5) 2u − w
(47) กําหนดคู่อันดับ A (−1, 2), B (−4, −2), C (−3, 4), D (2, −16/3) จงหา
(47.1) 2 ˜ ˜
AB − 3 CD ในรูป i กับ j (47.2) |2 ˜
AB
˜
− 3 CD|
⎡3⎤ ⎡ −2⎤
(48) กําหนดให้ u = ⎢ ⎥, v = ⎢ ⎥ จงหา
⎣ − 4⎦ ⎣8⎦
(48.1) เวกเตอร์หนึ่งหน่วย ที่มีทิศทางเดียวกับ u
(48.2) เวกเตอร์หนึ่งหน่วย ที่มีทิศทางตรงข้ามกับ v
(48.3) เวกเตอร์ขนาด 3 หน่วย ที่มีทิศทางเดียวกับ u + v
(48.4) เวกเตอร์ขนาดเท่ากับ u − v และมีทิศทางเดียวกับ u + v
(49) ถ้า u = 3 i + 4 j ขนานกับ ˜ PQ ซึ่งมีขนาด 15 หน่วย, จุด P คือ (2, 4) จงหาจุด Q
10.5 ผลคูณเชิงสเกลาร์
การคูณเวกเตอร์คู่หนึ่ง จะเกิดผลลัพธ์ได้ 2 แบบ คือ
1. การคูณแบบดอท (Dot Product) u ⋅v
ให้ผลลัพธ์เป็นสเกลาร์ (ตัวเลข) หรือเรียกว่าผลคูณเชิงสเกลาร์ (Scalar Product) ก็ได้
2. การคูณแบบครอส (Cross Product) u× v
ยังคงให้ผลลัพธ์เป็นเวกเตอร์ หรือเรียกว่าผลคูณเชิงเวกเตอร์ (Vector Product) ก็ได้
⎡a ⎤ ⎡c ⎤
นิยาม การคูณแบบดอท ในพิกัดฉาก... ⎢b ⎥ ⋅ ⎢d⎥ = (a i +b j) ⋅ (c i + d j) = ac + bd
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
การคูณแบบดอท ในพิกัดเชิงขั้ว... u ⋅ v = u v cos θ
เราสามารถใช้สมการทั้งสองร่วมกัน ในการคํานวณเกี่ยวกับมุม θ ระหว่าง u กับ v ได้
สมบัติของการคูณเวกเตอร์แบบดอท
2
• u ⋅v = v ⋅u • u ⋅u = u
• u ⋅ (v + w) = u ⋅ v + u ⋅ w • 0⋅u = 0
• a (u ⋅ v) = a u ⋅ v • u ⋅v = 0 ↔ u ⊥ v
สูตรในการหาพื้นที่สามเหลี่ยม
u
เมื่อมีด้านประชิดเป็นเวกเตอร์ u กับ v
และมุมระหว่างเวกเตอร์เป็น θ คือ 1 u v sin θ
θ 2
v พื้นที่สี่เหลี่ยมด้านขนาน คือ u v sin θ
แบบฝึกหัด 10.5
(52) จงหา u ⋅ v เมื่อ
⎡ 4 ⎤
(52.1) u = ⎡⎢−34⎤⎥ , ⎡2⎤
v = ⎢ ⎥ (52.2) u = ⎢
10
⎡ −2⎤
⎥, v = ⎢2⎥
⎣ ⎦ ⎣ − 3⎦ ⎣ − ⎦ ⎣ ⎦
3 4
(52.3) u = 3 i −5 j , v = −4 i +2 j (52.4) u = i − j , v = 2 i −5 j
4 5
(60) กําหนดให้ A (1, 1), B (−1, −2), C (7, 3), D (6, 5) เป็นจุดยอดของสี่เหลี่ยม ABCD ให้หา
ขนาดของมุมแหลม ที่เกิดจากเส้นทแยงมุมตัดกัน
(61) จงหาพื้นที่สามเหลี่ยมตามที่กําหนด
(61.1) สามเหลี่ยม OAB เมื่อ ˜ ˜
OA = 3 i +5 j , OB = 8 i +2 j
(61.2) สามเหลี่ยมมุมฉาก ABC เมื่อ ˜ ˜
AB = 2 i +2 j , AC = −3 i + 3 j
(61.3) สามเหลี่ยมที่มี u + v กับ u − v เป็นด้านสองด้าน เมื่อ u = 2 i − j , v = i + j
(62) ABCD เป็นสี่เหลี่ยมด้านขนาน มีพื้นที่ 24 ตารางหน่วย และ ˜ AB ⋅ ˜AD = 3 จงหาค่า
ˆ
tan(DAB) เมื่อ Â เป็นมุมแหลม
⎡2⎤ ⎡ 1⎤
(63) [Ent’36] u = ⎢ ⎥, v = ⎢ ⎥ ถ้า u ⋅ w = −11 และ v ⋅w = 8 จงหา w−v
−5
⎣ ⎦ ⎣2⎦
(69) เวกเตอร์ใดประกอบกันเป็นรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 237 เวกเตอร
ก. 3 i +2 j , i +5 j , 2 i + 3 j ข. 3 i −2 j , i −5 j , 2 i + 3 j
ค. 3 i −2 j , − i −5 j , 2 i + 3 j ง. 3 i −2 j , 2 i + 3 j , − 3 i +2 j
(70) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
ก. ถ้า cos2 θ = 1 โดย θ เป็นมุมระหว่าง u กับ v แล้ว u& v
6 12
ข. 2 i + j ตั้งฉากกับ − i + j
5 5
ค. (u + v) ⋅ (u + v) = u ⋅ u + 2 u ⋅ v + v ⋅ v
ง. ถ้า u = 3 i −4 j , v = 2 i + j แล้วมุมระหว่าง u กับ v เป็น arccos(2/5 5)
10.6 เวกเตอร์ในพิกัดฉากสามมิติ
ในเนื้อหาเรขาคณิตวิเคราะห์ได้กล่าวไปแล้วว่า
(1) ใน ระนาบ (Plane : R2 ) หนึ่งๆ เราจะอ้างถึงตําแหน่งหรือจุดใดๆ ได้ด้วยค่า พิกัด
(Coordinate) โดยระบบที่นิยมใช้มากที่สุดคือระบบ พิกัดฉาก (Cartesian Coordinate)
ประกอบด้วยแกนอ้างอิง 2 แกนที่ตั้งฉากกัน ณ จุดกําเนิด (จุด O) เรียกชื่อแกนนอนและแกนตั้ง ว่า
แกน x และ y ตามลําดับ
(2) แกนทั้งสองแบ่งพื้นที่ในระนาบ xy ออกเป็น 4 ส่วน เรียกแต่ละส่วนว่า จตุภาค (Quadrant)
(3) การอ้างถึงพิกัดในระบบพิกัดฉาก นิยมเขียนในรูป คู่อันดับ (Ordered Pair) ที่สมาชิกตัวแรก
แทนระยะทางในแนว +x และตัวหลังแทนระยะทางในแนว +y เช่น คู่อันดับ (2, 4)
z z
Q(2,0,1) 1 P(2,4,1)
y 4 y
2
R(2,4,0)
x x
การคํานวณเกี่ยวกับเวกเตอร์สามมิติ
1. เวกเตอร์สองอันจะเท่ากัน ก็ต่อเมื่อ Δx เท่ากัน, Δy เท่ากัน, และ Δz เท่ากัน
⎡ 1⎤ ⎡0⎤ ⎡0⎤
2. เมื่อกําหนดเวกเตอร์หนึ่งหน่วยบนแต่ละแกนดังนี้ i = ⎢0⎥ , j = ⎢ 1⎥ , และ k = ⎢0⎥
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢0⎦⎥ ⎣⎢0⎦⎥ ⎣⎢ 1 ⎦⎥
⎡a⎤
ก็จะเขียนเวกเตอร์ ⎢b ⎥ ได้เป็น a i + bj + ck
⎢ ⎥
⎣⎢c ⎦⎥
3. ขนาดของเวกเตอร์ r = (Δx)2 + (Δy)2 + (Δz)2
(ใช้เป็นสูตรระยะทางระหว่างจุดสองจุด คล้ายทฤษฎีบทปีทาโกรัสใน 2 มิติ)
⎡a⎤ ⎡ d⎤ ⎡ a + d⎤ ⎡a ⎤ ⎡ka ⎤
4. การบวกลบเวกเตอร์ และการคูณด้วยสเกลาร์ ⎢b ⎥ + ⎢e ⎥ = ⎢b + e ⎥ k ⋅ ⎢b ⎥ = ⎢kb ⎥
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣c ⎦ ⎣⎢ f ⎦⎥ ⎣⎢ c + f ⎦⎥ ⎣c ⎦ ⎣kc ⎦
⎡ a ⎤ ⎡ d⎤
5. การคูณแบบดอท ⎢b ⎥ ⋅ ⎢e ⎥ = (a i +b j + c k) ⋅ (d i + e j + f k) = ad + be + cf
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣c ⎦ ⎣⎢ f ⎦⎥
และ u ⋅ v = u v cos θ (ใช้สมการทั้งสองร่วมกัน ในการคํานวณมุม θ ระหว่าง u กับ v )
สังเกตได้ว่าการคํานวณเกี่ยวกับเวกเตอร์ในสามมิตินั้น คล้ายคลึงกับเวกเตอร์ในสองมิติ
และสมบัติของเวกเตอร์ก็เป็นเช่นเดียวกันทั้งหมด ... จะมีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างออกไป นั่นคือ การบอก
ทิศทางในสามมิติ จะไม่กล่าวถึงความชัน แต่จะวัดมุมที่เวกเตอร์กระทํากับแกนทั้งสาม เรียกว่า มุม
กําหนดทิศทาง (Direction Angle) ได้แก่ มุม α (alpha), β (beta) และ γ (gamma)
มุม α คือมุมที่เวกเตอร์ทํากับแกน +x z
มุม β คือมุมที่เวกเตอร์ทํากับแกน +y
มุม γ คือมุมที่เวกเตอร์ทํากับแกน +z u
γ
อาศัยผลคูณแบบดอท (นําเวกเตอร์ u = a i + b j + ck
α β y
มาดอทกับ i , j , k ทีละอัน) จะได้.. O
cos α =
a
, cos β = b , และ cos γ = c x
u u u
เรียกค่าทั้งสามนี้ว่า โคไซน์แสดงทิศทาง (Direction Cosine) มักกล่าวถึงค่าเหล่านี้แทนมุม
ข้อสังเกต cos 2 α + cos 2 β + cos 2 γ = 1
แบบฝึกหัด 10.6
(72) กําหนดพิกัดจุด P (1, 2, 3) และ Q (−1, 3, 5) ให้หา
(72.1) เวกเตอร์ ˜ PQ
(72.2) เวกเตอร์หนึ่งหน่วยในทิศเดียวกับ ˜ PQ
(72.3) เวกเตอร์ขนาด 7 หน่วย ในทิศเดียวกับ ˜ QP
10.7 ผลคูณเชิงเวกเตอร์
การคูณเวกเตอร์แบบครอส เช่น u× v จะยังคงให้ผลลัพธ์เป็นเวกเตอร์
มีนิยามดังนี้
⎡ a ⎤ ⎡ d⎤ ⎡ bf − ce ⎤ i j k
⎢b ⎥ × ⎢e ⎥ = ⎢ cd− af ⎥ = a b c
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣ c ⎦ ⎣⎢ f ⎦⎥ ⎣ae −bd⎦ d e f
u×v
&
(มักจะอาศัย det ของเมตริกซ์ช่วยจํารูปแบบการครอส
u
และหาผลลัพธ์โดยวิธีโคแฟกเตอร์ ตัดแถวตัดหลัก)
** ผลลัพธ์ที่ได้ จะตั้งฉากกับระนาบ uv ... หาทิศทางได้ด้วยกฎมือขวา v v×u
โดยสี่นิ้วพุ่งไปทาง u กํามือเข้าหา v ผลลัพธ์มีทิศทางตามนิ้วโป้งที่ชูขึ้น
(ดังนั้น i × j = k , j × k = i , k × i = j )
ขนาดของเวกเตอร์ลัพธ์ที่ได้ u × v = u v sin θ
ช่วยคํานวณมุม θ ระหว่าง u กับ v ได้
สมบัติของการคูณเวกเตอร์แบบครอส
• u × v = − (v × u)
• u× u = 0
• u × (v + w) = u × v + u × w
• 0× u = 0
• a (u × v) = a u × v
• u ⋅ (v × w) = (u × v) ⋅ w • u× v = 0 ↔ u & v
สูตรในการหาพื้นที่สามเหลี่ยม เมื่อมีด้านประชิดเป็น
u กับ v และมุมระหว่างเวกเตอร์เป็น θ คือ
u 1 1
u v sin θ → u×v
2 2
θ
พื้นที่สี่เหลี่ยมด้านขนาน คือ u v sin θ → u×v
v
แบบฝึกหัด 10.7
(78) ให้หา u × v และเวกเตอร์หนึ่งหน่วยที่ตั้งฉากกับ u และ v ในแต่ละข้อ
(78.1) u = 2 i − 3 j และ v = i − 5 j
(78.2) u = i − 2 j และ v = 3 i + k
(78.3) u = i + 3j และ v = −2 i − 6 j
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) ถึง (3) ดูในเฉลยวิธีคดิ (25) −3 < x < 2 (44) w = u + 2v
(4) 50 กม. ทิศ 350 ° (26) − 4/3 < x < 4/3 (45) 50+26 = 76
(5) 500 3 กม. ทิศ 060 ° (27) x = 6 และ y = 2 (46.1) 3 i −2 j
(6) 300 กม./ชม. ทิศ 037 ° (28) a = 2 และ b = −3 (46.2) −4 i + j
(7) 50 21 กม./ชม. (29) a = 2 b = −1
และ (46.3) 5 i −3 j
1 1 1
(8) 5 กม./ชม. ทิศ 037 ° (30) − u − v (31) a + b (46.4) − i − j
8 2 3
(9) u มีขนาด 6 3 หน่วย 1 1 (46.5) i − j
ทิศ 060 ° หรือ 120 ° (32) a + b (33) − (a + b)
6 6 (47.1) −21i +20 j
และ v มีขนาด 6 หน่วย (34) a = b = 1/4
(47.2) 212 + 202
ทิศ 030 ° หรือ 150 °
m BC + n ˜
˜
BA 3 4
(48.1) i − j
(10) u + v , u 2 + v 2 , u − v (35)
m + n
(36-37) ... 5 5
(11) u − v , u 2 + v 2 , u + v (38) ⎡ 1 ⎤ , ⎡ 6 ⎤ (39) P (1, −7) , (48.2) 1 (i −4 j)
⎢3⎥ ⎢ −8⎥ 17
(12) 6, 2 (13) 20 ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
3
⎡ 3⎤ (48.3) (i + 4 j)
(14) 150 ° (15) 106 Q (1, −4) (40) ⎢ ⎥ → 58 , 17
⎣7 ⎦
(16) 14 (17) 5 41 (48.4) 13 (i + 4 j)
(18) arccos (3/5) (19) 4π/5 ⎡⎢43⎤⎥ → 5 , ⎡⎢−14⎤⎥ → 17 17
(20) ก. เพราะ ˜
AD ยาว 4 ซม.
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ (49) (11, 16) หรือ (−7, −8)
(41) 13 , 15 − 6 2 −a i − b j
(21) 18+6+ 12 = 36 (42.1) ขนานกัน ทิศตรงข้าม (50)
a2 + b2
(22) arcsin ( 3 /2 7) (42.2) ขนานกัน ทิศเดียวกัน (51) 3 i + 3 j
หรือตอบในรูป arccos (−5/2 7) (42.3) ไม่ขนานกัน
(42.4) ขนานกัน ทิศเดียวกัน (52) 18, –28, –22, 11/2
(23) x ≠ −1, −2, 1/3 (53) –37, 11
(24) x ≠ −3, 2 (43) 3 u − 10 v (54) 90 ° , 120 ° , 90 °
11 11
(55) ˜ ˜
AB ⋅ AC = 0 และ 7 (78.1) −7 k และ ±k
(72.3) (2 i − j − 2 k)
3 (78.2) −2 i − j + 6 k และ
มุม A เป็นมุมฉาก (56) 0
(73.1) 38 (73.2) 10 + 44 1
(57) arccos (−1/2 7) หรือ ± (−2 i − j + 6 k)
180 ° − arcsin (3 3 /2 7) (73.3) 1 (−2 i − 5 j + 6 k) 41
38 (78.3) 0 และ ไม่มี
16
(58) 1/5 (59)
25
(3 i − 4 j)
(73.4) arccos( 18 ) (79.1) −3 i − 3 j + 3 k
418
(60) arccos (2/ 5) (79.2) 3 3 ตารางหน่วย
(61.1) 17 ตารางหน่วย (74.1) –3 และ arccos( −3 ) (79.3) 3 /2
20
(61.2) 6 ตารางหน่วย (74.2) 3 และ π/3 (80.1) 29/2 ตารางหน่วย
(61.3) 3 ตารางหน่วย (75) u ตั้งฉากกับ w (80.2) 9 13 ตารางหน่วย
(62) 8 (63) 2 (76) เป็นสามเหลี่ยมมุมฉาก, (81.1) 18 13 ตารางหน่วย
(64) 6 (65) 52 มุม C เป็นมุมฉาก (81.2) 53 ตารางหน่วย
(66) 3/2 (67) 21/5 2 −1 3 (82.1) 2 ลูกบาศก์หน่วย
(68) ± 1/5 (69) ข. (77) ( , , ) และ
(82.2) 0 ลูกบาศก์หน่วย
14 14 14
(70) ถูกทุกข้อ (71) 1/4 −2 1 −3 (ไม่เกิดทรงสี่เหลีย่ ม)
( , , ) ดังนั้นขนานกัน
(72.1) −2 i + j + 2 k 14 14 14
1 (ทิศตรงกันข้าม)
(72.2) (−2 i + j + 2 k)
3
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
B
(1) หัวต่อหาง หางต่อหาง (5)
u+v u+v 1,000 30˚ 30˚ 500
v
v C
30˚ θ
u u
A
หัวต่อหาง หางต่อหาง
u ˜
| AC | = 2 2
1,000 + 500 − 2(1,000)(500)(cos 60°)
v u −v
u −v = 500 3 กม.
−v
u หาทิศด้วยกฎของ sin
คือ sin θ = sin 60° → θ = 30° ∴ ทิศ 060°
500 500 3
(2) 40 km/h (3) 10
5
(6) 180
60 km/h 12
240
θ 2402 + 1802 = 300 กม./ชม.
(4) −u คือ ระยะทาง 50 กม. ทิศ 350°
ทิศ ≈ 037° (เป็น Δ มุมฉาก อัตราส่วน 3:4:5)
(33) C (37) C D
b D E
O B
F
B A
a ˜BE = ˜ BC + ˜
CD + ˜
A DE .....(1)
˜
DO = ˜
1
DA =
1 1 1
(− (a + b)) = − (a + b) ˜ ˜ ˜ ˜
3 3 2 6 AF = AB + BE + EF
3
1 (1)-(2); BE − AF = ˜
˜ ˜ CD − ˜ BE
F E จาก Δ คล้าย ˜ ˜
2 AFD กับ CFE ดังนัน้˜ CD + AF
BE =
2
A B
(38.1) ˜
PQ = ⎡3 − 2⎤ = ⎡ 1 ⎤
จะได้วา่ ˜
EF = ˜ED และ ˜
CF = ˜
1 1
CA ⎣⎢7 − 4⎦⎥ ⎢⎣3⎦⎥
4 4
ตอบ a = b = 1 / 4 (38.2) ˜
PQ = ⎡6⎤
⎣⎢ −8⎦⎥
(35) B C (39.1) ⎡ −3⎤ = ⎡ −2 − x ⎤ → P(x, y) = (1, −7)
จาก ˜BD = ˜
BC + ˜CD n ⎣⎢ 2 ⎦⎥ ⎢⎣ −5 − y ⎦⎥
⎡ −3⎤ = ⎡x − 4⎤ → Q(x, y) = (1, −4)
= ˜
n ˜ D (39.2)
BC + CA .....(1)
m+n ⎣⎢ 2 ⎦⎥ ⎣⎢ y + 6⎦⎥
และ ˜
BD = ˜
BA + ˜
AD m (40) ˜
AB
3 ˜
= ⎡⎢ 7 ⎤⎥ , AB = 32 + 72 = 58
⎣ ⎦
=˜BA −
m ˜
CA .....(2) A ˜ ˜
⎡ 1 ⎤ , BC = 17
m+n BC = ⎢⎣ −4 ⎥⎦
(1)+(2); ˜ ˜ ˜ n − m˜
2 BD = BC + BA + CA ˜
m+n ˜ 4
AC = ⎡⎢ 3 ⎤⎥ , AC = 5
แทน ˜
CA = ˜BA − ˜
BC →
⎣ ⎦
6−6−3 −3
(41) 2u − 3v + w = ⎡⎢ −8 + 6 + 4⎤⎥ = ⎡⎢ 2 ⎤⎥
BD = ˜
n − m⎞ ˜ ˜
2˜ BC + ˜
BA + ⎜⎛ ⎟ (BA − BC) ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎝m + n⎠
˜ ˜ ∴ 2u − 3v + w = 32 + 22 = 13
˜ m BC + n BA
→ BD = ตอบ แต่ 2u − 3v + w = 2(5) − 3(2 2) + 5
m+n
[สังเกต ผลที่ได้เหมือนกับสูตรจุดแบ่งเส้นตรงเป็น = 15 − 6 2 [อย่าลืม!! u + v ≠ u + v ]
อัตราส่วน m:n ในบทเรียนเรขาคณิตวิเคราะห์] (42.1) ขนานกัน ทิศตรงข้ามกัน
(36) A (42.2) ขนานกัน ทิศเดียวกัน
(42.3) ไม่ขนานกัน
D (42.4) ขนานกัน (ความชัน = −2 ) ทิศเดียวกัน
E
(ดูทิศจากเครือ่ งหมายบวกลบที่ x, y )
B
C (43) ⎡⎢ −21⎤⎥ = a ⎡⎢43⎤⎥ + b ⎡⎢−21⎤⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
˜
DE = ˜
DA + ˜
AE .....(1) −1 = 3a + 2b
และ 2 = 4a − b
แสดงว่า
˜ ˜ ˜
BC = BA + AC = 2 ˜ DA + 2 ˜ 3 10
AE .....(2)
∴a = ตอบ w = 3 u − 10 v
,b = −
11 11
11 11
เทียบ (1) กับ (2) พบว่าเป็น 2 เท่าของกันและกัน
(44) เหมื
อ นข้
อ ที แ
่ ล้ ว คื
อ
DE = ˜
ดังนัน้ ˜ 1
BC และ ˜ DE // ˜ BC ด้วย
2 6 = 4a + b และ 9 = a + 4b ∴ a = 1, b = 2
(การพิสูจน์วา่ ขนาน ต้องพิสจู น์วา่ เป็น a เท่าของกัน) ตอบ w = u + 2v
(45) B C (51)
⎡2⎤ j 3 2
⎢⎣ −3⎥⎦ ⎡ −1/ 2 ⎤
⎢ 1/ 2 ⎥ 45˚
⎣ ⎦
A ⎡3 ⎤
D
⎢⎣4⎥⎦ เวกเตอร์ที่ตอ้ งการจะอยู่ใน Q1
เส้นทแยงมุมคือ ˜
AC กับ ˜
BD
แยกเวกเตอร์ขนาด 3 2 ลงบนแกน x และ y
˜ ˜ ˜ จะได้ดา้ นละ 3 หน่วย ดังนัน้ ตอบ 3 i + 3 j
หา AC ได้จาก AB + AD = ⎡⎢51 ⎤⎥
⎣ ⎦ (52.1) u ⋅ v = (3)(2) + (−4)(−3) = 18
BD ได้จาก ˜
หา ˜ AD − ˜
AB = ⎡ 1⎤
(52.2) −8 − 20 = −28
⎢⎣7 ⎥⎦
และได้ ˜ ˜
AC = 26 , BD = 50
(52.3) −12 − 10 = −22
ตอบ 26 + 50 = 76 (52.4) 3 + 4 = 11
2 2
(46.1) u = 3 i − 2 j ⎡ −6⎤ ⋅ ⎡ 5 ⎤ = −37
(53.1)
(46.2) v = −4 i + j ⎣⎢ 7 ⎦⎥ ⎣⎢ −1⎦⎥
(46.3) w = 5 i − 3 j ˜⋅ ˜
(53.2) AB ˜⋅ ˜
BC + AB AC
(46.4) u + v = − i − j −6 −1
= −37 + ⎡⎢ 7 ⎤⎥ ⋅ ⎡⎢ 6 ⎤⎥ = −37 + 48 = 11
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
(46.5) 2u − w = i − j
(54.1) u ⋅ v = u v cos θ
AB − 3 ˜
(47.1) 2 ˜ 28
CD = 2 (−3 i − 4 j) − 3(5 i − j)
3 → u ⋅ v = 2 3 − 2 3 = 0 → ∴ θ = 90°
= −21i + 20 j (54.2) u ⋅ v = (2 3)(−3 3) + (2)(3) = −12
AB − 3 ˜
(47.2) |2 ˜ CD| = 2
21 + 20 = 2
841 → − 12 = (4)(6) cos θ → ∴ θ = 120°
u 3 4 (54.3) u ⋅ v = 0 → ∴ θ = 90°
(48.1) = i − j
u 5 5
(55) ˜
AB = ˜ ˜
⎡4⎤ , AC = ⎡ 8 ⎤ , BC = ⎡ 4 ⎤
(48.2) ใส่ลบเพราะต้องการทิศตรงข้าม ⎣⎢2 ⎦⎥ ⎢⎣ −16⎦⎥ ⎢⎣ −18⎦⎥
v 2 8 1 4
i − j = i − j
AB ⋅ ˜
พบว่า ˜
− =
v 68 68 17 17 AC = 0 ∴ มุม A = 90°
(48.3) u+v = i + 4 j → ต้องการ 3 หน่วย (56) u ⋅ v = u v cos θ
คือ 3 (i + 4 j)
→ −2 + x = ( 2)( 4 + x2 ) cos 135°
17 → x − 2 = − 4 + x2
2 2
(48.4) u−v = 5 + 12 = 13 หน่วย → x2 − 4x + 4 = 4 + x2 → x = 0
13 (57)
∴ ตอบ (i + 4 j)
17 คิดได้ 2 แบบ
v 3 v −u
˜
(49) PQ = ±15 (3 i + 4 j) = ±(9 i + 12 j)
5 5 60˚ 2 θ
[บวกลบ เพราะ “ขนานกัน” อาจเป็นทิศตรงข้ามก็ได้] u
ถ้า ˜
PQ = 9 i + 12 j ได้ Q(11, 16) แบบแรก กฎของ sin ใน Δ;
ถ้า ˜
PQ = −9 i − 12 j ได้ Q(−7, −8) หาขนาด v − u ก่อน
(50) ˜
PQ = a i + bj → ตอบ −a i − b j v −u = 32 + 22 − 2(3)(2) cos 60° = 7
พื้นที่ Δ = 1 ˜ ˜
AB AC
→ cos θ = −1 / 4 .... ∴ θ = arccos(−1 / 4)
2 ∴ มุมระหว่าง u กับ v จะต้องวัดระหว่างหางกับ
1
= (2 2)(3 2) = 6 ตร.หน่วย 1
2 หางเท่านัน้ คือ 180° − arccos(− )
4
(61.3) u + v = 3 i , u − v = i − 2 j → 1
u ⋅ v = u v cos(180° − arccos(− ))
ดังนัน้
1 4
หามุม θ 3 = (3)( 5) cos θ → cos θ =
1 1 3
5
= u v (− cos(arccos(− )) = (2)(3)( ) =
2 1 2 4 4 2
∴ sin θ = → พืน้ ที่ Δ = (3)( 5)( )
5 2 5
= 3 ตร.หน่วย
∴ cos α =
2
, cos β =
−1
และ ˜
PR = 2 i − 3j − 3k
14 14 1 ˜˜ 1 ˜ ˜
3 พื้นที่ Δ = PQ PR sin θ = | PQ × PR |
cos γ = 2 2
14 i j k
สําหรับ v v = 2 14
.... จาก ˜
PQ × ˜
PR = −2 1 2 = 3 i − 2 j + 4 k
−4 −2 1 2 −3 −3
∴ cos α = = , cos β =
2 14 14 14 1 29
∴ พืน้ ที่ Δ = ⋅ 32 + 22 + 42 = ตร.หน่วย
และ cos γ = −3 2 2
14
[ใช้ ˜
QP × ˜
QR หรือ ˜RP × ˜RQ ก็ได้เช่นกัน]
ดังนัน้ u กับ v ขนานกัน (โดยมีทิศตรงข้ามกัน)
(80.2) ˜AB = − i + 4 j + 8 k
i j k
(78.1) เนื่องจาก u × v = 2 −3 0 ˜
AC = 5 i + 2 j + 12 k
1 −5 0
i j k
= 0 i + 0 j − 7k = −7k AB × ˜
˜ AC = −1 4 8 = 32 i + 52 j − 22 k
5 2 12
เวกเตอร์หนึง่ หน่วยทีต่ ั้งฉากกับ u และ v ก็คอื
1
เวกเตอร์ที่ขนานกับ u × v นัน่ เอง พื้นที่ Δ = 322 + 522 + 222 = 9 13 ตร.หน่วย
2
∴ ตอบ ±k (นําขนาดคือ 7 ไปหาร)
(81.1) ˜
BA = i − 4j − 8k
i j k
(78.2) u × v = 1 −2 0 = −2 i − j + 6k
˜
BC = 6 i − 2j + 4k
3 0 1
i j k
1 BA × ˜
˜ BC = 1 −4 −8 = −32 i − 52 j + 22 k
และเวกเตอร์หนึง่ หน่วย = ± (−2 i − j + 6k)
41 6 −2 4
eÃ×èo§æ¶Á
สิ่งที่ไม่ต้องรู้ก็ได้ : ลําดับการคิดค้นเนื้อหาคณิตศาสตร์..
เรื่อง ผู้คิดค้น (ประเทศ) ปี ค.ศ.
ระบบจํานวน 60 และ 360 (เช่น มุม, เวลา)
ชาวบาบิโลนและอียิปต์โบราณ -3000
แนวคิดเรื่องอัตราส่วน π
ทฤษฎีบทปีทาโกรัสในสามเหลี่ยมมุมฉาก Phythagoras of Samos (กรีก) -500
ขั้นตอนวิธีในการหา ห.ร.ม. Euclid (กรีก) -300
แนวคิดเรื่องตรีโกณมิติ Hipparchus (กรีก) -140
ค่าอัตราส่วนตรีโกณมิติของมุม 30° 45° 60° Ptolemy (กรีก) 200
แนวคิดเรื่องสมการกําลังสอง Abu Ja'far Muhammad ibn 830
Musa al-Khwarizmi (แบกแดด)
ลอการิทึมธรรมชาติ (ฐาน e) หรือลอการิทึมเนเปียร์ John Napier (สก๊อตแลนด์) 1618
ชื่อฟังก์ชันไซน์ และสัญลักษณ์ sin Edmund Gunter (อังกฤษ) 1624
หลักการแยกตัวประกอบและแก้สมการพหุนาม Thomas Harriot (อังกฤษ) 1631
การเขียนกราฟ, คูอ่ ันดับ, และผลคูณคาร์ทีเซียน René Descartes (ฝรั่งเศส) 1637
ทฤษฎีบททวินาม Blaise Pascal (ฝรั่งเศส) 1654
ใช้สัญลักษณ์ ∞ แทนจํานวนที่มีค่ามากจนไม่สิ้นสุด John Wallis (อังกฤษ) 1655
แคลคูลัส (อนุพันธ์และการอินทิเกรต) Isaac Newton (อังกฤษ) 1666
และ Gottfried Leibniz (เยอรมัน)
กฎของโลปีตาลในการคํานวณลิมิต Guillaume de L'Hôpital (ฝรั่งเศส) 1696
ใช้สัญลักษณ์ π แทนอัตราส่วนเส้นรอบวงกลม William Jones (อังกฤษ) 1706
สัญลักษณ์ e, i (จํานวนจินตภาพ), และ f(x) Leonhard Euler (สวิส) 1727
การกระจายแบบปกติ โค้งรูประฆัง Abraham de Miovre (ฝรั่งเศส) 1733
แก้ปัญหาสะพานเคอนิกส์แบร์ก Leonhard Euler (สวิส) 1736
กฎของคราเมอร์ (แก้ระบบสมการเชิงเส้นด้วย det) Gabriel Cramer (สวิส) 1750
หลักการมีตัวประกอบจํานวนเฉพาะชุดเดียว Karl Friedrich Gauss (เยอรมัน) 1801
ตรรกศาสตร์แบบสัญลักษณ์ George Boole (อังกฤษ) 1847
แผนภาพของเซต John Venn (อังกฤษ) และ 186x
Leonhard Euler (สวิส)
ทฤษฎีกราฟ Dénes König (ฮังการี) 1936
แผนภาพลําต้น-ใบ และแผนภาพกล่อง John Wilder Tukey (อเมริกา) 1977
ค่าของ e จนถึงทศนิยมละเอียดที่สุดที่คํานวณได้ Robert Nemiroff และ
1994
ความยาว 2 ล้านตําแหน่ง Jerry Bonnell (อเมริกา)
ค่าของ π จนถึงทศนิยมละเอียดที่สุดที่คํานวณได้ Yasumasa Kanada และ
1999
ความยาว 2 แสนล้านตําแหน่ง Daisuke Takahashi (ญี่ปุ่น)
จํานวนเฉพาะ ที่มีค่าสูงที่สุดที่ค้นพบ Curtis Cooper และ
2005
คือ 230402457 - 1 (มีอยู่ 9,152,052 หลัก) Steven R. Boone (อเมริกา)
หมายเหตุ นอกจากที่เราเห็นชื่อผู้คดิ ค้นอย่างชัดเจน เช่น ทฤษฎีบทปีทาโกรัส, กฎของโลปีตาล, กฎของคราเมอร์,
วิธีหา ห.ร.ม. ของยุคลิด, แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์, สามเหลี่ยมปาสคาล ฯลฯ ยังมีอีกหลายชื่อที่น่าสนใจครับ..
(1) คําว่า algebra (พีชคณิต) และ algorithm (กระบวนการคิด) มาจากชื่อของ al-Khwarizmi
(2) คําว่า cartesian มาจากชื่อของ Descartes
(3) สัญลักษณ์ e มาจากชื่อย่อในลายเซ็นของ Euler ซึ่งเป็นผู้ประมาณค่าของ e และพิสูจน์ว่าเป็นจํานวนอตรรกยะ
ส่วน Jones เลือกใช้อักษรกรีก π (pi) แทนอัตราส่วน 3.14.. เพราะมีเสียงขึ้นต้นเหมือน perimeter (เส้นรอบรูป)
และ Wallis เลือกใช้สัญลักษณ์ ∞ แทนค่ามากจนไม่สิ้นสุด เพราะ ∞ เป็นตัวเลขในภาษากรีก แปลว่าหนึ่งพัน
(4) ตรรกศาสตร์แบบสัญลักษณ์ บางครั้งเรียกตัวแปรค่าความจริงว่า boolean มาจากชื่อของ Boole
(5) โค้งปกติรูประฆัง บางครัง้ เรียกว่า Gaussian distribution มาจากชื่อของ Gauss
Cplx
º··Õè 11 ¨íҹǹeªi§«o¹
ระบบจํานวนที่ศึกษากันโดยปกติ คือระบบ
จํานวนจริง (Real Number; R ) ซึ่งเราพบว่าบาง
สมการไม่มีคําตอบที่เป็นจํานวนจริง เช่น x2+4 = 0
หรือ x2+x +2 = 0 ฯลฯ (เพราะในรากที่สองติดลบ) จึง
ได้มีการสมมติจํานวนแบบใหม่ขึ้นมาใช้เพิ่มเติม เพื่อให้
ทุกปัญหามีคําตอบเสมอ จํานวนแบบใหม่นี้เรียกว่า
จํานวนจินตภาพ (Imaginary Number; I m )
จํานวนจินตภาพ อยู่ในรูป bi โดย b ∈ R และนิยามให้ i = −1
เช่น สมการ x2+ 4 = 0 จะได้คําตอบเป็น x = ± − 4 นั่นคือ x = 2 i, − 2 i
−1 ± − 7 1 7
สมการ x2+ x +2 = 0 ใช้สูตรหาคําตอบจะได้ x = นั่นคือ x = − ± i
2 2 2
ระบบจํานวนที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งประกอบด้วยส่วนจริงและส่วนจินตภาพ ในรูป a + bi (โดย
a, b ∈ R ) เรียกว่า จํานวนเชิงซ้อน (Complex Number; C ) มี a เป็นส่วนจริง (Real Part) และ
b เป็นส่วนจินตภาพ (Imaginary Part) และมักแทนตัวแปรที่เป็นจํานวนเชิงซ้อนด้วย z
หมายเหตุ
1. จาก z = a + bi บางทีเขียนว่า a = Re (z) และ b = Im (z) ก็ได้
เช่น ถ้า z1 = 3 − 2 i จะได้ Re (z1) = 3 และ Im (z1) = −2
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 252 จํานวนเชิงซอน
im
แผนภาพของจํานวนเชิงซ้อน เปลี่ยนจากเส้นจํานวนในแกนนอน
1 มิติ กลายเป็นระนาบ 2 มิติ (คือมีแกนจริง; Real Axis กับ แกน
จินตภาพ; Imaginary Axis ตั้งฉากกัน) เรียกว่า ระนาบเชิงซ้อน 0 3 re
(Complex Plane) ... และใช้คู่อันดับ (a, b) หรือเวกเตอร์ที่ชี้จาก
(0, 0) มายัง (a, b) แทนจํานวนเชิงซ้อน z = a + bi ได้
-2 (3,-2)
S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
ÃaÇa§oÂÒÊaºÊ¹¡aºeÇ¡eµoùa¤Ãaº ... ã¹eÃ×èo§eÇ¡eµoùaé¹æ¡¹¹o¹ÁÕ i 桹µaé§ÁÕ j
浨íҹǹeªi§«o¹æ¡¹¹o¹äÁÁÕÊaÅa¡É³oaäÃeÅ æÅa桹µa§é ÁÕ i
11.1 การคํานวณเบื้องต้น
ในการคํานวณเราปฏิบัติเหมือนว่า i เป็นตัวแปรหนึ่ง (ซึ่ง i2= −1 ) เพียงเท่านั้น
1. การเท่ากัน a + bi = c + di ก็ต่อเมื่อ a = c และ b = d
หรือเขียนเป็นคู่อันดับ (a, b) = (c, d) ก็ต่อเมื่อ a = c และ b = d
2. การบวก (a + bi) + (c + di) = (a + c) + (b + d) i
หรือเขียนเป็นคู่อันดับ (a, b) + (c, d) = (a+ c, b + d)
3. การคูณ (a + bi) × (c + di) = (ac −bd) + (ad+bc)i
หรือเขียนเป็นคู่อันดับ (a, b) × (c, d) = (ac−bd, ad+bc)
หมายเหตุ
1. ในระบบจํานวนเชิงซ้อนจะไม่มีการเปรียบเทียบมากกว่า, น้อยกว่า
2. สมการ a × b = ab จะไม่เป็นจริง หากว่า a, b ติดลบทั้งสองจํานวน
z1 − z2 = (3 − 2 i) − (1 + i) = 2 − 3 i
(1 + i)12
• ตัวอยาง ใหหาคา
(1 − i)10
วิธีคิด เนื่องจาก (1 + i)2 = 1 + 2 i + i 2 = 2 i และ (1 − i) 2
= 1 − 2 i + i 2 = −2 i
(1 + i)12 (2 i)6 64 i 6
ดังนั้น = = = −2 i
(1 − i) 10
(−2 i)5 −32 i 5
⎛1+ i⎞ ⎛ 1+ i⎞ ⎛ 1+ i⎞ 2i
หรือคิดไดอีกวิธีดังนี้ ... เนื่องจาก ⎜ 1− i⎟ = ⎜ 1− i⎟ ⋅ ⎜ 1+ i⎟ = 2 = i
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
10
(1 + i)12 ⎛1 + i⎞
ดังนั้น 10
= ⎜ 2 10 11
⎟ (1 + i) = (i) (2 i) = 2 i = −2 i ... (อยาลืม i 11 = i 3 = − i )
(1 − i) ⎝1 − i⎠
แบบฝึกหัด 11.1
(1) z1 = (2, −3) , z2 = (−4, −1) , z3 = (−2, 1) จงหาค่า
(1.1) z1 + z2 (1.4) z1z2
(1.2) z1 − z3 (1.5) z1z3
(1.3) 2 z1 + 3 z2 (1.6) z1 (z2 + z3)
(3) จงหาค่าของ
(3.1) (6, 4) − (3, 5) (3.4) (3, −2) ÷ (5, 4)
(3.2) (−3, −2) − (−4, 2) (3.5) (7, 2) ÷ (0, 3)
(3.3) (−4, 3) − (5, −6) (3.6) (6, 3) ÷ (3, 0)
(7) จงหาค่าของ
(7.1) 2 + 3 i (7.3) −14 + 23 i
+
16 + 12 i
4 − 2i 3 + 4i 4i
2 + i 3 + 4i
(7.2) +
2 −i 1 + 2i
3
⎛ 3+ 4 i 3− 4 i ⎞
(8) จงหาค่าของ ⎜ 3− 4 i − 3+ 4 i ⎟
⎝ ⎠
(9) ให้หาค่าต่อไปนี้
(9.1) i 29 (9.3) i 451
(9.2) i 42 (9.4) i 4, 040
(10) จงหาค่า i 135 + i 136 + i 137 + i 138 และ i 135 i 136 i 137 i 138
(11) [Ent’มี.ค.44] กําหนดให้ z = i 9 + i 10 + ... + i 126 เมื่อ i2= −1 แล้ว จงหาค่า 2 z−1
(1 + i)4
(12) จงหาอินเวอร์สของ
1−i
(13) จงหาค่าของ
(1 + i)16
(13.1) (1 + i)12 (13.3)
(1 − i)10
(1 + i)2 + (1 + i) + 1
(13.2)
1+ i
5m m
(14) จงหาค่า m ∈ I+ ที่น้อยที่สุด ที่ทําให้ ⎛1 + i⎞ = ⎛⎜
1 − i⎞
⎜ ⎟ ⎟
⎝1 − i⎠ ⎝1 + i⎠
สมบัติของสังยุคและค่าสัมบูรณ์
1. z = z ก็ต่อเมื่อ z เป็นจํานวนจริงเท่านั้น และ z = z เสมอ
2. (z−1) = (z)−1 และ z−1 = z −1
3. (zn) = (z)n และ zn = z n n ∈ I+
4. z1 ± z2 = z1 ± z2
แบบฝึกหัด 11.2
(15) z1 = 2 + 3 i , z2 = 3 − 4 i จงหาค่าของ
⎛ z1 ⎞
(15.1) z1 + z2 (15.4) ⎜z ⎟
⎝ 2⎠
(15.2) z1 − z2 (15.5) (z21)
(15.3) z1z2
(18) จงหาค่าของ
(18.1) 3 + 4 i (18.4) −4 + 0 i
(18.2) −5 + 12 i (18.5) (0, −5)
(18.3) − 7 i
(19) จงหาค่า z เมื่อ z คือ
(1+ 3 i)2( 3 − i)4 (3+ 4 i)4
(19.1) (19.3)
(1− 3 i) 2
(1 + i)16
−2 i (1+ 3 i)5
(19.2) (19.4) ((1, 1)−1)4
(1+ 2 i)6
1 1
(22) ถ้า z1 + z2 = 0 และ z1 = z2 = 1 จงหาค่า +
z1 z2
1 + z⎞
(25) เมื่อ z ≠ 1 จงหาค่า Re ⎛⎜ ⎟
⎝1 − z⎠
(28) จงเขียนกราฟของ
(28.1) z−(2+3 i) = 1
(28.2) z +2 = 3 z−2+ 4 i
(28.3) z +2 i + z−2 i = 10
หมายเหตุ โจทย์ข้อนี้อาจเปลี่ยนเป็น “จงหาค่า z ที่สอดคล้องกับสมการต่อไปนี้” ก็ได้ และคําตอบจะ
มีได้มากมาย (ทุกๆ จุดในกราฟ) เพราะตัวแปร z นั้น สมการเดียวไม่เพียงพอ
11.3 รูปเชิงขั้ว
การอ้างถึงพิกัด (a, b) ของจํานวนเชิงซ้อน อาจจะกล่าวได้อีกแบบเป็น (r, θ)
im โดยที่ r แทน “ระยะห่างจากจุดกําเนิด” (modulus) และ
z (a,b) θ แทน “ทิศทาง” (argument) (มุมวัดทวนเข็มนาฬิกาจาก
b แกน +x ) เรียกรูปแบบนี้ว่า รูปเชิงขั้ว (Polar Form)
r
ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างสองระบบนี้เป็นดังนี้
θ re
O a a = r cos θ r = a2 + b2 = z
b = r sin θ tan θ = (b/a)
เราอาจเขียนรูปทั่วไปของ z = a + bi เป็น z = (r cos θ) + (r sin θ)i หรือ z = r (cos θ + i sin θ)
ก. z z และ z /z
1 2 1 2
2 2
z = 2 + (2 3) = 4 และมีมุมเทากับ 60° (หามุมวิธีเดียวกับเวกเตอรและตรีโกณฯ)
1
2 2
z = ( 3) + 1 = 2 และมีมุมเทากับ 150°
2
และจะได z /z = (4/2) ∠(60° − 150°) = 2 ∠(−90°) หรือ − 2 i ... (มุม −90° คือ − i )
1 2
4
ข. z 2
แบบฝึกหัด 11.4
(29) ให้เขียนจํานวนเชิงซ้อนต่อไปนี้เป็นรูปเชิงขั้ว
(29.1) −1− 3 i (29.4) −5
(29.2) (4, −4) (29.5) 4i
(29.3) (10, 0) (29.6) −3 i
(30) ถ้า z1 = 4 (cos 30° + i sin 30°) และ z2 = 3 (cos 180° + i sin 180°)
จงหาค่า z1z2 ในรูป a + bi
(31) ถ้า z1 = 2 (cos 18° + i sin 18°) , z2 = −3 (cos 72° + i sin 72°) และ
zz
z3 = −4 (cos 30° + i sin 30°) จงหาค่า z1z2z3 และ 1 2 ในรูป a + bi
z3
(36) จงหาค่าของ
50
(36.1) ⎛⎜ 3 i⎞
+ ⎟
⎝ 2 2⎠
−8 −8
⎛ −1+ −3 ⎞ ⎛ −1− −3 ⎞
(36.2) ⎜ ⎟ + ⎜ ⎟
⎝ 2 ⎠ ⎝ 2 ⎠
(1 + i)30
(36.3)
( 2 − 2 i)10
z18
(37) [Ent’มี.ค.44] ถ้า 2 z3 = 1+ 3 i และ = a + bi เมื่อ a และ b เป็นจํานวนจริง
i − z27
จงหาค่า a + b
(39) จงหาค่า
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 259 จํานวนเชิงซอน
(39.1) รากที่สี่ของ −8 + 8 3 i
(39.2) รากที่สามของ 8 i ในรูป a + bi
(39.3) รากที่สามของ −8 i
(39.4) รากที่สองของ −4+ 4 3 i
(39.5) รากที่สองของ −2 3 − 2 i
(39.6) รากที่สองของ −15 − 8 i
(40) จงหารากที่สองของ 3+ 4i โดยวิธีสมมติคําตอบ (x + y i)2 = 3 + 4 i
2 2
(41) [Ent’24] ถ้าสมการ x2 = −2 − 2 3 i มีคําตอบเป็น z1 และ z2 แล้ว จงหา z1 + z2
11.4 สมการพหุนาม
จากนี้สมการพหุนามดีกรี n ในรูป anxn+ an − 1xn − 1+ an − 2xn − 2+ ... + a0 = 0 จะหาคําตอบ
ได้ n จํานวนเสมอ ซึ่งใน n คําตอบนี้ อาจเป็นจํานวนจริงและจํานวนเชิงซ้อนปนกันอยู่ สามารถ
คํานวณโดยแยกคําตอบที่เป็นจํานวนจริงออกจนเหลือเพียงดีกรีสอง แล้วอาศัยสูตร
−b ± b2− 4ac
x = ช่วยในการหาคําตอบที่เป็นจํานวนเชิงซ้อน
2a
ข้อสังเกต
−b ± b2− 4ac
1. จากสูตร x = ทําให้เราพบว่า ในสมการที่สัมประสิทธิ์ทั้งหมดเป็นจํานวนจริง ถ้า
2a
A + Bi เป็นคําตอบหนึง่ ของสมการแล้ว จะมีสังยุค A − B i เป็นอีกคําตอบด้วยเสมอ
2. หากไม่ต้องการใช้สูตร อาจใช้วิธีจัดกําลังสองสมบูรณ์ก็ได้
เช่น x2 + 4x + 7 = 0 → (x2 + 4x + 4) + 3 = 0 → (x + 2)2 + 3 = 0 → x = −2 ± 3 i
3. ทฤษฎีเศษเหลือ และทฤษฎีตัวประกอบ (หารลงตัว) ของพหุนาม ที่เคยได้ศึกษาในหัวข้อจํานวน
จริง ยังคงใช้ได้กับจํานวนเชิงซ้อน และนอกจากนี้การหารสังเคราะห์ก็ยังใช้ได้เช่นกัน
3 2
• ตัวอยาง ใหหาเซตคําตอบ (ทุกคําตอบ) ของสมการ x − 3x + 9x + 13 = 0
วิธีคิด ใชวิธีแยกตัวประกอบ (จากบทเรียนเรื่องพหุนาม) เชนการหารสังเคราะห
2
จะไดผลเปน (x + 1)(x − 4x + 13) = 0
ซึ่งวงเล็บหลังมีดีกรีสอง แตหาตัวเลขเพื่อแยกตัวประกอบไมได จึงใชสูตรไดวา
4 ± (−4)2− 4 (1)(13) 4 ± −36 4 ± 6i
x = = = = 2 ± 3i
2 (1) 2 2
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการนีค้ ือ { 1, 2 + 3 i, 2 − 3 i }
4 3 2
• ตัวอยาง ใหหาเซตคําตอบของสมการ x − 3x + 6x − 6x + 4 = 0 เมื่อทราบวา
มี 1 + i เปนคําตอบหนึ่ง
วิธีคิด การมี 1 + i เปนคําตอบหนึ่ง แสดงวาตองมี 1 − i เปนอีกคําตอบดวย
แบบฝึกหัด 11.4
(42) จงหาคําตอบของสมการต่อไปนี้
(42.1) x2 + 16 = 0
(42.2) 2x2 − 3x + 4 = 0
(42.3) 2x3 − x + 1 = 0
(43) [Ent’26] ให้หาค่าสัมบูรณ์ของรากของสมการ z2(1−z2) = 16
* (44) ให้หาคําตอบของสมการ
(44.1) 2x2 + (1 − 2 i) x + 1 = 8 i
(44.2) 2 i x2− 3x − 3 i = 0
(44.3) x2 + 2(i − 1) x − 1 − 2 i = 0
(44.4) x2 − (2+ 3 i) x − 1 + 3 i = 0
[Hint : สูตรของสมการดีกรีสอง สามารถจัดรูปใหม่ได้ว่า (2ax +b)2 = b2−4ac ]
(56) จงหาผลบวกของค่าสัมบูรณ์ของรากสมการ
(56.1) [Ent’มี.ค.43] z4 + z2 + 2 = 0
(56.2) x4 − 2x3 + 12x2 − 8x + 32 = 0
* (56.3) [Ent’27] x5 − 3 i x4 + 4x − 12 i = 0
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1.1) (−2, −4) (1.2) (4, −4) (7.1) 1 + 4 i (7.2) 14 + 2 i (19.4) 1/4 (20) 125
10 5 5 5 (21) 1/4 2 (22) 0
(1.3) (−8, −9) (1.4) (−11, 10) 3
48
(1.5) (−1, 8) (1.6) (−12, 18) (7.3) 5 + i (8) − ⎛⎜ ⎞⎟ i (23.1) 7 + 10 i หรือ
⎝ 25 ⎠ −10 − 7 i
(2.1) (−2, 3),(2/13, 3/13)
(9.1) i (9.2) –1 (9.3) –i (23.2) 2 + 5i หรือ −5 − 2 i
(2.2) (4, 1),(−4/17, 1/17) (9.4) 1 (10) 0, –1 (11) –1–i
(2.3) (2, −1),(−2/5, −1/5) (23.3) 6 + 17 i หรือ 6 + 8 i
(12) −1 + i (13.1) –64 2
(2.4) (−1, 0),(1, 0) (3.1) (3, −1) 4 4 1− z
(24) 6 (25)
(3.2) (1, −4) (3.3) (−9, 9) (13.2) + i (13.3) 8 i
5 2
1− z
2 2
(3.4) (7/41, −22/41) (26) 1/2 (27) ข.
(14) 2 (15.1) 5 + i (28.1) กราฟวงกลม รัศมี 1
(3.5) (2/3, −7/3) (3.6) (2, 1)
(15.2) −1 − 7 i (15.3) 18 − i หน่วย มีจดุ ศูนย์กลางที่ (2, 3)
(4.1) (−2, −5)
(15.4) −6 − 17 i (28.2) กราฟวงกลม รัศมี 4.5
(4.2) (− 1 , − 21) (4.3) ( 1 , 7) 25 25
หน่วย จุดศูนย์กลางอยูท่ ี่
13 13 5 5
(15.5) −5 − 12 i (16) 1 + i (2.5, −4.5)
(4.4) 2, 3/2
i (28.3) กราฟวงรีตามแกน y มี
(5) 1 , 1 หรือ − 1 , − 1 (17) 2 + 3 (18.1) 5 ศูนย์กลางที่จดุ กําเนิด แกนเอกยาว
2 2 2 2
(18.2) 13 (18.3) 7 (18.4) 4 10 แกนโทยาว 2 21 หน่วย
(6) (− 10 , 24 ) (18.5) 5 (19.1) 16
169 169 (29.1) 2 (cos 240° + i sin 240°)
(19.2) 64 (19.3) 625 หรือ 2 ∠240°
81 256
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1) z1 + z2 = (−2, −4) , z1 − z3 = (4, −4) , 3 − 2i (3 − 2 i)(5 − 4 i)
(3.4) =
5 + 4i 52 + 42
2 z1 + 3 z2 = (4, −6) + (−12, −3) = (−8, −9) ,
z1z2 = (2 − 3 i)(−4 − i) 15 − 10 i − 12 i − 8 7 22
= = ( ,− )
41 41 41
= −8 − 2 i + 12 i − 3 = (−11, 10) ,
7 +2i 7+2i −7 i + 2 2 7
z1z3 = (2 − 3 i)(−2 + i) (3.5) =( )(−i) = = ( ,− )
3i 3 3 3 3
= −4 + 2 i + 6 i + 3 = (−1, 8) 1
[ข้อสังเกต = −i ]
z1 (z2 + z3) = z1z2 + z1z3 = (−12, 18) i
(2.1) อินเวอร์สการบวก คือ −z1 = (−2, 3) 6 + 3i
(3.6) = (2, 1)
1 3
อินเวอร์สการคูณ คือ z1−1 = (4.1) (x, y) = (−4, −1) − (−2, 4) = (−2, −5)
2 − 3i
−5 − 3 i (−5 − 3 i)(2 + 3 i)
2 + 3i 2 3 (4.2) (x, y) = =
= =( , ) 2 − 3i 13
22 + 32 13 13
(2.2) −z2 = (4, 1) (−10 + 9) + (−6 − 15) i 1 21
= = (− ,− )
13 13 13
1 −4 + i 4 1
z2−1 = = (− , )
(4.3) (x, y) = 3 + i = (3 + i)(1 + 2 i)
=
−4 − i (−4)2 + 12 17 17
1 − 2i 5
(2.3) −z3 = (2, −1)
(3 − 2) + (1 + 6) i 1 7
1 −2 − i 2 1 = =( , )
z3−1 = = = (− , − ) 5 5 5
−2 + i (−2)2 + 12 5 5
1
(4.4) x − 2yi = 1 + 1 + 2 + 1
i i
(2.4) −z4 = (−1, 0) , z4 −1 = = (1, 0)
1 = −i + 1 − 2 i + 1 = 2 − 3 i
(3.1) (3, −1) (3.2) (1, −4) ∴ x = 2, y = 3 / 2
(3.3) (−9, 9)
(2)(2)5 64
(19.2) = → 108 = 3a2 + 3b2 → 36 = a2 + b2
( 3)6 81
→ z = 6
54 625
(19.3) =
(25) 1+ z 1 + a + bi
2
16
256 =
1− z 1 − a − bi
4
1
(19.4) ( ( 2 )−1 ) = =
[(1 + a) + bi] [(1 − a) + bi]
4 (1 − a)2 + b2
3
⎛ 2−i 3 + 2i 5 + 4i ⎞ 1 + 2bi − b2 − a2
(20) ⋅ ⋅ 4 − 3i ⋅
⎜⎜ 1 + 2 i 2 − 3 i −
⎟
4 − 5 i ⎟⎠ = 2
⎝ 1− z
3
= (1 ⋅ 1 ⋅ 5 ⋅ 1) = 125 1 + z⎞ 1 − (a2 + b2) 1− z
2
∴ Re ⎛⎜ ⎟ = 2
= 2
(21) z = (2)(2)( 2) = 4 2 ⎝1 − z⎠ 1− z 1− z
1 −1 −1 + i
→ z−1 = (4 2)−1 = (26) (i+ 1)(z + 1) = − 1 → z + 1 = =
4 2 i+1 2
1 1 z + z1 −1 + i 3 1
(22) + = 2 = 0 → z = −1= − − i
z1 z2 z1z2 2 2 2
(หมายเหตุ โจทย์บอก z1 กับ z2 เพือ่ ป้องกัน ดังนัน้ z = − 3 + 1 i
2 2
ไม่ให้ส่วนเป็นศูนย์ เท่านัน้ )
(23) การหาค่า z จากสมการค่าสัมบูรณ์ หาค่า z(z − z)15 = ⎛⎜ − 3 + 1 i ⎞⎟ (i)15
⎝ 2 2 ⎠
ต้องทราบ 2 สมการ จึงแก้หา a, b ได้ ⎛ 3 1 ⎞
= ⎜ − + i ⎟ (−i) =
1 3
+ i
(23.1) a + bi + 1 = 1 ⎝ 2 2 ⎠ 2 2
a + bi + 3 − 2 i ∴ ส่วนจริง คือ 1 / 2
→
(a + 1)2 + b2
= 1
(27) ก. a2 + b2 = 1 เป็นกราฟวงกลม
(a + 3)2 + (b − 2)2 ข. 2a = a2 + b2 → 4a2 = a2 + b2
→ (a + 1)2 + b2 = (a + 3)2 + (b − 2)2 → 3a2 − b2 = 0 → 3a = b, 3a = −b
→ − 4a + 4b − 12 = 0 → a − b = − 3
.....(1) เป็นกราฟเส้นตรงสองเส้น (ตอบ ข.)
และ z = 149 → a + b = 149 .....(2) 2 2 ค. 2a = a2 + b2 → 1 = a2 + 2a + 1 + b2
แก้ระบบสมการได้ b = 10 → a = 7 หรือ → 1 = (a + 1)2 + b2 เป็นกราฟวงกลม
b = −7 → a = −10
ง. (3a)2 + (3b + 1)2 = a2 + (b + 3)2
∴ ตอบ z = 7 + 10 i หรือ −10 − 7 i → 8a2 + 8b2 = 8 → a2 + b2 = 1
(23.2) สมการแรกเหมือนข้อ (23.1) คือ เป็นกราฟวงกลม
a − b = −3 .....(1)
(28.1) (a − 2)2 + (b − 3)2 = 1
และสมการที่สอง คือ a2 + b2 = 29 .....(2)
→ (a − 2) + (b − 3)2 = 1
2
เป็นกราฟวงกลม
แก้ระบบสมการได้ b = 5 → a = 2 หรือ
b = −2 → a = −5 รัศมี 1 หน่วย และมีจุดศูนย์กลางที่ (2, 3)
∴ ตอบ z = 2 + 5i หรือ −5 − 2 i (28.2) (a + 2)2 + b2 = 3 (a − 2)2 + (b + 4)2
(2∠45°) ⎝ 2∠45° ⎠
z1z2 rr 3 10
= 1 2 ∠(θ1 + θ2 − θ3) = ∠60° ⎛ 2⎞ 10 5
z3 r3 2 = ⎜ ⎟ (2 )∠900° = 2 ∠180° = −32
⎝ 2 ⎠
3 3 3
= + i 1+ 3i
4 4 (37) z3 = = 1∠60°
2
(32) z61 = r16∠6θ1 = 64∠90° = 64 i z18 (z3)6 16 ∠360°
→ = =
และสังเกต z2 = 2 (cos π − i sin π)
27 3 9
i−z i − (z ) i − 19 ∠540°
3 3 1 1 1 1
= = = − i
ตรงกลางเป็นเครือ่ งหมาย ลบ ต้องทําเป็นบวกก่อน i − (−1) 1+i 2 2
→ z2 = 2 (cos(−
π) + i sin(−
π)) ∴ a + b = 1/ 2 − 1/ 2 = 0
3 3 π⎞ π 1 6
3
จึงคํานวณต่อได้ (38) z1 = ⎜⎛ 1∠ ⎟ = 1∠ = + i →
⎝ 18 ⎠ 3 2 2
8π 4π 1
z28 = r28∠8θ2 = 16∠(− ) = 16∠ จาก 2z1z2 = 1 + z2 → z2 =
3 3 2z1 − 1
= −8 − 8 3 i 1 1
→ z2 = =
(33) วิธียกกําลังโดยตรง (1 + 3 i) − 1 3i
4
→ ( 3 + i)8 [( 3 + i)2 ] = (2 + 2 3 i)4 1
→ z2 = → z2−1 = − 3 i
2 − 3i
= ⎡⎣(2 + 2 3 i)2 ⎤⎦ = (−8 + 8 3 i)2
= −128 − 128 3 i
(48) แสดงว่าอีกรากคือ 4 − 3i
2
∴ Ax + Bx + C = (x − 4 + 3 i)(x − 4 − 3 i)
= x2 − 8x + 25 → A + B + C = 18 (54.2) แยกตัวประกอบได้
(x + 1)(x − 2)(x + 2)(x2 + 2x + 4) = 0
(49) (x − 2)(x − 1 + i)(x − 1 − i) = 0
(x − 2)(x2 − 2x + 2) = 0
∴ ตอบ −1, ± 2, − 1 ± 3i
(x + 4 i)(x − 4 i) = 0 1 3
→ x = ± 1, ± i, ± i ตอบ ผลบวก = 1
2 2 2 2
→ (x − 4x + 16)(x + 16) = 0
−1 ± 1 − 8
→ x4 − 4x3 + 32x2 − 64x + 256 = 0 (56.1) z2 =
2
(51) (x − 2 + 2 i)(x − 2 − 2 i) = x2 − 4x + 8 2 2
2 ⎛ 1⎞ ⎛ 7⎞
จากโจทย์แยกได้ (x2 − 4x + 8)(x2 − 7) = 0 → z = ⎜ ⎟ +⎜ ⎟ = 2
⎝2⎠ ⎝ 2 ⎠
คําตอบที่เหลือคือ 2 − 2 i, ± 7 ∴ z = 4
2 → ผลบวก 4 คําตอบ = 44 2
(52) (x + 1 + i)(x + 1 − i) = x2 + 2x + 2 (56.2) (x2 + 4)(x2 − 2x + 8) = 0
จากโจทย์แยกได้ (x2 + 2x + 2)(x2 − 2) = 0 → x = ± 2 i, 1 ± 7 i
คําตอบคือ −1 ± i, ± 2 ตอบ 2 i + −2 i + 1 + 7 i + 1 − 7 i = 4 + 4 2
(53) (x + 1 − 3 i)(x + 1 + 3 i) = x2 + 2x + 4 (56.3) (x4 + 4)(x − 3 i) = 0
จากโจทย์แยกได้ → x = 3 i หรือ x4 = −4
(x2 + 2x + 4)(x3 − 2x2 + 9x − 18) = 0 ผลบวกค่าสัมบูรณ์ = 3 i + 4 4 + 4 4 + 4 4 + 4 4
→ (x2 + 2x + 4)(x − 2)(x2 + 9) = 0
= 3+4 2
∴ คําตอบคือ −1 ± 3 i, 2, ± 3 i
(57) แสดงว่า p(−2 i) = 0 [ทฤษฎีตวั ประกอบ]
(54.1) เนื่องจากสมการ x6 − 1 = 0 แยกตัว (−2 i)3 − (5 − 2 i)(−2 i)2 + (7 − 10 i)(−2 i) + k = 0
ประกอบได้ (x − 1)(x5 + x4 + x3 + x2 + 1) = 0 → k = 14 i
แสดงว่าคําตอบของพหุนามดีกรี 5 ในโจทย์ ก็คือ (58) ถ้าแทนค่า x ลงไปในพหุนามจะคํานวณยาก
คําตอบของสมการ x6 − 1 = 0 ยกเว้น x=1 นั่นเอง จึงใช้ทฤษฎีเศษเหลือ ตามคําใบ้ในโจทย์ (ซึ่งต้องตั้ง
x6 − 1 = 0 → x6 = 1 ดังนั้น x เป็นรากที่ 6 ของ หารยาว เพราะหารสังเคราะห์กาํ ลังสองไม่ได้, หาร
1 (ซึ่งเราจะหาคําตอบทั้ง 6 ได้ โดยอาศัยรูปเชิงขัว้ ) สังเคราะห์กาํ ลังหนึ่งก็ยาก เพราะติด i) →
ตอบ −1 , ± 1 ± 3 i ได้คําตอบ (คือเศษ) = −31
2 2 (59) P(x) = x3 + Bx2 + Cx + D
เพิ่มเติม จากเนื้อหาเรื่องลําดับและอนุกรม จาก 1 + 3 i เป็นรากของ P(x)
ถ้าศึกษาเรื่องอนุกรมเรขาคณิตในบทที่ 13 แล้ว จะ → (x − 1 − 3 i)(x − 1 + 3 i) = x2 − 2x + 4
สามารถจัดรูปสมการ x5 + x4 + x3 + x2 + 1 = 0 แสดงว่า P(x) = (x2 − 2x + 4)(x − c)
x6 − 1
ให้เป็น = 0 ได้อย่างง่ายดายครับ! P(2) = 5 จะได้ c = 3 / 4
x−1
∴ รากที่เป็นจํานวนจริงของ P(x) คือ c = 3/4
eÃ×èo§æ¶Á
ใช้จํานวนเชิงซ้อนช่วยคํานวณเกี่ยวกับวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ..
การคํานวณวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ ในวิชาฟิสิกส์ระดับ ม.ปลาย ไม่ได้กล่าวถึงจํานวนเชิงซ้อนเลย
แต่ให้ใช้เวกเตอร์ในการหาขนาดและมุม หรือที่เรียกกันว่าใช้ เฟสเซอร์ (Phaser) แต่อนั ทีจ่ ริงแล้ววงจรไฟฟ้า
กระแสสลับนัน้ เกี่ยวข้องกับจํานวนเชิงซ้อนโดยตรง ส่วนเฟสเซอร์เป็นเพียงการนําผลที่ได้จากจํานวนเชิงซ้อน
(ในรูปเชิงขัว้ ) ไปเขียนเป็นรูปภาพเท่านัน้ เอง..
หากมีความรู้ในเรื่องจํานวนเชิงซ้อนจะทําให้คํานวณวงจรไฟฟ้ากระแสสลับได้โดยง่าย เพราะเป็น
การคํานวณขนาดและมุมไปในตัวพร้อมๆ กัน ไม่ต้องยุ่งยากกับเฟสเซอร์เลยครับ (โดยเฉพาะในข้อสอบ
พื้นฐานวิศวะนั้นจําเป็นมากทีจ่ ะต้องใช้จาํ นวนเชิงซ้อนคิด เนือ่ งจากวงจรค่อนข้างซับซ้อน)
G,r,A,p,H
º··Õè 12 ·ÄɮաÃÒ¿
กราฟ (Graph) ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงกราฟของ
ความสัมพันธ์หรือฟังก์ชัน แบบทีเ่ คยศึกษาผ่านมาแล้ว
(คือกราฟของสมการระหว่าง x กับ y) แต่จะหมายถึง
แผนภาพซึ่งประกอบด้วยจุดและเส้นที่เชื่อมจุด เช่น
แผนภาพแสดงเส้นทางเดินรถไฟ, โครงสร้างทางเคมี,
วงจรไฟฟ้า... บางตําราจะใช้คําว่า ข่ายงาน (Network)
การศึกษา ทฤษฎีกราฟ (Graph Theory) จะช่วย
แก้ปัญหาบางอย่างได้เช่น การหาเส้นทางเดินให้ผ่าน
ทุกจุดโดยไม่ซ้ําทางเดิม, การหาเส้นทางไปยังจุดหมาย
ให้สั้นที่สุด, การเลือกวางเส้นทางให้เชื่อมทุกๆ จุดโดย
ประหยัดทีส่ ุด เป็นต้น
A e1 B
สมมติกราฟ G เป็นกราฟที่ใช้แทนเมือง 4 เมือง คือ
A, B, C, D และมีถนนเชื่อมระหว่างเมือง A–B, A–C, B–C, e2 e3
B–D, และ C–D จะเขียนแผนภาพของ G ได้ดังรูป e4
C e5 D
12.1 ส่วนประกอบของกราฟ
ส่วนประกอบของกราฟมี 2 เซต คือ
เซตของ จุดยอด (Vertex) : V (G) และเซตของ เส้นเชื่อม (Edge) : E (G)
ในตัวอย่างกราฟ G นี้ จะได้ V (G) = {A, B, C, D} และ E(G) = {AB, AC, BC, BD, CD}
หรืออาจเขียนเป็น E(G) = {e1, e2 , e3 , e4 , e5}
การเกิดเป็นกราฟได้จะต้องมีจุดอย่างน้อยหนึ่งจุด แต่กราฟอาจไม่มีเส้นเลยก็ได้
(หมายความว่า เซต V (G) ห้ามเป็นเซตว่าง แต่เซต E(G) สามารถเป็นเซตว่างได้)
พิจารณากราฟ G ดังรูป e7
1. พบว่า e5 และ e6 เป็นเส้นที่เชื่อมจุดปลาย คู่เดียวกัน e1 B
A
เรียก e5 และ e6 ว่า เส้นเชื่อมขนาน (Parallel Edges) e2 e3
หมายเหตุ e4
e5
กราฟนี้มีเส้นเชื่อมขนาน เราไม่สามารถใช้คําว่า CD เขียนแทน C D
ทั้ง e5 กับ e6 ได้ จะต้องเขียน E(G) = {e1, e2 , e3 , e4 , e5 , e6 , e7 } เท่านั้น e6
2. พบว่า e7 เป็นเส้นเชื่อมที่มีปลายทั้งสองเป็นจุดๆ เดียว เรียก e7 ว่า วงวน (Loop)
3. เรียกจุดยอด A กับ B ว่า จุดยอดที่ประชิดกัน (Adjacent Vertices) A e1 B
เนื่องจากมีเส้นเชื่อมระหว่างจุดยอดทั้งสอง
(ตัวอย่างจุดยอดที่ไม่ประชิดกันเช่น จุดยอด A กับ D) e2 e3
e4
4. เรียกเส้นเชื่อม e1 “เกิดกับ (Incident) จุดยอด A”
เนื่องจากจุดยอด A เป็นปลายของ e1 C e5 D
(หรือจะกล่าวว่า e1 เกิดกับจุดยอด B ก็ถูกเช่นกัน) E
5. ดีกรี (Degree) ของจุดยอด คือจํานวนครั้งที่มีเส้นเชื่อมเกิดกับจุดยอดนั้น
“ดีกรีของจุดยอด A” ใช้สัญลักษณ์ deg A
ดังนั้น ในกราฟรูปล่าง deg A = 2 , deg B = 3 , deg C = 2 , deg D = 3 , และ deg E = 0
เรียกจุดยอดที่มีดีกรีเป็นจํานวนคู่ว่า จุดยอดคู่ (Even Vertex) เช่น จุด A, จุด C, จุด E
และเรียกจุดยอดที่มีดีกรีเป็นจํานวนคี่ว่า จุดยอดคี่ (Odd Vertex) เช่น จุด B, จุด D
แบบฝึกหัด 12.1
(1) ให้เขียนแผนภาพของกราฟ G ข้อละ 1 แบบ เมื่อกําหนด V (G) และ E(G) ให้ดังนี้
(1.1) V (G) = {w, x, y, z} และ E(G) = {wx, wy, wz, xy, xz, yz}
(1.2) V (G) = {A, B, C, D} และ E(G) = {AB, AC, BC, DD}
(1.3) V (G) = {v1, v2 , v3 , v4 , v5, v6} และ E(G) = {v1v3 , v2v4 , v2v5, v3v6, v4v6, v5v5}
(2) จากกราฟ G ที่กําหนดให้แต่ละข้อ ให้เขียน V (G) , E(G) , deg A , deg D
และตอบว่าจุดยอด D กับจุดยอดใดที่เป็นจุดยอดประชิด, และ เส้นเชื่อม e3 เกิดกับจุดยอดใด
(2.1) B (2.3) E
e1 e5 D e1 F
A e4 (2.2) B e6 e2
D
e5 e3
e3 e2
e1
C e5
C A C e
B 4 A
e6 e4 e2
e3
D
12.2 กราฟออยเลอร์
มีปัญหาที่คลาสสิคอยู่ข้อหนึ่ง กล่าวถึงสะพานข้ามแม่น้ํา แผ่นดิน C
พรีเกลในเมืองเคอนิกส์แบร์ก ประเทศเยอรมนี ... เรียกว่า
ปัญหาสะพานเคอนิกส์แบร์ก (Königsberg Bridge Problem)
สะพานเหล่านี้เชื่อมเกาะและแผ่นดินในลักษณะดังรูป เกาะ A เกาะ B
ปัญหาถามว่า เป็นไปได้ไหมที่เราจะเริ่มต้นจากจุดหนึ่ง
บนแผ่นดิน แล้วเดินข้ามสะพานให้ครบทุกอันจนกลับมายังจุดเริ่มต้น แผ่นดิน D
โดยไม่ซ้ําสะพานเดิมเลย
ลักษณะของปัญหาเหมือนกับ “การลากเส้นวาดรูปโดยไม่ยกดินสอ” C
นั่นเอง ซึ่งการจะตอบปัญหาลักษณะนี้ได้ ต้องเข้าใจเกี่ยวกับกราฟออยเลอร์ e1 e7
ก่อน ถ้าเราแปลงปัญหานี้เป็นกราฟ โดยให้แผ่นดินและเกาะเป็นจุดยอด e
และให้สะพานเป็นเส้นเชื่อม จะได้แผนภาพของกราฟดังนี้ A 2
B
e5
e4 e6
เราสามารถเดินทางจากจุด C ไปยังจุด D ได้หลายทาง e 3
เช่น C → B → D เขียนเป็นลําดับได้ว่า C, e7 , B, e6 , D D
หรือ C → A → D เขียนเป็นลําดับได้ว่า C, e1, A, e3 , D หรือ C, e1, A, e4 , D หรืออื่นๆ
หรือ C → B → A → D เขียนเป็นลําดับได้ว่า C, e7 , B, e5 , A, e3 , D หรืออื่นๆ
เรียกลําดับ (ที่ประกอบด้วยจุดสลับกับเส้น) เหล่านี้ว่า แนวเดิน (Walk)
ที่กล่าวมาทั้งหมดก็คือตัวอย่างของ “แนวเดิน C–D”
หมายเหตุ
หากกราฟไม่มีเส้นเชื่อมขนานและไม่มีวงวน สามารถเขียนลําดับของแนวเดินโดยใช้เฉพาะจุด ไม่ต้อง
บอกเส้นเชื่อมก็ได้ เช่น C, B, D หรือ C, A, D หรือ C, B, A, D ฯลฯ ... แต่ในตัวอย่างนี้ทําไม่ได้
เพราะมีเส้นเชื่อมขนาน (คําว่า C, A, D จะเป็นไปได้หลายทาง ไม่ชัดเจน)
แบบฝึกหัด 12.2
(5) มีแนวเดินจากจุด A ไปยังจุด D ซึ่งไม่ซ้ําเส้นทางเดิม C
ทั้งหมดกี่แบบ ได้แก่อะไรบ้าง E D
C
B A
B
D A (6) สําหรับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งประกอบ
ด้วยคอมพิวเตอร์ 6 เครื่อง เชื่อมต่อเพื่อรับส่งข้อมูล
F ระหว่างกันตามรูป คอมพิวเตอร์เครื่องใดควรเฝ้าระวัง
E ไม่ให้เสียหายมากที่สุด ให้อธิบายเหตุผลโดยอ้าง
ทฤษฎีกราฟ
C C C
B A B A B A
(7.4) B (7.5) B (7.6) B
A C A C A C
D D D
(7.7) A (7.8) A (7.9) A
B F B F B F
C C C
E E
D D D E
(10) ตอบคําถามต่อไปนี้
(10.1) หากปัญหาสะพานเคอนิกส์แบร์ก ยกเว้นเงื่อนไขที่ว่าจะต้องกลับมาสิ้นสุดที่จุดเริ่มต้น
แล้วคําตอบของปัญหานี้จะกลายเป็น “เป็นไปได้” หรือไม่ เพราะเหตุใด
(10.2) ถ้าข้อที่แล้วตอบว่า “ไม่” ... ให้พิจารณาว่าเราสามารถสร้างสะพาน 1 อัน เพิ่มเติม
ระหว่างจุดใด เพื่อให้คําตอบกลายเป็น “เป็นไปได้”
รูปนี้เป็นตัวอย่างของ กราฟถ่วงน้ําหนัก
B C 3 (Weighted Graph) ... คือกราฟที่เส้นเชื่อมทุกเส้นมี
1 2 F จํานวนจริงบวกเขียนกํากับไว้ เรียกจํานวนนี้ว่า ค่า
A 2 2
4 น้ําหนัก (Weight) ซึ่งอาจใช้แทนระยะทางระหว่างจุด,
5 ระยะเวลาที่ใช้เดินทางระหว่างจุด, ค่าใช้จ่ายในการ
3 E
6 สร้างเส้นทาง, หรืออื่นๆ เพื่อบ่งบอกให้ทราบความ
D แตกต่างระหว่างแต่ละเส้น
B C B C
1 2 F 1 2 F
A 2 2 A 4 2
3 E H3 E H4
D 6
D
แบบฝึกหัด 12.3
(11) ให้หาวิถี X–Y ที่สั้นที่สุดของกราฟถ่วงน้ําหนักต่อไปนี้
(11.1) C 3 (11.2) D B
8 4
Y 2 3 Y
X 5 2 X 1 1
1
3 4
2 B 2 C
4 7
A
(11.3) A (11.4)
C
X 1 C B 1 2
6 3 4 12 D
1
A 2 A
3 D 22 1 2 G
B 7 E F
4 5 3 1
Y X Y
8
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) ดูในเฉลยวิธคี ิด (4.1) 3 สี (4.2) 5 ที่ (9.1) เป็นไปไม่ได้เพราะ
(2.1) V (G) = {A, B, C, D} , (4.3) 8 ครั้ง (4.4) 11 วัน ไม่ใช่กราฟออยเลอร์
E(G) = {AB, AC, BC, BD, CD} , (5) 5 แบบ ได้แก่ A, C, D ... (9.2) เป็นไปได้เพราะมี
A, B, C, D … A, B, E, C, D … จุดยอดคี่สองจุด
deg A = 2 , deg D = 2 ,
A, C, B, E, C, D … และ (10.1) ยังคงเป็นไปไม่ได้
จุดยอดประชิดกับ D คือ B กับ C, A, C, E, B, C, D เพราะมีจดุ ยอดคีม่ ากกว่า 2
เส้นเชือ่ ม e3 เกิดกับจุด A และ C (6) เครือ่ ง B เพราะถ้าขาดไป จุด (มีถึง 4 จุด)
(2.2) V (G) = {A, B, C, D} , กราฟจะไม่เชือ่ มโยงถึงกัน (แตกเป็น (10.2) ระหว่างจุดใดก็ได้
E(G) = {e1, e2 , e3 , e4 , e5 , e6 } , สองกลุ่มคือ A, F กับ C, D, E) เพราะจะทําให้เหลือจุดยอดคี่
deg A = 2 , deg D = 4 , (7) ข้อ ที เ
่ ป็ น ได้แ ก่ (7.1), (7.4), เพียง 2 จุด
(11.1) X, B, C, Y
จุดยอดประชิดกับ D คือ A, B, C, (7.7), (7.9) โดยมีวงจรออยเลอร์
เส้นเชือ่ ม e3 เกิดกับจุด C และ D ดังนี้ (วงจรออยเลอร์ในแต่ละข้อ (11.2) X, D, B, C, Y
สามารถเขียนได้หลายแบบ) (11.3) X, B, A, Y
(2.3) V (G) = {A, B, C, D, E, F} ,
(7.1) A, B, C, E, A (11.4) X, Y
E(G) = {AA, AB, AE, BC, CE, EF} ,
(7.4) C, D, C, B, D, A, C หรือ X, E, F, G, Y
deg A = 4 , deg D = 0 , (7.7) B, C, F, E, D, F, B, D, A, B (12) A, D, E
จุดยอดประชิดกับ D ไม่ม,ี (7.9) A, C, E, A, B, C, D, E, F, A (13) ดูในเฉลยวิธีคิด
เส้นเชือ่ ม e3 เกิดกับจุด A (8.1) คําตอบเหมือนในข้อ (7) (14) วางสายโทรศัพท์ไปตาม
(3) เป็นไปไม่ได้เลยสักข้อ (8.2) กราฟที ท
่ า
ํ ได้ ค อ
ื (7.2), (7.5), ถนน AB, BC, BF, CD, DE
และ (7.8)
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1.1) x (1.2) B (1.3) v v3
1 v6
w A
y C v5 v2 v4
D
z กราฟในข้อนี้เป็นเพียงตัวอย่าง 1 แบบ คําตอบที่ถูกสามารถเขียนต่างจากนี้ได้มากมาย
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 277 ทฤษฎีกราฟ
s+e+r+i+e+s
º··Õè 13 ÅíÒ´aºæÅao¹u¡ÃÁ
ลําดับ (Sequence) คือฟังก์ชันที่มีโดเมนเป็น
เซตจํานวนนับ 1,2,3, ... เช่น สมมติเรามีฟังก์ชัน
f(n)=n2+1 เมื่อ n=1,2,3,... เราจะได้ f(1)=2, f(2)=5,
f(3)=10, f(4)=17, ... ค่าฟังก์ชันเหล่านี้ที่เขียนต่อกัน
เป็น 2, 5, 10, 17, ... จะเรียกว่าลําดับ
นิยมเขียนฟังก์ชันด้วย an คือใช้ a1, a2 , a3 , ..., an แทน f (1), f (2), f (3), ..., f (n) เพื่อให้
ทราบว่าเป็นลําดับ (โดเมนเป็นจํานวนนับเท่านั้น) เรียก a1 ว่า “พจน์ (term) ที่ 1” ของลําดับ,
เรียก a2 ว่าพจน์ที่ 2 ของลําดับ, ไปเรื่อยๆ จนถึงพจน์ที่ n ใดๆ เขียนแทนด้วย an จะเรียกว่า พจน์
ทั่วไป (general term) ของลําดับ
เช่น ลําดับ 2, 5, 10, 17, ... มีพจน์ทั่วไปเป็น an = n2+ 1 หรืออื่นๆ
1, 2, 3, 4, ... มีพจน์ทั่วไปเป็น an = n หรืออื่นๆ
3, 6, 9, 12, ... มีพจน์ทั่วไปเป็น an = 3 n หรืออื่นๆ
1, 3, 5, 7, ... มีพจน์ทั่วไปเป็น an = 2 n − 1 หรืออื่นๆ
1, 4, 9, 16, ... มีพจน์ทั่วไปเป็น an = n2 หรืออื่นๆ
3 5 7 2 n− 1
1, , , , ... มีพจน์ทั่วไปเป็น an = หรืออื่นๆ
4 9 16 n
2
13.1 ลําดับเลขคณิตและเรขาคณิต
ลําดับที่เราพบบ่อย มีสองประเภท คือ ลําดับเลขคณิต (Arithmetic Sequence) และ
ลําดับเรขาคณิต (Geometric Sequence)
ข้อสังเกต
ลําดับเลขคณิต จะมีพจน์ทั่วไปเป็นแบบ สมการเส้นตรง ที่มีความชัน = d
ส่วนลําดับเรขาคณิต จะมีพจน์ทั่วไปเป็นแบบ สมการเอ็กซ์โพเนนเชียล ที่มีฐาน = r
แบบฝึกหัด 13.1
(1) ให้หา 4 พจน์แรก ของลําดับต่อไปนี้
n
⎛ 1⎞
(1.1) an = 2n (1.3) an = ⎜ ⎟
⎝2⎠
n
(1.2) an = 4 n−2 (1.4) an = (−1)n
(n+ 1)2
(11) ลําดับเลขคณิต 20, 16, 12, ... มีเลข –96 อยู่หรือไม่ ถ้ามีให้บอกว่าเป็นพจน์ที่เท่าใด
(12) พจน์ที่เท่าใดของลําดับเลขคณิต 3, 7, 11, ... มีค่า 75
(13) [Ent’40] พจน์แรกที่เป็นจํานวนเต็มลบของลําดับเลขคณิต 200, 182, 164, 146, ... มีค่าต่างจาก
พจน์ที่ 10 อยู่เท่าใด
(14) [Ent’39] จงหาค่า m ซึ่งเป็นจํานวนเต็มที่น้อยที่สุด ที่ทําให้พจน์ที่ m ของลําดับเลขคณิต
2, 5, 8, ... มีค่ามากกว่า 1,000
13.2 ลิมิตของลําดับอนันต์
หากต้องการทราบว่า ในลําดับอนันต์ลําดับหนึ่งนั้น ถ้า n ยิ่งมากขึ้นจนเข้าใกล้ ∞
( n → ∞ ) แล้ว ค่าของ an จะเข้าใกล้ค่าใด ( an → ? ) เราเรียกว่า การหาลิมิตของลําดับ นั่นเอง
และค่าที่ได้นี้เรียกว่า ลิมิต (limit)
n
ลําดับ an = ⎛⎜ 1 ⎞⎟ หรือ 1 , 1 , 1 , ... พบว่า เมื่อ n มากขึ้นจนเข้าใกล้ ∞ แล้ว ค่าของ
⎝2⎠ 2 4 8
an จะเข้าใกล้ 0 จึงกล่าวว่า “ลิมิตของลําดับนี้เท่ากับ 0” และเขียนด้วยสัญลักษณ์ lim an = 0
n→∞
ส่วนลําดับ cos π, cos 2π, cos 3π, ... พบว่ามีค่าเป็น –1 กับ 1 สลับกันไปตลอด ไม่ได้เข้าใกล้ค่า
ใดค่าหนึ่งเป็นพิเศษเลย แสดงว่า nlim →∞
an ไม่มีค่า หรือ ลําดับนี้ไม่มีลิมิต
ข้อสังเกต
1. ลําดับที่เป็นผลหารของพหุนาม
P (n)
lim เป็นศูนย์ เมื่อดีกรี P น้อยกว่า Q, เป็นสัมประสิทธิ์ตัวแรกหารกัน เมื่อดีกรี
n→∞ Q (n)
ของ P และ Q เท่ากัน, และหาค่าไม่ได้ เมื่อดีกรี P มากกว่า Q
2. ลําดับเรขาคณิต
lim (rn) เมื่อ r เป็นค่าคงที่ จะมีได้สี่กรณี คือ ไม่มีลิมิต เมื่อ r < −1 , เป็นศูนย์ เมื่อ
n→∞
แบบฝึกหัด 13.2
(23) ลําดับต่อไปนี้มีค่า nlim
→∞
an เป็นเท่าใด
(24) ให้หาลิมิตของลําดับต่อไปนี้
5n2+ 4
(24.1) an = 4n+ 3 (24.4) an =
3n+ 1 n5+8
2n2+n−3 6n2+ 7
(24.2) an = (24.5) an =
5n2− 1 3n− 1
6n+ 7 n7 + 4
(24.3) an = (24.6) an =
5n2+ 4 n+ 1
(26) จงหาค่า
⎛ 2 + ( 1 )n ⎞ ⎡⎛ 2n2+ 4n+ 1 ⎞2 ⎛ 4n ⎞ ⎤
2
(26.1) lim ⎜ ⎟ (26.2) lim ⎢⎜ ⎟⎟ ⎜ 1+ n ⎟ ⎥
3 n → ∞ ⎢⎜ 3n2
n→∞ ⎜
⎝
⎟
⎠ ⎣ ⎝ ⎠ ⎝ 5 ⎠ ⎥⎦
n2+n+ 1 2n−5n
(27) [Ent’41] ถ้า an = และ bn = แล้ว ลิมิตของลําดับที่มีพจน์ที่ n เป็น
3n2+ 1 5n+9
an−bn+ anbn มีค่าเท่าใด
⎡ 1/n n ⎤
(28) [Ent’38] สําหรับจํานวนเต็มบวก n ใดๆ ให้ Mn = ⎢ ⎥ และ an = det (Mn) แล้ว
⎣ − 1/n n+ 1⎦
lim an มีค่าเท่าใด
n→∞
13.3 อนุกรมและซิกม่า
อนุกรม (Series) คือผลบวกของแต่ละพจน์ในลําดับ
อนุกรมที่พบบ่อยคือ อนุกรมเลขคณิต (Arithmetic Series) และ อนุกรมเรขาคณิต (Geometric
Series) เช่น ลําดับเลขคณิต 5, 9, 13, 17, ... เป็นอนุกรมเลขคณิต 5 + 9 + 13 + 17 + ...
ลําดับเรขาคณิต 2, 4, 8, 16, ... เป็นอนุกรมเรขาคณิต 2 + 4 + 8 + 16 + ...
ในทํานองเดียวกัน อนุกรมจํากัด (finite series) เกิดจากลําดับจํากัด และอนุกรมอนันต์
(infinite series) เกิดจากลําดับอนันต์
n
ค่าของอนุกรมสามารถเขียนเป็นสัญลักษณ์ซิกม่า (sigma) ในรูป ∑ ai ได้ เช่น
i=1
1 1 1 1 1 1 1
ลําดับ an = หรือ 1, , , , ... จะเขียนเป็นอนุกรมได้ว่า 1+ + + + ...
n 2 3 4 2 3 4
และมีค่าเท่ากับ ∑ ⎛⎜ 1 ⎞⎟
∞
i=1 ⎝ i ⎠
n
“ผลบวกย่อย (partial sum) n พจน์แรก” ของอนุกรม จะใช้สัญลักษณ์ Sn = ∑ ai
i=1
∞
ดังนั้น ค่าของอนุกรมอนันต์ก็คือ S∞ = ∑ ai = lim Sn
i=1 n→∞
สมบัติของ Σ สูตรผลบวก
n n n(n+ 1)
• ∑k = n⋅k • ∑i =
2
i=1 i=1
n n n
2 n(n+ 1)(2n+ 1)
• ∑ k ai = k ⋅ ∑ ai • ∑i = 6
i=1 i=1 i=1
n n n 2
• ∑ (ai ±bi) = ∑ ai ± ∑ bi
n
⎡ n(n+ 1)⎤
• ∑ i3 = ⎢ ⎥
i=1 i=1 i=1
i=1 ⎣ 2 ⎦
เพิ่มเติม
เรื่องซิกม่าและสมบัติของซิกม่านี้จะได้ใช้งานอีกครั้งในบทเรียนสถิติ (บทที่ 17)
แบบฝึกหัด 13.3
4
(29) ถ้า f (x) = 3x + 1 และ u1 = 3 , u2 = 2 , u3 = 1 , u4 = 5 จงหาค่า ∑ ui f (ui)
i=1
(30) จงเขียนอนุกรมต่อไปนี้โดยใช้สัญลักษณ์ Σ
(30.1) 1 ⋅ 2 + 2 ⋅ 3 + 3 ⋅ 4 + 4 ⋅ 5 + ... + 50 ⋅ 51
(30.2) 1 + 1 + 1 + ... + 1
2 4 6 2n
(30.3) 1 + 3 + 7 + 15 + ... + พจน์ที่ n
p p+1 p +2
(30.4) ar + ar + ar + ... + a rp + q
1 1 1
(30.5) + + + ...
4 5 6
(31) หาค่าของอนุกรมต่อไปนี้
(31.1) 1 + 2 + 3 + 4 + ... + 50
(31.2) 12 + 22 + 32 + 42 + ... + 102
(31.3) 13 + 23 + 33 + 43 + ... + 73
(32) ให้หาค่าของอนุกรมต่อไปนี้
(32.3) ∑ ⎛⎜⎜ k + 4 ⎞⎟⎟
4 6
(32.1) ∑ i2(i−3)
i=1 k = 2 k −1
⎝ ⎠
3
(32.2) ∑ (n2+ 3)
n=1
30
(33) [Ent’มี.ค.42] ถ้า f (x) = x − 1 แล้ว ∑ (f D f)(n2) มีค่าเท่าใด
n = 10
(34) ให้หาค่าผลบวกต่อไปนี้
[หมายเหตุ หากรูปทั่วไปของอนุกรมเป็นแบบ เลข ⋅ เลข จะคํานวณด้วยสูตรซิกม่า]
(34.1) ผลบวก 10 พจน์แรก ของอนุกรม 1 ⋅ 2 + 2 ⋅ 3 + 3 ⋅ 4 + ... + n (n+ 1)
(34.2) S10 ของอนุกรม 1 ⋅ 4 ⋅ 7 + 2 ⋅ 5 ⋅ 8 + 3 ⋅ 6 ⋅ 9 + ...
(34.3) S8 ของอนุกรม 1 ⋅ 22 + 2 ⋅ 32 + 3 ⋅ 42 + ... + n(n+ 1)2
(34.4) S20 ของอนุกรม 1 + (1+2) + (1+2+ 3) + ... + (1+2+ 3+...+n)
n4 + 1
(35) [Ent’39] สําหรับแต่ละจํานวนเต็ม n > 4 จงหาค่าลิมิตของ
1 + 2 + 33 + ... + n3
3 3
(36) [Ent’มี.ค.43] ถ้าลําดับเลขคณิต a1, a2 , a3 , ... มีพจน์ที่ 10 และพจน์ที่ 15 เป็น –19 และ –34
20
ตามลําดับแล้ว ∑ (ai + 2 i) มีค่าเท่าใด
i=1
1 + (n−2) a
(37) [Ent’ต.ค.42] ให้ a เป็นจํานวนจริง กําหนดพจน์ที่ n ของอนุกรมคือ
1− a
1 + 38 a
ถ้าพจน์ที่ m คือ แล้วผลบวก m พจน์แรกของอนุกรมมีค่าเท่าใด
1− a
n n S e¾ièÁeµiÁ! S
1. อนุกรมเลขคณิต Sn = ∑ ⎡⎣a1 + (i− 1) d⎤⎦ = (a1+ an)
i=1 2 1. ÅíÒ´aºÅÙe ¢Ò ¡aºo¹u¡ÃÁÅÙe¢Ò äÁeËÁ×o¹¡a¹
หรืออาจเขียนเป็น Σ เพื่อใช้สูตรคํานวณค่าก็ได้ ¹a¤Ãaº ÅíÒ´aºÅÙe ¢Ò¤×oËÒ¾¨¹o¹a¹µä´ æµ
S∞ หาค่าไม่ได้เสมอ (ยกเว้นอนุกรม 0 + 0 + 0 + …) o¹u¡ÃÁÅÙe ¢Ò¤×oËҼźǡ¶Ö§¾¨¹o¹a¹µä´..
2. o¹u¡ÃÁ¨aÅÙe¢Òä´¹aé¹ ÅíÒ´aºµo§ÅÙe¢ÒÊÙ 0
¡o¹ æµÅÒí ´aº·ÕÅè eÙ ¢ÒÊÙ 0 o¹u¡ÃÁoÒ¨¨aäÁÅÙ
e¢Ò¡çä´¹a¤Ãaº
n a1(1 − rn)
2. อนุกรมเรขาคณิต Sn = ∑ ⎡⎣ a1 r(i − 1) ⎤⎦ =
1−r
i=1
a1
แต่ S∞ หาค่าได้ก็เมื่อ | r |< 1 เท่านั้น และค่าที่ได้คือ S∞ =
1−r
แบบฝึกหัด 13.4
(38) ให้หาผลบวกย่อย 18 พจน์แรก ของอนุกรม 2 + 6 + 10 + ...
1
(39) ให้หาผลบวกย่อย 8 พจน์แรก ของอนุกรม + 1 + 2 + ...
2
2x 22x 23x
(53) [Ent’39] ถ้าอนุกรม 1+ x
+ x2
+ + ... มีผลบวกเท่ากับ 9 แล้ว
1+2 (1+2 ) (1+2x)3
จงหาค่าผลบวกของอนุกรม log2 x − (log2 x)2 + (log2 x)3 − (log2 x)4 + ...
(56) ให้หาค่าผลบวกต่อไปนี้
1
[หมายเหตุ หากรูปทั่วไปของอนุกรมเป็น
เลข ⋅ เลข
1 1 1 1
จะคํานวณโดยแยกเป็นเศษส่วนย่อย เช่น = ( − )⋅ ]
3⋅5 3 5 2
1 1 1 1
(56.1) + + + ... + + ...
3⋅5 5⋅7 7⋅9 (2n+ 1)(2n+ 3)
1 1 1 1
(56.2) S30 ของ + + + ... + + ...
1⋅ 3 3⋅5 5⋅7 (2n−1)(2n+ 1)
1 2 3 n
(56.3) Sn ของ log + log + log + ... + log + ...
2 3 4 n+ 1
(58) ให้หาค่าผลบวกต่อไปนี้
[หมายเหตุ หากรูปทั่วไปของอนุกรมเป็น เลข ⋅ เรขา หรือ เลข (เรียกว่า อนุกรมผสม)
เรขา
จะคํานวณโดยนําค่า r ของเรขา คูณตลอดแล้วตั้งสมการลบกัน เพื่อให้ส่วนที่เป็นเลขคณิตหายไป
เหลือแต่เรขาคณิต]
5 8 11 14
ตัวอยางเชน หาคา S∞ = + + + + ...
2 4 8 16
1 1 5 8 11 14
นํา คูณ จะได S∞ = + + + + ...
2 2 4 8 16 32
1 5 ⎛3 3 3 ⎞ 5 ⎛ 3/4 ⎞
สองสมการลบกัน S∞ = +⎜ + + + ... ⎟ = + ⎜ ⎟ = 4 ..ดังนั้น S∞ = 8
2 2 ⎝4 8 16 ⎠ 2 ⎝ 1 − 1/2 ⎠
1 3 5 7 2 n− 1
(58.1) Sn ของ + + + + ... + + ...
2 4 8 16 2n
3 5 n+ 1
(58.2) 2 + + 1+ + ... + n − 1 + ...
2 8 2
n=1 ⎝ n! ⎠ i=1 ⎝ 2 i +7 ⎠
∞ ⎛ n2 ⎞
(59.2) ∑ ⎜ 2n ⎟
n=1 ⎝ ⎠
(60) เขียนจํานวนต่อไปนี้ในรูปเศษส่วน
(60.1) 0.212121... (60.3) 7.256256...
(60.2) 0.61041041... (60.4) 2.9999...
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
1 2 3 4 3
(1.1) 2,4,8,16 (1.2) 2,6,10,14 (1.4) − , ,− , (2.3) 2n + 1− 3 (2.4) n−1
4 9 16 25 10
(1.3) 1 , 1 , 1 , 1 n−1 2 (2.5) n (n+ 1)
2 4 8 16
(2.1) ⎛ 1⎞ (2.2) ⎛ 1⎞
⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎝2⎠ ⎝n⎠ (3.1) เลขคณิต, 18 − 3 n
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 289 ลําดับและอนุกรม
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1.1) 21, 22 , 23 , 24 → 2, 4, 8, 16 (2.3) an : 1, 5, 13, 29, ...
(1.2) 4(1) − 2, 4(2) − 2, 4(3) − 2, 4(4) − 2 → an + 3 : 4, 8, 16, 32 → 22 , 23 , 24 , 25
→ 2, 6, 10, 14 ∴ an + 3 = 2n + 1 → an = 2n + 1 − 3
1 2
⎛ 1⎞ ⎛ 1⎞ ⎛ 1⎞ ⎛ 1⎞
3 4 3 3 3 3 3
(1.3) ⎜ ⎟ ,⎜ ⎟ ,⎜ ⎟ ,⎜ ⎟ (2.4) , , , → an =
⎝2⎠ ⎝2⎠ ⎝2⎠ ⎝2⎠ 100 101 102 103 10n − 1
1 1 1 1 (2.5) an : 2, 6, 12, 20, ...
→ , , ,
2 4 8 16 → an − n : 1, 4, 9, 16, ... = n2
(1.4) (−1)1 12 , (−1)2 22 , (−1)3 32 , (−1)4 42 → ∴ an = n2 + n
2 3 4 5
1 2 3 4 หรือ อีกวิธีหนึ่ง
→ − , ,− ,
4 9 16 25 an ÷ n : 2, 3, 4, 5, ... = n + 1
n−1
1 1 1 1 1 ⎛ 1⎞ → ∴ an = n(n + 1) = n2 + n
(2.1) , , , → an = n − 1 = ⎜ ⎟
20 21 22 23 2 ⎝2⎠ (3.1) ลําดับเลขคณิต
2
1 1 1 1 1 ⎛ 1⎞ → an = 15 + (n − 1)(−3) = 18 − 3n
(2.2) , , , → an = 2 = ⎜ ⎟
12 22 32 42 n ⎝n⎠ (3.2) ลําดับเรขาคณิต → an = 2(2)n − 1 = 2n
2i i=1 ⎝ ⎠
20
20 i (i + 1) ∑ (i2 + i)
(30.3) an : 1, 3, 7, 15, ... → S20 = ∑ = i=1
i=1 2 2
→ an + 1 : 2, 4, 8, 16, ... = 2n
1 ⎛ 20(21)(41) 20(21) ⎞
an = 2n − 1
= ⎜ + ⎟ = 1,540
→ 2⎝ 6 2 ⎠
n
∴ ตอบ ∑ (2i − 1) n4 + 1 n4 + 1
(35) lim 2
= lim
i=1 n→∞
⎛ n(n + 1) ⎞ n→∞ ⎛ n4 + 2n3 + n2 ⎞
q q+1 ⎜ ⎟ ⎜ ⎟
(30.4) ∑ ar(p + i) หรือ ∑ ar(p + i − 1) ⎝ 2 ⎠ ⎝ 4 ⎠
i=0 i=1 ⎛ 4n4 + 4 ⎞
= lim ⎜ 4 ⎟ = 4
∞
⎛ 1⎞ ∞
⎛ 1 ⎞ n → ∞ ⎝ n + 2n3 + n2 ⎠
(30.5) ∑ ⎜⎝ i ⎟⎠ หรือ ∑ ⎜⎝ i + 3 ⎟⎠
i=4 i=1
(36) a1 + 9d = −19 .....(1)
50 50(51)
(31.1) ∑ i = = 1,275 a1 + 14d = −34 .....(2)
i=1 2
10 10(11)(21) → a1 = 8, d = −3
(31.2) ∑ i2 = = 385
∴ an = 8 + (n − 1)(−3) = 11 − 3n
i=1 6
2 20 20
7
⎡ 7(8)⎤ โจทย์ให้หา ∑ (ai + 2 i) =
(31.3) ∑ i3 = ⎢ = 784 ∑ (11 − 3 i + 2 i)
i=1 ⎣ 2 ⎥⎦ i=1 i=1
4 4 4 20 20(21)
(32.1) ∑ (i 3
−3 i ) = 2
∑i 3
−3 ∑i 2
= ∑ (11 − i) = 20(11) − = 10
i=1 i=1 i=1 i=1 2
⎡ 4(5)⎤
2
⎛ 4(5)(9) ⎞ 1 + (n−2) a
= ⎢ − 3⎜ ⎟ = 10 (37) an = และ
⎣ 2 ⎦⎥ ⎝ 6 ⎠ 1− a
1 + 38 a
(32.2) ∑ n2 + ∑ 3 = 3(4)(7) + (3)(3) = 23
3 3
am = ∴ m = 40
n=1 n=1 6 1− a
วิธีแรก หา ∑ ⎡⎢ 1 + (i − 2) a ⎤⎥
40
(32.3) เป็นเศษส่วนซึ่งหารไม่ได้ จึงต้องกระจายเพื่อ
1− a
คิดตรงๆ → 6 + 7 + 8 + 9 + 10 = 197 i=1 ⎣ ⎦
1 2 3 4 5 12 40 ⎛1 − 2 a⎞ 40 ⎛ i a ⎞
2 2 2 2
= ∑ ⎜⎝ ⎟+
1− a ⎠
∑ ⎜⎝ 1 − a ⎟⎠
(33) (fof)(n ) = f(n − 1) = n − 1 − 1 = n − 2 i=1 i=1
30 30 30 40 − 80 a 40(41) a
→ ∑ (n2 − 2) = ∑ n2 − ∑ 2 = + ⋅
n = 10 n = 10 n = 10 1− a 2 1− a
30 9 30 40 + 740 a
= ∑n 2
−∑ n − 2
∑ 2 = ตอบ
n=1 n=1 n = 10 1− a
=
30(31)(61) 9(10)(19)
− − (21)(2) = 9,128
วิธีทสี่ อง ใช้สูตร Sn ของอนุกรมเลขคณิตก็ได้ จะ
6 6 คํานวณง่ายกว่ามาก แต่ตอ้ งสังเกตเห็นก่อนว่าเป็น
10 10
(34.1) S10 = ∑ i (i + 1) = ∑ (i2 + i) อนุกรมเลขคณิตจริงๆ
i=1 i=1
40 ⎛ 1 + (− a) 1 + 38 a ⎞
10(11)(21) 10(11) S40 = ⎜ + ⎟
= + = 440 2 ⎝ 1− a 1− a ⎠
6 2
10 (38) อนุกรมเลขคณิต คิดได้ 2 วิธี
(34.2) S10 = ∑ i (i + 3)(i + 6) วิธีแรก ใช้สตู ร Sn ของเลขคณิต
i=1
10 n
= ∑ (i3 + 9 i2 + 18 i) → Sn = (a1 + an)
i=1
2
18
⎡ 10(11)⎤
2
(10)(11)(21) ⎡ 10(11)⎤ → S18 = (2 + [2 + (17)(4)]) = 648
= ⎢ +9 + 18 ⎢ 2
⎣ 2 ⎥⎦ 6 ⎣ 2 ⎥⎦
= 7,480
วิธีทสี่ อง ใช้สูตรซิกม่า ∞ 8
ให้หา ∑ arn − 1 = 6+4+ + ...
18 18 n=1 3
→ ∑ (2 + (i − 1)(4)) = ∑ (4 i − 2) 6
i=1 i=1 = = 18 (สูตรอนุกรมเรขาคณิต)
4(18)(19) 1 − 2/ 3
= − 18(2) = 648
2 n
(47) Sn = 217 =
(7 + 7 + (n − 1)(8))
(39) อนุกรมเรขาคณิต คิดได้วธิ ีเดียวคือใช้สตู ร Sn 2
1 → 4n2 + 3n − 217 = 0
(1 − 28)
a1(1 − rn) 2 → (4n + 31)(n − 7) = 0 ∴n = 7 เท่านั้น
→ Sn = → S8 =
1−r 1−2
⎛ 2 (1 − 28) ⎞
7
255 ⎜ ⎟
= 127.5 7 8 9
2 + 2 + 2 + ... + 2 14
= ⎝ 1 −8 2 ⎠
=
2 →
28 2
(40) an = 1 + (n − 1)(2) = 2n − 1 (จากสูตรอนุกรมเรขาคณิต จํานวนพจน์ n=8)
ผลบวก 51 พจน์ → S51 = 51 (1 + 101) = 2,601 27(28 − 1)
= 127.5
2 =
28
(41) 51 = a1 + 12(4) → a1 = 3 m
⎣ 2 2 ⎦ 9
i=8 Sn = 9 + 99 + 999 + ... + 999999..9
(43) คิดด้วยสูตร Sn จะแก้สมการยาก 4
= 10 − 1 + 100 − 1 + 1,000 − 1 + ... + 10n − 1
ควรคิดตรงๆ คือสมมติเป็น a, b, 80
= (10 + 100 + 1,000 + ... + 10n) − n
จะได้ 80 = b .....(1) และ 10(1 − 10n) 10
b a = −n = (10n − 1) − n
a + b + 80 = 65 .....(2) 1 − 10 9
4 ⎡ 10 ⎤
จะได้ b = −20, a = 5 หรือ b = −60, a = 45 ∴ Sn = (10n − 1) − n⎥
9 ⎢⎣ 9 ⎦
∴ a1 = 5, r = −4 หรือ a1 = 45, r = −4 / 3
(50) ข้อนี้เป็นอนุกรมเรขาคณิตอนันต์
(44) (
160 1 − ( 3/2)
n
) = 2,110 (50.1) 1 / 2 = 3
1 − 3/2 1 − 1/ 3 4
n n 1/ 2 1
⎛3⎞ 2,110 ⎛3⎞ 243 (50.2) =
→ ⎜ ⎟ −1= → ⎜ ⎟ = 1 − (−1 / 2) 3
⎝2⎠ 320 ⎝2⎠ 32
100 1,000
∴n = 5 (50.3) =
1 − 0.1 9
(45) ก. 20 = 5 + 2d → d = 7.5 → 3
(50.4) = 9
หาค่า a = S12 = 12 (5 + 5 + (11)(7.5)) = 555 1−2/3
2 6
(50.5) = 4
ข. 20 = 5 ⋅ r2 → r2 = 4 → r = −2 1 − (−1 / 2)
(เพราะ y < 0 ) หาค่า b = a6 = 5(−2)5 = −160 (50.6) หาค่าไม่ได้ (ลู่ออก)
∴ a + b = 555 − 160 = 395 เพราะ r = 1 > 1 [ถ้าใช้สตู รคิดเลยทันทีจะผิด]
0.9
(46) หาค่า a โดย a = a − 2 (1/2)(1 − (0.8)10)
a+3 a (51.1) ≈ 2.23 เมตร ( Sn )
→ a2 = a2 + a − 6 → a = 6 1 − 0.8
1 2x 8 2 3 4 5
(53) = 9 → = (58.2) S∞ = + + + + ...
x
⎛ 2 ⎞ 1 + 2x
9 1 2 4 8
1− ⎜ x ⎟ 1 2 3 4 5
⎝1 + 2 ⎠ → S∞ = + + + + ...
log2 3 2 2 4 8 16
x
→ 2 = 8 → x = 3 → ตอบ ลบกัน ได้เป็น
1 + log2 3
1 2 ⎛1 1 1 ⎞
(54) 1 + 2 + 3 + ... + n = n − 21 2
→ S∞ = +⎜ + + + ... ⎟
2 1 ⎝2 4 8 ⎠
n(n + 1)
→ = n2 − 21 แก้สมการได้ n = 7 1/ 2
2 = 2+ = 3 → ∴ S∞ = 6
8 1 − 1/ 2
ตอบ 1(1 − 2 ) = 255 (59.1) S∞ = 10 + 100 + 1,000 + 10,000 + ...
1−2
∞ 1 2 6 24
(55) a1 + ∑ (an + 1− an) พบว่า r มากขึน้ เรื่อยๆ ∴ ลู่ออก
n=1
lim
t→
t 0
º··Õè 14 ÅiÁiµ/¤ÇÒÁµoe¹×èo§
คณิตศาสตร์สาขาแคลคูลัส (Calculus) ถูกใช้
ประโยชน์ในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่าง
กว้างขวาง โดยเฉพาะในด้านฟิสิกส์ แนวคิดพื้นฐาน
ของวิชาแคลคูลัสก็คือเรื่องลิมิตของฟังก์ชัน ซึ่งจะได้
ศึกษาในบทเรียนนี้ และขยายความไปสู่อนุพันธ์และ
การอินทิเกรตในบทถัดไป.. ในบทเรียนเรื่องลําดับเคย
ได้ศึกษาถึงลิมิตบ้างแล้วว่า การพิจารณาว่า เมื่อ x มี
ค่าเข้าใกล้จาํ นวนจริงค่าใดค่าหนึ่งแล้ว ฟังก์ชนั f(x)
จะมีค่าเข้าใกล้ค่าใด เรียกว่าการหาลิมติ ของฟังก์ชัน
และค่าลิมิตที่ได้จะเขียนเป็นสัญลักษณ์ว่า lim
x a
f(x) →
ฟังก์ชันใดๆ จะมีค่า xlim f (x) = L ก็ต่อเมื่อ lim f (x) = lim+ f (x) = L เท่านั้น แต่ถ้า
→a x → a− x→a
ลิมิตซ้ายกับลิมิตขวาไม่เท่ากันจะกล่าวว่า ไม่มีลิมิต
14.1 ทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิต
lim c = c lim [f (x)] n = [ lim f (x)] n
x→a x→a x→a
• ตัวอยาง ใหหาคาลิมิตในแตละขอตอไปนี้
2
ก. lim (x + x + 1)
x → −1
⎧⎪ x / x , x < −4.99
จ. lim− f (x) เมือ่ f (x) = ⎨
x →5 ⎪⎩ − x / x , x > 4.99
วิธีคิด ที่ x นอยกวา 5 เล็กนอย เชน 4.999999 จะตองใชเงื่อนไขลาง
จะได lim f (x) = lim (− x / x) =
x → 5− x → 5−
lim
x → 5−
(−1) = −1 ... ตอบ
⎧ x−4 , x < 6
ฉ. lim f (x) เมื่อ f (x) = ⎨
x →6
⎩ x −5 , x > 6
วิธีคิด ลิมิตซาย ( x นอยกวา 6 เล็กนอย) ใชเงื่อนไขบน ไดเทากับ 2
ลิมิตขวา ( x มากกวา 6 เล็กนอย) ใชเงื่อนไขลาง ไดเทากับ 1 ... ดังนั้นขอนีต้ อบวาไมมีลมิ ิต
แบบฝึกหัด 14.1
(1) จากกราฟ จงหาค่า xlim
→ −1
f (x) และ lim f (x)
x→1
(1.1) y (1.2) y
2
O 1 x -1 1 x
-1 -2
(3) จงหาค่าของ
⎛ x2+ 1 ⎞ ⎛ x ⎞
(3.1) xlim
→1 ⎜⎜ x − 3 ⎟⎟ (3.3) lim ⎜
x→1 ⎜ x − 1
⎟
⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
(3.2) lim x2+ x
x→3
S e¾ièÁeµiÁ! S
(4) จงหาค่าของ
ÃaÇa§ÊaºÊ¹¤íÒÇÒ äÁÁÅÕ Ái iµ ¡aº ËÒ¤ÒäÁä´..
⎧x + 1 , x < 2
(4.1) xlim f (x) เมื่อ f (x) = ⎨ äÁÁÅÕ Ái iµ (ËÃ×oÅiÁµi äÁÁ¤Õ Ò) æ»ÅÇÒäÁä´e¢Ò
→2 ⎩2 , x > 2
ã¡Å¤Òã´e»¹¾ieÈÉ (eª¹ ÅiÁµi «Ò¡aºÅiÁµi
⎧x +2 , x > 3
(4.2) lim f (x) เมื่อ f (x) = ⎨ ¢ÇÒäÁe·Ò¡a¹)
x→3 ⎩ x −5 , x < 3
æµ ËÒ¤ÒäÁä´ æ»ÅÇÒ ÁÕÅiÁµi e»¹ ∞ ¤Ãaº
⎪⎧ x +5 , x > 4
(4.3) lim f (x) เมื่อ f (x) = ⎨ ( ∞ eÃÕ¡e»¹ÀÒÉÒä·ÂÇÒ ËÒ¤ÒäÁä´)
x→4 ⎪⎩ 2x −5 , x < 4
⎧ x2 , x < 3
(4.4) lim f (x) และ lim f (x) เมื่อ f (x) = ⎨
x→3 x→4
⎩2x , x > 3
(x −2)2
(6) [Ent’39] จงหาค่า lim− f (x) , lim+ f (x) , และ lim f (x) เมื่อ f (x) =
x →2 x →2 x →2 x −2
2
x −9
(7) [Ent’41] กําหนดให้ f (x) = จงหาค่า lim f (x) และ lim f (x)
x −3 x → −3 x→3
⎧ x2 , x > 1
⎪ ⎡ f (x − 1)⎤
* (8) [Ent’มี.ค.43] f (x) = ⎨x-1 , 0 < x < 1 จงหาค่า lim− f (x2) + lim+ ⎢ ⎥
x→0 x → 1 ⎣ x +2 ⎦
⎪ 0, x < 0
⎩
• ตัวอยาง ใหหาคาลิมิตในแตละขอตอไปนี้
⎛ x2 + 9 − 5 ⎞
ก. lim ⎜⎜ ⎟
⎟
x→4
⎝ x−4 ⎠
วิธีคิด เมื่อลองแทนคา x = 4 จะพบวาอยูในรูปแบบ 0/0 ทําใหยังไมทราบคําตอบ
2
ขอนี้มีรากที่สอง เราจึงจัดรูปใหมโดยใช x + 9 + 5 คูณทั้งเศษและสวน (เพื่อใหรูทหายไป)
2 2
ตามกฎที่วา (A − B)(A + B) = A − B ...
⎛ x2 + 9 − 5 ⎞ ⎛ x2 + 9 + 5 ⎞ ⎛ x2 + 9 − 25 ⎞
จะได lim ⎜⎜ ⎟⎜
⎟
⎟ = lim ⎜ ⎟
x 4 ⎜ 2
⎠ ⎝ x + 9 + 5⎠ ⎟ 2
⎝ (x − 4)( x + 9 + 5) ⎠
x→4 − x→4 ⎜ ⎟
⎝
⎛ x2 − 16 ⎞ ⎛ x+4 ⎞ 8
= lim ⎜ ⎟ = lim ⎜ ⎟ = ... ตอบ
2 2 10
⎝ (x − 4)( x + 9 + 5) ⎠
x→4 ⎜ ⎟ x → 4 ⎜ x + 9 + 5⎟
⎝ ⎠
⎛ x2 + 2x − 3 + 9−x⎞
ข. lim ⎜ ⎟
x→0 ⎝ x ⎠
แบบฝึกหัด 14.2
(9) หาค่าของลิมิตต่อไปนี้
⎛ x2− 4 ⎞ ⎛ x2−2x − 3 ⎞
(9.1) xlim ⎜
→2 ⎜
⎟⎟ (9.3) lim ⎜⎜ 2 ⎟⎟
⎝ x −2 ⎠ x → −1
⎝ x + 4x + 3 ⎠
⎛ x2− 4 ⎞ ⎛ x −a ⎞
(9.2) lim ⎜⎜ 2 ⎟⎟ (9.4) lim ⎜⎜ 2 2 ⎟⎟
x →2
⎝ x + x −6 ⎠ x→a
⎝ x −a ⎠
(10) หาค่าของลิมิตต่อไปนี้
⎛ 1− x ⎞ ⎛ 2x ⎞
(10.1) lim ⎜ ⎟⎟ (10.4) lim ⎜ ⎟
x→1 ⎜ 1− x x→0 ⎜ x +9 − 3 ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎛ x −1 ⎞ ⎛ x + 1 −1 ⎞
(10.2) lim ⎜ ⎟ (10.5) lim ⎜ ⎟
x → 1 ⎜ 2− x + 3
⎝
⎟
⎠
x→0 ⎜
⎝ x ⎟
⎠
⎛ x −2 − 1 ⎞ ⎛ x− 2 ⎞
(10.3) lim ⎜ ⎟ (10.6) lim ⎜ 2 ⎟
x→3 ⎜ x −3 ⎟ x →2 ⎜ x −2x ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎛ x2+ 3 −2 ⎞
(11) [Ent’มี.ค.44] lim ⎜ ⎟ มีค่าเท่ากับเท่าใด
x→1 ⎜ x −1 ⎟
⎝ ⎠
(12) จงหาค่าของ
⎛ x3− 1 ⎞ ⎛ 1− x − 3 ⎞
(12.1) lim ⎜⎜ 2 ⎟⎟ (12.3) lim ⎜ ⎟
x → −8 ⎜ 2 + 3 x ⎟
x→1
⎝ x −1 ⎠ ⎝ ⎠
⎛ 3 x −1 −1 ⎞ ⎛ 4 x −1 ⎞
(12.2) lim ⎜ ⎟ (12.4) lim ⎜ ⎟
x →2 ⎜ x − 2 ⎟ x → 1 ⎜ 3 x −1 ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎧ x −1
⎪ , x < 1
⎪ 1− x
(13) [Ent’38] จงหาค่า lim f (x) + lim+ f (x) เมื่อ f (x) = ⎨
x → 1− x→1
⎪ 1-x , x > 1
⎪ 1− x
⎩
14.3 ความต่อเนื่องของฟังก์ชัน
การพิจารณาความต่อเนื่องของฟังก์ชัน ณ จุดใดๆ ก็คือการบอกว่ากราฟของฟังก์ชันขาด
ตอนที่จุดนั้นหรือไม่ โดยสําหรับฟังก์ชัน f (x) ใดๆ จะต่อเนื่องที่ x = a ก็ต่อเมื่อ
lim f (x) = f (a) = lim f (x) เท่านั้น (และต้องหาค่าได้ทั้งสามตัว)
x→a −
x→a +
นิยามของ ความต่อเนื่องบนช่วง
1. ฟังก์ชัน f (x) ต่อเนื่องบนช่วงเปิด (a, b) ก็ต่อเมื่อ f (x) ต่อเนื่องทุกๆ จุดในช่วง (a, b)
2. ฟังก์ชัน f (x) ต่อเนื่องบนช่วงปิด [a, b] ก็ต่อเมื่อ f (x) ต่อเนื่องบนช่วง (a, b) , ต่อเนื่องทางขวา
ของ a [คือ f (a) = xlim
→a
f (x) ], และต่อเนื่องทางซ้ายของ b [คือ f (b) = lim f (x) ]
+
x →b −
⎧ f (x) , x < 1
⎪
• ตัวอยาง กําหนดให f (x) = mx + 1 เมื่อ m เปนคาคงตัว และ g(x) = ⎨f (x + 1) , x > 1
⎪ −1 , x = 1
⎩
ก. ถา g(x) มีลมิ ิตที่ x = 1 แลว m มีคาเทาใด
วิธีคิด g (x) มีลิมิตที่ x = 1 แสดงวา lim g(x) = lim g(x) ... นั่นคือ
x → 1− x → 1+
f (1) = f (1 + 1)
แบบฝึกหัด 14.3
(14) ฟังก์ชันต่อไปนี้ มีความต่อเนื่องที่ x = 2 หรือไม่
⎧ x2− 4
x3−8 ⎪ , x ≠ 2
(14.1) f (x) = (14.2) f (x) = ⎨ x −2
x −2 ⎪ 4,
⎩ x = 2
(15) ฟังก์ชันต่อไปนี้มีความต่อเนื่องที่จุดใดบ้าง
⎧ x2− x ⎧x
f (x) = ⎨ x , x ≠ 0 h (x) = ⎨ x , x ≠ 0
⎪ ⎪
(15.1) (15.3)
⎪⎩ 1 , x = 0 ⎪ 2, x = 0
⎩
⎧ x2−9
⎪ , x ≠ 3
(15.2) g(x) = ⎨ x − 3
⎪ 2, x = 3
⎩
ก. f ต่อเนื่องที่ x = −1 ข. f ต่อเนื่องที่ x = 1
⎧ 1
⎪ 3x + 1 , 0 < x < 1
⎪⎪
(18) [Ent’ต.ค.41] กําหนดให้ f (x) = ⎨ 1, x = 1 แล้ว ข้อความใดถูกบ้าง
⎪ 2− 5− x
⎪ , x > 1
⎪⎩ x −1
ก. lim f (x) = lim+ f (x) ข. f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องที่ x = 1
x → 1− x→1
⎧3x + a , x = 2
⎪
(19) จงหาค่า a ที่ทําให้ฟังก์ชนั f (x) = ⎨ x2− 4 มีความต่อเนื่องที่ x = 2
⎪ x −2 , x ≠ 2
⎩
⎧ 1− x2 , x ∈ (−∞, 1)
(20) จงหาค่า b ที่ทําให้ฟังก์ชัน f (x) = ⎨ เป็นฟังก์ชันต่อเนื่อง
⎩ x +b , x ∈ [1, ∞)
⎧ 2, x < 1
⎪ x −5
⎪ , 1< x < 2
(21) จงหาค่า b ที่ทําให้ f (x) = ⎨ ต่อเนื่องที่ x = 2
x −2 −b
⎪
⎪ x2−5 , x > 2
⎩
และถามว่า ค่า b ที่ได้นี้ทําให้ f (x) ต่อเนื่องที่ x = 1 หรือไม่ เพราะเหตุใด
⎧ ax , x < 1
⎪
(22) ถ้าฟังก์ชัน f (x) = ⎨ 4 , x=1 ต่อเนื่องที่จดุ ซึ่ง x = 1 แล้ว จงหาค่า a, b
⎪x + b , x > 1
⎩
x3−2x2− x +2
(24) [Ent’37] กําหนดให้ f (x) = ถ้าต้องการให้ f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องบนเซตของ
x2− 1
จํานวนจริงแล้ว จะต้องนิยามเพิ่มเติมให้ f (−1) และ f (1) มีค่าเท่าใด
x3− x2− 4x + 4
(25) [Ent’ต.ค.42] กําหนดให้ f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่อง โดยที่ f (x) = เมื่อ x ≠ ±2
4 − x2
และ f (2) = a, f (−2) = b แล้ว a และ b มีค่าเท่าใด
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1.1) –1, ไม่มี (9.4) 1/2a (10.1) 1/2 (15.2) ทุกจุดยกเว้นที่ x = 3
(1.2) 0, ไม่มี (10.2) –4 (10.3) 1/2 (15.3) ทุกจุดยกเว้นที่ x = 0
(2.1) 3 (2.2) 18 (10.4) 12 (10.5) 1/2 (16) ต่อเนื่อง
(3.1) –1 (3.2) 12 (10.6) 1/4 2 (11) 1/2 (17) ก.ถูก และ ข.ถูก
(3.3) หาค่าไม่ได้ (4.1) ไม่มี (12.1) 3/2 (12.2) 1/3 (18) ก.ถูก และ ข.ผิด
(4.2) ไม่มี (4.3) 3 (12.3) –2 (12.4) 3/4 (19) –2 (20) –1
(4.4) ไม่มี, 8 (5) 2x (13) 0 + (−2) = −2 (21) 3, ไม่ต่อเนือ่ งที่ x = 1
(6) –1, 1, ไม่มี (14.1) ไม่ต่อเนื่อง เพราะไม่มี f (2) เพราะลิมติ ซ้ายไม่เท่ากับขวา
(7) 0, ไม่มีลิมิต (22) 4, 3 (23.1) 0, –4
(14.2) ต่อเนือ่ ง (23.2) –2/3, –4/3
(8) –4/3 (9.1) 4 (15.1) ทุกจุดยกเว้นที่ x = 0
(9.2) 4/5 (9.3) –2 (24) –3, –1 (25) –1, 3
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1.1) พิจารณาจากกราฟ ที่ x = −1 (2.2) lim f(x) = 8 + 8 + 2 = 18
x →2
กราฟผ่านจุด (−1, −1) ทัง้ ทางซ้ายและขวา 1+ 1
(3.1) = −1
ดังนัน้ xlim
→ −1
f(x) = −1 1− 3
x−1 ⎛2 + x + 3⎞
จึงถอดค่าสัมบูรณ์ได้เลยทันที (10.2) lim ⎜ ⎟
x → 1 (2 − x + 3) ⎝ 2 + x + 3⎠
(เพราะ x − 2 > 0 )
(x − 1)(2 + x + 3)
ดังนัน้ xlim f(x) = −1 , lim f(x) = 1 , = lim
→2 −
x →2 + x→1 1− x
และ lim f(x) ไม่มีค่า = lim − (2 + x + 3) = −4
x →2 x→1
(10.6) ⎛ x − 2⎞⎛ x + 2⎞
lim ⎜ 2
(14.1) แม้ว่าจะหา xlim →2
f(x) ได้โดยการแยกตัว
⎟⎜ ⎟
⎝ x − 2x ⎠ ⎝ x + 2 ⎠
x →2
ประกอบ (ได้เป็น 12) แต่ที่จริงแล้ว f(2) ไม่นิยาม
(x − 2) 1
= lim = ดังนัน้ ไม่ต่อเนื่อง ที่ x = 2
x → 2 (x)(x − 2)( x + 2) (2)(2 2)
1
(14.2) f(2) = 4 (กรณีล่าง)
=
4 2 หา xlim →2
f(x) โดยกรณีบน ได้เป็น
⎛ x2 + 3 − 2 ⎞ ⎛ x2 + 3 + 2 ⎞ lim(x + 2) = 4 ดังนั้น ต่อเนื่อง ที่ x = 2
(11) lim ⎜ ⎟⎜ ⎟ x →2
x→1 ⎝ x−1 ⎠ ⎜⎝ x2 + 3 + 2 ⎟⎠
(15) ฟังก์ชนั ทั่วไปจะไม่ต่อเนือ่ งแค่เพียงบางจุด การ
(x2 − 1) หาว่าต่อเนื่องทีจ่ ดุ ใดบ้าง ควรหาในแง่กลับกันว่า “จุด
= lim
(x − 1)( x2 + 3 + 2)
x→1
ใดไม่ต่อเนื่องบ้าง” แล้วตอบว่า “ต่อเนือ่ งทุกจุดยกเว้น
(x + 1) 2 1 ที่ ......” และจุดที่มีปัญหามักเป็นจุดที่แยกกรณีพอดี
= lim = =
x→1
( x2 + 3 + 2) 4 2
เช่นข้อ (15.1) ควรพิจารณาเฉพาะทีจ่ ุด x = 0
(x − 1)(x2 + x + 1) 1+ 1+ 1 (15.1) f(0) = 1
(12.1) lim =
x→1 (x − 1)(x + 1) 1+ 1 x(x − 1)
3 และ xlim f(x) = lim = 0 − 1 = −1
= →0 x→0 x
2 ดังนัน้ ตอบว่า ต่อเนื่องทุกจุด ยกเว้นทีจ่ ุดซึ่ง x = 0
⎛ 3 x − 1 − 1 ⎞ ⎛ (x − 1)2 / 3 + (x − 1)1/ 3 + 1 ⎞
(12.2) lim ⎜ ⎟ ⎜⎜ ⎟⎟ (15.2) g(3) = 2
⎝ x − 2 ⎠ ⎝ (x − 1) + (x − 1) + 1 ⎠
x →2 2/ 3 1/ 3
(x − 3)(x + 3)
(x − 2)
และ xlim g(x) = lim = 6
= lim
→3 x→3 (x − 3)
x →2 (x − 2)((x − 1)2 / 3 + (x − 1)1/ 3 + 1) ต่อเนื่องทุกจุดยกเว้นจุดซึง่ x = 3
1 1 ⎧⎪ 1, x > 0
= =
1+ 1+ 1 3 (15.3) h(x) = ⎨−1, x < 0
⎪⎩ 2, x = 0
(12.3)
⎛ 1 − x − 3 ⎞ ⎛ 1 − x + 3 ⎞ ⎛ 4 − 2 3 x + x2 / 3 ⎞ แสดงว่าลิมิตซ้าย, ขวา, และค่าฟังก์ชัน ไม่เท่ากันเลย
lim ⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ 2/ 3 ⎟
x → −8
⎝ 2 + x ⎠ ⎝ 1− x + 3 ⎠ ⎝ 4 −2 x + x ⎠
3 3 จึงตอบว่า ต่อเนือ่ งทุกจุดยกเว้นทีจ่ ุดซึง่ x = 0
(−x − 8)(4 − 23 x + x2 / 3) (16) f(−1) = 0 = 0
= lim lim f(x) = lim − − (x + 1) = −0 = 0
x → −8 (8 + x)( 1 − x + 3) x → −1− x → −1
2/ 3
⎛4 − 2 x + x 3 ⎞ และ x lim f(x) = lim (x + 1) = 0
= lim − ⎜ ⎟ → −1 +
x → −1 +
x → −8 ⎝ 1− x + 3 ⎠
4+4+4
ดังนัน้ ต่อเนื่อง ที่ x = −1
= − = −2 (17) ก. พิจารณาที่ x = −1 คือกรณีบนกับกลาง
3+3
4
x − 1⎞ ⎛ 4 x + 1
2/ 3 1/ 3
x + 1⎞ ⎛ x + x + 1⎞ (กรณีบน บอกลิมิตซ้ายและค่า f, ส่วนกรณีกลาง
(12.4) lim ⎛⎜ ⎟⎜ 4 ⋅ ⎟ ⎜ 2/ 3 1/ 3 ⎟ บอกลิมิตขวา)
⎝ x − 1⎠ ⎝ x + 1 x + 1⎠ ⎝ x + x + 1⎠
x→1 3
3
(x − 1)(x2/ 3 + x1/ 3 + 1) lim f(x) = f(−1) = −
= lim x → −1− 2
x → 1 (x − 1)(4 x + 1)( x + 1)
2x2 + x − 1
1+ 1+ 1 3 และ x lim f(x) = lim
= = → −1+ x → −1+ 2(x + 1)
(1 + 1)(1 + 1) 4
(x + 1)(2x − 1) 3
x −1 x −1 = lim + = − ดังนั้น ก. ถูก
(13) lim f(x) = lim− = lim− x → −1 2(x + 1) 2
x → 1− x→1 1− x x→1 1− x
−(1 − x) ข. พิจารณาที่ x = 1 คือ กรณีกลางกับล่าง จะได้ว่า
= lim− = lim− − 1 − x = 0
1− x 2(1)2 + 1 − 1 1
x→1 x→1
lim− f(x) = f(1) = =
1− x −(1 − x) x→1 2(1 + 1) 2
และ xlim f(x) = lim+
x→1 1 −
= lim+
⎛1 − x ⎞
→ 1+ x x→1 1 − x และ lim f(x) = lim+ ⎜ ⎟ =
x→1 ⎝ 1 − x ⎠
−(1 − x)(1 + x) x → 1+
= lim+ = lim+ − (1 + x)
x→1 1− x x→1 1− x 1
lim = ดังนัน้ ข. ถูก
= −2 ดังนัน้ ตอบ 0 − 2 = −2 x → 1+ (1 − x)(1 + x) 2
eÃ×èo§æ¶Á
การคํานวณลิมิตในรูปแบบยังไม่กําหนด ด้วยกฎของโลปีตาล..
(1) รูปแบบยังไม่กําหนด (Indeterminate Form) มี 7 แบบ ได้แก่
0 ∞
0⋅∞ ∞ −∞ 00 ∞0 1∞
0 ∞
เราจะพบสองรูปแบบแรกบ่อยในระดับมัธยมศึกษา ซึง่ การหาลิมิตรูปแบบ 0 และ ∞ นอกจากจะหา
0 ∞
โดยการจัดรูปแล้ว สามารถหาอย่างง่ายๆ ได้โดย กฎของโลปีตาล (L’Hôpital’s Rule) ซึง่ จะต้องอาศัย
สูตรในการหาอนุพันธ์ของฟังก์ชนั จึงควรมีความรูพ้ ื้นฐานของบทที่ 15 (ในหัวข้อ 15.2) ก่อน..
f (x) f′ (x)
(2) กฎของโลปีตาลกล่าวว่า lim = lim ... เมื่อ f (a) = g (a) = 0 หรือ f (a) = g (a) = ∞
x→a g (x) x → a g′ (x)
0 ∞
เรานําไปใช้งานโดยเมื่อทดลองแทนค่าพบว่าลิมิตของฟังก์ชนั อยู่ในรูปแบบ หรือ แล้ว เราสามารถหา
0 ∞
0
อนุพันธ์ของเศษและของส่วน เพือ่ ให้ได้ฟังก์ชันใหม่ที่ยังคงมีค่าลิมติ เท่าเดิม หากลองแทนค่าแล้วยังเป็น
0
∞
หรือ อยูอ่ ีกก็ให้ใช้กฎของโลปีตาล (คือหาอนุพนั ธ์เศษและส่วน) ซ้ําเรือ่ ยๆ จนกว่าจะได้คําตอบ
∞
⎛ x3− 3x +2 ⎞
(3) ตัวอย่างเช่น ต้องการหาค่าของ lim ⎜⎜ 3 ⎟
x → 1 2x − 3x2 + 1 ⎟
⎝ ⎠
0
ลองแทน x ด้วย 1 แล้วพบว่าเป็นรูปแบบ จึงใช้กฎของโลปีตาลได้ ดังนี้
0
⎛ x3− 3x +2 ⎞ ⎛ 3x2 − 3 ⎞
lim ⎜⎜ 3 2 ⎟ = lim ⎜ 2
⎟ ⎟
x → 1 2x − 3x + 1 x → 1 ⎝ 6x − 6x ⎠
⎝ ⎠
0
จากนั้นลองแทน x ด้วย 1 แล้วยังเป็น จึงใช้กฎโลปีตาลอีกครั้ง เป็น
0
⎛ 3x2 − 3 ⎞ ⎛ 6x ⎞ 6
lim ⎜ 2 ⎟ = xlim ⎜ ⎟ = = 1
x → 1 ⎝ 6x − 6x ⎠ → 1 ⎝ 12x − 6 ⎠ 6
ดังนัน้ ค่าของลิมติ เท่ากับ 1
⎛ x2 −2x ⎞
(4) ตัวอย่างต่อมา ต้องการหาค่า lim ⎜ ⎟
⎜ x− 2 ⎟
x→∞
⎝ ⎠
∞
ลองแทน x ด้วย ∞ พบว่าเป็นรูปแบบ จึงใช้กฎของโลปีตาลได้ ดังนี้
∞
⎛ x2−2x ⎞ ⎛ 2x − 2 ⎞
lim ⎜ ⎟ = lim ⎜ = lim [(4x − 4) x]
1 −1/ 2 ⎟
⎝ x− 2 ⎠
x→∞ ⎜ ⎟ x x→∞
⎜ x
→ ∞
⎟
⎝2 ⎠
จากนั้นลองแทน x ด้วย ∞ อีกครั้ง พบว่าได้ ∞ ... ดังนัน้ คําตอบคือ หาค่าไม่ได้
calculus
º··Õè 15 o¹u¾a¹¸æÅa
¡ÒÃoi¹·ie¡Ãµ
หลักการของวิชาแคลคูลัสที่จะได้ศกึ ษาในบทนี้
ได้แก่ การหาอนุพันธ์ และการอินทิเกรต ซึง่ เป็นการ
กระทํากับฟังก์ชันเพื่อให้ได้ฟังก์ชันใหม่ไปใช้ประโยชน์
โดยอนุพันธ์คือความชันของเส้นกราฟ และการอินทิ
เกรตคือการกระทําย้อนกลับของอนุพันธ์ และเป็นการ
หาพื้นที่ใต้กราฟด้วย
15.1 อัตราการเปลี่ยนแปลง
ในฟังก์ชัน y = f (x) ใดๆ เราพิจารณาหา “อัตราการเปลี่ยนแปลงของค่าฟังก์ชัน” ได้ดังนี้
ที่จุด x = x1 จะได้ y = f (x1)
ที่จุด x = x2 = x1+ h จะได้ y = f (x1+h)
ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในช่วง x1 ถึง x1+h คือ
Δy f (x1+ h) − f (x1) f (x1+ h) − f (x1)
= =
Δx (x1+ h) − (x1) h
หรือ “อัตราการเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยของ y เทียบกับ x (ในช่วง x ถึง x+h ใดๆ)” คือ
f (x + h) − f (x)
หรือ Δy
h Δx
และเมื่อเราบีบช่วง h ให้แคบลงจนใกล้ 0 ก็จะได้อัตราการเปลี่ยนแปลง ณ จุด x ที่กําหนด
2
• ตัวอยาง ถา y = f (x) = 2x + 3x − 4 ใหหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x
ก. โดยเฉลี่ยในชวง x = 1 ถึง 4
วิธีคิด ΔΔyx = f (4)4 −− 1f (1) = 40 − 1
4 − 1
= 13
¹íÒ˹ÒæµÅaºÃ÷a´ã¹eÇÅÒ·´ËÃ×oæÊ´§Çi¸Õ·Òí oÒ¨Å×Áæ·¹
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนอนุพันธ์ของ f (x)
¤Ò h ´Ç 0 æÅa¤íÒµoº¡ç¨a¼i´¹a¤Ãaº
ได้แก่ f′ (x) หรือ dy หรือ d f (x) หรือ y′
dx dx
dy
ส่วนสัญลักษณ์ที่ใช้เจาะจงตําแหน่ง เช่น อนุพันธ์ที่จุดซึ่ง x = 3 จะใช้ f′ (3) หรือ
dx x=3
f (x + h) − f (x) dy
ฉะนั้น อนุพันธ์ของ f (x) ก็คือ lim = นั่นเอง
h→0 h dx
นอกจากนั้นเรียกว่าเป็นค่า ความชัน (Gradient) ของกราฟ y = f (x) ณ จุดนั้นๆ ด้วย
แบบฝึกหัด 15.1
(1) ให้ y = x2− x + 1 จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยของ y เมื่อเทียบกับ x
ในช่วง x = 3 ถึง 5
(2) จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของ y
(2.1) y = 2x2+ 3x −4 เมือ่ x มีค่าใดๆ
(2.2) y = 3x2+ 7x +1 ที่จดุ x = 2
(3) ให้ y = x2 จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลง
(3.1) โดยเฉลี่ยของ y เมื่อเทียบกับ x ในช่วง x = x1 ถึง x = x1+ h
(3.2) โดยเฉลี่ยของ y เมื่อเทียบกับ x ในช่วง x = 10 ถึง 13
(3.3) ของ y ทีจ่ ุด x = x1
(3.4) ของ y ทีจ่ ุด x = 10
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 309 อนุพันธและการอินทิเกรต
1
(4) ถ้า f (x) = จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ f (x) เทียบกับ x
x
(4.1) ในช่วง x = 4 ถึง x = 5
(4.2) ในช่วง x = 4 ถึง x = 4.5
(4.3) ในช่วง x = 4 ถึง x = 4.01
(4.4) ที่จุดซึ่ง x = 4
(5) จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยของปริมาตรทรงกลม เทียบกับรัศมี เมื่อรัศมีเปลี่ยนจาก 2
ถึง 3 หน่วย
(6) จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของ
(6.1) พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทียบกับความยาวด้าน ขณะที่ด้านยาว 5 ซม.
(6.2) พื้นที่วงกลมเทียบกับรัศมี ขณะที่รัศมียาว 10 นิ้ว
(7) ให้หาอัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรกรวยกลมตรง
(7.1) เทียบกับรัศมีฐาน r เมื่อส่วนสูง H คงตัว
(7.2) เทียบกับส่วนสูง H เมื่อรัศมีฐาน r คงตัว
(8) ในการสูบน้ําออกจากสระแห่งหนึ่ง หลังจากสูบได้ t นาที จะมีน้ําเหลืออยู่ในสระเป็นปริมาตร Q
ลบ.ม. โดยที่ Q = (12 − t )2 จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลง
10
(8.1) โดยเฉลี่ย ของปริมาตรน้ําในสระ เทียบกับเวลา ในช่วง t = 0 ถึง t = 10 นาที
(8.2) ของปริมาตรน้ําในสระ เทียบกับเวลา ขณะที่ t = 10 นาที
(9) จงหาอนุพันธ์ของฟังก์ชัน f (x) ที่จุด x ใดๆ และที่จุด x = 2
(9.1) f (x) = 2x2
(9.2) f (x) = x2−2x +4
(9.3) f (x) = 3
(9.4) f (x) = 2−3t
(10) ถ้า y = x −2x2เป็นสมการเส้นโค้ง จงหา
(10.1) ความชันของเส้นโค้งนี้ที่จุด (2, −6)
(10.2) สมการเส้นสัมผัสโค้ง ณ จุดเดียวกันนี้
(11) ให้หาสมการเส้นสัมผัสโค้ง y = x3 ณ จุด (−1, −1)
15.2 สูตรในการหาอนุพันธ์
เนื่องจากการใช้ลิมิตคํานวณนั้นไม่สะดวก จึงได้มีการคิดสูตรในการหาอนุพันธ์ไว้ดังนี้
1. สูตรทั่วไป
d d
• x = 1 • c = 0
dx dx
d n d d
• x = n xn−1 • c f (x) = c f (x)
dx dx dx
2. การบวกลบคูณหารฟังก์ชัน
d
• [ f (x) ± g(x)] = f′ (x) ± g′ (x)
dx
d
• [ f (x) ⋅ g (x)] = f (x) g′ (x) + g(x) f′ (x) (หน้า ดิฟหลัง + หลัง ดิฟหน้า)
dx
d ⎡ f (x) ⎤ g (x) f′ (x) − f (x) g′ (x)
• ⎢ ⎥ = ((ล่าง ดิฟบน - บน ดิฟล่าง) ส่วน ล่างกําลังสอง)
dx ⎣ g(x)⎦ [g(x)] 2
3. ฟังก์ชันประกอบ (กฎลูกโซ่; Chain Rule)
d dg df
• g (f (x)) = ⋅ หรือเขียนอีกแบบว่า (g D f)′ (x) = g′ (f (x)) ⋅ f′ (x)
dx df dx
dg dg dh df dx
หมายเหตุ กฎลูกโซ่จะเขียนยาวกี่ทอดก็ได้ เช่น = ⋅ ⋅ ⋅
dt dh df dx dt
n n
• ตัวอยาง ใหหาคา lim ⎛⎜⎝ (x + h)h − x ⎞⎟⎠
h→0
n
วิธีคิด ในขณะนีเ้ ราไมสามารถกระจาย (x + h) จึงไมมีวิธีคิดหาลิมิตแบบตรงๆ ได
แตพบวาอยูในรูปแบบนิยามของอนุพนั ธพอดี ..ดังนั้นคําตอบคือ อนุพนั ธของ x ตอบ n
n xn−1
2 3
• ตัวอยาง ใหหาความชันของเสนสัมผัสโคง y = 2x − 3x + x ที่จดุ (4, 24)
วิธีคิด dy
dx
้ dy
= 2 − 3 (2x) + (3x ) ดังนัน 2
dx
= 2 − 24 + 48 = 26
x=4
2
• ตัวอยาง ถา f (x) = (2x + 1)(3x − 2) ใหหาคา f′(x)
2 2
วิธีคิด ใชสูตรดิฟผลคูณดังนี้ f′(x) = (2x + 1)(6x) + (3x − 2)(2) = 18x + 6x − 4
3/ 2
• ตัวอยาง ถา f (x) = (2x + 1) ใหหาคา f′(4)
วิธีคิด f′(x) = 23 (2x + 1) ⋅ 2 = 3 2x + 1
1/ 2
(1 − 3x2)2
• ตัวอยาง ถา f (x) =
1 + 3x2
ใหหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของ f (x) เทียบกับ x ขณะที่ x = 1
วิธีคิด อัตราการเปลี่ยนแปลงทีก่ ลาวถึงก็คือ f′(x) ... ขอนี้ใชสตู รดิฟผลหาร ปนกับดิฟลูกโซ
(1 + 3x2) ⋅ 2 (1 − 3x2)(−6x) − (1 − 3x2)2 ⋅ (6x)
ดังนี้ f′(x) = จากนัน้ แทนคา x=1
(1 + 3x2)2
จะได f′(1) = 4.5 ... จึงตอบวา อัตราการเปลี่ยนแปลงของ f (x) ขณะที่ x=1 เทากับ 4.5
อนุพันธ์อันดับสูง
dy
สมมติ f (x) = y = x3−2x2+ x+5 ดังนั้น หาอนุพันธ์ได้เป็น f′ (x) = = 3x2− 4x+ 1
dx
หากเราหาอนุพันธ์ของ f′ (x) ต่อไปอีก จะเรียกว่าเป็นอนุพันธ์ อันดับสูง (Higher Order)
d2y
เช่น อนุพันธ์อันดับสอง คือ f′′ (x) = = 6x− 4
dx2
d3y
อนุพันธ์อันดับสาม คือ f′′′ (x) = = 6
dx3
d4y
อนุพันธ์อันดับสี่ คือ f(4)(x) = = 0 ... ฯลฯ
dx4
dny
การเขียนสัญลักษณ์ อนุพันธ์อันดับที่ n จะเป็น หรือ f(n)(x)
dx n
แต่อันดับที่หนึ่ง สอง และสาม นิยมใช้เครื่องหมายขีด เป็น f′ (x), f′′ (x), f′′′ (x)
ข้อสังเกต ตัวอย่างที่ยกมาเป็นพหุนามดีกรี 3 จะเห็นได้ว่า อนุพันธ์อันดับที่สี่ขึ้นไปล้วนมีค่าเป็น 0
3/ 2
• ตัวอยาง ถา f (x) = (2x + 1) ใหหาคา f′′(4)
วิธีคิด จาก f′(x) = 23 (2x + 1) ⋅ 2 = 3 (2x + 1)
1/ 2 1/ 2
(ดิฟลูกโซ)
1 3
จะได f′′(x) = 3 ( )(2x + 1)−1/ 2 ⋅ 2 = (ดิฟลูกโซอีกครั้งหนึ่ง)
2 2x + 1
3
เพราะฉะนั้น f′′(4) = = 1
2 (4) + 1
แบบฝึกหัด 15.2
(12) จงหาค่า f′ (x) เมื่อกําหนด f (x) ให้ดังนี้
(12.1) f (x) = 5 (12.7) f (x) = (3x3−4x2) + (7x2−5)
(12.2) f (x) = x (12.8) f (x) = x5−x − 3
(12.3) f (x) = −3x (12.9) f (x) = 1/ x
(12.4) f (x) = −3x2 (12.10) f (x) = 2/ x2
(12.5) f (x) = x2+ x (12.11) f (x) = 6 x
(12.6) f (x) = 3x2−5x + 1 (12.12) f (x) = 1 / 3x x
(13) จงหาค่า f′ (x) เมื่อกําหนด f (x) ให้ดังนี้
(13.1) f (x) = (6x2+ 4)(3x3+5)
(13.2) f (x) = (2x4+1)(x2+ x + 1)
4x2+ 7x + 1
(13.3) f (x) =
3x2+8
x2+ 4x + 7
(13.4) f (x) =
3x − 1
(17) จงหาค่าของ
(17.1) dy เมื่อ y = f (x) = (2x + 1)2(3x −2)3
dx x=1
2
(17.2) f′ (1) เมื่อ f (x) =
2
3 x −2x + 3
(20) หาค่า (f′′+ g′′)(1) เมื่อ f (x) = 2− x และ g(x) = (1− 3x)2
จากนั้น dA dr
= 2π (−16/r + 2r) = 0
2
→ 2r = 16/r 2
S e¾ièÁeµiÁ! S
→ r = 2 แสดงวา A ทีต ่ ่ําที่สุดเกิดเมื่อ r = 2 เมตร ตอบ ¡ÒÃËÒ¤ÒÊÙ§Êu´ µèÒí Êu´ ¢o§¿§¡ªa¹ ´ÇÂo¹u¾a¹¸ µÒ§¨Ò¡
º·eÃÕ¹eÃ×èo§¡íÒ˹´¡ÒÃeªi§eʹ µÃ§·ÕèÇÒ º·¹aé¹ÁÕµaÇ
æ»Ãµ¹ 2 µaǤ×o x æÅa y e»¹µaÇæ»Ãµ¹·a§é ¤Ù æÅa x
¡aº y ÁÕ¢o¨íÒ¡a´ÃÇÁ¡a¹ºÒ§oÂÒ§ (ã¹ÃÙ»oÊÁ¡ÒÃ
แบบฝึกหัด 15.3 eʹµÃ§) 浺·¹ÕÁé ÕµaÇæ»Ãµ¹e»¹ x e¾Õ§µaÇe´ÕÂÇ...
1. µo§¡ÒÃËÒ¤Òã´µèÒí Êu´ËÃ×oÊÙ§Êu´ ãËe¢Õ¹¤Ò¹aé¹ã¹ÃÙ»
(22) จากกราฟในหน้าที่แล้ว ให้หาช่วงที่เป็น ¿§¡ªa¹¢o§¤Òo×è¹æ (¤×oãËe»¹ y) æÅaµo§ÁÕµÇa æ»Ãµ¹
ฟังก์ชันเพิ่ม และช่วงที่เป็นฟังก์ชันลด e¾Õ§oÂÒ§e´ÕÂÇ eª¹¶Ò x e»¹µaÇæ»Ãµ¹ ¡çµo §·íÒµaÇ
(23) หาค่าสูงสุดและต่ําสุด ของฟังก์ชันต่อไปนี้ æ»Ão×è¹æ ãËoÂÙã¹ÃÙ» x
(23.1) f (x) = −x2− x 2. ËÒ¡ÁÕ¤ÒÇi¡ÄµËÅÒÂ¤Ò ãËe»ÃÕºe·ÕºÇÒ¤Òã´·Õè·Òí ãË
(23.2) f (x) = x2−x −1 e¡i´¨u´µèÒí Êu´ËÃ×oÊÙ§Êu´´a§·Õèµo§¡ÒÃ
(23.3) f (x) = 3x +2
(24) จงหาค่าสุดขีดทั้งหมด และระบุช่วงที่เป็นฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด สําหรับฟังก์ชันต่อไปนี้
(24.1) f (x) = x2−4x +5
(24.2) f (x) = x3−3x
(24.3) f (x) = 2x3+ 3x2 −12x −7
(24.4) f (x) = x4−3x3+ 3x2− x
(24.5) f (x) = x3
(24.6) f (x) = x2−2x + 1 ; x ∈ [−1, 2]
(25) ให้หาค่าสูงสุดสัมพัทธ์ และต่ําสุดสัมพัทธ์ทั้งหมดของฟังก์ชันต่อไปนี้ โดยไม่ต้องวาดกราฟ
(25.1) f (x) = 3−x2
(25.2) f (x) = x2+ 3x +4
(25.3) f (x) = x3−3x +3
(25.4) f (x) = x4−2x2 +3
(25.5) f (x) = x3+ x2 −8x −1
(26) ให้เขียนกราฟและบอกค่าสุดขีดสัมพัทธ์ของ y = 2x5− 30x3
5 km
เป็นล้านบาท) ระหว่าง P ถึง R เป็นสองเท่าของกําลังสองของระยะทาง x
และระหว่าง R ถึง Q เป็นสามเท่าของกําลังสองของระยะทาง P 3 km T 4 km
(31) สามเหลี่ยมมุมฉากยาวด้านละ 90, 120, 150 หน่วย ให้หาว่าจะ
บรรจุสี่เหลี่ยมมุมฉากลงไปภายในสามเหลี่ยมนี้ (ให้มีมุมฉากร่วมกัน
ดังภาพ) ได้พื้นที่มากที่สุดเท่าใด
b a
(32.2) พื้นที่สี่เหลี่ยมมุมฉากมากที่สุด (32.5) ปริมาตรกรวยกลม มากที่สุด
บรรจุในวงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง d บรรจุในทรงกลมรัศมี r
กว้างยาว = _______ ความสูงกรวย = ________
พื้นที่ = __________
d
V B F
โจทย์ทบทวนเรื่องอนุพันธ์
3x + 1
(33) [Ent’38] กําหนดให้ f (x) = และ g(x) = 3x2 + 1 อนุพันธ์ของ [f (x) + g (x)] ที่
2x − 1
x = 1 เท่ากับเท่าใด
(34) [Ent’38] สมการเส้นสัมผัสโค้ง y = 3 x2+2 ที่จุดซึ่ง x = 5 เป็นสมการใด
2x − a
(35) [Ent’39] กําหนดให้ f (x) = โดยที่ a และ b เป็นจํานวนจริงซึ่งไม่ใช่ศูนย์ ถ้า
x +b
f′ (0) = 4 และ f′′ (0) = −8 แล้ว ค่าของ f (0) เป็นเท่าใด
(36) [Ent’38] กําหนดให้ f (x) = x3+bx2+cx เมื่อ b, c เป็นจํานวนจริง ถ้า x = −2 เป็นค่า
วิกฤตของฟังก์ชัน f และ f′′ (−1) = 6 แล้ว ข้อใดถูก
ก. f เป็นฟังก์ชันเพิ่ม ข. f เป็นฟังก์ชันลด
ค. x = −2 ให้ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ ง. x = −1 ให้ค่าต่ําสุดสัมพัทธ์
(37) [Ent’40] กําหนดให้ f (x) = ax3+bx2+ cx + d มี x −1 เป็นตัวประกอบหนึ่ง และ f (0) = 0 ,
f′ (0) = 2 , f′′ (0) + f′′′ (0) = 1 ดังนั้น f (2) มีค่าเท่ากับเท่าใด
(38) [Ent’37] ให้ f (x) = 3x − 10 และ h (x) = (f D g)(x) = ax2+bx + c ถ้า h (0) = 1 และ h มี
ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ที่ x = −2 คือ 5 แล้วค่า g(1) เป็นเท่าใด
(x2− 1)3
(39) [Ent’41] กําหนดให้ f (x) = โดยที่ g(2) = f′ (2) = 3 แล้ว จงหา g′ (2)
g(x)
(44) [Ent’41] ถ้า f (x) = x + 1 , g(x) = x และ F (x) = (f D g)(x) เมื่อ x > 1 แล้ว (F−1)′ (2) มี
ค่าเท่ากับเท่าใด
(45) [Ent’39] สามเหลี่ยมมุมฉากรูปหนึ่งมีด้านทั้งสามยาว 3, 4, 5 นิ้ว ตามลําดับ สี่เหลี่ยมผืนผ้า
ที่มีพื้นที่มากที่สุดที่สามารถบรรจุลงในสามเหลี่ยมนี้ได้ จะมีพื้นที่กี่ตารางนิ้ว
(46) [Ent’38] สินค้าชนิดหนึ่งขายราคาชิ้นละ 24 บาท ต้นทุนในการผลิต x ชิ้นเท่ากับ
16+6x + 0.2x 3/ 2 บาท ถ้า N เป็นจํานวนชิ้นของสินค้าที่ผลิตเพื่อให้ได้กําไรสูงสุดแล้ว ข้อใดเป็นจริง
ก. 1 < N < 2000 ข. 2000 < N < 4000
ค. 4000 < N < 6000 ง. 6000 < N < 8000
15.4 สูตรในการอินทิเกรต
การกระทําที่ตรงข้ามกับกระบวนการหาอนุพันธ์ เราเรียกว่า การอินทิเกรต (Integration)
นั่นคือ ถ้า d F (x) = f (x) แล้ว (การหาอนุพันธ์)
dx
จะได้ว่า ∫ f (x) dx = F (x) (การอินทิเกรต)
สัญลักษณ์ ∫ เรียกว่าเครื่องหมายอินทิกรัล และเรียก f (x) ว่า ตัวถูกอินทิเกรต (Integrand)
ข้อสังเกต
ปฏิยานุพันธ์มีได้หลากหลาย แต่อินทิกรัลไม่จํากัดเขตมีแบบเดียวเสมอ
บางตําราใช้คําว่า ปริพันธ์ แทนคําว่าอินทิกรัล
สูตรในการหาอินทิกรัล
1. สูตรทั่วไป
n xn+1 • ∫ k dx = kx + c
• ∫x dx =
n+ 1
+ c
• ∫ k f (x) dx = k ∫ f (x) dx
2. การบวกลบฟังก์ชัน
• ∫ [ f (x) ± g (x)] dx = ∫ f (x) dx ± ∫ g (x) dx
การคูณและหาร ไม่มีสูตร
•
3. ฟังก์ชันประกอบ อาศัยเทคนิคการอินทิเกรตโดยเปลี่ยนตัวแปร
(เทคนิคการอินทิเกรตเป็นเรื่องที่เกินหลักสูตร จึงได้อธิบายไว้ในหน้าแถม ท้ายบทนี้)
3 x4 2x3 3x1
• ตัวอยางเชน ∫ (x − 2x2 + 3) dx = − + + C
4 3 1
3 4t4 3t3 2t2 1t1
∫ (4t − 3t2 + 2t − 1) dt = − + − + C = t4− t3+ t2− t + C
4 3 2 1
2x3+ 3x2+ 4 −2 2x2 3x1 4x −1 4
∫( ) dx = ∫ (2x + 3 + 4x ) dx = + + + C = x2+ 3x + + C
x2 2 1 −1 x
2
∫ 6(x + 2)(x − 1) dx = ∫ (6x − 6x + 12) dx = 2x3− 3x2+ 12x + C
n+ 1
หมายเหตุ สูตร ∫ x n dx = x + c ใช้ได้เมื่อ n ≠ −1 เท่านั้น
n+ 1
−1
ส่วน ∫ (x ) dx จะไม่มีในหลักสูตร ม.ปลาย ... (ผลลัพธ์ที่ได้เป็น ln x + C)
−2 − x
• ตัวอยาง ถา F(x)
′ = และ F (−1) = 1 จะไดฟงกชัน F (x) เปนอยางไร
x3
−2x −2 x −1 1 1
วิธีคิด F(x)
′ = −2x −3 − x −2 จะอินทิเกรตได F (x) = − + C = + + C
−2 −1 x2 x
1 1
โจทยใหคา F (−1) = 1 จึงหาคา C ได ... 2
+ + C = 1 → C = 1
(−1) (−1)
1 1
... ดังนั้นตอบ F (x) = + + 1
x2 x
แบบฝึกหัด 15.4
(47) จงหาค่า F (x) ที่ทําให้ F′ (x) = f (x) เมื่อกําหนดให้
(47.1) f (x) = x (47.5) f (x) = x3
(47.2) f (x) = 2x (47.6) f (x) = x x
(47.3) f (x) = 7 (47.7) f (x) = 1 / x5
(47.4) f (x) = 3x2
(48) ให้หาค่า ∫ f (x) dx เมื่อกําหนดให้
3
(48.1) f (x) = 5x4+ 3x2−2 (48.4) f (x) = x3− + 4
x3
1 x −2
(48.2) f (x) = 2x − (48.5) f (x) =
x2 x3
(48.3) f (x) = x2(x − 3) (48.6) f (x) = (4x2+ 1)(x − 1)
(49) f (x) = 3x2− 3 และ F เป็นปฏิยานุพันธ์ของ f หาก F (0) = 4 แล้ว จงหาค่า F (1)
dy
(50) [Ent’41] ถ้า = 5x4 + 3x2− 4x และ −y (1) = y (−1) แล้วจงหาค่าของ y (0)
dx
(52) [Ent’ต.ค.43] ถ้าเส้นโค้ง y = f (x) ผ่านจุด (0, 1) และ (4, c) เมื่อ c เป็นจํานวนจริง และ
ความชันของเส้นโค้งนี้ที่จุด (x, y) ใดๆ มีค่าเท่ากับ x − 1 แล้ว c มีค่าเท่าใด
(53) [Ent’40] ถ้าเส้นโค้ง y = f (x) มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของความชันที่จุด (x, y) ใดๆ บนโค้ง
เป็น 2x −1 และเส้นสัมผัสเส้นโค้งที่จุด (1, 2) ตั้งฉากกับเส้นตรง x +2y −1 = 0 แล้ว ความชันของโค้ง
นี้ที่จุดซึ่ง x = 0 เท่ากับเท่าใด
(54) [Ent’30] จุดตัดระหว่างวงกลมที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ (0, 1) รัศมี 2 หน่วย กับเส้นโค้งที่ผ่าน
จุด (3, 10) และมีความชันที่จุด (x, y) ใดๆ เป็น 2x จะอยูใ่ นจตุภาคใด
(55) [Ent’ต.ค.41] กําหนดให้ f เป็นฟังก์ชันซึ่ง f (2) = −1 , f′ (1) = −3 , และ f′′ (x) = 3 ทุกๆ ค่า
x แล้ว f (0) มีค่าเท่าใด
(56) ในเวลา t วินาที รถไฟวิ่งด้วยความเร่ง a ฟุตต่อวินาที2 โดย a = 12t2+6t +10 หากเมื่อเวลา
เริ่มต้นพบว่าระยะทางเป็น 10 ฟุต และความเร็วเป็นศูนย์ จงหาระยะทางเมื่อเวลาผ่านไป 5 วินาที
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 319 อนุพันธและการอินทิเกรต
a a
⎡ x3 ⎤ ⎛ a3 ⎞ ⎛ a3 ⎞ 2a3
วิธีคิด จาก −a ∫ f (x) dx = ⎢
⎣3
− 2x2 ⎥
⎦
= ⎜
⎝ 3
− 2a2 ⎟ − ⎜ −
⎠ ⎝ 3
− 2a2 ⎟
⎠
=
3
x = −a
3
2a
ดังนั้น = 18 → a3 = 27 → a = 3 ... ตอบ
3
2
• ตัวอยาง จากตัวอยางที่แลว f (x) = x − 1
พื้นทีท่ ี่ปดลอมดวยเสนโคง y = f (x) และแกน x ในชวง x=0 ถึง x=3 มีขนาดเทาใด
3
วิธีคิด ถึงแม ∫ f (x) dx = 6 แตพื้นที่ปด ลอมในชวง x = 0 ถึง x = 3 อาจไมเทากับ 6
0
⎧ x −3,x > 2 6
• ตัวอยาง กําหนด f (x) = ⎨ ใหหา ∫ f (x) dx
⎩ −1 ,x < 2 0
0
∫ f (x) dx =
0
∫ (−1) dx = [−x]
0
= (−2) − (0) = −2
6 6 6
และ ∫ 2
f (x) dx =
2
∫ (x − 3) dx = [x2/2 − 3x] 2
= (0) − (−4) = 4
6 2 6
ดังนั้น ∫ 0
f (x) dx =
0
∫ f (x) dx + ∫ 2
f (x) dx = −2 + 4 = 2 ... ตอบ
แบบฝึกหัด 15.5
(59) จงหาค่าของ
4 2
(59.1) 0 ∫ (3− x) dx (59.2) −2 ∫ (2x −1) dx
(59.3) พื้นที่ปิดล้อมด้วยเส้นตรง y = 3− x กับแกน x ในช่วง x = 0 ถึง 4
(59.4) พื้นที่ปิดล้อมด้วยเส้นตรง y = 2x − 1 กับแกน x ในช่วง x = −2 ถึง 2
(60) จงหาค่าของ
2 4
(60.1) −1∫ (3x2−2x) dx (60.3) −1
∫ (6+ x −x ) dx 2
3
(60.2) −1∫ (x3−4x) dx
(60.4) พื้นที่ปิดล้อมด้วยโค้ง y = 3x2−2x กับแกน x ในช่วง x = −1 ถึง 2
3
(60.5) พื้นที่ปิดล้อมด้วยโค้ง y = x − 4x กับแกน x ในช่วง x = − 1 ถึง 3
(60.6) พื้นที่ปิดล้อมด้วยโค้ง y = 6+ x − x2 กับแกน x ในช่วง x = − 1 ถึง 4
−1
∫ f (x) dx เท่ากับเท่าใด
3
(67) f (x) เป็นกราฟเส้นตรงที่ผ่านจุด (3, 5) และ (−2, 2) จงหาค่า −2
∫ f (x) dx
1
(68) [Ent’มี.ค.42] ถ้า θ∈ R และ sin θ
∫ (4x −3) dx = 0 แล้ว ค่า cos 2θ เป็นเท่าใด
sin θ
2
(69) [Ent’40] ถ้า 1
∫ x2 dx = −
3
แล้ว 1 + sin θ + cos θ เท่ากับเท่าใด
(70) [Ent’39] ถ้า ∫ (f D g)(x) dx = x2+5x + c โดยที่ c เป็นค่าคงตัว และ f (x) = 4x − 3 แล้วค่า
1
ของ 0 ∫ g (x) dx เป็นเท่าใด
(71) [Ent’41] ให้ b, c เป็นจํานวนจริง ถ้าเส้นโค้ง y = x2+bx + c มีจุด (−1, −4) เป็นจุดต่ําสุด
สัมพัทธ์แล้ว จงหาพื้นที่ที่ถูกปิดล้อมด้วยเส้นโค้งนี้และแกน x จาก x = −1 ถึง x = 1
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) 7 (2.1) 4x + 3 16 (24.6) ต่าํ สุดสัมพัทธ์และ
(14.4) − (15) ...
5 5 1− 4x สัมบูรณ์ 0 สูงสุดสัมพัทธ์ไม่มี
(2.2) 19 (3.1) 2x1 +h
(16.1) 12x + 1 สูงสุดสัมบูรณ์ 4 ฟังก์ชันลด
(3.2) 23 (3.3) 2x1 (−1, 1) ฟังก์ชันเพิ่ม (1, 2)
3 8
(3.4) 20 (4.1) –1/20 (16.2) 6x2−5− + 3
x2 x (25.1) สูงสุด 3 เมื่อ x = 0
(4.2) –1/18 (4.3) − 1 (16.3) 6 /(1−3x)2 (25.2) ต่ําสุด 7 เมื่อ x = − 3
16.04
4 2
(4.4) –1/16 (16.4) 9(3x −5)2 (17.1) 93
(25.3) ต่าํ สุด 1 เมื่อ x = 1
(5) 76π ลบ.หน่วย ต่อหน่วย (17.2) 0 (17.3) –186.67 และสูงสุด 5 เมือ่ x = −1
3 (17.4) หาค่าไม่ได้
(6.1) 10 ตร.ซม. ต่อ ซม. (25.4) ต่ําสุด 2 เมื่อ x = 1, −1
(18.1) 12x2+ 18x + 10 , 24x + 18 , และสูงสุด 3 เมือ่ x = 0
(6.2) 20π ตร.นิ้ว ต่อนิ้ว 24 (18.2) 20x3+ 36x2−24x , (25.5) ต่ําสุด –203/27
(7.1) 2 πrH (7.2) 1 πr2 60x2+ 72x −24 , 120x + 72 เมื่อ x = 4 / 3
3 3
(8.1) –2.3 ลบ.ม. ต่อนาที (19) 3, –5, 2 (20) 17 3 และสู งสุด 11 เมือ่ x = −2
(8.2) –2.2 ลบ.ม. ต่อนาที 4 (26) ต่าํ สุด –324 เมื่อ x = 3
(9.1) 4x, 8 (9.2) 2x–2, 2 (21) (−1)n ⋅ n! และสูงสุด 324 เมื่อ x = −3
(9.3) 0, 0 (9.4) 0, 0 xn+1 โดยมีจุดเปลี่ยนเว้าที่ (0, 0)
(10.1) –7 (10.2) y = −7x +8 (22) เพิ่ม (−∞, a) ∪ (b, c) ∪ (d, e) (27.1) -2 เมตร/วินาที
(11) y = 3x +2 (12.1) 0 และลด (a, b) ∪ (c, d) ∪ (e, ∞) และ 10 เมตร/วินาที
(12.2) 1 (12.3) –3 (23.1) สูงสุด 1/4 ต่ําสุดหาค่าไม่ได้ (27.2) 2 เมตร (28) 4, 4
(23.2) สูงสุดหาค่าไม่ได้ ต่าํ สุด -5/4 3
(12.4) –6x (12.5) 2x + 1
(12.6) 6x −5 (12.7) 9x2+6x (23.3) สูงสุดและต่ําสุดหาค่าไม่ได้ (29) 36 ต้น (30) 3 กม.
(24.1) ต่าํ สุดสัมพัทธ์และสัมบูรณ์ 1 (31) 2,700 ตร.หน่วย
(12.8) 5x4+ 3x−4 (12.9) −1 / x2 สูงสุดสัมพัทธ์ไม่มี สูงสุดสัมบูรณ์หา (32.1) a , b และ ab
2 2 4
(12.10) −4 / x3 (12.11) 3 / x ค่าไม่ได้ ฟังก์ชันลด (−∞, 2) d d
(12.12) −1 / 2x2 x ฟังก์ชนั เพิ่ม (2, ∞) (32.2) , และ
2 2
(13.1) 90x4+ 36x2+60x (24.2) ต่ําสุดสัมพัทธ์ –2 ต่าํ สุด d2 d2 2
(13.2) 12x5+ 10x4+8x3+2x + 1 สัมบูรณ์หาค่าไม่ได้ สูงสุดสัมพัทธ์ 2 2 และ 4 (32.3) 3 VF
สูงสุดสัมบูรณ์หาค่าไม่ได้ (32.4) a/6 (32.5) 4r/3
−21x2+58x +56
(13.3) ฟังก์ชนั ลด (−1, 1) ฟังก์ชันเพิ่ม (32.6) H/3 (33) –7/2
(3x2+8)2
(−∞, −1) ∪ (1, ∞)
3x2−2x −25
(34) 10x −27y + 31 = 0
(13.4) (24.3) ต่าํ สุดสัมพัทธ์ –14 ต่ําสุด (35) –2 (36) ก. (37) 1
(3x − 1)2
สัมบูรณ์หาค่าไม่ได้ สูงสุดสัมพัทธ์ (38) 2 (39) 11 (40) 55
(14.1) 2x +6 (14.2) 6x (x2+ 1)2 13 สูงสุดสัมบูรณ์หาค่าไม่ได้
(14.3) 2(x − x +2x + 1)(3x −2x +2)
3 2 2
ฟังก์ชนั ลด (−2, 1) ฟังก์ชันเพิ่ม (41) –2 (42) (0, 1 ]
16
(−∞, −2) ∪ (1, ∞)
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
Δy f(5) − f(3) 21 − 7 1 1
(1) = = = 7 −
Δx 5−3 2 (4.2) 4.5 4 = − 1
Δy f(x + h) − f(x) 4.5 − 4 18
(2.1) Δlim
x → 0 Δx
= lim
1 1
h→0 h −
4.01 4 = − 1
⎡2(x + h)2 + 3(x + h) − 4⎦⎤ − ⎡⎣2x2 + 3x − 4⎤⎦ (4.3)
= lim ⎣ 4.01 − 4 16.04
h→0 h 1
4xh + 2h2 + 3h (4.4) ดูแนวโน้มจากข้อ 4.1 ถึง 4.3 จะได้ −
= lim = lim(4x + 2h + 3) 16
h→0 h h→0
⎡ 1 1⎤
= 4x + 3 ⎢4 + h − 4⎥
Δy f(2 + h) − f(2)
หรือคํานวณจาก hlim ⎢ ⎥ ก็ได้
→0 ⎣ h ⎦
(2.2) Δlim
x → 0 Δx
= lim
h→0 h 4 3 Δv V(3) − V(2)
(5) V = πr → =
⎡3(2 + h)2 + 7(2 + h) + 1⎤⎦ − ⎡⎣3(2)2 + 7(2) + 1⎤⎦ 3 Δr 3−2
= lim ⎣ 4 4 76
h→0 h = 3
π3 − π2 =3
π ลบ.หน่วย/หน่วย
12h + 3h2 + 7h 3 3 3
= lim = lim(19 + 3h) = 19
h→0 h h→0 ΔA (5 + h)2 − 52
(6.1) A = x2 → lim = lim
[หรือคิดเป็น x ก่อน แล้วแทนค่า x ด้วย 2 ก็ได้] Δx → 0 Δx h→0 h
10h + h2
(3.1) Δy = f(x1 + h) − f(x1) = lim
h
= 10 ตร.ซม./ซม.
Δx h h→0
dy 1 2
(15) ..(2.1) = 4x + 3 (17.4) (x − 1)−1/ 2(2x)
f′(x) =
dx 2
dy 1 1
(2.2) = (6x + 7) = 19 → f′(1) = (0)−1/ 2(2) = → หาค่าไม่ได้
dx x = 2 x =2 2 0
dy (18.1) f′(x) = 4x3 + 9x2 + 10x − 7
(3.3) = (2x) = 2x1
dx x = x1
x = x1
→ f′′(x) = 12x2 + 18x + 10
dy → f′′′(x) = 24x + 18 → f(4)(x) = 24
(3.4) = (2x) = 20
dx x = 10
x = 10
(18.2) f′(x) = 5x4 + 12x3 − 12x2 + 1
dy ⎛ 1 ⎞ 1 f′′(x) = 20x3 + 36x2 − 24x
(4.4) = ⎜− 2 ⎟ = − →
dx x=4 ⎝ x ⎠ x=4 16
→ f′′′(x) = 60x2 + 72x − 24
dA d(x2)
(6.1) = = (2x) = 10 → f(4)(x) = 120x + 72
dx x =5 dx x =5
x =5
dV d ⎛1 2 ⎞ 2 f′′(−3) = (2) x = −3
= 2
(7.1) = ⎜ πr H ⎟ = πrH
dr dr ⎝ 3 ⎠ 3 (20) (f′′ + g′′)(1) = f′′(1) + g′′(1)
dV d ⎛1 2 ⎞ 1 2 จาก f(x) = (2 − x)1/ 2
(7.2) = ⎜ πr H ⎟ = πr
dH dH ⎝ 3 ⎠ 3
1 1
dQ t ⎞ ⎛ 1 ⎞⎤ → f′(x) = (2 − x)−1/ 2(−1) = − (2 − x)−1/ 2
⎡ 2 2
(8.2) = ⎢2 ⎛⎜ 12 − ⎟ ⎜− ⎟
dt t = 10 ⎣ ⎝ 10 ⎠ ⎝ 10 ⎠ ⎥⎦ 3
t = 10 1 − 1
∴ f′′(x) = (2 − x) 2 (−1) → f′′(1) = −
⎛ 1 ⎞ 4 4
= 2(12 − 1) ⎜ − ⎟ = −2.2
⎝ 10 ⎠ จากg(x) = (1 − 3x)2
(16.1) f′(x) = (2x + 3)(3) + (3x − 4)(2) = 12x + 1 → g(x)
′ = 2(1 − 3x)(−3) = −6 + 18x
(16.2) f(x) = 2x3 − 5x + 3x −1 − 4x −2 ดังนัน้ g′′(x) = 18 → g′′(1) = 18
3 8 1 3
→ f′(x) = 6x2 − 5 − 2 + 3 ตอบ −+ 18 = 17
x x 4 4
(16.3) f′(x) = (1 − 3x)(3) − (1 +23x)(−3) = 6 2 (21) f(x) = 1 → f′(x) = − 12
(1 − 3x) (1 − 3x) x x
(16.4) f′(x) = 3(3x − 5)2(3) = 9(3x − 5)2 2 6
→ f′′(x) = 3 → f′′′(x) = − 4
(17) คําถามทั้งสี่ขอ้ ก็คอื อย่างเดียวกัน x x
dy 24 (−1)n ⋅ n !
• • f′(1) → f(4)(x) = 5
... จะได้วา่ f(n)(x) =
dx x xn + 1
x=1
}
และ พื้นที่ Amax = 60 ⋅ 45 = 2,700 ตร.หน่วย (32.5) ปริมาตรกรวย
∗ หมายเหตุ ข้อ (27.2) ถึง (31) เนือ ่ งจากได้คา่ V = 1 πx2(r − y) r
วิกฤต (x) เพียงค่าเดียวเท่านั้น จึงสรุปได้เลยว่าเป็น 3
⎭
2 2 3
จะได้ d = 0, c = 2, a = 5/ 4, b = −13/ 4
⎛ R ⎞ 2 ⎛ 2h h ⎞ R
= π ⎜ R − h ⎟ h = πR ⎜ h − + 2⎟ ดังนัน้ f(2) = 1
⎝ H ⎠ ⎝ H H ⎠
ต้องการ Vmax คิดจาก (38) หา a, b, c จากสมการ
h(0) = 1, h(−2) = 5, h(
′ −2) = 0
dV 4 3
= πR ⎛⎜ 1 − h + 2 h2 ⎞⎟ = 0
2
ได้ c = 1, a = −1, b = −4
dh ⎝ H H ⎠
H2 − 4Hh + 3h2 = 0 → (H − 3h)(H − h) = 0 → h(x) = −x2 − 4x + 1
→ h = H/3, H = (fog)(x) = 3(g(x)) − 10
x2 4x 11
แต่ h = H ไม่ได้ เพราะ r = 0 → V = 0 (Vmin) ∴ g(x) = − − + จะได้ g(1) = 2
3 3 3
ตอบ h = H / 3 2 2 2 3
(g(2))(3)(2 − 1) (2)(2) − (2 − 1) ⋅ g(2)
′
(33) [f(x) + g(x)]′ = f′(x) + g(x)
′
(39) f′(2) =
[g(2)]2
(2x − 1)(3) − (3x + 1)(2) (3 ⋅ 3 ⋅ 9 ⋅ 4) − (27)g(2)
′
→ f′(x) = → f′(1) = −5 3 = ∴ g(2)
′ = 11
(2x − 1)2 9
1 (40) g(1) = 5, g(1
′ )= 0
g(x)
′ = (3x2 + 1)−1/ 2(6x)
2
→ f′(1) = [3(1)2 + 5(1)] [g(1
′ )] + [g(1)] [6(1) + 5]
1 1 3 3 7
′ ) = ⎛⎜ ⎞⎟ (6) =
→ g(1 ตอบ −5 + = − = 8 ⋅ 0 + 5 ⋅ 11 = 55
2 ⎝2⎠ 2 2 2
2 (41) f(2) = 3, f′(2) = 4 → หา g(2) โดย
dy 1 2 −
(34) ความชัน = (x + 2) 3(2x) 2
dx x =5 3 x =5
f(2) = 3 = (2 − 1) ⋅ g(2) → g(2) = 3
1 −
2
10 → f′(2) = (2 − 1)2 ⋅ g(2)
′ + g(2) ⋅ 2(2 − 1)(1)
= (27) 3(10) = → สร้างสมการ
3 27 → 4 = g(2)
′ + 3 ⋅ 2 → ∴ g(2)
′ = −2
∫
2
= v, = a (60.1) (3x2 − 2x) dx = (x3 − x2)
dt dt −1 −1
จึงจะแก้ปญ
ั หาได้ = (8 − 4) − (−1 − 1) = 6
(56) a = 12t2 + 6t + 10 3
⎛ x4
3
→ v = ∫ a dt
3 2
= 4t + 3t + 10t + C1 (60.2) −1
∫ (x3 − 4x) dx = ⎜
⎝ 4
⎞
− 2x2 ⎟
⎠ −1
แต่ v(0) = 0 ∴ C1 = 0 ⎛ 81 ⎞ ⎛1 ⎞
= ⎜ − 18 ⎟ − ⎜ − 2 ⎟ = 4
S = = t4 + t3 + 5t2 + C2 ⎝4 ⎠ ⎝4 ⎠
∫ v dt 4
4
⎡ x2 x3 ⎤
แต่ S(0) = 10 ∴ C2 = 10 (60.3) −1∫ (6 + x − x ) dx = ⎢6x + 2
− ⎥
⎣ 2 3⎦
→ S = t4 + t3 + 5t2 + 10 −1
⎛ 64 ⎞ ⎛ 1 1⎞ 95
จะได้ S(5) = 625 + 125 + 125 + 10 = 885 ฟุต = ⎜ 24 + 8 − ⎟ − ⎜ −6 + + ⎟ =
⎝ 3 ⎠ ⎝ 2 3⎠ 6
(57) a = 24t2 → v = 8t3 + C1 (60.4) y = 3x2 − 2x
แต่ v(1) = 16 → C1 = 8 → S = 2t4 + 8t + C2 มีจุดตัดแกน x ที่ 2 4/27
แต่ S(1) = 8 ∴ C2 = − 2 → S = 2t4 + 8t − 2 x = 0, 2/ 3 ดังภาพ
→ ∴ S(2) = 32 + 16 − 2 = 46 เมตร
-1 0 2/3 2
(58) ให้ y แทนปริมาณผลผลิตทีไ่ ด้ 4+4/27
เมื่อเพิ่ม x คน อัตราการเปลี่ยนแปลงผลผลิต การหาพืน้ ที่ปดิ ล้อม ต้องแยกคิดทีละช่วง
dy เพราะช่วง 0 ถึง 2/ 3 จะได้ติดลบ
80 − 6 x ชิ้นต่อวัน =
dx (ต้องเอาเครือ่ งหมายลบออก)
3/2
∴ y = ∫ (80 − 6 x) dx = 80x − 4x +C 0 2/ 3 2
∫ f (x) dx =
−1 3
112 ⎛ 17 ⎞ 5
พืน้ ที่ใต้กราฟ
= − ⎜− ⎟ = 21.5 ตร.หน่วย
6 ⎝ 6⎠ 1 7
112 17 95
= พืน้ ที่ , − พื้นที่วงกลม
4
[เช็คข้อ 60.3 จะได้ − = ถูกต้อง]
6 6 6 π32 9π 3
2 = 7×3− = 21 − ≈ 7.07
(61) y = x − 1 4 4
มีกราฟดังภาพ 4/3
4/3 4/3 (66) ไม่จําเป็นต้องสร้าง
สมการเส้นตรงเพื่ออินทิเกรต 6
-2 1 1 2 เพราะเป็นรูป Δ
3 -1
2
⎛ x3 ⎞
2
4
→
−1
∫ f (x) dx 3
(61.1) 1
∫ 2
(x − 1) dx = ⎜
⎝ 3
− x⎟
⎠ 1
=
3
ตร.น. =
1
× 4 × 6 = 12
2
1 1
⎛ x3 ⎞ 4
(61.2) −
−1
∫ (x2 − 1) dx = − ⎜
⎝ 3
− x⎟
⎠
=
3
ตร.น. (67) เช่นเดียวกับข้อ (66) คือ
3
5
−1 0
−1
∫ f (x) dx = พื้นที่ , คางหมู 2
∫ ∫ f (x) dx
−2
(61.3) f (x) dx − 1
−2 −1
= × 5 × (2 + 5) = 17.5 -2 3
4 ⎛ 2⎞ 2
= − ⎜− ⎟ = 2 ตร.หน่วย 1
3 ⎝ 3⎠
∫
1
(68) (4x − 3) dx = [2x2 − 3x ] sin θ
2 2
x4 + 1 sin θ
(62) 1
∫ x2
dx =
1
∫ (x2 + x −2) dx = −1 − 2 sin θ + 3 sin θ = 0 2
2 → (2 sin θ − 1)(sin θ − 1) = 0
⎡ x3 1⎤ ⎛8 1⎞ ⎛ 1 ⎞ 5
= ⎢ − ⎥ = ⎜ − ⎟ − ⎜ − 1⎟ = 2 → sin θ = 1 , 1/2 → cos 2θ = 1 − 2 sin2 θ
⎣3 x⎦ 1 ⎝ 3 2⎠ ⎝ 3 ⎠ 6
1 1 = −1 หรือ 1/2
0
∫ (4 − x)2 dx =
0
∫ (16 − 8 x + x) dx
sin θ
⎡ x3 ⎤
sin θ
⎡ 16 3 / 2 x2 ⎤
1
⎛ 16 1 ⎞
(69) 1
∫ x2 dx = ⎢ ⎥
⎣3⎦
= ⎢16x − x + ⎥ = ⎜ 16 − + ⎟ 1
⎣ 3 2⎦ 0 ⎝ 3 2⎠ sin θ 1 3
2
= − = − → sin θ = −1
1 3 3 3
= 11 ตอบ 14
6 ∴ 1 + sin θ + cos θ = 1 − 1 + 0 = 0
(63) พิจารณากราฟ (70) (fog)(x) = 2x + 5, f(x) = 4x − 3 →
พื้นที่เหนือแกน x เท่ากับ
1 แก้ฟังก์ชัน หา g(x) ได้เป็น g(x) = x + 2
0
∫ (x2 − 3x + 2) dx
1 2
1
2
x ⎛x ⎞ 1
⎡ x3
= ⎢ −
3x2 ⎤
+ 2x ⎥
1
0 1 2 ∴
0
∫ ( + 2) dx = ⎜
2 ⎝4
+ 2x ⎟
⎠ 0
=
4
+ 2 = 2.25
⎣3 2 ⎦ 0
(71) หา b, c จาก f(−1) = −4, f′(−1) = 0 →
1 3 5
= − +2 = ได้ b = 2, c = −3
3 2 6
(64) y = x2 − c y = x2 + 2x − 3
∫
1
ดังนัน้ −2 ∫ (x2 − c) dx = −24 พื้นที่ = −
−1
(x2 + 2x − 3) dx
1
⎛ x3 ⎞
1
⎛ x3 ⎞
→ ⎜ − cx ⎟ = −24 = −⎜ + x2 − 3x ⎟ = 16 / 3
⎝ 3 ⎠ ⎝ 3 ⎠ −1
−2
⎛1 ⎞ ⎛ 8 ⎞
→ ⎜ − c ⎟ − ⎜ − + 2c ⎟ = −24 → c = 9
⎝3 ⎠ ⎝ 3 ⎠
eÃ×èo§æ¶Á
เทคนิคการอินทิเกรตโดยเปลีย่ นตัวแปร..
ฟังก์ชนั ประกอบที่หาอนุพันธ์ไว้โดยใช้กฎลูกโซ่ (หรือดิฟก้อน) เมือ่ เราต้องการจะอินทิเกรตกลับไปต้องอาศัย
เทคนิค การเปลี่ยนตัวแปร (Substitution) มิฉะนัน้ จะอินทิเกรตไม่ได้
ตัวอย่างเช่น f (x) = (3x3 + 4)10 มีอนุพันธ์เป็น f′ (x) = 10(3x3 + 4)9(9x2) = 90x2(3x3 + 4)9
ถ้าเราต้องการหาค่า ∫ 90 x2(3x3 + 4)9 dx เราไม่สามารถกระจายฟังก์ชนั กําลัง 9 ได้ จึงต้องใช้เทคนิค
เปลี่ยนตัวแปร x ให้เป็น u ที่เหมาะสม ... ในตัวอย่างนี้ให้ u = 3x3 + 4
du du
จะได้ = 9x2 นัน่ คือ dx = (ย้ายข้างสมการ)
dx 9x2
แทนค่าตัวแปรใหม่ลงไปใน ∫ 90 x2(3x3 + 4)9 dx ได้เป็น ∫ 90 x2(u)9 du2
9x
9
เศษส่วนหารกันได้ ∫ 10 (u) du จะพบว่าเหลือตัวแปร u ล้วนๆ และอยู่ในรูปทีอ่ นิ ทิเกรตได้
(แสดงว่าเลือกตัวแปร u ได้ถูกต้อง) ผลที่ได้คอื u10 + C = (3x3 + 4)10 + C นั่นเอง..
du du
จาก ∫ x3(4− x2)3 dx ให้ u = 4 − x2 → = −2x จะได้ ∫ x3u3dx = 3 3
∫x u
dx −2x
1 2 3 1 3 1 3 4 1 ⎡ 4 u5 ⎤
= −
2
∫ x u du = − 2 ∫ (4 − u)u du = − 2 ∫ (4u − u ) du = − 2 ⎢u −
⎣ 5⎦
⎥ + C
1⎡ (4 − x2)5 ⎤
= − ⎢(4 − x2)4 − ⎥ + C
2⎣ 5 ⎦
ทดลองทําดูนะครับ เฉลย
ก. ∫ t (1−2t2)8 dt u9
ก. − + c เมื่อ u = 1−2t2
36
ข. ∫ (3x2+2) 2x3+ 4x + 1 dx 1 3/ 2
ข. u + c เมื่อ u = 2x3+ 4x + 1
3
ค. ∫ x + 3 (x + 1)2 dx 7
2 2 8 2 8 2
5 3
ค. u − u + u + c เมื่อ u = x+3
ง. ∫ 2x2/ 3 dx 7 5 3
(1− x) 1
3 3
4
ง. −6u3 + u + c เมื่อ u = 1− x
จ. ∫ 18+ 12x2 5 dx 2
(4−9x − 3x ) 1
จ. + c เมื่อ u = 4 −9x − 3x2
2 u4
Pr,o + b!
º··Õè 16 ¤ÇÒÁ¹Ò¨ae»¹
ความน่าจะเป็นและสถิติ เป็นวิชาที่มีบทบาท
สําคัญทั้งในทางพาณิชยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ รวม
ไปถึงการแพทย์และจิตวิทยาด้วย ทฤษฎีมากมายใน
ปัจจุบัน ถูกพัฒนาขึ้นจากหลักการของความน่าจะเป็น
นอกจากประโยชน์ดังกล่าวแล้ว เรายังปรับใช้ความ
น่าจะเป็นในชีวิตประจําวันได้โดยอาจไม่รู้ตัว เช่น การ
นับจํานวนแบบที่เป็นไปได้ การคาดคะเนโอกาสที่
เหตุการณ์หนึ่งๆ (หรือหลายเหตุการณ์) จะเกิดขึ้น
16.1 หลักมูลฐานเกี่ยวกับการนับ
ถ้าเราต้องทํางาน k อย่าง โดยที่งานอย่างแรกมีทางเลือกทําได้ n1 แบบ และในแต่ละแบบก็
เลือกทํางานอย่างที่สองได้ n2 แบบ และในแต่ละแบบ... (ไปเรื่อยๆ) จะมีจํานวนวิธีเลือกทํางานจน
ครบทุกอย่าง เท่ากับ n1 × n2 × ... × nk วิธี
เรียกกฎนี้ว่า หลักมูลฐานเกี่ยวกับการนับ (Fundamental Principles of Counting)
แบบฝึกหัด 16.1
(1) จากตาราง เรามีวิธีเดินทางจาก การเดินทาง รถยนต์ เรือ รถไฟ เครื่องบิน
เมือง ก ไปเมือง ง โดยผ่านทุก ก → ข ได้ ไม่ได้ ได้ ได้
เมืองได้กี่วิธี ข → ค ได้ ได้ ไม่ได้ ไม่ได้
ค → ง ไม่ ไ ด้ ได้ ได้ ได้
(2) มีหีบ 5 ใบวางเรียงกัน จะมีวิธีเอาบอล 3 ลูกใส่ในหีบ ทีละลูกๆ ทั้งหมดกี่วิธี
(3) ร้านฟาสต์ฟู้ดมีเบอร์เกอร์อยู่ 6 ชนิดและเครื่องดื่ม 4 ชนิด โดยเครื่องดื่มแต่ละชนิดนั้นมี 3
ขนาด จะมีวิธีจัดชุดอาหารกับเครื่องดื่มคู่กันกี่แบบ
(4) นําอักษรจากคําว่า SPECIAL มาสลับเป็นคําได้ทั้งหมดกี่แบบ (ไม่คํานึงถึงความหมาย)
(5) มีถุง 2 ใบ ใบแรกมีบอลสีแดง 3 ลูก สีดํา 2 ลูก สีขาว 1 ลูก (ซึ่งแต่ละลูกถือว่าต่างกัน) ใบที่
สองมีบอลสีแดง 2 ลูก สีดํา 2 ลูก สีขาว 2 ลูก หยิบลูกบอลจากใบแรกไปใส่ในใบที่สอง 1 ลูก และ
หยิบจากใบที่สองออกมา 1 ลูก มีกี่วิธีซึ่งบอลที่หยิบจากใบแรกเป็นสีแดง และบอลที่หยิบออกจากใบที่
สองไม่ใช่สีขาว
(6) ข้อสอบฉบับหนึ่งประกอบด้วย โจทย์ปัญหาแบบถูก-ผิด 5 ข้อ และปรนัย (ก,ข,ค,ง) อีก 7 ข้อ
จะมีวิธีเดาข้อสอบที่ไม่ซ้ํากันเลยได้กี่แบบ
S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
(7) กล่องใบหนึ่งบรรจุสลากเลข 0 ถึง 9 อย่างละใบ ถ้า
หยิบมา 2 ใบ (ทีละใบโดยไม่ใส่คืน) จะมีกี่วิธีที่ผลรวมเลข o¨·Âº·¹ÕéÇi¸¤Õ i´Êaé¹ÁÒ¡æ 浡çµoº¼i´ä´§ÒÂ
เป็นจํานวนคี่ ¹o§æ ËÅÒ¤¹eËç¹µaÇeÅ¢ã¹o¨·Â¡çËÂiºÁÒ¤Ù³¡a¹
ËÃ×o¡¡íÒÅa§¡a¹´×éoæ eÅ 溺¹ÕéäÁ¤ÇäÃaº Áa¹äÁä´
(8) [Ent’24] ใช้ตัวเลข 0 ถึง 5 มาสร้างจํานวน 3 หลัก e»¹æºº¹aé¹·u¡¢o oÂÙ·èÊÕ ¶Ò¹¡Òóã¹o¨·Â´ÇÂ..
จะสร้างได้กี่จํานวน ถ้ากําหนดให้ Çi¸Õ·è´Õ Õ·èÊÕ u´¤×o¤oÂæ ¹Ö¡ÇÒ ¢o¹ÕéÁÕ¡Ò÷íÒ§Ò¹
(8.1) แต่ละหลักไม่ซ้ํากัน (ËÃ×o¡Òõa´Êi¹ã¨) ¡Õ袹éa µo¹ ¨aä´eoÒ¨íҹǹ·Ò§eÅ×o¡
(8.2) เป็นจํานวนคี่ และแต่ละหลักไม่ซ้ํากัน ã¹æµÅa¢aé¹µo¹ÁÒ¤Ù³¡a¹ä´¶¡Ù µo§
(8.3) มีค่ามากกว่า 350 และแต่ละหลักไม่ซ้ํากัน ».Å. äÁ¤Ç÷o§ÊÙµÃÅa´»ÃaeÀ·ÇÒ Êiè§ÁÕªÇÕ iµ äÁÁÕ
(8.4) หาร 10 ลงตัว ªÕÇiµ ã¤ÃÁÒ¡¡íÒÅa§ã¤Ã ÏÅÏ e¾ÃÒaÁa¹¼i´§ÒÂæÅaãª
äÁä´eÊÁo仹a¤Ãaº ¤i´µÃ§æ ªaÇÃÊu´!
16.2 วิธีเรียงสับเปลี่ยน
จํานวน วิธีเรียงสับเปลี่ยน (Permutation) สิ่งของต่างๆ กัน n สิ่ง จะมี n! วิธี
แต่ถ้าเอามาเรียงเพียงแค่ r สิ่ง จะมี n! วิธี เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ Pn,r หรือ nPr
(n−r)!
เครื่องหมาย ! เรียกว่า แฟคทอเรียล (Factorial)
มีนิยามว่า n! = n ⋅ (n−1) ⋅ (n−2) ⋅ ... ⋅ 3 ⋅ 2 ⋅ 1 เมื่อ n เป็นจํานวนนับ
และกําหนดให้ 0 ! = 1 เพื่อให้สอดคล้องกับสมการ Pn,n = n!
8! 8 × 7 × 6!
ตัวอยาง 3! = 3 × 2 × 1 = 6 = = 56
6! 6!
7!
P7, 3 = = 7×6×5
4!
แบบฝึกหัด 16.2
10 ! 6! 3 !
(10) ให้หาค่าของ , , P4,3 , และ P7,3
7! 4! 7!
(n+ 3)!
(11) ถ้า = 30 จงหาค่า n
(n+ 1)!
ตัวอยาง ดินสอสี 1 โหล มีสีตางๆ กัน ตองการหยิบ 5 แทง ตามเงือ่ นไขตอไปนี้ จะไดกี่วิธี
(ก) แตละครั้งตองมีสีแดง ตอบ ⎛⎜ 11⎞⎟ ⎛⎜ 114 ⎞⎟ = 330 วิธี
⎝ ⎠⎝ ⎠
⎛ 11⎞
(ข) แตละครั้งตองไมมีสีแดง ตอบ ⎜ 5 ⎟ = 462 วิธี
⎝ ⎠
⎛ 12 ⎞
หรือ คิดจาก จํานวนวิธีทั้งหมด ลบดวยจํานวนวิธีที่มีสีแดง ก็ได ⎜ 5 ⎟ − 330 = 462 วิธี
⎝ ⎠
5
จากการหยิบของ 5 ชิ้น ออกจากกองที่มี 12 ชิ้น 12
ก็เหมือนการแบ่งแยกของออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละ 5 และ 7 ชิ้น 7
ซึ่งแบ่งกลุ่มได้ 12 ! วิธี เรียกว่า กฎการแบ่งกลุ่ม (Partitioning Law) 5
5! ⋅ 7 !
ขยายผลออกไปถึงการแบ่งของ 12 ชิ้น เป็นสามกอง ดังนี้ 12 4
3
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 338 ความนาจะเปน
12 ! ⎛ 12 ⎞ ⎛ 7 ⎞ ⎛ 3 ⎞
ก็จะมีจํานวนวิธีเป็น วิธี (พิสูจน์ได้จาก ⎜ 5 ⎟ ⎜ 4⎟ ⎜ 3⎟ )
5! ⋅ 4 ! ⋅ 3 ! ⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠ 2
2
แต่ถ้ามีกองใดที่จํานวนเท่ากัน ที่ถือว่าไม่แตกต่างกัน จํานวนวิธีจะ 2
ลดลงโดยคิดเช่นเดียวกับการสับเปลี่ยน เช่น จากแผนภาพด้านขวานี้ 12
12 ! 1
จะแบ่งได้ 3
วิธี
(2 !) ⋅ 3 ! ⋅ 1! ⋅ 5 ! 5
3! ที่เพิ่มเข้ามา เนื่องจากมี 3 กองที่สลับกันเองไม่มีความหมาย จํานวนวิธีจึงต้องลดลง
แบบฝึกหัด 16.3
(32) ถ้า C18,r = C18,r + 2 จงหาค่า r
(33) [Ent’20] มีนวนิยายที่น่าอ่านวางอยู่ 10 เล่ม ขอยืมไปอ่าน 3 เล่ม จะมีวิธีเลือกหนังสือกี่วิธี
(34) จุด 6 จุด กระจายกันอยูบ่ นเส้นรอบวงกลม จะสร้างสามเหลี่ยมจากจุดเหล่านี้ได้กี่รูป
(35) หาจํานวนวิธีเลือกกรรมการชุดละ 8 คน จากนักเรียนหญิง 6 คน ชาย 10 คน โดย
(35.1) ไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติม
(35.2) ต้องมีหญิง 2 คนเท่านั้น
(35.3) ต้องมีหญิงอย่างน้อย 5 คน
(35.4) ต้องมีหญิงมากกว่า 1 คน
(36) ถุงใบหนึ่งมีบอลสีขาว 6 ลูก สีดํา 5 ลูก จะมีกี่วิธีที่หยิบบอลออกมา 4 ลูกพร้อมกัน และได้สี
ขาวกับดํา อย่างละ 2 ลูก
(37) ในการประชุม มีนักธุรกิจ 3 คน นักวิชาการ 8 คน และอาชีพอื่นๆ 10 คน ต้องการเลือก
กรรมการ 4 คน โดยต้องมีนักธุรกิจรวมอยู่อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง จะมีวิธีจัดกรรมการกี่แบบ
(38) รถโรงเรียน 2 คัน มี 6 และ 9 ที่นั่ง ตามลําดับ จะจัด S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
นักเรียน 13 คน ประจํารถได้กี่แบบ (มีที่ว่าง 2 ที่)
¤Ò¢o§ ()
7
2 ¡aº ( 71 ) (61 ) äÁe·Ò¡a¹¹a¤Ãaº
(39) มีอักษร A, B, C, m, p, q, r, s, a, e, o, u นําอักษร eÃÒµo§eÅ×o¡ãªã˶١溺 ...¤ÇÒÁ浡µÒ§¤×o
ทั้งหมดมาจัดเป็นคําโดยให้มีอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ขึ้นต้น และ
พยัญชนะตัวเล็ก 3 ตัว สระ 2 ตัว ได้กี่คํา ( 71 ) (61 ) ¹aé¹ÁÕÅíÒ´aºe¡i´¢Öé¹´Ç (Êi觷ÕèeÅ×o¡ÁÒä´
ã¹æµÅa¢aé¹µo¹¶×oÇÒÊÅaº¡a¹æÅǼÅÅa¾¸e»ÅÕÂè ¹)
(40) อักษรชุดหนึ่งได้แก่ a, a, a, b, b, c, c, d, d, e, f
นํามาจัดเป็นคําที่มีความยาว 4 ตัวอักษร ได้กี่แบบ
æµ (27 ) ¹aé¹eÅ×o¡¾ÃoÁæ ¡a¹ o´ÂäÁ¤Òí ¹Ö§ÅíÒ´aº
¡o¹ËÅa§ (Êo§ªi¹é ·ÕèeÅ×o¡ÁÒ¶×oÇÒÈa¡´iìÈÃÕe·Ò¡a¹)
16.4 การนับในกรณีอื่นๆ
การนับรูปเรขาคณิต
1. จํานวนเส้นตรง
⎛5⎞
จุด 5 จุด (ที่ไม่มีสามจุดใดอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน) สร้างเส้นตรงได้ ⎜2⎟ เส้น
⎝ ⎠
⎛5⎞ ⎛ 3⎞
แต่ถ้ามี 3 จุดอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน สร้างเส้นตรงได้ ⎜2⎟ − ⎜2 ⎟ + 1 เส้น
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎛ 3⎞
หมายเหตุ การลบ ⎜2⎟ แล้วบวก 1 หมายความว่า จุดสามจุดในแนวเดียวกันทําให้จํานวนเส้นตรงที่
⎝ ⎠
ได้นั้นหายไปหมด เหลือเพียงเส้นเดียว จึงลบเส้นตรงที่เกิดจากสามจุดนี้ออกให้หมด แล้วบวกกลับไป
เพียง 1 เส้น
2. จํานวนสามเหลี่ยม
⎛5⎞
จุด 5 จุด (ที่ไม่มีสามจุดใดอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน) สร้างสามเหลี่ยมได้ ⎜ 3⎟ รูป
⎝ ⎠
⎛5⎞ ⎛ 3⎞
แต่ถ้ามี 3 จุดอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน สร้างสามเหลี่ยมได้ ⎜ 3⎟ − ⎜ 3⎟ รูป
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
3. จํานวนจุดตัดของเส้นตรง กับวงกลม
⎛8⎞
เส้นตรง 8 เส้น จะมีจุดตัดเกิดขึ้นได้มากที่สุด ⎜2⎟ จุด
⎝ ⎠
⎛5⎞
วงกลม 5 วง รัศมีต่างๆ กัน จะมีจุดตัดเกิดขึ้นมากที่สุด 2 ⋅ ⎜ ⎟ จุด
⎝2⎠
4. จํานวนสี่เหลี่ยม
เส้นขนานสองชุด จํานวน 5 เส้น กับ 4 เส้น ดังภาพ
จะเกิดรูปสี่เหลี่ยมขึ้น ⎛⎜ 52 ⎞⎟ ⎛⎜ 24 ⎞⎟ รูป
⎝ ⎠⎝ ⎠
การนับ “จํานวนเต็มที่หารลงตัว”
เราสามารถนําการนับเบื้องต้นผสมกับการสังเกต เพื่อนับจํานวนเกี่ยวกับการหารลงตัวได้
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
8 = 23 มีจํานวนเต็มบวกที่หารลงตัว 4 จํานวน คือ 20 , 21, 22 , 23
25 = 52 มีจํานวนเต็มบวกที่หารลงตัว 3 จํานวน คือ 50 , 51, 52
120 = 23 × 31 × 51 มีจํานวนเต็มบวกที่หารลงตัว 16 จํานวน (4x2x2) คือ
20 × 30 × 50 | 20 × 30 × 51 | 20 × 31 × 50 | 20 × 31 × 51
21 × 30 × 50 | 21 × 30 × 51 | 21 × 31 × 50 | 21 × 31 × 51
22 × 30 × 50 | 22 × 30 × 51 | … | 23 × 31 × 51
แบบฝึกหัด 16.4
(45) จุด 6 จุด ไม่มี 3 จุดใดที่อยู่ในแนวเดียวกันเลย จะสร้างเส้นตรงได้กี่เส้น และสร้างรูปเหลี่ยม
ใดๆ ได้กี่รูป
(46) จุด 7 จุด มี 4 จุดอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน และอีก 3 จุดก็อยู่ในแนวเส้นตรงเช่นกัน จะ
สามารถลากเส้นตรงได้กี่แบบ และสร้างสามเหลี่ยมได้กี่รูป
(47) รูปหกเหลี่ยม มีจุดยอด 6 จุด จุดกึ่งกลางด้านอีก 6 จุด จะลากเส้นเชื่อมจุดได้กี่เส้น
(48) รูป 20 เหลี่ยมด้านเท่า มีเส้นทแยงมุมกี่เส้น
(49) เส้นตรง 5 เส้นไม่ขนานกัน กับวงกลมรัศมีต่างๆ กัน 4 วง จะเกิดจุดตัดมากที่สุดเท่าใด
(50) เส้นขนานชุดหนึ่งมี 6 เส้น อีกชุดมี 3 เส้น ตัดกันจะเกิดสี่เหลี่ยมด้านขนานกี่รูป
16.5 ทฤษฎีบททวินาม
สามเหลี่ยมของปาสคาล
1
(a + b)0 = 1
(a + b)1 = a + b 1 1
2 2 2
(a + b) = a + 2ab + b 1 2 1
3 3 2 2 3
(a + b) = a + 3a b + 3ab + b 1 3 3 1
(a + b)4 = a4 + 4a3b + 6a2b2 + 4ab3 + b4
1 4 6 4 1
ทฤษฎีบททวินาม (Binomial Theorem) คือ ทฤษฎีที่กล่าวถึงการกระจายทวินาม (a + b)n
เมื่อ a และ b เป็นจํานวนจริง, n และ r เป็นจํานวนนับ โดย 0 < r < n
จะได้ (a + b)n = ⎛⎜ 0n ⎞⎟ anb0 + ⎛⎜ n1 ⎞⎟ an − 1b1 + ⎛⎜ 2n ⎞⎟ an − 2b2 + ... + ⎛⎜ nn ⎞⎟ a0bn
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎛n⎞ ⎛n⎞
เรียกพจน์ที่ r+1 เป็นพจน์ทั่วไป Tr + 1 = ⎜ ⎟ an − rbr และเรียก ⎜r ⎟ ใดๆ ว่าสัมประสิทธิ์ทวินาม
⎝r ⎠ ⎝ ⎠
ข้อสังเกต
⎛n⎞ ⎛ n⎞
1. จํานวนพจน์ทั้งหมดจะมี n+1 พจน์ คือเริ่มจากสัมประสิทธิ์ ⎜0⎟ ถึง ⎜ n⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
กําลังของ a ค่อยๆ ลดลง ในขณะที่กําลังของ b เพิ่มขึ้น และนํากําลังมารวมกันจะได้ n เสมอ
2. สัมประสิทธิ์ทวินามอาจไม่ใช่สัมประสิทธิ์จริงๆ ของพจน์นั้น
(หากใน a หรือ b มีสัมประสิทธิ์อยู่อีก)
3. ⎛⎜ 0n ⎞⎟ + ⎛⎜ n1 ⎞⎟ + ⎛⎜ 2n ⎞⎟ + ... + ⎛⎜ nn ⎞⎟ = 2n
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
ดังเช่นเคยพบตอนที่หาจํานวนสับเซตทั้งหมด ของเซตที่มีสมาชิก n ตัว
แบบฝึกหัด 16.5
(59) จงกระจายโดยอาศัยทฤษฎีบททวินาม
(59.1) (a + b)5
(59.2) (2x − 3y)4
(59.3) (1 − 2x + x2)4
18
(60) จากการกระจาย (3x + ) จงหา
y
(60.1) พจน์ที่ 4
(60.2) สัมประสิทธิ์ทวินามของพจน์ที่ 6
(60.3) สัมประสิทธิ์ทวินามของพจน์ที่มี x6
(60.4) สัมประสิทธิ์ของพจน์กลาง
3 12
(61) จากการกระจาย (x2 + ) จงหา
x4
(61.1) พจน์ที่ 6
(61.2) สัมประสิทธิ์ทวินามของพจน์ที่ 6
(61.3) สัมประสิทธิ์ของ x6
(61.4) พจน์ที่ไม่มีตัวแปร x
(62) จงหาค่าโดยประมาณของ (2.001)7 โดยบอกทศนิยม 6 ตําแหน่ง
[ Hint : (2 + 0.001)7 ]
* (63) จากการกระจาย (2x + 3y)7 จงหา
(63.1) ผลบวกของสัมประสิทธิ์ทวินามของทุกพจน์
(63.2) ผลบวกของสัมประสิทธิ์ของทุกพจน์
โจทย์ทบทวนเรื่องเทคนิคการนับ
(64) หาจํานวนวิธีในการแบ่งหนังสือ 12 เล่มต่างๆ กัน ออกเป็นกองๆ 3 กอง
(64.1) กองละ 3, 4, 5 เล่ม
(64.2) ทุกกองจํานวนเท่ากัน
(65) หนังสือ 9 เล่ม แบ่งให้นาย ก, ข, ค ได้กี่วิธี ถ้าหาก
(65.1) คนหนึ่งได้ 2 เล่ม อีกคนได้ 3 เล่ม อีกคนได้ 4 เล่ม
(65.2) คนหนึ่งได้ 5 เล่ม อีก 2 คนได้เท่ากัน
(65.3) หนังสือทั้ง 9 เล่มเหมือนกันหมด
(66) เด็กคนหนึ่งมีบอลต่างๆ กัน 10 ลูก จะแบ่งเป็น 5 กอง โดยมี 3 กองที่กองละ 2 ลูก และอีก
2 กองมีกองละลูก ได้กี่วิธี
(67) เด็กคนหนึ่งมีบอลต่างๆ กัน 10 ลูก จะแบ่งให้เพื่อน 5 คน โดยมี 3 คนได้คนละ 2 ลูก และ
อีก 2 คนได้คนละลูก ได้กี่วิธี
(68) แบ่งชาย 5 คน หญิง 3 คน เข้าพักในห้อง 3 ห้องที่มีขนาด 3, 3, 2 คน (ห้องต่างกัน) จงหา
จํานวนวิธีแบ่ง เมื่อ
(68.1) ใครอยู่ห้องไหนก็ได้
(68.2) ผู้หญิง 3 คนต้องอยู่ดว้ ยกัน
(68.3) ผู้หญิง 3 คนต้องอยู่คนละห้องกัน
(69) จงหาจํานวนวิธีแบ่งพนักงาน 6 คนเป็น 3 กลุ่ม (กลุ่มละกี่คนก็ได้) เพื่อไปทํางาน 3 อย่าง
(69.1) ที่แตกต่างกัน
(69.2) ที่เหมือนกัน
(70) ครูมีหนังสือ 8 เล่มที่ต่างกัน จะแบ่งให้เด็ก 3 คน อย่างน้อยคนละเล่ม ได้กี่วิธี
(71) นักเรียน 12 คน ในจํานวนนี้มีนาย ก, ข, ค ด้วย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม เท่าๆ กัน จะแบ่งได้กี่วิธี
ถ้า (71.1) ไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติม
(71.2) นาย ก, ข, ค อยู่ด้วยกัน
(71.3) นาย ก, ข, ค อยู่แยกกันหมด
(72) เด็กคนหนึ่งมีลูกแก้วเหมือนกัน 12 ลูก ต้องการแบ่งให้เพื่อน 3 คน จงหาจํานวนวิธี เมื่อ
(72.1) แต่ละคนได้อย่างน้อย 1 ลูก
(72.2) แต่ละคนได้อย่างน้อย 2 ลูก
(72.3) อาจมีบางคนไม่ได้รับเลย
(73) จดหมายเหมือนกัน 9 ฉบับ ต้องการใส่ตู้ไปรษณีย์ 5 ตู้ จะมีกี่วิธี เมื่อ
(73.1) ทุกตู้ต้องมีจดหมาย
(73.2) ใส่เพียง 3 ตู้เท่านั้น
(74) ชายคนหนึ่งประกอบรถยนต์จําหน่าย เขามีตัวถังรถ 4 ชนิด เครื่องยนต์ 2 ชนิด สีพ่นรถ 5 สี
เขาจะผลิตรถยนต์ต่างๆ กันได้กี่แบบ
(75) ผู้ตรวจงานจะต้องตรวจเครื่องจักร 6 เครื่องทุกวัน เขาพยายามเปลี่ยนลําดับก่อนหลังในการ
ตรวจ เพื่อไม่ให้พนักงานรู้ตัว จงหาวิธีทั้งหมดที่จะใช้ได้
(76) สารเคมีชนิดหนึ่งเกิดจากสาร 5 ชนิดผสมกัน โดยเทสารผสมทีละอย่าง จงหาว่ามีวิธีผสมกี่วิธี
ถ้าสมมติว่าเทสารใดก่อนหลังก็ได้
(77) ในการจัดแถวเด็กชาย 5 คน ซึ่งมี ด.ช.บอย รวมอยู่ด้วย และมีเด็กหญิงอีก 5 คน จงคํานวณ
วิธีจัด ถ้า
(77.1) ด.ช.บอย ต้องยืนหัวแถวเสมอ
(77.2) ด.ช.บอยยืนหัวแถว และสลับชายหญิง
(78) เซต A = { 3, 4, 5 } จงหาว่ามีเลขกี่จํานวนซึ่งประกอบด้วยเลขจากเซต A และ
(78.1) มีค่าน้อยกว่า 500
(78.2) มีค่าน้อยกว่า 500 และเป็นจํานวนคู่
16.6 ความน่าจะเป็น
การทดลองสุ่ม (Random Experiment) คือการกระทําที่เราไม่สามารถบอกได้ว่าแต่ละครั้ง
จะเกิด ผลลัพธ์ (Outcome) อะไร แต่สามารถบอกได้ว่ามีผลลัพธ์อะไรบ้างที่เป็นไปได้
เซตของ “ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมด” เรียกว่า ปริภูมิตัวอย่าง (Sample Space; S)
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 346 ความนาจะเปน
สมบัติของความน่าจะเป็น
1. ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ใดๆ มีค่าอยู่ในช่วง 0 ถึง 1 เท่านั้น 0 < P (A) < 1
โดยความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่ไม่มีผลลัพธ์เลย มีค่าเป็น 0 P (∅) = 0
และความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่มีผลลัพธ์ได้ทุกแบบ มีค่าเป็น 1 P (S) = 1
2. ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เราสนใจ รวมกับความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เหลือ (ที่เราไม่
สนใจ) จะได้ 1 เสมอ P (A) = 1 − P (A ')
3. ความน่าจะเป็นของสองเหตุการณ์ หาได้จาก P (A ∪ B) = P (A) + P (B) − P (A ∩ B)
ซึ่งจากสมบัติข้อ 2 และ 3 ทําให้เราสามารถใช้แผนภาพเซต (เวนน์-ออยเลอร์) ช่วยคํานวณได้
หมายเหตุ
ความหมายของ A ∩ B ก็คือเหตุการณ์ “A และ B” (เกิดขึ้นครบทั้งสองอย่าง)
ส่วน A ∪ B ก็คือเหตุการณ์ “A หรือ B” (เกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างก็ได้)
หากเหตุการณ์สองเหตุการณ์ มีลักษณะดังนี้ A ∩ B = ∅
เราจะเรียกเหตุการณ์ A และ B ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เกิดร่วมกัน (Mutually Exclusive) (หรือ
Disjoint) และจะทําให้ P (A ∪ B) = P (A) + P (B)
แต่หากเหตุการณ์สองเหตุการณ์มีลักษณะดังนี้ P (A ∩ B) = P (A) ⋅ P (B)
เราจะเรียกเหตุการณ์ A และ B ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ขึ้นต่อกัน หรือ อิสระจากกัน (Independent)
และจะทําให้ P (A ∪ B) = P (A) + P (B) − P (A) ⋅ P (B)
แบบฝึกหัด 16.6
(114) โยนลูกเต๋า 2 ลูกพร้อมกัน สนใจผลรวมแต้มของลูกเต๋า จงหาปริภูมิตัวอย่าง
(115) ผลลัพธ์ของหน้าลูกเต๋าสองลูก (ลูกเต๋าไม่ต่างกัน) ที่โยนพร้อมๆ กัน มีกี่แบบ
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) 18 (2) 125 (3) 72 (15) 6 ! 2 ! , 7 !− 6! 2 ! 3!
(26) 3! (27) (28) 2! 3!
(4) 7 ! (5) 15 (6) 2 4 5 7 (16) 24, 12 (17) 5! × P6,4 2
(7) (5×5) + (5×5) (8) 100, (18) 4 ! × 2 (19) 6 ! (29) 2 × 5! 6 ! (30) 2 ! 4 !
48, 43, 30 (9) 140 (31) 4 ! × P5,4 (32) 8
(20) 5! ×P6,4 , 4 ! 5! , 5! ×P5,4 ,
(10) 720, 1/28, 24, 210
(11) 3 (12) 5 (13) 4 ! , 4×5! ×P5,3 (21) 4 ! 4 ! 2 !
11! (33) ( )
10
3 (34) ( ) (35) ( ) ,
6
3
16
8
P4,2+P4,3 +P4,4 = 60 ⎛ 6 ⎞ ⎛ 10 ⎞ , ⎛ 6 ⎞ ⎛ 10 ⎞ + ⎛ 6 ⎞ ⎛ 10 ⎞ ,
6! ⎜ 2 ⎟ ⎜ 6 ⎟ ⎜5⎟ ⎜ 3 ⎟ ⎜6⎟ ⎜ 2 ⎟
5!
(22) 2× ×1 (23) 3 ! 4 ! ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
(14) 5! , 2! 2! ⎛ 16 ⎞ − ⎛ 6 ⎞ ⎛ 10 ⎞ − ⎛ 10 ⎞
2! 7! 3! ⎜ 8 ⎟ ⎜ 1⎟ ⎜ 7 ⎟ ⎜ 8 ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠
(24) (25) (2×4× ) + P5,3
4! 3! 2!
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1) มีการเลือกอยู่ 3 ขั้นตอน (ก ไป ข, ข ไป ค, (8.3) • กรณีหลักร้อยเป็น 3
ค ไป ง) จํานวนวิธีของขัน้ ตอนแรก คือ 3 วิธี หลักร้อยได้ 1 วิธี คือ 3, หลักสิบได้ 1 วิธีคือ 5
ขั้นตอนสอง คือ 2 วิธี และขั้นตอนสามคือ 3 วิธี หลักหน่วย 3 วิธี (ต้องไม่เป็น 0 เพราะจะได้ 350)
จึงได้วา่ 3 × 2 × 3 = 18 วิธี จึงได้ 1 × 1 × 3 = 3
(2) มี 3 ขัน้ ตอน คือ • กรณีหลักร้อยเป็น 4 หรือ 5
- บอลลูกแรกใส่หีบไหนดี (5 วิธ)ี หลักร้อยเลือกได้ 2 วิธ,ี หลักสิบกับหลักหน่วยเป็น
- บอลลูกสองใส่หีบไหนดี (5 วิธ)ี อะไรก็ได้ จึงได้ 2 × 5 × 4 = 40
- บอลลูกสามใส่หีบไหนดี (5 วิธ)ี ∴ ตอบ 43 จํานวน (นําผลแต่ละกรณีมาบวกกัน)
ตอบ 5 × 5 × 5 = 125 วิธี (8.4) ไม่ได้บอกว่าแต่ละหลักห้ามซ้ํากัน!
(3) 6 × 4 × 3 = 72 แบบ หลักหน่วย ได้ 1 วิธี คือ 0, หลักร้อยได้ 5 วิธี คือ 1
(4) เอาตัวไหนมาวางหน้าสุด เลือกได้ 7 วิธี ถึง 5, หลักสิบ เป็นอะไรก็ได้ คือ 6 วิธี
ตัวถัดมาเหลือ 6 วิธี เพราะห้ามใช้ตัวซ้าํ จึงได้ 1 × 5 × 6 = 30
ถัดมาก็เหลือ 5, 4, 3 ไปเรื่อยๆ จนถึง 1 (9) • กรณี ช ญ ช 5 × 4 × 4 = 80
ดังนัน้ คําตอบคือ 7 × 6 × 5 × 4 × 3 × 2 × 1 • กรณี ญ ช ญ 4 × 5 × 3 = 60 รวม 140 ชุด
= 5,040 แบบ 10 ! 10 × 9 × 8 × 7 !
(10) = = 720
(5) หยิบสีแดงจากถุงใบแรก ได้ 3 วิธี 7! 7!
6! 3! 1 1 4!
หยิบจากถุงใบสองได้ 5 วิธี (ถุงใบสองมีสีแดง 3 ลูก = = P4, 3 = = 24
4!7! 4⋅7 28 1!
แล้ว และมีสดี ํา 2 ลูก) ดังนัน้ 3 × 5 = 15 วิธี 7!
P7, 3 = = 7 × 6 × 5 = 210
(6) มีการตัดสินใจเลือกอยู่ 12 ครั้ง ดังนี้ 4!
2 × 2 × 2 × 2 × 2 × 4 × 4 × 4 × 4 × ... × 4 (11) (n + 3)(n + 2) = 30 → n2 + 5n − 24 = 0
ยืนสลับกัน (23) ส พพ ส พพ ส
เรียงพยัญชนะสลับกันเอง ได้ 4 ! แบบ
3 × 2 × 2 × 1× 1
ช ญ ช ญ ช เรียงสระได้ 3 ! ← (มี A ซ้ํากัน)
2!
หรือมองเฉพาะชาย 3 ! , หญิง 2 ! ก็ได้ 3!
(นํามาต่อกันได้เพียง 1 แบบ คือ ชญชญช) ∴ 4!×
ตอบ = 72 แบบ
2!
∴ ตอบ 3 ! 2 ! = 12 วิธี (24) ไม่ว่าจะไปด้วยเส้นทางใด จะต้องมีการขึ้นเหนือ
(17) (N) 3 ครั้ง และไปทางตะวันออก (E) 4 ครั้ง
∗ ¢o¹Õé¤ÇÃÈÖ¡ÉÒe·¤¹i¤¡Òäi´ãË´Õ ∗ ∴ เปรียบเหมือนการสลับลําดับในคําว่า NNNEEEE
¼ÙËi§ 4 ¤¹ËÒÁµi´¡a¹ ¨a¤i´æººÊaºËÇÒ§ eËÁ×o¹¢o 16 ตอบ 7 ! = 35 แบบ
3! 4!
äÁä´ e¾ÃÒa¡ÒÃËÒÁËi§µi´¡a¹¹aé¹ ªÒµi´¡a¹ä´ ... ËÃ×o¶Ò¨a¤i´
(25) • กรณี 1-1-1 (ไม่ใช้อักษรซ้าํ เลย)
溺ź¡a¹eËÁ×o¹¢o 15.2 ¡çäÁä´ e¾ÃÒaµo§ÅºËÅÒÂ¡Ã³Õ มี A,R,N,G,E → 5 × 4 × 3 = 60 แบบ (P5, 3)
æÅa¤íҹdzÂÒ¡ (·a§é ËÁ´ - µi´ 4 ¤¹ - µi´ 3 ¤¹ - µi´ 2 ¤¹) • กรณี 2-1 (ใช้อักษรซ้าํ 1 คู่)
เทคนิคการคิด คือ วางผู้ชาย 5 คนเป็นแถวก่อน มีทั้งหมด 8 กรณี ได้แก่ AAR, AAN, AAG, AAE,
ได้ 5 4 3 2 1 = 5 ! วิธี RRA, RRN, RRG, RRE (คิดจาก 2x4 ก็ได้)
จะมีช่องว่าง 6 ช่อง (นับช่องหน้าสุดและหลังสุดด้วย) ในแต่ละแบบสลับที่ได้ → 3 ! = 3 แบบ
จะให้ผหู้ ญิง 4 คน เลือกอยู่กนั คนละช่อง (เพื่อจะได้ 2!
ไม่ติดกัน) ได้ 6 × 5 × 4 × 3 ∴ ตอบ 60 + 8 (3) = 84 แบบ
⎛6⎞ ⎛ 3⎞ 8 1
(50) ⎜2⎟ ⎜2⎟ รูป (60.1) T4 = ⎛⎜ 3 ⎞⎟ (3x)5( )3
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠ y
(51) คิดด้วยวิธดี ังรูป (คล้ายสูตรในเรือ่ งเซต) (60.2) ⎛8⎞
⎜5⎟
⎝ ⎠
⎛8⎞ 8 1
(60.3) [มาจาก T3 = ⎛⎜ 2 ⎞⎟ (3x)6( )2 ]
= + - ⎜2⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ y
4 3 3 5 3 3 (60.4) ⎛ 8 ⎞ (34)
= ⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ + ⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ − ⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ = 39 รูป ⎜ 4⎟
⎝ ⎠
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
(52.1) stars&bars 6 : 2 [สัมประสิทธิ์ ไม่เหมือนกับสัมประสิทธิ์ทวินาม]
5 (61.1) T6 = ⎛⎜ 12 ⎞ 27 3 5
→ ⎛⎜ 1 ⎞⎟ = 5 วิธี ได้แก่ 5,1 4,2 3,3 2,4 1,5 5 ⎟ (x ) ( 4 )
⎝ ⎠ x
⎝ ⎠
(52.2) stars&bars 8 : 2 (61.2) ⎛ 12 ⎞
⎜5⎟
⎝ ⎠
(ใส่เผื่อเข้าไป 2 ลูก เพื่อจะดึงออกคนละลูกทีหลัง)
7
(61.3) หาว่าพจน์ใดเป็น x6 ก่อน
→ ⎛⎜ 1 ⎞⎟ = 7 วิธี
โดย Tr = ( 12r ) (x2)12 − r ⎛⎜ 34 ⎞⎟ มองทีก่ ําลังของ x
r
⎝ ⎠
⎝x ⎠
ได้แก่ 6,0 5,1 4,2 3,3 2,4 1,5 0,6
→ 2 (12 − r) − 4r = 6 ∴r = 3
(53) ต้องใช้วิธนี ับเอาเท่านัน้ (เพราะ stars&bars
12
จะต้องมีคนรอรับของแล้ว) ตอบ สัมประสิทธิ์ = ⎛⎜ 3 ⎞⎟ (33)
⎝ ⎠
ได้เป็น 5, 1 4, 2 3, 3 → 3 วิธี
(61.4) หาว่าพจน์ใดเป็น x0
(54.1) stars&bars 7 : 4 → ⎛⎜ 63 ⎞⎟ = 20 วิธี → 2 (12 − r) − 4r = 0 ∴ r = 4
⎝ ⎠
หมายเหตุ อาจคิดอีกวิธีโดย ตอบ พจน์นนั้ = ⎛⎜ 12 ⎞ (34)
⎟ [ไม่มี x ในพจน์น]ี้
⎝4⎠
1, 1, 1, 4 สลับได้ 4 !/ 3 ! = 4 วิธี
1, 1, 2, 3 สลับได้ 4 !/ 2 ! = 12 วิธี (62) (2 + 0.001)7 = ⎛⎜ 07 ⎞⎟ (2)7 + ⎛⎜ 71 ⎞⎟ (2)6(0.001) +
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
1, 2, 2, 2 สลับได้ 4 !/ 3 ! = 4 วิธี รวม = 20 วิธี
⎛ 7 ⎞ (2)5(0.001)2 + ⎛ 7 ⎞ (2)4(0.001)3 + ...
(54.2) stars&bars 11 : 4 → ⎛⎜ 10 ⎞
3 ⎟ = 120 วิธี
⎜2⎟
⎝ ⎠
⎜ 3⎟
⎝ ⎠
⎝ ⎠
= 128 + 0.448 + 0.000672 + 0.000000560 + ...
(55) 1, 1, 1, 4 1, 1, 2, 3 1, 2, 2, 2 → 3 วิธี = 128.448673
(56) 100,000 = 25 ⋅ 55 → ตอบ 6 × 6 = 36 ⎛ 7 ⎞ + ⎛ 7 ⎞ + ⎛ 7 ⎞ + ⎛ 7 ⎞ + ... + ⎛ 7 ⎞
(63.1) ⎜ 0⎟ ⎜ 1 ⎟ ⎜2⎟ ⎜ 3⎟ ⎜7⎟
(57) 120 = 23 × 31 × 51 ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
ดังนัน้ จํานวนเต็มบวกมีอยู่ 4 × 2 × 2 = 16 จํานวน = 27 = 128
ตอบ 32 (เพราะมีจํานวนเต็มลบอีก 16 จํานวน) [พิสูจน์ จาก
(58) 2 (a + 1)(b + 1) n
() n
() n
(a + b)n = 0 anb0 + 1 an − 1b1 + ... + n a0bn ()
(คูณ 2 เพราะต้องนับจํานวนลบด้วย) แทน a = b = 1 จะได้วา่
(59.1) ⎛⎜ 50 ⎞⎟ a5b0 + ⎛⎜ 51 ⎞⎟ a4b1 + ⎛⎜ 52 ⎞⎟ a3b2 +
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
n n
() () ()
n n
2 = 0 + 1 + 2 + ... + n
n
()
⎛ 5 ⎞ a2b3 + ⎛ 5 ⎞ a1b4 + ⎛ 5 ⎞ a0b5
⎜ 3⎟
⎝ ⎠
⎜ 4⎟
⎝ ⎠
⎜5⎟
⎝ ⎠
เช่นข้อนี้ ให้ 2x = 1, 3y = 1 ]
ตอบ a5 + 5a4b + 10a3b2 + 10a2b3 + 5ab4 + b5 (63.2) อยากทราบค่าผลบวกสัมประสิทธิ์ ก็ทาํ
คล้ายๆ ข้อ 63.1 แต่เราจะแทนเพียง x และ y ด้วย
(59.2) ⎜⎛ 04 ⎟⎞ (2x)4 + ⎜⎛ 41 ⎟⎞ (2x)3(−3y) + 1 ... ก็จะได้วา่
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
7 7
⎛ 4 ⎞ (2x)2(−3y)2 + ⎛ 4 ⎞ (2x)(−3y)3 + ⎛ 4 ⎞ (−3y)4 (2 + 3)7 = ⎜⎛ 0 ⎟⎞ (2)7(3)0 + ⎜⎛ 1 ⎟⎞ (2)6(3)1 + ...
⎜2⎟ ⎜ 3⎟ ⎜ 4⎟ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
ตอบ 16x4 − 96x3y + 216x2y2 − 216xy3 + 81y4 นั่นคือ ผลบวกสัมประสิทธิ์เท่ากับ (2 + 3)7 = 57
(59.3) ⎡⎣(1 − x)2 ⎤⎦4 = (1 − x)8 (64-71) ใช้กฎการแบ่งกลุ่ม (แล้วจะคูณการสลับ
2 3 4 5 6 7 8
ลําดับอีกหรือไม่ ก็แล้วแต่สถานการณ์ข้อนั้น)
= 1 − 8x + 28x − 56x + 70x − 56x + 28x − 8x + x
(64.1) 12 !
3! 4!5!
( 8!
2
+
(1!) 2!6!
8!
+
1!2!5!
8!
+
8!
1!3!4!
+ 2
8!
(2!) 2!4!
× 3! 2
2!(3!) 2!
)
(84) 7 แบ่งเป็น 4 (ก) กับ 3 (ข)
⎛ 12 ⎞ × 7 ! = 12 !
⎜7⎟
(71.1) แบ่ง 12 คน เป็น 4,4,4 จะได้ 123! ⎝ ⎠ 4! 3! 5! 4! 3!
(4 !) 3 ! หรือมองเป็น 12 แบ่งเป็น 5 (เก็บ), 4 (ก), 3 (ข)
(71.2) แบ่ง 9 คน เป็น 1,4,4 จะได้ 9 !2 ก็ได้ 12 ! เช่นกัน
1!(4 !) 2 ! 5! 4! 3!
(กลุ่มที่มี 1 คน จะถูกเติม ก,ข,ค ลงไปด้วย) (85.1) วิธที ั้งหมด - วิธที ี่ไม่มีสขี าวเลย
= 9×8×7 −5×4×3
(71.3) แบ่ง 9 เป็น 3,3,3 จะได้ 93! × 3 !
(3 !) 3 !
(85.2) ⎛⎜ 93 ⎞⎟ − ⎛⎜ 53 ⎞⎟
(3! เกิดจากการเลือกใส่ ก,ข,ค ลงไปกลุ่มละ 1 คน) ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
A K Q J
(72.1) stars&bars 12 : 3 → ⎛⎜ 11
2⎟
⎞ (86.1) ? ? ? ? = 4 ! = 24 วิธี
⎝ ⎠
(72.2) แจกไปก่อนเลยคนละ 1 ลูก, (86.2) ⎛ 4⎞ = 4 วิธี
⎜ 1⎟
⎛8⎞ ⎝ ⎠
แล้วจึงคิดแบบ stars&bars 9 : 3 → ⎜2⎟
⎝ ⎠ (86.3) 4 × 4 × 4 × 4 = 44 = 256 วิธี
eÃ×èo§æ¶Á
เรื่องของการนับจํานวนความสัมพันธ์ จํานวนฟังก์ชัน..
(1) ความสัมพันธ์จาก A ไป B ... จะใช้ A กี่ตัวก็ได้ และ B กี่ตัวก็ได้
ดังนัน้ เราสร้างเซต AxB ขึ้นก่อน ซึ่งมีสมาชิกเป็นคู่อันดับจํานวน n(A)xn(B) คู่อนั ดับ
แล้วความสัมพันธ์จาก A ไป B จะเลือกคู่อนั ดับไปจากเซตนี้กคี่ ู่อนั ดับก็ได้
เปรียบเหมือนสับเซตของ AxB นัน่ เอง จะมีทั้งหมด 2 n(A)× n(B) แบบ
(2) ความสัมพันธ์จาก A ไป B ซึ่งบังคับว่าโดเมนเท่ากับ A ... แปลว่าต้องใช้สมาชิก A ให้ครบทุกตัว
เราจะพิจารณาสมาชิกในโดเมนทีละตัว สมาชิกตัวหนึ่งสามารถจับคูก่ ับสมาชิกของ B กี่ตัวก็ได้ (แต่ไม่จับเลย
ไม่ได้) สมาชิกตัวนี้จงึ เลือกคู่ได้ 2 n(B) − 1 แบบ แต่ตอ้ งใช้สมาชิกทุกตัวของ A ให้ครบ แสดงว่าต้องคูณกัน
n(A) ครั้ง ...ดังนั้น จะมีทงั้ หมด (2 n(B) − 1)n(A) แบบ
(3) ฟังก์ชนั จาก A ไป B ... จะต้องใช้ A ให้ครบเสมอ แต่ใช้สมาชิก B กี่ตัวก็ได้
และด้วยความเป็นฟังก์ชัน สมาชิกใน A แต่ละตัวจึงจับคูส่ มาชิก B ได้เพียง 1 ตัวเท่านั้น คือ n(B) แบบ
เราจึงคิดจํานวนฟังก์ชนั โดยการคูณ n(B) เป็นจํานวน n(A) ครั้ง... ดังนั้นคําตอบคือ (n(B))n(A) แบบ
(4) ฟังก์ชนั หนึ่งต่อหนึง่ จาก A ไป B ... นอกจากเงื่อนไขของฟังก์ชันจาก A ไป B ในข้อที่แล้ว
ยังต้องเพิ่มเงื่อนไขว่าสมาชิกใน B ต้องไม่ถูกเลือกซ้ํา (แสดงว่า n(B) ต้องไม่น้อยกว่า n(A))
คําตอบที่ได้คอื n(B) ⋅ (n(B) − 1) ⋅ (n(B) − 2) ⋅ ...
n(A) ตัว
(5) ฟังก์ชนั จาก A ไปทั่วถึง B ... ใช้วิธลี บออก คือจํานวนแบบทั้งหมดลบด้วยจํานวนแบบที่ไม่ทวั่ ถึง
stat
º··Õè 17 ʶiµi
สถิติศาสตร์ (Statistics) คือวิชาที่เกี่ยวกับการ
เก็บรวบรวม นําเสนอ และวิเคราะห์ข้อมูล เมื่อเรามี
ข้อมูล (Data) จํานวนหนึ่ง เรามักจําเป็นต้องวิเคราะห์
ข้อมูลก่อนถึงจะนําไปใช้ประโยชน์ (เพื่อการตัดสินใจ
หรือการวางแผน) ต่อได้ การวิเคราะห์ข้อมูลแบ่งเป็น
การวิเคราะห์เบื้องต้น เช่น การแจกแจงความถี่, การ
หาค่ากลาง, การหาค่าการกระจาย และการวิเคราะห์
ขั้นสูง เช่น การประมาณค่า, การหาความสัมพันธ์
ระหว่างข้อมูลสองชุด โดยสิ่งทีไ่ ด้จากการวิเคราะห์จะ
เรียกว่า สารสนเทศ หรือ ข่าวสาร (Information)
ลักษณะของข้อมูล
1. ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data) เป็นข้อมูลที่ใช้แทนขนาดหรือปริมาณที่วัดเป็นตัวเลข เช่น
น้ําหนัก ส่วนสูง คะแนนสอบ ... สามารถนําไปคํานวณหรือเปรียบเทียบได้โดยตรง อาจเป็นข้อมูลที่
ต่อเนื่อง (เช่นส่วนสูง จะมีค่าทศนิยมเท่าใดก็ได้) หรือไม่ต่อเนื่อง (เช่นยอดขายสินค้า จะต้องเป็น
จํานวนนับเท่านั้น)
2. ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) ไม่ได้เป็นตัวเลข เช่น เพศ ศาสนา สี ความพึงพอใจ ...
หากเราต้องการวิเคราะห์อาจจะต้องกําหนดตัวเลขเพื่อใช้แทนข้อมูลเหล่านี้ก่อน
17.1 การรวบรวมและนําเสนอข้อมูล
ประเภทข้อมูลแบ่งตามแหล่งที่มา
1. ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) คือข้อมูลที่ได้จากการสํารวจเองโดยตรง (ไม่ว่าจะเป็นการนับ
การวัด การทดลอง การสอบถาม การสังเกต) ซึ่งจะเก็บรวบรวมได้ใน 2 ระดับ คือ
- ระดับประชากร (Population)
เก็บข้อมูลจากทุกๆ สิ่งที่เราสนใจ เรียกว่า การสํามะโน (Census)
- ระดับตัวอย่าง (Sample)
เก็บข้อมูลจากสิ่งที่สุ่มเลือกมา เรียกว่า การสํารวจตัวอย่าง (Sample Survey หรือ Sampling)
2. ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) คือข้อมูลที่มีผู้รวบรวมไว้แล้ว (และมักผ่านการวิเคราะห์
ขั้นต้นแล้วด้วย) ผู้ใช้ไม่ต้องทําการสํารวจเอง เช่น ข้อมูลจากหน่วยงานราชการ องค์กรของรัฐ
รายงานและบทความจากหนังสือ
การนําเสนอข้อมูล
1. ข้อความ บทความ
ใช้เมื่อข้อมูลที่ต้องการนําเสนอมีไม่มากนัก บางครั้งอาจมีการจัดตัวเลขเรียงเป็นแถวคล้าย
ตารางเพื่อให้อ่านง่าย
2. ตาราง
2.1 การนําเสนอข้อมูลโดยใช้ ตาราง (Table) เป็นการจัดระเบียบข้อมูลตามลักษณะต่างๆ
ที่น่าสนใจ ทําให้เปรียบเทียบข้อมูลได้สะดวกกว่าการนําเสนอด้วยข้อความ ... ซึ่งตารางที่ใช้ อาจเป็น
ตารางแบบทางเดียว แบบสองทาง (จําแนกข้อมูลเป็นสองแถว) หรือแบบหลายทาง (จําแนกย่อยลง
ไปมากกว่าสองแถว)
3. แผนภูมิ กราฟ
การนําเสนอข้อมูลแบบนี้สะดวกที่สุด เมื่อต้องการผลสรุปในเชิงเปรียบเทียบ
3.1 แผนภูมิแท่ง (Bar Chart) และ แผนภูมิเชิงเส้น (Line Chart) นิยมใช้แสดงข้อมูลที่
เปลี่ยนไปตามเวลา เช่น ยอดขายผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งในแต่ละเดือน ... ส่วน แผนภูมิวงกลม (Pie
Chart) นิยมใช้แสดงสัดส่วนข้อมูลเป็นร้อยละ เช่น ส่วนแบ่งตลาดของผลิตภัณฑ์แต่ละยี่ห้อ
ต้น ใบ
4 0 0 1 2 3 5 6 6 8 8 8 9
5 0 0 0 1 1 2 3 3 4 5 5 6 8 8 8 9 9
6 1 1 2 3 4 4 4 5 6 7 8
จากแผนภาพต้น-ใบ อาจวิเคราะห์ข้อมูลคร่าวๆ ได้ว่า
(1) มองเป็นแผนภูมิแท่งแนวนอน จะได้ว่า ช่วงข้อมูล 50 – 59 มีความถี่มากที่สุด
(2) ข้อมูลที่ต่ําที่สุดคือ 40 และสูงที่สุดคือ 68 ... มีค่าต่างกันอยู่ 28
(3) ข้อมูลตรงกลางมีค่าประมาณ 53 หรือ 54
17.2 ค่ากลางของข้อมูล
ค่ากลางของข้อมูล (Central Value) เป็นตัวเลขที่ใช้แทนข้อมูลทั้งหมด จะช่วยให้วิเคราะห์ข้อมูลได้
อย่างกว้างๆ ซึ่งค่ากลางที่นิยมใช้ มี 3 ชนิด ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยม
x1 + x2 + x3 + ... + xN
∑ xi
X = = i=1
N N
xi คือข้อมูลตัวที่ i, และมีจาํ นวนข้อมูล (Units) ทัง้ หมดเท่ากับ N ตัว
ข. ใหหามัธยฐานของคะแนนสอบ
วิธีคิด มัธยฐาน อยูตําแหนงที่ 100
2
่ จกแจงความถี่แลว จะใช N2 )
= 50 (สําหรับขอมูลทีแ
S ¢o¤ÇÃÃaÇa§ã¹¡ÒÃËÒ¤ÒÁa¸Â°Ò¹¨Ò¡µÒÃÒ§! S
1. ãËÃaÇa§ÇÒµÒÃÒ§¢oÁÙÅeÃÕ§¡Åaº´Ò¹ (Áҡ仹oÂ) ËÃ×oäÁ
2. ãËʧa e¡µÇÒ¤ÒÁa¸Â°Ò¹·Õè¤Òí ¹Ç³ä´ oÂÙ㹪aé¹ 60 – 69 ¨Ãi§ËÃ×oäÁ ¶ÒäÁãªæÊ´§ÇÒ¤i´¼i´
ค. ใหหาฐานนิยมของคะแนนสอบ
วิธีคิด ฐานนิยมจะคํานวณงายทีส่ ุดในบรรดาคากลางทั้งสามอยาง เพราะไมตองเพิม่ ชองในตาราง ... ฐาน
นิยมจะอยูในชัน้ ที่มีความถี่สูงสุด ในตัวอยางนีก้ ็คือชั้น “60 – 69”
คะแนน จํานวนนักเรียน คะแนน จํานวนนักเรียน
20 – 29 2 60 – 69 30
30 – 39 9 70 – 79 15
40 – 49 13 80 – 89 10
50 – 59 20 90 – 99 1
⎛ dL ⎞ 10
คํานวณจาก Mo = L + I ⎜ ⎟ = 59.5 + (10)( ) = 63.5 คะแนน
⎝ dL + dU ⎠ 10 + 15
L คือขอบลางของชั้นที่ฐานนิยมอยู คือ 59.5 ... ซึ่งชั้นนั้นมีความกวาง I คือ 10
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 368 สถิติ
d คือผลตางความถี่ ชั้นนั้นกับชัน
U ้ ทีค่ าขอมูลมากขึ้น (ขอบบน) คือ 30-15 = 15
S ¢o¤ÇÃÃaÇa§ã¹¡ÒÃËÒ¤Ò°Ò¹¹iÂÁ¨Ò¡µÒÃÒ§! S
1. ãËÃaÇa§ÇÒµÒÃÒ§¢oÁÙÅeÃÕ§¡Åaº´Ò¹ (Áҡ仹oÂ) ËÃ×oäÁ
2. ãËʧa e¡µÇÒ¤Ò°Ò¹¹iÂÁ·Õè¤Òí ¹Ç³ä´ oÂÙ㹪aé¹ 60 – 69 ¨Ãi§ËÃ×oäÁ ¶ÒäÁãªæÊ´§ÇÒ¤i´¼i´
นอกจากการคํานวณจากข้อมูลโดยตรงแล้ว เรายังสามารถหาค่ามัธยฐานได้จากเส้นโค้งของ
ความถี่สะสม และหาฐานนิยมได้จากฮิสโทแกรม ดังภาพ
cf (ความถีส่ ะสม) การหาค่ามัธยฐานจาก f (ความถี)่
การหาค่าฐานนิยมจากฮิสโทแกรม
เส้นโค้งของความถี่สะสม
N
N/2
x O x
O Med Mo
ในการคํานวณค่ากลาง จะพบว่าข้อมูลบางลักษณะไม่เหมาะสมกับค่ากลางบางชนิด ซึ่งมี
ผลสรุปไว้คร่าวๆ ดังตารางนี้
สมบัติของค่าเฉลี่ยเลขคณิต
N
(1) N X = ∑ xi ค่าเฉลี่ยเลขคณิต คูณกับจํานวนข้อมูล จะได้เป็นผลรวมข้อมูลทั้งหมด
i=1
N
(2) ∑ (xi − X) = 0 ผลรวมของค่าเบี่ยงเบนทั้งหมดเป็นศูนย์
i=1
N
(3) ∑ (xi − K)2 จะน้อยทีส่ ุด ก็เมื่อ K = X
i=1
สมบัติของมัธยฐาน
N
∑ xi − K จะน้อยที่สุด ก็เมื่อ K = Med (คล้ายข้อ 3 ของ X)
i=1
สมบัติของค่ากลางทั้ง 3 ชนิด
(1) ค่ากลางที่ได้ จะมีค่าอยู่ระหว่างข้อมูลที่น้อยที่สุดกับมากที่สุด เสมอ
(2) ถ้าข้อมูลชุด Y ทุกๆ ตัว สัมพันธ์กับข้อมูลชุด X แต่ละตัว ตามสมการ yi = m xi + c
จะได้ว่า (ค่ากลางของY) = m ⋅ (ค่ากลางของX) + c ด้วย เช่น Y = m X + c
5
2
• ตัวอยาง ใหหาคา a ที่ทําให ∑ (a − xi) มีคา นอยทีส่ ุด สําหรับขอมูล x : 2, 3, 6, 12, 20
i=1
8
และหาคา b ที่ทําให ∑ b − yi มีคานอยที่สดุ สําหรับขอมูล y : 3, 5, 6, 7, 8, 10, 15, 16
i=1
5 5
2 2
ตอบ คา a ก็คือ X นั่นเอง เพราะ ∑ (a − xi) ก็เหมือนกับ ∑ (xi − a) ดังนั้น a = 8.6
i=1 i=1
8 8
สวนคา b ก็คือ Medy เพราะ ∑ b − yi เหมือนกับ ∑ yi − b ดังนั้น b = 7.5
i=1 i=1
4. ค่ากลางอื่นๆ (ไม่นิยมใช้)
ค่าเฉลี่ยเรขาคณิต (Geometric Mean; GM)
ใช้แทนค่าเฉลี่ยเลขคณิต ในกรณีที่มีข้อมูลบางตัวค่าสูงหรือต่ําผิดปกติ เพราะค่าเหล่านี้มีผล
เปลี่ยนแปลงค่าเฉลี่ยเรขาคณิตไม่มากนัก
N
N
ข้อมูลที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่ GM = x1x2x3...xN = N
∏ xi
i=1
i=1
f1 + f2 + f3 + ... + fk
∑ fi N
ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว HM = = i=1
=
f1 f f f k⎛f ⎞ k ⎛f ⎞
+ 2 + 3 + ... + k ∑ ⎜ xi ⎟ ∑ ⎜ xi ⎟
x1 x2 x3 xk i=1 ⎝ i ⎠ i=1 ⎝ i ⎠
กึ่งกลางพิสัย (Midrange)
xmax + xmin
ข้อมูลที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่ Midrange =
2
xmax คือข้อมูลที่มคี ่าสูงทีส่ ุด, Xmin คือข้อมูลที่มีคา่ ต่าํ ที่สดุ
U + Lmin
ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว Midrange = max
2
Umax คือขอบบนของชั้นที่คา่ ข้อมูลสูงทีส่ ุด, Lmin คือขอบล่างของชั้นที่คา่ ข้อมูลต่าํ ที่สดุ
แบบฝึกหัด 17.2
(1) ส่วนสูงนักเรียน 8 คน วัดได้ดังนี้ 112, 120, 114, 122, 112, 110, 114, 112 ซม. จงหาค่าเฉลี่ย
เลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยม
(2) [Ent’38] จากข้อมูลที่กําหนดให้ ชุด A: 1, 3, 2, 2, 5, 3, 4, 4, 3 และชุด B: 1, 2, 4, 1, 2,
5, 2, 5, 1, 5, 5, 3 พิจารณาข้อความต่อไปนี้ ข้อใดถูกหรือผิดบ้าง
ก. ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลสองชุดนี้ เท่ากัน
ข. มัธยฐานของข้อมูลสองชุดนี้ เท่ากัน
(3) [Ent’31] ข้อมูลชุดหนึ่งประกอบด้วย 5, 1, 3, 2, 5, 4, 2, 7, 8, 3, 2, 1, 9, 8, 3, 5, 6, 9,
4, 3 แล้วข้อมูลชุดนี้มีการแจกแจงแบบใด ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยมเป็นเท่าใด
(4) จงหาข้อมูล 4 จํานวน ซึ่งมีฐานนิยมและมัธยฐานเป็น 70 เท่ากัน มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น 75
และพิสัยเป็น 80
(5) ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนสอบของนักเรียน 10 คน เป็น 65 คะแนน ถ้านักเรียน 7 คนแรก
มีคะแนนสอบดังนี้ 55, 43, 67, 80, 85, 74, 38 คะแนน ส่วนอีก 3 คน มีคนได้คะแนนเท่ากัน 2
คน และมากกว่าอีกคนหนึ่งอยู่ 11 คะแนน จงหามัธยฐาน และฐานนิยมของคะแนนสอบของนักเรียน
10 คนนี้
(6) [Ent’ต.ค.41] ข้อมูลชุดหนึ่งเรียงลําดับจากน้อยไปมากได้ 10, 20, 30, 30, a, b, 60, 60, 90,
120 ถ้าฐานนิยมและมัธยฐานเป็น 30 และ 40 ตามลําดับแล้ว ข้อมูลชุดต่อไปนี้จะมีค่าเฉลี่ยเลข
คณิตเท่าใด 11, 22, 33, 34, a+5, b+6, 67, 68, 99, 130
(7) [Ent’40] คะแนนสอบของนักเรียนกลุ่มหนึ่งมีเส้นโค้งความถี่เป็นโค้งเบ้ซ้าย โดยที่ 80
เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนทั้งหมดสอบได้คะแนนเท่ากันคือ 75 คะแนน สมชายสอบได้คะแนนเท่ากับ
ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนสอบ โดยที่คะแนนของสมชายต่างจากฐานนิยมอยู่ 6 คะแนน สมชาย
สอบได้คะแนนเท่าใด
(8) ครอบครัวหนึ่งมีบุตร 5 คน คนโตอายุ 15 ปี คนสุดท้องอายุ 4 ปี ค่าเฉลี่ยอายุบุตรทุกคนเป็น
11 ปี มัธยฐานเป็น 12 ปี หากบุตรคนที่ 4 อายุน้อยกว่าคนที่ 2 อยู่ 4 ปี จงหาค่าเฉลี่ยของอายุบุตร
ในอีก 3 ปีข้างหน้า
(9) [Ent’41] ความสัมพันธ์ระหว่างกําไร (y) และราคาทุน (x) ของสินค้าชนิดหนึ่งเป็น
y = 7 + 0.25 x ถ้าราคาทุนของสินค้า 5 ชิ้นเป็น 32, 48, 40, 56, 44 บาท แล้ว จงหา
ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของกําไรของสินค้า 5 ชิ้นนี้
(10) [Ent’22] จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างน้ําหนัก (กก.; W) กับส่วนสูง (ซม.; H) ของ
คน 15 คน พบว่าเป็นไปตามสมการ 3 W = H − 15 ถ้าค่าเฉลี่ยของส่วนสูง 6 คนแรกเป็น 159
ซม. และของอีก 9 คนที่เหลือเป็น 156 ซม. ให้หาค่าเฉลี่ยของน้ําหนักคน 15 คนนี้
(11) ข้อมูลชุดหนึ่งมี X เป็น 11 ถ้ามีข้อมูลค่า 29 เพิ่มอีกตัว จะทําให้ X กลายเป็น 13 ให้หาว่า
เดิมมีข้อมูลอยู่กี่ตัว
(12) ข้อมูล N จํานวน มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น 15 ภายหลังพบว่าอ่านข้อมูลผิด คือจาก 21 อ่านผิด
เป็น 12 จึงทําการหาค่าเฉลี่ยเลขคณิตใหม่ได้เป็น 16 จงหาจํานวนข้อมูล
พิจารณาข้อความต่อไปนี้ ข้อใดถูกหรือผิดบ้าง
ก. ข้อมูลชุดนี้มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตน้อยกว่ามัธยฐาน
ข. ผลรวมของข้อมูลชุดนี้ทั้งหมด เท่ากับ 100
3 3 3
(20) กําหนดให้ ∑ (xi + yi) = 9 และ ∑ (xi − yi) = 7 หากต้องการให้ ∑ (xi − a)2 มีค่าน้อยที่สุด
i=1 i=1 i=1
เท่าที่เป็นไปได้ a ต้องมีค่าเท่าใด
(21) กําหนดข้อมูลชุดหนึ่งเป็น x1, x2 , x3 , ..., xN และกําหนดเงื่อนไขต่อไปนี้ จงหาค่า X
20 20
(21.1) ∑ (xi + 1)2 = ∑ (xi − 3)2
i=1 i=1
8 8
2
(21.2) ∑ (xi + 1) = 1 และ ∑ (xi + 2)2 = 9
i=1 i=1
N N
(21.3) ∑ x2i = A และ ∑ (xi + 2)2 = B
i=1 i=1
17.3 ตําแหน่งสัมพัทธ์ของข้อมูล
ในหัวข้อที่แล้วเราได้ศึกษาการหาค่ากลางของข้อมูล ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใช้แทนค่าข้อมูลทั้งหมด
ที่นิยมใช้มี 3 ชนิด ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยม โดยที่ มัธยฐาน เป็นค่าข้อมูลใน
ตําแหน่งกึ่งกลางเมื่อถูกเรียงลําดับจากน้อยไปมากแล้ว ค่ามัธยฐานบอกให้ทราบว่า มีข้อมูลที่ค่าสูง
กว่าค่านี้ และค่าต่ํากว่าค่านี้ อยู่เป็นปริมาณเท่าๆ กัน
เมื่อเรียงลําดับข้อมูลจากน้อยไปมากแล้ว นอกเหนือจากการระบุตําแหน่งกึ่งกลางของข้อมูล
(คือแบ่งข้อมูลออกเป็นสองส่วนเท่าๆ กัน) เรายังสามารถระบุตําแหน่งใดๆ ของข้อมูลก็ได้ (คือแบ่ง
ข้อมูลออกเป็นกี่ส่วนก็ได้) ถ้าเราแบ่งข้อมูลออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน จุดแบ่งทั้งสามจุดนั้นจะเรียกว่า
ควอร์ไทล์ (Quartile) ที่ 1 หรือ Q 1 , ควอร์ไทล์ที่ 2 ( Q 2 ), และควอร์ไทล์ที่ 3 ( Q 3 ) ตามลําดับ
ความหมายของควอร์ไทล์ที่ 1 คือมีข้อมูลที่ต่ํากว่าค่านี้อยู่เป็นปริมาณ 1/4 และมากกว่าค่านี้อยู่อีก
3/4 โดยประมาณ
Med
Q1 Q2 Q3
D1 D2 D3 D4 D5 D6 D7 D8 D9
น้อย x (ข้อมูล) มาก
การบอกตําแหน่งข้อมูลที่นิยมใช้กันมีอีก 2 ชื่อ นั่นคือ เดไซล์ (Decile; D) แทนการแบ่งข้อมูลเป็น
10 ส่วน และ เปอร์เซ็นไทล์ (Percentile; P) แทนการแบ่งข้อมูลเป็น 100 ส่วน
ข้อมูลที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่
r r
Qr คือข้อมูล ในตําแหน่งที่ (N + 1) Dr คือข้อมูล ในตําแหน่งที่ (N + 1)
4 10
r
Pr คือข้อมูล ในตําแหน่งที่ (N + 1)
100
เมื่อมีข้อมูลทัง้ หมด N ตัว และเรียงลําดับจากน้อยไปมากแล้ว
ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว
⎛r N − ∑f ⎞ ⎛ r N − ∑f ⎞
Qr = L + I ⎜ 4 L ⎟
Dr = L + I ⎜ 10 L ⎟
⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎝ fQr ⎠ ⎝ fDr ⎠
⎛ r N − ∑f ⎞
r r r
Pr = L + I ⎜ 100 L ⎟
ข้อสังเกต ใช้ N, N, N โดยไม่ต้องบวกหนึง่
⎜
fPr
⎟ 4 10 100
⎝ ⎠
L คือขอบล่างชั้นที่มีควอร์ไทล์ (หรือเดไซล์หรือเปอร์เซ็นไทล์) ทีต่ อ้ งการอยู่
ซึ่งชั้นนั้นมีความกว้าง I และมีความถี่เป็น fQr (หรือ fDr หรือ fPr )
∑ fL คือความถีส ่ ะสมที่ขอบล่าง
S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
ÊÁÁµiÇÒÁÕ¤aæ¹¹¢o§¹a¡eÃÕ¹oÂÙ 200 ¤¹ e»oÃe«ç¹ä·Å·èÕ 75 ËÁÒ¶֧Êoºä´·èÕ 150 ãªÃÖe»ÅÒ¤Ãaº ...
¶Ò¿§e¼i¹æ ¡çeËÁ×o¹¨a㪠海è¨Õ Ãi§æÅÇäÁ㪹a¤Ãaº e¾ÃÒae»oÃe«ç¹ä·Å¹é¹a eÃÕ§¨Ò¡¤aæ¹¹¹oÂä»ÁÒ¡
æµÊoºä´·èeÕ ·Òã´¹aé¹eÃÕ§¨Ò¡¤aæ¹¹Áҡ仹o ©a¹aé¹µo§µoºÇÒÊoºä´·èÕ 50
แบบฝึกหัด 17.3
(29) “สมพรสอบได้คะแนนคิดเป็นเปอร์เซ็นไทล์ที่ 80 จากจํานวนผู้สอบ 4,000 คน” ข้อใดถูกต้อง
ก. สมพรสอบได้ที่ 80
ข. สมพรสอบได้ 80% ของคะแนนเต็ม
ค. ผู้ที่ได้คะแนนน้อยกว่าสมพร มีประมาณ 80 คน
ง. ผู้ที่ได้คะแนนมากกว่าสมพร มีประมาณ 800 คน
(30) ผลคะแนนสอบของนักเรียน 15 คนเป็นดังนี้ 16, 19, 32, 30, 4, 9, 4, 12, 20, 26, 12, 31,
20, 17, 24 จงหาคะแนนที่ตรงกับควอร์ไทล์ที่ 3, เดไซล์ที่ 6, และเปอร์เซ็นไทล์ที่ 80
(31) จากข้อมูลชุดหนึ่งได้แก่ 4, 5, 8, 9, 12, 15, 17, 19, 23 จงหาค่าเฉลี่ยเลขคณิตของ P 10 ,
D 2 , P 60 และ Q 3
(32) ข้อมูลที่เรียงลําดับแล้วเป็นดังนี้ 5, 7, 8, 10, 12, 14, 15, x, 23, 24, 27, 28, 30
ถ้าทราบว่า D6 = 20 แล้วจงหาค่า x
(33) กําหนดข้อมูลชุดหนึ่งเป็น 28, 15, 19, 11, 29, 12, 27, 24, 30 จงหาว่า
(33.1) 28 คิดเป็นเปอร์เซ็นไทล์ที่เท่าใด
(33.2) 15 คิดเป็นควอร์ไทล์ที่เท่าใด Y (ความถี่สะสม)
(34) ผลสอบของนักเรียน 32 คน เขียนเป็น 32
กราฟของความถี่สะสมได้ดังภาพ โดย
เส้นโค้งนี้ตรงกับสมการ Y = 4 log2 X
จงหาว่าควอร์ไทล์ที่ 3 กับเปอร์เซ็นไทล์ที่ 50
มีค่าต่างกันอยู่เท่าใด O X (คะแนน)
1 256
17.4 ค่าการกระจายของข้อมูล
พิจารณาข้อมูลสองชุดได้แก่ ชุดที่ 1; 8, 10, 12, 20, 5, 1, 7, 7 มีค่าเฉลี่ยเลขคณิต 7.5
และชุดที่ 2; 8, 7, 7, 8, 7, 8, 8, 7 มีค่าเฉลี่ยเลขคณิต 7.5 เท่ากัน จะเห็นว่าค่ากลางของข้อมูล
นั้นไม่สามารถบอกลักษณะข้อมูลชุดต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์ ควรใช้อีกค่าหนึ่งร่วมกันด้วย นั่นคือค่า
การกระจาย (Dispersion) ค่าการกระจายยิ่งมาก แสดงว่าข้อมูลยิ่งแตกต่างกัน ไม่เกาะกลุ่มกัน เช่น
ในตัวอย่างข้างต้น ข้อมูลชุดที่ 1 จะมีค่าการกระจายมากกว่าชุดที่ 2
1. พิสัย (Range)
เป็นค่าที่วัดได้รวดเร็ว แต่จะมีข้อผิดพลาดมากหากข้อมูลบางจํานวนมีค่าสูงเกินไป หรือต่ําเกินไปแบบ
ผิดปกติ จึงเหมาะกับการวัดโดยคร่าวๆ ที่ไม่ต้องการความแม่นยํามากนัก
ข้อมูลที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่
Range = xmax − xmin
xmax คือข้อมูลที่มคี ่าสูงทีส่ ุด, xmin คือข้อมูลที่มีคา่ ต่าํ ที่สดุ
ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว
Range = Umax − Lmin
Umax คือขอบบนของชั้นที่คา่ ข้อมูลสูงที่สดุ , Lmin คือขอบล่างของชัน้ ทีค่ ่าข้อมูลต่าํ ทีส่ ุด
x1 − X + x2 − X + ... + xN − X ∑ xi − X
MD = = i=1
N N
xi คือข้อมูลตัวที่ i จากทัง้ หมด N ตัว, X คือค่าเฉลีย่ เลขคณิตของข้อมูล
ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว
k
f1 x1 − X + f2 x2 − X + ... + fk xk − X ∑ fi xi − X
MD = = i=1
f1 + f2 + ... + fk N
xi กึ่งกลางชั้นที่ i จาก k ชั้น ซึ่งมีความถี่ fi , และมีข้อมูลทั้งหมด N ตัว,
X คือค่าเฉลี่ยเลขคณิต
1 15 + 35
Q อยูในตําแหนงที่
1 × (5 + 1) = 1.5 ... ดังนั้น Q = 1 = 25 ป
4 2
3 35 + 55
Q3 × (5 + 1) = 4.5
อยูในตําแหนงที่ ... ดังนั้น Q3 = = 45 ป
4 2
Q − Q1 45 − 25
สรุปวา QD = 3 = = 10 ป
2 2
ค. สวนเบี่ยงเบนเฉลี่ย
15 + 35 + 35 + 35 + 55
ตอบ การหาคาสวนเบี่ยงเบนเฉลี่ย ตองรู X กอน ... X = = 35 ป
5
จากสูตร MD = 20 + 0 + 50 + 0 + 20 = 8 ป
(นําผลตางระหวาง ขอมูลแตละตัว กับ x มาเฉลี่ยกัน)
ง. สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ตอบ การหาคาสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตองรู X กอน ... คํานวณแลวในขอ ค. ได X = 35 ป
2 2 2 2 2
จากสูตร SD = 20 + 0 + 05 + 0 + 20 = 160 ≈ 12.65 ป
(วิธีหา SD คลายกับ MD ... แตผลตางที่ได ตองนํามายกกําลังสองทุกตัว และถอดรูท ตอนจบ)
ขอสังเกต : คา QD, MD, SD ที่ได จะใกลเคียงกันเสมอ
สมบัติของค่าการกระจายสัมบูรณ์
(1) ค่าการกระจายเป็นบวกหรือศูนย์เสมอ โดยเป็นศูนย์ก็เมื่อข้อมูลทุกค่าเหมือนกันหมด
(2) ถ้าข้อมูลชุด Y ทุกๆ ตัว สัมพันธ์กับข้อมูลชุด X แต่ละตัว ตามสมการ yi = m xi + c
จะได้ว่าค่าการกระจายของข้อมูลชุด Y เป็น m เท่าของชุด X
ข้อสังเกต
ค่ากลาง ถูกกระทบทั้งการบวกและคูณ แต่ ค่าการกระจาย ถูกกระทบเฉพาะการคูณ
สมบัติของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
N
(1) จากสมบัติของค่าเฉลี่ยเลขคณิต ที่ว่า ∑ (xi − K)2 จะน้อยที่สุด ก็เมื่อ K = X
i=1
⎛N 2⎞
ทําให้เราทราบว่า ค่า M = ⎜ ∑ (xi − K) ⎟ ÷ N จะน้อยที่สุดก็เมื่อ M = SD (K = X)
⎝i=1 ⎠
(2) ค่า s2 หรือ σ 2 เรียกว่า ความแปรปรวน (Variance; Var)
Xi คือค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลชุดที่ i, s2i
คือความแปรปรวนของข้อมูลชุดที่ i
Ni คือจํานวนของข้อมูลชุดที่ i จากทั้งหมด k ชุด
ข้อสังเกต
ค่ากลาง และ ค่าการกระจายสัมบูรณ์ มีหน่วยอย่างเดียวกับข้อมูล
ความแปรปรวน มีหน่วยเหมือนข้อมูลยกกําลังสอง
แต่ ค่าการกระจายสัมพัทธ์ ไม่มีหน่วย
• ตัวอยาง (ตัวอยางนี้มีการทบทวนเนื้อหาเรื่องสมบัติของคากลางดวย)
ในการสอบครั้งหนึ่ง คาเฉลี่ยเลขคณิตและความแปรปรวนของคะแนนสอบของนักเรียน เปน 14 คะแนน
และ 1.4 คะแนน2 ตามลําดับ
ก. หากผูส อนเพิม่ คะแนนเก็บใหทุกคน คนละ 5 คะแนน แลวคาเฉลี่ยเลขคณิตและความ
แปรปรวนของคะแนนชุดใหม เปนเทาใด
ตอบ ขอมูลทุกตัวถูกบวก 5 ดังนั้น คาเฉลี่ยเลขคณิตก็บวก 5 เปน 19 คะแนน
แตการบวกไมมีผลตอคาการกระจาย ดังนั้น ความแปรปรวนยังคงเปน 1.4 คะแนน2
ข. หากผูสอนปรับคะแนนเต็มจากเดิม 20 คะแนน ใหกลายเปน 60 คะแนน แลวคาเฉลี่ยเลขคณิต
และความแปรปรวนของคะแนนชุดใหม เปนเทาใด
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 382 สถิติ
แบบฝึกหัด 17.4
(38) ข้อมูลชุดหนึ่งมีค่า 12, 14, 14, 17, 18, 21 จงหาค่าการกระจายสัมบูรณ์ทั้งสี่แบบ
(39) โค้งความถี่สะสมของคะแนนนักเรียนจํานวน 400 คน เป็นไปตามสมการ F = 100 log4 X จง
หาค่าส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์
(40) ข้อมูลชุดหนึ่งมีส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์เป็น 2 และสัมประสิทธิ์ของส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์เป็น
2/3 จงหาค่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 75
(41) [Ent’38] ข้อมูล 4 จํานวนมีค่าดังนี้ 5, a, b, 1 โดยที่ 1 < a < b ถ้าข้อมูลชุดนี้มีค่าเฉลี่ย
เลขคณิตเท่ากับ 4 และความแปรปรวนเท่ากับ 5 แล้ว จงหาค่าของ b – a
(42) [Ent’37] ข้อมูล 7 จํานวนมีค่าต่างกันดังนี้ 9, 6, 15, a, 2, 4, 12 โดยที่ 2 < a < 12 ถ้า
ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลเป็น 2 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์ ค่า a จะเป็นเท่าใด
(43) ในการวัดความสูงของนักเรียน คํานวณค่า s ได้ 10 ซม. แต่พบว่าสเกลของไม้เมตรผิดพลาด
ขาดไป 10% ของส่วนสูงจริง ดังนั้นค่า s ที่ถูกต้องคือเท่าใด
(44) นักเรียนคนหนึ่งคิดว่าค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น 42 จึงหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 6 แต่มาพบว่า
ที่จริงค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น 40 ดังนั้นส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่แท้จริงเป็นเท่าใด
(45) จงหาค่าความแปรปรวนของข้อมูลแต่ละชุด และความแปรปรวนรวมของทั้งสองชุด
ชุดที่ 1; 3, 6, 9, 12, 15 ชุดที่ 2; 3, 9, 15
(46) ข้อมูลสองชุดมีจํานวนเท่ากัน ชุดแรกมีค่าเฉลี่ยเลขคณิต 5 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0 และชุด
ที่สองมีค่าเฉลี่ยเลขคณิต 3 ถ้าพบว่าข้อมูลรวมมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น 3 จงหาส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานของข้อมูลชุดที่ 2
(47) นักเรียนชาย m คน ทุกคนอายุ x ปี และนักเรียนหญิง n คน ทุกคนอายุ y ปี จงหาความ
แปรปรวนรวมของอายุนักเรียนทั้งหมด
(48) [Ent’36] ในการสอบของนักเรียนห้องหนึ่งซึ่งมี 60 คน ได้คะแนนรวม 1,320 คะแนน โดยมี
ความแปรปรวนเป็น 100 คะแนน2 ถ้ามีนักเรียนได้ 32 คะแนนอยู่ 10 คน จงหาความแปรปรวนของ
คะแนนของนักเรียน 50 คนที่เหลือ
(49) [Ent’36] ถ้านักเรียน 20 คนมีส่วนสูงเฉลี่ย 150 ซม. และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น 3 ซม.
นักเรียนชายซึ่งมี 12 คนมีส่วนสูงเฉลี่ย 150 ซม. และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2 ซม. ถามว่าส่วนสูง
ของนักเรียนหญิงหรือชายมีการกระจายมากกว่ากัน และมากกว่ากันกี่เท่า
10 10
(50) จงหาความแปรปรวนของข้อมูลชุดหนึ่ง ซึ่งมี ∑ xi = 60 และ ∑ (xi − 5)2 = 370
i=1 i=1
สมบัติของค่ามาตรฐาน
N
(1) ∑ zi = 0 (ผลรวมของข้อมูลชุด z ใดๆ เป็น 0 เสมอ)
i=1
การคํานวณเกี่ยวกับเส้นโค้งของความถี่
ลักษณะของเส้นโค้งของความถี่มี 3 แบบ (หรือกล่าวว่าลักษณะการแจกแจงมี 3 แบบ) คือ
(1) โค้งปกติ (Normal Curve) หรือ โค้งรูประฆัง (Belled-Shaped Curve) เป็นโค้งของข้อมูลที่พบ
บ่อยที่สุดโดยเฉพาะข้อมูลจากธรรมชาติ เช่น ส่วนสูง น้ําหนัก ปริมาณผลผลิตการเกษตร
(2) โค้งเบ้ลาดทางซ้าย (หรือทางลบ) (Negatively Skewed Curve)
(3) โค้งเบ้ลาดทางขวา (หรือทางบวก) (Positively Skewed Curve)
ซึ่งโค้งแต่ละแบบ บอกความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยม ดังภาพ
f f f
โค้งปกติ โค้งเบ้ซ้าย โค้งเบ้ขวา
S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
เนื่องจากพื้นที่ใต้เส้นโค้งจะเท่ากับความถี่รวมพอดี o¤§eº«ÒÂÂoÁÒ¨Ò¡ o¤§eºÅÒ´·Ò§«Ò o¤§eº
(เป็นสิ่งที่ได้จากการสร้างฮิสโทแกรม) เราจึงสามารถคํานวณ ¢ÇÒÂoÁÒ¨Ò¡ o¤§eºÅÒ´·Ò§¢ÇÒ ... ¶Ò¶ÒÁÇÒÃÙ»
เกี่ยวกับการวัดตําแหน่งของข้อมูล (มัธยฐาน, ควอร์ไทล์, ä˹e»¹o¤§eº«Ò ÃÙ»ä˹o¤§eº¢ÇÒ ¹o§æ
เดไซล์, เปอร์เซ็นไทล์) ได้ โดยจะศึกษาเฉพาะโค้งปกติซึ่ง ÊǹÁÒ¡¨ae´ÒÊÅaº¡a¹ ©a¹aé¹ãËÊa§e¡µ´Õæ ¹a¤Ãaº
ใช้ตารางท้ายบทเรียนในการหาค่าพื้นที่ใต้โค้ง ¾oeÃÕ¡ÂoæÅÇoÒ¨·íÒãËe¢Ò㨤ÇÒÁËÁÒ¼i´ä»
ในทางปฏิบัตินนั้ เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างตารางหลายตาราง
เพื่อใช้แทนข้อมูลที่มีค่ากลางและค่าการกระจายต่างๆ กัน ดังนั้น
จึงต้องใช้วิธีเปลี่ยนค่า x ให้เป็นค่ามาตรฐาน z ก่อน (ค่าเฉลี่ย
จะเป็น 0 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น 1 ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล
ชุดใด) เรียกโค้งปกติที่ปรับค่าข้อมูลให้เป็นค่ามาตรฐานแล้วนี้ว่า X x
โค้งปกติมาตรฐาน -3 -2 -1 0 1 2 3 z
สิ่งสําคัญในตารางแสดงพื้นที่ใต้กราฟของโค้งปกติมาตรฐาน
1. พื้นที่ใต้โค้งรวมกันทั้งหมด (ความถี่รวม) จะมีค่าเท่ากับ 1.00 พอดี
2. ค่าที่ระบุในตาราง แสดงพื้นที่ที่วัดระหว่าง z=0 ไปถึง z ใดๆ โดยมีเพียงค่า z เป็นบวก
เท่านั้น (ซีกขวาของโค้ง) เราสามารถหาพื้นที่ซีกซ้ายได้โดยอาศัยความสมมาตรของรูปกราฟ
3. หาค่าเปอร์เซ็นไทล์ (เดไซล์, ควอร์ไทล์) ได้โดยการนําพื้นที่ที่ต้องการไปเทียบเป็นค่า z
แบบฝึกหัด 17.5
(53) นาย ก สอบวิชาภาษาไทยได้ 48 คะแนน และภาษาอังกฤษได้ 35 คะแนน โดยค่าเฉลี่ยของ
คะแนนสอบวิชาภาษาไทยและภาษาอังกฤษเป็น 45 กับ 32 คะแนนตามลําดับ และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานเป็น 12 กับ 10 คะแนนตามลําดับ ถามว่าเขาสอบวิชาใดได้ดีกว่ากัน
(54) นักเรียน 40 คนมีอายุรวมกัน 640 ปี และมีค่าความแปรปรวนของอายุเป็น 4 ปี2 ถ้า ก และ
ข อยู่ในกลุ่มนี้โดยที่ ก อายุ 18 ปี และค่ามาตรฐานของอายุ ก น้อยกว่า ข อยู่ 0.5 แล้ว จงหาอายุ
ของ ข
(55) คนงาน 100 คน มีอายุเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอายุเป็น 25 และ 13 ปี
ตามลําดับ ถ้าผลรวมของค่ามาตรฐานของอายุคนงาน 99 คน เป็น -0.25 แล้ว อายุของคนงานอีก
คนที่เหลือเป็นเท่าใด
(56) ค่ามาตรฐานคะแนนสอบของ ก ข และ ค เป็น -1.6, 1.28, 2.4 ตามลําดับ ถ้า ก ได้คะแนน
น้อยกว่าค่าเฉลี่ยเลขคณิตอยู่ 5 คะแนน และ ข ได้ 60 คะแนน ถามว่าคะแนนของ ค เป็นเท่าใด
(57) [Ent’38] จากข้อมูลการสอบของนักเรียน 6 คนดังตาราง จงหาสัมประสิทธิ์ของการแปรผัน
คะแนน 30 40 45 60 85 100
ค่ามาตรฐาน -1.2 -0.8 -0.6 0 1.0 1.6
(58) [Ent’35] ในการสอบ นักเรียนที่ได้ 70 คะแนนคิดเป็นค่ามาตรฐาน 1 ถ้าสัมประสิทธิ์การแปร
ผันคือ 30% แล้ว จงหาคะแนนเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน พร้อมทั้งบอกด้วยว่าคนที่ได้ค่า
มาตรฐานเป็น -1 นั้นมีคะแนนสอบเท่าใด
17.6 ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล
หากเรามีคู่อันดับ (x, y) จํานวนหนึ่ง หลังจากสร้าง แผนภาพการกระจายตัว (Scatter
Plot) เราจะเห็นลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร x กับ y และสามารถหาความสัมพันธ์ระหว่าง
x กับ y เป็นสมการในรูป y = f (x) “เพื่อใช้ทํานายค่า y” ที่ค่า x ตามต้องการได้
รูปแบบความสัมพันธ์ที่พบบ่อย ได้แก่ เส้นตรง พาราโบลา และเอกซ์โพเนนเชียล
แต่ละรูปแบบเราจะต้องคํานวณหาค่าคงตัวทีบ่ ่งบอกลักษณะของกราฟ ดังนี้
y
1. ฟังก์ชันเส้นตรง รูปทั่วไป Y = mX + c
หาค่าคงตัว m กับ c โดยสมการ
Σy = mΣx + c N __________(1)
Σxy = mΣx2 + cΣx ________(2)
(N คือจํานวนคูอ่ ันดับ หรือจํานวนจุด) x
O
S ¨u´·Õè¼i´ºoÂ! S
¤Ò Σxy ≠ Σx ⋅ Σy ¹a¤Ãaº.. µo§¤Ù³ x⋅y ãˤú¡o¹æÅǨ֧ÃÇÁ
y
2. ฟังก์ชันพาราโบลา รูปทั่วไป Y = aX2 + bX + c
หาค่าคงตัว a, b และ c โดยสมการ
Σy = aΣx2 + bΣx + c N ________(1)
Σxy = aΣx3 + bΣx2 + cΣx ______(2)
x
Σx2y = aΣx4 + bΣx3 + cΣx2 _____(3) O
ข้อสังเกต
สมการเหล่านี้เรียกว่า สมการปกติ (Normal Equations) หาได้จากกระบวนการเดียวกันคือ
สมการที่หนึ่ง เติมเครื่องหมาย Σ ทั้งสองข้างของสมการ
สมการที่สอง นําสมการแรกมาเติมตัวแปรต้น คือ x ไว้ภายใน Σ ทุกพจน์
สมการต่อๆไป หากจํานวนสมการยังไม่ครบ ให้เพิ่ม x ไว้ภายใน Σ อีก ทีละตัวๆ
รายได (พันบาท) 1 3 4 6 8 9 11 14
รายจาย (พันบาท) 1 2 4 4 5 7 8 9
วิธีคิด โจทยตองการทํานายรายจาย จากรายได แสดงวาในที่นี้ Y คือรายจาย และ X คือรายได เมื่อวาง
คูอันดับเหลานี้ลงในแกนพิกัดฉากแลวพบวา มีความสัมพันธกนั แบบเสนตรง ดังนัน้ สมการที่เราจะใชคือ
Y = mX + c และดําเนินการหาคา m, c โดย..
→ Σy = mΣx + c N และ Σxy = mΣx + cΣx 2
ค. ตนทุนเฉลี่ย X เทากับกี่บาท
วิธีคิด จากขอ ข. เทียบกับสมการในโจทย ไดวา Σy = 6.6 , Σx = 10 , N = 4 , Σxy = 19 , และ
Σx = 30 ... จากนัน้ หา X จาก Σx/N = 10/4 = 2.5 หรือตนทุนเฉลี่ยเทากับ 250 บาท
2
ข้อมูลในรูปอนุกรมเวลา
หากข้อมูลที่เราสนใจ (Y) เป็นข้อมูลที่ตัวแปรต้นมีช่วงห่างเท่าๆ กัน เช่น ตัวแปรต้นเป็นปี
พ.ศ. ที่ห่างเท่าๆ กันแล้ว เราจะเรียกข้อมูล Y ชุดนั้นว่า ข้อมูลในรูปอนุกรมเวลา (Time Series
Data) ซึ่งจะสามารถแทนค่าตัวแปรต้น X ด้วยตัวเลขค่าน้อยๆ ได้เพื่อให้สะดวกในการคํานวณ วิธีที่
นิยมที่สุดคือ ให้ข้อมูลตรงกลางเป็นเลข 0 แล้วนับขึ้นลงเป็น ±1, ± 2 ต่อไปจนครบทุกจุด เพราะวิธี
นี้จะทําให้ Σx = 0 จึงแก้ระบบสมการหาพารามิเตอร์ได้ง่าย โดยเฉพาะสมการเส้นตรง กับสมการ
เอ็กซ์โพเนนเชียล
หากจํานวนข้อมูลเป็นจํานวนคู่ ไม่มีจุดตรงกลาง ก็จะให้ปีระหว่างกลางนั้นเป็น ±1 และคู่
ถัดไปเป็น ±3, ± 5 ไปเรื่อยๆ (เพื่อรักษาระยะห่างให้เท่าๆ กัน) แบบนี้ก็ยังได้ Σx = 0 เช่นกัน
แบบฝึกหัด 17.6
(73) [Ent’40] พิจารณาแผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร y
x และ y ดังรูป สมการที่ใช้แทนความสัมพันธ์ระหว่าง x และ y
อยู่ในรูปใดต่อไปนี้
ก. y = x − 1 ข. y = a − bx, a, b > 0
ค. y = a − bx2 , a, b > 0 ง. y = a + bx, a, b > 0 x
O
(74) [Ent’38] จากการทดลองวัดความสัมพันธ์ระหว่างเวลา t (วินาที) และระยะทาง s (เมตร)
ของวัตถุที่เคลื่อนที่ ได้ผลดังนี้
t 1 2 3 4
s 2 8 18 32
ถ้าความสัมพันธ์เป็นแบบเส้นตรงแล้ว เราจะทํานายระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ ในขณะที่ t = 1.5
วินาทีได้เท่าใด
(75) [Ent’30] ในการประมาณความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันเส้นตรง ของ x กับ y โดยวิธีกําลังสองน้อย
ที่สุด เมื่อมีข้อมูล (x, y) ดังนี้ (0, 5) , (1, 2) , (2, 1) จงทํานายค่า y เมื่อ x = 1
3
สูตรสําเร็จของสมการเส้นตรง
ในกรณีทั่วๆ ไป ระบบสมการที่ใช้หาพารามิเตอร์นั้นมักจะแก้หาคําตอบได้ยาก (เนื่องจาก
ความแตกต่างของตัวเลขสัมประสิทธิ์) สําหรับรูปแบบเส้นตรงนั้น เราใช้เมตริกซ์แก้ระบบสมการ
ได้ผลเป็นสูตรสําเร็จดังนี้
1. หาค่า m จากสูตร m = N Σ(xy)2 − Σx Σ2y
N Σ(x ) − (Σx)
2. ต่อจากนั้นอาจหาค่า c โดยอาศัยสมบัติของค่าเฉลี่ยเลขคณิต คือ ใช้สมการ Y = mX + c
(สมการนี้ได้จาก นํา N ไปหารสมการปกติที่ (1) ของรูปแบบเส้นตรง นั่นเอง)
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) 114.5, 113, 112 ซม. (24) 44.5, 45.93, 46.17 (59.1) 0.3686
(2) ก. ถูก ข. ผิด (25) 57 คะแนน (26) 5 คน (59.2) 0.4788
(3) เบ้ขวา, 4.5, 4, 3 (27) 22, 21 (28) 6 คน (59.3) 0.8603
(4) 40, 70, 70, 120 (29) ง. (30) 26, 20, 29.2 (59.4) 0.0214
(5) 70, 73 คะแนน (31) (4+5+15+18)/4=10.5 (59.5) 0.1170
(6) 55.5 (7) 69 คะแนน (32) 18 (33) 70, 1.2 (60) 89.44
(8) 14 ปี (9) 18 บาท (34) 64-16=48 คะแนน (61) 59.1 คะแนน
(10) 47.4 กก. (11) 8 ตัว (35) 58.83, 74.5 กก. (62) 73.4 คะแนน
(12) 9 ตัว (13) 11.5 (36) 62.23, 76.77 คะแนน, เกรด B (63) ค. (64) 24
(14) 50, 100 คน (15) 10 คน (37) 22 คน (65) 13.5 คะแนน
(16) 192.3+182.3= 374.6 บาท (38) 9, 2.625, 2.67, 3 (66) 0.29
(17) 83 คะแนน (18) 19 (39) (64-4)/2=30 (40) 5 (67) 0.2, 97.73
(19) ผิดทั้ง 2 ข้อ (20) 8/3 (41) 7–3=4 (42) 8 (68) 2.27 (69) ค.
(21.1) 1 (21.2) –1 (43) 11.11 ซม. (44) 14.14 (70) ง. (71) 12
B−A (45) 18, 24, 20.25 (46) 4 (72) 3, 8.91 (73) ข.
(21.3) − 1 2 2 2
4N
(47) mx + ny − ⎛⎜ mx + ny ⎞⎟ (74) 5 เมตร (75) 4
(22.1) 8.6, 8.6, 9.2 m + n ⎝ m + n ⎠ (76) ก. ถูก และ ข. ผิด
(22.2) 61.5, 65.5, 72.83 (48) 96 (49) หญิง, 16.5 / 2 เท่า (77) 850 บาท (78) 11.2
(22.3) 20.5, 20.5, 21.17 (50) 36 (51) ยีห่ ้อ A (79) 75 (80) 7,000 บาท
(22.4) 69.5, 69.98, 70.21 (52) 50, 7.5, 8.95, 11.52 (81) 1 (82) ก. และ ข. ผิด
(22.5) 44.50, 45.93, 46.17 (53) อังกฤษ (54) 19 ปี (83) ก. ผิด และ ข. ถูก
(22.6) 1802, 1791.17, 1770.93 บาท (55) 28.25 ปี (84) 676,000 บาทต่อเดือน
(22.7) 103.25, 103.67, 105.33 บาท (56) 63.5 คะแนน (85) ก. ผิด และ ข. ถูก
(22.8) 67.45, 67.43, 67.35 (57) 5/12 (86) 97 (87) 4.9 ล้านบาท
(23) –0.7 (58) 53.85, 16.15, 37.7
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
112 + 120 + 114 + 122 + 112 + 110 + 114 + 112 ∴ ข้อมูลทัง้ หมด 10 จํานวน ได้แก่
(1) X =
8 38, 43, 55, 62, 67, 73, 73, 74, 80, 85
916
=
8
= 114.5 ซม. ตอบ Med = (67 + 73) = 70 คะแนน,
2
หรือใช้สมบัติของค่ากลางช่วยคิด โดยการลดทอน Mo = 73 คะแนน
ตัวเลขลงให้คาํ นวณง่ายขึน้ เช่น นํา 115 ไปลบออก (6) ฐานนิยม = 30 แสดงว่า a = 30
ทุกจํานวน กลายเป็น −3, 5, −1, 7, −3, −5, −1, −3 (เพราะต้องมี 30 อย่างน้อย 3 ตัว)
หาค่าเฉลี่ยได้เป็น
−3 + 5 − 1 + 7 − 3 − 5 − 1 − 3 −4 มัธยฐาน = 40 แสดงว่า a + b = 40
= = −0.5 2
8 8
∴ b = 50 → หา X ของข้อมูล
ดังนัน้ (บวก 115 กลับคืนไป) 11, 22, 33, 34, 35, 46, 67, 68, 99, 130
X = −0.5 + 115 = 114.5 ซม. 555
→ X = = 55.5
Med → เรียงลําดับข้อมูลเป็น 10
110, 112, 112, 112,
114
, 114, 120, 122 (7) ฐานนิยม = 75 เพราะมีผู้ได้คะแนน 75
Med เหมือนๆ กันอยูถ่ ึง 80% ของจํานวนคนทัง้ หมด
∴ Med = 113 ซม. (อยูต่ ําแหน่งตรงกลางพอดี) สมชายได้คะแนน = X = 75 − 6 = 69 คะแนน
และ Mo = 112 ซม. (มีข้อมูลซ้ํามากทีส่ ุด) [ใช้ 75-6 เพราะเป็นโค้งเบ้ซา้ ย ดังนั้น X < Mo ]
(2) A : 1, 2, 2, 3, 3, 3, 4, 4, 5 → XA = 3 และ (8) ไม่จําเป็นต้องคิดละเอียดถึงขนาดหาอายุของแต่
MedA = 3 ละคน เพราะว่า X = 11 ปี →
B : 1, 1, 1, 2, 2, 2, 3, 4, 5, 5, 5, 5 → XB = 3
และ อีก 3 ปีข้างหน้าจะได้ X ใหม่ = 11 + 3 = 14 ปี
MedB = 2.5 ดังนัน้ ก. ถูก และ ข. ผิด [เป็นสมบัติของค่ากลาง คือ ถ้า y = mx + c แล้ว
(3) เรียงลําดับข้อมูล Y = mX + c ด้วย]
1, 1, 2, 2, 2, 3, 3, 3, 3, 4, 4, 5, 5, 5, 6, 7, 8, 8, 9, 9 (9) Y = 7 + 0.25 X ด้วย → ดังนัน้ หาค่า X
X = 4.5 , Med = 4 , Mo = 3
ก่อนได้เลย → X = 32 + 48 + 40 + 56 + 44 = 44
5
การแจกแจงเป็นแบบ “เบ้ลาดทางขวา”
(เพราะข้อมูลส่วนมากไปอยูท่ างค่าน้อย, หรืออาจมอง ∴ Y = 7 + (0.25)(44) = 18 บาท
จาก Mo < Med < X ก็ได้) (10) 3W = H − 15 ด้วย
∑H
(4) A, B, C, D → หา H โดย H =
15
Mo = 70, Med = 70 แสดงว่า B = C = 70 6(159) + 9(156)
= = 157.2 ซม.
จากนั้น หา A กับ D จากพิสยั และ X 15
157.2 − 15
โดย A + 70 + 70 + D = 75 .....(1) → ∴ W =
3
= 47.4 กก.
4
และ D − A = 80.....(2) ∑ xเดิม
(11) จาก Xเดิม =
→ แก้ระบบสมการ ได้ A = 20, D = 100 N
∑ xเดิม
∴ ตอบ ข้อมูล 4 จํานวนได้แก่ 20, 70, 70, 100 → 11 = → ∑ xเดิม = 11 N
N
(5) N = 10, X = 65 ∑ xเดิม + 29
X ใหม่ = = 13
→ ∑ x = 65 × 10 = 650 คะแนน N+1
11N + 29
7 คนแรกได้คะแนนรวม → = 13 → N = 8 ตัว
N+1
55 + 43 + 67 + 80 + 85 + 74 + 38 = 442
(12) ∑ xผิด = 15N
∴ 3 คนที่เหลือ มีคะแนนรวมกัน 208 คะแนน
a , a + 11, a + 11 → 3a + 22 = 208 → a = 62 → ∑ xถูก = 15N − 12 + 21 = 15N + 9
15N + 9
∴ 16 = → N = 9 ตัว
N
ตอบ 3 + 8 + 8 = 19 ⎛ 37.5 − 30 ⎞
Med = 59.5 + 20 ⎜ ⎟ = 59.5 + 6
⎝ 25 ⎠
(19) ก. a = Medx = 5, b = X = 8 ดังนั้น ก.ผิด = 65.5
ข. ∑ x = N X = (20)(8) = 160 ดังนัน้ ข.ผิด ⎛ 10 ⎞
Mo = 59.5 + 20 ⎜ ⎟ = 59.5 + 13.33 = 72.83
(20) ∑ x + ∑ y = 9 .....(1) ⎝ 10 + 5 ⎠
∑ x − ∑ y = 7 .....(2) ∴ ∑ x = 8, ∑ y = 1
ต้องการ ∑ (xi − a)2 น้อยสุด
(22.3) X = 22 + 5 ( −20 − 12 + 9 + 8
50
) = 22 − 1.5
= 20.5
ดังนัน้ a = X =
∑x = 8/3 ⎛ 25 − 22 ⎞
N Med = 19.5 + 5 ⎜ ⎟ = 19.5 + 1 = 20.5
3
⎝ 15 ⎠
หมายเหตุ ค่า N ได้มาจากบนซิกม่า → ∑ ⎛ 3 ⎞
Mo = 19.5 + 5 ⎜
i=1 ⎟ ≈ 19.5 + 1.67 ≈ 21.17
⎝ 3+6⎠
(21.1) ∑ x2 + 2 ∑ x + ∑ 1 = ∑ x2 − 6 ∑ x + ∑ 9
⎛ −30 ⎞
8 ∑ x = ∑ 9 − ∑ 1 = 180 − 20 (22.4)X = 74.5 + 10 ⎜ ⎟ = 69.5
⎝ 60 ⎠
20
∴ ∑ x = 20 → X = = 1 ⎛ 30 − 29 ⎞
20 Med = 69.5 + 10 ⎜ ⎟ ≈ 69.98
⎝ 21 ⎠
(21.2) ∑ x2 + 2 ∑ x + 8 = 1 .....(1) ⎛ 1 ⎞
Mo = 69.5 + 10 ⎜ ⎟ ≈ 70.21
และ ∑ x2 + 4 ∑ x + 32 = 9 .....(2) ⎝ 1 + 13 ⎠
(2)-(1) ; 2 ∑ x = −16 → ∑ x = −8
→ X = −8 / 8 = −1
101 – 105 8
106 – 110 y
111 – 115 10
116 – 120 4
2 2 2 sA = = 70.4 ≈ 8.39
6 + 0 + 6 5
และ s22 = = 24
3 s 8.39
→ = = 0.27
จึงได้ s2รวม = 5(18) + 3(24) = 20.25 X 31
8 2 2 2 2 2 2
6 + 19 + 6 + 16 + 0 + 3
N(5) + N(3) sB = ≈ 116.33
(46) Xรวม = = 4 6
2N
s 10.79
N(02 + 52) + N(s22 + 32) ≈ 10.79 → = = 0.32
สูตร s2รวม 2
→ 3 +4 = 2 X 34
2N
∴ ยี่หอ
้ A คุณภาพดีกว่า (เพราะค่าการกระจาย
→ s2 = 4
น้อยกว่า)
(47) Xช = x, Xญ = y, sช = 0, sญ = 0 (52) Range = 99.5 − 49.5 = 50 คะแนน
(เพราะทุกคนอายุเท่ากันหมด) QD → หา Q3 กับ Q1 ก่อน
จะได้ Xรวม = mx + ny Q3 อยูต ่ ําแหน่งที่ 75 → Q3 = 79.5 (ขอบพอดี)
m+n
m(02 + x2) + n(02 + y2) Q1 อยูต่ ําแหน่งที่ 25 → Q1 = 64.5 (กึ่งกลางชั้น
สูตร s2รวม + X2รวม
=
m+n พอดี) ∴ QD = 79.5 − 64.5 = 7.5 คะแนน
mx2 + ny2 ⎛ mx + ny ⎞
2 2
∴ s2รวม = −⎜ ⎟ ปี
2
m+n ⎝ m+n ⎠
MD กับ SD X ก่อน
ต้องหา (59.1) 0.3686 (59.2) 0.4788
⎛ −15 ⎞
→ X = 74.5 + (10) ⎜ ⎟ = 73 คะแนน
⎝ 100 ⎠
15(18.5) + 20(8.5) + 40(1.5) + 15(11.5) + 10(21.5)
MD =
100
= 8.95 คะแนน (59.3) 0.3830 + 0.4773 = 0.8603
และ SD =
2 2 2 2 2
15(18.5) + 20(8.5) + 40(1.5) + 15(11.5) + 10(21.5)
100
= 132.75 ≈ 11.52 คะแนน
(59.4) 0.4987 − 0.4773 = 0.0214
(53) z ไทย = 48 − 45 = 0.25
12
35 − 32
zอังกฤษ = = 0.3
10
∴ อังกฤษดีกว่า (59.5) 0.5 − 0.3830 = 0.1170
(54) X = 640 = 16 ปี s = 2 ปี
40
18 − 16
→ zn = = 1 → zข = 1.5
2
s
x − 16 (60) s = 12,
= 0.24 ∴ X = 50
∴ 1.5 = ข → xข = 19 ปี X
2
65 − 50
(55) จากสมบัตวิ ่า ∑ z = 0 ดังนัน
้ x = 65 → z = = 1.25
12
x − 25
zคนสุดท้าย = 0.25 = → x = 28.25 ปี → A = 0.3944 ทางขวา
13
xก − X คิดเป็น P89.44
(56) จาก zก =
s
−5
จะได้ −1.6 = → s = 3.125 คะแนน (61) P10 → A = 0.4 ทางซ้าย
s
x − 72
60 − X → z = −1.29 =
จาก zข = 1.28 = → X = 56 คะแนน 10
3.125
xค − 56 → x = 59.1 คะแนน
∴ 2.4 = → xค = 63.5 คะแนน
3.125 (62) (เหมือนข้อที่แล้ว)
(57) เลือกใช้ 2 ช่องใดๆ คํานวณก็ได้ D3.3 → A = 0.17 ทางซ้าย
แต่ถ้าเลือก z = 0 จะง่าย เพราะได้ x = X เลย x − 80
→ z = −0.44 =
15
นั่นคือถ้า z = 0 → 0 = 60 − X → X = 60 → x = 73.4 คะแนน
s
85 − 60 (63) แปลงทุกข้อให้อยู่ในรูปเดียวกัน
และจาก 1.0 = → s = 25
s
(เช่นแปลงเป็นค่า z ก็ได้)
ดังนัน้ สัมประสิทธิ์การแปรผัน = 25/60 = 5 / 12
ก. P80 → A = 0.3 ทางขวา → z = 0.84
70 − X
(58) 1= → 70 − X = s .....(1) ข. z = 1.50
s
s
= 0.3 → s = 0.3X .....(2) ค. z = 85 − 60 = 2.5
10
X
ง. D7 คือ P70 จึงน้อยกว่า P80 ในข้อ ก. แน่นอน
แก้ระบบสมการได้ X = 53.85 คะแนน
s = 16.15 คะแนน
∴ ตอบ ค.
และ −1 = x − 53.85 → x = 37.7 คะแนน
16.15
→ A = 0.2612 ทางซ้าย
3000 5000 x
∴ คิดเป็น P23.88 (ข.ผิด) คือมีคนได้นอ
้ ยกว่า ข.
โจทย์ไม่บอกทั้ง X, s จึงต้องแก้ระบบสมการ
23.88
5,000 − X อยู่ × 500 = 119.4 คน (ค. ถูก)
A = 0.44 → z = 1.56 = .....(1) 100
s
3,000 − X
(70) 900 คน ได้ต่ํากว่า 80 คะแนน
A = 0.17 → z = −0.44 = .....(2) แปลว่า P90 = 80
s
จะได้ s = 1,000 และ X = 3,440 P90 → A = 0.4 ทางขวา
0.0227
0.4 0.4
54 67 80 x
40 70 x
พิจารณาที่ 54 คะแนน
70 − X 54 − 67
A = 0.4773 → z = 2 = .....(1) → z = = −1.3 → คิดเป็น P10
s 10
40 − X ∴ ก,ข,ค ถูก และ ง.ผิด
A = 0.3413 → z = −1 = .....(2)
s (เพราะมีผู้ได้ 54 ถึง 80 ประมาณ 800 คนพอดี)
จะได้ s = 10, X = 50
10
(71) s = 1 และ s = 3
X 4
∴ สัมประสิทธิ์การแปรผัน = = 0.2
50 ∴ X = 12 และทําให้ Med = 12 ด้วย (โค้งปกติ)
ถ้า x = 30 → z = 30 − 50 = −2
10
แสดงว่ามีนักเรียนที่
ได้คะแนนมากกว่านีอ้ ยู่
47.73 + 50 = 97.73%
-2 0 z
Q3 − Q 1 Q3 − Q1 2 → m = 2/3
(72) จาก = 2 และ =
2 Q3 + Q1 3 2
∴ Ŷ = (15) − 3 = 7 → ตอบ 7,000 บาท
จะได้ Q3 = 5, Q1 = 1 3
5+1 (81) ∑ y = k ∑ x2 → 15 = k(15) → k = 1
∴X = = 3 (ความสมมาตรของโค้งปกติ)
2 (82) ก. ผิด (ต้องรู้ X ทํานาย Y เท่านั้น)
5−3 ข. ผิด เพราะอีก 7 ครอบครัวไม่น่าจะอยู่บนเส้นตรง
พิจารณาที่ Q3 → z = 0.67 → 0.67 =
s
Y = 0.636X + 0.545 ทุกจุด หรือแบ่งฝั่งกันดึงให้
→ s = 2.985 → s2 ≈ 8.91
เส้นตรงคงอยู่ที่เดิมได้ (น่าจะดึงให้เบนไปจากเดิม)
(73) มีแนวโน้มเป็นเส้นตรง ทีต่ ดั แกน y ทางบวก (83) ก. ผิด (ต้องรู้ X ทํานาย Y เท่านั้น)
และความชันเป็นลบ จึงตอบข้อ ข. ข. ถูก ( Δy = 2 Δx = 2 (2) = 4 → 4,000 บาท)
(74) ∑ y = m ∑ x + cN .....(1)
→ 60 = 10m + 4c
(84) รู้ Y จะทํานาย X ต้องเปลีย่ นตัวแปรเป็นดังนี้
∑ x = m ∑ y + cN, ∑ xy = m ∑ y2 + c ∑ y
∑ xy = m ∑ x2 + c ∑ x .....(2)
จะได้ 15 = 30m + 5c กับ 107 = 210m + 30c
→ 200 = 30m + 10c
17 2
ได้ m = 10, c = −10 ∴ Ŷ = 10X − 10 → ∴m = ,c = −
30 5
ดังนัน้ ที่ 1.5 วินาที Ŷ = 10(1.5) − 10 = 5 เมตร ดังนัน้ X̂ = 17 Y − 2
(75) ∑ y = m ∑ x + cN → 8 = 3m + 3c 30 5
17 2
∑ xy = m ∑ x2 + c ∑ x → 4 = 5m + 3c → X̂ = (120) − = 67.6
30 5
14 ตอบ 676,000 บาท ต่อเดือน
ได้ m = −2, c =
3
14 2 14
(85) ก. รู้ Y ทํานาย X
∴ Ŷ = −2X + ⇒ − + = 4 → 10 = 22m + 4c และ 65 = 142m + 22c
3 3 3
10 5
(76) ก. แก้ระบบสมการได้ m = 1.1, c = 3.4 → m = ,c = −
21 42
Ŷ = 1.1(5) + 3.4 = 8.9 ข้อ ก. ถูก 10 5
ดังนัน้ X̂ = (10) − ≈ 4.64 ผิด
ข. เทียบสมการที่โจทย์ให้มา กับสมการปกติ พบว่า 21 42
∑ y = 28, ∑ x = 10, ∑ xy = 67, ∑ x2 = 30 ข. รู้ X ทํานาย Y
∑x 10 → 22 = 10m + 4c และ 65 = 30m + 10c
∴X = = = 2 ข้อ ข. ผิด
N 5 → m = 2, c = 0.5 ถูก
หมายเหตุ ถ้าโจทย์ให้คํานวณความแปรปรวนก็ทาํ ได้ (86)
2 x -2 -1 0 1 2
โดยใช้สูตร s2 = ∑ x − X2 = 30 − 22 = 2 y 20 30 20 40 60
N 5
(77) Δy = m Δx จาก ∑ y = m ∑ x + cN
→ Δy = 0.85 (1,000) = 850 บาท จะได้ 170 = 5c → c = 34
(78) ∑ y = m ∑ x + cN และจาก ∑ xy = m ∑ x2 + c ∑ x
→ 4a + 13 = (1.55)(0) + (5)c ..... (1) จะได้ 90 = 10m → m = 9
2
∑ xy = m ∑ x + c ∑ x คิดปี 2535 เทียบเป็นค่า X ได้ 7;
→ 3a + 22 = (1.55)(20) + (0)c .....(2) → Ŷ = 9(7) + 34 = 97
ได้ a = 3 → c = 5 (87) กําหนด X = -2, -1, 0, 1, 2 เช่นเดิม
∴ Ŷ = 1.55(4) + 5 = 11.2 จะได้ 22 = 5c → c = 4.4
(79)Y = a + 0.75X ด้วย (สมบัติของ X ) และ 18 = 10m → m = 1.8
→ 60 = a + 0.75(40) → a = 30 คิดปี 2525 เทียบเป็นค่า X ได้ 3;
∴ Ŷ = 30 + 0.75(60) = 75 ห้อง → Ŷ = 1.8(3) + 4.4 = 9.8 ล้านบาท
(80) ตัดแกน y ที่ −3 → c = −3 ดังนัน้ เฉลี่ย 6 เดือนแรก (ครึ่งปี)
9.8
จาก Y = mX + c จะได้ 5 = m(12) − 3 = = 4.9 ล้านบาท
2
¢oÊoºe¢ÒÁËÒÇi·ÂÒÅa æ¡µÒÁËaÇ¢o
ข้อสอบฉบับที่ 7
ตอนที่ 2
i2/15 ข้อที่ 15
บทที่ 1 เซต
1. นับจํานวนแบบของเซต
d2/25 f1/1 n1/1 p1/10
2. หาจํานวนสมาชิกเกี่ยวกับเพาเวอร์เซต
c1/1 d1/1 g2/1 k2/1
3. คิดชิ้นส่วนแผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ หรือโจทย์ปัญหา
c2/21 g1/1 h2/1 i2/1 j2/1 l2/4 o2/1 q2/1
บทที่ 2 ระบบจํานวนจริง
1. ทฤษฎีเศษและทฤษฎีตัวประกอบในพหุนาม
c2/10 h2/3 i2/3 n1/3 o2/3 p2/1
2. แก้สมการและอสมการ ดีกรีสองขึ้นไป หรือมีค่าสัมบูรณ์, การดําเนินการเกี่ยวกับช่วง
c2/2 d2/1 e2/2 g1/2 h2/4 i2/2 j2/2 k2/2 l1/1, 2/5 o2/2 p2/6 q2/3,24
3. ทฤษฎีจํานวนเกี่ยวกับการหารลงตัว, ห.ร.ม. และ ค.ร.น., วิธีของยูคลิด
c2/14 d1/2 e2/3 f2/2 g2/2 j1/1 k2/3 n2/1 p1/7, 2/2 q1/10
บทที่ 3 ตรรกศาสตร์
1. ค่าความจริงของรูปแบบประพจน์, ตรวจสอบการสมมูลกัน, ตรวจสอบสัจนิรันดร์
c2/3 d2/2 g1/3 h2/5 i2/5 j2/4 l2/2 o2/4 q2/6
2. การอ้างเหตุผล ... สมเหตุสมผลหรือไม่, ผลในข้อใดที่ทําให้สมเหตุสมผล
c2/4 d2/3 e2/4 f2/4 l2/3 n2/2
3. หาค่าความจริงของประโยคเปิดที่มีตัวบ่งปริมาณ, หานิเสธของประโยคเปิดที่มีตัวบ่งปริมาณ
e2/5 f2/3 h2/6 j2/3 k2/4,5 n2/3 o2/5 p2/8,9 q2/7
4. การให้เหตุผล (อุปนัย/นิรนัย)
ยังไม่เคยมีในข้อสอบ เนื่องจากเป็นเนื้อหาในหลักสูตรใหม่
บทที่ 4 เรขาคณิตวิเคราะห์
1. การสร้างสมการเส้นตรงจากสิ่งที่กําหนดให้ เช่น จุด, ความชัน, เส้นขนานหรือเส้นตั้งฉาก
c1/2 l2/11 q2/2
2. ภาคตัดกรวยสองรูป ... โดยหาส่วนประกอบจากรูปแรกเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบของอีกรูป
c2/7 d2/8,9 f2/10 i2/11,12 k2/10 n2/7,8 o2/10
3. ภาคตัดกรวยรูปเดียว … หาจุด, พื้นที่, ถามนิยาม, หรือใช้เรื่องอื่นช่วยคิดเช่น อนุพันธ์, ตรีโกณฯ
e1/1, 2/8 f2/9 g1/10,11 h2/11,12 j2/10,11 k2/11 l2/10 o1/3 p1/1, 2/4,7 q1/7,8
บทที่ 5 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน
1. นับจํานวนความสัมพันธ์จาก A ไป B, จํานวนคู่อันดับ
c2/5 f2/1
2. หาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ (อาจเป็นสมการภาคตัดกรวย), จัดรูปหา r −1
d2/4 f2/5 h2/7 i2/6 l2/8 n2/6 o2/6
3. นับจํานวนฟังก์ชันที่เป็นไปได้ ... เช่น ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B
c2/20,25 e2/21 g1/6 h2/2 i1/1 l2/1 q2/18
4. จัดรูปหา g D f , จัดรูปหา f − 1 , การใช้กราฟของฟังก์ชัน
d2/5 e1/2 f2/25 h2/8 k1/1, 2/6,7,8 l2/7 n2/5 o2/8 p2/10,13 q2/15
5. การแก้ฟังก์ชัน (มี g D f กับ f − 1 ผสมด้วย)
g1/7 i2/8 j2/8 l2/6 n1/2, 2/4 o2/7
6. หาโดเมนและเรนจ์ของ g D f , ฟังก์ชันที่มีโดเมนเป็นเซตจํานวนเต็ม
c2/26 e2/1 g1/5 h2/9 i2/7 j2/6,7 o1/1
บทที่ 6 กําหนดการเชิงเส้น
1. คิดค่าสูงสุดต่ําสุด ... อาจเป็นโจทย์ปัญหาสถานการณ์ หรืออาจมีสมการมาให้เลย
c2/13 d2/12 e2/12 f2/13 g1/15 i2/15 j2/15 l1/5 p1/4 q2/21
2. บอกค่าสูงสุดหรือต่ําสุดมาให้ แล้วให้ย้อนกลับไปหาค่าคงทีใ่ นสมการจุดประสงค์
h2/15 k2/14 n2/14 o2/13
บทที่ 7 ฟังก์ชันตรีโกณมิติ
1. พื้นฐานของตรีโกณมิติ
e2/7 g1/8 j1/2
2. แก้สมการหรืออสมการ, ใช้สูตรผลบวกผลลบ ... อาจปนเรื่องอื่น เช่น อนุกรม, ฟังก์ชัน
c2/27 d2/6 e2/6 i2/4,9,10 j2/9 n2/9 p2/15 q2/8
3. เกี่ยวกับ arc (ให้หาค่า หรือแก้สมการ)
c1/3 d2/7 e2/26 f2/8 g1/9 k1/2 l2/9 n1/4 o1/2 q2/9
4. กฎของ sin, cos (อาจติดมุมผลบวกผลลบ หรือติด arc), การหาระยะทางและความสูง
e2/9 f2/7 h2/10 k2/9 l1/2 o2/9 p1/3
บทที่ 8 ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม
1. การจัดรูปเลขยกกําลัง, ลอการิทึม, และโดเมน เรนจ์
c2/6 d1/3, 2/10,26 f2/11 j2/5 k1/3
2. แก้สมการเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม
c2/8 e1/4, 2/10 f1/2 g1/4,12,13 i2/13 j1/3 l1/3 n2/10 o1/4 p1/2 q1/1
3. แก้อสมการ
h1/1, 2/13 i1/2 j2/12 k2/12 l2/12 n2/11 o2/11 p2/14 q2/11
บทที่ 9 เมตริกซ์
1. การหา det, การแก้สมการเกี่ยวกับ det, สมบัติของ det
c2/12 e2/11 f2/12 g1/14, 2/3 h1/6 i2/14 k1/4 l1/4
2. ไมเนอร์และโคแฟกเตอร์, การใช้โคแฟกเตอร์ช่วยหา det
d1/4 e1/3 f1/3 h1/2 i1/3 n2/12 o2/12 p2/20
3. คํานวณเกี่ยวกับ adj A และ A−1
c2/11 h2/14 j2/13,14 k2/13 l2/13 n2/13 o1/5
4. การดําเนินการตามแถว และแก้ระบบสมการ
d2/11 p1/5 q2/12,13
บทที่ 10 เวกเตอร์
1. การเขียนเวกเตอร์ในรูปผลรวมของเวกเตอร์อื่น
d2/14 e2/14 g2/4 h2/17 j2/17 n2/15 o2/14 p2/25
2. การคูณแบบดอท, การหามุมระหว่างเวกเตอร์
c1/4 f2/14 g1/16 h2/16 i2/17 j2/16 k2/16 l2/14 n1/5 o1/6 q1/5
3. สูตรของขนาดเวกเตอร์ลัพธ์ (กฎของ cos)
d2/13 e2/13 f2/15 i2/16 k2/15 l1/6 p2/5
4. เวกเตอร์ในสามมิติ และการคูณแบบครอส
ยังไม่เคยมีในข้อสอบ เนื่องจากเป็นเนื้อหาในหลักสูตรใหม่
บทที่ 11 จํานวนเชิงซ้อน
1. การบวกลบคูณหาร, การยกกําลัง (เชิงขั้ว), การจัดรูปสมการ
c2/9 e2/15 f2/16 g1/17 h2/18,19 i1/4 j2/18,19 k2/17 n2/16 o2/16 p1/6
2. การถอดราก (เชิงขั้ว)
k2/18 l2/15 o2/15 p2/24
3. ค่าสัมบูรณ์, สมบัติของค่าสัมบูรณ์
d1/5 g1/18 n2/17 q1/9
4. รากคําตอบของสมการพหุนาม
d2/15 e2/16 f2/17 i2/18 l2/16 p2/12 q2/10
บทที่ 12 ทฤษฎีกราฟ
ยังไม่เคยมีในข้อสอบ เนื่องจากเป็นเนื้อหาในหลักสูตรใหม่
บทที่ 13 ลําดับและอนุกรม
1. ลําดับเลขคณิต, ลําดับเรขาคณิต, สูตรอนุกรม
g1/20 h1/3, 2/20 j1/4 k2/19 p2/11 q1/4
2. สูตรของซิกม่า, อนุกรมที่ไม่ใช่เลขคณิตหรือเรขาคณิต
d2/27 e2/17 f2/18 g1/21 n2/19 q2/14
3. ลิมิตของลําดับอนันต์ใดๆ
c2/28 i1/5 o2/17
บทที่ 14 ลิมิตและความต่อเนื่อง
1. ลิมิตของฟังก์ชัน
h1/4 k2/20 l2/17 n2/18 q2/16
2. ความต่อเนื่องของฟังก์ชัน
c2/15 d2/16 e2/18 f2/26 i2/19 j2/20 l2/18 o2/18
บทที่ 15 อนุพันธ์และการอินทิเกรต
1. หาอนุพันธ์, ความชันเส้นโค้ง, การประยุกต์ของกฎลูกโซ่
c2/16 d1/6 e1/5 f2/6 g1/19,22 h1/7 i2/20 j2/21 k2/21,22 p2/3 q2/4
2. ค่าวิกฤต, จุดสูงสุดต่ําสุด, ช่วงที่เป็นฟังก์ชันเพิ่มและลด, โจทย์ปัญหา
d2/17 f2/19 h2/21 i2/21 l2/20 n1/6 o2/19,20
3. อินทิกรัลไม่จํากัดเขต
c2/18 e2/19,25 f2/20,21 g1/23 h2/22 i2/22 j2/22 l2/19 n2/20 o1/7
4. อินทิกรัลจํากัดเขต
d2/18 h2/23 k1/5, 2/23 l2/21 n2/22 o2/21 p2/16 (q2/5 พื้นที่ใต้กราฟ)
5. พื้นที่ใต้กราฟ
c2/17 g2/5 i1/6 j1/5, 2/23 l2/22 n2/21 p2/23 q2/17
บทที่ 16 ความน่าจะเป็น
1. การนับเบื้องต้น และการเรียงสับเปลี่ยน
c2/1,19 e1/6 f2/22,23 g2/6 h2/24 k1/6 o2/22 q1/3
2. การจัดหมู่
d2/20 i2/23 j2/24 l2/23 n1/8 p1/8
3. ทฤษฎีบททวินาม
d2/19 h1/5 p1/9 q1/2, 2/25
4. ความน่าจะเป็นของการนับเบื้องต้น และการเรียงสับเปลี่ยน
c1/6 d2/21 e2/27 f1/4, 2/27 g1/25 j1/6 k2/24,25 n2/24 o2/23 p2/21,22 q2/20
5. ความน่าจะเป็นของการจัดหมู่
e2/20 g1/24,26 i2/24 j2/25 l1/7, 2/24 n2/23 o2/24 q2/19
6. สมบัติของความน่าจะเป็น
h2/25 i1/7
บทที่ 17 สถิติ
1. ค่ากลางของข้อมูล
c2/23 d2/23 h1/8 i2/26 (l1/8 p2/17 q2/23 ปนกับควอร์ไทล์) q1/6
2. ค่าการกระจายของข้อมูล ... มักจะปนกับเรื่องค่ากลางด้วย
d2/22 e2/23 f2/28 g1/28 i2/25 j2/26,27 k1/7, 2/26 n2/25 o2/26 p2/18
3. ค่ามาตรฐาน, สมบัติของค่ามาตรฐาน
h2/26 j1/7 k2/28 l2/26 n2/26 o2/25
4. การคํานวณเกี่ยวกับพื้นที่ใต้โค้งปกติ
c2/24d2/28e2/28f2/24g2/7h2/27i2/28j2/28k2/27l2/27n2/27o2/27q2/22
5. การประมาณความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชัน
c1/5 e2/22 f1/5 g1/27 i2/27 l2/25 n1/7 o1/8 p2/19
ตารางสรุป แยกตามฉบับและบทเรียน
หมายเหตุ : สําหรับข้อที่รวมเนือ้ หาหลายบทเรียนด้วยกัน จะจัดไว้ในบทเรียนที่เป็นประเด็นหลักของข้อนัน้ ๆ
ฉบับ c d e f g h i j k l n o p q
เรื่อง ต.ค. มี.ค. ต.ค. มี.ค. ต.ค. มี.ค. ต.ค. มี.ค. ต.ค. มี.ค. ต.ค. มี.ค. ต.ค. มี.ค.
41 42 42 43 43 44 44 45 45 46 46 47 47 48
เซต 1/1 1/1 -- 1/1 1/1 2/1 2/1 2/1 2/1 2/4 1/1 2/1 1/10 2/1
2/21 2/25 2/1
2/2 1/7 1/10
จํานวน 2/10 1/2 2/2 2/2 1/2 2/3 2/2 1/1 2/2 1/1 1/3 2/2 2/1 2/3
จริง 2/14 2/1 2/3 2/2 2/4 2/3 2/2 2/3 2/5 2/1 2/3 2/2 2/24
2/6
ตรรก 2/3 2/2 2/4 2/3 1/3 2/5 2/5 2/3 2/4 2/2 2/2 2/4 2/8 2/6
ศาสตร์ 2/4 2/3 2/5 2/4 2/6 2/4 2/5 2/3 2/3 2/5 2/9 2/7
เรขาคณิต 1/2 2/8 1/1 2/9 1/10 2/11 2/11 2/10 2/10 2/10 2/7 1/3 1/1 1/7
วิเคราะห์ 2/7 2/9 2/8 2/10 1/11 2/12 2/12 2/11 2/11 2/11 2/8 2/10 2/4
2/7
1/8
2/2
2/5
ความสัม 2/20 2/1 1/5 2/2 1/1 1/1 2/1 1/2 1/1
พันธ์+ 2/4 1/2
2/1 2/5 1/6 2/7 2/6 2/6 2/6
2/7 2/7 2/6 2/4 2/6 2/10 2/15
2/25 2/5 2/21 2/25 1/7 2/8 2/7 2/8 2/8 2/7 2/5 2/7 2/13 2/18
ฟังก์ชัน 2/26 2/9 2/8 2/8 2/6 2/8
กําหนด
การเชิง 2/13 2/12 2/12 2/13 1/15 2/15 2/15 2/15 2/14 1/5 2/14 2/13 1/4 2/21
เส้น
ตรีโกณ 1/3 2/6 2/6 2/7 1/8 2/4 1/2 1/2 1/2 1/4 1/2 1/3 2/8
มิติ 2/27 2/7 2/7,9 2/8 1/9 2/10 2/9 2/9 2/9 2/9 2/9 2/9 2/15 2/9
2/26 2/10
เอกซ์โพ+ 2/6 1/3 1/4 1/2 1/4 1/1 1/2 1/3 1/3 1/3 2/10 1/4 1/2 1/1
ลอการิทึม 2/8 2/10 2/10 2/11 1/12 2/13 2/13 2/5 2/12 2/12 2/11 2/11 2/14 2/11
2/26 1/13 2/12
2/11 1/4 1/3 1/3 1/14 1/2 1/3 2/13 1/4 1/4 2/12 1/51/5 2/12
เมตริกซ์ 2/12 2/11 2/11 2/12 2/3 1/6 2/14 2/14 2/13 2/13 2/13 2/12
2/20 2/13
2/14
เวกเตอร์ 1/4 2/13 2/13 2/14 1/16 2/16 2/16 2/16 2/15 1/6 1/5 1/62/5 1/5
2/14 2/14 2/15 2/4 2/17 2/17 2/17 2/16 2/14 2/15 2/14
2/25
จํานวน 1/5 2/15 2/16 1/17 2/18 1/4 2/18 2/17 2/15 2/16 2/151/6 1/9
เชิงซ้อน 2/9 2/15 2/16 2/17 1/18 2/19 2/18 2/19 2/18 2/16 2/17 2/12
2/16 2/10
2/24
ลําดับ+ 2/28 2/27 2/17 2/18 1/20 1/3 1/4
อนุกรม 1/21 2/20 1/5 1/4 2/19 -- 2/19 2/17 2/11 2/14
ลิมิต+ 2/17 2/18 2/18
ความ 2/15 2/16 2/18 2/26 -- 1/4 2/19 2/20 2/20 2/18 -- 2/16
ต่อเนื่อง
2/6 1/19 1/7 1/6 1/5 1/5 2/19 1/6 1/7 2/3 2/4
อนุพันธ์+ 2/16
2/17
1/6 1/5 2/19
2/17 2/19 1/22 2/21 2/20 2/21 2/21 2/20 2/20 2/19 2/16 2/5
อินทิเกรต 2/18 2/18 2/25 2/20 1/23 2/22 2/21 2/22 2/22 2/21 2/21 2/20 2/23 2/17
2/21 2/5 2/23 2/22 2/23 2/23 2/22 2/22 2/21
1/4 1/24 1/2
ความน่า 1/6 2/19 1/6 2/22 1/25 1/5 1/7 1/6 1/6 1/7 1/8 2/22 1/8
1/9 1/3
2/1 2/20 2/20 2/24 2/23 2/24 2/24 2/23 2/23 2/23 2/21 2/19
จะเป็น 2/19 2/21 2/27 2/23
2/27
1/26
2/6 2/25 2/24 2/25 2/25 2/24 2/24 2/24 2/22 2/20
2/25
1/5 2/22 2/22 1/5 1/27 1/8 2/25 2/26
1/7 1/7 1/8 1/7 1/8 2/17 1/6
สถิติ 2/23 2/23 2/23 2/24 1/28 2/26 2/26
2/27 2/27
2/26
2/27
2/25
2/26
2/25
2/26
2/25
2/26 2/18 2/22
2/24 2/28 2/28 2/28 2/7 2/27 2/28 2/28 2/28 2/27 2/27 2/27 2/19 2/23
เลขดัชนี 2/22 2/24 2/24 1/6 2/8 2/28 1/8 1/8 1/8 2/28 2/28 2/28 -- --
--ยกเลิก--
เนื้อหาที่ยังไม่เคยมีในข้อสอบ เนื่องจากเพิ่งเพิ่มในหลักสูตรใหม่ คือ
การให้เหตุผลแบบอุปนัย/นิรนัย, เวกเตอร์ใน 3 มิติ, ทฤษฎีกราฟ
¢oÊoºe¢ÒÁËÒÇi·ÂÒÅa µ.¤.41 ( c)
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 6 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 2 คะแนน
1. ถ้า A = {∅, 0, 1, {0}, {0, 1}} และ P (A) เป็นเพาเวอร์เซตของ A
แล้ว เซต P (A) − A มีสมาชิกกี่ตัว
3 − x2
2. กําหนดให้ A และ B เป็นเซตคําตอบของอสมการ > 0 และ 2 − x2 < 2
x +2
ตามลําดับ เซตในข้อใดเป็นสับเซตของ B−A
1. {−1.6, 1.6} 2. {−1.7, 1.7}
3. {−1.8, 1.8} 4. {−1.8, 1.7}
10. กําหนด p (x) = x6 + ax3 − x + b โดยที่ a และ b เป็นจํานวนจริง ถ้า x − 1 หาร p (x)
เหลือเศษ −1 และ x + 1 หาร p (x) เหลือเศษ 1 แล้ว x หาร p (x) จะเหลือเศษเท่ากับข้อใด
ต่อไปนี้
1. −1 2. 0 3. 1 4. 2
⎡ 1 −1⎤
11. กําหนดให้ A = ⎢ ถ้า B เป็นเมตริกซ์ที่ B = 2A −1 แล้ว
⎣2 1 ⎦
⎥
⎡ x2 − 1 y ⎤
12. ในการสร้างเมตริกซ์ในรูปแบบ ⎢ 0 2 + x⎥ แบบสุ่ม โดย x และ y เป็นสมาชิกของเซต
⎣ ⎦
{−2, −1, 0, 1, 2} ความน่าจะเป็นที่จะได้เมตริกซ์เอกฐาน มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 2 2. 3 3. 2 4. 3
25 25 5 5
14. จํานวนสมาชิกในเซต {100, 101, 102, ..., 600} ซึ่งหารด้วย 8 หรือ 12 ลงตัวเท่ากับข้อใด
ต่อไปนี้
1. 84 2. 92 3. 100 4. 125
⎧ 1
⎪ 3x + 1 ,0< x < 1
⎪⎪
15. กําหนดให้ f (x) = ⎨ 1 , x = 1
⎪2 − 5 − x
⎪ , x > 1
⎪⎩ x − 1
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. xlim
→1
f (x) = lim f (x)
−
x→1 +
ข. f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องที่ x = 1
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
16. กําหนด f เป็นฟังก์ชันที่มีอนุพันธ์ และ F (x) = (f(x))3 + 15 ถ้า F (1) = f′ (1) = 4 แล้ว
F′ (1) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 3 3. 8 4. 24
2 2
18. กําหนดให้ f เป็นฟังก์ชันซึ่ง f (2) = −1 , f′(1) = −3 , และ f′′(x) = 3 ทุกค่า x แล้ว f (0) มี
ค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 5 2. 6 3. 12 4. 15
22. ถ้าในปี 2538 นายเสริมได้รับเงินเดือน เดือนละ 16,000 บาท และในปี 2541 นายเสริมได้รับ
เงินเดือนใหม่เป็น 24,000 บาท โดยที่ดัชนีราคาผู้บริโภคของปี 2541 เทียบกับปี 2538 มีค่าเท่ากับ
125 พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้านายเสริมได้รับการปรับเงินเดือนขึ้นตามดัชนีราคาผู้บริโภค แล้วนายเสริมควรได้รับ
เงินเดือนใหม่เท่ากับ 25,000 บาท
ข. รายได้ที่แท้จริงของนายเสริมในปี 2541 เมื่อเทียบกับปี 2538 เท่ากับ 19,200 บาท
ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้อง
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
23. ข้อมูลชุดหนึ่งเรียงลําดับจากน้อยไปมากได้เป็น 10, 20, 30, 30, a, b, 60, 60, 90, 120
ถ้าฐานนิยมและมัธยฐานของคะแนนชุดนี้เป็น 30 และ 40 ตามลําดับ
แล้วข้อมูลชุดต่อไปนี้คือ 11, 22, 33, 34, a+5, b+6, 67, 68, 99, 130 มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเท่ากับ
ข้อใดต่อไปนี้
1. 50 2. 55.5 3. 60 4. 60.5
1. { x ∈ I | x เป็นจํานวนเต็มคี่ } 2. { x ∈ I | x เป็นจํานวนเต็มคู่ }
2 2
3. เซตของจํานวนเต็มคี่ทั้งหมด 4. เซตของจํานวนเต็มคู่ทั้งหมด
27. ให้ S = (−
π , π) และ F (x) = sin2 x + sin4 x + sin6 x + ... โดย x ∈ S
2 2
ถ้า a เป็นสมาชิกของเซต S ที่น้อยที่สุดที่ทําให้ F (a) < 1 แล้ว F (a) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0 2. 1 3. 1
4. 1
4 2
1. 68 2. 92 3. 150 4. 192
เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 29 (2) 0.8 (3) 3 (4) 45 (5) 850 (6) 0.2
ตอนที่ 2 (1) 3 (2) 3 (3) 2 (4) 1 (5) 3 (6) 2 (7) 1 (8) 4 (9) 4
(10) 1 (11) 3 (12) 4 (13) 3 (14) 1 (15) 2 (16) 2 (17) 4 (18) 1 (19)
4 (20) 1 (21) 4 (22) 3 (23) 2 (24) 1
ตอนที่ 3 (25) 3 (26) 1 (27) 4 (28) 4
เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 (4) หามุมระหว่าง − i + 2j กับ 3i − j ก่อนเลย
(1) P(A) มีสมาชิก 25 = 32 ตัว, โดยการดอทกัน
A มีสมาชิก 5 ตัว −1)(3) + (2)(−1) = (−1)2 + 22 32 + (−1)2 cos θ
(
1 1 A + B + C + D = 65
= = ดังนัน้ ก. ถูก
2+2 4 แต่ C + D = 15 ดังนั้น A + B = 50
1
แต่ f(1) = 1 ไม่เท่ากับ ดังนัน้ ข. ผิด ตอบ และจะได้ว่า
4
200 − H = (A + B) + E + (D + F) + G + C
1
(16) F(x)
′ = ((f(x))3 + 15)−1/ 2 ⋅ 3(f(x))2 ⋅ f′(x) 200 − 30 = 170 = 50 + 45 + 35 + 35 + C
2
แทนค่า x ด้วย 1 จะได้ จะได้C =5
1 ∴ D = 10 → F = 25
′ ) = ((f(1))3 + 15)−1/ 2 ⋅ 3(f(1))2 ⋅ f′(1)
F(1
2 หา B จาก 90 − 35 − 45 = 10 → A = 40
หาค่า f(1) จาก F (x) = (f(x))3 + 15
1. ดูทงั้ สามเรือ่ ง 10 = 0.05 ถูก
200
F (1) = (f(1))3 + 15 = 4 ดังนั้น f (1) = 1
170
1 3 2. ดูอย่างน้อยหนึ่งเรือ่ ง = 0.85 ถูก
แทนค่า F(1
′ )= (1 + 15)−1/ 2 ⋅ 3(1)2 ⋅ 4 = ตอบ 200
2 2
(17) หาจุดตัดแกน x ได้เป็น x = 1, 2 3. ดูเรื่องทีห่ นึง่ เท่านั้น 40 = 0.2 ถูก
200
วาดกราฟคร่าวๆ ได้ดงั นี้ 5 + 35 + 35
4. ดูเรือ่ งที่สาม = 0.375 ผิด ตอบ
พื้นที่เหนือแกน x เท่ากับ 200
1
(22) ก. 16,000 × 125 = 20,000 บาท
0
∫ (x2 − 3x + 2) dx 100
100
⎡ x3 3x2 ⎤
1 ข. 24,000 × = 19,200 บาท
= ⎢ − + 2x ⎥ 0 1 2 125
⎣3 2 ⎦ 0 ตอบ ก. ผิด ข. ถูก
1 3 5
= − +2 = ตารางหน่วย ตอบ
3 2 6
(23) 10, 20, 30, 30, a, b, 60, 60, 90, 120 (27) F (a) < 1 → sin2 a + sin4 a + sin6 a + ... < 1
ฐานนิยม = 30 แสดงว่า a = 30 sin2 a sin2 a − 1 + sin2 a
<1 → <0
(เพราะมี 60 อยู่สองตัว ดังนัน้ 30 ต้องมีมากกว่า 1 − sin2 a 1 − sin2 a
สองตัว) 2 sin2 a − 1
>0
มัธยฐาน = 40 = a + b ดังนั้น b = 50
→
sin2 a − 1
2
11 + 22 + 33 + 34 + ... + 120 500 + 55 แยกตัวประกอบแล้วเขียนเส้นจํานวน ได้เป็น
X = = 1 1
10 10 sin a ∈ (−∞, −1) ∪ [− , ] ∪ (1, ∞)
= 55.5 ตอบ 2 2
(24) ปี 2533; P97.73 → A = 0.4773 ทางขวา แต่เงือ่ นไขของ sin จึงได้ sin a ∈ [− 1 , 1 ] เท่านัน้
2 2
x − 2500
z = 2.0 = ดังนั้น x = 3000 กรัม
250
3000 − 3240
ปี 2540; x = 3000 → z = = − 1.2
200
→ A = 0.3849 ทางซ้าย
จะได้ P50 − 38.49 = P11.51 ตอบ −
π = a
4
(25) ใช้วิธีลบออกด้วยนิเสธ คือ จํานวนวิธีทงั้ หมด
หาก a ∈ (−
π , π) ค่า a ที่นอ้ ยทีส่ ุดคือ π
ลบด้วยวิธที ี่ “f(1)=1 และ f(2)=2 และ f(3)=3” 2 2
−
4
= (3 × 3 × 3 × 3 × 3 × 3) − (1 × 1 × 1 × 3 × 3 × 3)
π sin2(−π / 4)
= 702 วิธี ตอบ ∴ F (a) = F(− ) =
4 1 − sin2(−π / 4)
ตอนที่ 3 1/2
(26) (fog)(x) + f(x) = 2(x − 1) + 2x = 4x − 2 = = 1 ตอบ
1 − 1/2
โดย x ∈ I (28) nlim (fof′)(an) = lim f(8an7 − 6a5n )
ดังนัน้ Rfog + f = {±2, ±6, ±10, ±14, ...} ตอบ ข้อ 1. →∞
7 5 8
n→∞
7 5 6
= lim [(8an − 6an ) − (8an − 6an ) ]
n→∞
ซึ่งเราทราบว่า nlim
→∞
an = 1 ดังนัน
้
ตอบ (8 − 6)8 − (8 − 6)6 = 192
⎡ x y 0⎤
4. ถ้า A = [aij ]3 × 3 = ⎢ 1 2 0⎥ , det A = 1 และโคแฟกเตอร์ของ a21 = 3
⎢ ⎥
⎢⎣ −1 −x 1 ⎥⎦
แล้ว det (A + I) เท่ากับเท่าใด
(เมื่อ I เป็นเมตริกซ์เอกลักษณ์ขนาด 3×3)
3. พิจารณาการให้เหตุผลต่อไปนี้
ก. เหตุ 1) p → (q → r) ข. เหตุ 1) p → (q → ~ s)
2) p 2) p ∧ s
3) ~ r → q ผล q
ผล r→t
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก และ ข สมเหตุสมผล 2. ก สมเหตุสมผล แต่ ข ไม่สมเหตุสมผล
3. ก ไม่สมเหตุสมผล แต่ ข สมเหตุสมผล 4. ก และ ข ไม่สมเหตุสมผล
4. กําหนดให้ r เป็นความสัมพันธ์ในเซตของจํานวนจริง
1 − x2
โดยที่ r = {(x, y) | y = } ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1 + x2
1. Dr = [−1, 1], Dr −1 = [−1, 1] 2. Dr = [−1, 1], Dr −1 = [0, 1]
2 2
แล้ว x −y มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 5 + 7 2. 5 − 7 3. 5 7 4. 10 7
⎧ -3/2 , x < −1
⎪2x2+ x − 1
⎪
⎪ , −1 < x < 1
16. กําหนดให้ f (x) = ⎨ 2 (x + 1)
⎪ 1− x
⎪ , x > 1
⎪⎩ 1 − x
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. f ต่อเนื่องที่จดุ x = −1 ข. f ต่อเนื่องที่จุด x = 1
ข้อใดต่อไปนี้เป็นจริง
1. ก. ถูก, ข. ถูก 2. ก. ถูก, ข. ผิด
3. ก. ผิด, ข. ถูก 4. ก. ผิด, ข. ผิด
10
⎛ 4 1 ⎞
19. ถ้า a และ b เป็นสัมประสิทธิ์ของ x −2 และ x4 ของการกระจาย ⎜x − 2 ⎟ ตามลําดับ
⎝ 2x ⎠
a
แล้ว เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
b
2 1 1 4
1. − 2. − 3. − 4. −
7 2 3 15
21. ถุงใบหนึ่งมีลูกแก้วขนาดเดียวกันอยู่ 10 ลูก เป็นสีแดง 3 ลูก สีขาว 5 ลูก สีดํา 2 ลูก สุ่มหยิบ
ลูกแก้วจากถุงสองครั้งๆ ละลูกโดยไม่ใส่คืน ความน่าจะเป็นที่จะหยิบได้ลูกที่สองเป็นสีแดงเท่ากับข้อใด
ต่อไปนี้
1. 1 2. 3 3. 27 4. 33
3 10 100 100
⎧1 , x < 0
26. กําหนด f (x) = ⎨
⎩0 , x > 0
ถ้า g = {(x, y) | y = f (1 − e x) และ y > 0} แล้วข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. Dg ⊂ R 'g 2. D 'g ⊂ Rg
3. Dg ⊂ Rg ∪ [1, ∞) 4. Rg ⊂ Dg ∩ [1, ∞)
30
27. ถ้า f (x) = x − 1 แล้ว ∑ (f D f)(n2) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
n = 10
เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 7 (2) 14 (3) 1 (4) 6 (5) 0.2 (6) 0.62
ตอนที่ 2 (1) 3 (2) 1 (3) 4 (4) 2 (5) 3 (6) 1 (7) 2 (8) 2 (9) 4
(10) 3 (11) 4 (12) 1 (13) 2 (14) 4 (15) 1 (16) 1 (17) 2 (18) 3 (19) 1
(20) 2 (21) 2 (22) 3 (23) 4 (24) 4
ตอนที่ 3 (25) 2 (26) 4 (27) 3 (28) 3
เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 ตอนที่ 2
(1) A − B = {1, 2, 3, 4, 5} , (1) เส้นตรง y = mx
ตัดกับวงกลม
B − A = {{1, 2}, {3, 4, 5}} → ตอบ 7 ตัว x2 + y2 − 10x + 16 = 0
แสดงว่า
(2) จากการกระจาย จะต้องสามารถแก้ระบบสมการเพือ่ หาจุดตัดได้
(980 − p)3 = 9803 − 3(980)2(p) + 3(980)(p)2 − p3 → x2 + (mx)2 − 10x + 16 = 0
พบว่าสามพจน์หลังย่อมหาร p ลงตัวเสมอ → (m2 + 1)x2 − 10x + 16 = 0
1 − x2 (8) จัดรูปไฮเพอร์โบลา;
(4) หาโดเมน จาก y = จะได้เงื่อนไขว่า
1 + x2 16 (x2 − 4x + 4) − 9y2 = 80 + 64
2 2
1− x > 0 (เพราะตัวส่วน 1+ x > 0 อยู่แล้ว) (x − 2)2 y2
→ − = 1
2
ดังนัน้ x < 1 → −1 < x < 1 ∴ Dr = [−1, 1] 9 16
หาเรนจ์ (เพราะ Dr = Rr ) −1
จุดศูนย์กลาง (2, 0) , อ้อมแกน x,
1 − x2
ระยะโฟกัส c = 9 + 16 = 5
จัดรูป y2 = → y2 + x2y2 = 1 − x2 จุดโฟกัสคือ (−3, 0) กับ (7, 0)
1 + x2
1 − y2 และจุดปลายแกนสังยุคคือ (2, 4) , (2, −4)
→ x2 + x2y2 = 1 − y2 → x2 =
1 + y2 (2,4)
2
1− y
ดังนัน้ เงือ่ นไขคือ >0 → 1 − y2 > 0 (-3,0) O (2,0) (7,0)
1 + y2
นั่นคือ y2 < 1 → −1 < y < 1
แต่อย่าลืมว่ามีการยกกําลังสองเอง ต้องมองเงื่อนไข (2,-4)
รู้ทในโจทย์ คือ y > 0 เท่านัน้ ∴ Dr = [0, 1] (x − 2)2 (y)2
−1 ∴ สมการวงรีคอื + = 1
25 16
ตอบ ข้อ 2. → 16x2 − 64x + 25y2 − 336 = 0 ตอบ
(5) f(x) = x (y > 0) กลายเป็น
(9)
f −1(x) = x2 (x > 0)
(0,1) (3,1) (5,1)
f(x)
f-1(x)
จาก a = 3, c = 2 จะได้ b = 9 − 4 = 5
ดังนัน้ A = {x ∈ R | x2 + x − 2 = 0} = {1, −2 } → แกนโทยาว 2 5 หน่วย
( x = −2 ไม่ได้ เพราะจาก f −1 นัน้ ต้อง x > 0 ) ∴ สมการวงกลม คือ (x + 2)2 + (y − 1)2 = (2 5)2
สรุปว่า A = {1} → x2 + y2 + 4x − 2y − 15 = 0 ตอบ
2
ก. 1 − 1 − 6 ≠ 0 เท็จ หมายเหตุ ในข้อสอบพิมพ์คาํ ตอบผิดเป็น
ข. 12 + 2 − 3 = 0 จริง ดังนัน้ ตอบ ข้อ 3. x2 + y2 − 4x − 2y − 15 = 0 ข้อนี้จงึ ให้คะแนนฟรี
1
(6) ยุบอนุกรมเรขา → = a (10) จัดรูปสมการแรกเป็น xlog 9 + ylog 4 = 16 3 2
1 − cos2 θ
→ x2 + y2 = 16 .....(1)
นั่นคือ cos2 θ = ⎛⎜ a − 1 ⎞⎟
⎝ a ⎠ สมการสอง log3 x + log3 y = log3 9 − log3 2
โจทย์ถาม cos(π − 2θ) sin( − 2θ)π → xy = 9 / 2 หรือ 2xy = 9 .....(2)
2 2
(1)+(2) จะได้ x + 2xy + y2 = 25
= [− cos(2θ)] ⋅ [cos(2θ)] = − cos2 2θ
⎡ ⎛ a − 1⎞ ⎤
2 และ (1)–(2) จะได้ x2 − 2xy + y2 = 7
2 2
= − (2 cos θ − 1) = − ⎢2 ⎜ ⎟ − 1⎥ ∴ โจทย์ถาม |x2 − y2 | = |(x + y)(x − y)|
⎣ ⎝ a ⎠ ⎦
⎛ a −2⎞
2 = 25 ⋅ 7 = 5 7 ตอบ
= −⎜ ⎟ ตอบ
⎝ a ⎠ (11) หา x 1 ด้ ว ยกฎของคราเมอร์
(7) cos (2 arcsin x) = −2 (1 − 2 sin2(arccos x)) 0 2 1 1 2 1
x1 = 5 1 −2 ÷ 3 1 −2
ให้ A = arcsin x, B = arccos x 9 −3 −3 2 −3 −3
จะได้ cos 2A = −2 cos 2B −9 + 30 − 15 − 36
= = 3
→ 1 − 2 sin2 A = −2 (2 cos2 B − 1) −2 + 18 − 6 − 3 − 9 − 8
→ 1 − 2x2 = −2 (2x2 − 1) → 2x2 = 1 3 + y 6⎤
∴ A = ⎡⎢ 3 y ⎥⎦ เป็นเมตริกซ์เอกฐาน
⎣
1 1
x = หรือ − ตรวจคําตอบพบว่าใช้ได้ทงั้ คู่ แสดงว่า |A | = 0 = 3y + y2 − 18 → y = 3, −6
2 2
∴ ผลคูณ = −1 / 2 ตอบ ผลบวกคําตอบคือ −3 ตอบ
0.1587
0.3413
จะได้ a = 600 ดังนั้น IL คํานวณได้จาก
400(300) + 450(220) + 600(200) + 950(150) 64 80 x
× 100
400(300) + 500(220) + 600(200) + 1,000(150)
= 0.5 − 0.1587 = 0.3413 ทางขวา
พื้นที่
= 96.30 ตอบ 80 − 64
จะได้ z = 1 → 1= → s = 16
ตอนที่ 3 s
(25) X ⊂ A และ X ⊄ B;
สัมประสิทธิ์การแปรผัน = s = 16 = 0.25
A = { 5, 6, 7, 8, ..., 15 , 16, 17, 18, 19, 20} , X 64
¢oÊoºe¢ÒÁËÒÇi·ÂÒÅa µ.¤.42 (e )
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 6 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 2 คะแนน
1. พื้นที่ของสามเหลี่ยมที่มีจุดยอดเป็น จุดกําเนิด และจุดโฟกัสทั้งสองของวงรี
x2 + 2y2 + 4x − 4y − 2 = 0 เท่ากับเท่าใด
2
2. ถ้า f (x) = 4x และ g(x) = แล้ว
x−1
ค่า x ที่ทําให้ (f D g)(x) = (g D f)(x) เท่ากับเท่าใด
ผลบวกของสมาชิกทั้งหมดของ A มีค่าเท่ากับเท่าใด
u (x)
5. ให้ u และ v เป็นฟังก์ชันของ x โดยที่ v (x) = x2 − 2x และ f (x) =
v (x)
และ u (3) = −9 , u(3)
′ = 3 แล้ว ค่าของ f′(3) เท่ากับเท่าใด
4. พิจารณาการอ้างเหตุผลต่อไปนี้
ก. เหตุ 1) p → (q → ~ r) ข. เหตุ 1) (p ∧ q) → r
2) q 2) ~ (r ∨ s)
3) r 3) p
ผล p ผล ~q
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก และ ข สมเหตุสมผล 2. ก สมเหตุสมผล แต่ ข ไม่สมเหตุสมผล
3. ก ไม่สมเหตุสมผล แต่ ข สมเหตุสมผล 4. ก และ ข ไม่สมเหตุสมผล
5. เอกภพสัมพัทธ์ U ที่กําหนดในข้อใดต่อไปนี้ที่ทําให้ประโยค
2
∃x [ 2x + x − 1 < 0 ∧ x2 − 4x + 4 < 3 ] มีค่าความจริงเป็นจริง
1. U = เซตของจํานวนเต็มบวกคู่ 2. U = เซตของจํานวนเต็มบวกคี่
3. U = เซตของจํานวนเต็มลบคู่ 4. U = เซตของจํานวนเต็มลบคี่
⎡ x 5 −1 ⎤
11. กําหนดให้ A = ⎢0 4 −2⎥ โดยที่ det A = −1 และ x เป็นจํานวนจริง
⎢ ⎥
⎢⎣0 0 −x ⎥⎦
ถ้า I เป็นเมตริกซ์เอกลักษณ์ขนาด 3×3 แล้ว det (2 (I − A) A t) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 4 2. 8 3. 12 4. 18
16. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้า A = { x ∈ R | (1+i) x3 + (1+2i) x2 − (1+i) x − (1+2i) = 0 } แล้ว A ⊆ [−1.5, 1.5]
x3− x2− 4x + 4
18. กําหนดให้ f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่อง โดยที่ f (x) = เมื่อ x ≠ ±2
4 − x2
และ f (2) = a, f (−2) = b แล้ว a และ b เป็นจริงตามข้อใดต่อไปนี้
1. a = 1, b = −3 2. a = 1, b = 3
3. a = −1, b = −3 4. a = −1, b = 3
x + 7⎞
26. กําหนดให้ f (x) = π ⎛⎜ ⎟ เมื่อ −3 < x < 3 และ f (x + 6) = f (x) ทุกๆ x ∈ R
⎝ 24 ⎠
ถ้า g(x) = A + arcsin x โดยที่ A ∈ [0, π] และ cos A = 2/ 5
แล้วค่าของ (g−1 D f)(5) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 1 3. −1
4. −1
10 5 5 10
27. กล่องใบหนึ่งบรรจุขนมชั้น 24 ชิ้น แต่ละชิ้นมี 4 ชั้นๆ ละสี ซึ่งมีสีเขียว ขาว แดง เหลือง และ
การเรียงลําดับสีของแต่ละชิ้นทั้ง 24 ชิ้นแตกต่างกันหมด ถ้าหยิบขนม 1 ชิ้นจากกล่องนี้โดยสุ่ม แล้ว
ความน่าจะเป็นที่ชิ้นที่หยิบได้มีสองชั้นบนไม่ใช่สีแดงและไม่ใช่สีเหลืองเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 1 3. 1 4. 1
24 12 6 4
เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 2 (2) 0.2 (3) 15 (4) 1 (5) 5 (6) 432
ตอนที่ 2 (1) 4 (2) 4 (3) 2 (4) 3 (5) 4 (6) 2 (7) 2 (8) 1 (9) 1
(10) 2 (11) 4 (12) 2 (13) 2 (14) 2 (15) 3 (16) 1 (17) 1 (18) 4 (19)
3 (20) 4 (21) 3 (22) 3 (23) 4 (24) 3
ตอนที่ 3 (25) 1 (26) 1 (27) 3 (28) 1
เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 ⎡• • • ⎤
(3) สมมติ A = ⎢• • • ⎥
(1) จัดรูปสมการ ⎢⎣• • • ⎥⎦
(x2 + 4x + 4) + 2 (y2 − 2y + 1) = 2 + 4 + 2
⎡• • •⎤
→ (x + 2)2 + 2 (y − 1)2 = 8 จาก M13 จะได้ A = ⎢ −1 3 •⎥
⎢⎣ 1 2 •⎥⎦
(x + 2)2 (y − 1)2
→ + = 1
8 4 ⎡ • −1 1 ⎤
จาก M21 จะได้ A = ⎢ −1 3 • ⎥
เป็นวงรีตามแกน x จุดศูนย์กลาง (−2, 1) ⎢⎣ 1 2 4⎥⎦
ระยะโฟกัส c = 8 − 4 = 2 ⎡ 2 −1 1 ⎤
∴ จุดโฟกัสคือ (−4, 1) และจาก M32 จะได้ A = ⎢ −1 3 0 ⎥
2 2 ⎢⎣ 1 2 4⎥⎦
กับ (0, 1) 1
det(A) = −3 − 4 + 24 − 2 = 15 ตอบ
32x + 3 10(3x − 1/ 2 )
1
(4) จาก 5 = 5
พื้นที่ Δ = ×4×1= 2 ตร.หน่วย ตอบ
2 เอาฐาน 5 เท่ากันออก จะได้ 32x + 3 = 10(3x − 1/ 2)
⎛ 2 ⎞
(fog)(x) = (gof)(x) → 4 ⎜
(2) ⎟ =
2 ให้ 3x = A จะได้ A2 + 3 = 10 A
⎝ x − 1⎠ 4x − 1 3
8 2 → 3A2 − 10A + 3 3 = 0
→ = → 8 (4x − 1) = 2 (x − 1)
x−1 4x − 1 → ( 3A − 1)(A − 3 3) = 0
→ 30x = 6 ดังนั้น x = 0.2 ตอบ
1 ก็จะได้ผลสรุปคือ ~p
ดังนัน้ A = หรือ 3 3
3
1 3
แต่ผลที่ให้มาในโจทย์คือ p ตรงข้ามกับผลที่เราได้
− 1 3 ดังนัน้ ข้อ ก. ไม่สมเหตุสมผล
→ 3x = 3 หรือ 32 จะได้
2 x = − ,
2 2
ข. จากเหตุ 2 คือ ~r ∧ ~ s สามารถแยกข้อเป็นเหตุ
ตอบ ผลบวกคําตอบคือ 1
~r และเหตุ ~ s ได้
(5) f′(3) = v(3)u(3)
′ − u(3)v′(3)
2
[ v(3)] นําเหตุ ~r ไปรวมกับเหตุ 1 คือ (p ∧ q) → r จะ
(3)(3) − (−9)(2(3) − 2) ได้ผลเป็น ~ (p ∧ q) ก็คอื ~p ∨ ~ q ก็คอื p → ~ q
= = 5 ตอบ
(3)2 ดังนัน้ เมื่อรวมกับเหตุ 3 คือ p ก็จะได้ผลสรุป ~ q
(6) มองเป็นกลุ่มละ 3 คน ข้อ ข. จึงสมเหตุสมผล ตอบ ข้อ 3.
จํานวน 3 กลุ่ม 2
(5) จาก 2x + x − 1 < 0 → (2x − 1)(x + 1) < 0
จะได้ −1 < x < 1/2
สลับวงกลม (ภายนอก) ได้ 2! แบบ และจาก (x − 2)2 < 3 → | x − 2| < 3
สลับกันเองภายในแต่ละกลุ่ม ได้ 3! แบบ → −3 < x − 2 < 3 จะได้ −1 < x < 5
ดังนัน้ ตอบ 2 ! × (3 !)3 = 432 วิธี นํามาอินเตอร์เซคชันกัน (เพราะเชื่อมด้วย “และ”)
ตอนที่ 2 จะได้วา่ โจทย์กลายเป็น ∃x [−1 < x < 1/2]
(1) หา Dg ก่อน จากเงือ่ นไขรู้ท ดังนัน้ ตอบ ข้อ 4. (เพราะมี x = −1 ที่ใช้ได้)
x2 − 1 > 0 → (x − 1)(x + 1) > 0 (6) ก. h(x) = arcsin(cos x)
ดังนัน้ B = Dg = (−∞, −1] ∪ [1, ∞) โดเมนเป็นจํานวนจริงใดๆ ถูก
ต่อมา หา Dgof จาก (gof)(x) = (f(x))2 − 1 เพราะไม่ว่า x เป็นเท่าใดก็หา cos x ได้เสมอ และไม่
ว่า cos x จะมีคา่ เท่าใด ก็ยังหา arcsin ได้เสมอ..
แสดงว่า f(x) ต้องอยู่ในช่วง (−∞, −1] ∪ [1, ∞)
ต่อมาพิจารณา g (π − h(x)) = cos (π − h(x))
กรณีซ้าย x < −1 → x + 1 − x < 0 2 2
1− x 1− x = sin[h(x)] = sin(arcsin(cos x)) = cos x = g(x)
1
→ > 0 จะได้ x > 1 ก็ถูกเช่นกัน
x−1
ข. h เป็นฟังก์ชนั หนึ่งต่อหนึ่ง ผิด
กรณีขวา x > 1 → x − 1 + x > 0 เพราะ x ที่ตา่ งกันสามารถให้คา่ h(x) ที่เหมือนกันได้
1− x 1− x
→
2x − 1
< 0 จะได้ 1/2 < x < 1
เช่น x = 0 h(x) = arcsin(cos 0) = arcsin 1 = π/2
x−1 x = 2π h(x) = arcsin(cos 2π) = arcsin 1 = π /2
ดังนัน้ A = Dgof = [1/2, 1) ∪ (1, ∞) สรุปว่า ก. ถูก ข. ผิด ตอบ ข้อ 2.
และจะได้ A ∪ B ' = (−1, 1) ∪ (1, ∞) ตอบ (7) 5 − 3 sin 3A มากที่สดุ แสดงว่า sin 3A
(2) A; −4 < x − 2 < 4 → −2 < x < 6 จะต้องน้อยที่สดุ นั่นคือ sin 3A = −1
B; นํา x2 คูณสองข้าง (โดยที่ x ≠ 0 ) พิจารณาในช่วง 0 < 3A < 4π จะได้ว่า
3π 7π π , 7π
จะได้ 15 − 8x + x2 > 0 → (x − 3)(x − 5) > 0 3A = , → A =
2 2 2 6
→ x < 3, x > 5, x ≠ 0
∴ cos A = 0, − 3 /2 ตอบ ข้อ 2.
∴ A ∩ B = (−2, 0) ∪ (0, 3) ∪ (5, 6) ตอบ
(8) จัดรูปพาราโบลา;
(3) จาก 40 = 23 × 5 (x2 − 12x + 36) = −4y − 52 + 36
ห.ร.ม. ของ x กับ 40 เท่ากับ 5 แสดงว่า → (x − 6)2 = 4(−1)(y + 4) → c = −1
ใน x ต้องมี 5 อยู่ และต้องไม่มี 2 อยู่
สรุปว่า x เป็นเลขคี่ ที่หาร 5 ลงตัว นั่นเอง เป็นพาราโบลาคว่ํา, จุดยอดอยูท่ ี่ (6, −4)
ได้แก่ 5, 15, 25, 35, ..., 395 รวม 40 จํานวน ตอบ จุดโฟกัสอยู่ที่ (6, −5)
(4) ก. จากเหตุ 1 คือ p → (q → ~r) → จัดรูปวงกลม;
(x2 + 4x + 4) + (y2 − 6y + 9) = −11 + 4 + 9
จัดรูปใหม่ได้ว่า q → (p → ~r)
→ (x + 2)2 + (y − 3)2 = 2
นําไปรวมกับเหตุ 2 คือ q จะได้เป็น p → ~r
∴ จุดศูนย์กลาง (−2, 3) , รัศมี 2 หน่วย
จากนั้นนําผลที่ได้ไปรวมกับเหตุ 3 คือ r อีก
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 433 ขอสอบเขาฯ ต.ค.42
จุด (0, 5)
กําไร = 15 บาท (5,5)
C(-2,3) (5, 5) กําไร = 125 บาท
A 5
F(6,-5) (6, 4) กําไร = 120 บาท (6,4)
(8, 0) กําไร = 80 บาท
→ ระยะ AF = CF − CA = 82 + 82 − 2 ดังนัน้ ตอบ 125 บาท O 8 10
= 8 2 − 2 = 7 2 หน่วย ตอบ (13) จาก |u + v | = 37 จะได้
(9) |u|2 + |v |2 + 2|u|| v | cos 60D = 37
B
θ นั่นคือ |u|2 + |v |2 + |u||v | = 37 .....(1)
และจาก |u − v | = 13 จะได้
α β
A O C |u|2 + |v |2 − |u||v | = 13 .....(2)
สมการ (1)+(2) หาร 2; |u|2 + |v |2 = 25
tan α = 1 → tan ABC ˆ = 1
สมการ (1)-(2); 2 |u||v | = 24
tan β = 2 → tan OBC ˆ = 1
2 บวกกันได้ |u|2 + 2|u||v | + | v |2 = 25 + 24 = 49
ˆ − OBC)
ดังนัน้ tan θ = tan (ABC ˆ → (|u| + |v |)2 = 49 → |u| + |v | = 7 ตอบ
1 − 1/2
=
1 (เป็นค่าบวกเสมอ เพราะเป็นขนาดเวกเตอร์)
1 + (1)(1/2) 3 (14) A ˜ ˜
m1 − m2 2−1 1 | OD | = |OA |cos θ
หรือ คิดจากสูตร tan θ = = =
1 + m1m2 1+2 3
1 10 θ
โจทย์ถาม sec2 θ = tan2 θ + 1 =
+1= ตอบ O
9 9 D B
6
(10) ให้ A = log3 x จะได้ A + = 5
A → หาได้จาก ˜ OB ⋅ ˜
OA = |˜
OB ||˜
OA | cos θ
→ A2 − 5A + 6 = 0 → A = 2, 3
จะได้ (5)(3) + (−2)(4) = 29 |˜
OA | cos θ
→ x = 9, 27 ∴ a = 9, b = 27 ˜
∴ | OA | cos θ = 7/ 29
หาจํานวนในช่วง [9, 27] ทีห่ าร 3 ลงตัว ˜
OD คือเวกเตอร์ขนาด 7/ 29 หน่วย ในทิศ ˜ OB
ได้แก่ 9, 12, 15, 18, 21, 24, 27 ตอบ 7 จํานวน ˜ ˜
ทํา OB ให้เหลือ 1 หน่วยได้เป็น OB 5 i − 2 j
(11) det A = −1 = −4x2 ∴ x = 1 หรือ − 1 =
2 2 |˜
OB | 29
โจทย์ถาม det(2(I − A)A t) = 23 det(I − A) det(A)
∴˜
7 ⎛ 5i − 2j ⎞ 7
OD = ⎜ ⎟ = (5 i − 2 j) ตอบ
= −8 det(I − A) 29 ⎜⎝ 29 ⎟
⎠ 29
ดังนัน้ ต้องหาค่า det(I − A) ก่อน 2π 34π
(15) z = 4∠ → z17 = 417 ∠
3 3
1 ⎡1/2 5 −1 ⎤
กรณี x = → A = ⎢ 0 4 −2 ⎥ 34π 4π
2
→ ซึ่ง = 10π + ∴ อยู่ใน Q3 ตอบ
⎢⎣ 0 0 −1/2⎥⎦ 3 3
⎡1/2 −5 1 ⎤ (16) ก. จัดรูปสมการ
9
→ I − A = ⎢ 0 −3 2 ⎥ → det(I − A) = − (1 + i) x [x2 − 1] + (1 + 2i)[x2 − 1] = 0
⎢⎣ 0 0 3/2⎥⎦ 4
→ [(1 + i) x + (1 + 2i)] ⎡⎣x2 − 1⎤⎦ = 0
⎡3/2 −5 1 ⎤
กรณี x = − 1 → I − A = ⎢ 0 −3 2 ⎥ แต่ x ∈ R เท่านัน้ ดังนั้น x = 1, −1 ถูก
2 ⎢⎣ 0 0 1/2⎥⎦
9
ข. |z6 | = |z|6 = 1 i = 1
8 8
→ det(I − A) = − เช่นกัน
4 1 1
→ |z| = |z| = 6 = ถูก ดังนัน้ ตอบ ข้อ 1.
ดังนัน้ คําตอบคือ = −8 (− 9) = 18 ตอบ 8 2
4
(17) พจน์ที่ m → m − 2 = 38 ∴ m = 40
(12) กําไร = 10x + 15y สังเกตดี ๆ เป็นอนุกรมเลขคณิต (เพราะ n กําลัง 1)
จากบริเวณที่แรเงาในกราฟ จะได้ว่า
ใช้สูตร Sn = n (a1 + an)
2
40 ⎛ 1 − a 1 + 38 a ⎞ 15,000
∴ S40 = ⎜ + ⎟ (24) ดัชนีปี 40 เทียบ 38 = × 100 = 120
2 ⎝ 1− a 1− a ⎠ 12,000
f(−2) = lim f(x) = −(−2) + 1 = 3 ตอบ ข้อ 4. จากกฎลูกโซ่ (fog)′ (x) = f′(g(x)) ⋅ g(x)
′
x → −2
→ 30x = f′(g(x)) ⋅ (3x2 + 2)
(19) f(x) = ∫ (3x2 − 12x + 9) dx
เราต้องการ f′(5) จึงต้องให้ g(x) = 5 พบว่าควร
= x3 − 6x2 + 9x + C → ผ่าน (0, 2) ∴ C = 2
แทน x ด้วย 1 (ใช้วิธีเดาเอาเพราะแก้ยาก)
→ หาค่าสูงสุด f′(x) = 3x2 − 12x + 9 = 0
ได้เป็น 30 ⋅ 1 = f′(5) ⋅ (3 + 2)
ดังนัน้ x = 1, 3 ∴ f′(5) = 30/5 = 6 ตอบ
ซึ่ง f(1) = 1 − 6 + 9 + 2 = 6 , −1 −1
(26) (g of)(5) = g (f(5))
และ f(3) = 27 − 54 + 27 + 2 = 2 ∴ ตอบ 6 แทน x = 5 เลยยังไม่ได้ เพราะนิยามแค่
(20) คําว่า “มี” คิดยาก เพราะมีได้หลายกรณี (กี่ −3 < x < 3 จึงต้องใช้วิธล ี ดค่า ตามสมการ
คนก็ได้) จึงควรใช้วิธีลบออก
f(x + 6) = f(x) → พบว่า f(−1) = f(5)
คือวิธีทงั้ หมด – วิธีที่ “ไม่มี” (แปลว่าถนัดขวาล้วนๆ)
6π π
⎛8⎞ ∴ g−1(f(5)) = g−1(f(−1)) = g−1( ) = g−1( )
⎜5⎟ 8!5! 7! 92 24 4
= 1− ⎝ ⎠ = 1− = ตอบ π
⎛ 12 ⎞ 5 ! 3 ! 12 ! 99 → จาก g(x) = A + arcsin x จะหา g−1( )
⎜5⎟ 4
⎝ ⎠
(21) n(A ∪ B) = 4 , n(A × B) = 3 × 2 = 6 คือ หาค่า x ที่ทาํ ให้ A + arcsin x =
π
4
ตอบ 6 × 5 × 4 × 3 = 360 ⎛ π ⎞ π π
→ x = sin ⎜ − A ⎟ = sin cos A − cos sin A
(22) จาก ∑ y = m ∑ x + c N ⎝4 ⎠ 4 4
จะได้ 4a + 13 = 1.55(0) + 5c .....(1) ⎛ 1 ⎞⎛ 2 ⎞ ⎛ 1 ⎞⎛ 1 ⎞ 1
= ⎜ ⎟⎜ ⎟−⎜ ⎟⎜ ⎟ = ตอบ
และจาก ∑ xy = m ∑ x2 + c ∑ x ⎝ 2⎠⎝ 5⎠ ⎝ 2⎠⎝ 5⎠ 10
s 481.44 ตอบ ข้ อ 1.
สัมประสิทธิ์การแปรผัน = = = 0.56
X 38.9
ดังนัน้ ก. ผิด และ ข. ผิด ตอบ ข้อ 4.
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 435 ขอสอบเขาฯ มี.ค.43
⎡ 5 4 6⎤
⎡C (A) C23(A)⎤
3. ถ้า A = ⎢ −2 0 7 ⎥ และ B = ⎢ 13 แล้ว det (B−1) มีค่าเท่ากับเท่าใด
⎢ ⎥ ⎣ 3 2 ⎥⎦
⎣⎢ 1 2 0⎥⎦
5. ถ้าให้สมการที่ใช้แทนความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันที่ใช้สําหรับการประมาณจํานวนห้องพักที่มีแขกมา
พักจริง (แทนด้วย y ) จากจํานวนห้องพักที่มีการจองล่วงหน้า (แทนด้วย x ) คือ y = a + 0.75x
โดยที่ x = 40 และ y = 60
ถ้า x = 60 แล้ว จํานวนห้องพักที่มีแขกมาพักจริง โดยประมาณเท่ากับเท่าใด
4. กําหนดให้ 1) ~ p → ~ q
เหตุ 3) q∨ t
2) p → (r ∨ s) 4) ~t
ผลในข้อใดต่อไปนี้ทําให้การอ้างเหตุผลนี้ สมเหตุสมผล
1. s → r 2. s →~r
3. r → ~ s 4. ~r →s
1
5. กําหนดให้ r = {(x, y) | y = 9 − x2 } และ s = {(x, y) | y = }
2
x −9
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. Dr ∩ Rs = ∅ −1 ข. Rr ∪ Ds−1 = (0, ∞)
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
7. ถ้าสามเหลี่ยม ABC มีมุม BAC = 45° , มุม ACB = 60° และด้าน AC ยาว 20 นิ้ว แล้ว
พื้นที่ของสามเหลี่ยม ABC มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 300 2 ตารางหน่วย 2. 300 3 ตารางหน่วย
3+1 3+1
200 2 200 3
3. ตารางหน่วย 4. ตารางหน่วย
3+1 3+1
⎛1 3 3 ⎞ ⎛1 4 4 ⎞
8. sec ⎜ (arcsin + arccos )⎟ + tan ⎜ (arcsin + arccos )⎟ มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
⎝2 5 5 ⎠ ⎝2 5 5 ⎠
1. 2 2. 3 3. 1+ 2 4. 2+ 3
3 + 3 27
11. log3 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
( 3 +5 3 + 6)
3 1
1. − log3(3 1/ 4 + 2) 2. − log3(3 1/ 2 + 2)
4 4
3 1 1 1
3. − log3 19 4. − log3 19
4 4 4 4
14. ให้ u = i + 3 j , v = 2 i + j
ถ้า θ เป็นมุมระหว่าง (u + v) และ (u − v) แล้ว cos θ มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 2
3. 1 4. 2
5 5 5 5
16. ถ้า z1 = cos 12° + i sin 12° และ z2 = − cos 16° − i sin 16°
15
⎛ z1 ⎞
แล้ว ⎜ ⎟ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
⎝ z2 ⎠
−1 + 3 i 1+ 3 i − 3 +i − 3 −i
1. 2. 3. 4.
2 2 2 2
18. ถ้าลําดับเลขคณิต a1, a2 , a3 , ... มีพจน์ที่ 10 และพจน์ที่ 15 เป็น −19 และ −34
20
ตามลําดับ แล้ว ∑ (a i + 2 i) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
i=1
1. −30 2. −15 3. 10 4. 20
19. กําหนดให้ f (x) = x3+ cx2− 9x เมื่อ c เป็นจํานวนจริง ถ้าค่าวิกฤตค่าหนึ่งของ f คือ 1 แล้ว
f เป็นฟังก์ชันลดในเซตใดต่อไปนี้
1. (−3, 1) 2. (−∞, −3) ∪ (1, ∞)
3. (−1, 4) 4. (−∞, −1) ∪ (4, ∞)
20. ให้ F เป็นปฏิยานุพันธ์ของ f โดยที่ f (x) = 3x2− 6x + 3 ถ้า F (0) = −1 และ F มีค่าสูงสุด
สัมบูรณ์ในช่วง [0, 2] ที่จุด x = c แล้ว F (c) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −1 2. 0 3. 1 4. 2
⎧ x2 , x > 1
⎪
26. ถ้า f (x) = ⎨x − 1 , 0 < x < 1
⎪0 , x < 0
⎩
⎡ f (x − 1)⎤
แล้ว lim f (x2) + lim+ ⎢ ⎥ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
x → 0− x→1
⎣ x+2 ⎦
4 1
1. − 2. −1 3. 0 4.
3 3
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ข้อมูลชุดนี้มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตน้อยกว่าค่ามัธยฐาน
2. ผลรวมของข้อมูลชุดนี้ทั้งหมดเท่ากับ 100
3. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูลชุดนี้มีค่าเท่ากับ 5
4. สัมประสิทธิ์ของการแปรผันของข้อมูลชุดนี้มีค่าเท่ากับ 50%
เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 128 (2) 0.25 (3) 0.1 (4) 0.75 (5) 75 (6) 1080
ตอนที่ 2 (1) 2 (2) 3 (3) 3 (4) 4 (5) 2 (6) 1 (7) 4 (8) 3 (9) 4
(10) 3 (11) 1 (12) 4 (13) 2 (14) 1 (15) 2 (16) 1 (17) 4 (18) 3 (19) 1
(20) 3 (21) 1 (22) 3 (23) 4 (24) 2
ตอนที่ 3 (25) 2 (26) 1 (27) 4 (28) 4
เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 (5) Y = a + 0.75X ด้วย
(1) B = {0, ±1, ±4, ±9, ±16} → n(B) = 9 → 60 = a + 0.75(40) → a = 30
จํานวนแบบของ C ⊂ B โดย 0 ∈ C และ 1 ∉ C ∴ Ŷ = 30 + 0.75 X → ถ้า x = 60 จะได้
มีตัวอิสระให้เลือก 7 ตัว ตอบ 27 = 128 Ŷ = 30 + 0.75(60) = 75 ห้อง ตอบ
x x
(2) 23x − 1 ⋅ 255x − 1 = ⎛⎜ 75 ⎞⎟ = ⎛⎜ 25 ⎞⎟ (6) ปี 2536 ได้ 900 บาท
⎝ 6 ⎠ ⎝ 2 ⎠
→2 4x − 1 4x − 1
⋅ 25 = 1 → (50) 4x − 1
= 1
คิดเป็นรายได้แท้จริง 900 × 100 = 1,000 บาท
90
→ 4x − 1 = 0 → x = 0.25 ตอบ ∴ ปี 2537 มีรายได้แท้จริง 1,000 บาทด้วย
(3) −2 0 54
C13(A) = 1 2 = −4, C23(A) = − 1 2 = −6 คิดเป็นตัวเงิน 1,000 × 108 = 1,080 บาท ตอบ
100
4 ∗ 3 = 0, 4 ∗ 4 = 4, 4 ∗ 5 = 2 ฉะนั้นกฎของไซน์จะเป็นดังนี้
sin 60° sin 75° 20 ( 3 /2)
4 ∗ 6 = 0, 4 ∗ 7 = 4 = → AB =
AB 20 ⎛ 3 + 1⎞
ตอบ ก. ผิด ข. ถูก ⎜⎜ ⎟⎟
⎝ 2 2 ⎠
(3) ~ ∃x [P(x) ∧ ~ Q(x)] ≡ ∀x [~ P(x) ∨ Q(x)]
20 6
≡ ∀x [P(x) → Q(x)] ตอบ จัดรูปได้ AB =
3 +1
(4) จากเหตุ 3 คือ q ∨ t กับเหตุ 4 คือ ~ t สรุป 1
พื้นที่ Δ = (AB)(AC)(sin A)
ได้ว่า q ...จากนัน้ นําไปรวมกับเหตุ 1 คือ ~ p → ~ q 2
(9) เส้นตรง 3x − 4y − 5 = 0
ขนานกับ
1
→ x2 − 9 > 0 → > 0
2
x −9 x + ky + 5 = 0 ... นํา 3 คูณสมการหลังจะได้
ดังนัน้ DS = (0, ∞)
−1
3x + 3ky + 15 = 0 → นั่นคือ 3x − 4y + 15 = 0
∴ ก. Dr ∩ RS = ∅ −1
อย่างแน่นอน (ให้ 3k = −4 ความชันจึงเท่ากัน)
ข. Rr ∪ DS = [0, ∞) ตอบ ข้อ ก. ถูก ข. ผิด
−1
ระยะห่างระหว่างเส้นตรง 15 2− (−5)2 = 4 หน่วย
3 +4
(6) f(1) = 3 → a + 1 + 1 + b = 3 → จะหาวงกลมรัศมี 2 หน่วย
f′(1) = 0 → 3a + 2 + 1 = 0
ซึ่งอยู่ในเส้นคูข่ นานนี้ แสดงว่า
ดังนัน้ a = −1 และ b = 2 จุดศูนย์กลางอยูต่ รงกลางเป๊ะ L2
∴ f(x) = −x3 + x2 + x + 2
เส้นแรกตัดแกน y ที่ (0, − 5) ,
f′(x) = −3x2 + 2x + 1 และ g(x) = f′′(x) = −6x + 2 4 L1
15
→ (gof)(−1) = g(f(−1)) = g(3) = −16 ตอบ เส้นหลังตัดแกน y ที่ (0, )
4
(7) A 5
45° ดังนัน้ จุด C มีพกิ ัด (0, ) [จุดกึ่งกลาง]
20 นิ้ว 4
2
⎛ 5⎞
→ สมการวงกลม คือ x2 + ⎜ y − ⎟ = 22
60° ⎝ 4⎠
C B 2
ˆ = 180° − 45° − 60° = 75° 1 ⎛ 1 5⎞
จะได้ ABC ผ่านจุด (a, ) → a2 + ⎜ − ⎟ = 22
4 ⎝4 4⎠
หาความยาว AB ได้จากกฎของไซน์ → a2 = 4 − 1 = 3 → a = 3 ตอบ
sin C sin B
→ = ... ซึง่ sin B = sin 75°
AB AC
(x − 1) − 1 1
→ f′(1) =
(2)(2) − (1)(1)
=
3
ตอบ = lim = − ดังนัน้ ตอบ − 4
22 4 x→1 x+2 3 3
x − 1→ 0
(22) (27) คิดจาก วิธีทั้งหมด - หยิบได้สีไม่ซา้ํ เลย
x = 17 + 18 − 30 = 5 คน ⎛5⎞ ⎛ 3⎞ ⎛2⎞ 3 !
⎜ 1⎟ ⎜ 1 ⎟ ⎜ 1⎟ 3
x = 1− ⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠ = ตอบ
10 × 9 × 8 4
ฟุต17 บาส18 (28) Σ xi − a น้อยสุด แสดงว่า a = Med = 5
2
∴ เลือกประธานได้ 5 แบบ Σ(xi − b) น้อยสุด แสดงว่า b = X = 8
เลือกรองประธานจากคนอืน่ ที่เหลือ ได้ 29 แบบ ดังนัน้ ข้อ 1. ผิด
ตอบ 5 × 29 = 145 ข้อ 2. Σx = NX = (20)(8) = 160 (ผิด)
(23) , , 3 4 5 Δ Δ ต่อมา จาก Σ(xi − 5)2 = 500
สลับภายในแต่ละกลุ่ม ได้ 2!, 3!, 2! ตามลําดับ → Σx2 − 10Σx + Σ25 = 500
และยังสลับระหว่างกลุ่มเลขคู่กับเลขคี่ได้ 2 กรณี → Σx2 − 10 (160) + (500) = 500
จึงได้ (2 ! 3 ! 2 !) × 2 = 48 จํานวน ตอบ จะได้ Σx2 = 1,600
(24) แปลงทุกคนเป็นเดไซล์ → สมชาย D8.15 Σx2 1,600
s = − X2 = − 82
สมศักดิ์ z = 1 → A = 0.3413 ทางขวา → D8.413 N 20
¢oÊoºe¢ÒÁËÒÇi·ÂÒÅa µ.¤.43 (g )
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 28 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน
1. กําหนดให้ A, B, C เป็นเซต โดยที่ A ∩ B ⊂ B ∩ C
ถ้า n (A) = 25, n (C) = 23, n (B ∩ C) = 7, n (A ∩ C) = 10 และ n (A ∪ B ∪ C) = 49 แล้ว n (B)
เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 11 2. 14 3. 15 4. 18
2. กําหนดให้ A = {x | x −4 > 5}
B = {x | x+3− x < 1}
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. A ∪ B = (−∞, −1) ∪ (1, ∞) 2. (A ∩ B) ' = (9, ∞)
3. B − A = [1, 9) 4. A − B = (−∞, −1)
1
7. ถ้า (f g)(x) = 3x − 14 และ f ( x + 2) = x − 2 แล้ว
3
(g−1 f)(x) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 3x − 4 2. 3x − 6 3. 3x − 8 4. 3x − 10
3
8. ถ้า sin x =และ tan x = − 3 แล้ว
5 4
⎛ ⎡cosec x sec x ⎤ ⎞
det ⎜ 2 ⎢ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
⎝ ⎣ 1 cos x ⎥⎦ ⎟⎠
1 1 2
1. − 2. − 3. − 4. −1
6 3 3
1 1
9. ถ้า arctan x = arctan − 2 arctan แล้ว
4 2
sin(180° + arctan x) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
13
1. 2. 16 3. −13
4. −16
5 17 5 17 5 17 5 17
x3
12. กําหนดให้ A เป็นเซตคําตอบของสมการ x log 3
= 9x
1. 2 2. 1 3. −1 4. −2
ต่อไปนี้
1. −60 2. −30 3. 30 4. 60
⎧f (x) , x > 1
3 2 ⎪
22. กําหนดให้ f (x) = ax − 4x + 1 เมื่อ a เป็นค่าคงตัว และ g(x) = ⎨f′(x) , x < 1
⎪0 , x = 1
⎩
ถ้า g(x) มีลิมิตที่ 1 แล้ว a เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0 2. 5 3. 8
4. 3
2 3
23. ถ้าเส้นโค้ง y = f (x) ผ่านจุด (0, 1) และ (4, c) เมื่อ c เป็นจํานวนจริง และความชันของเส้น
โค้งนี้ที่จุด (x, y) ใดๆ มีค่าเท่ากับ x − 1 แล้ว c มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 4 2. 7 3. 8 4. 9
3 3
26. ค่าแรงงานต่อวันของคนงานกลุ่มหนึ่งจํานวน 8 คน เป็น 150, 152, 158, 168, 170, 177, 180,
185 บาท ถ้าสุม่ เลือกคนงานจากกลุ่มนี้มา 2 คนแล้ว ความน่าจะเป็นที่จะได้คนงานอย่างน้อยหนึ่งคน
ที่มีค่าแรงงานต่อวันต่ํากว่าค่าแรงงานเฉลี่ยของคนงานกลุ่มนี้ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 3 2. 5 3. 9 4. 11
14 14 14 14
28. กําหนดข้อมูลสองชุดดังนี้
ชุดที่หนึ่ง คือ 5, 8, 6, 7, 9 ชุดที่สอง คือ x1, x2, x3, x4, x5
ถ้าสัมประสิทธิ์ของการแปรผันของข้อมูลชุดที่หนึ่งเป็น 2 เท่าของข้อมูลชุดที่สอง และความแปรปรวน
ของข้อมูลชุดที่สองเท่ากับ 9 แล้ว ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลชุดที่สองเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 21 2 2. 42 2 3. 18 4. 16
2. ให้ x, y, z เป็นจํานวนเต็มบวกที่มีค่าเรียงติดกันจากน้อยไปมาก
ถ้า y เป็นจํานวนเต็มบวกที่มีค่าน้อยที่สุดที่ทําให้ 3 x + y + z เป็นจํานวนเต็มบวก
แล้ว y มีค่าเท่าใด
⎡ 3 2⎤
3. ถ้า A = ⎢ ⎥ แล้ว det (4 (A −1)) + det (4 (A −1)2) + det (4 (A −1)3) + ... + det (4 (A −1)6) มีค่า
⎣2 2⎦
เท่าใด
7. อายุของคนงานกลุ่มหนึ่งมีการแจกแจงปกติโดยมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น x และความแปรปรวน
เป็น s2 สมหวังมีอายุ x − 0.51 s ปี จํานวนคนในกลุ่มนี้ที่มีอายุน้อยกว่าสมหวังมีจํานวนเป็นร้อยละ
เท่าใด (พื้นที่ใต้โค้งปกติระหว่าง z=0 และ z=0.51 เท่ากับ 0.195)
เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 4 (2) 4 (3) 3 (4) 3 (5) 1 (6) 4 (7) 2 (8) 2 (9) 1
(10) 1 (11) 3 (12) 2 (13) 4 (14) 4 (15) 3 (16) 1 (17) 4 (18) 2 (19)
1 (20) 2 (21) 4 (22) 2 (23) 2 (24) 3 (25) 1 (26) 3 (27) 2 (28) 1
ตอนที่ 2 (1) 13 (2) 9 (3) 15.75 (4) 35 (5) 9 (6) 162 (7) 30.5 (8)
524.24
เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 ข. log2((x + 2)(x − 1)) = 2
(1) วาดแผนภาพ A B → (x + 2)(x − 1) = 4 → x2 + x − 6 = 0
โดยให้ A ∩ B ⊂ B ∩ C → x = −3, 2 [ซึ่ง x = −3 ไม่ได้ เพราะทําให้ใน
แสดงว่าส่วนที่แรเงา x
log เป็นลบ] ∴ x = 2 → อยู่ใน U ∴ ข. ถูก
นั้นไม่มีสมาชิก ตอบ ข้อ 3.
C
แทนค่าตามสูตรของเซต (5) หา Dfog → พิจารณา f(x) = (x + 1)2 พบว่า x
49 = 25 + n(B) + 23 − x − 7 − 10 + x
เป็นอะไรก็ได้ (โดเมนของ f)
∴ n(B) = 18 ตอบ ∴ (fog)(x) = (g(x) + 1)2 → g(x) เป็นอะไรก็ได้
(2) A; x − 4 > 5 หรือ x − 4 < −5 → Dfog จึงเท่ากับ Dg → x > 0 ∴ Dfog = [0, ∞)
→ x > 9 หรือ x < −1
B; x + 3 < 1 + x ยกกําลังสอง หา Rgof → พิจารณา f(x) พบว่า f(x) > 0 เสมอ
→ x + 3< 1+2 x + x (เรนจ์ของ f)
> 2
→ 2 x → x 1 → x 1 ∴ (gof)(x) = f(x) + 1 > 1 ∴ Rgof = [1, ∞)
(ตรวจสอบเงือ่ นไขของรู้ท พบว่าใช้ได้หมด) และจะได้ Dfog ∩ R 'gof = [0, 1)
ดังนัน้ 1. A ∪ B = (−∞, −1) ∪ [1, ∞) → ผิด (6) วิธที ั้งหมด – วิธที ี่ไม่ทั่วถึง
2. (A ∩ B)' = (−∞, 9] → ผิด (วิธีที่ไม่ทวั่ ถึง มี 2 แบบ คือเรนจ์เป็น a ล้วน หรือ
3. B − A = [1, 9] → ผิด เป็น b ล้วน)
4. A − B = (−∞, −1) → ข้อ 4. ถูก ตอบ จะได้ = 2 × 2 × 2 × 2 × 2 − 2 = 30 ตอบ
(3) (p ∧ q) → (r ∨ s) เป็นเท็จ (7) f( 1 x + 2) = x − 2 → ให้ A = 1 x + 2
3 3
แสดงว่า p กับ q เป็นจริง, r กับ s เป็นเท็จ
นั่นคือ x = 3(A − 2) → f(A) = 3(A − 2) − 2
1. (p ∧ r) ↔ (s ∧ t) ≡ (T ∧ F) ↔ (F ∧ t)
= 3A − 8 ∴ f(x) = 3x − 8
≡ F ↔ F ≡ T
จาก (fog)(x) = 3x − 14 แต่ f(g(x)) = 3(g(x)) − 8
2. (p ∧ s) → (q ∨ t) ≡ F → (q ∨ t) ≡ T
∴ 3x − 14 = 3(g(x)) − 8
3. (p ∧ s) ∨ (r ∧ t) ≡ F ∨ (F ∧ t) ≡ F ∨ F ≡ F
4. (r → p) ∧ (s → t) ≡ (F → T) ∧ (F → t)
จะได้ g(x) = x − 2 → g−1(x) = x + 2
≡ T ∧T ≡ T ตอบ ข้อ 3. ตอบ (g−1of)(x) = (3x − 8) + 2 = 3x − 6
(4) U = {2, 4, 6, 8, 10, …} (8) det ⎛⎜ 2 ⎡⎢csc1 x cos
sec x ⎤ ⎞
x⎥ ⎟
⎝ ⎣ ⎦⎠
ก. ให้ A = 2x จะได้ 8A2 − 18A + 4 = 0 = 22 ⋅ (csc x cos x − sec x) = 4(cot x − sec x)
1
→ 2 (4A − 1)(A − 2) = 0 → A = ,2
4 โจทย์ให้ sin x = 3 , tan x = − 3
1 5 4
→ 2x = ,2 → x = −2, 1 4 5
4 ∴ cot x = − , sec x = −
3 4 5
แต่ -2 กับ 1 ไม่อยู่ใน U เลย ∴ ก. ผิด 4 5 1 3
ตอบ 4(− + ) = −
3 4 3 -4
⎛ 1⎞ ⎛ 1⎞ x
⎜ ⎟+⎜ ⎟ B; จาก log3 xx = → นํา 3 ยกกําลังทั้งสองข้าง
1 3
(9) 2 arctan = arctan ⎝ 2 ⎠ 1 ⎝ 21⎠
2 ⎛ ⎞⎛ ⎞ x
x
1− ⎜ ⎟⎜ ⎟ → xx = 33 → x log x = log 3
⎝2⎠ ⎝2⎠ 3
4 1 4 1
= arctan ∴ arctan x = arctan − arctan → x (log x − log 3) = 0
3 4 3 3
1 4 → x = 0 หรือ x = 31/ 3 [ซึ่ง 0 ใช้ไม่ได้]
−
4 3 ⎛ 13 ⎞
= arctan = arctan ⎜ − ⎟
1 4
⎛ 1 ⎞ ⎛4⎞
−
1+ ⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎝ 16 ⎠ ∴x = 3 1/ 3
ดังนั้น ตอบ {3 3 , 33 }
⎝4⎠ ⎝ 3⎠ (13) หาจุดตัดแกน x โดยให้ y = 0
โจทย์ถาม sin(180° + arctan x)
16
→ 22x − 4 ⋅ 2x − 45 = 0 → (2x − 9)(2x + 5) = 0
13 -13
= − sin(arctan x) = ตอบ → 2x = 9 เท่านัน้ (ติดลบไม่ได้) → x = log2 9
5 17 5 17
(17) z1 = (1 ∠
π )6 = 16 ∠ 6π = 1 ∠ π (23) f′(x) = x − 1 → f(x) =
2 3/2
x − x + C1
18 18 3 3
1 3 ผ่านจุด (0, 1) แสดงว่า C1 = 1
= + i
2 2 โจทย์ถาม (4, c) แสดงว่า c = f(4)
จาก 2 z1 z2 = 1 + z2 → 2 z1 z2 − z2 = 1 2 3/2 16 7
= (4) − 4 + 1 = −3 = ตอบ
1 1 3 3 3
→ z2 = → z2 = ... กลับเศษส่วน
2z1 − 1 2z1 − 1 (24) ใช้กฎการแบ่งกลุ่ม
⎛1 3 ⎞ 6!
z2−1 = 2z1 − 1 = 2 ⎜⎜ − i ⎟⎟ − 1 = − 3 i ตอบ วิธีทงั้ หมด = 3 ! 2 ! 1! = 60
⎝2 2 ⎠
(18) สมมติ z = a + bi
วิธีทสี่ นใจ (ก, ข อยูห่ ้องเดียวกัน) มี 2 กรณี
2 2
คือ แบ่ง 4 เป็น 2, 1, 1+กข
z = a +b = 3 − 4i = 5 .....(1)
จะได้ = 4 !2 × 2 = 12 วิธี
z−1 = 2
(a − 1) + b 2
= 30 .....(2) 2 !(1!) 2 !
แก้ระบบสมการดังนี้ (คูณ 2 เพราะ กข เลือกอยูห่ ้อง 1 คนได้ 2 แบบ)
a2 + b2 = 25, a2 − 2a + 1 + b2 = 30 และแบ่ง 4 เป็น 3, 1 (กข อยู่หอ้ ง 2 คน)
→ −2a + 1 + 25 = 30 → a = −2 จะได้ = 4 ! = 4 วิธี
3 ! 1!
ดังนัน้ 4 + b2 = 25 → b2 = ± 21 12 + 4 4
ตอบ {− 21, 21} ตอบ =
60 15
⎛ g ⎞′ (2) = f(2)g(2)
′ − g(2)f′(2) (25) วิธที ั้งหมด 5 × 4 = 20 วิธี
(19) ⎜ ⎟ วิธีทสี่ นใจ ได้แก่ → (1, 5) (2, 3) (2, 4) (2, 5)
⎝f⎠ [f(2)]2
โจทย์บอกว่า f′(2) = f(2) = 2 แล้ว มีอยู่ 4 วิธี ดังนั้น ตอบ 4 = 1
20 5
หาค่า g(2) และ g(2)′ ดังนี้ 150 + 152 + 158 + … + 185
(26) X =
→ g(x) = f(x) − x3 + x2 แทน x = 2 ได้วา่ 8
g(2) = f(2) − 8 + 4 = 2 − 8 + 4 = −2 = 167.5 บาท ซึ่งมีคนน้อยกว่าอยู่ 3 คน (และเกิน
และจากการหาอนุพนั ธ์ อยู่ 5 คน)
g(x)
′ = f′(x) − 3x2 + 2x แทน x = 2 ได้วา่ ข้อนีค้ ิดจาก วิธีทงั้ หมด – วิธีที่ไม่มีใครน้อยกว่าเลย
g(2)
′ = 2 − 12 + 4 = −6 ⎛5⎞
⎜2⎟ 9
= 1− ⎝ ⎠ = ตอบ
ดังนัน้ ⎛ g ⎞′ (2) = (2)(−6) − (−2)(2) = −2 ตอบ ⎛8⎞ 14
⎜ ⎟ ⎜2⎟
⎝f⎠ 4 ⎝ ⎠
(20) ลําดับเลขคณิต; d = 20 − 5 = 7.5 (27) เทียบกับ Σy = mΣ x + c N และ
2
12 Σxy = mΣx2 + cΣx พบว่า N = 5
→ a = S12 = (5 + 5 + (11)(7.5)) = 555
2 → Σy = 28, Σx = 10, Σxy = 67, Σx2 = 30
ตอนที่ 2 (5) y = x2 − c
(1) P(A) มีจาํ นวนสมาชิก 24 = 16 ตัว, ถ้า c > 4 แสดงว่า
ซ้ํากับ B อยู่ 3 ตัว คือ φ, {φ}, {0, {0, 1}} ตัดแกน x ที่ ±c -2 1
ดังนัน้ P(A) − B มีสมาชิกอยู่ 16 − 3 = 13 ตัว ตอบ เกิน ±2 ดังภาพ
1
(2) ให้ x, y, z เป็น y-1, y, y+1 ดังนัน้ −2 ∫ (x2 − c) dx = −24
∴ 3 x + y + z = 3 (y − 1) + y + (y + 1) = 3 3y
(ใส่ติดลบ เพราะพื้นที่อยู่ใต้แกนทัง้ ช่วงเลย)
หาค่า y ที่นอ้ ยทีส่ ุดที่ 3 3y เป็นจํานวนเต็มบวก ⎛ x3 ⎞
1
0.195
⎛
= 16 ⎜ 2 = 16 ⎜ 1 − ⎟
⎜⎜ ⎟⎟ ⎝ 64 ⎠
⎝ 1 − (1/2) ⎠
⎛ 63 ⎞
= 16 ⎜
63
= 15.75 ตอบ คิดเป็นเปอร์เซ็นไทล์ 50 − 19.5 = 30.5 ตอบ
⎟ =
⎝ 64 ⎠ 4 (8) 1.26 = 500(20) + 450(8) + x(100)
˜ ˜ 500(20) + 300(8) + 400(100)
(4) จาก OA = ⎡⎢−32⎤⎥ และ OB = ⎡⎢94⎤⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ → x = 524.24 บาท ตอบ
O
A
C
ใช้สูตร (ถ่วงน้าํ หนัก) D
จะได้วา่ B
˜ 2˜
OA + 1 ˜
OB 2⎡3⎤ 1 9 5
OC = = + ⎡ ⎤ = ⎡⎢0⎤⎥
3 3 ⎢⎣ −2⎥⎦ 3 ⎢⎣4⎥⎦ ⎣ ⎦
˜ 1˜
OA + 2 ˜
OB 1 3 2 9 7
OD = = ⎢⎡ −2⎥⎤ + ⎡⎢4⎤⎥ = ⎡⎢2⎤⎥
3 3⎣ ⎦ 3⎣ ⎦ ⎣ ⎦
∴˜
OC ⋅ ˜
OD = 35 ตอบ
⎡ x −1 6⎤
2. กําหนดให้ A = ⎢2 5 7 ⎥ ถ้าไมเนอร์ของ a 32 เท่ากับ 23
⎢ ⎥
⎣4 2y 9⎦
และโคแฟกเตอร์ของ a 23 เท่ากับ −44 แล้ว x+y มีค่าเท่ากับเท่าใด
x2 + 3 − 2
4. lim มีค่าเท่ากับเท่าใด
x→1 x−1
n
5. กําหนดให้ n เป็นจํานวนเต็มบวก ซึ่งทําให้พจน์ที่ไม่มี x ในการกระจาย ⎛ 2 1 ⎞
⎜x + ⎟
⎝ 2x ⎠
คือพจน์ที่ 9 สัมประสิทธิ์ของ x 15 ในการกระจายนี้เท่ากับเท่าใด
⎡ x2 x − 4⎤
6. ในการสร้างเมตริกซ์ในรูป ⎢ −x x − 1 ⎥ แบบสุ่ม โดยที่ x ∈ {0, 1, 2, 3, 4}
⎣ ⎦
ความน่าจะเป็นที่จะได้เมตริกซ์เอกฐานเท่ากับเท่าใด
5 1 1
7. ถ้าเส้นสัมผัสเส้นโค้ง y = (x − 1)2(2x − ) ที่จุด ( ,− ) ทํามุม θ กับแกน x โดยที่
4 2 16
0 < θ <
π แล้ว sin2 θ
มีค่าเท่ากับเท่าใด
2 2
8. กําหนดให้ x1, x2 , ..., x10 มีค่าเป็น 5, 6, a, 7, 10, 15, 5, 10, 10, 9 ตามลําดับ
โดยที่ a < 15 ถ้า พิสัยของข้อมูลชุดนี้เท่ากับ 12
10
b เป็นจํานวนจริงที่ทําให้ ∑ (xi − b)2 มีค่าน้อยที่สุด
i=1
10
และ c เป็นจํานวนจริงที่ทําให้ ∑ xi − c มีค่าน้อยที่สุด แล้ว a + b + c มีค่าเท่าใด
i=1
5. กําหนดให้ p, q, r เป็นประพจน์
ถ้าประพจน์ p → (q ∧ r) มีค่าความจริงเป็นเท็จ และ (p ∨ q) ↔ r มีค่าความจริงเป็นจริง แล้ว
พิจารณาค่าความจริงของประพจน์ต่อไปนี้
ก. (p ↔ q) ↔ ~ r ข. p ↔ (q ∨ ~ r)
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. จริง และ ข. จริง 2. ก. จริง และ ข. เท็จ
3. ก. เท็จ และ ข. จริง 4. ก. เท็จ และ ข. เท็จ
1
7. กําหนดความสัมพันธ์ r = {(x, y) | y = } พิจารณาข้อความต่อไปนี้
x2 − 1
1+ x
ก. Dr = (−∞, −1) ∪ (1, ∞) ข. r − 1 = {(x, y) | y = ± }
x
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 455 ขอสอบเขาฯ มี.ค.44
x x
8. กําหนดให้ f (x) = , x≠−1 และ g(x) = , x≠1
1+ x 1− x
ข้อใดต่อไปนี้ผิด
1. (f g)− 1(x) = x ,x ≠1 2. (f −1 g−1)(x) = x ,x≠ −1
x x
3. (f −1 g)(x) = ,x ≠1 4. −1
(g f)(x) = ,x ≠ −1
1 + 2x 1 + 2x
x
9. กําหนดให้ f (x) = 2 sin และ g(x) = x2 − 1
2
เซต (R f ∩ Dg) − R gof คือเซตในข้อใดต่อไปนี้
1. {−1, 1} 2. {−2, 2}
3. [2, − 3] ∪ [1, 2] 4. [−2, −1] ∪ ( 3, 2]
2
2(x − 3) ( − x)
13. เซตคําตอบของอสมการ 2x < 8 3 เป็นสับเซตของเซตในข้อใดต่อไปนี้
1. (1, ∞) 2. (−2, 100) 3. (−10, 10) 4. (−∞, 2)
i−1
⎪⎧2 ,i = j
14. กําหนดให้ A = [aij ]3× 3 โดยที่ aij = ⎨
⎪⎩2 ,i ≠ j
⎛ adj (A t) ⎞
det ⎜⎜ 4 ⎟⎟ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
⎝ det (A) ⎠
1. −16 2. −4 3. 4 4. 16
16. ให้ u = a i + b j โดยที่ a > 0 และ b > 0 และ u ⋅ (5 i − 2 j) = 14 ถ้า u ทํามุม θ กับ
เวกเตอร์ i และ cos θ = 3/5 แล้ว a + b มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 7 2. 14 3. 18 4. 21
˜ 2
OB = 2 i + 5 j ถ้า ˜AC = ˜
˜
AB แล้ว |OC|2 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
3
113 98 193 153
1. 2. 3. 4.
9 9 9 9
z 18
18. ถ้า 2 z3 = 1 + 3 i และ = a + bi เมื่อ a, b เป็นจํานวนจริง
i − z 27
แล้ว a+b มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −1 2. 0 3. 1 4. 2
20. กําหนดให้ n
เป็นจํานวนเต็มบวกที่ทําให้ผลบวก n พจน์แรกของอนุกรมเลขคณิต
2 n + 2 n + 1 + ... + 2 2n
7 + 15 + 23 + ... มีค่าเท่ากับ 217 แล้ว 8
มีค่าข้อใดต่อไปนี้
2
1. 127 2. 128 3. 127.5 4. 128.5
22. กําหนดให้ f (x) = ax3 + bx2 + 2x − 2 เมื่อ a, b เป็นจํานวนจริง ถ้า f′ (1) = 5 และ
f′′ (0) = −12 แล้ว ∫ (f′(x) + f′′(x)) dx เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 5x3 + 9x2 − 10x + c 2. 5x3 + 9x2 + 10x + c
3. 5x3 − 9x2 + 10x + c 4. 5x3 − 9x2 − 10x + c
f (x)
23. ให้ f เป็นฟังก์ชัน ซึ่งอนุพันธ์ของ f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องบนช่วงปิด [0, 1] และ g(x) =
x4 + 1
1
ถ้า f (1) = f′(1) = 1 และ f (0) = f′(0) = −2 แล้ว 0
∫ g′′(x) dx เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
5 1 3 7
1. − 2. − 3. 4.
2 2 2 2
24. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. จํานวนวิธีในการจัดเด็ก 5 คน และผู้ใหญ่ 5 คน ถ่ายรูปหมู่ โดยให้เด็กยืนแถวหน้าและ
ผู้ใหญ่ยืนแถวหลัง เท่ากับ 5 ! 5 !
ข. จํานวนวิธีในการจัดชาย 6 คน หญิง 6 คน นั่งโต๊ะกลม 2 โต๊ะที่ต่างกัน ซึ่งมีโต๊ะละ 6 ที่
นั่ง โดยที่ชายและหญิงนั่งแยกโต๊ะกัน เท่ากับ 5 ! 5 !
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
27. กําหนดตารางแสดงพื้นที่ใต้โค้งปกติดังนี้
z 0.97 1.58
A 0.334 0.443
คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนห้องหนึ่งมีการแจกแจงปกติ นายคณิตและนายวิทยาเป็น
นักเรียนห้องนี้ ถ้าปรากฏว่ามีนักเรียน 5.7 เปอร์เซ็นต์ที่สอบได้คะแนนมากกว่านายคณิต และมี
นักเรียน 16.6 เปอร์เซ็นต์ที่สอบได้คะแนนน้อยกว่านายวิทยา และนายคณิตได้คะแนนมากกว่านาย
วิทยาอยู่ 51 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการสอบครั้งนี้เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 12 2. 15 3. 18 4. 20
เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 4 (2) 9 (3) 13 (4) 0.5 (5) 27.5 (6) 0.4 (7) 0.1 (8) 19
ตอนที่ 2 (1) 2 (2) 4 (3) 4 (4) 1 (5) 2 (6) 4 (7) 2 (8) 3 (9) 4
(10) 1 (11) 2 (12) 1 (13) 4 (14) 1 (15) 3 (16) 2 (17) 1 (18) 2 (19) 4
(20) 3 (21) 4 (22) 1 (23) 3 (24) 2 (25) 3 (26) 3 (27) 4 (28) 2
เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 (5) พจน์ที่ 9 มีค่า
(1) log4 log3 log2(x2 + 2x) < 0
(8n ) (x ) ()
8 8
2 n −8 ⎛ 1 ⎞ n ⎛ 1⎞ 2n − 16 − 8
⎜ ⎟ = 8 ⎜ ⎟ ⋅x
→ log3 log2(x2 + 2x) < 40 ⇒ 1 ⎝ 2x ⎠ ⎝2⎠
→ log2(x2 + 2x) < 31 → x2 + 2x < 23 “พจน์นี้ไม่มี x” แสดงว่า
2
→ x + 2x − 8 < 0 ได้เป็น −4 < x < 2 กําลังของ x คือ 2n − 16 − 8 = 0 → n = 12
⎛2
(9) Rf = [−2, 2] (แอมพลิจดู เป็น 2) 2
⎞
3 ⎜ − x⎟
(13) 2x (x − 3)
< 2 ⎝3 ⎠
Dg; x2 − 1 > 0 → ( −∞, −1] ∪ [1, ∞ )
⎛2 ⎞
→ x2(x − 3) < 3 ⎜ − x ⎟
Rgof; คิดจาก −2 < f(x) < 2 → 0 < [f(x)]2 < 4 ⎝3 ⎠
⎜ ⎟
(24) ก. 5 ! 5 ! ถูกแล้ว
z 18
3⎠ 1∠2π ข. โต๊ะวางติดกัน จึงเหมือนมีตาํ แหน่งเกิดขึ้นภายใน
โจทย์ถาม = ⎝ =
1− z 27
π 9
i − 1∠3π
i − ⎛⎜ 1∠ ⎞⎟ โต๊ะแล้ว จัดแต่ละโต๊ะได้เป็น 6!6!
⎝ 3⎠
โต๊ะต่างกันจึงคูณ 2! ข้อนีจ้ ึงต้องเป็น 6 ! 6 ! 2 !
1 1 1−i 1 1
= = = ∴ ตอบ − = 0 ตอบ ก. ถูก ข. ผิด
i − (−1) i + 1 2 2 2
(19) i9 + i10 + i11 + i12 = 0, i13 + i14 + i15 + i16 = 0 (25) ก + ข = 2
5
ก ข ค
ไปเรื่อยๆ ดังนัน้ z = i125 + i126 = i1 + i2 = i − 1 1 ง
ข+ค =
2 2(−1 − i) 3
→ 2z−1 = = = −1 − i ตอบ
i−1 2 ก + ค + ง = 13 ∴ ข = 1−
13
=
2
n 15 15 15
(20) Sn = (a1 + an)
2 ก+ข+ค =2+ 1
−
2
=
3
ตอบ
n n 5 3 15 5
→ 217 = (7 + 7 + (n − 1)(8)) = (8n + 6)
2 2 (26) คิด ก. ก่อน
31 xก − 55
→ 4n2 + 3n − 217 = 0 → n = 7, − → 1.3 = → xก = 68 คะแนน
4 10
แต่ n ∈ I+ ∴ n = 7 เท่านัน้ ข. น้อยกว่า ก. อยู่ 8, แต่บวกไปคนละ 5 ด้วย
โจทย์ถาม (27 + 28 + 29 + … + 214) ÷ 28 ดังนัน้ xรวม, ข = 68 − 8 + 5 = 65
⎡ 27(1 − 28)⎤
= ⎢ 8
⎥ ÷2 =
27(28 − 1) 28 − 1
= คิดเป็นค่ามาตรฐาน → zรวม, ข = 65 − 60 = 0.5
10
⎣ 1−2 ⎦ 28 2
[อย่าลืมว่าทุกคนได้บวก 5 ทําให้ X เปลี่ยน]
= 127.5 ตอบ
(21) f(1) = −2 และ f′(1) = 0 ตอบ 65, 0.5
ทําให้ได้สมการว่า a + b = −2 และ 3a + b = 0
(27)
จะได้วา่
0.3340
0.4430
จะได้ผลคล้ายๆ กับ f(x) + f′(x) แต่ติดค่า C1, C2 (28) ก. 11 × 100 = 84.62% ถูก
13
ดังนี้ (5x3 − 6x2 + 2x + C1) + (15x2 − 12x + C2) ข. เพิ่มขึ้น 12 − 11 × 100 = 9.09% ผิด ตอบ
= 5x3 + 9x2 − 10x + C ตอบ 11
¢oÊoºe¢ÒÁËÒÇi·ÂÒÅa µ.¤.44 (i )
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 8 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 2 คะแนน
1. กําหนดให้ A = {1, 2, 3, 4} และ S = { f : A > A | f (x) < x+1 ทุก x ∈ A}
จํานวนฟังก์ชันทั้งหมดที่เป็นสมาชิกของ S เท่ากับเท่าใด
⎡ 1 0 −1 ⎤
3. ถ้า A = ⎢3 −1 −2⎥ และ C11(A) = 2 แล้ว det (−3A −1) มีค่าเท่ากับเท่าใด
⎢ ⎥
⎣2 5 a ⎦
3cn3 − n2 + cn ∞(−2)n − 1
5. ถ้า c เป็นจํานวนจริง ซึ่ง lim = ∑ แล้ว c มีค่าเท่าใด
n→∞ (2n + 1)3 n=1 3
n −2
(1/2)x + 1
2. ถ้า −2 < x < 2 และ 8 < y < 13 แล้ว ค่ามากที่สุดของ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
y+2
1. 1 2. 1/2 3. 1/3 4. 1/8
4. พิจารณาข้อความต่อไปนี้ เมื่อเอกภพสัมพัทธ์คือเซตของจํานวนจริง
1
ก. ∃x [cot 2x − cot x = 0 ] ข. ∀x [sin4 x + cos4 x = 1− sin2 2x ]
2
ค่าความจริงของข้อความ ก. และข้อความ ข. เป็นไปตามข้อใดต่อไปนี้
1. ก. เป็นจริง และ ข. เป็นจริง 2. ก. เป็นจริง และ ข. เป็นเท็จ
3. ก. เป็นเท็จ และ ข. เป็นจริง 4. ก. เป็นเท็จ และ ข. เป็นเท็จ
1
7. กําหนดให้ f (x) = 4 − x2 และ g(x) =
9 − x2
จํานวนในข้อใดต่อไปนี้เป็นสมาชิกของ Rgof
1 1 1 1
1. 2. 3. 4.
2 4 8 14
9. ถ้า sin 15° + sin 55° = x และ cos 15° + cos 55° = y
แล้ว (x + y)2 − 2xy เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 4 cos2 20° 2. 2 cos2 20° 3. 4 cos2 40° 4. 2 cos2 40°
คือเซตในข้อใดต่อไปนี้
1. ∅ 2. (0, π) 3. ( π , π) 4. (π , π)
6 12 6 6 4
⎛ ⎡x2 −x 1⎤ ⎞
⎜⎢ ⎟
14. ให้ f (x) = det ⎜ 0 1 2⎥ ⎟ ถ้าช่วง [a, b] เป็นเซตคําตอบของอสมการ f (x) > −2 แล้ว
⎢ ⎥
⎜ ⎢ x 1 1⎥ ⎟
⎝⎣ ⎦⎠
a−b คือข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 2
3. 4
4. 5
3 3 3 3
2
16. กําหนดให้ u = , u + v = 5, u −v = 4 ถ้า θ เป็นมุมระหว่าง u และ v
2
แล้ว θ อยู่ในช่วงใดต่อไปนี้
1. (0, π) 2. (π , π) 3. (π , π) 4. (π , π)
6 6 4 4 3 3 2
˜
17. กําหนดจุด A (1, 1), B (4, 10), C (7, 9) และ D เป็นจุดที่อยู่บนด้าน AB โดยที่ |˜
AD|
=
2
ถ้า
|AB| 3
θ คือมุมระหว่าง ˜
CA และ ˜
DC แล้ว cos θ คือค่าในข้อใดต่อไปนี้
1. −2 2. −2 3. 2 4. 2
5 10 5 10
3 39
18. ถ้า + i เป็นคําตอบหนึ่งของสมการ ax2 − 3x + c = 0 โดยที่ a และ c เป็นจํานวน
4 4
จริงแล้ว เศษที่เหลือจากการหาร ax2 − 3x + c ด้วย x +2 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 8 2. 12 3. 16 4. 20
⎧ 1
⎪ ,x ≠ 1
19. กําหนดให้ f (x) = ⎨ x − 1 และ g(x) = x3 + x − 2
⎪ 2 ,x = 1
⎩
ถ้า h (x) = f (x) g(x) แล้ว ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. h ต่อเนื่องที่จดุ x = 1 และ xlim
→1
h (x) = 0
เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 96 (2) 3 (3) 1.8 (4) 128 (5) 4.8 (6) 128 (7) 0.9 (8) 50
ตอนที่ 2 (1) 1 (2) 2 (3) 3 (4) 3 (5) 3 (6) 1 (7) 3 (8) 1 (9) 1
(10) 4 (11) 3 (12) 4 (13) 3 (14) 4 (15) 1 (16) 2 (17) 1 (18) 4 (19)
4 (20) 2 (21) 4 (22) 4 (23) 2 (24) 2 (25) 1 (26) 3 (27) 2 (28) 3
เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 (6)
(1) ตัวหน้า (1, _) (2, _) (3, _) (4, _) a 8
จะได้วา่ ∫ y dx = ∫ y dx
และตัวหลัง y < x + 1 0 a
n=1 3 3 9
ดังนัน้ เมื่อนํามาหารกันทีละคู่ ผลที่ได้
3 9 เป็น 5 = 1 , 5 = 1 , 5 = 1 , 5
=
1
=
2
= 40 8 60 12 10 2 15 3
1 − (− ) 5 1
3 ค่ามากทีส่ ุด = ตอบ
3c 9 2
∴ = → c = 4.8 ตอบ
8 5
(3) P(1) = 5 → 1 + a + b + 2 = 5
.....(1) (8) หา f(2) จาก f(0) โดยไล่ไปทีละตัว
P(−3) = 5 → −27 + 9a − 3b + 2 = 5 .....(2) f(1) = 3(0) + 2 + f(0) → f(1) = 2 + 1 = 3
แก้ระบบสมการได้ a = 3 และ b = −1 ∴ f(2) = 3(1) + 2 + f(1) = 3 + 2 + 3 = 8
∴ ตอบ 1 โจทย์ถาม g−1(8)
(4) ก. cot 2x − cot x = 0 จาก g−1(2x + 8) = 3x − 1 ให้ 2x + 8 = 8
cos 2x cos x พบว่าต้องใส่ x = 0 ดังนั้น g−1(8) = −1 ตอบ
→ − = 0
sin 2x sin x
sin x cos 2x − cos x sin 2x
(9) (x + y)2 − 2xy = x2 + y2
→ = 0 = (sin 15° + sin 55°)2 + (cos 15° + cos 55°)2
sin 2x sin x
sin(−x) −1 = sin2 15° + 2 sin 15° sin 55° + sin2 55°
→ = 0 → = 0
sin 2x sin x sin 2x + cos2 15° + 2 cos 15° cos 55° + cos2 55°
เป็นไปไม่ได้ ∴ ก. เท็จ = 2 + 2 sin 15° sin 55° + 2 cos 15° cos 55°
ข. sin4 x + cos4 x = 2 − (cos 70° − cos 40°) + (cos 70° + cos 40°)
= [sin4 x + 2 sin2 x cos2 x + cos4 x] − 2 sin2 x cos2 x = 2 + 2 cos 40° = 2 + 2 (2 cos2 20° − 1)
2 2 2 2 2
= (sin x + cos x) − 2 sin x cos x = 4 cos2 20° ตอบ
2
(2 sin x cos x) 1 log0.5(sin x sin 2x) < log0.5(cos x cos 2x)
= 1 −2
= 1 − sin2 2x ∴ ข. จริง (10)
2 2 → sin x sin 2x > cos x cos 2x
ตอบ ข้อ 3. (อย่าลืมกลับเครือ่ งหมาย เพราะฐานเป็น 0.5)
(5) โจทย์ (p → ~ q) ∨ (r ∧ ~ p) → 0 > cos x cos 2x − sin x sin 2x
≡ (T → T) ∨ (F ∧ F) ≡ T ∨ F ≡ T → 0 > cos 3x
ข้อที่ถูกคือ ข้อ 3. (F ∨ F) → … ≡ T ขยายช่วง 0 < x < π เป็น 0 < 3x <
3π
ส่วนอีก 3 ข้อเป็นเท็จ ดังนี้ 4 4
1. … ∧ (F ∨ F) ≡ F เพื่อหาช่วงคําตอบ
2. (F ∧ …) ↔ (F → …) ≡ F ↔ T ≡ F จากรูป ถ้า cos 3x < 0
4. (T → F) ∨ (T ↔ F) ≡ F ∨ F ≡ F จะได้ π < 3x < 3π
2 4
ตอบ ข้อ 3. π π
→ < x <
(6) เรนจ์ของ r −1 ก็คือโดเมนของ r; 6 4
x2 − 2x3 (อย่าลืมเช็คเงือ่ นไข log ว่า sin x > 0, sin 2x > 0,
จาก 2x3 + 3xy2 − x2 + y2 = 0 → y2 =
3x + 1
cos x > 0, cos 2x > 0 จริงๆ ด้วย) ตอบ ⎛⎜ , ⎞⎟
π π
1 ⎝6 4⎠
ดังนัน้ 3x + 1 ≠ 0 → x ≠ −
3 (11) จัดรูปวงรี;
x2 − 2x3 x2(2x − 1) (x2 + 4x + 4) + 2(y2 − 2y + 1) = −2 + 4 + 2
และ >0 → <0
3x + 1 3x + 1
(x + 2)2 (y − 1)2
เขียนเส้นจํานวนได้ช่วง (−1/ 3, 0] ∪ [0, 1/2] → + = 1 จุดศูนย์กลาง (−2, 1)
4 2
⎛ 1 1⎤ รีตามแกน x โดย
ดังนัน้ ตอบ ⎜− , ⎥
⎝ 3 2⎦ ระยะโฟกัส = 4 − 2 = 2
(7) หา Rgof เริ่มคิดจาก f; วงกลมผ่านจุดโฟกัส 2
(12) จัดรูปพาราโบลา; y2 − 2y + 1 = 8x + 7 + 1 2
โจทย์บอก u =
2
→ (y − 1) = (4)(2)(x + 1) เป็นพาราโบลาเปิดขวา 2
2
จุดยอดอยูท่ ี่ (−1, 1) → ระยะโฟกัส = 2 ⎛ 2⎞ 2 41
∴ ⎜⎜ ⎟⎟ + v = → v = 20
2 2
ดังนัน้ จุดโฟกัส (1, 1) ⎝ ⎠
ไดเรกตริกซ์ x = −3 ⎛ 2⎞ 9
จะได้ u v cos θ = ⎜⎜ ⎟⎟ ( 20) cos θ =
F ⎝ 2 ⎠ 4
9
→ cos θ = ≈ 0.712
4 10
1
จํานวนเต็มบวก n ที่ทําให้ S − Sn = (10−5) เท่ากับเท่าใด
9
3. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้าเอกภพสัมพัทธ์คือเซต U = (0, 1) ∪ (2, ∞) แล้ว
ประพจน์ ∀x [(x − 1)2 < 1 หรือ (x − 1)2 > 1 ] มีค่าความจริงเป็นจริง
2 4
ข. ถ้า p, q, r เป็นประพจน์ แล้ว p → (q ∧ r) สมมูลกับ (p → q) ∨ (p → r)
ข้อใดต่อไปนี้เป็นจริง
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
1. (0,
π) 2. (π , 5π)
3 3 6
3. (0, π) ∪ (5π , π) 4. (π , π) ∪ (3π , 3π)
4 6 6 2 4 2
P2FF
1 2 ต่างก็เท่ากับ 2 2 ตารางหน่วยแล้ว y 1 − y2
2 2
มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 28 2. 56 3. 84 4. 120
14. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
⎛ ⎡x x x ⎤ ⎞
ก. ถ้า x ∈ R และ det ⎜ ⎢ 1 x x ⎥ ⎟ = −4 แล้ว x < 2
⎜⎜ ⎢ ⎥ ⎟⎟
⎝ ⎣ 1 1 x⎦ ⎠
⎡ a 2⎤
ข. กําหนดให้ a, b ∈ R และ A = ⎢ ⎥ ถ้า A = b adj A แล้ว a +b > 2
⎣2 b 3⎦
ข้อใดต่อไปนี้เป็นจริง
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
15. น้ํามันดีเซล 100 ลิตร ราคาต้นทุนลิตรละ 12 บาท และน้ํามันปาล์ม 120 ลิตร ราคาต้นทุนลิตร
ละ 8 บาท ถ้าจะผสมน้ํามันสองชนิดนี้รวมกันให้มีจํานวนไม่น้อยกว่า 150 ลิตร และขายน้ํามันผสมนี้
ในราคาลิตรละ 11 บาท ให้ได้กาํ ไรมากที่สุดแล้ว กําไรที่ได้เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 230 บาท 2. 260 บาท 3. 330 บาท 4. 460 บาท
AB| = |˜
17. กําหนดให้ ABC เป็นรูปสามเหลี่ยมที่มีสมบัติว่า 5|˜ BC | + |˜
CA| ถ้า M และ N เป็น
จุดแบ่งครึ่งด้าน BC และ AC ตามลําดับแล้ว พิจารณาข้อความต่อไปนี้
˜ = 1 (BC
ก. MN ˜−˜ AC) ข. ˜
AM ⋅ ˜
BN = 0
2
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
22. กําหนดให้ g(x) = x2 f (x) ถ้า f′(x) = 2x + 3 และ g′′(1) = 0 แล้ว f (4) มีค่าเท่ากับข้อใด
ต่อไปนี้
1. 0 2. 11 3. 13 4. 28
เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 400 (2) 0.5 (3) 13 (4) 6 (5) 7 (6) 0.6 (7) 149.84 (8) 19
ตอนที่ 2 (1) 4 (2) 1 (3) 2 (4) 1 (5) 2 (6) 1 (7) (ตอบ 180) (8) 1
(9) 4 (10) 3 (11) 2 (12) 4 (13) 4 (14) 1 (15) 3 (16) 2 (17) 2 (18) 2
(19) 4 (20) 2 (21) 1 (22) 3 (23) 2 (24) 3 (25) 1 (26) 1 (27) 4
(28) 3
เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1
(1) หาจํานวนนับ n < 1,000 ซึ่งหาร 2 ไม่ลงตัว
400 100 100
และหาร 5 ไม่ลงตัว ว่ามีเท่าใด n
หาร 2 ลงตัว มี 500 จํานวน, หาร2 หาร5
หาร 5 ลงตัว มี 200 จํานวน, ∴ จะได้ n ที่ตอ
้ งการ
หารทั้ง 2 และ 5 ลงตัว คือหาร 10 ลงตัว มี 100 = 1,000 − (500 + 200 − 100)
จํานวน = 400 จํานวน ตอบ
(2) − sin2 1° + sin2 2° − … + sin2 44° − sin2 45° (6) จับทีละใบไม่ใส่คืน วิธที ั้งหมด = 6 × 5
2 2 2 2
+ sin 46° − … + sin 88° − sin 89° + sin 90° ต้องการวิธที สี่ ีเหมือนหรือเลขเหมือน
เปลี่ยน sin 46° เป็น cos 44° คิดจาก วิธที ั้งหมด – วิธสี ีตา่ งและเลขต่าง
เปลี่ยน sin 47° เป็น cos 43° ฯลฯ ตอบ 1 − 6 × 2 = 0.6
ไปจนถึงเปลี่ยน sin 89° เป็น cos 1° 6×5
x − 120
2 2
และเนือ่ งจาก sin 1° + cos 1° = 1 (7) zลูก = −1.8 = ลูก
8
และ − sin2 2° − cos2 2° = −1 ก็จะรวมกันเป็นศูนย์
→ xลูก = 105.6 ซม.
ซึ่งคู่ของ 3° กับ 4° ก็รวมกันได้ศูนย์
ไปเรื่อยๆ จนถึงคู่ของ 43° กับ 44° ก็เช่นกัน.. พ่อสูง 0.9(105.6) + 54.8 = 149.84 ซม. ตอบ
2 2
ดังนัน้ เหลือเพียง − sin 45° + sin 90° (8) 1.20 = 660 + 1,000 + a
1 600 + 800 + 1,000
= − + 1 = 0.5 ตอบ 1,200
2 → a = 1,220 บาท → b = = 1.22
1,000
(3)
log 2x + log (x − 12) = 2 log [ x( x + 5 − x − 5)]
3 3 3 ดัชนี ISR = ⎛⎜ 1.10 + 1.25 + 1.22 ⎞⎟ × 100 = 119
⎝ 3 ⎠
→ 2x(x − 12) = [ x( x + 5 − x − 5)]2
แสดงว่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 ตอบ
→ 2x(x − 12) = x(x + 5 − 2 x2 − 25 + x − 5) ตอนที่ 2
→ 2x(x − 12) = x(2x − 2 x2 − 25) (1) n(A ∪ B ∪ C) = n(U) = 5
แต่ x ห้ามเป็น 0 เพราะอยู่ใน log จึงสามารถ → 5 = 3 + 3 + 3 − 2 − 2 − 2 + n(A ∩ B ∩ C)
นํา 2x หารสองข้างได้ กลายเป็น ∴ n(A ∩ B ∩ C) = 2
A B
x − 12 = x − x2 − 25 1 0 1
→ 12 = x2 − 25 → x = 13 ตอบ 2
0 0
( x > 0 เสมอ เพราะอยู่ใน log) 1
(4) S = 1 + 1 + 1 + … อนุกรมเรขาคณิต ข้อที่ผิดจึงเป็น ข้อ 4. ตอบ C
10 100
(2) A; x2 − x − 12 > 0
1(1 − 0.1n) 10 → (x − 4)(x + 3) > 0 → A = (−∞, 3) ∪ (4, ∞)
∴ Sn = = (1 − 0.1n)
1 − 0.1 9
B; −1 < 3 − x < 1 → 2 < x < 4
และ S = S∞ = 1 = 10 B = (−4, −2) ∪ (2, 4)
1 − 0.1 9
10−5 ดังนัน้ A ∩ B = (−4, −3) ตอบ ข้อ 1.
โจทย์บอกว่า S − Sn =
9
(3) ก. จาก (x − 1)2 − 1 < 0
10 ⎛ 10 10 ⎞ 10−5 2 4
→ −⎜ − (0.1)n ⎟ =
9 ⎝9 9 ⎠ 9 1 1 1 1
→ (x − − )(x − + ) < 0
10 10−5 2 2 2 2
→ (0.1)n = → 10(0.1)n = 10−5 → (x − 1)(x) < 0 ได้เป็นช่วง (0, 1)
9 9
2
→ (0.1) = 10 n −6
∴n = 6
ตอบ และ (x − 1) − 1 > 0 → (x − 1 − 1)(x − 1 + 1) > 0
(5) กราฟนี้ไม่ตดั แกน x (เพราะเมื่อให้ y=0 แล้ว → (x − 2)(x) > 0 ได้เป็นช่วง (−∞, 0) ∪ (2, ∞)
พบว่าไม่มีคาํ ตอบ; B2 − 4AC < 0 ) ดังนัน้ ∀x [0 < x < 1 หรือ x < 0 หรือ x > 2]
1
→ พืน้ ที่เท่ากับ ∫ (a2x2 + 4ax + 10) dx ซึ่งพบว่าทุกๆ ค่าใน U ทําให้เป็นจริง ∴ ก. ถูก
0 ข. p → (q ∧ r) ≡ ~ p ∨ (q ∧ r)
1
3 3
⎛a x ⎞ a2 ≡ (~ p ∨ q) ∧ (~ p ∨ r) ≡ (p → q) ∧ (p → r) ข. ผิด
= ⎜ + 2ax2 + 10x ⎟ = + 2a + 10
⎝ 3 ⎠ 3
0 ตอบ ข้อ 2.
ต้องการค่า a ทีท่ ําให้พนื้ ทีส่ ูงสุด (4) ~ p ∨ s ≡ p → s เป็นเท็จ
∴ หาอนุพน ั ธ์ dA = 2a + 2 = 0 → a = −3 แสดงว่า p จริง, s เท็จ
da 3
พื้นที่ A = 3 − 6 + 10 = 7 ตร.หน่วย ตอบ และจะได้ [T → (q → r)] ↔ (F ∧ r) เป็นจริง
แสดงว่า q → r เป็นเท็จ ∴ q จริง, r เท็จ
ดังนัน้ ตอบ ข้อ 1. p → q ≡ T → T ≡ T
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 478 ขอสอบเขาฯ มี.ค.45
9 a
(12) 22a − ⋅2 +2 = 0 มอง 2a = A จะได้ว่า (16) สูตรแบ่
˜ ˜
งเวกเตอร์
1 Q 2
R
2 A P
9A
˜
OQ =
2 OP + 1 OR
A2 − + 2 = 0 → 2A2 − 9A + 4 = 0 3
2 2 ⎡ −1⎤ 1 3 1/ 3
1 = + ⎡ ⎤ = ⎡⎢7/ 3⎤⎥ O
→ (2A − 1)(A − 4) = 0 → A = หรือ 4 3 ⎢⎣ 2 ⎥⎦ 3 ⎢⎣3⎥⎦ ⎣ ⎦
2
∴ a = −1 หรือ 2
มีความชัน = 7 แสดงว่าความชัน OA คือ -1/7
∴˜
−7
โจทย์ให้ a > 0 ดังนัน้ a = 2 เท่านั้น OA มีทิศเดียวกับ ⎡ 1 ⎤ แต่ยาว 5 หน่วย
⎢ ⎥ ⎣ ⎦
2 log2(x + 2) − log2(x − 1) < log2 16
˜
OA = 5
(−7 i + j)
= −
7
i +
1
j ตอบ −
6
(x + 2)2 (x2 + 4x + 4) − 16x + 16 50 2 2 2
→ < 16 → < 0
x−1 x−1 MN = ˜
(17) ก. จาก ˜ MC + ˜
CN C
x2 − 12x + 20 (x − 10)(x − 2) 1 ˜1 ˜
→ < 0 → < 0 = BC + CA N
x −1 x−1 2 2 M
ได้ช่วง (−∞, 1) ∪ (2, 10) 1 ˜ ˜
= (BC − AC) ถูก A
แต่มีเงื่อนไข log ว่า x > −2 และ x > 1 2 B
ดังนัน้ x ∈ (2, 10) ตอบ ข้อ 4. ˜ ˜ ˜ ˜
ข. AM ⋅ BN = (AC + AB) ⋅ 1 (BA + BC)
1 ˜ ˜
2 2
(13) A = 9 = 2(tan 30°)x + (cot 60°)x
1 ˜ ˜ ˜ ˜ ˜ ˜ ˜ ˜
x x x = [(AC ⋅ BA) + (AC ⋅ BC) + (AB ⋅ BA) + (AB ⋅ BC)]
⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 ⎞ 4
= 2⎜ ⎟ +⎜ ⎟ = 3⎜ ⎟
⎝ 3 ⎠ ⎝ 3 ⎠ ⎝ 3⎠ 1 2
= [bc cos(180°− A) + ab cos C − c + ac cos(180°−B)]
x 4
⎛ 1 ⎞
→ 9 = 3⎜ ⎟ → x = −2 1
⎝ 3⎠ = [−bc cos A + ab cos C − c2 − ac cos B]
4
1 ⎡ d −b ⎤ 1 ⎡ 2 1 ⎤
A −1 = = −2 −2 ⎥ 1 a2 −b2 − c2 a2 +b2 − c2 b2 − a2 − c2
A ⎣⎢ −c a ⎦⎥
⎢
9 ⎢⎣ − 1/ 3( 1/ 3 ) ( ) ⎦⎥
= [
4 2
+
2
− c2 +
2
]
1 ⎡ 2 1⎤ 2/9 1/9 1
= = ⎡⎢ −1/ 3 1/ 3⎤⎥ ตอบ = [a2 + b2 − 5c2 ] ≠ 0 ผิด ตอบ ข้อ 2.
9 ⎢⎣ −3 3⎥⎦ ⎣ ⎦ 8
(14) ก. det = −x2 − x2 − x2 + x3 + x2 + x = −4 (18) 2 cos2 θ = 1 → cos θ = − 1
2
→ x3 − 2x2 + x + 4 = 0
1 1 5π
→ (x + 1)(x2 − 3x + 4) = 0 → ω = − − i = 1∠
2 2 4
→ x = −1 เท่านัน้ ∴ ก. ถูก จาก ωz = ω ⋅ z = 2 → 1⋅ z = 2 → z = 2
3 −2
adj A = ⎡⎢ −2b a ⎤⎥ π 5π π
ข.
⎣ ⎦ และจาก ∠ z = ∠z − ∠ω = → ∠z − =
ω 4 4 4
→ A = b adj A จะได้ว่า ⎡ a 2 ⎤ = ⎡ 3b −2b ⎤ 3π 3π
⎢⎣2b 3⎥⎦ ⎢ −2b2 ab ⎥ → ∠z = ดังนั้น z = 2∠ = −2i
⎣ ⎦ 2 2
→ b = −1, a = −3 ข. ถูก ตอบ ข้อ 1.
∴ จะได้ z2 + z + 1 = −4 − 2i + 1 = −3 − 2i ตอบ
(15) น้ํามันดีเซล x ลิตร, น้ํามันปาล์ม y ลิตร (19) ก. z3 − z2
= 1−
⎛ z3 − z1 ⎞
⎜ ⎟
จะได้สมการจุดประสงค์ z1 − z2 ⎝ z2 − z1 ⎠
P (กําไร) = 11(x + y) − 12x − 8y = 3y − x ⎛1 3 ⎞ 1 3
= 1 − ⎜⎜ + i⎟ = − i ดังนัน
้ ก. ผิด
เงื่อนไขคือ 0 < x < 100, 0 < y < 120 ⎝2 2 ⎟⎠ 2 2
และ x + y > 150 ข. z21 = z1z2 ⋅ z3z1 = (i + 1)(3 + 4i) = 3 + 2i
วาดกราฟแล้วพบว่า z2z3 2 + 2i 2
(30, 120) → P = 330 (100,120) z1z2 ⋅ z2z3 (i + 1)(2 + 2i) 16 12
z22 = = = + i
(100, 120) → P = 260 (30,120) z1z3 3 + 4i 25 25
(100, 0) → P = 50
(100,50) z2z3 ⋅ z3z1 (2 + 2i)(3 + 4i)
z23 = = = 6 + 8i
z1z2 1+i
ตอบ Pmax = 330 บาท O
จะได้ z21 + z22 + z23 = 407 + 262 i
50 25
ดังนัน้ ข. ผิด ตอบ ข้อ 4.
5 0.3446
= ⎛⎜ 3 ⎞⎟ = 10 วิธี และอีก 2 ซองสลับให้ไม่ตรงได้ 1 = 0.1554 ทางซ้าย
⎝ ⎠
วิธี กรณีทสี่ อง ตรง 2 ซอง เลือกว่าใครตรง 158 − 160
⎛ 5 ⎞ = 10 วิธี และอีก 3 ซองสลับให้ไม่ตรงได้ 2 วิธี → z = −0.4 ∴ −0.4 =
⎜2⎟ s
⎝ ⎠ s 5
→ s = 5 → = = 3.125% ตอบ
(ไล่เขียนเพื่อนับ) กรณีที่สาม ตรง 1 ซอง เลือกว่า X 160
ใครตรง ⎛⎜ 51 ⎞⎟ = 5 วิธี และอีก 4 ซองสลับให้ไม่ตรง
⎝ ⎠
ได้ 9 วิธี (ไล่เขียนเพือ่ นับ)
10 × 1 + 10 × 2 + 5 × 9 75
∴ ตอบ =
5! 120
⎡4 −2⎤ ⎡ 1 0⎤
4. กําหนดให้ A = ⎢ ⎥ , I = ⎢0 1 ⎥ และ c เป็นจํานวนจริงที่น้อยที่สุดที่ทําให้
⎣ 1 1 ⎦ ⎣ ⎦
⎡ 1 c c⎤
1
det (A − c I) = 0 ถ้า B = ⎢c 1 c ⎥ แล้ว det ( B) เท่ากับเท่าใด
⎢ ⎥ 2
⎣c c 1⎦
2
⎪⎧3x + 1 , 0 < x < b
5. ให้ b เป็นจํานวนจริง และกําหนดให้ f (x) = ⎨
⎪⎩ 1 ,x < 0
b
ถ้า −2
∫ f (x) dx = 12 แล้ว b มีค่าเท่ากับเท่าใด
4. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้า p , q เป็นประพจน์ โดยที่ p มีค่าความจริงเป็นจริง
และ ~ q → (~ p ∨ q) เป็นสัจนิรันดร์ แล้ว q มีค่าความจริงเป็นจริง
ข. นิเสธของข้อความ ∃x [(~ P (x)) ∧ Q (x) ∧ (~ R (x))]
คือข้อความ ∀x [Q (x) → (P (x) ∨ R (x))]
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
⎧ 2 , x < −1
⎪
7. กําหนดให้ f (x) = ⎨(x − 1) , −1 < x < 2
2
และ g(x) = f (x) + 2
⎪
⎩ x+1 ,x > 2
ถ้า k เป็นจํานวนเต็มที่น้อยที่สุดที่ทําให้ g(k) > 5 แล้ว (g D f)(k) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 5 2. 6 3. 7 4. 8
⎧ x ,0 < x < 1
8. กําหนดให้ f (x) = x เมื่อ x > 0 และ g(x) = ⎨
⎩ x + 1 , 1< x
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. g D f −1 เป็นฟังก์ชันเพิ่มบน Rf ข. f D g−1 เป็นฟังก์ชันเพิ่มบน Rg
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
x 3
11. กําหนดให้ f1(x) = − + เมื่อ x < 1 และ f2(x) = 3x − 2 เมื่อ x > 1
2 2
ถ้า P (a, b) เป็นจุดศูนย์กลางของวงกลมที่มีรัศมียาว 7/ 5 หน่วย
และสัมผัสกราฟของ f1 และ f2 แล้ว a + b เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −2 2 2. 2 2 3. 6− 2 4. 6+ 2
⎡1 2 0⎤
13. ถ้า A เป็นเมตริกซ์ซึ่ง A −1 = ⎢ 3 1 −1 ⎥ , x > 0
⎢ ⎥
⎣ x 0 −2⎦
และ det (2 adj A) = 1/18 แล้ว x เป็นจริงตามข้อใดต่อไปนี้
1. x <5 2. 5 < x < 9 3. 9 < x < 13 4. x > 13
ถ้า u = 1 (CA
˜ + 2˜CB) , θ เป็นมุมระหว่าง u และ CB
˜
3
และ l = 1
cos BCA แล้ว cos θ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
4
5 5 5 5
1. 2. 3. 4.
4 2 4 2 2 2
⎧ x ,x < a
⎪⎪ x +2
20. กําหนดให้ a > 0, f (x) = ⎨ และ g(x) = x2
⎪ x+1 ,x > a
⎪⎩ x
11
ถ้า lim (f D g)( x) − lim (g D f)(x) = แล้ว a มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
x→a+ x→a− a (a + 2)
1. 1 2. 3 3. 5 4. 9
เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 5 (2) 0.6 (3) 127 (4) 0.625 (5) 2 (6) 1440 (7) 0.8 (8)
102.14
ตอนที่ 2 (1) 3 (2) 2 (3) 2 (4) 1 (5) 4 (6) 2 (7) 3 (8) 1 (9) 4
(10) 4 (11) 3 (12) 1 (13) 3 (14) 2 (15) 4 (16) 2 (17) 3 (18) 4 (19)
4 (20) 2 (21) 1 (22) 3 (23) 2 (24) 4 (25) 1 (26) 1 (27) 3 (28) 3
เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 4 − c −2
(4) A − cI = ⎡⎢ 1 1− c ⎤⎥
1 ⎣ ⎦
(1) y = 36 − 4x2 → 3y = 36 − 4x2
3 → A − cI = (4 − c)(1 − c) + 2 = 0
→ 9y2 = 36 − 4x2 → 4x2 + 9y2 = 36 จะได้ 4 − 5c + c2 + 2 = 0
2 2
x y 2 → (c − 3)(c − 2) = 0 → c ที่นอ้ ยที่สดุ คือ 2
→ + = 1
9 4 122 3
1 1 ⎛ 1⎞
โดยที่ y > 0 หา B = ⎜ ⎟ 2 12
0 2 ⎝2⎠ 2 2 1
(เป็นรูปครึ่งวงรี) -3 3
3
จากกราฟพบว่า ⎛ 1⎞ 5
= ⎜ ⎟ (−4 − 4 − 4 + 1 + 8 + 8) = = 0.625
ถ้า y ∈ {0, 1, 2, 3} จะมี x อยู่ 5 ตัว ตอบ ⎝2⎠ 8
(7) จาก g(k) > 5 → f(k) + 2 > 5 → f(k) > 3 ุ ศูนย์กลาง (1, 2)
∴ ไฮเพอร์โบลามีจด อ้อมแกน x
⎧⎪ 2 , k < −1 (x − 1) 2
(y − 2)2
และ f(k) = ⎨ (k − 1)2 , −1 < k < 2 และค่า a = 5 → − = 1
5 b2
⎪⎩ k + 1 , k > 2
ผ่านจุด (5, 5) จะได้วา่ 16 − 92 = 1
ลองแทนค่าจํานวนเต็ม k ไล่ไปเรือ่ ยๆ 5 b
กรณีบน f(k)=2 เสมอ ไม่มากกว่า 3 อยู่แล้ว 45 45 10
2
b = → ดังนั้น c = 5 + =
กรณีกลาง ถ้า k = 0 ได้ f(0) = 1 , 11 11 11
ถ้า k = 1 ได้ f(1) = 0 แสดงว่าไม่มี k ที่ใช้ได้เลย ⎛ 10 ⎞
จุดโฟกัสคือ ⎜1 ± , 2⎟ ตอบ
⎝ 11 ⎠
กรณีล่าง ถ้า k = 2 ได้ f(2) = 3 ,
(11) ระยะทางจากจุดศูนย์กลาง P(a, b) ไปยัง
ถ้า k = 3 ได้ f(3) = 4
∴ จํานวนเต็ม k ที่นอ ้ ยทีส่ ุดทีท่ ําให้ f(k)>3 คือ 3 เส้นตรงทั้งสอง = 7
5
(gof)(3) = g(4) = f(4) + 2 = 7 ตอบ P
จากการวาดกราฟคร่าวๆ f2
(8) ก. f −1(x) = x2 เมื่อ x > 0 พบว่าวิธหี าจุด (a, b) f1
⎧ x2 ; 0 < x2 < 1 อย่างง่ายคือ ขยับเส้นตรง
∴ gof −1(x) = ⎨ 2 2
⎩ x + 1; x > 1 f1 และ f2 ขึน ้ ไปจากเดิม 1
เป็นฟังก์ชนั เพิ่มในช่วง [0, ∞ ) จริง 7
หน่วย แล้วจึงแก้ระบบสมการเพือ่ หาจุดตัดกัน
ข. g−1(x) = ⎧⎨ x x− 1;; 0 x<>x 2< 1 (เงื่อนไขมาจาก Rg ) 5
⎩ x 3
f1; y = −
+ → 2y + x − 3 = 0
⎧ x 2
;0< x < 1 2 2
∴ fog−1(x) = ⎨ −3 − C ใหม่
2
⎩(x − 1) ; x > 2 7
∴ = → C ใหม่ = −10
5 5
เป็นฟังก์ชนั เพิ่มในช่วง [0, 1) ∪ [2, ∞ ) จริง
ดังนัน้ f1 ใหม่ คือ 2y + x − 10 = 0
∴ ตอบ ก. ถูก และ ข. ถูก
f2; y = 3x − 2 → y − 3x + 2 = 0
(9)
7 2 − C ใหม่
h = a tan 75° .....(1) ∴ = → C ใหม่ = 2 − 7 2
h 5 10
h = (20 + a) tan 60° .....(2)
ดังนัน้ f2 ใหม่ คือ y − 3x + 2 − 7 2 = 0
60° 75° แก้ระบบสมการหาจุดตัดได้
20 a
x = 2 − 2 2, y = 4 + 2 → ตอบ 6 − 2
20 tan 60°
แก้ระบบสมการ จะได้ a =
tan 75° − tan 60° (12) A; 1 log2 x + 1 log2 x + log2 x < log2 (27)
4 2
หาค่า tan 75° จาก 7
1 7
1+ → log2 x < log2 (27) → x 4 < 27
3 +1 4
tan(45° + 30°) = 3 = = 2+ 3 1
1 3 −1
1− → x4 < 2 → x < 16
3
20( 3)
แต่มีเงื่อนไข log จึงได้เพียง 0 < x < 16 เท่านั้น
∴a = = 10 3 B; นํา 33 = 27 คูณทั้งสองข้าง
(2 + 3) − 3
→ 34x − 26 ⋅ 32x > 27
ตอบ 20 + 10 3 = 10 (2 + 3) เมตร
[มอง 32x = A ] จะได้วา่
(10) วงรี; 2
A − 26A − 27 > 0 → (A − 27)(A + 1) > 0
4(x2 − 2x + 1) + 9(y2 − 4y + 4) = −4 + 4 + 36
นั่นคือ A < −1 หรือ A > 27
(x − 1)2 (y − 2)2
→ + = 1 แต่ 32x < −1 ไม่ได้ ∴ 32x > 27 → 2x > 3
9 4
จุดศูนย์กลาง (1, 2) รีตามแกน x x > 3/2 ตอบ A − B = (0, 3)
2
ระยะโฟกัส c = 9 − 4 = 5
B 3
1 = ⎡( 3 cos θ + sin θ) + i ( 3 sin θ − cos θ)⎤⎦
2 ⎣
˜ 1 ˜˜
u ⋅ CB = [CA ⋅ CB + 2| CB |2 ] ˜ ∴ z1 − z2 =
3
3
˜ 1 ˜ ˜1
u | CB | cos θ = [| CA || CB | ( ) + 2| CB |2 ] ˜ 2
3 cos2 θ + sin2 θ + 3 sin2 θ + cos2 θ
3 4
แทนค่า |˜
CA | = 2, |˜
CB | = 1
(พจน์กลางคือ 2 3 sin θ cos θ หักล้างกันแล้ว)
3
จะได้ u cos θ = 5 =
2
4 cos2 θ + 4 sin2 θ = 3
6
1 ˜ ˜ ตอบ ข้อ ก. ผิด, ข.ถูก
หาขนาด u จาก u =
| CA + 2 CB |
3 หมายเหตุ ข้อ ข. อาจพิสจู น์แบบเวกเตอร์
1 10 z1 − z2 = 12 + 12 − 2(1)(1) cos(120°) = 3 ก็ได้
= 22 + 22 + 2(2)(2) ( 1/ 4 ) =
3 3 (18) z = (−1 + 5
3 i) = (2∠120°) 5
5 10 5
∴ cos θ = ÷ = ตอบ = 32∠600° = 32∠240°
6 3 2 2
รากที่สองของ z ได้แก่ 32∠120° กับ
(16) B 32∠(120°+ 180°)
a
c 1 3 1 3
นั่นคือ 32 (− + i) กับ 32 ( − i)
C 2 2 2 2
A ตอบ 2 2(−1 + 3i) และ 2 2(1 − 3i)
b
8. กําหนดตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนห้องหนึ่งดังนี้
คะแนน ความถี่
16 – 18 a
19 – 21 2
22 – 24 3
25 – 27 6
28 – 30 4
ถ้าควอร์ไทล์ที่หนึ่ง ( Q1 ) เท่ากับ 18.5 คะแนน แล้ว มัธยฐานของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของ
นักเรียนห้องนี้เท่ากับเท่าใด
11. กําหนดให้ a เป็นจํานวนจริง และ A (a, 1) , B (−5, −4) , C (1, −2) , D (2, 3) เป็นจุดยอดของรูป
สี่เหลี่ยมด้านขนาน ABCD ถ้า L เป็นเส้นตรงที่ตั้งฉากกับ AC และผ่านจุดกึ่งกลางของด้าน AC
แล้ว สมการของเส้นตรง L คือสมการในข้อใดต่อไปนี้
1. 5x − 3y + 6 = 0 2. 5x − 3y − 6 = 0
3. 5x + 3y + 9 = 0 4. 5x + 3y − 9 = 0
⎡x +2 x x + 1⎤
⎡ x x + 1⎤
13. กําหนดให้ A = ⎢ 0 x x + 1⎥ และ B = ⎢
⎣2x 3 ⎦
⎢ ⎥ ⎥
⎣ x + 1 −1 x ⎦
ถ้า x เป็นจํานวนจริงที่ทําให้ det (A) = 0 แล้ว adj B คือเมตริกซ์ในข้อใดต่อไปนี้
⎡3 −2⎤ ⎡3 0 ⎤
1. ⎢ −2 1 ⎥⎦
2. ⎢2 −1⎥
⎣ ⎣ ⎦
⎡3 −3⎤ ⎡3 1 ⎤
3. ⎢ −4 2 ⎥⎦
4. ⎢4 −2⎥
⎣ ⎣ ⎦
1
19. กําหนดให้ f เป็นฟังก์ชันซึ่ง f′′(x) = 2x + 1 ถ้าค่าสูงสุดสัมพัทธ์ของ f เท่ากับ ที่ x = −1
2
แล้ว ค่าต่ําสุดสัมพัทธ์ของ f เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −1 2. − 1 3. 0 4. 1
3 3
ก. ถ้าพนักงานขายประกันคนหนึ่งมีประสบการณ์การขาย 6 ปี ยอดขายโดยประมาณของ
พนักงานคนนี้เท่ากับ 51, 250 บาท
ข. ประสบการณ์การขายเพิ่มขึ้น 1 ปี ทําให้ยอดขายประกันเพิ่มขึ้น 11, 250 บาท
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 5.5 (2) 2.25 (3) 243 (4) 8 (5) 18 (6) 7 (7) 0.48 (8)
24.5
ตอนที่ 2 (1) 2 (2) 4 (3) 3 (4) 3 (5) 3 (6) 2 (7) 1 (8) 4 (9) 1
(10) 4 (11) 1 (12) 1 (13) 4 (14) 3 (15) 1 (16) 2 (17) 3 (18) 2 (19)
4 (20) 1 (21) 1 (22) 2 (23) 3 (24) 2 (25) 2 (26) 3 (27) 4 (28) 4
เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 = 2 sin B(1 − sin2 B) + (1 − 2 sin2 B)(sin B)
(1) A; เนือ่ งจากเป็นบวกแน่นอนทั้งสองข้าง จึงยก = 3 sin B − 4 sin3 B ดังนัน
้ ในข้อนีถ้ าม 4 sin 3B
กําลังสองได้ เป็น x2 > (x − 1)2 แล้วย้ายมาลบกัน ⎡ 3 3 3⎤
= 4 ⎢3 ( ) − 4 ( ) ⎥ =
9
= 2.25 ตอบ
x2 − (x − 1)2 > 0 → (x − x + 1)(x + x − 1) > 0 ⎣ 4 4 ⎦ 4
1 (3) อนุกรมเลขคณิต;
→ 2x − 1 > 0 ∴ A = ( , ∞)
2 log9(3x − 2) − log9 3 = log9(3x + 16) − log9(3x − 2)
B; เขียนเส้นจํานวนได้คําตอบเป็น (−3, −1) ∪ [5, ∞) 3x − 2 3x + 16
→ = x → ให้ 3x = A
ดังนัน้ A − B = ( 1 , 5) → 1 + 5 = 5.5 ตอบ 3 3 −2
2 2 จะได้ (A − 2)2 = 3(A + 16) → A2 − 7A − 44 = 0
sin B sin 30° 3
(2) กฎของ sine; = → sin B = → (A − 11)(A + 4) = 0 → 3x = 11 เท่านัน้
3 2 4
พิสูจน์ sin 3B = sin(2B + B) ดังนัน้ อนุกรมนีค้ ือ log9 3 + log9 9 + log9 27
= sin 2B cos B + cos 2B sin B = 0.5 + 1 + 1.5 + … → ผลบวก 4 พจน์แรก
= (2 sin B cos B)(cos B) + (1 − 2 sin2 B)(sin B) S = 0.5 + 1 + 1.5 + 2 = 5 → ตอบ 35 = 243
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 498 ขอสอบเขาฯ มี.ค.46
(7) ก. จาก y = −(x − 1)2 เมื่อ x < 1→ y <0 (10) แสดงว่าจุดโฟกัสคือ (−3, 2) กับ (5, 2)
จะได้อนิ เวอร์สเป็น x = −(y − 1)2 → −x = (y − 1) 2
จุดศูนย์กลาง (h, k) = (1, 2) ระยะโฟกัส c = 4 ,
→ ± −x = y − 1 วงรีตามแกน x ...คําว่า 12 หน่วย แสดงว่า a = 6
แต่ y <1 ทําให้ได้ − −x เท่านั้น ∴ จุดยอด A(−5, 2) B(7, 2)
− −x = y − 1 → y = 1 − −x (x − 1)2 (y − 2)2
สมการวงรีคือ − 2 = 1
ซึ่ง x <0 เสมอ สามารถเขียน −x เป็น x ได้ 62 6 − 42
−1
หาจุดตัดแกน y; แทน x = 0
→ f (x) = 1 − x ถูก
1 (y − 2)2 175
= 1 → (y − 2)2 =
ข. หา f −1(− 1) → − 1 = −(x − 1)2
→ −
36 20 9
4 4
5 7 D
1 1 → y = 2±
→ x−1= ± → x = เท่านัน้ 3
2 2 A (0,2) B
1 1
∴ f −1(− ) =
4 2
C
ต่อมา หา g−1( 1) → 1 = 1 − x → x = 3 ถูก
2 2 4 ∴ พืน้ ที่ ABCD ซึ่งเป็น รูปว่าว
ตอบ ข้อ 1. 1
= × ผลคูณเส้นทแยงมุม
(8) x2 − y2 − 2x + 6y < 8 2
→ (x − 2x + 1) − (y2 − 6y + 9) < 8 + 1 − 9
2
1 10 7
= × 12 × = 20 7 ตร.หน่วย
→ (x − 1)2 − (y − 3)2 < 0 2 3
1
= lim 3 (A − B)(1 − AB)
x →0 x
1 ⎛ A2 − B2 ⎞ ⎛ 1 − A2B2 ⎞
= lim 3 ⎜ ⎟⎜ ⎟
x →0 x
⎝ A + B ⎠ ⎝ 1 + AB ⎠
1 ⎛ 2x ⎞ ⎛ x2 ⎞
= lim 3 ⎜ ⎟⎜ ⎟
x → 0 x ⎝ A + B ⎠ 1 + AB
⎝ ⎠
2 2 1
= lim = = ตอบ
x → 0 (A + B)(1 + AB) (2)(2) 2
(22) s
(26) X = 60, = 0.25 → s = 15
X
xค − x ว = 9 .....(1)
a ⎛ 7 ⎞ 0 7 a xค − 60 x ว − 60
⎟⎟ = 2a zค + zว = + = 1.5
∫ − ⎜− ∫
⎜ 15 15
7 ⎝ 0 ⎠
a 7
→ xค + x ว = 142.5 .....(2)
⎛ x3 ⎞ ⎛ x3 ⎞ 142.5 − 9
→ ⎜ − 7x ⎟ +⎜ − 7x ⎟ = 2a แก้ระบบสมการได้ xว = = 66.75
⎝ 3 ⎠ 7 ⎝ 3 ⎠ 0 2
⎡ ⎛ a3 ⎞ ⎛7 7 ⎞ ⎤ ⎡⎛ 7 7 ⎞ ⎤ คะแนน จึงตอบ ข้อ 3.
⎢⎜ − 7a ⎟ − ⎜ − 7 7 ⎟ ⎥ + ⎢⎜ − 7 7 ⎟ − (0)⎥
(ถ้าอยากคิด zค จะได้
⎣⎝ 3 ⎠ ⎝ 3 ⎠ ⎦ ⎣⎝ 3 ⎠ ⎦
= 2a 75.75 − 60
xค = 75.75 → zค = = 1.05 )
15
a3
→ − 9a = 0 → a = 3 3 ตอบ (27)
3
(23) เลือก ⎛⎜ 62 ⎞⎟ ⎛⎜ 71 ⎞⎟ ⎛⎜ 11⎞⎟ และสลับได้ 4!
0.258
0.47
⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠
0.03
∴ คูณกันได้ 2,520 วิธี ตอบ 136.5 Mo 149.4 x
(24) วิธที ั้งหมดเท่ากับ 20 !
(สาเหตุที่เป็น 20 ! เนื่องจากโต๊ะอยู่ใกล้กนั จึง ที่ 136.5 → A = 0.258 ทางซ้าย
เปรียบเหมือนมีตาํ แหน่งที่นั่งเกิดขึน้ แล้ว จะไม่ใช่ 136.5 − X
→ z = −0.7 = .....(1)
วงกลมอีกต่อไป) s
ที่ 149.4 → A = 0.47 ทางขวา
วิธีทตี่ อ้ งการ ⎛⎜ 20 ⎞
1 ⎟×2 × 18 !
⎝ ⎠ 149.4 − X
→ z = 1.88 = .....(2)
2 คนเลือกที่นั่ง 18 คนที่เหลือ s
2 แก้ระบบสมการได้ s = 5, X = 140 ซม.
นํามาหารกันได้คาํ ตอบเป็น ตอบ
19
∴ ตอบ ฐานนิยม (Mo) = X = 140 ซม.
(25) แก้ตามสูตร
Σy = mΣx + cN → 41 = 48m + 8c
และ s2 = 25 ซม.2
และ Σxy = mΣx2 + cΣx → 286 = 348m + 48c
(28) ปี 44 เทียบ 43;
100 + 115 + 125 2,000
1.19 = → ΣP43 = บาท
จะได้ m = 2 และ c = 9 ∴ Ŷ 2
= X+
9
ΣP43 7
3 8 3 8
105 + 125 + 130
ก. x = 6 → Yˆ = 2 (6) + 9 = 5.125 ปี 45 เทียบ 43;
(2,000/ 7)
= 1.26 ตอบ
3 8
→ 51,250 บาท
4. 1 + cos (
π + (arccos 4 − arctan 4)) เท่ากับเท่าใด
2 5 3
5. กําหนดเวกเตอร์ a, b, c ดังนี้ a = 4 i − 2 j , a + b = 6 i + 4 j
และ c = c1 i + c2 j โดยที่ c1 > 0 , c2 > 0 และ c = 2 17
ถ้า c ตั้งฉากกับ (a − b) แล้ว c1 + c2 มีค่าเท่ากับเท่าใด
2. พิจารณาการอ้างเหตุผลต่อไปนี้
ก. เหตุ 1) p ∧ q ข. เหตุ 1) P (x) → ~ Q (x)
2) (q ∨ r) → (s ∧ p) 2) Q (x) ∨ R (x)
3) p → ~ r ผล P (x) → R (x)
ผล s ∧ ~r
ข้อความใดต่อไปนี้ถูก
1. ก และ ข สมเหตุสมผลทั้งคู่ 2. ก สมเหตุสมผล แต่ ข ไม่สมเหตุสมผล
3. ก ไม่สมเหตุสมผล แต่ ข สมเหตุสมผล 4. ก และ ข ไม่สมเหตุสมผลทั้งคู่
3. ให้เอกภพสัมพัทธ์คือเซตของจํานวนจริง
ถ้า P (x) แทนข้อความ x2 − 3x < 0 และ Q (x) แทนข้อความ −2 < log 1/ 3 x < −1 แล้ว
ประโยคในข้อใดต่อไปนี้มีค่าความจริงเป็นจริง
1. ∀x [P (x) → Q (x)] 2. ∀x [Q (x) → P (x)]
3. ∀x [~ P (x) → Q (x)] 4. ∀x [P (x) → ~ Q (x)]
⎧⎪ −a (10 x) , x < 1
5. กําหนดให้ a > 0 และ g(x) = ⎨ 3
⎪⎩ x − 1 ,x > 1
ถ้า Rg = (−2.5, ∞) แล้ว พิจารณาข้อความต่อไปนี้
⎧⎪ log(4|x|) , x < 0
ก. g−1(a − 1) = log 2 ข. g−1(x) = ⎨
⎪⎩ 3 x + 1 ,x > 0
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
x2 − 4
6. ให้ r = {(x, y) | y = } พิจารณาข้อความต่อไปนี้
x −2
ก. 4 ∈ Rr ข. Rr −1 = [0, 4) ∪ (4, ∞)
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
sin A 2 cos A 1
9. ถ้า = และ = แล้ว tan 2 B มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
sin B 3 cos B 2
1. 4 2. 32 3. 1 4. 23
x + 3⎞
11. กําหนดให้ S เป็นเซตคําตอบของอสมการ log x ⎛⎜ ⎟ > 1 และ
⎝ x − 1⎠
T = { log 3 x | x ∈ S } แล้ว T เป็นสับเซตของช่วงใดต่อไปนี้
1. [0, 2] 2. [1, 3] 3. [1/2, 5/2] 4. [1/3, 7/3]
⎡ a 1 2a + 6 ⎤
12. กําหนดให้ a เป็นจํานวนจริง และ A = ⎢6 a 3 ⎥⎥
⎢
⎢⎣ a 2 a ⎥⎦
ถ้า M11(A) = 18 และ M22(A) = −12 แล้ว C31(A) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −57 2. −33 3. −15 4. −3
⎡ 1 0 2⎤
13. กําหนดให้ a เป็นจํานวนจริง และ A = ⎢0 3 0⎥
⎢ ⎥
⎣4 0 a⎦
ถ้า a > 10 และ det (adj A) = 225 แล้ว a มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 11 2. 12 3. 13 4. 14
˜ ˜ 1 ˜2
ก. 3 ˜
AD = 2˜
AB + BC ข. ˜
AD ⋅ BC = − |BC |
6
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
z2 + 4z − 32
17. ให้ z = a + bi ซึ่ง b > 0 ถ้า z สอดคล้องกับ = 1 และ z z = 61
z2 − 64
แล้ว a + b มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 9 2. 10 3. 11 4. 12
20. กําหนดให้ g เป็นฟังก์ชันพหุนาม และ f (x) = x g (x) ถ้า f′ (x) = 4x3 + 9x2 และ f (0) = 0
d ⎡ f (x) ⎤
แล้ว ⎢ ⎥ ที่จุด x = −2 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
dx ⎣ g(x + 1)⎦
1. −4 2. −2 3. 2 4. 4
0
∫ f (x) dx = 55
12
แล้ว f (1) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 9 2. 10 3. 11 4. 12
28. ให้ปี พ.ศ. 2539 เป็นปีฐานในการหาดัชนีราคาผู้บริโภคตัง้ แต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นไป สมมติว่า
ดัชนีราคาผู้บริโภคใน พ.ศ. 2540 เท่ากับ 104 และค่าครองชีพใน พ.ศ. 2543 สูงกว่าค่าครองชีพใน
พ.ศ. 2540 เท่ากับ 25 เปอร์เซ็นต์ ถ้านายสุจริตมีรายได้ต่อเดือนที่แท้จริงใน พ.ศ. 2543 เท่ากับ
20,000 บาท แล้ว เขามีรายได้ต่อเดือนเป็นตัวเงินเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 23,000 บาท 2. 24,000 บาท 3. 25,000 บาท 4. 26,000 บาท
เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 56 (2) 0.5 (3) 4 (4) 1.28 (5) 10 (6) 5 (7) 44.79 (8) 90
ตอนที่ 2 (1) 2 (2) 1 (3) 4 (4) 1 (5) 4 (6) 3 (7) 2 (8) ไม่มีข้อถูก (9)
2 (10) 4 (11) 1 (12) 2 (13) 3 (14) 3 (15) 3 (16) 2 (17) 3 (18) 1
(19) 4 (20) 1 (21) 3 (22) 2 (23) 2 (24) 1 (25) 4 (26) 3 (27) 2
(28) 4
เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 a+b ต้องเป็นจํานวนคี่เท่านัน้
(1) n(A × B) = 40 m ∴ a, b = 5 กับ 8 ... จะได้ m = (13 − 7) / 2 = 3
แสดงว่า ab = 40 .....(1) n(A ∪ B) = 5 + 8 − 3 = 10
n [(A − B) ∪ (B − A)] = 7 แสดงว่า ดังนัน้ จํานวนสับเซตของ A ∪ B ซึ่งหยิบสมาชิกมา
(a − m) + (b − m) = 7 → a + b = 2 m + 7 .....(2) < 2 ตัว คือ = ⎛⎜ 10 ⎞ ⎛ 10 ⎞ ⎛ 10 ⎞
0 ⎟ + ⎜ 1 ⎟ + ⎜ 2 ⎟ = 56 ตอบ
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
โดยที่ a, b, m เป็นจํานวนนับ และ m < a, b
[หมายเหตุ a, b เป็น 1, 40 ไม่ได้
จากสมการแรกพบว่ามี a, b หลายคู่ คือ 1, 40
เพราะจะทําให้ m = (41 − 7) / 2 = 17 มากกว่า a ]
2, 20 4, 10 5, 8 แต่จากสมการที่สองจะทราบว่า
⎝2 ⎠
⎛ 4 4⎞
ประโยค (2) แสดงว่า a (b + c) ∴ a (2b + 2c)
1 − sin ⎜ arccos − arctan ⎟
⎝ 5 3⎠ นําไปลบกับ (1) เพื่อกําจัด b ทิ้งไป จะได้ว่า
ใช้สูตร sin(A − B) = sin A cos B − cos A sin B a [(2b + 2c) − (2b − c)] → a 3c ก. ถูก
⎛3 3 4 4⎞ x2 − 2x + 2 − x + 2
ได้เป็น 1 − ⎜ ⋅ − ⋅ ⎟ = 1.28 ตอบ ข. A; < 0
⎝5 5 5 5⎠ x −2
(5) a = 4i − 2j.....(1) x2 − 3x + 4
→ < 0 → x −2 < 0
a + b = 6 i + 4 j .....(2) x−2
นําสมการ (2) ลบด้วยสมการ (1) (เพราะ x2 − 3x + 4 แยกไม่ได้) ∴ A = (−∞, 2)
ได้ b = 2 i + 6 j ∴ (a − b) = 2 i − 8 j B; x2(x − 2) < 0 → เขียนเส้นจํานวนโดยให้มีเลข
เวกเตอร์ c มีขนาด 2 17 → c21 + c22 = 2 17 0 สองครั้งด้วย จะได้ B = (−∞, 2) − {0} ข. ผิด
และตั้งฉากกับ 2 i − 8 j (ดอทกันได้ 0) ตอบ ข้อ 2.
(2) ก. ให้เหตุเป็นจริงทุกข้อ
→ 2c1 − 8c2 = 0 แก้ระบบสมการ จะได้วา่ p จริง, q จริง, r เท็จ, s จริง
จะได้ c1 = 8, c2 = 2 ตอบ 10 พบว่าผลจะเป็นจริงเสมอ ดังนัน้ ก. สมเหตุสมผล
(6) y สัมผัสกับ L; y = −6x − 5 ที่จดุ x = −1 ข. เหตุ 2 คือ Q(x) ∨ R(x) เปลี่ยนรูปเป็น
แสดงว่า f(−1) = −6(−1) − 5 = 1 → −a + b − 3 = 1 ~ Q(x) → R(x) แล้วนําไปรวมกับเหตุ 1 คือ
และความชัน f′(−1) = −6 → 3a − 2b = −6 P(x) → ~ Q(x) ได้ผลเป็น P(x) → R(x)
แก้ระบบสมการได้ a = 2 และ b = 6 ดังนัน้ ข. สมเหตุสมผล ตอบ ข้อ 1.
∴ f(x) = 2x3 + 6x2 − 3 → f′(x) = 6x2 + 12x = 0 (3) P(x); x (x − 3) < 0 → 0 < x < 3
→ x = 0, −2 แสดงว่า P(x) แทนข้อความ “ x ∈ (0, 3) ”
f(0) = −3 , f(−2) = 5
ซึ่ง −1 −2
⎛ 1⎞ ⎛ 1⎞
∴ ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ = 5 ตอบ Q(x); ⎜ ⎟ < x < ⎜ ⎟ → 3 < x < 9
⎝3⎠ ⎝3⎠
(7) ปี 2547; เทียบเป็นค่า x = 11 แสดงว่า Q(x) แทนข้อความ “ x ∈ (3, 9) ”
∴ Ŷ = 0.54(11) + 38.85 = 44.79 ลิตร ตอบ ∴ ข้อที่ถูกคือ ข้อ 4. ตอบ
(8) ตอนที่ 1 เลือกทํากีข่ ้อก็ได้ ยกเว้นไม่ทําเลย [สําหรับทุกๆ x, ถ้า x ∈ (0, 3) แล้ว x ∉ (3, 9) ]
4 4 4 4
→ ⎛⎜ 1 ⎞⎟ + ⎛⎜ 2 ⎞⎟ + ⎛⎜ 3 ⎞⎟ + ⎛⎜ 4 ⎞⎟ = 24 − 1 = 15 วิธี (4) f −1(x) = x2 → f(x) = x
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
4 g−1(x) = ( x)2 + 1 = x + 1 → g(x) = x − 1
ตอนที่ 2 เลือกสองข้อเท่านั้น → ⎛⎜ 2 ⎞⎟ = 6 วิธี
⎝ ⎠ ดังนัน้ f(a) + g(a) = a + a − 1 = 19
∴ ตอบ 15 × 6 = 90 วิธี → a+ a − 20 = 0 → ( a − 4)( a + 5) = 0
จะได้ a = 16 เท่านัน้
∴ f −1(16) + g−1(16) = 162 + 16 + 1 = 273 ตอบ
()
1 2 ⎜2⎟ 6 × 15
n
นํา คูณทั้งสองข้าง จะได้ จะได้วา่ = ⎝ ⎠ → 2 = = 45
1
2
1 1 1
S∞ = 1( ) + (1+ x)( )2 + (1+ x + x2)( )3 + …
15 n
2 () 2
¢oÊoºe¢ÒÁËÒÇi·ÂÒÅa ÁÕ.¤.47 (o )
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 8 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 2 คะแนน
1. กําหนดให้ f (x) = 10 x และ g(x) = 100 − 3x2
จํานวนเต็มที่มีค่ามากที่สุดที่เป็นสมาชิกของ Rgof มีค่าเท่าใด
1 1
2. ค่า sin(2 arctan ) + cot 2(arcsin ) เท่ากับเท่าใด
2 3
5. ให้ A, B เป็นเมตริกซ์มิติ 3 × 3
1
ถ้า A B = 3 I โดยที่ I เป็นเมตริกซ์เอกลักษณ์ และ adj B = A
3
แล้ว det (A) มีค่าเท่ากับเท่าใด
5. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ประพจน์ [p → (q → r)] ↔ [q → (p → r)] เป็นสัจนิรันดร์
ข. มีจํานวนจริง a อยู่ในช่วง (0, 1) ทําให้ประโยค ∃x [x2 + x + a = 0] มีค่าความจริงเป็นจริง
4
1
เมื่อเอกภพสัมพัทธ์คือ U = (− , 0)
2
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
⎧⎪ 1 − x , x ∈ [0, 1]
8. กําหนดให้ f (x) = ⎨
⎪⎩1 + x − 1 , x ∈ (1, ∞)
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. f −1(x) ≠ f (x) ทุก x ∈ (1, ∞)
ข. มีจํานวนจริง a > 0 เพียง 2 จํานวนเท่านั้น ซึ่ง f −1(a) = a
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
⎡ a a −2 −1⎤
12. กําหนดให้ A = ⎢ −1 a 1⎥ เมื่อ a เป็นจํานวนจริง
⎢ ⎥
⎣ 1 − 1 a ⎦
ถ้า M11(A) = 5 และ M33(A) = 0 แล้ว พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. det (A) = 11 ข. C13(A) = −1
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
14. ให้ A, B, C
เป็นจุดสามจุดที่ไม่อยู่บนเส้นตรงเดียวกัน และ D เป็นจุดบนเส้นตรง BC ที่ทําให้
BD : DC = 2 : 1 ถ้า |˜AD|2 = a |˜
˜
AB|2 + b |AC|2 + c |˜
˜
AB ⋅ AC| โดยที่ a, b, c เป็น
˜ ˜
จํานวนจริง และ AB ⋅ AC ≠ 0 แล้ว a + b + c มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
2 2 2
1. 31 2. 32 3. 10 4. 11
81 81 27 27
⎧ 1
⎪ ,x≠0 1
18. กําหนดให้ f (x) = ⎨ x และ g(x) =
⎪⎩ 1 , x = 0 x−1
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
1 1
ก. f g ต่อเนื่องที่ x=0 ข. f′ (− ) = g′ ( )
2 2
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
1 4 2 3 1 2 1
19. เมื่อพิจารณากราฟของฟังก์ชัน f (x) = x − x − x + 2x −
4 3 2 3
พบว่า กราฟของ f มีจุดวิกฤต (c, f (c)) ซึ่ง c > 0 เป็นจํานวน a จุด และกราฟของ f ตัดแกน
x เป็นจํานวน b จุด ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. a = 1, b = 2 2. a = 1, b = 4 3. a = 2, b = 2 4. a = 2, b = 4
เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 9 (2) 8.8 (3) 0.5 (4) 3 (5) 27 (6) 0.8 (7) 1.25 (8)
338.9
ตอนที่ 2 (1) 1 (2) 3 (3) 1 (4) 4 (5) 1 (6) 2 (7) 4 (8) 3 (9) 4
(10) 2 (11) 4 (12) 4 (13) 2 (14) 4 (15) 4 (16) 2 (17) 3 (18) 1 (19)
3 (20) 2 (21) 3 (22) 3 (23) 2 (24) 1 (25) 2 (26) 3 (27) 2 (28) 2
เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 1
(5) AB = 3I .....(1) และ adjB = A .....(2)
2 3
(1) (gof)(x) = 100 − 3(f(x))
จาก f(x) = 10x ∴ f(x) > 0 เสมอ จาก (1) จะได้ B = 3A−1
ดังนัน้ adj B = adj (3A−1)
→ f(x)2 > 0 → 3(f(x))2 > 0
33 1
→ 100 − 3(f(x))2 < 100 = 3A −1 ⋅ (3A −1)−1 = ⋅ A
A 3
→ 0 < 100 − 3(f(x))2 < 10 ∴ Rgof = [0, 10 ) 1
แต่สมการ (2) บอกว่า adjB = A
จํานวนเต็มที่มากที่สดุ คือ 9 ตอบ 3
(2) 33
∴ = 1 → A = 27 ตอบ
A
5 3 ⎡ 1 ⎤ ตั้งฉากกับ ⎡ −8⎤ แสดงว่าดอทกันได้
1 1 (6) 0
⎢⎣4⎥⎦ ⎢⎣ a ⎥⎦
A B → −8 + 4a = 0 → a = 2
2 8
จาก ⎡5⎤ = ⎡ b ⎤ + ⎡ −8c ⎤
sin(2A) + cot2(B) = 2 sin A cos A + cot2 B
⎣⎢3⎦⎥ ⎢⎣4b⎦⎥ ⎢⎣ 2c ⎦⎥
1 2 4
= 2( )( ) + ( 8)2 = + 8 = 8.8 ตอบ ∴ b − 8c = 5 และ 4b + 2c = 3
5 5 5
1
(3) จัดรูปพาราโบลา; ได้ b = 1 และ c = −
2
2
x + 2x + 1 = −8y − a + 1 ⎡2⎤ 1 ⎤
a−1
หามุมระหว่าง ⎢⎣0⎥⎦ กับ ⎡⎢ −1/2 ⎥⎦ → ดอทกัน;
→ (x + 1)2 = 4(−2)(y + ) เป็นพาราโบลาคว่ํา ⎣
8 1 1
(2)(1) + (0)(− ) = 22 + 02 12 + (− )2 cos θ
จุดยอด V(h, k) = (−1, − a − 1) ระยะโฟกัส c = 2 2 2
8
5
โจทย์บอกว่า y = 4 เป็นไดเรกตริกซ์ → 2 = (2)( ) cos θ
2
a−1 2
∴ 2 = 4 − (− ) → a = −15 → cos2 θ = ( )2 = 0.8
ตอบ
8
5
แสดงว่าจุดยอด คือ V(−1, 2) (7) (fog)(x) = 3g(x) + 1 → ∴ (fog)′ (x) = 3g(x) ′
และสมการพาราโบลาคือ x2 + 8y + 2x − 15 = 0 แต่โจทย์ให้ (fog)′ (x) = 3x2 + 1 ∴ 3g(x) ′ 2
= 3x + 1
หาจุดตัดแกน x โดยแทน y = 0 3
1 x x
→ x2 + 2x − 15 = 0 → x = −5 หรือ 3 → g(x) ′ = x2 + → g(x) = + +C
3 3 3
แต่โจทย์จะใช้ตดั แกน x ทางลบ ∴ P(−5, 0) ซึ่ง g(0) = 1 ดังนั้น C = 1
2−0 1
ความชันระหว่าง P กับ V = = 0.5 ตอบ 1
⎛ x4 x2 ⎞
−1 + 5 → ∫ g(x) dx = ⎜ + + x⎟
(4) มอง 2 x−1
= A จะได้ว่า 0 ⎝ 12 6 ⎠ 0
2
log2(A + A + 6) = log2 4 + log2(A + 1) 1 1
= + + 1 = 1.25 ตอบ
2 2
12 6
∴ A + A + 6 = 4(A + 1) → A − 3A + 2 = 0
(8) Ŷ = 162 + cx ;
→ A = 2 หรือ 1 แสดงว่า 2x − 1 = 2 หรือ 1 โจทย์บอกว่า ปี 2547 (x = 11) นัน้ Ŷ = 316.3
→ x − 1 = 1 หรือ 0 → x = 2 หรือ 1
→ 316.3 = 162 + c(11) → c = 11.3
∴ ตอบ 3
โจทย์ถาม x = 13 ˆ = 162 + (11.3)(13)
→ Y
= 338.9 กก. ตอบ
คิดรูปใหญ่; CB = 3 + 8 → a = 5 หรือ -7
sin A sin 60°
2 แต่ a เป็นจํานวนบวก ∴ a = 5
→ CB = ( 3 + 8) sin A
3 ทดลองแทนค่าจุด (0, 8) ได้ P = 40 < 70 ,
หา sin A จาก
จุด (0, 6) ได้ P = 30 < 70
sin(180° − 60° − B) = sin(120° − B)
∴ จุด (2, 4) เกิด Pmax จริงๆ ตอบ ข้อ 2.
3 8 1 1 24 + 1
=( )( ) − (− )( ) = (14) จากสูตรแบ่งเวกเตอร์ A C
2 3 2 3 6
˜
AD = ˜AB + ˜
1 2 1
2 24 + 1 8 6 AC
∴ CB = ( 3 + 8)( )= 3+ 3 3 D
3 6 9
ยกกําลังสองทั้งสองข้าง 2
จะได้ CD = CB − 3 = 8 6 ตอบ (นําตัวเองมาดอท)
9 B
(10) จัดรูปไฮเพอร์โบลา ˜ 1 ˜ 4 ˜˜
4 ˜
2(y2 − 6y + 9) − 3(x2 − 2x + 1) = −9 + 18 − 3 → |AD|2 = |AB|2 + |AB ⋅ AC| + |AC|2
9 9 9
(y − 3)2 (x − 1)2 1 4 4 11
→ − = 1 → (h, k) = (1, 3) ∴ a2 + b2 + c2 = ( )2 + ( )2 + ( )2 = ตอบ
3 2 9 9 9 27
เปิดบนล่าง, c = 5 F (15) z − 2 3 คือรากทีส่ ามของ −8 i
r=3 ซึ่ง −8 i = 8∠270° มีรากทีส่ ามได้แก่
5
ดังนัน้ จาก A 2∠90° = 2 i , 2∠210° = − 3 − i , และ
P (1,3)
Δ มุมฉาก APF 2∠330° = 3 −i
ได้ AP = 2 หน่วย ดังนัน้ z = 2 3 + 2 i , 3 − i , 3 3 − i
∴ จุด A มีพิกด ั (3,3) O ตัวที่มขี นาดเป็นจํานวนเต็มคือ 2 3 + 2 i
ระยะทางทีต่ อ้ งการ = 32 + 32 = 18 ตอบ
(ขนาด=4) และ 3 − i (ขนาด=2)
(11) 4 ⋅ 22 log x − 9 ⋅ 2log x − log 10 + 1 + 2 < 0
∴ ตอบ (2 3 + 2 i) + ( 3 − i) = 3 3 + i
มอง 2log x = A จะได้ว่า 4A2 − 9A + 2 < 0
1 (16) z1z2z3 = 1 .....(1)
→ (4A − 1)(A − 2) < 0 → < A<2
1
4
และ z1 + z2 + z3 = 1 + 1 + 1 .....(2)
< 2log x < 2 → −2 < log x < 1 z1 z2 z3
→
4 ก. ซ้าย = 1 − z1 − z2 + z1z2
1 a
→ < x < 10 ∴ = 1,000 ตอบ 1
100 b = 1 − z1 − z2 + (จาก(1))
z3
(12) M11 = −a1 a1 = 5 → a2 + 1 = 5 → a = ±2
ขวา = 1 − 1 − 1 + 1
a a −2 z1 z2 z1z2
M33 = −1 a = 0 → a2 + a − 2 = 0 1 1
= 1− − + z3 (จาก(1))
z1 z2
∴ a = −2 เท่านัน้
−2 −4 −1 ถ้าซ้าย = ขวา จะได้
ก. A = −1 −2 1 = −8 − 1 − 4 − 2 − 2 + 8 = −9 1 1 1
1 −1 −2 1 − z1 − z2 + = 1− − + z3
z3 z1 z2
−1 −2 1 1 1
ข. C13 = 1 −1 = 1 + 2 = 3 ตอบ ก.ผิด, ข.ผิด → + + = z1 + z2 + z3 ตรงกับ (2) (ก.ถูก)
z1 z2 z3
1 ⎧ x − 1 , g(x) ≠ 0
ข. จาก (1) z2z3 = .....(1a) (18) ก. (fog)(x) = ⎨
z1 ⎩ 1 , g(x) = 0
1 1 1 (กรณีบน x ≠ 1 ด้วย มิฉะนั้นจะหา g(x) ไม่ได้)
จาก (2) z2 + z3 − − = − z1
z2 z3 z1
และพบว่า กรณีล่าง g(x) = 0 นั้นเป็นไปไม่ได้
z3 + z2 1
→ z2 + z3 − = − z1 ∴ (fog)(x) = x − 1 เท่านัน
้ ต่อเนื่องที่ x = 0 แน่ๆ
z2z3 z1
→ z2 + z3 − z1(z2 + z3) =
1
− z1 ข. f′(− 1) = (− 12 ) 1 = −4
z1 2 x x=−
2
1 1 1
− z1 g(
′ )= − = −4
z1 1 − z21 2 (x − 1)2 1
→ z2 + z3 = = x=
2
1 − z1 z1(1 − z1)
1 + z1 1 ตอบ ก.ถูก และ ข.ถูก
= = + 1 .....(2a) (19) f′(x) = x3 − 2x2 −x+2 = 0
z1 z1
→ (x − 2)(x − 1)(x + 1) = 0 → x = −1, 1, 2
มอง 1 = A จะได้ (1a) z2z3 = A ,
z1 ∴ ที่ c > 0 มีจดุ วิกฤต 2 จุด
และ (2a) z2 + z3 = A + 1 ..แก้ระบบสมการ (คือ x = 1 , x = 2 )
A
+ z3 = A + 1 → z23 − (A + 1)z3 + A = 0 แทนค่า f(−1) = 1 + 2 − 1 − 2 − 1
= ติดลบ,
z3 4 3 2 3
1 2 1 1
A + 1±A2 + 2A + 1 − 4A f(1) = − − +2− = เป็นบวก,
→ z3 = 4 3 2 3
2
(A + 1) ± (A − 1) และ f(2) = 4 − 16 − 2 + 4 − 1 = เป็นบวก
→ z3 = = A หรือ 1 3 3
2 แสดงว่ากราฟเป็นดังรูป
∴ z2 = 1 หรือ A ∴ มีจุดตัดแกน x
1 รวม 2 จุด -1
แต่โจทย์บอกว่า z1 ≠ 1, z2 ≠ 1 ∴ z2 = A =
z1 1 2
ตอบ ข้อ 3.
และ z3 ต้องเป็น 1 เสมอ
ทําให้ z3 + i z3 − i = 2 ⋅ 2 = 2 (ข.ผิด) (20) (hof)(x) = [f(x)]3 + 1
ตอบ ข้อ 2. จาก (hof)(a) = 9 → [f(a)]3 + 1 = 9 → f(a) = 2
⎛ n(n + 1) ⎞ จาก (hof)′ (a) = 0 → 3[f(a)]2 ⋅ f′(a) = 0
n ⎜ ⎟
(17) คิด nlim an = lim ⎝ 2 ⎠
→∞ n → ∞ 3 ⎛ n(n + 1)(2n + 1) ⎞
→ 3(2)2 ⋅ f′(a) = 0 → f′(a) = 0
⎜ ⎟ และจาก (hof)′′ (a) = −1
⎝ 6 ⎠
⎛ n ⎞ 1 → 3[f(a)]2 f′′(a) + 3f′(a) ⋅ 2[f(a)]f′(a) = −1
= lim ⎜ ⎟ =
n → ∞ ⎝ 2n + 1 ⎠ 2 → 3(2)2 ⋅ f′′(a) + 3(0)(2)(2)(0) = −1
( 3n + 2 − 3n + 1) 1
ต่อมา คิด lim bn = lim → f′′(a) = −
n→∞ n→ ∞ ( n + 2 − n + 1) 12
⎛ 3n + 2 + 3n + 1 n+2 + n+ 1⎞ สรุป f′(a) = 0 แปลว่า เกิดค่าวิกฤตที่ x=a
คูณด้วย ⎜⎜ ⋅ ⎟
f′′(a)ติดลบ แปลว่า เป็นจุดสูงสุดสัมพัทธ์
⎝ 3n + 2 + 3n + 1 n + 2 + n + 1 ⎟⎠
1 ( n+2 + n + 1) f(a) = 2 แปลว่า ค่าสูงสุดนัน
้ เท่ากับ 2 ตอบ ข้อ 2.
จะได้ = lim
n→∞ 1 ( 3n + 2 + 3n + 1)
นํา n หารทั้งเศษและส่วน ได้
2 1
1+
+ 1+
n n = 1+ 1 1
= lim =
n→∞ 2 1 3 + 3 3
3+ + 3+
n n
ตอบ 1 + 1
2 3
¢oÊoºe¢ÒÁËÒÇi·ÂÒÅa µ.¤.47 (p )
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 10 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย
ข้อ 1 – 5 ข้อละ 2 คะแนน ข้อ 6 – 10 ข้อละ 3 คะแนน
(x − 1)2 (y − 2)2
1. กําหนดให้ A เป็นจุดๆ หนึ่งบนไฮเพอร์โบลา − = 1
9 16
ถ้าระยะห่างระหว่างจุด A และจุดโฟกัสจุดหนึ่งของไฮเพอร์โบลาคือ 3 หน่วย แล้ว
ระยะห่างระหว่างจุด A กับจุดโฟกัสอีกจุดหนึ่งของไฮเพอร์โบลา มีค่าเท่ากับกี่หน่วย
5. ให้ x, y, z
เป็นคําตอบของระบบสมการเชิงเส้น
a11x + a12y + a13z = 2 , a21x + a22y + a23z = 1 , a31x + a32y + a33z = 0
⎡ a11 a12 a13 1 0 0⎤ ⎡1 0 0 1 −1 1 ⎤
ถ้า ⎢a21 a22 a23 0 1 0⎥ ~ ⎢0 1 0 0 −2 1 ⎥ แล้ว ค่าของ x+y+z เท่ากับเท่าใด
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣a31 a32 a33 0 0 1 ⎦⎥ ⎣⎢0 0 1 2 3 0⎦⎥
2
3+ i z−i
6. ถ้า z = แล้ว ค่าของ เท่ากับเท่าใด
2 z + z3 + 2
6
2. ข้อความในข้อใดต่อไปนี้ผิด
1. ถ้า a, b, n เป็นจํานวนเต็มบวก ซึ่ง n|a และ n| b แล้ว
จะได้ว่า n หาร ห.ร.ม. ของ a, b ลงตัวด้วย
2. ถ้า a, b, n เป็นจํานวนเต็มบวก ซึ่ง a| n และ b| n แล้ว
จะได้ว่า ค.ร.น. ของ a, b หาร n ลงตัวด้วย
3. ถ้า a, m, n เป็นจํานวนเต็มบวก และ a| mn แล้ว จะได้ว่า a| m หรือ a| n
4. ถ้า d และ c เป็น ห.ร.ม. และ ค.ร.น. ของจํานวนเต็มบวก m, n แล้ว
จะได้ว่า dc = mn
8. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้าประพจน์ [p ∧ (q → r)] → (r ∨ s) มีค่าความจริงเป็นเท็จ
แล้ว p ∧ q → s มีค่าความจริงเป็นเท็จ
ข. นิเสธของข้อความ ∀x∃y [ (x > y) ∧ (x2 < y) ] คือ ∃x∀y [ (x > y) → (y < x2) ]
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
⎧x+1 , x > 0
13. กําหนดให้ f (x) = ⎨
⎩ x−1 , x < 0
ฟังก์ชัน g ในข้อใดต่อไปนี้ ทําให้ฟังก์ชัน g f ไม่ต่อเนื่อง
1. g(x) = 1 เมื่อ x ∈ (−∞, −1) ∪ [1, ∞)
−1
2. g(x) = f (x) เมื่อ x ∈ (−∞, −1) ∪ [1, ∞)
⎧⎪ (x − 1)2 , x > 1
3. g(x) = ⎨ 2
⎪⎩ (x + 1) , x < −1
4. g(x) = x 3 เมื่อ x ∈ (−∞, −1) ∪ [1, ∞)
15. กําหนดให้ π π
θ ∈ ⎡⎢ − , ⎤⎥
⎣ 4 4⎦
π
tan2 ⎛⎜ − θ ⎞⎟ − 1
⎝4 ⎠ 3
ถ้า = แล้ว cos 2 θ มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
2⎛ π ⎞ 5
tan ⎜ − θ ⎟ + 1
⎝4 ⎠
3 4 7 9
1. 2. 3. 4.
5 5 10 10
17. กําหนดตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนสอบวิชาสถิติที่เป็นจํานวนเต็มของนักเรียน 40 คน
ดังนี้
คะแนน จํานวนนักเรียน
60 – 64 4
65 – 69 a
70 – 74 10
75 – 79 b
80 – 84 7
เมื่อสุ่มเลือกนักเรียนกลุ่มนี้มาหนึ่งคน ได้ว่าความน่าจะเป็นที่นักเรียนคนนี้ได้คะแนนน้อยกว่า 70
คะแนน มีค่าเท่ากับ 0.30 มัธยฐานของคะแนนชุดนี้เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 71.50 2. 73.50 3. 73.75 4. 74.50
1. 2 2. 2 3. 6 4. 2 2
⎪⎧ ⎡a b ⎤ ⎪⎫
21. กําหนดให้ S คือเซตของเมตริกซ์ ⎨ ⎢c d⎥ a, b, c, d ∈ {0, 1}⎬
⎩⎪ ⎣ ⎦ ⎭⎪
ความน่าจะเป็นในการสุ่มหยิบเมตริกซ์ A จากเซต S
โดยมีสมบัติ det (A) = 0 หรือ det (A) = 1 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 3 2. 5 3. 11 4. 13
4 8 16 16
1 1
25. ถ้า vn = i + 1− j เมื่อ n = 1, 2, 3, ..., 99
n n2
99
แล้วค่าของ ∑ vn + 1 − vn อยู่ในช่วงใดต่อไปนี้
n=1
เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 9 (2) 9 (3) 0.75 (4) 140 (5) 6 (6) 0.5 (7) 2 (8) 1215 (9) 625
(10) 384
ตอนที่ 2 (1) 3 (2) 3 (3) 4 (4) 1 (5) 2 (6) 1 (7) 1 (8) 3 (9) 4
(10) 3 (11) 4 (12) 1 (13) 4 (14) 2 (15) 4 (16) 2 (17) 2 (18) 1 (19)
1 (20) 2 (21) 4 (22) 2 (23) 1 (24) 3 (25) 3
เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 (4) (0, 5) → P = −125
(1) ไฮเพอร์โบลา a = 3, b = 4 (3, 3) → P = 30
นิยามของไฮเพอร์โบลาคือ ระยะห่างจากจุดๆ หนึง่ ไป (4, 0) → P = 140 5 (3,3)
ยังโฟกัสทั้งสอง มีผลต่างเป็น 2a = 6 ดังนัน้ ∴ Pmax = 140
d − 3 = 6 → d = 9 หน่วย ตอบ
O 4
(2) 1 + 2 log 3 log(9 − x) = log 14
log x log 9 log x ⎡ a11 a12 a13 ⎤ ⎡x ⎤ ⎡2⎤
แต่ 2 log 3 = log 9 ดังนั้น (5) ⎢a21 a22 a23 ⎥ ⎢y ⎥ = ⎢ 1⎥ → AX = B
⎣⎢a31 a32 a33 ⎦⎥ ⎣⎢ z ⎦⎥ ⎢⎣0⎥⎦
log(9 − x) log 14
จะได้ → 1+ = ดังนัน้ X = A −1B
log x log x
→ log x + log(9 − x) = 14 หา A−1 โดยการดําเนินการตามแถว (row-
→ x(9 − x) = 14 ∴ x = 2, 7 operation) คือ ⎡⎣ A I ⎤⎦ ~ ⎡⎣ I A−1 ⎤⎦
ตอบ 2 + 7 = 9 ⎡ 1 −1 1 ⎤
เทียบจากโจทย์ จะพบว่า A −1 = ⎢0 −2 1 ⎥
(3) sin(A + B) + sin(A − B) = 2 sin A cos B ⎢⎣2 3 0⎥⎦
หา sin A จากกฎของไซน์ ⎡x ⎤ ⎡ 1 −1 1 ⎤ ⎡2⎤ ⎡ 1⎤
sin A sin B 2 ∴ ⎢y ⎥ = ⎢0 −2 1 ⎥ ⎢ 1 ⎥ = ⎢ −2⎥
= 1 ⎢⎣ z ⎥⎦ ⎢⎣ 7 ⎥⎦
3 2 ⎣⎢2 3 0⎦⎥ ⎣⎢0⎦⎥
1 3 3 B
→ sin A = ( )( ) = ตอบ 1−2 + 7 = 6
3
2 2 4
3
และหา cos B จาก Δ จะได้
2
3 3
∴ ตอบ 2( )( ) = 0.75
4 2
→ m = 0, 4/ 3 แต่ m = 0
ไม่ได้ (เพราะจะหา (12) ทฤษฎีเศษ; f(3) = 10
เส้นตั้งฉากไม่ได้) ∴ m = 4/ 3 จึงได้ความชันของ ทฤษฎีของจํานวนเชิงซ้อน;
เส้นสัมผัสพาราโบลา = −3/4 (ตั้งฉากกับ L) f′(x) = k (x − 1 − i)(x − 1 + i) = k (x2 − 2x + 2)
}
⎪
40 ⎪⎪ x −1 , 2 < x < 3
n=1
(23) จาก f(x) = ⎨ 2 , 3< x<4
⎛ 20 − 12 ⎞
∴ Med = 69.5 + 5 ⎜ ⎟ = 73.50 ตอบ ⎪ .....
⎝ 10 ⎠
}
⎪ x −9, 18 < x < 19
⎪ n=9
(18) X = 6 แสดงว่า Σx = 6 ⋅ 5 = 30 ⎪⎩ 10 , 19 < x < 20
จาก Σ(x − 4)2 = 30 → Σx2 − 8Σx + 16 ⋅ 5 = 30 เขียนกราฟได้ดังนี้
190 10
∴ Σx2 = 190 → s = − 62 = 2 ตอบ 9
5
4
(19) ใช้สมบัติวา่ ถ้า y = mx + c แล้ว 3
2
Y = mX + c ด้วย 1
จากโจทย์ X = (1 + 2 + 3 + 2 + 1 + 3) = 2 O 2 4 6 8 18 20
6
20
(4 + 7 + 10 + 8 + 3 + 10) โจทย์ถาม ∫ f(x) dx = พื้นทีใ่ ต้กราฟ นัน่ เอง
และ Y = = 7
6 0
5. กําหนดให้ u , v , w เป็นเวกเตอร์ที่สอดคล้องกับสมการ u + 5 v − 2 w = 0
โดยที่ u = 3 i + 4 j และ u ตั้งฉากกับ v
ถ้า θ เป็นมุมระหว่าง u และ w แล้ว ค่าของ |w| cos θ เท่ากับเท่าใด
(x − 1)2 (y − 1)2
7. กําหนดให้เส้นตรง x = y ตัดวงรี + = 1 ที่จุด A และ B
9 4
ถ้า F1 และ F2 เป็นจุดโฟกัสของวงรีนี้ แล้ว AF1 + AF2 + BF1 + BF2 มีค่าเท่ากับเท่าใด
8. กําหนดให้พาราโบลารูปหนึ่งมีสมการเป็น y2 − 4y − 16x − 12 = 0
ถ้า L เป็นเส้นตรงที่ผ่านโฟกัสของพาราโบลารูปนี้ และตั้งฉากกับเส้นตรง 3x − 2y + 5 = 0
แล้ว ระยะตัดแกน y ของเส้นตรง L มีค่าเท่ากับเท่าใด
9. ถ้า z1 = 4 (cos 145° + i sin 145°) และ z2 = 3 (cos 115° + i sin 115°) แล้ว
ค่าของ z1 − z2 2 เท่ากับเท่าใด
2. ข้อใดต่อไปนี้ ผิด
1. เส้นตรง y = 3x + 2 ขนานกับเส้นตรง 3x − y − 4 = 0
2. เส้นตรง y + 5x + 8 = 0 ตั้งฉากกับเส้นตรง 5y = x + 3
3. ระยะห่างระหว่างจุด (0, 0) กับเส้นตรง 3x + 4y − 10 = 0 เท่ากับ 2
4. ระยะห่างระหว่างเส้นตรง x − 2y + 5 = 0 กับเส้นตรง x − 2y − 5 = 0 เท่ากับ 2
3. เซตในข้อใดต่อไปนี้เป็นเซตคําตอบของสมการ 9x 3 + 12x 2 + x − 2 = 0
1. {−2, 1 , 3} 2. {−1,
−2 1
, }
3 2 3 2
1 2 −2 1
3. {−1, , } 4. {−1, , }
3 3 3 3
4. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
f (x + h) − f (x) f (x + h) − f (x)
ก. ถ้า f และ g เป็นฟังก์ชันซึ่ง lim = lim = g(x)
h → 0+ h h → 0− h
แล้ว g(x) = f′(x)
ข. ถ้า f เป็นฟังก์ชันซึ่ง f (x) > 0 สําหรับทุกๆ จํานวนจริง x และ f′(a) ≠ 0 แล้ว
ความชันของเส้นสัมผัสกราฟของฟังก์ชัน y = 1 ที่จุด a คือ 1
f (x) f (a)
′
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
2
5. ค่าของ −2 ∫ 4 − x2 dx อยู่ในช่วงใดต่อไปนี้
1. (3.1, 3.2) 2. (3.2, 3.3) 3. (6.1, 6.2) 4. (6.2, 6.3)
6. ให้ p, q, r, s
เป็นประพจน์ ถ้า [(p → ~ q) ∨ r] ∧ (q ∨ s) มีค่าความจริงเป็นจริง และ
(p ∧ s) → r มีค่าความจริงเป็นเท็จแล้ว ประพจน์ในข้อใดต่อไปนี้มีค่าความจริงเป็น เท็จ
1. p → q 2. q → r 3. r → s 4. s → p
7. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้าเอกภพสัมพัทธ์คือ เซตของจํานวนเต็มแล้ว
ข้อความ ∃m ∃n [5m + 7n = 1] มีค่าความจริงเป็นจริง
ข. นิเสธของข้อความ ∀x ∃y [ (x2 − 2x > y − 2) ∧ (y > sin x) ]
คือ ∃x ∀y [ (x2 − 2x < y − 2) ∨ (y < sin x) ]
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
sin 2 3A cos 2 3A
8. ถ้า 2
− = 2 แล้ว cos 2A มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
sin A cos 2A
1 1 1 1
1. 2. 3. 4.
4 2 2 3
10. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. เซตคําตอบของ x4 − 2x3 + x2 + 4x − 6 = 0 คือ { 2, − 2, 1+ 2 i, − 2 + i }
6 6
⎛1+ 3i⎞ ⎛1− 3i⎞
ข. ⎜ ⎟ + ⎜ ⎟ < 2
⎝ 2 ⎠ ⎝ 2 ⎠
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
⎡ 1 −1 0 ⎤ ⎡ 1⎤ ⎡x⎤
12. กําหนดให้ B = ⎢0 1 2 ⎥ , C = ⎢0⎥ , X = ⎢ y ⎥ และ I เป็นเมตริกซ์เอกลักษณ์
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣3 0 1 ⎦ ⎣2 ⎦ ⎣z⎦
ถ้า A เป็นเมตริกซ์มิติ 3 × 3 ซึ่งสอดคล้องกับสมการ 2AB = I และ AX = C
แล้ว ค่าของ x + y + z เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 20 2. 24 3. 26 4. 30
⎡ 4 12 −9 ⎤
13. กําหนดให้ A = ⎢ 7 −10 5 ⎥
⎢ ⎥
⎣1 0 0 ⎦
และ B, C, D เป็นเมตริกซ์มิติ 3 × 3 ซึ่ง A ~ B ~ C ~ D
4
โดยที่ B ได้จาก A โดยการดําเนินการ R1 − R2
3
C
ได้จาก B โดยการดําเนินการ 5 R1
D ได้จาก C โดยการดําเนินการ R23
แล้ว det (D) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −3750 2. −150 3. 150 4. 3750
1 1 2
1. 0 2. 3. 4.
2 3 3
⎡ 1 1⎤
15. กําหนดให้ f (x) = det ⎢ 1− x ⎥ เมื่อ x ≠ 1 ข้อใดต่อไปนี้ถูก
⎢⎣ 1 1⎥⎦
⎡ 1 1⎤
−1
1. f เป็นฟังก์ชัน 1− 1 และ f −1(x) = det ⎢ 1− x ⎥ เมื่อ x ≠ 0 , x ≠ 1
⎢⎣ 1 1⎥⎦
⎡ 1 1⎤
2. f เป็นฟังก์ชัน 1− 1 และ f −1(x) = det ⎢ 1 ⎥ เมื่อ x ≠ −1
1⎥
⎣⎢ 1+ x ⎦
⎡ 1 1⎤
3. f ไม่เป็นฟังก์ชัน 1− 1 เนื่องจากมีค่า x ที่ทําให้ det ⎢ 1− x ⎥ = 0
⎢⎣ 1 1⎥⎦
⎡ 1 1⎤ 2
4. f ไม่เป็นฟังก์ชัน 1− 1 และ (f f)(x) = det ⎢ 1− x ⎥ เมื่อ x ≠ 1
⎢⎣ 1 1⎥⎦
⎧ 1 ,x < 0
16. กําหนดให้ f (x) = ⎨ พิจารณาข้อความต่อไปนี้
⎩ 0 ,x > 0
ก. xlim
→0
(f f)(x) = 0
−
ข. lim (f f)(x) = 1
x → 0+
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
0.075
0.050
0.025
O 29.5 39.5 49.5 59.5 69.5 79.5 89.5 99.5 คะแนน
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. นักเรียนที่สอบได้คะแนนระหว่าง 50 − 79 มีจํานวนมากกว่านักเรียนที่สอบได้
คะแนน 90 คะแนนขึ้นไป เท่ากับ 50 คน
2. นักเรียนที่สอบได้คะแนน 90 คะแนนขึ้นไป มีร้อยละ 10 ของนักเรียนทั้งหมด
3. ควอร์ไทล์ที่หนึ่งของคะแนนสอบมีค่าอยู่ระหว่าง 60 − 69 คะแนน
4. ควอร์ไทล์ที่สามของคะแนนสอบมีค่าอยู่ระหว่าง 80 − 89 คะแนน
เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 2.5 (2) 1120 (3) 648 (4) 3780 (5) 2.5 (6) 3 (7) 12 (8) 4 (9) 7
(10) 675
ตอนที่ 2 (1) 3 (2) 4 (3) 4 (4) 2 (5) 4 (6) 1 (7) 1 (8) 1 (9) 4
(10) 3 (11) 2 (12) 1 (13) 3 (14) 4 (15) 2 (16) 1 (17) 1 (18) 3 (19)
2 (20) 4 (21) 2 (22) 2 (23) 3 (24) 3 (25) 4
เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 (5) u + 5v − 2w = 0 → u + 5v = 2w
(1) มอง 3x = A, 4x = B นํา u ดอททั้งสองข้าง;
จะได้ AB − 2A − 9B + 18 = 0 ได้เป็น u ⋅ u + 5u ⋅ v = 2u ⋅ w = 2 u w cos θ
→ A(B − 2) − 9(B − 2) = 0
ซึ่ง u ⋅ u = u 2 = 32 + 42 = 25
→ (A − 9)(B − 2) = 0
และ u ⋅ v = 0 เนือ่ งจาก u ⊥ v
→ 3x = 9 หรือ 4x = 2
∴ จะได้ 25 + 0 = 2(5) w cos θ
1
→ x = 2 หรือ ∴ ตอบ 2.5 → w cos θ = 2.5 ตอบ
2
(2) พจน์ทวั่ ไปคือ (8r ) (tan x)8 − r(−2)(cot
r
x)r
(6) ข้อมูล x1, x2 , x3 , … , x13
คือ 4, 3, 2, 1, 0, 1, 2, … , 8
“พจน์ที่เป็นค่าคงตัว” หมายถึงไม่ติดตัวแปร x Σ xn − a น้อยสุด แสดงว่า a = Med
(แสดงว่า tan x กับ cot x คูณกันแล้วหมดไปพอดี)
∴8−r = r → r = 4
เรียงเลขก่อน; 0, 1, 1, 2, 2, 3, 3 , 4, 4, 5, 6, 7, 8
∴ Med = 3 ตอบ
จะได้คา่ ของพจน์นั้น = ⎛⎜ 84 ⎞⎟ (tan x)4(−2)4(cot x)4 (7)
⎝ ⎠ B
⎛ 8⎞ 4
= ⎜ 4 ⎟ (−2) = 1,120 ตอบ F1 F2
⎝ ⎠
(3) ประธาน 9 × รอง 9 × เลขา 8 A
= 648 วิธี ตอบ
(4) 100 + 105 + 110 + … + พจน์ที่ 24 จากนิยามวงรี AF1 + AF2 = 2a
24 และ BF1 + BF2 = 2a
= (100 + (100 + 23 × 5)) = 3,780 ตอบ
2
∴ ตอบ 2(3) + 2(3) = 12
(11) log (log x ⋅ (9 − log x2)) > 1 (16) ก. f(f(0−)) = f(1) = 0 ถูก
→ log x ⋅ (9 − log x2) > 10 ข. f(f(0+)) = f(0) = 1 ถูก ตอบ ข้อ 1.
ให้ log x = A จะได้ (17) f′(x) = 2x − 4 → f(x) = x2 − 4x + C
A (9 − 2A) > 10 → 2A2 − 9A + 10 < 0 จากค่าต่ําสุดสัมพัทธ์ = 10 เกิดที่ 2x − 4 = 0
→ (2A − 5)(A − 2) < 0 → 2 < A < 5/2 → x = 2 ∴ f(2) = 10 , ได้ค่า C = 14
∴ 2 < log x < 5/2 → 102 < x < 105/ 2 ต่อมาหาพื้นที่ปิดล้อม ต้องคํานึงถึงจุดตัดแกน x ก่อน
ตอบ ab = 10 9/ 2 → f(x) = x2 − 4x + 14 = 0 ไม่มีคําตอบ
ʶiµi¤aæ¹¹Êoº ¤³iµÈÒʵà 1
ที่มา : http://www.entrance.mis.mua.go.th และ http://www.entrance.co.th/newentinfo/stat/stat.asp
สถิตทิ ี่ให้มาในตารางนี้ สําหรับผูท้ ตี่ ้องการประเมินตนเองก่อนถึงการสอบจริงโดยทดลองทําข้อสอบฉบับเก่าๆ
คะแนน 0-10 11-20 21-30 31-40 41-50 51-60 61-70 71-80 81-90 91-100 รวม
(ต่ําสุด) (เฉลี่ย) (สูงสุด) (SD)
ต.ค.41 4,495 40,972 61,452 25,434 6,044 1,867 621 243 74 30 141,232
(0.00) (25.28) (100.00) (9.74)
มี.ค.42 1,141 21,383 52,528 31,526 8,711 2,684 1,015 368 105 15 119,476
(3.00) (28.77) (100.00) (10.20)
ต.ค.42 5,884 46,996 65,383 25,631 5,766 1,611 582 211 62 13 152,139
(0.00) (24.58) (97.00) (9.51)
มี.ค.43 2,464 25,754 50,432 29,863 10,149 3,720 1,481 628 181 46 124,718
(0.00) (28.73) (100.00) (11.49)
ต.ค.43 6,958 53,464 71,551 22,916 6,543 2,445 1,138 570 255 57 165,897
(2.00) (24.46) (98.00) (10.64)
มี.ค.44 1,866 24,474 53,865 25,366 9,860 4,107 2,045 1,010 541 177 123,311
(3.00) (29.23) (100.00) (12.64)
ต.ค.44 5,341 47,058 77,649 21,070 6,007 2,271 1,011 412 128 43 160,990
(2.00) (24.66) (100.00) (10.01)
มี.ค.45 3,733 34,141 58,352 18,501 6,493 2,472 858 203 50 1 124,804
(3.00) (25.48) (92.00) (10.31)
ต.ค.45 3,805 43,527 85,139 25,799 5,564 1,370 384 96 14 3 165,701
(2.00) (24.91) (95.00) (8.61)
มี.ค.46 2,589 32,096 59,202 22,551 6,324 2,199 836 310 70 13 126,190
(0.00) (26.20) (97.00) (10.05)
ต.ค.46 1,508 31,938 86,787 34,843 8,895 2,443 858 287 79 9 167,647
(3.00) (27.26) (97.00) (9.23)
มี.ค.47 3,636 34,317 61,414 16,976 4,458 1,416 492 139 36 5 122,889
(0.00) (24.61) (94.00) (9.26)
ต.ค.47 930 49,375 74,967 31,154 4,606 917 364 120 16 7 162,456
(5.00) (25.48) (97.00) (7.87)
มี.ค.48 3,758 33,629 51,122 20,145 6,317 2,264 970 323 87 24 118,639
(0.00) (25.76) (100.00) (10.70)
t t t t
5. พาราโบลาที่มีเส้นตรง y = −2 เป็นไดเรกตริกซ์ และจุด (0, 0) เป็นโฟกัส จะผ่านจุดใด
1. (0, 0) 2. (0, −1) 3. (0, 1) 4. (0, −2)
1
6. จงหาโคออร์ดิเนตของจุดตัดระหว่างกราฟเส้นตรง y = x+3 กับ y = 2x + 1
2
3
1. (2, 4) 2. ( , 4) 3. (4 , 11) 4. 5 11
( , )
2 3 3 4 4
7. กลุ่มตัวเลขต่อไปนี้ กลุ่มใดมีทั้งพิสัยต่ําสุดและฐานนิยมสูงสุด
กลุ่มที่ 1 1, 5, 7, 6, 5 กลุ่มที่ 2 2, 3, 6, 6, 4
กลุ่มที่ 3 2, 7, 4, 7, 3 กลุ่มที่ 4 3, 6, 7, 7, 4
1. กลุ่มที่ 1 2. กลุ่มที่ 2 3. กลุ่มที่ 3 4. กลุ่มที่ 4
8. เส้นโค้งสองเส้นต่อไปนี้ มีความชันเท่ากันเมื่อ x มีค่าเท่าใด
y = 3x 2 − 3x + 1 และ y = x 3 + 1
1. 0 2. 1 3. 2 4. 3
9. มีเส้นคู่ขนานสองเส้นคือ x − y + 5 = 0 และ x − y − 5 = 0
ระยะห่างระหว่างเส้นคู่ขนานสองเส้นนี้จะเป็นเท่าใด
1. 10 2 2. 10/ 2 3. 2 /10 4. 10 /2
1 B 1/y
11. สมการ = x + A เขียนเป็นกราฟได้ดังรูป จงหาค่า B
y A
tan θ
1. B = tan θ 2. B =
RO R
3. B = RO tan θ 4. B = PO RO
θ x
P O
ปี 2533
12. คนงาน 4 คน ได้รับมอบหมายให้ทําชิ้นงานที่เหมือนๆ กัน
นาย ก ทํา 4 ชิ้น ใช้เวลาทํา 32 นาที นาย ข ทํา 6 ชิ้น ใช้เวลาทํา 24 นาที
นาย ค ทํา 4 ชิ้น ใช้เวลาทํา 24 นาที นาย ง ทํา 7 ชิ้น ใช้เวลาทํา 28 นาที
หากให้คนงานทัง้ 4 คนนี้ทาํ งานร่วมกันเป็นทีมในเวลา 5 ชั่วโมง จะได้ชิ้นงานรวมกี่ชิ้น
1. 233 ชิ้น 2. 237 ชิ้น 3. 250 ชิ้น 4. 300 ชิ้น
13. ในการสร้างอาคารสูงหลังหนึ่ง เสียค่าใช้จา่ ยคงที่เป็น 450 เท่าของค่าก่อสร้างอาคารชั้นแรก
โดยค่าก่อสร้างชั้นต่อๆ ไปมีค่าเป็น 2, 3, 4, ... เท่าของชั้นแรก ตามลําดับ จะต้องสร้างอาคารนี้สูงกี่
ชั้นจึงจะเสียค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อชัน้ น้อยที่สุด
1. 30 ชั้น 2. 34 ชั้น 3. 39 ชั้น 4. 42 ชั้น
14. ผลรวมของมุมภายในของรูปสามเหลี่ยม, สี่เหลี่ยม และห้าเหลี่ยม มีค่าเท่ากับ 180°, 360° และ
540° ตามลําดับ จงหาว่าผลรวมของมุมภายในของรูปยี่สิบเหลี่ยมมีค่าเท่าไร
1. 2160° 2. 2700° 3. 3240° 4. 3780°
30 และขนาดของ ˜ D = 20 3 หน่วย
B̃ ° ˜ ˜
à D̃ จงคํ า นวณหาขนาดของ D − C
60° 1. 10 3 หน่วย 2. 15 หน่วย
3. 20 3 หน่วย 4. 30 หน่วย
z
19. ต้องการเดินท่อจากตําแหน่ง B ไปยัง O ในแนว 9 เมตร
เส้นทแยงมุม OB ของรูปปริซึม ท่อจะมีความยาวเท่าไร y
A 30° B
กําหนดให้ AB ทํามุม 30° กับ OB
1. 17.319 เมตร 2. 17.414 เมตร O
3. 17.732 เมตร 4. 17.886 เมตร 12 เมตร
x
20. จงหาระยะทางที่สั้นที่สุดจากจุดตัดของเส้นตรง y = x − 5 กับเส้นตรง y = −2x − 5 ไปยังแนว
ของเส้นตรง y = − 3 x + 3
4
1. 3/5 2. 8/5 3. 27/5 4. 32/5
ปี 2534
28. สมการจํานวนเชิงซ้อน 3 x + 4 y i = 2 (cos
π + i
1 π
sin )2 โดยที่ i = −1
4 2 4
ฉะนั้นค่าของ x จากสมการนี้จะเท่ากับ
1. 2 − 2 2. 2 3. 1
+
2
4. 1
3 2 3 2 2 3 2 6
34. จุดยอดของรูปสามเหลี่ยมอยู่ที่ (1, 1), (−1, −1) และ (−4, 2) บนระนาบ x และ y จงหาพื้นที่
ของสามเหลี่ยมนี้
1. 6.5 ตารางหน่วย 2. 5 ตารางหน่วย
3. 6 ตารางหน่วย 4. 5.5 ตารางหน่วย
ปี 2535
36. ช่างสํารวจได้ทําการจดข้อมูลการวัดดังนี้คือ AB ยาว 60 เมตร โดยแนว AB ขนานกับริมฝั่ง
แม่น้ํา มีระยะห่าง 5 เมตร จุด C อยู่ห่างจากริมฝั่งอีกข้างหนึ่งเท่ากับ 12 เมตร ถ้าช่างวัดขนาด
ของมุม BAC และ CBA ได้ 75 องศา และ 45 องศา ตามลําดับ จงหาว่าแม่น้ําสายนี้กว้าง
เท่าใด C
12 เมตร (กําหนดว่า sin 75° = 3 + 1 )
2 2
1. 18.49 เมตร 2. 30.32 เมตร
ทิศการไหล
3. 35.49 เมตร 4. 47.32 เมตร
45° 5 เมตร
A 75° B
df
37. ถ้า f (x) = x 2 sin 2x จงหา
dx
d(uv) u dv v du
กําหนดให้ = + เมื่อ u และ v เป็นฟังก์ชันของ x
dx dx dx
d
และ (sin 2x) = 2 cos 2x
dx
1. 2x 2 cos 2x + 2x sin 2x 2. x 2 cos 2x + 2x sin 2x
3. 2x 2 cos 2x + x sin 2x 4. x 2 cos 2x + x sin 2x
⎡2 1 ⎤ ⎡ 3 2⎤
38. กําหนดให้ A = ⎢ ⎥ และ B = ⎢ ⎥
⎣0 3⎦ ⎣ 1 2⎦
จงหาค่าของ A T × (B × A)
⎡14 12 ⎤ ⎡12 18 ⎤ ⎡21 27 ⎤ ⎡20 18⎤
1. ⎢16 24⎥ 2. ⎢12 30⎥ 3. ⎢ 11 21 ⎥ 4. ⎢ 12 18⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
7
49. ท่อน้ําในโรงงานแห่งหนึ่งวางเอียงและเขียนเป็นสมการได้ y−4 = (x − 3)
5
จากจุด P (9, 12) ต้องการดึงเชือกไปผูกกับท่อที่ P1 โดยให้เชือกทํามุมฉากกับท่อ ความยาว PP1
ของเส้นเชือกคือ
2
1. 2 2. 2 3. 2
4.
37 37 37 37
3. (10 3) i + 22 j 4. (2 3) i + 14 j 12 3 หน่วย
ปี 2536
51. จากการศึกษาอายุการใช้งานของเครื่องยนต์เล็กชนิดเดียวกัน 3 ยี่ห้อ ยีห่ อ้ แรกศึกษามาจาก 22
เครื่อง ได้อายุเฉลี่ย 12 ปี ยี่หอ้ ที่สอง 8 เครื่อง อายุเฉลี่ยรวมของทั้งสองยี่ห้อ 13.6 ปี ส่วนยี่ห้อที่
สามจําไม่ได้ว่ากี่เครื่อง แต่มีอายุเฉลี่ย 16 ปี ถ้าอายุเฉลี่ยรวมของทั้งสามยี่ห้อเป็น 14.2 ปี จงหา
จํานวนเครื่องของยี่ห้อที่สาม
1. 10 เครื่อง 2. 14 เครื่อง 3. 15 เครื่อง 4. 18 เครื่อง
52. ถ้า (x − y i)(2 + i) = 7 + 4 i เมื่อ x และ y เป็นจํานวนจริง จงหาว่า x + 2y มีค่าเท่าใด
3
1. 1 2. 2 2 3. 3 1 4. 4
1
5 3 5 3
B 18
16
z1 = − 1.96 0 z2 = 1.96 14
12
59. ฟังก์ชัน f (x) ของกราฟต่อไปนี้ คืออะไร 10
8
1. f (x) = 2 x + x 6
2. f (x) = 2x2 + 1 4
3. f (x) = x2 + x + 1 2
4. f (x) = x3 − 2x2 + 3x + 1 x
0 1 2 3
x n+ 1
60. กําหนดให้ f′(x) = x n แล้วจะได้ f (x) = + c โดยที่ n ≠ −1 และ c เป็นค่าคงตัว ถ้า
n+1
4
หาก f′(x) = 3x2 − −2 และ f (2) = 8 แล้วจงหาว่า c มีค่าเท่าใด
x2
1. 2 2. 7/2 3. 11/2 4. 6
y
61. กําหนดเวกเตอร์ P̃ และ Q̃ ดังรูป ถ้าขนาดผลรวมของ Q̃
เวกเตอร์ทั้งสองในแนวแกน x และแกน y มีค่า 21 หน่วย P̃
และ 18 หน่วยตามลําดับ ขนาดของเวกเตอร์ P̃ ได้แก่ (4,2)
1. 3 5 หน่วย 2. 5 5 หน่วย (-1,2)
3. 8 5 หน่วย 4. 12 5 หน่วย x
0
62. เด็ก 4 คนมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตของอายุ 5 ปี โดยที่เด็ก 3 คนมีอายุ 4.3, 5.3 และ 6.4 ปี พิสัย
ของอายุของเด็กทั้ง 4 คนนี้ มีค่าเท่าใด
1. 0.7 ปี 2. 1.4 ปี 3. 2.1 ปี 4. 2.4 ปี
⎡3 x ⎤
⎡1 2 0⎤ ⎢ ⎡5 7 ⎤
⎢1 0 2 ⎥ ⎢ 1 y ⎥ = ⎢5 5⎥
63. ถ้า ⎥ แล้ว x + y − z จะมีค่าเท่าใด
⎣ ⎦ z 1 ⎣ ⎦
⎣ ⎦
1. 4 2. 5 3. 6 4. 7
4 + 3n(2n + 1) + 9n3(3n + 1)
64. ถ้า y = lim จงหาว่า y มีค่าเท่าใด
n→∞ 1 − 3 (n + 1) + 9n3(n + 1)
1. 1 2. 2 3. 3 4. 4
ปี 2537
69. ถ้าค่าเฉลี่ยเลขคณิตของส่วนสูงของนักเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่งเป็น 165 เซนติเมตร โดยมี
จํานวนนักเรียนทั้งสิ้น 200 คน ต่อมาปรากฏว่ามีนักเรียนซึ่งมีส่วนสูง 150 เซนติเมตร จํานวน 20
คนได้ลาออกไป ถามว่าค่าเฉลี่ยเลขคณิตของส่วนสูงของนักเรียนโรงเรียนนี้จะเป็นเท่าไร หลังจาก
นักเรียนกลุ่มดังกล่าวได้ลาออกไป
1. 167.67 ซม. 2. 166.67 ซม. 3. 177.67 ซม. 4. 176.67 ซม.
70. จงหาผลคูณเชิงสเกลาร์ u ⋅ n ระหว่างเวกเตอร์ u จากจุด A (6, 4) ไปยังจุด B (−2, −2) กับ
เวกเตอร์ n ซึ่งเป็นเวกเตอร์หนึ่งหน่วย (unit vector) ที่มีทิศทางเดียวกับเวกเตอร์จากจุด C (−1, 2)
ไปยังจุด D (2, 6)
1. −4.8 2. −48 3. −9.6 4. 9.6
1. A 2. 2A 3. 3A 4. 4A
79. จงหาขนาดของพื้นที่ทั้งหมดที่แรเงาในรูป y
1. 18 27
2. 36 y=x −9
2
3. 54
4. 72
O x
-9 6
82. ข้อใดเป็นกราฟของ y = x + x
1. y 2. y 3. y 4. y
x x x x
d
83. กําหนดนิยาม f (x) คือการหาอนุพันธ์ของ f (x) เทียบกับ x แล้วแทนค่า x = a
dx x=a
และกําหนดให้ f1(x) = cos x , f2(x) = arcsin x โดย 0 < f2(x) < π/2
f3(x) = e x , f4(x) = ln x
จงพิจารณาว่าข้อใดต่อไปนี้ผิด
1. d f1(x) <
d
f2(x) 2. d
f1(x) <
d
f4(x)
dx x = 0.5 dx x = 0.5 dx x=1 dx x=1
d d d d
3. f1(x) > f3(x) 4. f4(x) > f4(x)
dx x = 0.75 dx x = 0.75 dx x = cos π / 4 dx x = cos π /6
4n + 2 n + 9n 3(2n + 2)
84. ถ้า A = lim จงหาค่า A
n→∞ 2 n + 1 + 5n 3(n + 4)
1. 0 2. ∞ 3. 1/2 4. 18/5
y
85. สมการของเส้นกราฟอยู่ในรูปแบบ y = ax 2 + bx + c
50
โดย a, b, c เป็นค่าคงที่ จงหาค่าความชันของเส้นกราฟ
ที่จุด x = 4 20
1. 11 2. 6.25
10
3. 5 4. 14
O x
5 8
ปี 2538
86. จงหาค่าของ (0.0981)1/ 5 โดยอาศัยข้อมูลต่อไปนี้
log (0.0981) = −1.0083 , log (9.81) = 0.9917
log (6.280) = 0.7979 , log (6.285) = 0.7983
1. 0.6280 2. 0.6285 3. 0.6290 4. 0.6295
2x + 1
87. กําหนดให้ f (x) = , g−1(x) = 3
x และ y = (g f)(x)
1 − 2x
dy
จงหาค่าของ
dx x =0
1. −4 2. 0 3. 6 4. 12
⎡a b ⎤
88. กําหนดให้เซต S = {1, 2, 3, 4, 5} , A = ⎢ ⎥ และเวกเตอร์ x = ad i + bc j
⎣c d⎦
ถ้า P คือความน่าจะเป็นในการเลือกค่า a, b, c และ d จากเซต S โดยที่ค่าที่เลือกสามารถซ้ํากัน
ได้ และให้ได้ det (A) > x จงหาว่าค่า P น่าจะอยู่ในช่วงคําตอบใด
1. [0, 0.1] 2. [0.1, 0.5] 3. [0.5, 0.9] 4. [0.9, 1]
89. จากการทดสอบมนุษย์หุ่นยนต์ Super Girl I เกี่ยวกับเวลาที่ใช้ในการวิ่ง และความเร็วในการวิ่ง
ได้ผลการทดสอบดังนี้
เวลาที่ใช้ในการวิ่ง (หน่วยเป็นวินาที) : x x1 x2 … xn
ความเร็วที่ใช้ในการวิ่ง (หน่วยเป็นเมตร/วินาที) : y y1 y2 … yn
และ x = 53 , y = 109 โดยที่สมการเส้นตรงซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเวลา ( x ) และ
ความเร็ว ( y ) ผ่านจุด (1, 5) จงทํานายความเร็วของหุ่นยนต์ Super Girl I เมื่อเวลาวิ่งผ่านไป 20
วินาที
1. 43 m/s 2. 75 m/s 3. 89 m/s 4. 100 m/s
90. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ผลรวมของรากคําตอบของอสมการ x − 6 + x+4 > 6−x เท่ากับ 0
99. ถ้าเวกเตอร์ ˜ AB + ˜
AC = ˜ BC จงหามุม θ ระหว่าง
y
B(1,9) C(8,11)
เวกเตอร์ ˜AC กับ ˜ AD โดยจุด A, B, C และ D มีพิกัดตามรูป
1. cos−1 24 2. cos−1 50 D(6,6)
25 50
θ
−1 22 −1 43
3. cos 4. cos A(2,3)
25 50
x
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 556 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)
⎡a a ⎤ ⎡b b ⎤ ⎡c c ⎤
100. กําหนด A = ⎢ 11 12 ⎥ , B = ⎢ 11 12 ⎥ , C = ⎢ 11 12 ⎥
a a
⎣ 21 22 ⎦ b b
⎣ 21 22 ⎦ ⎣c21 c22 ⎦
จงหาค่า cij ซึ่งเป็นสมาชิกของ C ในแถวที่ i และหลักที่ j เมื่อ C = (AB)T
1. aj1b1i + aj2b2i 2. ai1b1j + ai2b2j
3. aj1b1i + ai2b2j 4. ai1b1j + aj2b2i
y
101. จงหาพื้นที่แรเงาในรูป
1. 27 2. 36 y=3 x (9,9)
3. 54 4. 34
102. จงหาพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยเส้นกราฟของสมการ
y − 1 = x − 2 และสมการ x = 0 x
(0,0) (5,0)
1. 2 ตร.หน่วย 2. 4 ตร.หน่วย
3. 8 ตร.หน่วย 4. 16 ตร.หน่วย
n n
103. นิยาม ∪ A i = A1 ∪ A2 ∪ ... ∪ An และ ∩ A i = A1 ∩ A2 ∩ ... ∩ An
i=1 i=1
10 8n − 2
กําหนดให้ An = [ − , ], n ∈ I+ จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้
n 2n + 1
∞
10 ∞ 8n − 2 ∞ ∞ ∞ ∞
ก. ∪ A i = [− , 4] ข. ∩ A i = [0, ] ค. ∪ ⎡⎢ ∩ A i ⎤⎥ − ∩ ⎡⎢ ∪ A i ⎤⎥ = ∅
i=n n i=n 2n + 1 i = 1 ⎣i = n ⎦ i = 1 ⎣i = n ⎦
1. มีข้อความที่ถูก 1 ข้อ 2. มีข้อความที่ถูก 2 ข้อ
3. ถูก 3 ทั้งข้อความ 4. ผิดทุกข้อ
ปี 2539
104. ในการก่อสร้างอาคารหลังหนึ่ง จะต้องเสียค่าใช้จ่ายคงทีส่ ําหรับการก่อสร้าง เท่ากับ 800
หน่วย และจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสําหรับการก่อสร้างอาคารชั้นที่ n เท่ากับ n หน่วย จงคํานวณหาว่า
จะต้องสูงกี่ชั้น จึงจะเสียค่าใช้จา่ ยสําหรับการก่อสร้างเฉลี่ยต่อชั้นน้อยที่สุด
1. 20 ชั้น 2. 40 ชั้น 3. 80 ชั้น 4. 160 ชั้น
100
105. ให้ an = n สําหรับ n เป็นเลขคี่ และ an = 2 n/ 2 สําหรับ n เป็นเลขคู่ จงหาค่า ∑ an
n=1
n
กําหนดให้ 2 25 = x และผลบวกของอนุกรมเลขคณิต Sn = (a1 + an)
2
a1(1 − rn)
ผลบวกของอนุกรมเรขาคณิต Sn =
(1 − r)
1. 2500 + 2 (x2 − 1) 2. 2500 + 2 (x4 − 1)
3. 5050 + 2 (x2 − 1) 4. 5050 + 2 (x4 − 1)
1. 13 2. 13 3. 5 4. 5
B D C
111. แผ่นโลหะรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวด้านละ 16 cm ต้องการตัดมุมทั้งสี่
ออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แล้วพับตามรอยเส้นประเพื่อทําเป็นกล่อง ดังรูป
กล่องจะมีปริมาตรได้มากที่สุดเท่าไร
1. 9812 cm3 2. 9218 cm3
27 27
8291 3 8192
3. cm 4. cm3
27 27
112. ข้อต่อไปนี้ข้อใดผิด
ก. sin (α−β) = sin α cos β + cos α sin β ข. cos (α−β) = cos α cos β + sin α sin β
ค. sin 2α = 2 sin α cos α ง. cos (α− 30°) + cos (α+ 30°) = sin α
1. ข้อ ก กับข้อ ข 2. ข้อ ข กับข้อ ค
3. ข้อ ค กับข้อ ง 4. ข้อ ง กับข้อ ก
113. จากรูปที่กําหนดให้ดังต่อไปนี้ อยากทราบว่ามีรูปสี่เหลี่ยมรวมทั้งหมดกี่รูป
1. 39 รูป 2. 40 รูป
3. 41 รูป 4. 42 รูป
y3 + 4y2 − 9
114. ถ้า = 3 และ f (x) = x3 − 2x + 5 อยากทราบว่า f (y) จะมีค่าเท่าไรบ้าง
y+3
ก. −16 ข. 9 ค. 26
1. ข้อ ก ถูก 2. ข้อ ข ถูก 3. ข้อ ค ถูก 4. ข้อ ก และข้อ ข ถูก
115. กําหนดวงกลมรัศมีเท่ากับ 1 cm สองวงตัดกันดังรูป จงหา
พื้นที่แรเงา
1. 0.33 cm2 2. 0.45 cm2
3. 0.50 cm2 4. 0.57 cm2
116. มีลวดหนามยาว L ต้องการนําไปล้อมรั้วเพื่อจับจองที่ดิน ถามว่า
จะต้องล้อมให้เป็นรูปอย่างไรจึงจะได้พื้นที่มากที่สุด กําหนดว่าการล้อม
รั้วจะต้องให้ปลายลวดข้างหนึ่งต่อกับปลายอีกข้างหนึ่งพอดี
1. รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 2. รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
3. รูปหกเหลี่ยมด้านเท่า 4. รูปวงกลม
117. เชือกเส้นหนึ่งยาว 10 m นํามาตัดแบ่งครึ่งความยาว แล้วนําส่วนที่แบ่งแล้วมาตัดแบ่งครึ่งอีก
นําส่วนที่ถูกตัดแบ่งครึ่งแล้วมาตัดแบ่งครึ่งไปเรื่อยๆ ถามว่าจะต้องตัดอย่างน้อยที่สุดกี่ครั้ง ความยาว
ของเชือกที่ถูกแบ่งครั้งสุดท้ายจึงจะเหลือไม่ถึง 1 mm
(กําหนดให้ log 2 = 0.301 )
1. 12 2. 13 3. 14 4. 15
118. ถ้าความน่าจะเป็นที่พรุ่งนี้จะมีฝนตกเท่ากับ 0.35 และความน่าจะเป็นที่พรุ่งนี้จะมีเมฆมาก
เท่ากับ 0.4 โดยทีค่ วามน่าจะเป็นที่พรุ่งนี้จะมีเมฆมากและมีฝนตก เท่ากับ 0.25 จงหาความน่าจะ
เป็นที่พรุ่งนี้มีเมฆมากหรือไม่มีฝนตก
1. 0.95 2. 0.90 3. 0.85 4. 0.80
ปี 2540
119. เส้นตรงเส้นหนึ่งผ่านจุด A (2, 2, 2) และ B (6, 5, 2) อยากทราบว่า ถ้าลากเส้นจากจุด
C (−4, 0, −3) ไปตั้งฉากกับเส้นตรงที่ลากผ่านจุด A และ B ข้างต้น เส้นตั้งฉากนี้จะมีความยาว
เท่าไร
1. 33 หน่วย 2. 221 หน่วย 3. 61 หน่วย 4. 221 หน่วย
5 5
120. รูปหกเหลี่ยมด้านเท่าบรรจุอยู่ในวงกลมที่มีรัศมีเท่ากับ 7 cm
พื้นที่แรเงาจะเท่ากับเท่าไร
7 cm
1. 21.22 cm2 2. 26.70 cm2
2
3. 42.44 cm 4. 127.30 cm2
df (x) f(x)
122. กําหนด f (x) ดังรูป และ g(x) = + x
dx 8
4
7
จงหา 1
∫ g(x) dx 6
1. 5.5 2. 6.0 5
3. 7.5 4. 8.0
123. จงหาค่าของ ln j j x
1 2 3 4 5 6 7 8
กําหนดให้ j = −1 และ z = x + j y = r e jθ
โดยที่ r = x2 + y2 และ θ = tan−1(y/ x)
1. π/2 2. eπ / 2 3. −π/2 4. e− π / 2
O x2
2 4
127. แนวถนนตรงสองสายที่จะสร้างใหม่ตัดกันที่จุด A วิศวกรต้องการสร้างทางโค้งแบบวงกลม
รัศมี R = 200 3 m เชื่อมแนวถนนตรงทั้งสองสาย โดยมีจุดเริ่มโค้งที่จุด B และ C ตามลําดับ
ตําแหน่งจุด B จําเป็นต้องหาจากจุด A แต่จุด A เข้าถึงไม่ได้เพราะอยู่ในเหวลึก ทางออกทางหนึง่
คือการกําหนดจุด X และจุด Y บนแนวถนนตรงซึ่งสามารถมองเห็นกัน A
ได้ ถ้ามุม PXY , มุม QYX และระยะ XY จากการสํารวจครั้งนี้เท่ากับ
90° , 150° และ 105 3 m ตามลําดับ ระยะ XB จะเท่ากับเท่าไร X
หมายเหตุ รูปนี้ไม่ได้วาดตามสเกล B Y
1. 475 m 2. 495 m R C
3. 515 m 4. 525 m P Q
128. จากเงื่อนไขที่กําหนดให้ดังต่อไปนี้
ก. มหาวิทยาลัยที่สอนพยาบาลศาสตร์ทุกแห่ง มีการสอนแพทยศาสตร์
ข. มหาวิทยาลัยที่สอนพยาบาลศาสตร์ทุกแห่ง ไม่มีการสอนวิศวกรรมศาสตร์
ค. ครึ่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยที่สอนวิศวกรรมศาสตร์ มีการสอนแพทยศาสตร์
ง. ครึ่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยที่สอนแพทยศาสตร์ มีการสอนพยาบาลศาสตร์
จ. ไม่มีมหาวิทยาลัยใดที่สอนเฉพาะแพทยศาสตร์เพียงอย่างเดียว
อยากทราบว่า ถ้ามีมหาวิทยาลัยที่สอนแพทยศาสตร์ทั้งหมด 10 แห่ง จะมีมหาวิทยาลัยที่สอน
วิศวกรรมศาสตร์กี่แห่ง
1. 5 แห่ง 2. 10 แห่ง 3. 15 แห่ง 4. 20 แห่ง
129. จากสมการ y3 + 3y2 = 4 (y + 3) และฟังก์ชัน f (x) = x2 − x
อยากทราบว่า f (y) จะมีค่าเท่าไร เมื่อ y ≠ −3
1. {2, 6} 2. {2, 12} 3. {2, 9, 12} 4. {6, 9, 12}
ปี 2541
(i + 1)20
130. กําหนดให้ i = −1 จงหาค่า
(i − 1)16
1. 4 2. −4 3. −4 i 4. 4i
เฉลยคําตอบ
(1) 3 (2) ไม่มีข้อถูก (ตอบ y = (x 2/4) − x ) (3) 1 (4) 2 (5) 2 (6) 3 (7) 4 (8) 2
(9) 2 (10) 4 (11) 3 (12) 2 (13) 1 (14) 3 (15) 3 (16) 2 (17) 2 (18) 4
(19) 1 (20) 4 (21) 3 (22) 4 (23) 2 (24) 3 (25) 3 (26) 2 (27) 2 (28) 4
(29) 2 (30) 3 (31) 1 (32) 1 (33) 2 (34) 3 (35) 3 (36) 2 (37) 1 (38) 2
(39) 3 (40) 2 (41) 2 (42) 2 (43) 2 (44) 3 (45) 2 (46) 3 (47) 4 (48) 1
(49) 2 (50) 4 (51) 1 (52) 3 (53) 3 (54) 2 (55) 1 (56) 3 (57) 4 (58) 1
(59) 4 (60) 1 (61) 4 (62) 4 (63) 1 (64) 3 (65) 3 (66) 2 (67) 2 (68) 3
(69) 2 (70) 3 (71) 2 (72) 2 (73) 3 (74) 2 (75) 3 (76) 1 (77) 2 (78) 2
(79) 3 (80) 3 (81) 3 (82) 4 (83) 3 (84) 3 (85) 3 (86) 2 (87) 4 (88) 1
(89) 1 (90) 2 (91) 1 (92) 1 (93) 3 (94) 2 (95) 4 (96) 2 (97) 3 (98) 3
(99) 1 (100) 1 (101) 2 (102) 2 (103) 3 (104) 2 (105) 1 (106) 4 (107) 1
(108) 4 (109) 1 (110) 2 (111) 4 (112) 4 (113) 1 (114) 2 (115) 4 (116) 4
(117) 3 (118) 2 (119) ไม่มขี ้อถูก (ตอบ 29 ) (120) 2 (121) 2 (122) 1 (123) 3
(124) โจทย์ผิด เพราะ P (A ∪ B) > 1 ไม่ได้ (125) 3 (126) ไม่มีข้อถูก (ตอบ (0, 103/24) )
(127) 2 (128) 2 (129) 1 (130) 2 (131) 3 (132) 3 (133) 2 (134) 3 (135) 3
(136) 1 (137) 4 (138) 2 (139) 4
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 562 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)
เฉลยวิธีคิด
(1) Δขงจ จะได้ ขจ = 32 + 42 = 5 (10) ลองพล็อตจุดคร่าวๆ พบว่ารูปกราฟคล้าย
พื้นที่ Δกขค = 1 ⋅ 5 ⋅ 10 = 25 ตร.ม. ตอบ ไฮเพอร์โบลามุมฉาก ดังนั้นตัดข้อ 1. (พาราโบลา)
2 กับข้อ 2. (เส้นตรง) เหลือเพียงข้อ 3. กับ 4. ที่
(2) พาราโบลาหงาย มีจุดยอดที่ (2, −1) เป็นไปได้
2
→ (x − 2) = 4c(y + 1) จากนั้นทดลองแทนค่าดูดังนี้...
หาค่า c ก่อน โดยกราฟผ่านจุด (0,0) ข้อ 3; yx2 = a ลองเอาข้อมูลมาคูณดูเพือ่ เป็นค่า a
→ (−2)2 = 4c(1) → c = 1 จะได้ 65 (1)2 = 65 , 35 (2)2 = 140 ,
ดังนัน้ สมการที่ได้คือ (x − 2)2 = 4 (y + 1) 25 (3)2 = 225 พบว่าค่า a ที่ได้นนั้ แตกต่างกันมาก
หรือ x2 − 4x + 4 = 4y + 4 จึงไม่นา่ ใช่ข้อ 3. ตอบ ข้อ 4.
x2 [หมายเหตุ ถ้าลองนําข้อมูลมาแก้สมการเพือ่ หา a, b
จัดรูปได้วา่ y = −x ตอบ ไม่มีขอ้ ถูก
dy
4
−4 − 4
ในข้อ 4. จะได้เป็น y = 60 + 5 ]
x
(3) = ความชัน = = −4 ตอบ
dx 3−1 1 B
(11) จาก = x+A
(4) ln N = −λt + ln N0 y A
(26) พื้นที่ผวิ A = ผิวข้าง + ฝาและฐาน (31) P = (100 sin θ)(10 sin(θ − 60°))
= 2πRh + 2(πR2) แต่โจทย์บังคับว่าปริมาตร 16π = 500 (2 sin θ sin(θ − 60°))
b b
b2 3
⎝ c ⎠ b2
⎛ 2b3 ⎞ c2
= ⎜ ⎟ 2 = 2bc ตอบ
⎝ c ⎠b
กลายเป็น 2p
−
1q
= 21 และ 1p
+
2q
= 18 พบว่า 50 > 65 ∴ นาย ค ถึงหลังสุด ตอบ
5 5 5 5 49 64
แก้ระบบสมการได้ p = 12 5 ตอบ
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 567 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)
ค. ∪ ⎡⎢ − 10 , 4 ⎞⎟ − ∩ ⎛⎜ 0, 8n − 2 ⎤⎥
∞ ∞
= 54 − 18 = 36 ตอบ
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 570 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)
3
(115) พื้นที่แรเงาดังนี้
∫ log[f(x)]dx = พืน้ ที่ใต้กราฟจาก 1 ถึง 3
1 เท่ากับ 1 ของวงกลม
1 4 A B
= × 2 × (3 + 1) = 4 ตอบ
2 ลบด้วยพื้นที่ ΔABC
(107) จะได้ = 1 π 12 − 1 × 1 × 1
4 2 C
PP
1 2 = 22 + 32 = 13
3
=
π−
1
และในโจทย์มรี ูปนี้ 2 ซีกรวมกัน
ตอบ 4 2
(130) จากโจทย์ =
[(i + 1)2 ]10 (137) เส้นรอบวง วงนอกสุด = πd
[(i − 1)2 ]8
(2i)10 d
= = (2i)2 = −4 ตอบ
(−2i)8 d 2 2 d/2
(131) ต้องการกรองแสง เหลือประมาณ 0.40
1 ชั้น เหลือแสง 0.80
2 ชั้น เหลือ 0.80 × 0.80 = 0.64 d πd
3 ชั้น เหลือ 0.80 × 0.64 = 0.512 รัศมีวงถัดไป = → เส้นรอบวง =
2 2 2
4 ชั้น เหลือ 0.80 × 0.512 = 0.4096 ดังนัน้ ผลบวกคือ πd + πd +
πd +…
ดังนัน้ ตอบ 4 ชั้น 2 ( 2)2
(132) โจทย์คือ p → q πd 2πd
[อนุกรมเรขาฯอนันต์] =
1
= ตอบ
ข้อ 1. q → p ผิด ข้อ 2. ~ p → ~ q ผิด 1−( ) 2 −1
2
∴ ข้อ 3. ถูก (คือ ~ q → ~ p ) ตอบ
(138) สมมติความเร็วเป็น x กับ y และถังมี
(133) A = 1 ⋅ 2 ⋅ 2 = 4, B = a ⋅ 2 ⋅ 1 = 2a
→ AB = 4 ⋅ 2a = 8 → a = 1 ตอบ ปริมาตรเท่ากับ 1 จะได้วา่ 1 − 1 = 3 .....(1)
x y
(134) มุม ABC ˆ = 30° 1
และ = 2 .....(2)
x+y
จากกฎของ sin; AB = 50 1 1
sin 45° sin 30° แก้ระบบสมการได้ x = , y =
ดังนัน้ AB = 50 2 เมตร ตอบ 6 3
⎛ 1 ⎞ ดังนัน้ เวลาที่ใช้สูบ คือ 6 และ 3 ชม. ตอบ ข้อ 2.
⎜ 4 + n2 ⎟
(135) lim ⎜
⎛ 4n5 + n3 ⎞
⎟ = nlim ⎜ ⎟ =
4 (139) ข้อ 1. ความชัน 3 , − 1 , 3
n → ∞ ⎝ 5n5 − 38 ⎠ →∞
⎜⎜ 5 − 38 ⎟⎟ 5 5 4 5
⎝ n5 ⎠ 1 1
ข้อ 2. ความชัน , −3 ,
n5 หารทัง้ เศษและส่วน)
(ใช้วิธีนํา 3 3
lim 3 cos(nπ) = 3 lim cos(nπ) 1 2
n→ ∞ n→ ∞ ข้อ 3. ความชัน , −2, −
4 3
= 3 lim
n→∞
{ −1 , 1 , −1 , 1 , −1 , … } = 3 ⋅ 1 = 3
5 3
ข้อ 4. ความชัน , 2, −
4 3 5
ตอบ × 3 = 2.4
5
มีข้อ 2. กับ 4. ที่มีเส้นสองเส้นตัง้ ฉากกัน (ความชัน
(136) ระยะทาง 500 กม. ความเร็ว v กม./ชม. คูณกันได้ -1) แต่ว่าข้อ 2. อีกเส้นก็ตงั้ ฉากด้วย (คือ
แสดงว่าใช้เวลาวิง่ 500 ชม. มี 1 เท่ากันสองเส้น) จึงไม่เกิดสามเหลี่ยม
v
3
v2 500
→ ค่าใช้จ่าย f(v) = (
+ 40)( ) ดังนัน้ ตอบ ข้อ 4.
5 v
20,000
= 100v +
v
20,000
f′(v) = 100 − = 0 → v2 = 200
v2
∴v = 200 = 10 2 กม./ชม. (จึงจะเสียค่าใช้จา่ ย
น้อยที่สดุ ) ตอบ
4. จากการวิเคราะห์แนวโน้มของปริมาณรถที่วิ่งผ่านถนนสายหนึ่งในอดีตพบว่า ปริมาณรถที่วิ่งผ่าน
แปรผันตามรากที่สองของจํานวนประชากรในเมือง A ปัจจุบันเมือง A มีประชากรอยู่ 9 ล้านคน
สมมติให้แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของปริมาณรถที่วิ่งผ่านถนนสายนี้มีอัตราคงที่ และคาดว่าจะมี
ประชากรในอีก 10 ปีข้างหน้าเพิ่มเป็น 16 ล้านคน ปริมาณรถที่วิ่งผ่านถนนสายนี้ในอีก 10 ปี
ข้างหน้าจะเพิ่มเป็นกี่เท่าของปริมาณรถที่วิ่งผ่านถนนสายนี้ ณ ปีปัจจุบัน
1. 4/3 2. 1.5 3. 16/9 4. 4
5. รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรูปหนึ่งมีความยาวของแต่ละด้านเท่ากับ a ถูกบรรจุด้วยสี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งมีมุม
อยู่ที่จุดกึ่งกลางของแต่ละด้านของสี่เหลี่ยมภายนอก ดังแสดงในรูป ถ้าสี่เหลี่ยมดังกล่าวเกิดขึ้นอย่าง
a ไม่สิ้นสุด จงหาผลรวมของเส้นรอบรูปสี่เหลี่ยมทั้งหมดที่เกิดขึ้น
1. 4 2 a 2. 2 − 1
1+ 2 4 2a
4 2a 1+ 2
a 3. 4.
2−1 4 2a
มีนาคม 2542
8. โรงงานผลิตถ้วยแก้วแห่งหนึ่งมีการควบคุมคุณภาพแบบสุ่มตรวจ ระดับคุณภาพของโรงงานอยู่ที่
ความผิดพลาดหรือข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ (เช่น บิ่น เบี้ยว ผิดขนาด ฯลฯ) ไม่เกินร้อยละ 5
ดังนั้นในการผลิตถ้วยแก้ว 1,500 ใบ จะต้องสุ่มตรวจกี่ใบที่เมื่อไม่พบข้อบกพร่องเลยจะสามารถ
ยอมรับได้ตามเกณฑ์ระดับคุณภาพดังกล่าว
1. 75 ใบ 2. 74 ใบ 3. 19 ใบ 4. 20 ใบ
9. เมือง A และ B อยู่ห่างกัน 20 กม. ดําออกเดินทางจากเมือง A ในแนวทิศะวันออกเฉียง
N เหนือ แดงออกเดินทางจากเมือง B ในแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เมือง C อยู่
ระหว่างทางในแนวทางเดินของดํากับแดง เมือง C อยู่ห่างจากเมือง A เท่าไร
1. 10.00 กม. 2. 10 2 กม.
A B 3. 10 3 กม. 4. 20.00 กม.
20 กม.
10. แผนกซ่อมบํารุงของโรงงานแห่งหนึ่งมีพนักงานประจํา 9 นาย เป็นช่างกลโรงงาน 5 นาย และ
ช่างไฟฟ้า 4 นาย ในการจัดทีมซ่อมบํารุงแต่ละครั้งจะใช้ช่างกลโรงงาน 3 นาย และช่างไฟฟ้า 2
นาย ในฐานะหัวหน้าแผนกซ่อมบํารุง ท่านมีวิธีจัดทีมงานได้กี่วิธี
มีนาคม 2543
11. แก้วบรรจุน้ําเต็มปริ่มใบหนึ่ง หมุนรอบแกนกลางของแก้วด้วยความเร็วคงที่ แรงหนีศูนย์กลางที่
เกิดขึ้นทําให้น้ําที่อยู่ในแก้วส่วนหนึ่งล้นออกจากแก้ว เมื่อมองจากภาพตัดขวาง น้ําที่เหลืออยู่ในแก้ว
ขณะนั้นอยู่ในรูปพาราโบลา ซึ่งก้นรูปพาราโบลาแตะก้นแก้ว และขอบพาราโบลาแตะขอบแก้วด้านบน
พอดี สามารถเขียนสมการแสดงความสัมพันธ์ในแนว x และ y ของรูปพาราโบลาได้เป็น y = x 2
ดังรูป น้ําที่เหลืออยู่ในแก้วมีปริมาตรเท่าใด y = x2
1. มากกว่า 1/3 ของแก้ว 2. 1/3 ของแก้ว
3. น้อยกว่า 1/3 ของแก้ว 4. ข้อมูลไม่เพียงพอที่จะบอกได้
12. ในการคํานวณค่าความสามารถของกระบวนการผลิต ดัชนีชี้วัดประกอบด้วย
USL − X LSL − X
CPU = CPL =
3 ⋅ SD 3 ⋅ SD
และ CPK = ค่าทีต่ ่ํากว่าระหว่าง CPU กับ CPL
โดยที่ USL คือค่าควบคุมขั้นสูง LSL คือค่าควบคุมขั้นต่ํา
X คือค่าปัจจัยเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์ SD คือค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของปัจจัย
เมื่อค่า CPK = 1 ผลิตภัณฑ์ที่เสียหายซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปัจจัยสูง
หรือต่ํากว่าค่าควบคุมจะมีจํานวนร้อยละเท่าไร (ทศนิยม 2 z 0.00 3.00
A 0.0000 0.4987
ตําแหน่ง) ใช้ตารางแสดงพื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติที่กําหนดให้
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 575 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (ใหม)
ตุลาคม 2543
13. ผลสอบวิชาพื้นฐานทางวิศวกรรมของนักเรียนจํานวน 100 คน มีตารางแจกแจงความถี่ดังนี้
ช่วงคะแนน ความถี่ ช่วงคะแนน ความถี่
0–9 15 50 – 59 5
10 – 19 10 60 – 69 5
20 – 29 20 70 – 79 3
30 – 39 30 80 – 89 1
40 – 49 10 90 – 99 1
ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้อง
1. มัธยฐานมีค่ามากกว่าค่าเฉลี่ยเลขคณิต 2. ค่าเฉลี่ยเลขคณิตมีค่ามากกว่าฐานนิยม
3. ฐานนิยมมีค่ามากกว่ามัธยฐาน 4. มัธยฐานมีค่ามากกว่าฐานนิยม
มีนาคม 2544
18. โรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็กแห่งหนึ่งผลิตผลิตภัณฑ์และบรรจุใส่กล่อง กล่องละ 1 โหล เพื่อ
จําหน่ายทั้งกล่อง ก่อนส่งออกจําหน่ายเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์จะสุ่มผลิตภัณฑ์ในกล่อง
อย่างไม่ใส่คืนทุกกล่อง กล่องละ 3 ชิ้น เพื่อตรวจสอบคุณภาพ ถ้าสุ่มพบผลิตภัณฑ์ชํารุดแม้แต่ชิ้น
เดียว จะส่งผลิตภัณฑ์ทั้งกล่องกลับไปยังโรงงาน และถ้าไม่พบผลิตภัณฑ์ชํารุดเลยจะส่งผลิตภัณฑ์
กล่องนั้นออกจําหน่าย จงหาความน่าจะเป็นที่กล่องที่มีผลิตภัณฑ์ชํารุด 3 ชิ้น จะถูกส่งออกไป
จําหน่าย
1. 12/55 2. 27/55 3. 7/55 4. 21/55
x x x x
ตุลาคม 2544
21. ผลิตภัณฑ์ ก ประกอบด้วยชิ้นส่วน ข จํานวน 2 ชิ้นนํามาประกอบเข้าด้วยกัน ถ้าชิ้นส่วน ข
ชํารุดจะใช้เวลาในการปรับแต่งก่อนประกอบ 9 นาที และใช้เวลาในการประกอบ 1 นาที ถ้าชิ้นส่วน
ข ไม่ชํารุดจะไม่ต้องปรับแต่ง และใช้เวลาในการประกอบ 1 นาทีเช่นเดียวกัน ถ้าสุ่มชิ้นส่วน ข มา
จากกล่องชิ้นส่วน ข จํานวน 10 ชิ้น ซึ่งมีชิ้นส่วน ข ที่ชํารุดอยู่ 3 ชิ้น และชิน้ ส่วน ข ที่ไม่ชํารุด 7
ชิ้น จงหาเวลาเฉลี่ยในการประกอบผลิตภัณฑ์ ก จํานวน 1 ชิน้
1. 7.2 นาที 2. 7.4 นาที 3. 8.4 นาที 4. 8.6 นาที
มีนาคม 2545
28. บริษัทแห่งหนึ่งผลิตสินค้าชิ้นหนึ่ง มีฟังก์ชันต้นทุนรวม ดังสมการ C (x) = x 3 + x บาท โดย x
คือจํานวนหน่วยของสินค้าที่ผลิตซึ่งจะสัมพันธ์กับเวลา ( t ) หน่วยเป็นเดือน ดังสมการต่อไปนี้
t = x 2 − 2x + 7
จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนต่อเวลา ในเดือนที่ 4 ของการผลิต
1. 8 1 บาท/เดือน 2. 7 บาท/เดือน
6
3. 112 บาท/เดือน 4. ไม่มีข้อถูก
ตุลาคม 2545
33. อุปกรณ์ป้องกัน (Circuit Breaker) ในระบบส่งจ่ายกําลังไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตของ
ประเทศไทย ดังแสดงข้อมูลในตารางข้างล่าง
อุปกรณ์ปอ้ งกัน Probability ที่จะชํารุด
ราคา/หน่วย
(Circuit Breaker) ในเวลา 5 ปี
A 750,000 0.18
B 650,000 0.2
C 550,000 0.25
D 450,000 0.3
พนักงานออกแบบและวางแผนของการไฟฟ้าฯ ควรจะเลือกอุปกรณ์ป้องกัน (Circuit Breaker)
ประเภทใดมาใช้งานเพื่อให้เกิดความคุ้มทุนมากที่สุด
1. D 2. C 3. B 4. A
O ระดับความเข้มแสง
255
อยากทราบว่าจํานวนข้อที่ถูกมีทั้งหมดกี่ข้อ
1. 1 ข้อ 2. 2 ข้อ 3. 3 ข้อ 4. ผิดหมดทุกข้อ
มีนาคม 2546
37. รูปเหลี่ยมด้านเท่าต้องมีความยาวแต่ละด้านไม่มากกว่าเท่าใด เพื่อที่วงกลมรัศมี r สามารถ
สัมผัสกับทุกด้านได้
1. 4 r 2. 2 3 r 3. 2 r 4. 2 r/ 3
39. ร้านเบเกอรี่แห่งหนึ่งต้องใช้แป้งสาลีและน้ําตาลเป็นวัตถุดิบหลักในการทําขนมเค้กและขนมพาย
ถ้าในการทําขนมเค้ก 1 ชิ้น จะต้องใช้แป้งสาลี 400 กรัม และน้ําตาล 200 กรัม ส่วนขนมพาย 1
ชิ้นจะต้องใช้แป้งสาลี 200 กรัม และน้ําตาล 400 กรัม ทางร้านจะได้กําไรจากขนมเค้กชิ้นละ 80
บาท และขนมพายชิ้นละ 100 บาท ถ้าในแต่ละวันทางร้านต้องสั่งแป้งสาลี 10 กิโลกรัม และน้ําตาล
14 กิโลกรัม ทางร้านจะต้องผลิตขนมเค้กและขนมพายอย่างละกี่ชิ้นต่อวันเพื่อให้มีกําไรสูงสุด และจะ
ได้กําไรเป็นเท่าใด ถ้าหากขนมที่ผลิตออกมาขายได้หมด
1. ขนมเค้ก 20 ชิ้น ขนมพาย 20 ชิ้น กําไร 3,600 บาท
2. ขนมเค้ก 10 ชิ้น ขนมพาย 20 ชิ้น กําไร 2,800 บาท
3. ขนมเค้ก 10 ชิ้น ขนมพาย 30 ชิ้น กําไร 3,800 บาท
4. ขนมเค้ก 20 ชิ้น ขนมพาย 10 ชิ้น กําไร 2,600 บาท
40. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบหนึ่งประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เหมือนกันจํานวน 3
เครื่อง ในระบบนี้จะอนุญาตให้คอมพิวเตอร์ส่งข้อมูลได้ทีละเครื่อง ไม่เช่นนั้นจะทําให้ระบบหยุด
ทํางาน โดยที่คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งจะมีความน่าจะเป็นที่จะส่งข้อมูลเท่ากับ 1/2 จงหาความน่าจะ
เป็นที่ระบบเครือข่ายนี้จะทํางานอยู่ได้
ตุลาคม 2546
41. โรงงานแห่งหนึ่งมีความต้องการไฟฟ้าเฉลี่ย 1,000 kW ซึ่งปัจจุบนั โรงงานซื้อไฟฟ้าจากการ
ไฟฟ้าฯ ในราคา 2 บาท/kWh แต่ในขณะนี้บริษัทกําลังคิดจะเปลี่ยนจากการซื้อไฟฟ้ามาเป็นการผลิต
ไฟฟ้าใช้เองโดยใช้เครื่องยนต์ดีเซล หากการทําเช่นนี้มีค่าใช้จ่ายต่อปีเป็น 50,000 + 1,975 n บาท
เมื่อ n เป็นจํานวนชั่วโมงทํางาน จงหาว่าโรงงานนี้ควรจะทํางานอย่างน้อยกี่ชั่วโมงต่อปี จึงจะคุม้ ค่า
กับการเปลี่ยนมาผลิตไฟฟ้าใช้เอง
1. 1,500 ชั่วโมง 2. 1,750 ชั่วโมง 3. 2,000 ชั่วโมง 4. 2,250 ชั่วโมง
42. บริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่งมีทีมวิศวกรชาย 3 คน และหญิง 3 คน โดยบริษัทมีโครงการที่จะส่ง
พนักงาน 3 คนไปฝึกอบรมต่างประเทศ อยากทราบว่าความน่าจะเป็นที่พนักงานที่บริษัทสุ่มเลือกมา
จะเป็นวิศวกรชาย 2 คน และวิศวกรหญิง 1 คน เป็นเท่าใด
1. 2/9 2. 3/9 3. 3/20 4. 9/20
43. บริษัทผู้ผลิตหลอดฟลูออเรสเซนต์จากต่างประเทศ ต้องการจ้างโรงงานในประเทศไทยเป็น
ตัวแทนผลิต โดยมีทางเลือกอยู่ 2 โรงงาน คือโรงงาน A และโรงงาน B
ให้ทดลองผลิตหลอดไฟเพื่อที่จะเลือกตัวแทนผลิตเพียงรายเดียว B
ผลปรากฏว่าอายุการใช้งานของหลอดไฟที่ผลิตจากโรงงาน A และ B
มีการแจกแจงปกติดังรูป
A
จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. อายุการใช้งานเฉลี่ยของหลอดไฟจากโรงงาน A เท่ากับโรงงาน B x
ข. บริษัทจะเลือกโรงงาน A หรือโรงงาน B เป็นตัวแทนผลิตก็ได้ เพราะให้คุณภาพเท่ากัน
ค. บริษัทควรจะเลือกโรงงาน A เป็นตัวแทนผลิต
ข้อความใดถูกต้องจากผลการทดลองในครั้งนี้
1. ก 2. ก และ ข 3. ค 4. ก และ ค
มีนาคม 2547
44. กล่องใบหนึ่งมีลูกแก้วขนาดเดียวกัน 6 ลูก เป็นลูกสีแดง 3 ลูก สีเขียว 2 ลูก สีเหลือง 1 ลูก
เด็กคนหนึ่งหยิบลูกแก้วออกจากกล่องนี้มา 1 ลูกโดยวิธีสุ่ม เมื่อดูสีของลูกแก้วแล้วก็โยนกลับลงใน
กล่อง แล้วทําการหยิบครั้งที่ 2 โอกาสที่เด็กคนนี้จะหยิบได้ลกู แก้วสีแดงและสีเหลืองอย่างละลูก
เท่ากับข้อใด
1. 1/3 2. 1/6 3. 2/3 4. 1/12
45. ถ้าเชิญแขกมารับประทานอาหาร 6 คน โดยเป็นผู้ชาย 3 คน ผู้หญิง 3 คน โดยเชิญให้แขกนั่ง
รอบโต๊ะกลมซึ่งมี 6 ที่นั่ง อยากทราบว่าความน่าจะเป็นที่จะจัดแขกให้นั่งสลับชาย-หญิง เป็นเท่าใด
1. 1/2 2. 1/5 3. 1/10 4. 1/60
46. จงหาตัวเลขในตําแหน่งที่ขาดหายไปของลําดับต่อไปนี้
125, 726, ......, 40328, 362889
1. 5027 2. 5037 3. 5047 4. 5067
มีนาคม 2548
52. องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สนใจที่จะเปิดเส้นทางเดินรถโดยสารสายใหม่บนถนน
สายหนึ่ง จึงจ้างวิศวกรเข้าไปสํารวจข้อมูลจํานวนรถรับจ้างที่วิ่งผ่านถนนเส้นนั้นในระยะเวลาหนึ่ง
ชั่วโมง จากการสํารวจทําให้ได้ข้อมูลดังตารางต่อไปนี้
จํานวนรถรับจ้างที่ผ่านในหนึ่งชั่วโมง (คัน) 0 1 2 3
ความน่าจะเป็น 0.5 0.25 0.2 0.05
ขสมก. อยากทราบว่าเวลาเฉลี่ยที่รถรับจ้างแต่ละคันจะผ่านถนนสายนี้เป็นเท่าใด
1. 45 นาที 2. 60 นาที 3. 75 นาที 4. 120 นาที
เฉลยคําตอบ
(1) 2 (2) 3 (3) 3 (4) 1 (5) 3 (6) 3 (7) 90 (8) 3 (9) 2 (10) 60 (11) 1
(12) 0.13 (13) 3 (14) 4 (15) 4 (16) 4 (17) 1,812 (18) 4 (19) 3 (20) 6,000
(21) 2 (22) 4 (23) 2 (24) 2 (25) 3 (26) 1 (27) 100 (28) 4 (29) 2 (30) 2
(31) 3 (32) 53 (33) 3 (34) 2 (35) คําถามไม่ชัดเจน (36) 2 (37) 2 (38) 3
(39) 3 (40) 0.5 (41) 3 (42) 4 (43) 1 (44) 2 (45) 3 (46) 3 (47) 3 (48) 3
(49) 705.1 (50) 3 (51) 0.75 (52) 3 (53) ไม่มีขอ้ ถูก (ตอบ 9.90 ล้านแบบ) (54) 2,625
เฉลยวิธีคิด
(1) จาก Δ เล็ก มุม B = 45° (5) ความยาวด้านนอกสุด = a a/2
แสดงว่าระยะทางจาก B จะได้เส้นรอบรูปนอกสุด = 4a a/2
ถึงตึก เท่ากับ h ด้วย h
30° 45°
พิจารณา Δ ใหญ่ A 200 B h
h
tan 30° = → 200 + h = 3h a2 a2 a
200 + h ความยาวด้านถัดไป = + =
4 4 2
200
→ h = ≈ 273 เมตร ตอบ 4a
3 −1 จะได้เส้นรอบรูปชั้นทีส่ อง =
2
(2) จากกฎการแบ่งกลุ่ม 10 เป็น 5, 5
ดังนัน้ เส้นรอบรูปรวม = 4a + 4a + 4a 2 + …
จะได้ 102! = 126 วิธี ตอบ 2 ( 2)
(5 !) 2 !
4a 4 2a
= = ตอบ
้ ที่ Δ = 1 × 5 × 2 = 5
2
(3) ∫ f(t) dt = พืน ตอบ 1 2 −1
2 1−( )
0 2
(4) รถ α ประชากร จะได้ว่า (ใช้สูตรอนุกรมเรขาคณิตอนันต์)
รถ2 ประชากร2 16 4 ∑x จํานวนเต็ม
= = = ตอบ (6) X = =
รถ1 ประชากร1 9 3 N จํานวนเต็ม
จะออกมาเป็นจํานวนตรรกยะเสมอ ตอบ
(จํานวนตรรกยะคือเศษส่วนและจํานวนเต็ม)
(7) โจทย์ข้อนี้ควรระบุด้วยว่า นอกจากสองทางนีแ้ ล้ว
ไม่มีการขนส่งทางอื่นอีก จึงจะคํานวณได้ดงั นี้
จาก n(A ∪ B) = 100%
→ 100 = 30 + n(B) − 20 → n(B) = 90% ตอบ
(19) จากข้อ (i) ถ้า x = 0, y = 0 จะได้ว่า (24) ข้อ 1. ไม่ใช่ เพราะการถามว่า “ท่านเป็นเพศ
f(0) = f(0) + f(0) ⇒ 2f(0) ∴ f(0) = 0 เท่านัน้ ชายใช่ไหม” นั้นจะทําให้ทราบเพียงว่า นายคนนี้ชอื่
จึงมีขอ้ 1. กับ 3. ที่เป็นไปได้ นาย x (พูดจริงเสมอ) หรือ นาย y (พูดเท็จเสมอ)
ต่อมาพิจารณาจากข้อ (ii) f(αx) = αf(x) แต่ จะไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับด่านเข้าประเทศเลย (ถาม
→ f(2) = 2f(1), f(3) = 3f(1), f(4) = 4f(1), ... ได้คําถามเดียว)
พบว่า f(3) − f(2) = f(1), f(4) − f(3) = f(1), ... ข้อ 3. ยิ่งไม่ได้ขอ้ มูลเลย เพราะหากถามว่า “ท่านพูด
ความจริงเสมอใช่ไหม” นั้น ไม่ว่านาย x หรือ นาย y
แสดงว่า ความชันเท่าเดิมตลอดทุกค่า x ก็จะตอบว่า “ใช่” เหมือนกันทั้งสองคน
คือเป็นกราฟเส้นตรง ตอบ ข้อ 3. ส่วนข้อ 2. เป็นข้อที่ถูก ... สมมติเราไปถูกด่านแล้ว
(20) ความน่าจะเป็นทีน่ ม คือด่าน X ไม่ว่าจะเจอนาย x หรือนาย y ก็จะได้รับ
1 กล่องมีปริมาตรเกิน 250 cm3 คําตอบว่า “ใช่” เสมอ แต่ถา้ ไปผิดด่าน (คือไปด่าน
เป็น 50% พอดี Y) นาย x กับนาย y จะตอบว่า “ไม่ใช่” ทัง้ คู่
แสดงว่า 250 cm3 = X 250 วิธีนจี้ ะทําให้ทราบว่าด่านนี้ถูกหรือผิด ∴ ตอบ ข้อ 2.
โจทย์ถามปริมาตรเฉลี่ยทั้งลัง (24 กล่อง) (25) จาก ตา=70 จะได้ ตา
จะได้ 24 × 250 = 6,000 cm3 ตอบ ข+ง+จ = 70 − 15 = 55 หู
ก ข 15
(21) ชิ้นส่วน ข มีโอกาสชํารุด 3 ใน 10 แต่ ง+จ = 28 ดังนั้น ค ง จ
กรณีที่ 1; ไม่ชํารุดเลย ใช้เวลา 2 นาที ข = 55 − 28 = 27 คน
20
⎛7⎞ 3 จมูก
⎜2⎟
มีโอกาสเกิดขึ้น ⎝ ⎠ = 7 จาก หู=50 จะได้
⎛ 10 ⎞ 15
⎜2⎟
⎝ ⎠
จ = 100 − 3 − 20 − 15 − 50 = 12
กรณีที่ 2; ชํารุดทั้งสองชิน้ ใช้เวลา 9+9+2=20 นาที และ ง = 28 − 12 = 16
⎛ 3⎞ โจทย์ถาม ข+ง = 27 + 16 = 43 ตอบ 0.43
⎜2⎟ 1
มีโอกาสเกิดขึ้น 10 = ⎝ ⎠ (26) ขวา 4 ครั้ง, ลง 4 ครั้ง
⎛ ⎞ 15 เหมื อนการสลั บลําดับอักษร ขขขขลลลล
⎜2⎟
⎝ ⎠ 8!
= = 70 เส้นทาง ตอบ
กรณีที่ 3; ชํารุดชิ้นเดียว ใช้เวลา 9+2=11 นาที 4!4!
มีโอกาสเกิดขึ้น 1 − 7 − 1 = 7 (27) จุดที่คุ้มค่าก็คือ
15 15 15 ค่าระบบความปลอดภัย เท่ากับค่าอุบัติเหตุพอดี
ดังนัน้ เวลาเฉลีย่ (ถ่วงน้ําหนักด้วยความน่าจะเป็น) 1
7 1 7 ∴ 0.01x − 0.01 =
= (2) + (20) + (11) = 7.4 นาที ตอบ x−1
15 15 15 100 2
[หมายเหตุ การหาค่าเฉลี่ยโดยถ่วงน้าํ หนักด้วยความ → x − 1 = x − 1 → (x − 1) = 100
น่าจะเป็น ในวิชาสถิติจะเรียกว่า การหาค่าคาดหมาย จะได้ x − 1 = 10 เท่านัน้ (ติดลบไม่ได้) → x = 11
ซึ่งจะได้ศึกษาเพิม่ เติมในระดับมหาวิทยาลัยครับ..] ดังนัน้ f = g = 0.1 ล้านบาท
(22) ที่เวลา t วินาทีมีขอ้ มูลเข้า 20t หน่วย คิดเป็นหน่วยพันบาท ก็คือ 100 พันบาท ตอบ
ส่งข้อมูลออก 10t( 1) + 10t( 1) = 10t หน่วย
2 2 (28) โจทย์ถาม dC
dt t = 4
ดังนัน้ มีข้อมูลค้างในเครือ่ ง 20t − 10t = 10t หน่วย
→ 10t = 300 → t = 30 วินาที ทีเ่ ครือ ่ งจะทํางาน แต่ ใ ห้ฟ ง
ั ก์ ช น
ั C กั บ t มาในรูปของ x
ได้โดยไม่สญ ู เสียข้อมูล ตอบ จึงต้องใช้กฎลูกโซ่
2
(23) พิจารณาที่ A; ถ้า A พูดจริง แสดงว่า B เป็น dC = dC ⋅ dx = dC ÷ dt = 3x + 1
dt dx dt dx dx 2x − 2
คนพูดจริงด้วย แต่ B พูดว่า B กับ A เป็นคนละ
ต้ อ งการคิ ด ที ่ t = 4 หาค่า x ทีท ่ า
ํ ให้ t = 4 ดังนี้
ประเภท → ขัดแย้งกัน ดังนั้น กรณีนจี้ ึงไม่ใช่... 2
→ 4 = x − 2x + 7 → พบว่า x ไม่ใช่จํานวนจริง
แต่ถ้า A พูดโกหก แสดงว่า B เป็นคนพูดโกหก
เหมือนกัน และ B พูดว่า B กับ A เป็นคนละ ดั งนัน้ t = 4 เป็นไปไม่ได้ ... ตอบ ข้อ 4.
[หมายเหตุ t = x2 − 2x + 7 โดย x > 0
ประเภท ก็คือ B โกหก ...ลงตัวพอดี ตอบ ข้อ 2.
จะได้วา่ t > 6 เสมอ]
50000+1975n
จึงไม่ขาดทุน ฝากเพิ่มอีก 200 เป็น 310
ดังกราฟ) ถึงปีที่ 3 เป็น 1.1 × 310 = 341
ฝากเพิ่มอีก 300 เป็น 641
n ถึงปีที่ 4 เป็น 1.1 × 641 = 705.1 พันบาท ตอบ
O 2,000
(50) พิจารณาเฉพาะเส้นคูข่ นาน (3 ชิ้นส่วน) ก่อน
(42) ⎛ 3⎞ ⎛ 3⎞ ÷ ⎛6⎞ = 9 ตอบ ความน่าจะเป็นทีท่ ํางานได้ (คิดแบบยูเนียนของ
⎜2⎟ ⎜ 1 ⎟ ⎜ 3⎟
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠ 20 เหตุการณ์) คือ P{เส้นบนทํางาน} + P{เส้นล่าง
(43) ก. ถูก ( X เท่ากัน) ทํางาน} – P{ทํางานทั้ง2เส้น}
ข. ผิด โรงงาน B คุณภาพดีกว่า = (0.9 × 0.8) + (0.9) − (0.9 × 0.8 × 0.9) = 0.972
(เพราะการกระจายน้อยกว่า) ดังนัน้ ความน่าจะเป็นรวมของวงจร
ดังนัน้ ค. ผิดด้วย ตอบ ข้อ 1. = 0.8 × 0.972 × 0.9 ≈ 0.70 ตอบ
(44) แดงเหลือง + เหลืองแดง (51) ให้ x = เวลาล่าช้า
3 × 1 + 1× 3 1
= = ตอบ จะได้ X = (0.4)(0.5) + (0.25)(0.8) + (0.35)(1)
6×6 6
= 0.75 นาที ตอบ
1
(45) 3!2! ÷ 5! = ตอบ (52) จํานวนรถเฉลี่ยใน 1 ชม. (ถ่วงน้าํ หนักด้วย
10
(46) พิจารณาหลักหน่วย พบว่าเลขเรียง ความน่าจะเป็น)
= (0)(0.5) + (1)(0.25) + (2)(0.2) + (3)(0.05)
5 → 6 → ? → 8 → 9 แสดงว่า ต้องเป็นเลข 7
เท่านั้น (ซึ่งก็มีในทุกตัวเลือก) = 0.8 คัน
หลักที่เหลือ 12 → 72 → ? → 4032 → 36288 เทียบสัดส่วน.. 0.8 คัน ใช้เวลา 1 ชม.
1
∴ 1 คันใช้เวลา = 1.25 ชม. = 75 นาที ตอบ
ถ้าลองหารดูจะพบว่า 72 = 6, 36288 = 9 0.8
12 4032
(53) จํานวนแบบของอักษร (40 × 40) − 500
และ 4032 = 56 = 7 × 8 ดังนัน้ ส่วนทีห่ ายไป จํานวนแบบของตัวเลข 9 × 10 × 10 × 10
72
คือ 72 × 7 = 504 ตอบ 5,047 ดังนัน้ คูณกันทั้งหมดได้ 9.9 ล้านแบบ ตอบ
[หมายเหตุ เขียนรูปทั่วไปได้วา่ (54) สมมติพิมพ์ a หน้า
(n + 4)!
an = 12 10 + (n + 4) = (n + 4)! + (n + 4) ] จะได้วา่ พิมพ์เองเสียเงิน 15,000 + 2a บาท
5! ควรน้อยกว่าหรือเท่ากับ จ้างพิมพ์ 8a บาท
(47) ความชัน m = 8000 − 4000 = −400 จาก 15,000 + 2a < 8a ได้ a > 2,500 หน้า
30 − 40
ตอบ ข้อ 3. ได้ทันที แต่ถ้าพิมพ์ 2,500 หน้า จะต้องใช้หมึกถึง 3 ตลับ
และเสียเงิน 21,000 บาท (โดยมีหมึกเหลืออยู่)
21,000
∴ ควรพิมพ์มากกว่า = 2,625 หน้า ตอบ
8
(หมายถึงพิมพ์ในช่วง 2,626 ถึง 3,000 หน้า)
ส่วนที่หนึ่ง
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 10 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย
ข้อ 1 – 5 ข้อละ 2 คะแนน ข้อ 6 – 10 ข้อละ 3 คะแนน
1. กําหนดให้ A = {−1, 0, 1, 2}
จํานวนฟังก์ชัน f : A −> A โดย “มี x ∈ A ซึ่งถ้า x > 0 แล้ว f (x) < 0 ” เท่ากับกี่แบบ
⎡ y − x −4 ⎤
4. กําหนดให้ AB = BA = I และ A = ⎢ −1 −y 3 ⎥
⎢ ⎥
⎣⎢ 4 x x ⎦⎥
โดยที่โคแฟกเตอร์ของ a 31 = 5 และโคแฟกเตอร์ของ a 12 = 13
⎧⎪ x2k ,x < 2
6. กําหนด f (x) = ⎨ k
⎪⎩( 8 − 1) x + 8 ,x > 2
ถ้า k เป็นจํานวนจริงที่ทําให้ f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องที่ x =2 แล้วค่าของ f (2) เท่ากับเท่าใด
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 589 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1
⎡ n2+ n 3⎤
9. สําหรับจํานวนเต็มบวก n ใดๆ ให้ An = ⎢ ⎥
⎢ n2− 1 3⎥
⎣ ⎦
และ Bn = เมตริกซ์ผูกพันของ An แล้วลิมิตของลําดับ bn = det (B n) มีค่าเท่ากับเท่าใด
10. ถ้า A เป็นจุดบนแกน y ซึ่งอยู่ห่างจากจุด (2, 2) และ (1, −1) เป็นระยะทางเท่ากัน และ
P คือพาราโบลาที่มีจุดยอดที่พิกัด (1, 3) ซึ่งมีจุด A เป็นจุดปลายของเลตัสเรคตัม แล้วจุด B บน
เส้นโค้ง P ซึ่งอยู่ห่างจากจุดโฟกัส 6 หน่วย จะอยู่ห่างจากแกน y เป็นระยะทางกี่หน่วย
3. จํานวนสมาชิกของเซต
1− 1
{ f : (B − A) > (A −B) | n(A) = 8 และ n (B) = 6 และ n (A ∪ B) = 11 }
มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 6 2. 15 3. 60 4. 125
x−1
5. กําหนดให้ A เป็นเซตคําตอบของอสมการ > 2
x +2
1
f (x) = (3 + x)(2 − x) , g(x) =
x+3
และ c เป็นขอบเขตบนค่าน้อยทีส่ ุดของ A ∩ Df ⋅ g แล้ว c มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −3 2. −2 3. 1 4. 2
6. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้า (p → q) ∧ (r ∨ s) เป็นจริง และ q ∨ s เป็นเท็จ แล้ว (q ∨ p) → (r ∧ s) เป็นจริง
ข. นิเสธของ ∀x [ x </ 0 → − x < 0 ] สมมูลกับ ∃x [ x </ 0 และ x < 0 ]
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
7. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. [(p → q) ∨ (q → r)] → (p → r) เป็นสัจนิรันดร์
ข. [(p ∧ q) → (p ∨ q)] ↔ [(~ p ∧ ~ q) → (~ p ∨ ~ q)] เป็นสัจนิรันดร์
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
9. พิจารณาการอ้างเหตุผลต่อไปนี้
ก. เหตุ 1) p → ~ q ข. เหตุ 1) P (x) ∧ Q (x)
2) q ∨ r 2) Q (x) → R (x)
3) ~ r 3) ~ R (x) ∨ S (x)
ผล p ผล S (x)
ข้อความใดต่อไปนี้ถูก
1. ก และ ข สมเหตุสมผลทั้งคู่ 2. ก สมเหตุสมผล แต่ ข ไม่สมเหตุสมผล
3. ก ไม่สมเหตุสมผล แต่ ข สมเหตุสมผล 4. ก และ ข ไม่สมเหตุสมผลทั้งคู่
⎡ 1 0 −x2 ⎤
18. จํานวนจริงบวก x ที่ทําให้เมตริกซ์ ⎢2 1 0 ⎥ เป็นเมตริกซ์เอกฐาน มีทั้งหมดกี่จํานวน
⎢ ⎥
⎣⎢ x 3 5 ⎦⎥
1. 0 2. 1 3. 2 4. 3
⎡a 0 2 ⎤
19. กําหนดให้ A = ⎢0 2 0 ⎥ เมื่อ det (3 I − A) = 8
⎢ ⎥
⎣ a 0 −2⎦
และการดําเนินการตามแถว ⎡⎣ A I ⎤⎦ ~ ⎡⎣ I B ⎤⎦ โดยที่ I คือเมตริกซ์เอกลักษณ์มิติ 3 × 3
แล้ว det (B adj A) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −40 2. −8 3. 8 4. 40
2 9
20. ถ้า A = { x ∈ R | ( )x (1− x) > } แล้ว
3 4
เซต B เป็นช่วงในข้อใดต่อไปนี้ที่ทําให้ B ∩ A ' = ∅
1. (−2, −1) 2. (−1, 0) 3. (0, 1) 4. (1, 2)
3
22. ให้ A = {x∈R | (x + 1)2 − 5(2x − 3) + 2 3 x − 4 + 1 = 0 }
และ B = { x ∈ R | log 3x 9 + (log 3 x)2 = 2 }
a
แล้ว C = { log 3 | a∈A และ b ∈B } เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
b
1. {0, 1, 3} 2. {0, 1, 9} 3. {1, 3, 1/9} 4. {1, 3, 27}
⎧ x −2
⎪ , x < 2
⎪ 2−x
25. ให้ f (x) = ⎨
⎪ 2−x , x > 2
⎪ 2 − x
⎩
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. xlim
→2
f (x) และ lim f (x) หาค่าไม่ได้
−
x →2
+
2. xlim
→2
f (x) > 0 และ lim f (x) < 0
−
x →2
+
3. xlim
→2
f (x) + lim f (x) = 2 2
−
x →2
+
4. xlim
→2
f (x) + lim f (x) = −2 2
−
x →2
+
ส่วนที่สอง
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 10 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย
ข้อ 1 – 5 ข้อละ 2 คะแนน ข้อ 6 – 10 ข้อละ 3 คะแนน
1. กําหนดให้ arctan x = arctan(1/3) + arctan(1/2)
และ arcsin y = arcsin(1/ 10) + arcsin(1/ 5) แล้ว (x − y)(x + y) มีค่าเท่ากับเท่าใด
2. ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ถ้า cos x = −1/ 5 แล้ว tan x = −2
2. ถ้า tan x = 2 แล้ว cos x = 1/ 5
3. tan(arccos (−1/ 5)) = −2
4. arccos (−1/ 5) = arctan(−2)
2 sin 2 θ − sin θ
3. เซตคําตอบของอสมการ > 0 เมื่อ 0 < θ < 2π
2 cos θ − 1
มีสมาชิกที่เป็นจํานวนนับทั้งหมดกี่จํานวน
1. 2 2. 3 3. 4 4. 5
5. ให้ u = 2 i + 4 j และ ˜
AB เป็นเวกเตอร์ที่ขนานกับ u โดยจุด A อยู่ที่ (1, −2) และจุด B
อยู่บนเส้นตรง y = 3x − 2 ดังนั้น |˜
AB|: u มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1.5 2. 2 3. 2.25 4. 4
1. 4 2. 1 3. −2 4. −3
2
⎛ x4 + 1 ⎞ 1
13. ค่าของ 1
∫ ⎝ x ⎠
∫0
2
⎜ 2 ⎟ dx + (4 − x) dx เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 10 2. 14 3. 20 4. 24
14. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
3
ก. −1∫ (x3−4x) dx = 4
ข. ขนาดพื้นที่ที่ปิดล้อมด้วยโค้ง y = x3− 4x กับแกน x ในช่วง x = −1 ถึง 3
เท่ากับ 12 ตารางหน่วย
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
x4
15. ถ้าเส้นโค้งเส้นหนึ่งมีสมการเป็น f (x) = − x
4
a2
1
และ a เป็นจํานวนจริงที่ทําให้ −a
∫ f′′(x) dx = −
4
แล้ว
ความชันของเส้นสัมผัสเส้นโค้งนี้ ณ จุดซึ่ง x=a มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. − 1 3. 3 4. −
3
2 2 2 2
17. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. จํานวนวิธีร้อยมาลัยวงกลมด้วยดอกไม้ 5 ชนิด โดยดอกมะลิและดอกดาวเรืองต้องอยู่ติดกัน
เท่ากับ 12 วิธี
ข. จํานวนวิธีจัดนักเรียน 5 คนเป็นวงกลม โดยเด็กหญิงมะลิและเด็กหญิงดาวเรืองต้องอยู่
ติดกัน เท่ากับ 12 วิธี
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
เฉลยคําตอบ
ส่วนที่หนึ่ง
ตอนที่ 1 (1) 224 (2) 19 (3) 2 (4) 5 (5) 11 (6) 8 (7) 416 (8) 0.5
(9) 1.5 (10) 4
ตอนที่ 2 (1) 3 (2) 2 (3) 3 (4) 4 (5) 2 (6) 2 (7) 3 (8) 4 (9) 3
(10) 2 (11) 4 (12) 3 (13) 2 (14) 4 (15) 1 (16) 1 (17) 1 (18) 3 (19)
2 (20) 1 (21) 4 (22) 1 (23) 2 (24) 3 (25) 4
ส่วนที่สอง
ตอนที่ 1 (1) 0.5 (2) 8 (3) 1.5 (4) 0.7 (5) 6 (6) 19 (7) 10 (8) 1
(9) 0.86 (10) 9
ตอนที่ 2 (1) 4 (2) 3 (3) 2 (4) 2 (5) 1 (6) 1 (7) 2 (8) 3 (9) 2
(10) 3 (11) 1 (12) 2 (13) 2 (14) 1 (15) 4 (16) 3 (17) 3 (18) 3
(19) 1 (20) 4 (21) 2 (22) 1 (23) 4 (24) 4 (25) 4
เฉลยวิธีคิด
ส่วนที่หนึ่ง ตอนที่ 1 แก้ระบบสมการได้ A=2, B=4, C=3
(1) คิดจากจํานวนแบบทั้งหมด ลบด้วย จํานวนแบบ ดังนัน้ p(x) = 2x2 + 4x + 3 และหารด้วย x − 2
ที่ “ไม่มี” ...ซึ่งจํานวนแบบทั้งหมด = 4 × 4 × 4 × 4 เหลือเศษ = p(2) = 2(2)2 + 4(2) + 3 = 19 ตอบ
และจํานวนแบบที่ “ไม่มี” (ตามเงื่อนไขในโจทย์) นั้น (3) จากโจทย์จะได้ log 2(4x + 8) − log 2 12 = x − 1
หมายความว่า ถ้าหาก x > 0 แล้ว f(x) > 0 ⎛ 4x + 8 ⎞ 4x + 8
นั่นคือ 4 × 2 × 2 × 2 แบบ นั่นคือ log 2 ⎜⎜ ⎟⎟ = x − 1 → = 2x −1
⎝ 12 ⎠ 12
ตอบ (4 × 4 × 4 × 4) − (4 × 2 × 2 × 2) = 224 แบบ
A2 + 8 1
(2) พหุนามดีกรีสอง p(x) = Ax2 + Bx + C ให้ 2x = A จะได้ = A⋅
12 2
ใช้ทฤษฎีเศษ.. p(−1) = 1 , p(0) = 3 , และ p(1) = 9 → A2 − 6A + 8 = 0 → A = 4
หรือ 2
จะได้ A − B + C = 1 .....(1) ดังนัน้ x=2 หรือ 1 ... แต่ในโจทย์มี x – 1 เป็นส่วน
C = 3 .....(2) และ A + B + C = 9 .....(3) ทําให้ x เป็น 1 ไม่ได้ ตอบ ผลบวกคําตอบคือ 2
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 599 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1
−x −4 ⎛ n2+ n + n2− 1 ⎞
(4) C31 = −y 3 = −3x − 4y = 5 .....(1) = 3 lim ( n2+ n − n2− 1) ⎜ ⎟
n→∞ ⎜ n2+ n + n2− 1 ⎟⎠
−1 3 ⎝
และ C12 = − 4 x = x + 12 = 13 .....(2) ⎛ n+1 ⎞
= 3 lim ⎜ ⎟ นํา n หารทัง้ เศษและ
แก้ระบบสมการได้ x=1 และ y=–2 n→∞ ⎜
⎝
2
n +n + n − 1 ⎟⎠
2
⎡ −2 −1 −4⎤
ดังนัน้ A = ⎢ −1 2 3 ⎥ จึงได้ det(A) = 25 ⎛ 1 + 1/n ⎞
⎢⎣ 4 1 1 ⎥⎦ ส่วน จะได้ = 3 lim ⎜ ⎟
n→∞ ⎜
⎝ 1 + 1/n + 1 − 1/n2 ⎟⎠
และ det(B) = det(A −1) = 1/25
⎛ 1 ⎞
1 = 3⎜ ⎟ = 1.5 ตอบ
ตอบ det(5A t B2) = 53 ⋅ 25 ⋅ = 5 ⎝ 1 + 1⎠
252
(10) ให้จดุ A มีพิกัดเป็น (0,y) จะได้ว่า
(5) จากจุดโฟกัสจึงทราบว่า c=2 และจุดศูนย์กลาง 22 + (y − 2)2 = 12 + (y + 1)2
อยู่ที่ (h,k)=(0,0) จากนั้นอัตราส่วน c:a จะทําให้ 2 2
ทราบว่า วงรีมคี ่า a=4 และไฮเพอร์โบลามีคา่ a=1 ดังนัน้ 4 + y − 4y + 4 = 1 + y + 2y + 1 → y = 1
สร้างสมการได้ดงั นี้.. นัน่ คือจุด A อยูท่ ี่ (0,1) ... และโจทย์บอกว่าจุดยอด
2 2 อยูท่ ี่ (1,3) จึงลองวาดรูปดูได้ดังนี้
วงรี y + x = 1 → 3y2 + 4x2 = 48
16 12
y2 x2 V(1,3) V(1,3)
ไฮเพอร์โบลา − = 1 → 3y2 − x2 = 3 F
1 3
แก้ระบบสมการหาจุดตัดได้ (±3, ±2) A(0,1) A(0,1)
F
ตอบ m 2 + n = 9 + 2 = 11
(6) ต่อเนือ่ งที่ x=2 แปลว่าลิมิตซ้ายเท่ากับลิมติ ขวา
นั่นคือ 22k = ( 8 − 1)2k + 8 ... ให้ 2k = A แต่อตั ราส่วนพาราโบลาที่แท้จริงนัน้ VF:AF ต้องเป็น
1:2 (ตามหลักทีว่ ่า เลตัสเรคตัมจะยาว 4c เสมอ)
จะได้ A2 + (1 − 8) A − 8 = 0 แยกตัวประกอบ ดังนัน้ พาราโบลาในข้อนี้ เป็นแบบรูปขวามือเท่านัน้ ..
ได้ (A + 1)(A − 8) = 0 → A = −1 หรือ 8
แต่ 2k = −1 ไม่ได้.. ดังนั้น 2k = 8 → k = 3/2 หาคําตอบได้โดยอาศัย B 6
รูปกราฟ (ไม่ต้องแก้ 2
ตอบ f(2) = 2 2(3 / 2) = 23 = 8 สมการ) เนือ่ งจากเรา 6
(7) เป็นการหา ห.ร.ม. ด้วยวิธีของยุคลิด ซึ่งผลหาร V
directrix
ทราบว่า FB=6 หน่วย F
สุดท้ายจะเป็น ห.ร.ม. ดังนั้น r1 = 2 จะเท่ากับระยะทางจาก A
และจะได้ r0 = 6 , n = 26 ตามลําดับ จุด B ไปถึง directrix
26 × 32
ตอบ ค.ร.น. ของ n กับ 32 คือ = 416 ดังนัน้ B ห่างจากแกน y อยู่ 6–2=4 หน่วย ตอบ
2
(8) พจน์ซา้ ยมือในโจทย์สามารถจัดรูปได้ดงั นี้
loga(ax) + loga(a2x)2 + loga(a3x)3 + ... + loga(a10x)10 ส่วนที่หนึ่ง ตอนที่ 2
4 2
= loga(ax ⋅ a x ⋅ a x ⋅ ... ⋅ a9 3 100 10
x )
(1) เซต P(A) และ B มีสมาชิกซ้ํากัน 2 ตัว ได้แก่
1 + 4 + 9 + ... + 100 1 + 2 + 3 + ... + 10
{0} กับ {0,1} ดังนัน้ n(P(A) − B) = 24 − 2 = 14
= loga(a x )
385 55 เซต P(B) และ A มีสมาชิกซ้าํ กัน 1 ตัว ได้แก่ ∅
= loga(a x )
ดังนัน้ n(P(B) − A) = 23 − 1 = 7 ตอบ 21
ดังนัน้ สมการกลายเป็น loga(a385 x55) = 110
385 55 110
(2) ก. เนื่องจาก A ⊂ B ดังนัน้ A ∪ B = B และ
→ a x = a → x55 = a−275
A ∩ B = A ซึ่งทั้งสองเซตนี้เป็นสมาชิกของ C ..ถูก
∴ x = a−275/ 55 = a−5 = (5 2)−5 = 2−1 = 0.5 ตอบ ข. ผิด ทีจ่ ริงใน P(C) จะมี {A} และ {B} ต่างหาก
⎡ 3 −3 ⎤ (3) n (A ∩ B) = 8 + 6 − 11 = 3
(9) Bn = adj (An) = ⎢ 2
⎣− n − 1 n2+ n ⎥⎦
ดังนัน้ n (B − A) = 6 − 3 = 3
จะได้ bn = det (Bn) = 3 ( n2+ n − n2− 1) และ n (A − B) = 8 − 3 = 5
แสดงว่า nlim bn = lim 3 ( n2+ n − n2− 1) จํานวนฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง จาก B–A ไป A–B จะมี
→∞ n→ ∞
ทั้งหมด 5 × 4 × 3 = 60 แบบ ตอบ
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 600 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1
(20) จากโจทย์จะได้ (2)x (1− x) > (2)−2 ฐานเท่ากัน (24) เขียนกราฟของเงือ่ นไขได้ดังรูป
3 3 y สมมติวา่ P สูงสุดเกิดที่
ตัดทิ้งได้ (แต่เป็นฟังก์ชันลด ต้องพลิกเครือ่ งหมาย) (2,3) จะได้ว่า
จะได้ x (1 − x) < −2 → x − x2 + 2 < 0 150 = (a/2)(2)+25(3)
แยกตัวประกอบได้ (x − 2)(x + 1) > 0 4 (2,3) นัน่ คือ a = 75
ดังนัน้ A = (−∞, −1) ∪ (2, ∞) และ A ' = [−1, 2]
เซต B ที่ตรงตามที่โจทย์ตอ้ งการคือข้อ 1. ตอบ x ตรวจสอบความถูกต้อง
O 5
(21) จากโจทย์ จัดรูปฝั่งซ้ายของอสมการได้ดังนี้ โดยแทนค่า (0,4)
1 1 และ (5,0) ลงไป พบว่า P(5,0)=187.5 ซึ่งมากกว่า
log 3(x − 3) − log 3(x − 3) + log 3(x − 3) − ...
2 4 150 แสดงว่าทีจ่ ริงแล้ว P สูงสุดเกิดทีจ่ ุด (5,0)
1 1 1 ดั งนัน้ 150 = (a/2)(5)+25(0) ... ได้ a = 60
= (1 − + − + ...)(log 3(x − 3))
2 4 8 ตอบ ข้อ 3.
1 2 x −2 x−2
=( )(log 3(x − 3)) = (log 3(x − 3)) (25) xlim f(x) = lim = lim
1 + 1/2 3 →2 −
x →2 −
2−x
x →2 2−x −
→ a (a + 2)(a − 1) = 0 → a = 0, −2, 1
(2) พื้นที่สี่เหลีย่ ม = |˜
AB | ⋅ |˜
AD | sin θ = 24
˜ ˜ ˜ ˜
และจาก AB ⋅ AD = | AB | ⋅ | AD | cos θ = 3
ดังนัน้ x = 30 , 3−2 , 31 = 1, 1/9, 3
นําสองสมการมาหารกัน จะได้ tan θ = 8 ตอบ
เซต C; มีสมาชิกเป็น log 3 a ได้แก่
b (3) จาก z − z = ( 1 − 3 i) − ( 1 + 3 i) = − 3i
3 3 3 2 2 2 2
log 3 = 1 , log 3 = 3 , log 3 = 0
1 1/9 3 และ i17 = i1 = i และ
ตอบ {0,1,3} z18 = (1∠(π / 3))18 = 118 ∠(18π / 3)) = 1∠6π = 1
(23) เขียนกราฟของ y z−z − 3i 3
ดังนัน้ = =
เงื่อนไข ได้ดังรูป i 17 + z 18 i+1 2
(0,10) 2
ค่าต่าํ สุดของ C ⎛ z−z ⎞ 32
ตอบ ค่าสัมบูรณ์ของ ⎜⎜ 17 18 ⎟⎟ คือ ( ) = 1.5
เกิดที่ (3,1) ⎝ i +z ⎠ 2
(3,1) (4,1/2)
ตอบ Cmin = 17 x
O
(4) ให้ u = v = a จะได้วา่ (10) x-2 หาร f(x) และ f’(x) เหลือเศษ 3 และ 4
a2 + a2 + 2a2 cos θ = 2 a2 + a2 − 2a2 cos θ หมายความว่า f(2)=3 และ f’(2)=4 (ทฤษฎีเศษ)
ยกกําลังสองทั้งสองข้าง และดึงตัวร่วมได้เป็น ดังนัน้ จาก g(x) = f(x) 2 จะได้
(x − 1)
2a2(1 + cos θ) = 4 (2a2)(1 − cos θ)
dg (x − 1)2 f′(x) − f(x) 2 (x − 1)
= g(x)
′ =
∴ cos θ = 0.6 ตอบ ข้อ 2. dx (x − 1)4
(เพราะ cos 45° ≈ 0.707 และ cos 90° = 0) (1)2 (4) − (3)2 (1)
แทนค่า g(2)
′ = = −2 ตอบ
(5) สมมติจุด B มีพิกดั เป็น (x, 3x-2) (1)4
ดังนัน้ ความชันของเวกเตอร์ ˜ AB เท่ากับ (11) f(x) = x3 + Ax2 + Bx + C
(3x − 2) − (−2)
* x-1 เป็นตัวประกอบ แปลว่า f(1)=0
(x) − (1)
* x-2 หาร f’(x) และ f’’(x) เหลือเศษ 2 เท่ากัน
แต่ความชันของเวกเตอร์ u เท่ากับ 4/2 = 2 แปลว่า f’(2)=2 และ f’’(2)=2 (ทฤษฎีเศษ)
เวกเตอร์สองอันนี้ความชันเท่ากัน แก้สมการได้ x=-2 * เนือ่ งจาก f′(x) = 3x2 + 2Ax + B และ
แสดงว่าจุด B คือ (-2,-8) และ ˜ AB = −3 i − 6 j
f′′(x) = 6x + 2A
˜
ตอบ |AB|: u = 3 : 2 = 1.5 จึงได้วา่ f′′(2) = 6(2) + 2A = 2 → A = −5
(6) จาก v = i + j แสดงว่า v = 2 f′(2) = 3(2)2 − 10(2) + B = 2 → B = 10
และ v ทํามุม 45° กับแกน x f(1) = (1)3 − 5(1)2 + 10(1) + C = 0 → C = −6
3 * หาสมการเส้นสัมผัสโค้งนี้ ณ จุดซึง่ x=2
u ⋅ v = 3 = ( 2)( 2)(cos θ) → cos θ =
2
ความชัน = f’(2) = 2 (โจทย์ให้มาแล้ว)
นั่นคือมุมระหว่าง u กับ v เป็น 30° ดังนั้น จุดที่สัมผัส.. f(2) = (2)3 − 5(2)2 + 10(2) − 6 = 2
u ทํามุมกับแกน x เท่ากับ 15° หรือ 75° ก็ได้
ดังนัน้ สมการเส้นตรงคือ y = 2x − 2 ตอบ
ตอบ ข้อ 1.
(7) z ⋅ z = (a − bi)(a + bi) = a2 + b2 (12) f (x) = log1(x − 4) + x = 1 + x
10 25 x − 4 25
ดังนัน้ Re(z ⋅ z) = a2 + b2 ด้วย 1 1
f′(x) = − + แทนค่า a ตามในโจทย์ได้
และเนือ่ งจาก |z| = a2 + b2 (x − 4)2 25
24 1 1
เราจึงหา Re(z ⋅ z) ได้โดย |z|2 f′(a) = − = − + → (a − 4)2 = 1
25 (a − 4)2 25
จากโจทย์ ใส่คา่ สัมบูรณ์ได้ (13)|z|3 (5) = (130)|z|
ดังนัน้ a = 3 หรือ 5 ... แต่ในโจทย์มี log จึงมี
(เพราะ | z | = |z| เสมอ) ... เงื่อนไขทําให้ x > 4 เท่านั้น ตอบ 1 จํานวน
จากนั้นย้ายข้างได้ |z|2 = 2 ตอบ 2 4 2
(13) 1∫ x 2+ 1 dx = 1∫ (x2 + x−2) dx
3
(8) จากสมการในโจทย์ z = −5 + 2 i x
2
3
3
ดังนัน้ |z| = | − 5 + 2 i| = 27 ⎡x 1⎤ ⎛8 1⎞ ⎛ 1 ⎞ 5
= ⎢ − ⎥ = ⎜ − ⎟ − ⎜ − 1⎟ = 2
⎣3 x⎦ 1 ⎝ 3 2⎠ ⎝ 3 ⎠ 6
แสดงว่าทุกๆ คําตอบย่อมมีขนาดเป็น |z| = 3 1 1
แสดงว่าพื้นที่แรเงาในรูป
0.375
o¨·Â·´Êoº ªu´·Õè 2
(กุมภาพันธ์ 2548)
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 10 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย
ข้อ 1 – 5 ข้อละ 2 คะแนน ข้อ 6 – 10 ข้อละ 3 คะแนน
(x − 1)2 (y − 2)2
1. กําหนดให้ P เป็นจุดๆ หนึ่งบนวงรี + = 1 ซึ่งมี F1 , F2 เป็นจุดโฟกัส
9 16
ถ้าระยะห่างระหว่างจุด P และจุดโฟกัสจุดหนึ่งของวงรีคือ 2 หน่วย แล้ว
˜1 ⋅ ˜
(PF PF2) sec (FPˆ
1 F2) มีค่าเท่ากับเท่าใด
2
2. ผลคูณของทุกคําตอบของสมการ x 2 (log x) = 10 x3 มีค่าเท่ากับเท่าใด
2. ข้อความในข้อใดต่อไปนี้ผิด
1. ถ้า a, b, c เป็นจํานวนเต็มบวก ซึ่ง a| b และ a|c แล้ว
จะได้ว่า a หารผลรวมเชิงเส้นของ b และ c ลงตัวด้วย
2. ถ้า a, b, c เป็นจํานวนเต็มบวก ซึ่ง a| b หรือ a|c แล้ว
จะได้ว่า a หารผลคูณ bc ลงตัวด้วย
3. ถ้า a, b, n เป็นจํานวนเต็มบวก และ a| b n แล้ว จะได้ว่า a| b
4. ถ้า a, b, n เป็นจํานวนเต็มบวก และ a n | b แล้ว จะได้ว่า a| b
3
3. ถ้า f (x) และ g(x) เป็นฟังก์ชันซึ่งหาอนุพันธ์ได้ โดย f (2x + 1) = {[g (x 2+ 2)]2+ 1} และเส้น
สัมผัสโค้ง g (x) ที่ x = 3 มีสมการเป็น y = 3x − 8 แล้วอนุพันธ์ของ f (x) ที่ x = 3 อยู่ในเซตใด
ต่อไปนี้
1. {12, 18} 2. {24, 36} 3. {54, 72} 4. {84, 108}
5. ให้ A, B, C เป็นจุดยอดของรูปสามเหลี่ยมใดๆ
˜| :|˜
จุด D อยู่บนด้าน BC โดยที่ |BD BC | = 3 : 4
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ˜AB = 4 ˜AD − 3 AC
˜
ข. ถ้า |˜ ˜ 3 ˜ แล้ว มุม A มีขนาดประมาณ
AB | = | AC | = |AD| 120°
2
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
x2 − 6
6. จํานวนคําตอบที่เป็นจํานวนเต็มของอสมการ x+1 < < 5 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
x
1. 5 2. 6 3. 8 4. 12
8. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้าประพจน์ [(p ∧ q) → r)] ↔ (p ∨ q) มีค่าความจริงเป็นเท็จ
แล้ว (p → q) ∨ r มีค่าความจริงเป็นเท็จ
ข. นิเสธของข้อความ ∃y∀x [ Q (x, y) → P (x) ] คือ ∃x∀y [ Q (x, y) ∧ ~ P (x) ]
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
17. กําหนดตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนสอบของนักเรียนห้องหนึ่งเป็นดังนี้
คะแนน จํานวนนักเรียน
30 – 39 5
40 – 49 10
50 – 59 a
60 – 69 b
70 – 79 2
เมื่อสุ่มเลือกนักเรียนกลุ่มนี้มาหนึ่งคน ความน่าจะเป็นที่นักเรียนคนนี้ได้คะแนนน้อยกว่าและมากกว่า
49.5 คะแนน มีค่าเท่ากัน และคะแนน 59.5 คิดเป็นเดไซล์ที่ 8 ดังนั้นส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์ของ
คะแนนชุดนี้เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0.01 2. 7.92 3. 10.01 4. 49.92
5
18. ให้ x1, x2 , ..., x5 และ ∑ (x i − 5)2 =
เป็นข้อมูลชุดหนึ่งซึ่งมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเท่ากับ 8 75
i=1
4
23. ค่าของ 0
∫( x (8 − x) − x (4 − x) ) dx อยู่ในช่วงต่อไปนี้
1. [0, 2) 2. [2, 6) 3. [6, 12) 4. [12, 20)
5
24. ถ้า A เป็นเซตคําตอบของสมการ ∑ z k = 0
k =0
z
และ B เป็นเซตคําตอบของระบบสมการ = 1 และ z = 1
z+1
แล้ว จํานวนสมาชิกของ A ∪B เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 5 2. 6 3. 7 4. 8
3 1
25. ถ้า vn = 3− 2
i + j เมื่อ n = 1, 2, 3, ..., 100
n n
99
แล้วค่าของ ∑ (vn + 1 − vn) ใกล้เคียงกับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด
n=1
เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 12 (2) 100 (3) 6.6 (4) 84 (5) 0.5 (6) 10 (7) 16 (8) 996 (9) 127
(10) 53
ตอนที่ 2 (1) 4 (2) 3 (3) 3 (4) 4 (5) 1 (6) 2 (7) 3 (8) 4 (9) 1
(10) 2 (11) 4 (12) 1 (13) 2 (14) 4 (15) 1 (16) 3 (17) 2 (18) 2
(19) 1 (20) 1 (21) 1 (22) 4 (23) 3 (24) 1 (25) 4
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 611 โจทยทดสอบ ชุดที่ 2
เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 ⎡ 1 0 −1 ⎤ ⎡ ⎤
(1) โจทย์ถาม (PF˜⋅˜ ˆF)
PF ) sec (FP
(5) ⎢0 1 1 I ⎥ ~⎢ I A ⎥
1 2 1 2 ⎢⎣ 1 −1 0 ⎥⎦ ⎢⎣ ⎦⎥
= |˜ ˜| cos Pˆ sec Pˆ
PF | ⋅ |PF
1 2
⎡ 1 0 −1⎤
= |˜
PF | ⋅ | ˜
1 PF | 2
แปลว่า ⎢0 1 1 ⎥ = A −1
⎢⎣ 1 −1 0 ⎥⎦
ซึ่งสามารถใช้สมบัติที่วา่ ระยะทางจากจุดๆ หนึง่ ไปยัง
จุดโฟกัสทั้งสอง บวกกันแล้วเป็นค่าคงที่ = 2a เสมอ โดยที่ 01 01 −11 = 2 → det(A) = 1
วงรีที่โจทย์ให้มามีค่า a = 4 ดังนั้น 2a = 8 1 −1 0 2
ถ้าระยะทางหนึง่ เป็น 2 หน่วย อีกระยะทางหนึง่ ย่อม โจทย์ถาม 2 n (det(A))2 (det(A))n − 1
เท่ากับ 8–2=6 หน่วย ตอบ 2 ⋅ 6 = 12 = 23 (1/2)2 (1/2)3 − 1 = 0.5 ตอบ
2 (log x)2 3
(2) จากโจทย์จะได้ log(x ) = log(10 x ) 2
()
7
0
7 0
(3a) (−2b) +
7
1 () 6 1
(3a) (−2b) + ... +
7
7 ()0
(3a) (−2b)
7
→ (x − 1)2 − 3y2 = 24 →
(x − 1)2
24
−
y2
8
= 1
(7) จัดรูปสมการพาราโบลาเป็น y = ±
x−1 (11) ข้อ 1. 1 + r + r2 +…
a ข้อ 2. 1 − r + r2 − …
dy 1 1 log 3 log 3
พาราโบลานี้จะมีความชัน = ± ln = − ln 3 = − ≈ − ≈ −1. กว่าๆ
dx 2 a x−1 3 log e log 2.7
แต่สมการเส้นตรง x + 4y + c = 0 มีความชัน -1/4 ดังนัน้ ข้อ 1. กับ 2. ผิดแน่นอน เพราะเป็นอนุกรม
แสดงว่าพาราโบลามีความชัน -1/4 ณ จุดที่ x=3 อนันต์ที่มีอตั ราส่วนร่วมน้อยกว่า –1 หรือมากกว่า 1
dy 1 1 ซึ ่งไม่สามารถหาผลบวกถึงอนันต์ได้
แทนค่า = − = − → a = 2
dx 4 2 a 3−1
ข้อ 3. 1 + 12 + 13 + … = (1 / r) = 1
(ต้องใช้พาราโบลาซีกที่เป็นเครือ่ งหมายลบจึงคิดได้) r r r 1 − (1 / r) r − 1
ดังนัน้ y = − x−1
และค่า b = − 3−1
= −1 ข้อ 4. − 2 + 3 − … = (1 / r) = 1
1 1 1
2 2 r r r 1 + (1 / r) 1+r
ส่วนค่า c หาจาก 3 + 4 (−1) + c = 0 → c = 1 ตอบ ข้ อ 4.
ตอบ a+b+c = 2 (12) f(x) เป็นพหุนามดีกรีสาม แสดงว่า f’(x) เป็น
(8) ก. เชือ่ มด้วยเครื่องหมาย “ก็ต่อเมือ่ ” มีเท็จได้ 2 พหุนามดีกรีสอง ซึ่งโจทย์บอกว่า i − 2 เป็นรากหนึ่ง
กรณี คือ T,F และ F,T สมมติว่าคิดแบบ T,F จะได้.. (เป็นคําตอบหนึง่ ) ของสมการ f′(x) = 0 แสดงว่า
[(p ∧ q) → r)] ↔ (p ∨ q) − i − 2 เป็นอีกคําตอบหนึ่ง จะได้
F f′(x) = k (x − (i − 2))(x − (− i − 2)) = k (x2 + 4x + 5)
T F
F F ? F F 3
ÀÒ¤¼¹Ç¡
Math E-Book ©ºaºe¢Á¢¹
เซต
1. เซต คือ “กลุ่มของสิ่งต่างๆ” และเรียกสิ่งที่อยู่ภายในแต่ละเซตว่า “สมาชิก”
นิยมตั้งชื่อเซตด้วยอักษรตัวใหญ่ เช่น A, B, C และเขียนสัญลักษณ์แทนเซตด้วยปีกกา { }
2. ในการเขียนแจกแจงสมาชิกของเซตนั้น
- จะคั่นระหว่างสมาชิกแต่ละตัวด้วยจุลภาค (comma)
- สามารถสลับที่สมาชิกในเซตได้โดยความหมายไม่เปลี่ยน
- สมาชิกตัวที่ซ้ํากันนับเป็นตัวเดียวกัน และไม่ต้องเขียนซ้ํา
- หากมีสมาชิกเป็นจํานวนมาก อาจใช้เครื่องหมาย “...” เพื่อละสมาชิกบางตัวไว้ในฐานที่เข้าใจ
- จะคั่นระหว่างสมาชิกแต่ละตัวด้วยลูกน้ํา (จุลภาค)
- สามารถสลับที่สมาชิกในเซตได้โดยความหมายไม่เปลี่ยน
- สมาชิกตัวที่ซ้ํากันนับเป็นตัวเดียวกัน และไม่ต้องเขียนซ้ํา
- หากมีสมาชิกเป็นจํานวนมาก อาจใช้เครื่องหมาย “...” เพื่อละสมาชิกบางตัวไว้ในฐานที่เข้าใจ
3. เซตสองเซตจะเท่ากันก็ต่อเมื่อเป็นเซตเดียวกัน (สมาชิกทุกตัวต้องเหมือนกัน) เท่านั้น
4. สัญลักษณ์ที่ใช้แทนคําว่า “เป็นสมาชิกของ” คือ ∈ เช่น 2 ∈ B , 3 ∈ C
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนคําว่า “ไม่เป็นสมาชิกของ” คือ ∉ เช่น 2.5 ∉ B , 4 ∉ C
5. ภายในเซต จะมีเซตหรือคู่อันดับหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น และจะนับ 1 ก้อนเป็นสมาชิก 1 ตัว
6. เซตจํากัดคือเซตที่หาจํานวนสมาชิกได้ เซตอนันต์คือเซตที่จํานวนสมาชิกมากจนหาค่าไม่ได้
สัญลักษณ์ที่ใช้แทน “จํานวนสมาชิกของ A” คือ n (A) เช่น n (A) = 7 , n (B) = 5
7. เซตที่ไม่มีสมาชิกเลย เรียกว่า เซตว่าง ใช้สัญลักษณ์ { } หรือ ∅ ดังนั้นจะได้ว่า n(∅) = 0
8. เซตอนันต์บางเซตไม่สามารถเขียนแบบแจกแจงสมาชิก แต่เขียนแบบบอกเงื่อนไขได้
ในรูป { สมาชิก | เงื่อนไข } อ่านว่า “เซตของ (สมาชิก) โดยที่ (เงื่อนไข)”
9. ขอบเขตของสิ่งที่เราสนใจ เรียกว่า เอกภพสัมพัทธ์ หรือเซต U มีผลต่อเซตแบบบอกเงื่อนไข
- สมาชิกของเซตทุกเซตจะต้องอยู่ใน U ทั้งหมด และจะไม่สนใจสิ่งที่อยู่ภายนอก U
- โดยทั่วไปถ้าไม่ได้ระบุเอกภพสัมพัทธ์ ให้ถือว่า U เป็นเซตที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
10. สับเซต คือเซตย่อย ...B เป็นสับเซตของ A ก็ต่อเมื่อ สมาชิกทุกตัวของเซต B อยู่ใน A ด้วย
หรือเมื่อ B เป็นเซตว่างก็ได้ (และ B ไม่เป็นสับเซตของ A หากมีสมาชิกบางตัวของ B ไม่อยู่ใน A)
11. สัญลักษณ์ที่ใช้แทนประโยค “B เป็นสับเซตของ A” คือ B ⊂ A
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนประโยค “B ไม่เป็นสับเซตของ A” คือ B ⊄ A
12. เซตที่มีสมาชิก n ตัว จะมีสับเซตต่างๆ กันทั้งสิ้น 2 n แบบ
13. เซตว่างเป็นสับเซต(ที่เล็กที่สุด)ของทุกเซต และเซตทุกเซตเป็นสับเซต(ที่ใหญ่ที่สุด)ของตัวเอง
14. เพาเวอร์เซต คือเซตที่บรรจุด้วยสับเซตทั้งหมดที่เป็นไปได้
- เพาเวอร์เซตของ A ใช้สัญลักษณ์ว่า P(A)
- ถ้า A มีสมาชิก n ตัวแล้ว P(A) ย่อมมีสมาชิก 2 n ตัว
15. ประโยค {a, b} ∈ P(A) แปลว่า {a, b} ⊂ A
และประโยค {a, b} ⊂ A ก็แปลได้อีกทอดว่า “ a ∈ A และ b ∈ A ”
ระบบจํานวนจริง
1. จํานวนที่คิดขึ้นครั้งแรกใช้นับสิ่งของต่างๆ เรียกว่า จํานวนธรรมชาติ หรือ จํานวนนับ
ได้แก่ 1, 2, 3, 4, ... สัญลักษณ์แทนเซตของจํานวนนับคือ เซต N
2. จํานวนนับ จํานวนศูนย์ และจํานวนเต็มลบ เรียกรวมกันว่า จํานวนเต็ม (เซต I )
3. จํานวนเต็ม และเศษส่วนของจํานวนเต็ม เรียกรวมกันว่า จํานวนตรรกยะ (เซต Q )
- เศษส่วนของจํานวนเต็ม จะเขียนเป็นทศนิยมซ้ําได้เสมอ
- จํานวนอื่นๆ จะเป็นทศนิยมไม่ซ้ํา เรียกว่า จํานวนอตรรกยะ ( Q' ) เช่น 2 , 3 , π , e
4. จํานวนทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เรียกรวมกันว่าจํานวนจริง (เซต R )
- จํานวนซึ่งไม่ใช่จํานวนจริง ได้แก่ จํานวนซึ่งในรู้ทติดลบ เช่น −2 (เรียกว่าจํานวนจินตภาพ)
และจํานวนซึ่งตัวส่วนเป็น 0 (จะถือว่าหาค่าไม่ได้และไม่ใช่จํานวนจริง)
5. คําศัพท์เพิ่มเติมเกี่ยวกับจํานวนเต็ม
- จํานวนคู่ คือจํานวนเต็มที่หาร 2 ลงตัว (ได้แก่ 0, 2, -2, 4, -4, 6, -6, …)
จํานวนเต็มอื่นๆ เรียกว่าจํานวนคี่ เป็นจํานวนเต็มที่หาร 2 ไม่ลงตัว (ได้แก่ 1, -1, 3, -3, …)
- จํานวนเฉพาะ คือจํานวนเต็มที่ไม่ใช่ 0, 1, -1 และมีจํานวนเต็มที่หารลงตัวเพียง ±1 และ ± ตัว
มันเอง เท่านั้น (จํานวนเฉพาะสามารถติดลบได้ด้วย เช่น -2, -3, -5, -7, …)
- จํานวนเต็มอื่นๆ ที่ไม่ใช่จํานวนเฉพาะและไม่ใช่ 0, 1, -1 จัดเป็นจํานวนประกอบ (คือจํานวนซึ่ง
แยกตัวประกอบได้)
6. สมบัติปิด หมายความว่า เมื่อนําสมาชิกใดๆ ในเซตมาดําเนินการแล้ว ผลที่ได้ยังคงเป็นสมาชิก
ของเซตนั้นอยู่ เช่น เซตจํานวนนับมีสมบัติปิดการบวกและคูณ แต่ไม่มีสมบัติปิดการลบ
- สมบัติอื่นของจํานวนจริงได้แก่ การสลับที่ การเปลี่ยนกลุ่ม การแจกแจง การมีเอกลักษณ์ และ
การมีอินเวอร์ส
7. “เอกลักษณ์” คือจํานวนที่ไปดําเนินการกับจํานวน a ใดก็ตาม แล้วได้ผลลัพธ์ a เท่าเดิม
- เอกลักษณ์การบวกของจํานวนจริง คือ 0 และเอกลักษณ์การคูณของจํานวนจริง คือ 1
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 618 ฉบับเขมขน
18. สมบัติเกี่ยวกับอสมการ
a > b → a±c > b±c
a > b → ac > bc เมื่อ c > 0
a > b → a c < b c เมื่อ c < 0
19. ข้อควรระวังในการแก้อสมการใดๆ
- การบวกหรือลบทั้งสองข้าง (ย้ายข้างบวกลบ) และการตัดออกสําหรับการบวกหรือลบ ทําได้เสมอ
- การคูณหรือหารทั้งสองข้าง (ย้ายข้างคูณหาร) จะต้องระวังเรื่องการเปลี่ยนเครื่องหมาย
(ถ้าเลขที่ย้ายเป็นค่าติดลบ ต้องพลิกด้านเครื่องหมาย)
- การยกกําลังสองทั้งสองข้าง ทําได้เมื่อมั่นใจว่าเป็นบวกทั้งสองข้าง หรือติดลบทั้งสองข้างเท่านั้น
(โดยกรณีติดลบต้องพลิกด้านเครื่องหมายด้วย)
19. การแก้อสมการกําลังสอง (หรือหาคําตอบของอสมการ) ควรใช้เทคนิคดังนี้
- เครื่องหมายหน้า x2 ต้องไม่ติดลบ (ถ้าติดลบให้กลับเครื่องหมายทั้งหมดก่อน)
- แยกตัวประกอบ แล้วกําหนดจุดเหล่านั้นลงบนเส้นจํานวน
- ถ้าอสมการเป็น > 0 ให้ตอบช่วงซ้ายและขวา, ถ้าอสมการเป็น < 0 ให้ตอบช่วงกลาง
- ถ้าอสมการมีเครื่องหมาย = ด้วย ให้ตอบจุดเหล่านั้นด้วย (ช่วงปิด)
20. ค่าขอบเขตบนน้อยสุดของช่วง (a, b) และ (a, b] และ [a, b] คือ ค่า b
ค่าขอบเขตบนน้อยสุดของช่วง (a, ∞) และ [a, ∞) และ (−∞, ∞) หาไม่ได้
21. “ค่าสัมบูรณ์ ของจํานวนจริง a ” ใช้สัญลักษณ์ a
- ความหมายเชิงเรขาคณิต คือ a เท่ากับระยะห่างระหว่างจุดที่แทน a กับจุด 0
- และ a − b เท่ากับระยะห่างระหว่างจุดที่แทน a กับจุดที่แทน b
⎧⎪ a เมื่อ a > 0
22. การถอดค่าสัมบูรณ์ในกรณีทั่วๆ ไป a = ⎨
⎪⎩ −a เมื่อ a < 0
23. ทฤษฎีเกี่ยวกับค่าสัมบูรณ์
- ค่าสัมบูรณ์ต้องไม่น้อยกว่าศูนย์ a > 0 เสมอ
- ค่าสัมบูรณ์ไม่คํานึงถึงเครื่องหมายลบ a = −a a−b = b−a
n
- ค่าสัมบูรณ์กระจายได้ สําหรับการคูณ ab = a b an = a
a a
- ค่าสัมบูรณ์กระจายได้ สําหรับการหาร = โดย b ≠ 0
b b
2
- ยกกําลังด้วยเลขคู่ไม่ต้องใส่ค่าสัมบูรณ์ a2 = a = a2
- ค่าสัมบูรณ์กระจายไม่ได้ สําหรับการบวกลบ a+b < a + b a−b > a − b
⎧⎪ a , n = even
- นิยามการถอดรากที่ n ของกําลัง n n an = ⎨
⎪⎩ a , n = odd
ตรรกศาสตร์
1. ประโยคทุกประโยคที่มีค่าความจริง เป็นจริงหรือเป็นเท็จอย่างใดอย่างหนึ่ง เรียกว่า ประพจน์
- ประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธ เป็นประพจน์
- ประโยคคําถาม คําสั่ง ขอร้อง แสดงความปรารถนา ประโยคอุทาน เหล่านี้ไม่ใช่ประพจน์
2. สัญลักษณ์ที่ใช้แทนประพจน์ต่างๆ เป็นตัวอักษรเล็ก เช่น p, q, r
- แต่ละประพจน์จะมีค่าความจริงที่เป็นไปได้ 2 แบบ คือเป็น จริง (T) หรือเป็น เท็จ (F)
- เครื่องหมาย ~ เรียกว่านิเสธ ใช้เพื่อกลับค่าความจริงให้เป็นตรงกันข้าม
p และ q p หรือ q ถ้า p แล้ว q p ก็ต่อเมื่อ q ไม่ p
p q (p ∧ q ) (p ∨ q ) (p → q ) (p ↔ q ) (~p )
T T T T T T F
T F F T F F F
F T F T T F T
F F F F T T T
6. รูปแบบประพจน์ที่สมมูลกัน (ที่ควรทราบ)
- การแจกแจง - การเติมนิเสธ
p ∨ (q ∧ r) ≡ (p ∨ q) ∧ (p ∨ r) ~ (p ∧ q) ≡ ~p ∨ ~q
p ∧ (q ∨ r) ≡ (p ∧ q) ∨ (p ∧ r) ~ (p ∨ q) ≡ ~p ∧ ~q
- การเปลี่ยนตัวเชื่อม ~ (p → q) ≡ p∧~q
p→q ≡ ~p ∨ q ≡ ~q→~p ~ (p ↔ q) ≡ ~p ↔ q ≡ p↔~q
p↔q ≡ (p → q) ∧ (q → p)
7. ตัวเชื่อม และ มีสมบัติคล้ายอินเตอร์เซคชัน ... ตัวเชื่อม หรือ มีสมบัติคล้ายยูเนียน ...
นอกจากนั้น นิเสธ ก็มีสมบัติคล้ายคอมพลีเมนต์
8. ประโยคเปิด คือประโยคที่ยงั ติดค่าตัวแปร และเมื่อแทนค่าตัวแปรแล้วจึงกลายเป็นประพจน์
- สัญลักษณ์ที่ใช้แทนประโยคเปิดใดๆ (ที่ติดค่าตัวแปร x) ได้แก่ P (x), Q (x), R (x) ฯลฯ
9. ตัวบ่งปริมาณ คือข้อความที่ใช้บ่งบอกความมากน้อยของค่าตัวแปร x
- ตัวบ่งปริมาณมี 2 แบบ ได้แก่ “สําหรับ x ทุกตัว” ( ∀x ) และ “มี x บางตัว” ( ∃x )
- เมื่อใช้ตัวบ่งปริมาณร่วมกับเอกภพสัมพัทธ์ จะทําให้ประโยคเปิดมีค่าความจริง
10. สามารถแจกแจงตัวบ่งปริมาณได้เพียงสองรูปแบบนี้เท่านั้น
∀x [P (x) ∧ Q (x)] ≡ ∀x [P (x)] ∧ ∀x [Q (x)]
∃x [P (x) ∨ Q (x)] ≡ ∃x [P (x)] ∨ ∃x [Q (x)]
11. ประโยคเปิดที่มีสองตัวแปร (มีตัวบ่งปริมาณสองตัว) การอ่านต้องคํานึงถึงลําดับก่อนหลัง
เช่น ∀x∃y [...] แทนประโยค “สําหรับ x ทุกๆ ตัว จะใช้ y ได้บางตัว ...”
แต่ ∃y∀x [...] แทนประโยค “มี y บางตัว ที่ใช้ x ได้ครบทุกตัว ...”
12. การหานิเสธ ต้องเปลี่ยนตัวบ่งปริมาณ จาก ∀ เป็น ∃ และจาก ∃ เป็น ∀
และใส่นิเสธที่ประโยคเปิด ภายในเครื่องหมายวงเล็บด้วย
เช่น นิเสธของ ∀x∃y [P (x) → Q (x, y)] คือ ∃x∀y [P (x) ∧ ~ Q (x, y)]
13. การอ้างเหตุผล คือการกล่าวว่าถ้ามีเหตุเป็นข้อความ p1, p2 , p3 , ..., pn ชุดหนึ่ง
แล้วสามารถสรุปผลเป็นข้อความ q อันหนึ่งได้
- การอ้างเหตุผลมีทั้งแบบที่สมเหตุสมผล และไม่สมเหตุสมผล
14. วิธีตรวจสอบความสมเหตุสมผล ของการอ้างเหตุผล
- ตรวจสอบสัจนิรันดร์ ... จะสมเหตุสมผลก็เมื่อ (p1 ∧ p2 ∧ p3 ∧ ... ∧ pn) → q เป็นสัจนิรันดร์
(หรือกล่าวว่าไม่สมเหตุสมผลเพียงกรณีเดียวเท่านั้น คือเหตุเป็นจริงทั้งหมด แต่ผลเป็นเท็จ)
- เทียบกับรูปแบบที่พบบ่อย
การอ้างเหตุผลทุกรูปแบบต่อไปนี้ สมเหตุสมผล (4) เหตุ p → q
(1) เหตุ p → q (2) เหตุ p → q (3) เหตุ p → q r→s
p ~ q q→r p∨r
ผล q ผล ~ p ผล p→r ผล q∨s
(5) เหตุ p∨q (6) เหตุ p→q (7) เหตุ p∧q (8) เหตุ p
~ p ~q→~p ผล p ผล p∨q
ผล q ผล ~p ∨ q
เรขาคณิตวิเคราะห์
1. ระบบพิกัดฉาก ประกอบด้วยแกน 2 แกนที่ตั้งฉากกัน ณ จุดกําเนิด (จุด O) y
เรียกชื่อแกนนอนและแกนตั้ง ว่าแกน x และแกน y ตามลําดับ
- แกนทั้งสองนี้ตัดกัน แบ่งพื้นที่ในระนาบ xy ออกเป็น 4 ส่วน Q2 Q1
เรียกแต่ละส่วนว่าจตุภาค (ควอดรันต์, Q) ดังภาพ (−, +) (+, +)
2. การอ้างถึงพิกัดในระบบพิกัดฉาก จะเขียนในรูปคู่อันดับ x
Q3 O Q4
สมาชิกตัวแรกแทนระยะในทิศ +x และตัวหลังแทนระยะในทิศ +y (−, −) (+, −)
3. การเขียนชื่อจุดนิยมใช้ตัวอักษรใหญ่ เช่น จุด P, จุด Q
- อาจเขียนกํากับด้วยคู่อันดับเป็น P (x, y) เช่น Q (2, 4) ใช้แทนจุด Q และมีพิกัด (2,4)
4. ระยะห่างระหว่างจุด P กับ Q คือ PQ
Q (x2,y2)
P (x1,y1)
10. สมการของเส้นตรง m
- เมื่อทราบจุดผ่านจุดหนึ่ง (x1, y1) และค่าความชัน m
จะได้สมการ y − y1 = m (x − x1) P (x1,y1)
- เมื่อทราบจุดผ่านสองจุด (x1, y1) , (x2 , y2)
ให้คํานวณค่าความชันจากสองจุดนี้ก่อน Q (x2,y2)
แล้วเลือกใช้จุดใดก็ได้จุดเดียวมาสร้างสมการด้วยวิธีเดิม
P (x1,y1)
11. สมการเส้นตรงที่นิยมใช้ประโยชน์มีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่
- รูปแบบ y = m x + c เมื่อ m คือความชัน และ c คือระยะตัดแกน y
y y y
A
12. สมการเส้นตรงในรูปทั่วไปได้แก่ Ax + By + C = 0 ... จะมีคา่ ความชัน m = −
B
13. ระยะห่างระหว่างเส้นตรงคู่ขนานสองเส้น 14. ระยะห่างระหว่างจุดกับเส้นตรง
C2− C1 A x1 + B y1 + C
d = d =
2
2
A +B A2+ B2
Ax+By+C1=0 P (x1,y1)
d d
Ax+By+C2=0 Ax+By+C=0
P (x1,y1) P2 (x2,y2)
L: Ax+By+C=0
Q P1 (x1,y1) Q 2
L: Ax+By+C=0
Q1
- การคํานวณหาตําแหน่งภาพฉาย วิธีที่สะดวกที่สุดคือสร้างสมการเส้นตรงที่ผ่านจุด P และตั้งฉาก
กับเส้นตรง L แล้วแก้ระบบสมการหาจุดตัดของเส้นตรงทั้งสอง
16. ความสัมพันธ์ที่พบบ่อย นอกจากจะมีกราฟเป็นเส้นตรงแล้ว ยังมีกราฟเส้นโค้ง ได้แก่ วงกลม
พาราโบลา วงรี และไฮเพอร์โบลาด้วย กราฟทั้งสี่รูปนี้เรียกรวมกันว่า ภาคตัดกรวย
17. พื้นฐานการเขียนกราฟใดๆ
- เมื่อมีค่าคงที่มาบวกหรือลบ จะเกิดการเลื่อนแกนทางขนาน
หากเปลี่ยนรูปสมการจาก f (x, y) = 0 ไปเป็น f (x −h, y-k) = 0 จุดกําเนิดจะถูกเลื่อนไปยังคู่อันดับ
(h, k) และรูปกราฟทั้งหมดถูกเลื่อนตามไปด้วย
- เมื่อมีค่าคงที่ (ที่เป็นบวก) มาคูณหรือหาร จะเกิดการปรับขนาดทางแกนนั้น
หากเปลี่ยนรูปสมการจาก y = f (x) ไปเป็น my = f (nx) เมื่อ m, n มากกว่า 1
กราฟรูปเดิมจะถูกบีบลงทางแนวนอน n เท่า และบีบลงทางแนวตั้ง m เท่า (ส่วนกรณีที่ m, n น้อย
กว่า 1 จะมองว่าเป็นการหาร และกราฟจะถูกขยายออกแทน)
- หากสมการมีทั้งการบวกลบและคูณหาร ร่วมกัน.. จะต้องจัดรูปสมการให้บวกลบอยู่ในวงเล็บ
(กระทํากับตัวแปรโดยตรง) แล้วถัดมาจึงเป็นการคูณหาร.. นั่นคือใช้แกน h, k ที่ได้จากการเลื่อน
แกนแล้ว เป็นแกนกลางสําหรับบีบหรือขยายรูปกราฟ
- เมื่อมีค่าคงที่ (ที่เป็นลบ) มาคูณหรือหาร นอกจากจะมีการขยายหรือบีบแล้ว ยังเกิดการพลิก
รูปกราฟ โดยใช้แกน h, k นี้เป็นแกนหมุนด้วย (หากตัวแปร x ถูกคูณด้วยลบ จะพลิกสลับซ้ายขวา,
และหากตัวแปร y ถูกคูณด้วยลบ จะพลิกสลับบนล่าง)
18. วงกลม คือ “เซตของคู่อันดับที่อยู่ห่างจากจุดคงที่จุดหนึ่ง เป็นระยะเท่าๆ กัน”
เรียกจุดคงที่จุดนั้นว่า จุดศูนย์กลาง (C) และเรียกระยะทางนั้นว่ารัศมี (r)
- สมการวงกลม ที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ C (0, 0) และรัศมียาว r หน่วย คือ x 2 + y 2 = r 2
- เส้นสัมผัสวงกลม คือเส้นตรงที่ลากผ่านจุดบนวงกลมเพียงจุดเดียวเท่านั้น (เรียกว่าจุดสัมผัส)
และเส้นสัมผัสวงกลมทุกเส้นจะตั้งฉากกับรัศมี (ที่เชื่อมจุดศูนย์กลางกับจุดสัมผัส)
วงกลม
(x −h)2 + (y −k)2 = r 2
จุดศูนย์กลาง C (h, k)
r
รัศมี r หน่วย
C
(h,k) รูปทั่วไป
x 2+ y 2+ Dx + Ey + F = 0
วงรี (นอน)
(x −h)2 (y −k)2
2
+ = 1
B1 (h,k+b) a b2
⎫ จุดศูนย์กลาง C (h, k)
a ⎬b แกนเอกยาว 2a แกนโทยาว 2b
⎭ ระยะโฟกัส c = a − b 2 2
V2 F2 C F1 V1
c (h,k) (h+c,k) (h+a,k)
B2 รูปทั่วไป
Ax 2+ By 2+ Dx + Ey + F = 0
วงรี (ตั้ง)
V1 (h,k+a) (y −k)2 (x −h)2
2
+ = 1
a b2
F1 จุดศูนย์กลาง C (h, k)
(h,k+c) แกนเอกยาว 2a แกนโทยาว 2b
B2 b C (h,k) B (h+b,k)
⎧
1 ระยะโฟกัส c = a2− b2
⎪ ⎫
c
a ⎪⎨ ⎬
⎪
⎪ ⎭ รูปทั่วไป
⎪
⎪⎩ F2 Ax 2+ By 2+ Dx + Ey + F = 0
V2
ไฮเพอร์โบลา (ตะแคง)
(x −h)2 (y −k)2
2
− = 1
B1 (h,k+b) a b2
⎫ จุดศูนย์กลาง C (h, k)
c ⎬b แกนตามขวาง 2a แกนสังยุค 2b
⎭ ระยะโฟกัส c = a2+ b2
F2 V2 a C V1 F1
(h,k)(h+a,k) (h+c,k)
รูปทั่วไป
B2 Ax 2+ By 2+ Dx + Ey + F = 0
Asymptote Asymptote
a(y-k)=b(x-h)
ไฮเพอร์โบลา (ตั้ง)
Asymptote (y −k)2 (x −h)2
F1 (h,k+c) 2
− = 1
b(y-k)=a(x-h) a b2
- ไฮเพอร์โบลามุมฉากอีกรูปแบบหนึ่ง ได้แก่สมการในรูป xy = k
เมื่อ k เป็นค่าคงที่ ... (จะมีแกนตั้งและแกนนอนเป็นเส้นกํากับ)
ไฮเพอร์โบลามุมฉาก
xy = k k > 0
F1
จุดยอด V1 ( k, k)
V2 (− k, − k)
V1
จุดโฟกัส F1 ( 2k, 2k) C (0,0)
V2
F2 (− 2k, − 2k)
F2
- ถ้า k < 0 ไฮเพอร์โบลานี้จะอยูใ่ นควอดรันต์ที่ 2 และ 4
ความสัมพันธ์/ฟังก์ชัน
1. ผลคูณคาร์ทีเซียน คือผลคูณของเซต ... เซต A × B คือเซตของคู่อันดับ ที่สมาชิกตัวหน้ามาจาก
เซต A และสมาชิกตัวหลังมาจากเซต B ครบทุกคู่ ... และจะได้ n(A × B) = n(A) ⋅ n(B)
เช่น A = {0, 1, 2} , B = {1, 3} จะได้ A × B = {(0, 1), (0, 3), (1, 1), (1, 3), (2, 1), (2, 3)}
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 628 ฉบับเขมขน
2. A × B = B × A ก็ต่อเมื่อ A = B หรือมีเซตใดเซตหนึ่งเป็น ∅
3. ความสัมพันธ์ (r) คือเซตของคู่อันดับใดๆ (สามารถเขียนกราฟได้)
- “ความสัมพันธ์จาก A ไป B” คือเซตของคู่อันดับที่สมาชิกตัวหน้ามาจาก A และตัวหลังมาจาก B
แต่ไม่จําเป็นต้องครบทุกคู่ ... สัญลักษณ์ที่ใช้คือ r = {(x, y) ∈ A × B | .....}
- ดังนั้น ความสัมพันธ์จาก A ไป B ก็คือสับเซตของ A × B ... จะมีได้ทั้งหมด 2 n (A × B) แบบ
- “ความสัมพันธ์ภายใน A” คือ r = {(x, y) ∈ A × A | .....}
- ถ้าไม่ระบุว่าเป็นความสัมพันธ์จากเซตใดไปเซตใด จะหมายถึงเซตจํานวนจริง R × R
4. “โดเมน (A) ของความสัมพันธ์” คือเซตของสมาชิกตัวหน้าของคู่อันดับ
“เรนจ์ หรือพิสัย (R) ของความสัมพันธ์” คือเซตของสมาชิกตัวหลังของคู่อันดับ
- ถ้า r เป็นความสัมพันธ์จาก A ไป B แล้ว Dr ⊂ A และ Rr ⊂ B
5. การหาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ภายใน R ซึ่งบอกเป็นเงื่อนไข (สมการ)
ให้พิจารณาสิ่งเหล่านี้คือ การหาร, การถอดราก, ค่าสัมบูรณ์, การยกกําลัง จะมีข้อจํากัดเกิดขึ้น
- ถ้า a = b จะได้ว่า c ≠ 0
c
- ถ้า a = n b โดยที่ n เป็นจํานวนคู่ จะได้ว่า a > 0 และ b > 0
- ถ้า a = b n โดยที่ n เป็นจํานวนคู่ จะได้ว่า a > 0
- ถ้า a = b จะได้ว่า a > 0
การหาโดเมน ควรพิจารณาในรูป y = ...(x)...
และการหาเรนจ์ ควรจัดรูปให้กลายเป็น x = ...(y)... แล้วจึงค่อยพิจารณา
(โดยปกติ การเขียนกราฟ จะช่วยให้เห็นโดเมนและเรนจ์ได้ชัดเจนกว่าการคํานวณ)
6. อินเวอร์สของ r ใช้สัญลักษณ์ r −1 โดยมีนิยามว่า r −1 = {(y, x) | (x, y) ∈ r }
นั่นคือ r −1 คิดจาก การสลับที่สมาชิกตัวหน้าและหลังของคู่อันดับใน r
หรือถ้าเป็นความสัมพันธ์แบบเงื่อนไข จะคิดจากการสลับตําแหน่งระหว่างตัวแปร x และ y
7. Dr = Rr และ Rr = Dr เสมอ
−1 −1
- กราฟค่าสัมบูรณ์ (ที่คล้ายวงกลม) x + y = k x
-k O k
เมื่อ k คือค่าคงที่ที่มากกว่าศูนย์
-k
9. กราฟของความสัมพันธ์อาจเป็น “พื้นที่ (แรเงา)” ในระนาบ หากว่าความสัมพันธ์นั้นเป็น
“อสมการ” โดยมีหลักในการเขียนกราฟคือ คิดว่าเป็นเครื่องหมายเท่ากับแล้วเขียนกราฟของสมการ
ก่อน จากนั้นตรวจสอบว่าบริเวณใดของพื้นที่ตรงตามเงื่อนไขของอสมการ จึงแรเงา (เส้นกราฟทึบ
แสดงว่าจุดบนเส้นนั้นอยู่ใน r, เส้นประแสดงว่าจุดบนเส้นนั้นไม่อยู่ใน r)
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 629 ฉบับเขมขน
x x x
O O O
กําหนดการเชิงเส้น
1. กําหนดการเชิงเส้น เป็นเทคนิคที่ใช้จัดสรรทรัพยากรให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด เช่น การผลิตสินค้า
ด้วยวัตถุดิบที่มีให้ได้กําไรสูงที่สุด การขนส่งให้สิ้นเปลืองน้อยที่สุด การหาปริมาณวัตถุผสมให้เสีย
ค่าใช้จ่ายน้อยทีส่ ุด การมอบหมายงานเพื่อให้สําเร็จในเวลาน้อยที่สุด ฯลฯ
2. ขั้นตอนในการคิด คือ
- เขียนสมการจุดประสงค์ (หรือฟังก์ชันจุดประสงค์) เป็นฟังก์ชันที่ขึ้นกับตัวแปร x และ y
- เขียนเงื่อนไขที่มีอยู่ เรียกว่าอสมการข้อจํากัด
(นอกจากข้อจํากัดที่โจทย์ให้มาแล้ว อาจจะต้องเพิ่มอสมการ x > 0 , y > 0 )
- เขียนกราฟของระบบอสมการข้อจํากัด และแรเงาบริเวณที่ “ตรงตามเงื่อนไขทุกข้อ”
- หาจุดยอดมุมทั้งหมดของบริเวณที่แรเงา (ถ้าเป็นจุดที่เกิดจากเส้นตรงตัดกัน ต้องใช้วิธีแก้ระบบ
สมการหาจุดตัด) คู่อันดับ x และ y เหล่านี้เท่านั้นที่เป็นคําตอบได้
- นําคู่อันดับ x และ y ยอดมุมทุกจุด ไปหาค่าจุดประสงค์ที่มากหรือน้อยที่สุดตามต้องการ
3. ในบางสถานการณ์
- ค่า x หรือ y อาจจะต้องเป็นจํานวนเต็ม หากค่าที่เป็นคําตอบไม่ใช่จํานวนเต็มก็จําเป็นจะต้อง
เลือกจุดข้างเคียง (ภายในบริเวณที่แรเงา) ที่เป็นจํานวนเต็ม และให้ผลใกล้เคียงที่สุด
- อาณาบริเวณที่แรเงาอาจล้อมรอบด้วยเส้นประ (เช่น คําว่าระหว่าง, น้อยกว่า, หรือ มากกว่า)
จุดยอดมุมที่เป็นคําตอบยังไม่สามารถใช้ได้ ก็ต้องใช้วิธีเลือกจุดข้างเคียงเช่นเดียวกัน
ฟังก์ชันตรีโกณมิติ
1. ตรีโกณมิติ เป็นวิชาที่เกี่ยวกับการวัดส่วนประกอบของสามเหลี่ยม เช่น ความยาวด้าน, ขนาดมุม,
ขนาดพื้นที่ … มีฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องอยู่ 6 ฟังก์ชัน ได้แก่ ฟังก์ชันไซน์ (sin) โคไซน์ (cos)
แทนเจนต์ (tan) โคแทนเจนต์ (cot) ซีแคนต์ (sec) และโคซีแคนต์ (cosec หรือ csc)
2. หาก 0° < θ < 90° แล้ว ค่าฟังก์ชันที่ได้คอื “อัตราส่วนระหว่าง 2 ด้านในรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
ที่มุมหนึ่งมีขนาดเท่ากับ θ ”
a 1 c
sin θ = cosec θ = =
c sin θ a
b 1 c
cos θ = sec θ = = c a
c cos θ b
sin θ a 1 cos θ b
tan θ = = cot θ = = =
cos θ b tan θ sin θ a θ
3. ค่าของฟังก์ชันตรีโกณมิติที่ควรทราบ b
θ 0° 30° 45° 60° 90°
sin θ 0 1/2 1/ 2 3 /2 1
cos θ 1 3 /2 1/ 2 1/2 0
tan θ 0 1/ 3 1 3 หาค่าไม่ได้
4. ถ้าให้แกน x เป็น cos θ และแกน y เป็น sin θ จะสามารถหาค่าฟังก์ชันของมุม θ ต่างๆ ได้
จากวงกลมหนึ่งหน่วย ( θ เป็นมุมที่ทํากับแกน x โดยเริ่มวัดเป็น 0° ในแนว +x และเพิ่มขึ้นในทิศ
ทวนเข็มนาฬิกา) y
90° (0,1)
5. จากกราฟนี้ทําให้ทราบว่า 120° 60° ( 1 , 3 )
3 /2 2 2
1
sin θ , cos θ มีค่าได้ 1
(− , )3
2 /2 45 °( , 1 )
2 2
2 2 3 1
ตั้งแต่ –1 ถึง 1 เท่านั้น 1/2 30° ( , )
2 2
6. sin (−θ) = − sin θ
180° θ 0° (1,0)
cos (−θ) = cos θ x
(-1,0) O 1 2 3
tan (−θ) = − tan θ
2 2 2
225°
1
(− ,− 1 ) 300° ( 1 , − 3
)
2 2 2 2
270° (0,-1)
7. เอกลักษณ์ของตรีโกณมิติที่สําคัญ ได้แก่
- วงกลมหนึ่งหน่วย sin 2 θ + cos 2 θ = 1
นอกจากนี้ เมื่อนํา sin 2 θ หารทั้งสองข้างของสมการอีก จะได้ 1 + cot 2 θ = cosec 2 θ
หรือถ้านํา cos 2 θ หารทั้งสองข้างของสมการ ก็จะได้ tan 2 θ + 1 = sec 2 θ
- โค-ฟังก์ชัน sin θ = cos (90°−θ)
นอกจากนี้ยังมีอีกสองคู่ คือ ta n θ = cot (90°−θ) … และ sec θ = cosec (90°−θ)
9. หากขนาดของมุมที่จะหาค่าฟังก์ชัน π 0
x
ตรีโกณมิตินั้น มี nπ หรือ nπ/2 ไปบวกลบ
อยู่ เราสามารถกําจัดค่าคงที่เหล่านี้ทิ้งได้ 7π/6 11π/6
ให้เหลือเพียงมุม θ 5π/4 7π/4
- เมื่อตัดมุม nπ ออก ฟังก์ชันยังคงเป็นชื่อเดิม 4π/3 5π/3
ไม่เปลี่ยน แต่ถ้าตัดมุม nπ/2 ออก ฟังก์ชันจะ 3π/2
เปลี่ยนชื่อเป็นโคฟังก์ชันเสมอ (นอกจากนี้ยังต้องดูเครื่องหมายบวกลบด้วยว่าเปลี่ยนหรือไม่)
10. การแก้สมการตรีโกณมิติ ควรเปลี่ยนทุกค่าให้เป็น sin กับ cos ล้วน... แล้วใช้เอกลักษณ์
sin 2 θ + cos 2 θ = 1 เป็นสมการช่วย
11. ข้อควรระวังในสมการตรีโกณมิติ
- การทราบค่าฟังก์ชันค่าหนึ่ง จะยังไม่สามารถสรุปได้ทันทีว่า θ อยู่ตําแหน่งใด เพราะจะมีสอง
คําตอบอยู่ในคนละควอดรันต์เสมอ เราต้องทราบเพิ่มเติมด้วยว่า ค่า θ นี้อยู่ในควอดรันต์ใด
(โดยปกติเราสามารถทราบควอดรันต์ได้จากเครื่องหมายของค่าฟังก์ชันอื่น)
- แผนภาพต่อไปนี้เป็นการสรุปเครื่องหมาย
เพื่อความสะดวกในการหาคําตอบ
Q1 เป็นบวกทั้ง 6 ค่า sin + ALL +
Q2 มีเฉพาะ sin และ cosec ที่เป็นบวก
Q3 มีเฉพาะ tan และ cot ที่เป็นบวก tan + cos +
Q4 มีเฉพาะ cos และ sec ที่เป็นบวก
ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล/ลอการิทึม
1. เลขยกกําลังจะอยู่ในรูป an , เรียก a ว่าฐาน และเรียก n ว่าเลขชี้กําลัง
1
an คือ a คูณกันเป็นจํานวน n ตัว ... โดยนิยามให้ a0 = 1 และ a−n =
an
2. ทฤษฎีบทที่เกี่ยวกับเลขยกกําลัง
⎧ am ⋅ an = am + n n n
⎪⎧ (ab) = a ⋅ b
n
⎪ • ⎨
• ⎨ a m n n n
= am − n ⎪⎩ (a/b) = a / b
⎪
⎩ an ⎧ n ab = n a ⋅ n b
⎧ (am)n = amn ⎪⎪
⎪ • ⎨ a n a
• ⎨ m
=
⎪ n
⎪
⎩
n am = a n ⎪⎩ b n b
(0,1) (0,1)
O x x
O
y = a x, a>1 y = a x, 0<a<1
ฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด
- Dexp = R , Rexp = R+
- กราฟผ่านจุด (0, 1) เสมอ เนื่องจาก a0 = 1 ทุกๆ ค่า a ที่ไม่ใช่ศูนย์
7. สมการที่มี ax +b บวกลบกันอยู่หลายพจน์ ควรย้ายข้างให้จํานวนพจน์เท่าๆ กัน และ
สัมประสิทธิ์หน้า x รวมใกล้เคียงกันที่สุด จากนั้นจึงยกกําลังทัง้ สองข้างจนกว่าเครื่องหมายกรณฑ์จะ
หมดไป ... (การยกกําลังมักทําให้ได้คําตอบเกิน ต้องตรวจคําตอบเสมอ)
- หากสิ่งที่อยูใ่ นเครื่องหมายกรณฑ์ยาวมาก ให้สมมติสิ่งนั้นเป็นตัวแปร A ก่อน แล้วทําตัวแปรที่
เหลือให้อยู่ในรูป A ทั้งหมด เพื่อให้คํานวณสะดวกขึ้น
8. สมการและอสมการเอกซ์โพเนนเชียล
- รูปแบบ af(x) = bg(x) จะต้องแปลงฐานทั้งสองข้างให้เท่ากัน เพื่อกําจัดฐานทิ้งไป
ตามสมบัติที่ว่า aM = aN ↔ M = N
- ถ้ามีพจน์เลขยกกําลังฐานเดียวกัน บวกลบกันอยู่ เช่น ax , a2x อาจสมมติเป็นตัวแปร A, A2
เพื่อให้คํานวณสะดวกขึ้น แต่ถ้ามีฐานอื่นอยู่ด้วย จะใช้ตัวแปร B อีกอันก็ได้
- อสมการ ใช้สมบัติของฟังก์ชันเพิ่ม/ฟังก์ชันลด ในการกําจัดฐาน
คือ aM > aN ↔ M > N เมื่อ a > 1 (ฟังก์ชันเพิ่ม)
และ aM > aN ↔ M < N เมื่อ 0 < a < 1 (ฟังก์ชันลด)
9. ฟังก์ชันลอการิทึม เป็นอินเวอร์สของเอกซ์โพเนนเชียล เขียนได้ในรูป f (x) = loga x
ความสัมพันธ์ระหว่างเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึมคือ x = ay ↔ y = loga x
โดยค่าของฐาน a จะต้องอยู่ในช่วง (0, 1) หรือ (1, ∞) ซึ่งนํามาเขียนกราฟได้ดังนี้
y y
x (1,0)
O O x
(1,0)
ฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด
- Dlog = R+ , Rlog = R
- กราฟผ่านจุด (1, 0) เสมอ แสดงว่า loga 1 = 0 ทุกๆ ค่า a ที่เป็นฐานได้
10. กฎของลอการิทึมได้แก่
q
⎧ loga 1 = 0 • loga p b q = loga b
• ⎨ p
⎩ loga a = 1 ⎧⎪ mloga n = nloga m
⎧ loga(mn) = loga m + loga n • ⎨ log n
⎪ ⎪⎩ a a = n
• ⎨ ⎛m⎞
⎪ loga ⎜⎝ n ⎟⎠ = loga m − loga n • loga b =
logc b
=
1
⎩
logc a logb a
เมื่อ a, b, c, m, n ∈ R+ โดยที่ a, b, c ≠ 1 และ p, q ∈ R
11. ลอการิทึมฐาน 10 เรียกว่าลอการิทึมสามัญ อาจละไว้ไม่ต้องเขียนฐานกํากับ คือเขียนเพียง
log x ก็ได้... ส่วนลอการิทึมที่มีฐานเป็นค่า e ( ≈ 2.718 ) จะเรียกว่าลอการิทึมธรรมชาติ และใช้
สัญลักษณ์ ln x แทน loge x
12. สมการและอสมการที่มีลอการิทึม
- มักจะแก้ปัญหาโดยใช้กฎของลอการิทึม เช่น การทําให้ฐานเท่ากันเพื่อกําจัด log ทิ้งไป
ตามสมบัติที่ว่า loga M = l oga N ↔ M = N
- ถ้ามีพจน์คล้ายกันปรากฏอยู่ อาจสมมติเป็นตัวแปร A เพื่อให้คํานวณสะดวกขึ้น
- เมื่อได้คําตอบแล้ว ต้องตรวจสอบเสมอ (เช่น ภายใน log ต้องมากกว่าศูนย์)
- อสมการ ใช้สมบัติของฟังก์ชันเพิ่ม/ฟังก์ชันลด ในการกําจัดฐาน คือ
loga M > l oga N ↔ M > N เมื่อ a > 1 (ฟังก์ชันเพิ่ม)
และ loga M > l oga N ↔ M < N เมื่อ 0 < a < 1 (ฟังก์ชันลด)
เมตริกซ์
1. เมตริกซ์ เป็นกลุ่มของจํานวนที่เรียงตัวกันเป็นสี่เหลี่ยม ภายในเครื่องหมาย ( ) หรือ [ ]
- เรียกจํานวนแต่ละจํานวนที่อยู่ในเมตริกซ์ว่า สมาชิก ของเมตริกซ์
- ขนาดของเมตริกซ์ เรียกว่า มิติ (คิดจาก จํานวนแถว คูณ หลัก)
- เมตริกซ์สองเมตริกซ์ จะเท่ากันได้ก็ต่อเมื่อ “มีมิติเดียวกัน” (แปลว่า ขนาดเท่ากัน) และสมาชิก
ในตําแหน่งเดียวกันต้องเท่ากัน ทุกๆ ตําแหน่ง
2. การเรียกชื่อเมตริกซ์นิยมใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ เช่น A, B, C โดยจะเรียกชื่อสมาชิกเป็นตัวพิมพ์เล็ก ที่
มีตัวห้อยบอกตําแหน่งแถวและหลัก ในรูป aij (แถวที่ i และหลักที่ j)
3. ทรานสโพสของเมตริกซ์ A ใช้สัญลักษณ์ At หรือ AT คือการเปลี่ยนแถวเป็นหลัก
- เมตริกซ์มิติ m × n เมื่อทําการทรานสโพส จะกลายเป็นมิติ n × m
4. เมตริกซ์ที่ควรรู้จัก
- เมตริกซ์จัตุรัส คือเมตริกซ์ที่มีจํานวนแถว เท่ากับจํานวนหลัก ( n × n ) ... เรียกแนว 11, 22, 33,
.. จนถึง nn ว่าเส้นทแยงมุมหลัก และที่เหลือเรียกว่าสามเหลี่ยมบนกับสามเหลี่ยมล่าง
- เมตริกซ์ศูนย์ ( 0 ) คือเมตริกซ์ที่สมาชิกทุกตัวเป็นเลข 0 (จัตุรัสหรือไม่ ก็ได้)
- เมตริกซ์หนึ่งหน่วย ( I ) คือเมตริกซ์จัตุรัส ที่มีสมาชิกในแนวเส้นทแยงมุมหลัก เป็น 1 และ
สมาชิกตัวอื่นที่เหลือทั้งหมดเป็น 0
5. การบวกเมตริกซ์คู่หนึ่ง จะทําได้ก็ต่อเมื่อ เมตริกซ์ทั้งสองมีมิติเดียวกัน
ผลบวกที่ได้ จะมีมิติเดิม และสมาชิกของผลลัพธ์เกิดจากสมาชิกตําแหน่งเดียวกันนั้นบวกกัน
(สําหรับการลบก็เช่นกัน; สมาชิกผลลัพธ์ เกิดจากสมาชิกตําแหน่งเดียวกันลบกัน)
- เอกลักษณ์การบวกของเมตริกซ์ ก็คือ เมตริกซ์ 0
6. การคูณเมตริกซ์ด้วยสเกลาร์ ผลที่ได้จะเป็นการคูณสมาชิกทุกตัวด้วยสเกลาร์นั้น
7. การคูณเมตริกซ์คู่หนึ่ง จะทําได้เมื่อ จํานวนหลักของตัวตั้ง เท่ากับจํานวนแถวของตัวคูณ
และผลคูณที่ได้จะมีจํานวนแถวเท่าตัวตั้ง จํานวนหลักเท่าตัวคูณ
เขียนง่ายๆ ได้ว่า Am × n × Bn × r = Cm × r
8. วิธีการหาผลคูณเมตริกซ์ จะยึดแถวจากตัวตั้ง และยึดหลักจากตัวคูณ ดังตัวอย่าง
ถ้า A = ⎡⎢−21 43⎤⎥ , B = ⎡⎢03 21⎤⎥ , C = ⎡⎢−11 03 −22⎤⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡ 2⋅0 + 3⋅3 2⋅1+ 3⋅2 ⎤ ⎡ 9 8⎤
จะได้ AB = ⎢−1⋅0+ 4 ⋅3 −1⋅1+ 4 ⋅2⎥ = ⎢12 7 ⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡ 0⋅1+ 1(
⋅ −1) 0⋅3+ 1⋅0 0⋅2+ 1(⋅ −2)⎤ ⎡ − 1 0 −2⎤
BC = ⎢ ⎥ = ⎢1 9 2⎥
⎣3⋅1+2⋅(−1) 3⋅3+2⋅0 3⋅2+2⋅(−2)⎦ ⎣ ⎦
- เอกลักษณ์การคูณของเมตริกซ์ ก็คือ เมตริกซ์ I
9. สมบัติการบวกและการคูณ
การบวกเมตริกซ์ การคูณด้วยเมตริกซ์
• AB ไม่จําเป็นต้องเท่ากับ BA
• A +B = B + A
• (AB) C = A (BC)
• (A + B) + C = A + (B + C)
• A (B + C) = AB + AC
• A t + Bt = (A + B)t
• (A + B) C = AC + BC
• A + 0 = 0 + A = A
• (AB)t = BtA t
• A + (−A) = 0
• AI = IA = A
การคูณด้วยสเกลาร์
• (kA)t = k ⋅ A t
• k1(k2A) = k2(k1A) = (k1k2) A
• k(A + B) = kA + kB
10. ดีเทอร์มินันต์ ... เป็นคุณสมบัติของเมตริกซ์จัตุรัสเท่านั้น และดีเทอร์มินันต์มีค่าเป็นตัวเลข
เครื่องหมายแสดง “ดีเทอร์มินันต์ของเมตริกซ์ A” คือ A หรือ det (A)
เมตริกซ์ 1 × 1 เมตริกซ์ 2 × 2
ถ้า A = ⎣⎡ a ⎦⎤ จะได้ว่า det (A) = a ถ้า A = ⎡⎢ac bd⎤⎥ จะได้ว่า det (A) = ad − bc
⎣ ⎦
เมตริกซ์ 3×3 ใช้หลักว่า คูณเฉียงขึ้นใส่ลบ คูณเฉียงลงเครื่องหมายเดิม แล้วรวมกัน
⎡a b c⎤
ถ้า A = ⎢d e f ⎥ จะได้ว่า det (A) = −gec − ahf − bdi + aei + gbf + hdc
⎢ ⎥
⎣⎢g h i ⎦⎥
ส่วนเมตริกซ์ n × n ใดๆ จะใช้วิธีโคแฟกเตอร์ (ใช้ได้กับทุกขนาดตั้งแต่ 2 × 2 ขึ้นไป)
det (A) = สมาชิก 1 แนว (แถวหรือหลักก็ได้) คูณกับโคแฟกเตอร์ของแนวนั้น ( ∑ aijCij )
11. ไมเนอร์ของเมตริกซ์ A ใช้สัญลักษณ์ว่า Mij (A) ... คือ ค่า det ของเมตริกซ์ย่อย (ตัดแถว ตัด
หลัก) ที่ตําแหน่งนั้น ... โคแฟกเตอร์ของเมตริกซ์ A ใช้สัญลักษณ์ว่า Cij (A) คือไมเนอร์ที่ถูกใส่
เครื่องหมายบวกหรือลบสลับกัน ตามรูปแบบ Cij = (−1)i + j ⋅ Mij (ตําแหน่งแรกสุดใส่บวก, แล้วเติม
เครื่องหมายบวกลบสลับกันไป)
12. เมตริกซ์ที่ค่า det เป็นศูนย์ เรียกว่าเมตริกซ์เอกฐาน (ซิงกูลาร์)
13. สมบัติของดีเทอร์มินันต์
• det (AB) = det (A) ⋅ det (B)
• det (A t) = det (A) • det (I) = 1
• n
det (A ) = (det (A)) n
เมือ
่ n∈I • det (0) = 0
n
• det (kA) = k ⋅ det (A) เมือ
่ n = ขนาดของ A
14. เมตริกซ์ไม่มีการหารกัน แต่จะใช้การคูณด้วยอินเวอร์สแทน
อินเวอร์สการคูณของเมตริกซ์ A ใช้สัญลักษณ์ A−1 ... โดยนิยามให้ A ⋅ A−1 = A −1⋅ A = I
เมตริกซ์ 1 × 1 เมตริกซ์ 2 × 2
ถ้า A = ⎣⎡ a ⎦⎤ จะได้ว่า A −1 = ⎣⎡ 1/a ⎦⎤ ถ้า A = ⎡⎢ac bd⎤⎥ จะได้ว่า A−1 = 1
⋅
⎡ d −b ⎤
⎣ ⎦ det (A) ⎢⎣ −c a ⎥⎦
เมตริกซ์ n×n ใดๆ ตั้งแต่ 2×2 ขึ้นไป จะใช้วิธีโคแฟกเตอร์เช่นเดิม
t
(Cof (A))
สูตรคือ A −1 = และเรียก (Cof (A))t ว่า adj A ก็ได้
det (A)
15. เมตริกซ์ที่จะหาอินเวอร์สการคูณได้ ต้องเป็นเมตริกซ์ไม่เอกฐาน ( det ≠ 0) เท่านั้น
16. สมบัตขิ องอินเวอร์สการคูณ
• (AB)−1 = B−1A −1
1 • (A −1)n = (An)−1 = A −n
• (kA)−1 = ⋅ A −1
k • (A −1)−1 = A
−1 1
• A −1 = A =
A
17. ข้อควรระวังในสมการเมตริกซ์
- เมื่อทําการย้ายข้างตัวคูณ ไปเป็นอินเวอร์สอยู่อีกฝั่ง ต้องคํานึงถึงลําดับด้วย เพราะการคูณไม่มี
สมบัติการสลับที่.. เช่น AB = C กลายเป็น B = A −1C ได้.. แต่เป็น B = CA −1 ไม่ได้
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 638 ฉบับเขมขน
- แก้สมการโดยวิธีอินเวอร์ส AX = B → X = A −1B
det (Ai)
- กฎของคราเมอร์ xi = ... เมื่อ Ai คือนํา B มาแทนหลักที่ i ของ A
det (A)
20. การดําเนินการตามแถว ... สามารถกระทําได้ 3 ลักษณะ คือ
a) นําค่าคงที่ k (ที่ไม่ใช่ 0) ไปคูณไว้แถวใดแถวหนึ่ง
b) นําค่าคงที่ k ไปคูณแถวใดแถวหนึ่ง แล้วเอาไปบวกไว้ที่แถวอื่น
c) สลับแถวกัน 1 ครั้ง
- ใช้เครื่องหมาย ~ แทนการดําเนินการแต่ละขั้นตอน และเขียนวิธีกํากับไว้
21. นําไปใช้ประโยชน์ในการหาอินเวอร์สการคูณ (A −1) และแก้ระบบสมการ AX = B ได้
- การหาอินเวอร์สการคูณ ⎡⎣ A I ⎤⎦ ~ ⎡ I A −1 ⎤
⎣ ⎦
- การแก้ระบบสมการ ⎡⎣ A B ⎤⎦ ~ ⎡⎣ I X ⎤⎦
เวกเตอร์
1. ปริมาณในโลกมีสองชนิด คือ ปริมาณสเกลาร์ (ระบุเฉพาะขนาด) และปริมาณเวกเตอร์ (ระบุ
ทั้งขนาดและทิศทาง) ... การเขียนปริมาณเวกเตอร์จะใช้ลูกศร ให้ความยาวลูกศรแทนขนาด และหัว
ลูกศรแทนทิศทาง ชื่อของเวกเตอร์ตั้งตามจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดของลูกศร เช่น ˜AB หรือจะใช้ตัวพิมพ์
เล็ก (ที่เติมขีดด้านบน) ก็ได้ เช่น u, v, w ... ส่วนขนาดของเวกเตอร์ u คือ u
2. เวกเตอร์สองอันจะเท่ากัน ก็ต่อเมื่อ มีขนาดเท่ากัน และมีทิศทางเดียวกัน (ไม่จําเป็นต้องมี
จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดเดียวกัน เช่น ˜ ˜
AB = CD ก็ได้ ถ้ามีขนาดเท่ากันและทิศเดียวกัน)
Q(2,0,1) 1 P(2,4,1)
y 4 y
2
R(2,4,0)
x x
จํานวนเชิงซ้อน
1. ระบบจํานวนที่ใหญ่ที่สุดซึ่งประกอบด้วยส่วนจริงและส่วนจินตภาพ ในรูป a + bi (โดย
a, b ∈ R ) และนิยามให้ i = −1 เรียกว่าจํานวนเชิงซ้อน ( C ) มี a เป็นส่วนจริง และ b เป็น
ส่วนจินตภาพ และมักแทนตัวแปรที่เป็นจํานวนเชิงซ้อนด้วย z
- จาก z = a + bi บางทีเขียนว่า a = Re (z) และ b = Im (z) ก็ได้
- สามารถใช้คู่อันดับ (a, b) แทนจํานวนเชิงซ้อน z = a + bi ได้ และทําให้แผนภาพเปลี่ยนจาก
เส้นจํานวนในแกนนอน 1 มิติ กลายเป็นระนาบเชิงซ้อน 2 มิติ (มีแกนจริงกับแกนจินตภาพ)
2. กําลังของ i มี 4 แบบหมุนเปลี่ยนกัน คือ i 1 = i ... i 2 = −1 ... i 3 = − i ... i 4 = 1
i 5 = i ... i 6 = −1 ... i 7 = − i ... i 8 = 1 ...
3. ในการคํานวณเราปฏิบัติเหมือนกับ i เป็นตัวแปรหนึ่ง (ซึ่ง i2= −1 ) เพียงเท่านั้น
- การเท่ากัน a + bi = c + di ก็ต่อเมื่อ a = c และ b = d
- การบวก (a + bi) + (c + di) = (a+ c) + (b+ d) i
- การคูณ (a + bi) × (c + di) = (ac−bd) + (ad+bc)i
4. สมบัติของจํานวนเชิงซ้อน เหมือนกับสมบัติของจํานวนจริงทุกประการ นั่นคือ มีสมบัติปิด, การ
สลับที่การบวกและคูณ, การเปลี่ยนกลุ่มการบวกและคูณ, การแจกแจง, และการมีเอกลักษณ์กับอิน
เวอร์ส โดยเอกลักษณ์การบวกก็คือ 0 หรือ 0 + 0 i หรือ (0, 0) และเอกลักษณ์การคูณคือ 1 หรือ
1 + 0 i หรือ (1, 0) เช่นเดียวกับในระบบจํานวนจริง
- อินเวอร์สการบวกของ z = a + bi ก็คือ −z = −a − bi
- อินเวอร์สการคูณของ z = a + bi คือ z−1 = 1 = 1 ซึ่งสามารถทําให้อยู่ในรูปปกติได้โดย
z a + bi
1 a − bi ⎛ a ⎞ ⎛ b ⎞
นํา a − bi คูณทั้งเศษและส่วน จะได้ = 2 2 = ⎜ 2 2⎟ − ⎜ 2 2⎟i
a + bi a +b ⎝ a +b ⎠ ⎝ a +b ⎠
และมีทฎษฎีบทว่า (z1z2)−1 = z1−1 z2−1 และ (zn)−1 = (z−1)n = z−n
5. ในเศษส่วนหนึ่งๆ เมื่อมีจํานวนเชิงซ้อน a + bi เป็นตัวส่วน จะนําสังยุคของ a + bi คือ a − bi
มาคูณทั้งเศษและส่วน เพื่อให้ตัวส่วนกลายเป็นเลขจํานวนจริง ( a2+b2 )
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนสังยุคของ z = a + bi คือ z = a − bi
- สมบัติของสังยุค
• z = z ก็ต่อเมื่อ z เป็นจํานวนจริงเท่านั้น และ z = z เสมอ
n n
• (z ) = (z) และ (z ) = (z)
−1 −1
n∈ I +
• z1 ± z2 = z1 ± z2
• z1z2 = z1z2 และ z1 ÷ z2 = z1 ÷ z2
ทฤษฎีกราฟ
1. กราฟ ในที่นี้หมายถึง แผนภาพซึ่งประกอบด้วยจุดและเส้นที่เชื่อมจุด การเกิดเป็นกราฟได้จะต้อง
มีจุดอย่างน้อยหนึ่งจุด แต่กราฟอาจไม่มีเส้นเลยสักเส้นก็ได้
เซตของจุดยอด เรียกว่า V (G) และเซตของเส้นเชื่อม เรียกว่า E(G)
2. ข้อตกลงในการเขียนแผนภาพของกราฟ คือ จะวางจุดยอดจุดใดไว้ตําแหน่งใดก็ได้ และจะลากเส้น
เชื่อมเป็นเส้นตรงหรือโค้งก็ได้ (แต่หากเส้นเชื่อมสองเส้นที่ลากขึ้นนั้นตัดกัน จุดตัดที่เกิดขึ้นจะไม่
นับเป็นจุดยอดของกราฟ)
3. เส้นเชื่อมขนาน เป็นเส้นที่เชื่อมจุดปลายคู่เดียวกัน
วงวน เป็นเส้นเชื่อมที่มีปลายทั้งสองเป็นจุดๆ เดียว
4. จุดยอดที่ประชิดกัน คือจุดที่มีเส้นเชื่อมระหว่างกัน
เส้นเชื่อมเกิดกับจุดยอด เมื่อจุดยอด A เป็นปลายหนึ่งของเส้นเชื่อมนั้น
5. ดีกรีของจุดยอด คือจํานวนครั้งที่มีเส้นเชื่อมเกิดกับจุดยอดนั้น ใช้สัญลักษณ์ deg เช่น deg A
- ผลรวมดีกรีของจุดยอดทั้งหมดในกราฟ จะเป็น 2 เท่าของจํานวนเส้นเชื่อม
6. จุดยอดที่มีดีกรีเป็นจํานวนคู่ เรียกว่าจุดยอดคู่ และจุดยอดที่มีดีกรีเป็นจํานวนคี่ เรียกว่าจุดยอดคี่
- จํานวนจุดยอดคี่ของกราฟใดๆ จะต้องเป็นจํานวนคู่เสมอ (ส่วนจุดยอดคู่จะมีกี่จุดก็ได้)
7. ลําดับที่ประกอบด้วยจุดสลับกับเส้น เช่น C, e7 , B, e5 , A, e3 , D หรือประกอบด้วยจุด เช่น
C, B, A, D เรียกว่า แนวเดิน เช่นแนวเดิน C − D
- หากทุกๆ จุดยอดมีแนวเดินถึงกัน จะเรียกว่าเป็น กราฟเชื่อมโยง
8. แนวเดินซึ่งเริ่มและจบที่จุดเดียวกัน โดยไม่ใช้เส้นเชื่อมซ้ํากันเลย เรียกว่า วงจร
ถ้าวงจรนั้นผ่านจุดยอดและเส้นเชื่อมทั้งหมดที่มีในกราฟ เรียกว่า วงจรออยเลอร์
กราฟใดที่สามารถหาวงจรออยเลอร์ได้ จะถูกเรียกว่าเป็น กราฟออยเลอร์
9. ปัญหาสะพานเคอนิกส์แบร์ก ถามว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะเริ่มต้นจากจุดหนึ่งบนแผ่นดิน แล้วเดิน
ข้ามสะพานให้ครบทุกอันในภาพจนกลับมายังจุดเริ่มต้น โดยไม่ซ้ําสะพานเดิมเลย
- ลักษณะของปัญหาเหมือนกับ “การลากเส้นวาดรูปโดยไม่ยกดินสอ” ซึ่งคําตอบจะได้จากการ
พิจารณาว่าแผนภาพนั้น “เป็นกราฟออยเลอร์หรือไม่”
10. กราฟออยเลอร์จะต้องเป็นกราฟเชื่อมโยง และจุดยอดทุกจุดเป็นจุดยอดคู่
ดังนั้นคําตอบของปัญหาสะพานเคอนิกส์แบร์ก คือ “เป็นไปไม่ได้”
11. กราฟถ่วงน้ําหนัก คือกราฟที่เส้นเชื่อมทุกเส้นมีจํานวนจริงบวกเขียนกํากับไว้ เรียกจํานวนนี้ว่า ค่า
น้ําหนัก ซึ่งอาจใช้แทนระยะทางระหว่างจุด, ระยะเวลาที่ใช้เดินทางระหว่างจุด, ค่าใช้จ่ายในการสร้าง
เส้นทาง, หรืออื่นๆ เพื่อบ่งบอกให้ทราบความแตกต่างระหว่างแต่ละเส้น
12. เรานําทฤษฎีกราฟเบื้องต้นไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหาบางอย่างได้ เช่น การหาเส้นทางมุ่งไปยัง
จุดหมายให้สั้นที่สุด (วิถีที่สั้นที่สุด คือแนวเดินซึ่งไม่ซ้ําจุดยอดเดิม และมีผลรวมค่าน้ําหนักน้อยที่สุด)
และการเลือกวางเส้นทางให้เชื่อมทุกจุดโดยประหยัดที่สุด (ต้นไม้แผ่ทั่ว คือกราฟเชื่อมโยงที่ไม่มีรูป
ปิด และใช้จุดยอดครบทุกจุด ต้นไม้แผ่ทั่วของกราฟที่มีจุดยอด n จุด จะมีเส้นเชื่อม n − 1 เส้น
เสมอ ... ต้นไม้แผ่ทั่วที่น้อยที่สุด คือต้นไม้ที่มีค่าน้ําหนักรวมน้อยที่สุด)
ลําดับและอนุกรม
1. ลําดับ คือค่าของฟังก์ชันที่นํามาเขียนเรียงกัน เมื่อโดเมนของฟังก์ชันเป็นเซตจํานวนนับ 1,2,3,...
- เรียก a1 ว่า “พจน์ที่ 1” ของลําดับ, เรียก a2 ว่าพจน์ที่ 2 ของลําดับ, ไปเรื่อยๆ
- พจน์ที่ n ใดๆ เขียนแทนด้วย an จะเรียกว่าพจน์ทั่วไป และนิยมเขียนรูปแบบของลําดับด้วย an
- ลําดับเรขาคณิต ... nlim (rn) เมื่อ r เป็นค่าคงที่ จะมีได้สี่กรณี คือ ไม่มีลิมิต เมื่อ r < − 1 ,
→∞
ลิมิตและความต่อเนื่อง
1. การหาลิมิตของ f (x) สําหรับฟังก์ชัน y = f (x) ใดๆ คือการพิจารณาว่า เมื่อ x มีค่าเข้าใกล้ค่า
จํานวนจริงค่าใดค่าหนึ่ง (เช่น เข้าใกล้ a) แล้ว ค่าของ y หรือ f (x) จะเข้าใกล้ค่าใด
- ค่าลิมิตที่ได้จะเขียนเป็นสัญลักษณ์ว่า xlim
→a
y หรือ lim f (x)
x→a
2. ทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิต
lim c = c lim [f (x)] n = [ lim f (x)] n
x→a x→a x→a
- คําว่า xlim
→a
f (x) คือลิมิตขวา หาได้จากกรณีที่ x มีค่าเข้าใกล้ a ทางขวา (หรือ x > a )
+
4. รูปแบบไม่กําหนด คือรูปแบบที่ยังสรุปไม่ได้ว่าค่าลิมิตเป็นเท่าใด
ได้แก่ รูปแบบ 0 , ∞ , 0 ⋅ ∞ , ∞ − ∞ , 00 , ∞0 และ 1∞ ... ซึ่งรูปแบบที่พบบ่อยในบทนี้ คือ 0
0 ∞ 0
0
- ถ้า lim f (x) อยู่ในรูปแบบ ... เทคนิคการคํานวณคือ พยายามแยกพจน์ x−a ในเศษและ
x→a 0
ส่วนมาตัดกัน เพื่อไม่ให้เหลือตัวประกอบในเศษและส่วนเป็นเลข 0 ... อาจใช้วิธีแยกตัวประกอบ การ
นําสังยุคหรืออื่นๆ ที่เหมาะสมคูณทั้งเศษและส่วน หากเป็นรากที่สอง รากที่สาม
5. สาเหตุที่เราสามารถกําจัด x − a ทั้งเศษและส่วนได้ ก็เพราะการหาลิมิตนั้นไม่ได้คํานึงถึงตําแหน่ง
ที่ x = a อยู่แล้ว ... คือแม้ f (a) จะไม่นยิ าม (เพราะส่วนเป็นศูนย์) แต่ xlim →a
ก็ยังหาได้
6. การพิจารณาความต่อเนื่องของฟังก์ชัน ณ จุดใดๆ คือการบอกว่ากราฟของฟังก์ชันขาดตอนที่จุด
นั้นหรือไม่ โดยสําหรับฟังก์ชัน f (x) ใดๆ จะต่อเนื่องที่ x = a ก็ต่อเมื่อ
lim f (x) = f (a) = lim f (x) เท่านั้น (และต้องหาค่าได้ทั้งสามตัว)
x→a −
x→a +
7. นิยามของความต่อเนื่องบนช่วง
- ฟังก์ชัน f (x) ต่อเนื่องบนช่วงเปิด (a, b) ก็ต่อเมื่อ f (x) ต่อเนื่องทุกๆ จุดในช่วง (a, b)
- ฟังก์ชัน f (x) ต่อเนื่องบนช่วงปิด [a, b] ก็ต่อเมื่อ f (x) ต่อเนื่องบนช่วง (a, b) , ต่อเนื่องทางขวา
ของ a [คือ f (a) = xlim→a
f (x) ], และต่อเนื่องทางซ้ายของ b [คือ f (b) = lim f (x) ]
+
x →b −
อนุพันธ์และการอินทิเกรต
1. อัตราการเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยของ y เทียบกับ x (ในช่วง x ถึง x+h ใดๆ)
คือ f (x +h) − f (x) หรือ Δy
h Δx
และเมื่อบีบช่วง h ให้แคบลงจนใกล้ 0 จะได้อัตราการเปลี่ยนแปลง ณ จุด x ที่กําหนด
f (x + h) − f (x) Δy
ฉะนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y (ที่จุด x ใดๆ) คือ hlim หรือ Δlim
→0 hx →0 Δx
2. อัตราการเปลี่ยนแปลง ของ y = f (x) ที่จุด x ใดๆ เรียกอีกอย่างได้ว่า อนุพันธ์
f (x + h) − f (x)
ฉะนั้น อนุพันธ์ของ f (x) ก็คือ lim
h→0 h
นอกจากนั้นยังเป็นค่าความชันของกราฟ y = f (x) ณ จุดนั้นๆ ด้วย
- สัญลักษณ์ที่ใช้แทนอนุพันธ์ของ f (x) ได้แก่ f′ (x) หรือ dy หรือ d
f (x) หรือ y′ ก็ได้
dx dx
dy
- สัญลักษณ์ที่ใช้เจาะจงตําแหน่ง เช่น อนุพันธ์ที่จุดซึ่ง x=3 จะใช้ f′ (3) หรือ
dx x=3
3. สูตรในการหาอนุพันธ์
d n d
• x = n xn−1 • [ f (x) ± g(x)] = f′ (x) ± g′ (x)
dx dx
d d
• c = 0 • [ f (x) ⋅ g (x)] = f (x) g′ (x) + g(x) f′ (x)
dx dx
d d d ⎡ f (x) ⎤ g (x) f′ (x) − f (x) g′ (x)
• c f (x) = c f (x) • ⎢ g(x)⎥ =
dx dx dx ⎣ ⎦ [g(x)] 2
d dg df
4. อนุพันธ์ของฟังก์ชันคอมโพสิท (กฎลูกโซ่) ... คือ g (f (x)) = ⋅
dx df dx
- เขียนแบบฟังก์ชันได้เป็น (g f)′ (x) = g′ (f (x)) ⋅ f′ (x)
- อาจจะเขียนยาวกี่ทอดก็ได้ เช่น dg = dg ⋅ dh ⋅ df ⋅ dx
dt dh df dx dt
5. หากเราหาอนุพันธ์ของ f′ (x) ต่อไปอีก จะเรียกว่าเป็นอนุพันธ์อันดับสูง
n
- การเขียนสัญลักษณ์ อนุพันธ์อันดับที่ n จะเป็น d yn หรือ f(n)(x)
dx
แต่อันดับที่หนึ่ง สอง และสาม นิยมใช้เครื่องหมายขีด เป็น f′ (x), f′′ (x), f′′′ (x)
- อนุพันธ์อันดับที่หนึ่ง คือ f′ (x) นั้นคือ ความชัน (อัตราการเปลี่ยนแปลงของค่า y)
ส่วน อนุพันธ์อันดับที่สอง คือ f′′ (x) จะกลายเป็น “อัตราการเปลี่ยนแปลงของความชัน”
6. ฟังก์ชันเพิ่มคือความชันเป็นบวก ฟังก์ชันลดคือความชันเป็นลบ
ดังนั้น ช่วงที่ f′ (x) > 0 เป็นฟังก์ชันเพิ่ม และช่วงที่ f′ (x) < 0 เป็นฟังก์ชันลด
- เนื่องจากตําแหน่งที่ฟังก์ชันจะเปลี่ยนจากเพิ่มไปลด หรือจากลดไปเพิ่ม จะต้องมีการวกกลับของ
กราฟและทําให้เกิดจุดยอด สามารถหาโดย f′ (x) = 0 ... ค่า x ณ จุดนั้นเรียกว่าค่าวิกฤต
- ตําแหน่งที่ f′ (x) = 0 นั้น อาจไม่ใช่จดุ สูงสุดหรือต่ําสุดเสมอไป อาจเป็นจุดเปลี่ยนความเว้า
สามารถพิจารณาให้ละเอียดได้จากอัตราการเปลี่ยนแปลงของความชัน หรือ f′′ (x)
หาก f′′ (x) > 0 แสดงว่าความชันเปลี่ยนจากลดไปเพิ่ม เกิดจุดต่ําสุด
หาก f′′ (x) < 0 แสดงว่าความชันเปลี่ยนจากเพิ่มไปลด เกิดจุดสูงสุด
หาก f′′ (x) = 0 เป็นเพียงจุดเปลี่ยนเว้า ไม่ใช่จุดสูงสุดต่ําสุด
ความน่าจะเป็น
1. กฎพื้นฐานเกี่ยวกับการนับ
- จากแผนภาพต้นไม้ ทําให้เราทราบว่า ในการทํางาน k ขั้นตอน โดยที่งานแต่ละขั้นตอนมี
ทางเลือกทําได้ ni แบบ จะมีจํานวนวิธีเลือกทํางานจนเสร็จสิ้น เท่ากับ n1 × n2 × ... × nk วิธี
(เอาจํานวนแบบมาคูณกัน)
- ถ้าการนับจําเป็นต้องแยกคิดหลายกรณี จะต้องนําผลคูณที่ได้ในแต่ละกรณีมาบวกกัน
2. เครื่องหมาย ! เรียกว่าแฟคทอเรียล มีนิยามว่า n! = n ⋅ (n−1) ⋅ (n−2) ⋅ ... ⋅ 3 ⋅ 2 ⋅ 1
เมื่อ n เป็นจํานวนนับ ... และกําหนดให้ 0 ! = 1
สถิติ
1. สถิติศาสตร์ คือวิชาที่เกี่ยวกับการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
- การเก็บรวบรวมต้องเลือกวิธีให้เหมาะสม เช่น ลงทะเบียน, สัมภาษณ์, วัดค่า, ทดลอง
- การวิเคราะห์มี 2 ระดับ ได้แก่ วิเคราะห์ขั้นต้น เรียกว่า สถิติเชิงพรรณนา (เช่น การหาค่ากลาง
ค่าการกระจาย การจัดกลุ่มข้อมูลเป็นตาราง เป็นแผนภาพ กราฟ ฯลฯ) และวิเคราะห์ขั้นสูง เรียกว่า
สถิติเชิงอนุมาน (เช่น การทํานายหรือประมาณค่า การวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชัน ฯลฯ)
2. ลักษณะข้อมูล มีข้อมูลเชิงคุณภาพ กับข้อมูลเชิงปริมาณ
- ข้อมูลเชิงคุณภาพ เป็นค่าที่ไม่ได้บ่งบอกถึงความมากน้อย เปรียบเทียบกันไม่ได้ เช่น เลขที่ เพศ
- ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นค่าที่บ่งบอกความมากน้อย เปรียบเทียบได้ เช่น อายุ ส่วนสูง คะแนน
3. ประเภทข้อมูลแบ่งตามแหล่งที่มา
- ข้อมูลปฐมภูมิ ได้จากการรวบรวมเอง ซึ่งจะทําได้ 2 ระดับ คือระดับตัวอย่าง (เรียกว่าการสํารวจ
ตัวอย่าง) และระดับประชากร (เรียกว่าการสํามะโน)
- ข้อมูลทุติยภูมิ มีผู้รวบรวมไว้แล้ว เช่นข้อมูลในเอกสารราชการ รายงาน นิตยสารต่างๆ
4. การแจกแจงความถี่ของข้อมูล คือการจัดข้อมูลที่มีอยู่ ให้เป็นกลุ่มๆ เพื่อความสะดวกในการ
วิเคราะห์ และจัดเก็บ โดยดําเนินการดังนี้
- แบ่งค่าข้อมูลที่เป็นไปได้ออกเป็นช่วงๆ ตามที่ต้องการ เรียกแต่ละช่วงว่าอันตรภาคชั้น
- พิจารณาว่าข้อมูลที่มีนั้นมีค่าอยู่ในแต่ละช่วงเป็นปริมาณเท่าใด เรียกปริมาณข้อมูลแต่ละช่วงว่า
ความถี่
5. นิยมเขียนอันตรภาคชั้นและความถี่ของแต่ละชั้นในรูปตาราง โดยกําหนดความกว้างแต่ละชั้นเท่าๆ
กัน (แต่อันตรภาคชั้นบนสุดหรือล่างสุดอาจเป็น อันตรภาคชัน้ เปิดก็ได้ เช่น “มากกว่า 80”)
- ค่าขอบล่าง และขอบบน คือค่ากึ่งกลางระหว่างรอยต่ออันตรภาคชั้น
- ความกว้างอันตรภาคชั้น หาได้จาก ผลต่างของขอบบนและขอบล่างของชั้นนั้น
6. ความถี่สะสม คือ “ผลรวมความถี่ชั้นนั้น กับความถี่ชั้นที่มีค่าข้อมูลต่ํากว่าทั้งหมด”
- ความถี่สัมพัทธ์ และความถี่สะสมสัมพัทธ์ คืออัตราส่วนความถี่หรือความถี่สะสม เทียบกับความถี่
รวม (N) ดังนั้นความถี่สัมพัทธ์รวมต้องได้ 1 เสมอ และความถี่สะสมสัมพัทธ์ของชั้นสูงสุดก็ต้องเป็น
1 เช่นกัน
- บางครั้งใช้เป็นหน่วยร้อยละ โดยแต่ละชั้นคูณด้วย 100 เพื่อปรับผลรวมความถี่จาก 1 เป็น 100
7. ฮิสโทแกรม คือแผนภูมิแท่งสี่เหลี่ยมวางเรียงติดกัน โดยให้แกนนอนแทนค่าข้อมูล x (เขียนกํากับ
ด้วยขอบบนขอบล่างของชั้น หรือด้วยจุดกึ่งกลางชั้นก็ได้) และแกนตั้งแทนค่าความถี่ f ความสูงของ
แท่งสี่เหลี่ยมจะแปรตามความถี่ของชั้นนั้นๆ
- รูปหลายเหลี่ยมของความถี่ คือรูปที่เกิดจากการลากเส้นตรงเชื่อมจุดกึ่งกลางยอดแท่งสี่เหลี่ยม
ของฮิสโทแกรมแต่ละแท่ง (โดยลากเส้นตรงไปบรรจบ 0 ที่กึ่งกลางชั้นก่อนหน้าและหลังสุดของที่มีอยู่
เพื่อให้กลายเป็นรูปปิดซึ่งมีพื้นที่เท่าฮิสโทแกรมเดิม)
- เส้นโค้งของความถี่ คือรูปที่เกิดจากการปรับเส้นตรงในรูปหลายเหลี่ยมของความถี่ ให้เป็นเส้นโค้ง
(โดยพยายามให้มีพื้นที่ใกล้เคียงเดิมที่สุด) ลักษณะทั่วไปของเส้นโค้งมี 3 แบบ (อ่านรายละเอียดใน
ตอนถัดไป)
8. แผนภาพต้น-ใบ ใช้จัดข้อมูลให้เป็นกลุ่มเพื่อเห็นลักษณะคร่าวๆ ได้ผลดีกว่าตารางและฮิสโทแกรม
เพราะข้อมูลดิบแต่ละค่าไม่สูญหายไป ... วิธีเขียนคือตัดหลักข้อมูลออกเป็นสองกลุ่ม แล้วนํากลุ่มหน้า
มาเรียงไว้เป็นลําต้นในแนวตั้ง จากนั้นจึงนําหลักที่เหลือเขียนต่อท้ายในบรรทัดเดียวกัน (เป็นใบ)
- สิ่งที่วิเคราะห์ได้จากแผนภาพต้น-ใบ เช่น ช่วงใดมีความถี่มากที่สุด, ข้อมูลที่ต่ําที่สุด สูงที่สุด และ
ตรงกลางเป็นเท่าใด, และใช้เปรียบเทียบระหว่างข้อมูล 2 ชุดได้ด้วย
9. ค่ากลางของข้อมูล เป็นตัวเลขที่ใช้แทนข้อมูล x1, x2 , x3 , ..., xN ทั้งหมด ช่วยให้วิเคราะห์ข้อมูลได้
คร่าวๆ ซึ่งค่ากลางที่นิยมใช้ มี 3 ชนิด ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยม
(ค่ากลางที่ได้จะมีหน่วยเดียวกับข้อมูล และมีค่าอยู่ระหว่างข้อมูลตัวที่น้อยที่สุดกับมากที่สุดเสมอ)
ลักษณะข้อมูล ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน ฐานนิยม
- ข้อมูลเชิงคุณภาพ ---- ---- ใช้ได้ดีมาก!
แจกแจง
ยังไม่
10. ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ( X )
- เป็นค่ากลางที่ให้ความสําคัญกับค่าของข้อมูลโดยตรง จึงเหมาะกับชุดข้อมูลที่มีค่าใกล้เคียงกันทุก
ค่า ไม่มีค่าใดสูงหรือต่ําผิดปกติไปจากค่าอื่นๆ (มิฉะนั้นค่าที่ได้จะไม่มีคุณภาพ)
- ข้อมูลที่ยังไม่แจกแจงความถี่ X = ∑ x ... คิดแบบถ่วงน้ําหนัก X = ∑ wx
N ∑w
∑ fx ∑ fx
- ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว (ใช้ความถี่เป็นน้ําหนัก) X = =
∑f N
∑ fd
- สูตรลดทอน ของข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว X = a + ID เมื่อ D =
N
(a คือกึ่งกลางของชั้นใดก็ได้ที่เลือก, I คือความกว้างชั้น (เท่ากันทุกชั้น),
di เป็นจํานวนเต็ม โดยให้ชั้นที่มีค่า a นั้นเป็น d = 0 และชั้นที่มีข้อมูลน้อยลง d = −1, −2, ... ส่วน
ชั้นที่ข้อมูลสูงขึ้น d = 1, 2, ... ไม่ว่าจะเลือกชั้นใดก็คํานวณได้คําตอบเท่ากัน)
(∑ x)รวม ∑ NX
- ค่าเฉลี่ยเลขคณิตรวมของข้อมูลหลายชุด Xรวม = =
Nรวม ∑N
(อาจมองว่า เป็นการนําค่าเฉลี่ยของแต่ละชุดมาถ่วงน้ําหนักด้วยจํานวนข้อมูล)
11. มัธยฐาน (Med)
- คือค่าที่มีตําแหน่งอยู่กึ่งกลางของข้อมูลทั้งหมด (เมื่อเรียงลําดับมากน้อยของข้อมูลแล้ว)
- เป็นค่ากลางที่ให้ความสําคัญกับลําดับข้อมูล (บอกว่ามีข้อมูลที่มีค่ามากกว่านี้และน้อยกว่านี้ อยู่
เป็นปริมาณเท่ากัน) จึงยังคงใช้ได้ดีกับข้อมูลชุดที่มีบางค่าสูงหรือต่ํากว่าค่าอื่นอย่างผิดปกติ
- ข้อมูลที่ยังไม่แจกแจงความถี่ Med คือข้อมูลในตําแหน่งที่ (N+1)/2 (ตําแหน่งกึ่งกลาง)
(ข้อควรระวังคือ (N+1)/2 นั้นเป็นเพียงตําแหน่งของ Med ..ยังไม่ใช่ค่าของ Med)
- ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว Med = L + I ⎛⎜ N/2f − ∑ fL ⎞⎟
⎝ Med ⎠
(ใช้ N/2 เลยโดยไม่ต้องบวกหนึง่ ... L คือขอบล่างชั้นที่มีมัธยฐานอยู่ (ตัวที่ N/2) ซึ่งชั้นนั้นมีความ
กว้าง I และมีความถี่เป็น fMed ... ส่วน ∑ fL คือความถี่สะสมจนถึงขอบล่าง)
12. ฐานนิยม (Mo)
- คือค่าข้อมูลตัวที่ปรากฏบ่อยครั้งที่สุด (มีความถี่สูงที่สุด) โดยทั่วไปจะมีได้ไม่เกิน 2 ค่า
- เป็นค่ากลางที่ให้ความสําคัญกับความถี่ของข้อมูล เหมาะกับข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น การเลือกตั้ง
- ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว Mo = L + I ⎛⎜ d d+1 d ⎞⎟
⎝ 1 2 ⎠
(L คือขอบล่างชั้นที่มีฐานนิยมอยู่ (ชั้นที่ความถี่สูงสุด) ซึ่งทุกๆ ชั้นมีความกว้าง I
d1 คือผลต่างความถี่ที่ขอบล่าง, d2 คือผลต่างความถี่ที่ขอบบน)
13. สามารถหาค่ามัธยฐานได้จากเส้นโค้งของความถี่สะสม และหาฐานนิยมได้จากฮิสโทแกรม
cf (ความถีส่ ะสม) การหาค่ามัธยฐานจาก f (ความถี)่
การหาค่าฐานนิยมจากฮิสโทแกรม
เส้นโค้งของความถี่สะสม
N
N/2
O x O x
Med Mo
14. สมบัติของค่าเฉลี่ยเลขคณิต ∑ (x − K)2 จะน้อยที่สุด ก็เมื่อ K = X
O x
x O x O x
= Med = Mo x < Med < Mo Mo < Med < x
31. เนื่องจากพื้นที่ใต้เส้นโค้งจะเท่ากับความถี่รวมพอดี (เป็นสิ่งที่ได้จากการสร้างฮิสโทแกรม) เราจึง
สามารถคํานวณเกี่ยวกับการวัดตําแหน่งของข้อมูล (มัธยฐาน, ควอร์ไทล์, เดไซล์, เปอร์เซ็นไทล์) ได้
โดยจะศึกษาเฉพาะโค้งปกติ ซึง่ มีตารางในการหาค่าพื้นที่ใต้โค้ง
32. สิ่งสําคัญคือในตาราง พื้นที่ใต้โค้งรวมกันทั้งหมด (ความถี่รวม) จะถูกปรับให้เป็น 1.00 พอดี
เพื่อให้การคํานวณง่ายขึ้น ... ค่าที่ระบุในตาราง แสดงพื้นที่ใต้โค้งที่วัดระหว่าง z=0 ไปถึง z ใดๆ โดย
มองเพียงค่า z เป็นบวกเท่านั้น (ซีกขวาของโค้ง) เราสามารถหาพื้นที่ซีกซ้ายได้โดยอาศัยความ
สมมาตรของรูปกราฟ A = 0.3 A = 0.15
- ตัวอย่างเช่น เราสามารถหาว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 65 มีค่า
เท่าใด จากการเปิดตารางที่พื้นที่ 0.15 ซึ่งในตารางระบุว่า
z=0.385 (จากนั้นนําไปคํานวณกลับเป็นค่าข้อมูล x ได้)
ในทํานองเดียวกัน เปอร์เซ็นไทล์ที่ 20 หาได้จากการเปิดตาราง P20 P65 x
-0.841 0.385 z
ที่พื้นที่ 0.3 ได้ค่า z=0.841 แต่เนื่องจากเป็นพื้นที่ทางซีกซ้าย
ค่า z ที่แท้จริงจึงเป็น -0.841
ใช้สูตร เปิดตาราง เทียบสัดส่วน
x ←⎯⎯⎯
→ z ←⎯⎯⎯
→ A ←⎯⎯⎯
→ P, D, Q
33. หากเรามีคู่อันดับ (x, y) จํานวนหนึ่ง หลังจากสร้างแผนภาพการกระจายเพื่อดูลักษณะกราฟแล้ว
เราจะหาความสัมพันธ์ระหว่าง x กับ y ได้เป็นสมการในรูป y = f (x) เพื่อใช้ทํานายค่า y ณ จุด x
ที่กําหนด
- นิยมใช้ Y แทนค่าจริง และ Y แทนค่าที่ได้จากการประมาณด้วยฟังก์ชัน
ÃÒ¹ÒÁ¼ÙÁÕou»¡Òäu³ :]
เหลียง ต้น | ปอน อั้ม บัว ปอง มดใหญ่ และน้องๆ 44 | จ๋า อิง๋ | ออม แนน พลอย
โอ๊ต มด หนึ่ง กิฟ๊ | ตาล ปอบ รดี นิ้ง จอย ทราม เบนซ์ จิ๊ก | สุจนิ จิง วิว พิม เมย์
เบสท์ เข่ง มิมิ แพร นุ้ย เจน | เบสท์ อิม | ถาวร | แบงค์ | แอน เนย์ เภา ตูน หยุ่น
ตั้ม ท้อป เต็ก อุย้ | เต๊าะ ยุ้ย | ภา มุก | คี้ บี๋ | แชมป์ | นาจา บาบูน บอย | ไอซ์
โน้ต พีม กร โอลีฟ ดล | พราว เต้ ต้า | เคน นัท บี | น้ํามนต์ กระต่าย อ้อ เก๋ แพรว
นิว | น้าํ | อากิ ลิน ไพลิน แพนเค้ก | เมฆ | โอ๊ต | แนน ทิพ ปอนด์ เบลล์ จอย แอม
ปอ เจี๊ยบ เหมี่ยว วัน แอม พลอย พี ปู ซี นก นุน่ ผึ้ง เจน ป๊อ แก้ว | ก้อง เพ้นท์ เป๊ะ
ดิ๊บ | ไกด์ ปลา แน๊ต | บุ้งกี๋ พีจัง โอโอ้ พังก์ หญิง พี่ปิ เดียร์ | จูเนียร์
´Ãê¹Õ
กฎการแบ่งกลุ่ม 337 ข่าวสาร (สารสนเทศ) 359
กฎของคราเมอร์ 216 ค.ร.น. (ตัวคูณร่วมน้อย) 49
กฎของโคไซน์ 172|229 ครอสโปรดัคท์ (ผลคูณเชิงเวกเตอร์) 240
กฎของไซน์ 172 ควอดรันต์ (จตุภาค) 83
กฎของโลปีตาล 306 ควอร์ไทล์ 374
กฎมือขวา 238 ความชัน 86|308
กฎลูกโซ่ 310 ความต่อเนือ่ ง 300
ก็ต่อเมือ่ 60 ความถี่ 360
กรณฑ์ 188 ความถีส่ ะสม/ความถี่สะสมสัมพัทธ์ 361
กราฟของความสัมพันธ์ 124 ความถีส่ ัมพัทธ์ 361
กราฟของตรีโกณมิติ 165 ความน่าจะเป็น 346
กราฟเชื่อมโยง 272 ความแปรปรวน 381
กราฟถ่วงน้ําหนัก 274 ความเยื้องศูนย์กลาง 103
กราฟออยเลอร์ 272 ความสัมพันธ์ 120
การกระจายสัมบูรณ์ 378 ความสัมพันธ์จาก A ไป B 120|358
การกระจายสัมพัทธ์ 381 ความสัมพันธ์ภายใน A 120|358
การแจกแจงความถี่ 384 คอนเวอร์เจนต์ 282|285
การแจกแจงปกติ 384 คอมพลีเมนต์ 16
การดําเนินการตามแถว 215|216 ค่ากลาง 363
การทดลองสุ่ม 345 ค่าการกระจาย 378
การให้เหตุผล 69 ค่าความจริง 59
การอ้างเหตุผล 65 ค่าเฉลี่ยเรขาคณิต 370
กําลังสองน้อยที่สดุ 389 ค่าเฉลี่ยเลขคณิต 363
กําลังสองสมบูรณ์ 95|98 ค่าเฉลี่ยฮาร์โมนิก 370
กําหนดการเชิงเส้น 147 คาบ 165
กึ่งกลางชัน้ 361 ค่ามาตรฐาน 383
กึ่งกลางพิสยั 370 ค่าวิกฤต 312
กึ่งพิสัยควอร์ไทล์ 378 ค่าสัมบูรณ์ 44|125|254
แกนจริง/แกนจินตภาพ 252 คู่อันดับ 83|119
แกนตามขวาง 102 แคแรกเทอริสติก 193
แกนเอก/แกนโท 100 แคลคูลัส 295|307
แกนสังยุค 102 โค้งความถี่ 361
ขนาน 86|233 โค้งความถี่สะสม 361|368
ขอบเขตบนน้อยสุด 42 โค้งเบ้ 384
ขอบบน/ขอบล่าง 361 โค้งปกติ/โค้งรูประฆัง 384
ข้อมูลเชิงคุณภาพ/เชิงปริมาณ 359 โคไซน์แสดงทิศทาง 239
ข้อมูลปฐมภูม/ิ ทุติยภูมิ 360 โค-ฟังก์ชนั 158
ขั้นตอนวิธกี ารหาร 48 โคแฟกเตอร์ (ตัวประกอบร่วมเกีย่ ว) 209
ขั้นตอนวิธขี องยุคลิด 49 จตุภาค (ควอดรันต์) 83
Math E-Book Release 2.2 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 658 ดรรชนี