Professional Documents
Culture Documents
โดย
Lasinfo
Lasinfo เป็ นเครื่ องมือที่ใช้บอกข้อมูลของไฟล์ ซึ่ งจะสามารถนาไปสู่การแก้ไขข้อมูลได้
โดยการแก้ไขต้องทาอย่างระวังเพราะอาจจะทาให้ไฟล์เสี ยได้ และเครื่ องมือนี้สามารถเลือกได้ว่า
จะแสดงผลหัวข้อไหนบ้าง
อ้างอิงจาก http://www.asprs.org/a/society/committees/standards/LAS_1_4_r13.pdf
หน้า 5
3
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
File Signature: File signature เป็ นส่วนที่บรรจุแค่ตวั อักษร 4 ตัว เท่านั้นคือ“LASF”
เพราะต้องเป็ นไปตามหลักของ LAS specification โดย 4 ตัวอักษรนี้บอกความหมายว่าคือ LAS
File และสามารถตรวจสอบได้คร่ าวๆจากการดูFile format
File Source ID: File Source ID จะสามารถเก็บค่าได้ระหว่าง 1 ถึง 65,535 โดยถ้าหาก
ไฟล์น้ นั มาจากเส้นทางการบินแรกเริ่ ม (original flight line) File Source ID ก็จะเป็ นเลขเส้นทาง
การบินนั้นเอง และถ้าหากเป็ นเลข 0 นั้นแสดงว่า File Source ID ไม่ได้รับการกาหนดค่า ใน
กรณี ดงั กล่าวซอฟท์แวร์อาจจะกาหนดค่าให้ File Source ID สามารถมาได้จาก เส้นทางการบิน
แรกเริ่ ม (original flight line), การผสานไฟล์ (merge) และการผ่านการคัดลอก (extract)
Global Encoding: Global Encoding เป็ นส่วนที่ใช้ระบุคุณสมบัติบางอย่างของไฟล์ เช่น
รู ปแบบของ GPS Time (ดูเพิ่มเติมได้ที่
http://www.asprs.org/a/society/committees/standards/LAS_1_4_r13.pdf หน้าที่ 6)
4
Point Data Record Format: จะเป็ นตัวระบุประเภทของ point data record ที่ถูกเก็บไว้
ในไฟล์ โดย LAS 1.4 จะนิยามตั้งแต่ 0 ถึง 10 (สามารถดูประเภทต่างๆของ point data record ได้
ที่ http://www.asprs.org/a/society/committees/standards/LAS_1_4_r13.pdf หน้าที่ 9)
Point Data Record Length: ขนาดของ Point Data Record ในหน่วย byte โดย Point
Data Record ใน LAS file นั้น จะต้องเป็ นประเภทและมีขนาดเดียวกันทั้งหมด โดยถ้าหากขนาด
ที่ระบุมามีขนาดใหญ่กว่าขนาดของ point format type เช่น 32 bytes กับ 28 bytes สาหรับ type 1
ดังนั้นByteที่เกินมา จะถูกระบุเป็ น “extra bytes” โดย “extra bytes” จะถูกอธิบายเพิ่มที่ Extra
Bytes VLR
Legacy Number of point records: จะเป็ นที่เก็บจานวนทั้งหมดของจุดในไฟล์
Legacy Number of points by return: จะเก็บจานวนจุดต่อ Return โดยค่าแรกจะเป็ นค่า
จุดทั้งหมดต่อ First return ค่าที่สองคือ ค่าจุดทั้งหมดต่อ return 2 และตามลาดับไปถึง return 5
X, Y, and Z scale factors: scale factorจะเก็บค่าที่ใช้สาหรับการสเกลค่า X, Y และ Z
point record โดยจะคูณด้วย scale factor เพื่อที่จะได้ ค่าพิกดั X, Y และ Z ยกตัวอย่าง ถ้าหาก ค่า
พิกดั X, Y และ Z มีทศนิยม 2 ตาแหน่ง scale factor จะต้องเป็ นเลข 0.01
X, Y, and Z offset: offset จะถูกใช้ในเซต point record โดยปกติแล้วค่า offset จะเป็ น 0
แต่มกั ถูกใช้ในกรณี ที่ขอ้ มูลจุดมีไม่มากพอสาหรับระบบ projection ที่ตอ้ งการ อย่างไรก็ตามก็
ควรจะพิจารณาค่านี้เสมอ โดยค่า offset จะถูกเพิ่มตามหลัง Xrecord * Xscale เสมอ ดังข้างล่างนี้
Xcoordinate = (Xrecord * Xscale) + Xoffset
Ycoordinate = (Yrecord * Yscale) + Yoffset
Zcoordinate = (Zrecord * Zscale) + Zoffset
Max and Min X, Y, Z: ค่าพิกดั X, Y, Z ที่มากสุดและน้อยสุด
6
Variable Length Records (VLRs) จะตามหลัง Public Header Block เสมอ โดยจานวน
ของ VLRs จะถูกระบุไว้ในช่อง Number of Variable Length Records ที่ Public Header Block
VLRs จะมีขนาดได้ 54 bytes เท่านั้น
เนื่องจากตัวอย่างด้านบนคือ Point Data Record Format 1 (ดูได้ที่ Point Data Record Format
ของ Public Header Block)
X, Y, and Z: ค่า X, Y, และ Z จะถูกเก็บอยูใ่ นรู ป long integers โดยจะเป็ นค่า record ที่
เป็ นตัวเชื่อมระหว่าง ค่า scale กับ ค่า offset เพื่อหาค่า X, Y, และ Z coordinate (ดูเพิ่มเติมได้ที่
Public Header Block)
Intensity: ค่า intensity หรื อค่าความเข้มข้น คือค่าที่แสดงถึงขนาดหรื อความรุ นแรงของ
การสะท้อนกลับของคลื่นเลเซอร์ ที่สร้างจุด LiDAR ซึ่ งค่า intensityจะขึ้นอยูก่ บั ค่าการสะท้อน
กลับของวัตถุที่ติดมากับคลื่นเลเซอร์ ค่า intensity จะเป็ นตัวหลักในการตรวจสอบและแยกแยะ
จาแนกจุดของ LiDAR เนื่องจากค่า intensity ไม่เป็ นค่าเชิงปริ มาณดังนั้นเราไม่สามารถคาดหวัง
ค่าเดิมจากวัตถุเดิม ถึงแม้จะบินแบบเดิมหรื อวัดจากระดับเดิม และค่า intensity จะถูกเก็บเป็ นค่า
จานวนเต็มในรู ป 16 บิต
Return Number: Return Number คือเลขที่บอกว่าการสะท้อนครั้งนั้นคือครั้งที่เท่าไหร่
ของคลื่นนั้น เช่น หากคลื่นหนึ่งส่องไปที่ตน้ ไม้ ก็จะสะท้อนยอดไม้ 1 ครั้ง ครั้งนั้นจะเรี ยกว่า
Return Number 1 และจากนั้นจะทะลุผา่ นไปสะท้อนกับกิ่งไม้ จะได้Return Number เป็ น 2
จากนั้นลงไปสู่พ้ืนดินสะท้อนกับพื้นดินได้ค่า Return Number เป็ น 3 โดยคลื่นเลเซอร์ ที่ได้รับมา
สามารถมีได้หลาย return และแต่ละ return จะถูกทาเครื่ องหมายไว้ตามลาดับแล้ว คลื่นฉาย
ลาแสงเลเซอร์ สามารถมีได้ถึง 5 returns โดยขึ้นอยูก่ บั สิ่ งที่ถกู สะท้อนและความสามารถของ
laser scanner ที่ใช้เก็บข้อมูล
Number of Returns (given pulse): คลื่นLiDAR เมื่อทาการส่องไปบนพื้นดินแล้ว ใน1
คลื่นอาจจะมีการสะท้อนกลับได้หลายค่าซึ่ งทุกครั้งที่สะท้อนจะเรี ยกว่า Return Number โดยถ้า
หากคลื่นไปสะท้อนพื้นโดยตรงเลยก็จะสะท้อนกลับทันที ได้ค่า Return Number 1 และจานวน
Returns ทั้งหมด เป็ น 1 ซึ่ งก็คือค่า Number of Returns นั้นเอง และถ้าหากคลื่นไปสะท้อนต้นไม้
Return Number 1ก็จะสะท้อนจากยอดไม้ Return Number 2 ก็จะสะท้อนจากกิ่งไม้ Return
Number 3 ก็อาจจะเป็ นพื้นดิน จะได้ค่าจานวน Returns ทั้งหมดของคลื่นเป็ น 3 ซึ่ งก็คือค่า
Number of Returns นั้นเอง หรื อจะสรุ ปได้ว่าค่า Number of Returns คือจานวนทั้งหมดของการ
9
สะท้อนของคลื่นนั้นๆ
และจะแสดงในรู ปในช่วง overview over number of returns of given pulse เรี ยงลาดับ ตาม
1,2,3,4,5,6
Number of Number of Number of Total of return
return 1 return 2 return 3
first returns 249,493(1of1) 13,636(1of2) 284(1of3) 263,413
intermediate 0 0 283(2of3) 283
returns
last returns 249,493(1of1) 13,596(2of2) 281(3of3) 263,370
Total of 249,493 27,232 848
Number of
return
First returns จะแสดงในรู ป (1ofN) N=Number of return
Intermediate returns จะแสดงในรู ป (2ofN) N=Number of return หรื อ (nofN)
โดย n จะมีค่าระหว่าง 1 และ N
Last returns จะแสดงในรู ป (NofN) N=Number of return
10
ซึ่ งค่าground ส่วนใหญ่จะมาจาก last return of multiple return and first only (2of2,
3of31of1 ) ได้ท้งั หมด 263,370 ซึ่ ง ground มีท้งั หมด 180,868 เป็ นเพราะว่ามีการแบ่งค่าออกไป
อีกจาก building จากค่า first only
ค่า building มาจาก first only ซึ่ งรอบๆจุดที่รวมกันระนาบในแนวประมาณหลังจะต้อง
เปลี่ยนความสูงอย่างทันทีทนั ใด(ขอบหลังคา) ซึ่ งมีการแบ่งค่าจากค่า first only อีกที
ค่าvegetation มาจากค่า first return of multiple return เป็ นเพราะว่าต้นไม้จะมีการ
สะท้อนหลายค่า
Edge of Flight Line: ค่านี้จะมีเฉพาะ 0 หรื อ 1 เท่านั้น โดยจุดที่อยูท่ ี่ขอบการบินจะมีค่า
เป็ น 1 และที่เหลือมีค่าเป็ น 0 จุดที่ขอบการบินจะมีลกั ษณะเป็ นจุดสุดท้ายก่อนที่จะมีการ
เปลี่ยนแปลงเส้นทางของเส้นทางการบิน
Scan Direction Flag: จะบอกถึงทิศทางของ scanner mirror ในขณะที่ปล่อยคลื่นเลเซอร์
โดยค่า 1 คือทิศบวกของการสแกน(ทิศบวกคือสแกนจากซ้ายไปขวาของเส้นทางการบิน) และ
ค่า 0 คือทิศลบของการสแกน
Classification: ทุกจุด LiDAR เกิดจากการสะท้อนวัตถุต่างๆ ซึ่ งจะถูกจาแนกเป็ นวัตถุ
ต่างๆในกระบวนการ post-processed โดยแต่ละวัตถุจะมีเลขเฉพาะเป็ นของตัวเอง
ตัวอย่ างการใช้ :
>> lasinfo lidar.las
เป็ นการรายงานข้อมูลทุกข้อมูลลงใน command prompt
เช่น lasinfo out.laz
Lasview
Lasview เป็ นเครื่ องมือที่ใช้ในการแสดงผลของ LiDAR ได้ง่ายและรวดเร็ว โดยใช้ร่วมกับ
LAS/LAZ/ASCII format โดยสามารถแก้ไขการจาแนกประเภทของจุดต่างๆ ลบจุด และสามารถ
สร้างTIN (Triangulated irregular network) ได้จากจุดที่เราที่ตอ้ งการ
1.เริ่ มต้นการใช้ lasview
1.1ผ่านทาง Command prompt ใช้คาสัง่ lasview ตามด้วยชื่อไฟล์
>>lasview lidar.las
>>lasview –i lidar.las (การมี –i หมายถึงว่า input ที่เข้าคืออะไร)
ตัวอย่าง
21
1.2ผ่านทาง GUI
เมื่อทาการเปิ ด lastool ขึ้นมาแล้ว (สามารถเปิ ดได้ผา่ น 2 วิธี คือ 1.เปิ ดจากFolder ของ
lastool\bin\lastool 2.เปิ ดโดยใช้คาสัง่ ผ่านทางcommand prompt โดยใช้แค่คาสัง่ >>lastool)
เริ่ มต้นจาก
1.กด(+)ที่ Browse แล้วเลือกFile ที่ตอ้ งการ
2.กด(+)ที่ lasview
3.กด Run
22
จะแสดงผลดังภาพด้านล่าง
4.กด START
5.เป็ นคาสัง่ ที่สามารถใช้ได้ใน command prompt โดยจะแสดงผลเหมือนกัน
6.ผลลัพธ์การแสดงผล
23
2.การแก้ไขการจาแนกของจุดและการลบจุด
2.1 เริ่ มจากการClickขวาบนภาพเพื่อเรี ยก menu แล้วกด r<e>classifying point เลือก
ประเภทให้จุดที่เราต้องการแก้ไข หรื อใช้ปุ่มลัดโดยการกดปุ่ ม e
24
3.การดูภาพตัดขวาง
สาหรับการตรวจสอบจุดหรื อพื้นที่ต่างๆ และการดูภาพตัดขวาง สามารถใช้การกดปุ่ ม
X แล้วทาการเลือกพื้นที่ที่สนใจ โดยจะแสดงเป็ นสี่ เหลี่ยมสี แดงดังภาพด้านล่าง
27
กด X อีกครั้งจะได้ภาพในส่วนที่เราสนใจ ดังภาพด้านล่าง
สาหรับดูการแก้ไขเพิ่มเติม
https://rapidlasso.com/2014/03/02/tutorial-manual-lidar-editing/
28
<d> ลบจุด
<r> บันทึกจุด
<CTRL-s> บันทึกเป็ น LASlayers
<CTRL-f> บันทึกทับเป็ น LAY file
<CTRL-a> บันทึก LASlayers เป็ นไฟล์ LAS/LAZ อันใหม่
<i> เลือกจุดและแสดงค่าพิกดั รวมถึงค่า attribute
<x> แสดงไปมาระหว่างภาพตัดขวางและภาพหลัก
<SHIFT> เปลี่ยนเป็ นแบบเลื่อนขนาน
<CTRL> เปลี่ยนเป็ นแบบซูม
<ALT> เปลี่ยนแบบเลื่อนไปมาได้
<Space> สลับแบบการดูของ pan/translate/zoom/tilt
<-/=> เพิ่มและลดขนาดของจุด
คาสั่ งเพิม่ เติม
-win 1200 900 แสดงผลขนาดของ window เป็ น 1200 pixels *900 pixels
-gui แสดงผลเป็ นแบบ Graphical User Interface
-start_at_point 1500000 เริ่ มต้นที่จุด 1,500,000
-stop_at_point 5000000 หยุดการแสดงผลภาพที่จุด 5,000,000
-points 10000000 แสดงผล 10 ล้านจุด โดยค่าเริ่ มต้นอยูท่ ี่ 5,000,000
-set_min_max 47.0 63.0 กาหนดค่าระดับของสี ให้อยูใ่ นช่วง 47.0 ถึง 63.0
-only_first แสดงผลเฉพาะ first returns
-only_last แสดงผลเฉพาะ last returns
-only_multi แสดงผลเฉพาะ multiple returns
-only_single แสดงผลเฉพาะ single returns
-ground แสดงผลเฉพาะจุด ground
-buildings แสดงผลเฉพาะจุด buildings
-vegetation แสดงผลเฉพาะจุด vegetation
-object แสดงผลเฉพาะจุด vegetation และ building
30
อ้ างอิง :http://www.asprs.org/a/society/committees/standards/LAS_1_4_r13.pdf
31
Las2las
Las2las เป็ นเครื่ องมือใช้สาหรับอ่านและเขียนข้อมูลLidar ลงใน LAS/LAZ/ASCII
format เพื่อที่จะคัดเลือก, แปลง, project หรื อแก้ไขค่าอื่นๆ การคัดเลือกจุด เช่นหากต้องการค่า
เป็ นรู ปสี่ เหลี่ยมก็สามารถใช้คาสัง่ '-keep_xy 10 10 20 20'(xmin ymin xmax ymax), หากต้องการเก็บ
ค่าจุดในช่วงๆหนึ่งสามารถใช้คาสัง่ ‘-keep_z 10 100', หากไม่ตอ้ งการจุดของ Return ใดๆ ก็ใช้
คาสัง่ เช่น '-drop_return 2' หรื อคาสัง่ '-clip_to_bounding_box' ก็จะเป็ นคาสัง่ ที่ลบจุดที่ออกจาก
bounding box ไปไกลมากๆ ออกจากไฟล์
การแปลงข้อมูล projection ก็จะสามารถเพิ่มหรื อแก้ไขได้ เช่น การแปลงค่าละติจูด
ลองจิจูด เป็ น UTM หรื อ Earth-centered Earth-fixed (ECEF) หรื อสามารถใส่ค่ารหัส EPSG
ได้เลยเช่น '-epsg 32754'
การคัดเลือกด้วยค่า return เช่น หากต้องการแค่ค่า first return (-first_only) หรื อค่า last
return อย่างเดียว (-last_only) โดยการเอาแค่ first return อย่างเดียวก็เหมือนกันการทิ้งค่าอื่นหมด
เลย เช่น -drop_return 2 3 4 5
การคัดเลือกจุดจากลาดับของจุด เช่น -subseq 540 1000 จะเป็ นการเอาแค่จุดที่ 540 ถึง
1,000
การคัดเลือกจุดด้วยค่าการจาแนก (classifications) เช่น การเก็บเฉพาะ คลาส 2,3 ใช้
คาสัง่ '-keep_class 2 3' หรื อการไม่เอาค่าคลาส 2,3 ใช้ '-drop_class 2 3' สาหรับการดูทุกฟังค์ชนั
สามารถใช้คาสัง่ 'las2las -h'
โดยคาสัง่ พื้นฐานคือ “las2las -i (ไฟล์ที่ตอ้ งการนาเข้า).laz –o (ไฟล์ที่ตอ้ งการ
ส่งออก).laz” -(ตามด้วยคาสัง่ อื่นๆ)
32
จะได้
เปรี ยบเทียบภาพ
ตัวอย่ างการใช้ :
ใช้คาสัง่ คัดเลือกค่าจุดพิกดั ด้วยค่า return เพื่อจาแนกหา Single,First of many,Last of
many,Intermediate จากไฟล์ drawno.laz (http://lastools.org/download/drawno.laz)
Number Number Number Number Number Number Total
of return of return of return of return of return of return of
1 2 3 4 5 6 return
first returns 106930
intermediate 7673
returns
last returns 107096
Total of 71304 57541 18730 2668 146 6
Number of (single
return returns)
ทาการใส่ค่า ในตารางตามข้อมูล lasinfo
-keep_number_of_returns 1
-keep_number_of_returns 2
-keep_number_of_returns 3
-keep_number_of_returns 4
-keep_number_of_returns 5
-keep_number_of_returns 6
40
>> las2las -i s1885565.laz -o out.las -sp83 OH_S -feet -elevation_feet -target_utm auto
แก้ไขข้อมูล Projection จาก Ohio_South NAD83 state plane ในหน่วยฟุต ไปสู่ NAD83 UTM
โดยคานวณค่า UTM อัตโนมัติในหน่วยเมตร
Lasground
Lasground เป็ นเครื่ องมือที่ใช้หาพื้นโลกโดยจะจาแนกจุดLiDARไปเป็ น ground points
(class = 2) และ non-ground points (class = 1) lasground จะสามารถทางานได้ดีในบริ เวณพื้นผิว
ธรรมชาติ เช่น ภูขา ป่ า พื้นผิวสูงชัน แต่จะให้ผลลัพธ์ดีข้ ึนไปอีกในบริ เวณเมือง
โดยทัว่ ไปค่าเริ่ มต้นของ step size จะอยูท่ ี่ 25 เมตร ซึ่ งเป็ นค่าที่จะลบอาคารส่วนใหญ่ออกไป
ยกเว้น อาคารใหญ่ โกดัง และ โรงงาน สาหรับเมืองขนาดเล็กและภูมิประเทศที่มีอาคารจานวน
น้อย ควรจะใช้คาสัง่ '-town' ซึ่ งมีการกาหนดค่า step size เป็ น 10 เมตร โดย '-city' จะเหมาะกับ
การใช้กบั เมืองใหญ่และอาคารใหญ่เช่น โกดัง ซึ่ งจะมีขนาด step size ที่ 25 เมตร
โดย '-metro' จะเหมาะกับเมืองใหญ่มาก โดยจะมีขนาด step size ที่ 50 เมตร และเราสามารถตั้ง
ค่า step size โดยเฉพาะได้ เช่น '-step 35' สาหรับภูมิประเทศที่ไม่มีสิ่งก่อสร้างก็ควรจะใช้ '-
nature' ซึ่ งมี step size ที่ 5 เมตร และ '-wilderness' นั้นใช้กรณี ที่เราสนใจวัตถุขนาดเล็กบน
พื้นผิว LiDAR ที่มีความละเอียดสูง ซึ่ งค่า step size อยูท่ ี่ 3 เมตร เราสามารถเปลี่ยนหน่วยใน
แนวดิ่งและหน่วยในแนวราบได้ โดยใช้คาสัง่ '-feet' สาหรับแนวราบ และใช้คาสัง่ '-
elevation_feet' สาหรับแนวดิ่ง ถ้าหากข้อมูลค่าพิกดั coordinate เป็ นค่าพิกดั แบบ earth-centered
(ECEF) และค่าพิกดั แบบละติจูดลองจิจูด จะต้องแปลงแบบ UTM เท่านั้น
โดยค่าเริ่ มต้นเครื่ องมือจะจาแนกเฉพาะ last return โดย return ก่อนหน้านั้นจะถูกจาแนกให้อยู่
ใน non-ground class เราสามารถปิ ดค่าตั้งต้นได้โดยใช้คาสัง่ '-all_returns'
หากเราไม่ตอ้ งให้ class ที่ถูกเคยจาแนกแล้ว ต้องมาจาแนกซ้ าเราสามารถใช้คาสัง่ '-ignore_class
ตามด้วยเลขclass เช่น '-ignore_class 7'
47
ข้ อมูลเพิม่ เติม:
http://www.cs.unc.edu/~isenburg/lastools/download/lasground_new_README.txt
48
ตัวอย่ างการใช้ :
>> lasground -i terrain.las -o classified_terrain.las
เป็ นการclassify ไฟล์ดว้ ยค่าปกติ โดยมี input เป็ น terrain.las และได้output เป็ น
classified_terrain.las
>> lasground -i terrain.las -o classified_terrain.las -feet -elevation_feet
เป็ นการclassify ไฟล์แล้วทาการกาหนดค่าให้อยูห่ น่วยฟุต โดย -feet เป็ นคาสัง่ ในแนวราบ
-elevation_feet เป็ นการกาหนดค่าในแนวดิ่ง
>> lasground -i terrain.las -o classified_terrain.las -all_returns
เป็ นการจาแนกจุดโดยจาแนกทุก return โดยปกติแล้วการจาแนกจะจาแนกเฉพาะlast returns
>> lasground -i *.las –town -ignore_class 7
เป็ นการจาแนกภูมิประเทศที่ราบเรี ยบหรื อเมืองเล็ก โดยจะมีขนาด step size ที่ 10 เมตร และไม่
ทาการจาแนก class 7
49
ตัวอย่ างการใช้ :step size ที่ขนาดต่างกัน –wilderness, -nature, -town, -city, -metro จาแนกไฟล์
เพื่อหาขนาดที่เหมาะสม กับไฟล์ pentagon.laz
(https://mega.nz/#!HEd1EDhZ!HTX8uRGCh8dwt3JRTNByYau42qhQJ01sOn3QXbe1TKM)
จะสรุ ปได้ว่ายังมีพ้ืนบางส่วนที่ไม่ได้รับการจาแนก
Lasclassify
Lasclassify เป็ นเครื่ องมือที่ใช้จาแนกเพื่อหาสิ่ งก่อสร้างและพืชพันธุ์ต่างๆ โดยเครื่ องมือนี้จะใช้
จาแนกได้ ไฟล์อนั นั้นต้องผ่านการจาแนกหา ground point ก่อนด้วย lasground และต้องมีการ
คานวณหาค่าความสูงของแต่ละจุดด้วยlasheight เครื่ องมือนี้จะทาการหาจุดในบริ เวณข้างเคียง
กันที่มีความสูงอย่างน้อย 2 เมตรและมีแนวโน้มเป็ นระนาบแล้วทาการจาแนกให้เป็ นสิ่ งก่อสร้าง
'-planar 0.1' และถ้าหากระนาบนั้นมีแนวโน้มที่จะขรุ ขระจะทาการเป็ นกลุ่มต้นไม้ '-rugged 0.4'
ตัวเลขด้านหลังจะหมายความว่าค่า standard deviation เราสามารถเปลี่ยนช่วงค่าที่กาหนดได้ดว้ ย
คาสัง่ '-ground_offset 5' ถ้าหากข้อมูลในไฟล์น้ นั มีจุดรบกวนเยอะ (noise) ทาให้การหาระนาบ
ทาได้ยาก การใช้ '-planar 0.1' จะเป็ นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง บางครั้งเส้นทางบิน(flight lines)นั้น
ไม่ได้บินในแนวราบซึ่ งจะเป็ นต้นเหตุทาให้ไม่เกิดระนาบแนวราบที่เหมาะสม เราจึ งควรทาการ
วิเคราะห์เส้นทางการบินแยกจากอันอื่น เราสามารถเปลี่ยนหน่วยในแนวดิ่งและหน่วยใน
แนวราบได้ โดยใช้คาสัง่ '-feet' สาหรับแนวราบ และใช้คาสัง่ '-elevation_feet' สาหรับแนวดิ่ง
ถ้าหากข้อมูลค่าพิกดั coordinate เป็ นค่าพิกดั แบบ earth-centered
(ECEF) และค่าพิกดั แบบละติจูดลองจิจูด จะต้องแปลงแบบ UTM เท่านั้น
ถ้าหากค่าความหนาแน่นของจุด(point density) มีค่าน้อย จะทาให้ไม่สามารถใช้ lasclassify ได้
การใช้คาสัง่ 'lasinfo -i lidar.las -cd' จะเป็ นการตรวจสอบว่า ข้อมูลนั้นมีค่าเกิน 2 pulses ต่อ
ตารางเมตรหรื อไม่ ซึ่ งเป็ นค่าต่าสุดที่จะทาให้สามารถจาแนกเพื่อหาหลังคาได้ ถ้าหากได้ค่าน้อย
กว่า2 pulses ต่อตารางเมตร เราต้องทาการเพิ่มค่า step เป็ น '-step 4' ซึ่ งก็คือ 4 x 4 เมตร โดยค่า
เริ่ มต้นจะอยูท่ ี่ 2 เมตร
53
ตัวอย่ างการใช้ :
>> lasground -i lidar.las -o lidar_with_bare_earth.las -city
>> lasheight -i lidar_with_bare_earth.las -o lidar_with_heights.las
>> lasclassify -i lidar_with_heights.las -o lidar_classified.las
(จากไฟล์ fusa.laz ที่ถูกล้าง classification ไปเป็ น never classified ด้วยคาสัง่ >>las2las -i
fusa.laz -set_classification 0 -o fusa_out.laz )
1.เปิ ดไฟล์ fusa_out.laz
54
คาสั่ งอื่นๆ
-v เป็ นคาสัง่ รายงานผลเพิ่มเติมจากปกติ
-quiet เป็ นคาสัง่ ไม่ให้แสดงผลรายงาน
-version เป็ นคาสัง่ แสดงผล version
-fail เป็ นคาสัง่ ให้ไม่ให้ทางานถ้าหาก ไม่มีunlicense หรื อunlicense ไม่
ถูกต้อง
-gui เป็ นคาสัง่ เรี ยกเครื่ องมือ classify บน GUI
-ignore_class 7 18 เป็ นคาสัง่ ที่จะไม่ทาการจาแนกclassที่กาหนด
-ignore_first เป็ นคาสัง่ ที่จะไม่ทาการจาแนก return ต่างๆที่กาหนด
, -ignore_last
, -ignore_intermediate
-step 1.5 เป็ นคาสัง่ กาหนดขนาดของstep โดยค่าเริ่ มต้นเริ่ มที่ 2 เมตร การ
เพิ่มขนาด step จะช่วยให้เพิ่มความสามารถในการ classify จุดที่
ห่างกันมากๆได้หรื อช่วยในกรณี ที่จุดมีความหนาแน่นน้อย
-ground_offset 1.5 เป็ นคาสัง่ ที่กาหนดค่าที่สนใจที่ห่างจากพื้น 1.5 เมตร จะถูก
พิจารณาเป็ นระนาบที่จะถูกจาแนก
-planar 0.09 เป็ นคาสัง่ กาหนดค่า standard deviation เป็ น0.09 โดยจุดที่มีความ
สูงห่างจากระนาบที่กาหนด ถ้าหากมีค่า standard deviation เป็ น
0.09 จะถูกจาแนกให้อยูใ่ นระนาบของสิ่ งก่อสร้าง โดยค่าเริ่ มต้นอยู่
ที่ 0.1
-rugged 0.3 เป็ นคาสัง่ กาหนดค่า standard deviation เป็ น0.3 โดยจุดที่มีความสูง
ห่างจากระนาบที่กาหนด ถ้าหากมีค่า standard deviation เป็ น0.3
จะถูกจาแนกให้อยูใ่ นระนาบของพืชพันธุ์ต่างๆ โดยค่าเริ่ มต้นอยูท่ ี่
0.4
-small_buildings เป็ นคาสัง่ ช่วยในการจาแนกอาคารขนาดเล็ก
-small_trees เป็ นคาสัง่ ช่วยในการจาแนกต้นไม้ขนาดเล็ก
-keep_overhang เป็ นคาสัง่ ที่จะไม่เอาจุดของต้นไม้ที่มีความสูงใกล้เคียงกับ
สิ่ งก่อสร้างและคาบเกี่ยวกัน ออก
58
ข้อมูลเพิ่มเติม
1. http://www.cs.unc.edu/~isenburg/lastools/download/lasclassify_README.txt
59
Lasheight
Lasheight เป็ นเครื่ องมือใช้ในการคานวณความสูงเหนือพื้นของจุด LAS ต่างๆ โดย
สมมติว่าหาก ground point ได้ถูกจาแนกแล้ว (classification = 2) จะมีการสร้าง TIN ของ
ground point ขึ้นมา (โดยการสร้าง TIN จะเป็ นการสร้างสามเหลี่ยมของจุดใกล้กนั 3 จุดแล้วนา
สามเหลี่ยมทั้งหมดมาต่อเป็ นพื้นผิวเดียวกัน) และการคานวณความสูงของจุดนั้น จะคานวณโดย
อ้างอิงจาก TIN โดยค่าปกติของความสูงจะถูก scale ไว้ดว้ ยค่า 10.0 ซึ่ งจะมีค่าอยูร่ ะหว่าง 0 ถึง
255 และถูกเก็บไม้ในฟิ ลด์ "user data" ของแต่ละจุด การเปลี่ยน scale factor สามารถทาได้โดย
คาสัง่ '-scale_u 20.0' หรื อปิ ดการเก็บข้อมูลความสูงใน "user data" ได้โดยคาสัง่
'-do_not_store_in_user_data' หรื อเก็บไว้ในส่วนของ "extra bytes" ด้วยคาสัง่
'-store_as_extra_bytes' ด้วยค่า scale factor 0.01 (ความละเอียดระดับเซนติเมตร) หรื อเพิ่มความ
ละเอียดด้วย '-store_precise_as_extra_bytes' ที่ค่า scale factor 0.001(ความละเอียดระดับ
มิลลิเมตร)
60
ตัวอย่ างการใช้
ใช้ lasheight เพื่อหาความสูงระหว่างพื้นดินกับเพดาน
1.เปิ ดไฟล์ fusa.laz (ต้องผ่านlasclassify เพื่อจาแนกจุดด้วย)ที่ผา่ นการใช้ (lasheight -i
fusa.laz -replace_z) ด้วย lasview แล้วทาการ cross section ด้วยการกด x จากเลือกส่วน
ที่ตอ้ งการดังภาพ
61
ส่ วนเสริม
ผู้เขียน: นาย ปัญญาวัชร รัตนะ nanoic_ohm@hotmail.com โปรดติดต่อหากข้อมูล
ผิดพลาด