Professional Documents
Culture Documents
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความรู้เบื้องต้น
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความรู้เบื้องต้น
ความรู้เบื้องต้น
ศิวพล ชมภูพันธุ์
หลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยบริหารศาสตร์
มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ชื่อหนังสือ ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ : ความรู้เบื้องต้น
ผู้เขียน ศิวพล ชมภูพันธุ์
จัดทำ�โดย ศิวพล ชมภูพันธุ์
ISBN 978-616-406-576-5
ราคา 270 บาท
ออกแบบปก โรงพิมพ์วัชรินทร์ พี.พี.
ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสำ�นักหอสมุดแห่งชาติ
National Library of Thailand Cataloging in Publication Data
ศิวพล ชมภูพันธุ์
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ : ความรู้เบื้องต้น.-- กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์วัชรินทร์ พี.พี., 2559.
264 หน้า.
1.ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ. I. ชื่อเรื่อง.
327
ISBN 978-616-406-576-5
คานา
คานิยม
คาขอบคุณ
บทนา 1
บทที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ทฤษฎีและวิธีการศึกษา 5
บทที่ 2 ความเข้าใจพื้นฐานในการศึกษาทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 39
บทที่ 3 ทฤษฎีการเมืองในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 61
บทที่ 4 ทฤษฎีสัจนิยม (Realism) 85
บทที่ 5 ทฤษฎีเสรีนิยม (Liberalism) 115
บทที่ 6 ทฤษฎีมาร์กซ์ (Marxism) 147
บทที่ 7 สานักอังกฤษกับการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 167
(The English School and International Relations)
บทเกริ่นนา ทฤษฎีหลังปฏิฐานนิยมในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 189
(Post-positivism in International Relations)
บทที่ 8 ทฤษฎีสรรสร้างนิยม (Constructivism) 193
บทที่ 9 ทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยม (Poststructuralism) 213
บทที่ 10 ทฤษฎีสตรีนิยม (Feminism) 231
บทส่งท้าย 242
รายการหนังสืออ้างอิง 245
คำ�นำ� คำนำ
ด้วยมิตรภำพและจิตคำรวะ
ศิวพล ชมภูพันธุ์
สวนดอก, ลำปำง
คืนวันส่งท้ำยปี 2558
คำ�นิยม คำนิยม
งานศึกษาเล่มนี้ได้พยายามตอบคาถามตามประเด็นต่างๆ ดังกล่าวจากการค้นคว้า
เอกสารและบทความภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่เนื่องด้วยเอกสารอ้างอิงที่เป็นตาราภาษาไทย
มีจานวนค่อนข้างน้อยอันสะท้อนให้เห็นว่าสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังขาดแคลน
ผลงานใหม่ๆและนักวิชาการรุ่นใหม่ๆ ที่มีความอุตสาหะ มานะบากบั่นและทุ่มเทเพื่อจัดทา
เอกสารทางวิชาการในด้านนี้ให้กับนัก ศึก ษาระดับปริญญาตรีได้ ใช้ประโยชน์ ในการปู พื้ น
ฐานความรู้ก่อนศึกษาค้ นคว้าด้วยตนเองในระดับบัณฑิตศึกษาต่อไป งานวิชาการเล่มนี้จึง
นับว่ามีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็น
อย่างยิ่ง
รศ.ดร.โกสุมภ์ สำยจันทร์
สำนักวิชำกำรระหว่ำงประเทศ คณะรัฐศำสตร์และรัฐประศำสนศำสตร์
มหำวิทยำลัยเชียงใหม่
คำขอบคุณ คำ�ขอบคุณ
ตลอดช่วงที่ผู้เขียนได้ใช้เวลาชีวิตของตนหายไปกองหนังสือและเอกสารจานวน
หนึ่งจนสามารถผลิตตาราเล่มนี้ สู่โลกได้ ผู้เขียนมีคาขอบคุณ ใครหลายคนที่มีส่วนผลักดันให้
ตาราเล่มนี้สาเร็จเป็นรูปเล่มที่เป็นแรงใจ แรงสมองต่อผู้เขียนมาโดยตลอด
ขอขอบพระคุณ อาจารย์ผู้ใหญ่หลายท่านที่ให้คาแนะนาที่เป็นประโยชน์ในการ
เขียนตาราเล่มนี้ ท่านแรก รองศำสตรำจำรย์ ดร.โกสุมภ์ สำยจันทร์ แห่งคณะรัฐศาสตร์และ
รัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ “ครู” ของผู้เขียนและผู้ดูแลวิทยานิพนธ์ระดับ
มหาบัณฑิตที่คอยบอกผู้เขียนตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนของท่านว่า “ครูอยากเห็นบอลเขียนตารา
ครูว่าบอลทาได้” จนวันที่ให้ท่านช่วยอ่านต้นฉบับท่านก็บอกว่า “บอลทาขายเลยนะ ขายได้
แน่นอน” ความเมตตาและคาแนะนาของท่านเป็นพลัง ผลักดันที่ทาให้ตาราเล่มนี้สาเร็จ อีก
ท่านหนึ่ง คือ ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ ดร.ศุภมิตร ปิติพัฒน์ แห่งภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศ คณะรั ฐ ศาสตร์ จุ ฬ าลงกรณ์ ม หาวิ ท ยาลั ย ที่ ใ ห้ ผู้ เ ขี ย นได้ เ ข้ า พบและกรุ ณ าอ่าน
ต้นฉบับและให้คาแนะนาที่เป็นประโยชน์อย่างมากจนเกิดแรงกระตุ้นให้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
และจัดระบบความคิดในการเรียบเรียงตาราให้ออกมาอย่างสมบูรณ์
ขอขอบคุณกัลยาณมิตรทางวิชาการหลายท่าน อาจารย์นรุตม์ เจริญศรี ที่คอยส่ง
เอกสารหลายชิ้นและคาแนะนาที่ดีมากมาโดยตลอด อาจารย์พิชญ์อาภา พิศุทธเสรณี ที่ให้
กาลังใจผู้เขียนตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ คุณฑภิพร สุพร สาหรับบทความดีดีหลายชิ้น ขอบคุณ
กาลังใจจาก “พี่ป๋อง พี่เจมส์ พี่โอ พี่เกิ้ล พี่ตาล พี่มิ้ม พี่นนท์ พี่แตง รองโน้ต ” และอาจารย์
ผู้ร่วมงานทุกท่านในวิทยาลัยบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ผู้เขียนคงพูดได้อย่างเต็มปาก
ว่าคงไม่สามารถพบเจอความสุข ความอุ่นใจจากการทางานเช่นนี้จากที่ใดได้อีกแล้ว อีกทั้งพี่
เหนือ พี่มิ้ม เรวัตร ที่เคยร่วมงานกับผู้เขียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่สาหรับกาลังใจก้อนโต
ขอบคุณน้องๆและลูกศิษย์หลายคน อดิศักดิ์ สายประเสริฐ (อู๋) วัชรพล เพชรทรัพย์
(แบงค์ตุ้ย) ชวิศา มณีโกศล (ปุ้ย) ทักษพร แสงสนิท (ฟ้า) นารถฤดี โลจัตสาห์กุล (เตยหอม)
พัชรพร มาลา (บิวตี้) นันทวัฒน์ ใสบาล (โอ้ต) กลวัชร สง่าจิตร (เอก) ที่ช่วยจัดหาเอกสาร
ช่วยเรียบเรียงและแปลเอกสารบางส่วนซึ่งแบ่งเบาภาระไปได้มาก ขอบคุณลูกศิษย์ทั้ง “สิงห์
ขาว” มช. และ “สิงห์ไพร” แม่โจ้ที่เป็นนักเรียนที่ดีและกระตุ้นความคิดของผู้เขียนในการ
สอนอยู่เสมอ
ท้ายนี้ ขอขอบคุณบุคคลสาคัญที่สุดในชีวิตคือ “พ่อ” และ “แม่” และครอบครัว
“ชมภูพันธุ”์ ที่ปูพื้นฐานชีวิตที่แข็งแกร่งและเป็นกาลังใจอันสาคัญให้กับผู้เขียนเสมอมา
ขออุทิศทุกความดีอันเกิดจากหนังสือเล่มนี้แด่
Martin Wight
บทนำ
1
1
International Relations Theory: An Introduction
22
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
33 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
44
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
บทที่ 1 บทที่ 1
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ : ทฤษฎีและวิธีการศึกษา
ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ : ทฤษฎีและวิธีกำรศึกษำ
1.1 กำรศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
55 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ต่างๆ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาในฐานะประเทศมหาอานาจที่ไม่เพียงแค่สามารถกาหนด
ทิศทางเศรษฐกิจและการเมืองของโลก แต่ยังมีส่วนสาคัญในก่อร่างสร้างองค์ความรู้ในศาสตร์
ต่างๆ ในส่วนของวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามแนวทางอเมริกาก็ถือได้ว่าเป็นสานัก
ที่ทรงอิทธิพลต่อการศึก ษาในสาขาวิชานี้ โดยให้ความสาคัญกั บ ปรากฎการณ์ทางสั ง คมที่
เกิ ด ขึ้ น จริ ง เป็ น ความรู้ ที่ ส ามารถพิ สู จ น์ ท ดลองได้ ด้ ว ยวิ ธี ก ารเชิ ง ประจั ก ษ์ แ บบอย่ า ง
วิทยาศาสตร์ ดังที่เราเรียกว่า พฤติก รรมนิย ม (behavioralism) ซึ่งเน้นการเก็ บข้อมูลและ
วิเคราะห์ข้อมูลในระดับพฤติกรรมมนุษย์โดยการตั้งสมมติฐานล่วงหน้าว่ามนุษย์มี ความเป็น
เหตุผล รัฐจึงเปรียบเสมือนมนุษย์ซึ่งย่อมแสดงบทบาทและพฤติกรรมอย่า งเป็นเหตุเป็นผล
ด้ ว ยเช่ น กั น แนวทางการศึ ก ษาแบบอเมริ ก าจึ ง เป็ น แนวทางที่ ท รงอิท ธิ พ ลต่ อ การศึ ก ษา
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในหลายพื้นที่ของโลกรวมทั้งไทยเองเนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็น
แหล่งบ่มเพาะนักวิชาการไทยจานวนหนึ่งที่ไปศึกษาต่อในช่วงดังกล่าว อีกทั้งยังมีอิทธิพลต่อ
การจัดทาหลักสูตรรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระดับอุดมศึกษาของไทย
เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในเวลาต่อมา
อย่ า งไรก็ ดี ในช่ ว งเวลาเดี ย วกั น การศึ ก ษาความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งประเทศใน
แนวทางสานักยุโรปซึ่งเป็นการศึกษาแบบดั้งเดิมก็ยังมีการศึกษาอยู่ โดยแนวทางการศึก ษา
แบบนี้มีจุดเด่นคือเน้นการมองภาพแบบองค์รวม ใช้ปัญหาจากปรากฎการณ์ทางสังคมเป็นตัว
ตั้ง การเปิดกว้างทั้งเรื่องเนื้อหาและวิธีการศึกษา ให้ความสาคัญกับความรู้ความเข้าใจทาง
ประวัติศาสตร์ ตลอดจนการประเมินค่าทางปรัชญาและจริยธรรม อีกทั้งการศึกษาในแนวทาง
นี้ ไ ม่ เ ลื อ กเน้ น ความส าคั ญ กั บ แนวคิ ด ทฤษฎี ใ ดเป็ น พิ เ ศษ บรรยากาศเช่ น นี้ เ อื้ อ ต่ อ การ
เคลื่อนไหวและพัฒนาต่อยอดแนวคิดทางวิชาการให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม อีกทั้ง
ยังมีการผสานศาสตร์ต่างๆเข้ากับสาขาวิชาความสัมพั นธ์ระหว่างประเทศและนาเสนอองค์
ความรู้ใหม่ๆ จะเห็นได้ว่าสภาพการศึกษาที่เน้นการมองภาพกว้างและบูรณาการความรู้ตาม
แบบสานักอังกฤษได้มีอิทธิพลต่อประเทศที่ใช้หลักสูตรของอังกฤษ เช่น ออสเตรเลีย จะเข้าไป
มี ส่ ว นในการพั ฒ นาองค์ ค วามรู้ ด้ า นทฤษฎี หรื อ แม้ แ ต่ ใ นแคนาดาที่ ชี้ ช วนให้ ศึ ก ษา
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยการเชื่อมโยงปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมทั้ง
ในระดับประเทศและระหว่ างประเทศ ส่งผลให้ เกิ ดการขยายปริมณฑลทางความรู้ เปิด
พรมแดนทางการศึกษาใหม่ๆ กล่าวคือ แทนที่จะมองเพียงมิติการเมืองหรือเศรษฐกิจ หรือยึด
ติดกับระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์มากจนเกินไป แต่ยังเปิดพื้นที่ ให้ประเด็นทางสังคมและ
วัฒนธรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
66
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
หากพิจารณาของการศึกษาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจนถึงปัจจุบันนี้ จะ
พบข้อสังเกตและการตั้งคาถามเกี่ยวกับ “ขอบเขต” (scope) และ “พรมแดนความรู้” (the
boundary of knowledge) ของวิชาว่าจะมีลักษณะและเนื้อแท้ของวิชาอยู่ตรงจุดใด ในที่นี้
ขอยกตัวอย่างทัศนคติต่อคาถามดังกล่าวของนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคน
ส าคั ญ สองคน คื อ Chris Brown และ Scott Burchill ซึ่ ง มี ผ ลงานเป็ น ต าราพื้ น ฐานทาง
ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งประเทศที่ นั ก ศึ ก ษาทั่ ว โลกนิ ย มใช้ กั น อั น ได้ แ ก่ Understanding
International Relations และ Theories of International Relations ตามลาดับ
Brown (2005: 1) ได้สรุปว่า การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศครอบคลุม
มิติดงั ต่อไปนี้ ได้แก่
77 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
88
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
จากข้างต้นจะเห็นได้ว่าความคิดเห็นของนักวิชาการทั้งสองท่านมีความแตกต่างกัน โดย
Brown ได้แนะนาความรู้เบื้องต้นของการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยการศึกษาที่
เน้น “ภายนอก” หรือสิ่งที่เห็นได้ชัดส่วน Burchill ให้ความสาคัญกั บวิธีก ารปลดปล่อยที่
กว้างขวางมากขึ้นซึ่งนาประเด็นเชิงประจักษ์เข้าสู่กรอบคิดที่กว้างกว่า ดัง จะเห็นจากหัวข้อ
ประเด็นเชิงปรัชญา ที่ได้นามาสู่การพิจารณาด้านความรู้ทางทฤษฎีที่เราสามารถผลิตประเด็น
และตัวแสดงในระบบระหว่างประเทศได้
99 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
10
10
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
1.3 แนวทำงกำรศึกษำและทฤษฎี
ปัญหาประการหนึ่ง ในการศึกษาสังคมศาสตร์ คือ การสับสนความหมายระหว่าง
คาว่า แนวทางการศึกษา (approaches) และทฤษฎี (theory) ผู้เริ่มต้นศึกษามักจะตีความว่า
คาทั้งสองคานี้มีความหมายที่คล้ายกันหรือในบางรายอาจจะถือว่าเป็นคาเดียวกัน ซึ่งในที่นี้
จะขอชี้ให้เห็นความแตกต่างเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
แนวทำงกำรศึกษำ (approaches) คือ กรอบเค้าโครงความคิ ด (conceptual
framework) อย่างกว้างๆซึ่งถือเป็นพื้นฐานของการอธิบายสิ่งต่างๆ โดยทั่วไปแล้วแนวทาง
11
11 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
12
12
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
ขอให้พิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่างที่ 1 ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอานาจที่แสนยานุภาพทั้งทาง
เศรษฐกิจและการทหารมาตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ตัวอย่างที่ 2 ความเป็นมหาอานาจของแต่ละรัฐจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องพิจารณาว่ารัฐ
นั้นมีการสะสมอานาจทางเศรษฐกิจและการทหาร อีกทั้งพิจารณาว่ารัฐนั้นมีการกระจาย
อานาจมากน้อยเพียงใดในระบบระหว่างประเทศ
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า ตัวอย่างที่หนึ่ง ไม่เข้าข่ายของข้อความที่ เ ป็ น
ทฤษฎี เนื่องด้วย มีการระบุเฉพาะเจาะจงไปที่ประเทศสหรัฐอเมริก าเท่านั้นและไม่มีลักษณะ
ของความเป็นข้อความทั่วไป ข้อความที่เป็นทฤษฎีจะไม่มีการรระบุเฉพาะเจาะจงชื่อบุคคล
สถานที่ หรือเฉพาะเจาะจงลงไปในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง อีกประการหนึ่งคือตัวอย่างที่ 1 เป็น
การบอกข้อเท็จจริง (fact)
ส่วนข้อความในตัวอย่างที่สองนั้น เป็นลักษณะข้ อความทั่วไปที่เป็นสมมติฐานซึ่ง
นาไปทดสอบความเป็นจริงได้ ซึ่งในโลกความจริงจะเป็นอย่างไรนั้นจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับ
การนาทฤษฎีนี้ไปวิเคราะห์ ทดสอบอย่างเป็นระบบ เช่น เราอาจจะนาทฤษฎีนี้ไปทดสอบกับ
ประเทศจีน ประเทศมาเลเซียหรือประเทศไทยก็ได้
วัตถุประสงค์ของทฤษฎี
1) เพื่อพรรณนา (describe) ว่าสิ่งนั้นคืออะไร หรือมีลักษณะอย่างไร
2) เพื่ออธิบาย (explain) เพื่ออธิบายเหตุผล หาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
3) เพื่อวิเคราะห์ (analyse) หรือประเมินผล (evaluate) เพื่อแยกแยะว่าสิ่งที่
เกิดขึ้นดีหรือไม่ มีความถูกต้องหรือไม่เพียงใด
4) เพื่อเสนอแนะ (prescribe) ว่าสิ่งนั้นควรเป็นอย่างไร เพื่อตั้งข้อเสนอและแนว
ทางการปฏิบัติ
5) เพื่อทานาย (predict) เหตุการณ์ในอนาคต
ในปัจจุบัน ทฤษฎียังมีหน้าที่นอกเหนือจากทั้ง 5 ข้อจากที่กล่าวมา โดยอาจทา
หน้าทีอ่ ีกประการคือ การทาความเข้าใจเชิงตีความ (interpretive understanding) ก็เป็นได้
(Viotti & Kauppi, 2012: 14-15) โดยรวมแล้วจะเห็นได้ว่า ทฤษฎีมีวัตุประสงค์ที่สาคัญคือ
เป็นแนวทางในการคิดค้นและหาความหมายเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หาก
ไม่มีทฤษฎีแล้ว เราอาจจะประสบกับความยากลาบากกั บจานวนข้ อมูลที่เรามีอยู่ โดยเรา
อาจจะตีความ จัดระเบียบข้อมูลได้ยากขึ้น หรือเชื่อมโยงข้อเท็จจริงไม่ถูกต้อง
13
13 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
14
14
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
1.4 แนวทำงกำรศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศกับกำรสร้ำงทฤษฎี
ปัญหาพื้นฐานประการหนึ่งของผู้ท่ีศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคือการมี
เครื่องมือจานวนมากแต่ ไม่สามารถตัดสินใจเลือกได้ว่าเครื่องมือใดถูกต้องหรือแม่นยาที่สุด
ปัญหาอีกประการหนึ่งคือ เราจะเริ่มต้นอธิบายเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างไร เช่น การอธิบาย
เหตุการณ์การก่อวินาศกรรม 9/11 วิกฤตการณ์อิรักในปี 2003 วิกฤตการณ์ทางการเงินของ
โลกที่ พึ่ ง เกิ ด ขึ้ น ต่ า งกรรมต่ า งวาระ ความล้ ม เหลวของการเจรจาในวิ ก ฤตการณ์ ก าร
เปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกในหลายๆรอบการประชุม เพราะเหตุใดประธานาธิบดีบารัก โอ
บามายังดาเนินนโยบายสงครามในอัฟกานิสถานต่อในปี 2010 จีนจะเป็นมหาอานาจโลก
แทนที่สหรัฐอเมริกาในอนาคตได้หรือไม่ เพราะเหตุใดความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในบรรดา
ประเทศทุนนิยมจึงตามมาด้วยการพังทลายของระบบการเงินในโลก รวมทั้งอะไรคือสาเหตุ
เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมกลางกรุงปารีสในฝรั่งเศส ปี 2015
คาถามข้างต้นมีแนวทางการตอบที่หลากหลาย ดังนั้น ทฤษฎีจึงเป็นเครื่องมือที่
ส าคั ญ ในการตอบค าถามดั ง กล่ า ว โดยหลั ก การแล้ ว ทฤษฎี มิ ใ ช่ รู ป แบบทางการต่ อ ข้ อ
สันนิษฐานและสมมติฐานที่ตรงไปตรงมา ในทางตรงกันข้าม ทฤษฎีเป็นเครื่องมือประเภทหนึ่ง
ที่ทาให้ประเด็นต่างๆดูง่ายขึ้นในมุมมองที่แตกต่างกันไป ดังคาที่ว่า “โลกมิได้มีความแตกต่าง
แต่การมองโลกมีความแตกต่าง” (Baylis, 2011: 3) หากจะเปรียบแล้วทฤษฎีจึงเสมือนเลนส์
หลากสีที่ใช้มองโลก ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้จะเลือกใช้เลนส์สีอะไรมองเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะใน
อดีต มองปัจจุบัน หรือทานายอนาคตก็ตาม ซึ่งในบางครั้งเราอาจจะเห็นคาว่า ทฤษฎี มีการ
เรี ย กแตกต่ า งกั น ไปในหลายค าในวรรณกรรมทางด้ า นความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งประเทศ
โดยเฉพาะโลกตะวันตก เช่น กระบวนทัศน์ (paradigm) มุมมอง (perspectives) วาทกรรม
(discourses) ส านั ก คิ ด (school of thought) ภาพลั ก ษณ์ (images) และ แนวปฎิ บั ติ
(traditions) (Burshill & Linklater, 2005: 11)
หากพิจารณาเส้นทางของการพัฒนาทฤษฎีในฐานะกรอบความคิด กรอบการสร้าง
คาอธิบาย รวมทั้งการคาดการณ์เหตุการณ์ต่างๆแล้ว ความพยายามดังกล่าวนั้นมีส่วนสาคัญ
ต่ อ การก าหนดกรอบความคิ ด ในการมอง การเข้ า ใจและการเลื อ กก าหนดมาตรการใด
มาตราการหนึ่งในการดาเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามกรอบของชุดคาอธิบาย ด้ วย
มุมมองทีแ่ ตกต่างกันนี้ส่งผลให้การสร้างทฤษฎีที่มีความหลากหลายด้วยเช่นกัน นักวิชาการรุ่น
บุ ก เบิ ก ของสาขาวิ ช าความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งประเทศในสหรั ฐ อเมริ ก า อย่ า งเช่ น Han
J.Morgenthau, Arnold Wolfers, Reinhold Niebuhr และ Magaret Sprout ได้ แ สดง
ทัศนะที่สอดคล้องกันว่า การแสวงหาความรู้ด้วยการศึกษาและพัฒนาทฤษฎีความสัมพันธ์
15
15 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ระหว่างประเทศมิใช่การแสวงหาความรู้ที่บริสุทธิ์ แต่มีเป้าหมายของความรู้เพื่อประโยชน์ใน
การปฏิบัติ และมีนัยสัมพันธ์โดยตรงต่อการปฏิบัติ แต่สาหรับนักวิชาการเหล่านี้ ความรู้ที่เป็น
ประโยชน์และมีนัยสัมพันธ์โดยตรงต่อการปฏิบัตินั้นมีความหมายที่กว้างกว่าการตอบสนอง
นโยบายของรัฐ หากยังรวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์และการเสนอทางเลือกใหม่ด้วย
Morgenthau ผู้ที่เปรียบเสมือนเป็น “เจ้าพ่อ” แห่งวงการการศึกษาความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศ ได้เสนอว่าทฤษฎีและความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ร ะหว่างประเทศกับโลก
ความเป็นจริงของภาคปฏิบัติใน 4 บทบาทด้วยกันคือ
1) ทาหน้าที่ให้ความชอบธรรมสนับสนุนการดาเนินนโยบายของรัฐ
2) ทาหน้าที่ให้หลักคิดอย่างเป็นระบบต่อการพิจารณาการตัดสินใจและดาเนิน
นโยบายที่เหมาะสมในการเมืองระหว่างประเทศ
3) ทาหน้าที่วิพากษ์เพื่อกระตุ้นมโนทัศน์สานึก ดังเช่นคากล่าวที่ว่าให้ “speaking
truth to power” เมื่อการดาเนินการต่างประเทศของรัฐเบี่ยงเบนออกจาก
แนวทางที่ควรจะเป็น
4) ทาหน้าที่คิดค้นเพื่อนาเสนออุดมคติที่เป็นทางเลือกใหม่สาหรับการจัดระเบียบ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่พ้นไปจากระบบรัฐชาติ ซึ่งนับวันจะล้าสมัย และ
เป็นตัวการสร้างปัญหามากกว่าที่จะสามารถจัดการกับปัญหาความรุนแรงและ
ความมั่นคงในสังคมระหว่างประเทศได้
จากข้างต้นจะเห็นได้ว่า บทบาทที่ 1 และ 2 เป็นบทบาทของทฤษฎีในเชิงการรับใช้
อานาจโดยตรง โดยบทบาทที่ 1 ดูมีความเป็นเหตุเป็นผลมากกว่า ในขณะที่บทบาทที่ 2 เป็น
เครื่องมือให้หลักเหตุผลแก่ฝ่ายที่มีอานาจในการตัดสินใจได้เลือกวิธีการที่เหมาะสมเพื่อการ
บรรลุเป้าหมาย ส่วนบทบาทที่ 3 และ 4 เป็นบทบาทที่ความรู้ถูกนาไปใช้ในการวินิจฉัยในเชิง
ศีลธรรม เพื่อวิจารณ์อานาจและการใช้อานาจที่เป็ นอยู่ พร้อมไปกับการนาเสนอไม่เพียงแต่
ทางเลือกของวิธีการ แต่รวมไปถึงทางเลือกเป้าหมายที่ควรจะเป็น
นอกจากบทบาทของความรู้เชิงประยุกต์ทั้ง 4 ด้านข้างต้นแล้ว นักวิชาการด้าน
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรุ่ นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มกระแสวิพากษ์ ยังเสนอให้ผู้ศึกษา
ความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศพิจ ารณาชุดความรู้ของสาขาวิชาในฐานะที่เ ป็น ความรู้ เ ชิ ง
ประยุกต์ที่มุ่งประโยชน์ในทางปฏิบัติว่าเป็น
16
16
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
17
17 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
18
18
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
ความขัดแย้งกันระหว่างการชี้ให้เห็นถึงสภาพที่ไม่ยุติธรรมและการพิจารณาสาเหตุที่ก่อให้เกิด
สภาพดังกล่าว ทฤษฎีวิพากษ์จึงเป็นทั้งการอธิบายและการวิพากษ์ได้
ทฤษฎีเชิงปทัสถำน (normative theory) เป็นกลุ่มทฤษฎีที่สนใจในสิ่งที่ควรจะ
เป็น (what ought to be) ซึ่งในกลุ่มนี้สามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อยคือ ทฤษฎีเชิงปทัสถาน
แบบอ่อนและทฤษฎีเชิงปทัสถานแบบแข็ง ในกรณีกลุ่มทฤษฎีเชิงปทัสถานแบบอ่อนก็จะ
สนใจสิ่งที่ควรจะเป็นเฉพาะด้านเช่น ทฤษฎีความยุติธรรมจะตอบเรื่องความยุติธรรมคืออะไร
และความยุติธรรมควรจะเป็นแบบใด ส่วนกลุ่มทฤษฎีเชิงปทัสถานแบบแข็ง จะสนใจการ
เปลี่ยนแปลงทางสังคมในวงกว้าง หรือการจัดระเบียบสังคมแบบใหม่
ทฤษฎีเชิงประกอบสร้ำง (constitutive theory)เป็นกลุ่มทฤษฎีที่ตั้งคาถามว่า
วัตถุต่างๆในสังคมมีส่วนประกอบอะไรและก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น การตั้ง
คาถามว่าด้วยรัฐ ว่ารัฐคืออะไร รัฐประกอบด้วยอะไร รัฐมีหน้าที่อย่างไรต่อสังคม โดยรวม
แล้ ว ทฤษฎี ใ นกลุ่ ม นี้ ม องว่ า กฎ กติ ก า บรรทั ด ฐาน ความคิ ด หรื อ แม้ แ ต่ โ ลกทางสั งคมถูก
ประกอบสร้ า งขึ้ น ผ่ า นกระแสแนวคิ ด และทฤษฎี ต่ า งๆที่ เ รามี อ ยู่ ส าหรั บ ทฤษฎี ก ลุ่ ม นี้
ความสาคัญในการสร้างทฤษฎีเกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างทฤษฎี
ถึ ง แม้ จ ะมี ก ารแบ่ ง ทฤษฎี อ อกเป็ น หลายรู ป แบบ แต่ ใ นที่ นี้ ผู้ เ ขี ย นจะขอเลื อ ก
นาเสนอทฤษฎีในหนังสือเล่มนี้ในรูปแบบของสานักแนวคิดหรือรูปแบบ “-ism” ดังนั้นเพื่อให้
เห็นภาพโดยรวม ผู้เขียนจึงสรุปลักษณะเด่นของทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในแต่ละ
สานักอย่างสังเขป ดังที่ปรากฎในตารางที่ 1.1
ตำรำงที่ 1.1 สรุปแนวคิดสำคัญของทฤษฎีควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศในแต่ละสำนัก
สัจนิยมดั้งเดิม เชื่อว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศมีรากฐานมาจากพฤติกรรม
(Classical Realism) โดยธรรมชาติของมนุษย์ที่โหดร้าย เห็นแก่ตัว
สัจนิยมใหม่ เชื่อว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศมีรากฐานมาจาก
(Neorealism) สภาพแวดล้อมแบบอนาธิปไตย (anarchy) ที่ไม่มีอานาจ
ศูนย์กลาง และโครงสร้างระหว่างประเทศ (international
structure) เป็นตัวกาหนดพฤติกรรมของรัฐ
เสรีนิยมดั้งเดิม เชื่อว่าความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เนื่องด้วย
(Classical Liberalism) ธรรมชาติของมนุษย์เป็นคนดี รักความก้าวหน้า และแสวงหา
สันติภาพ
19
19 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
เสรีนิยมใหม่/เชิงสถำบัน เชื่อว่าความร่วมมือระหว่างประเทศสามารถเกิดขึ้นได้แม้จะอยู่
(Neoliberalism/ ในสภาวะอนาธิปไตย โดยมีสถาบันระหว่างประเทศเป็นตัว
Institutional ประสานความร่วมมือ
Liberalism)
ทฤษฎีมำร์กซิส มองว่าความขัดแย้งทางชนชั้นเป็นปัจจัยหลักในความสัมพันธ์
(Marxism) ทางเศรษฐกิจของระบบทุนนิยม
ทฤษฎีระบบโลกสมัยใหม่ เป็นหนึ่งในกลุ่มทฤษฎีมาร์กซิสใหม่ที่มองว่า ความสัมพันธ์ทาง
(World System Theory) เศรษฐกิจของระบบทุนนิยมโลกเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดระบบการแบ่ง
งานกันทาระหว่างประเทศ
รัฐศูนย์กลางอานาจเป็นรัฐที่ได้ประโยชน์จากการขูดรีดรัฐกึ่งชาย
ขอบและรัฐชายขอบ
สำนักอังกฤษ ให้ความสาคัญกับการศึกษาสังคมระหว่างประเทศ
(The English School) (international Society) มองว่าความร่วมมือระหว่างประเทศ
สามารถเกิดขึ้นได้เนื่องจากเราล้วนอาศัยอยู่ในสังคมระหว่าง
ประเทศซึ่งตระหนักรับรู้ถึงความเป็นประชาคมผ่านทางการ
เจรจา(dialogue) และการยอมรับ (consent)
ทฤษฎีสรรสร้ำงนิยม มองว่าความความคิด (idea) และความเชื่อ (belief) เป็นตัวก่อ
(Constructivism) ร่าง (construct) อัตลักษณ์ (identity) ผลประโยชน์
(interests) และการกระทา (actions) ของรัฐ
ทฤษฎีหลังโครงสร้ำงนิยม วิเคราะห์อานาจแห่ง “ภาษา” (langague) และ “วาทกรรม”
(Poststurcturalism) (discourse) ว่ามีผลต่อความเป็นจริงต่อการศึกษาความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศอย่างไร รวมทั้งการให้ความสัมพันธ์กับตัวแสดง
ที่ถูกทาให้อยู่ชายขอบ (marginalized) ในสาขาวิชา
ทฤษฎีสตรีนิยม วิเคราะห์บทบาทความเป็นเพศสภาพ (gender) ในการศึกษา
(Feminism) ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
20
20
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
1.5 พัฒนำกำรทำงทฤษฎีในวิชำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
หากสืบค้นเส้นทางการสร้างทฤษฎี หรือคาอธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ
แล้วจะพบว่ามีมาช้านาน ดังจะเห็นได้จากเอกสารงานเขียนในสมัยกรีก โรมันรวมทั้งในเอเชีย
จากอารยธรรมจีนและอินเดียหนึ่งในผลงานเก่าแก่ที่ถือว่าเป็นงานระดับ ต้นตารับที่นักเรียน
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต้องศึกษานั่นก็คือ “History of Peloponesian Wars” ของ
Thucydides งาน “The Prince” ของ Machiavelli ที่ จุ ด ประกายการศึ ก ษาอ านาจทาง
การเมื อ งและระบบรั ฐ โดยให้ ค วามส าคั ญ กั บ ศาสตร์ ว่ า ด้ ว ยการแยกคุ ณ ธรรมออกจาก
การเมืองสาหรับผู้มีอานาจรัฐและกาหนดนโยบายของรัฐผลงาน De Monarchia ของมหากวี
Dante ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นแรกๆอันทรงพลังในวรรณกรรมทางการเมืองของโลก
ตะวันตกในเรื่องของการรวมกลุ่มระหว่างรัฐเพื่อส่งเสริมสันติภาพ นอกจากนี้ยังมีนักคิดคน
ส าคั ญ ที่ ก ล่ า วถึ ง แนวคิ ด สมาพั น ธรั ฐ (Confederation) หรื อ สั น นิ บ าตระหว่ า งรั ฐ ชาติ
( League ofnation-state) ไ ด้ แ ก่ Pierre Duboris, Emeric Cruce, The Duc de Sully,
William Penn, Abbe de Saint Pierre รวมทั้งนัก คิดที่ได้พัฒนากรอบแนวคิดทางทฤษฎี
ในช่ ว งปลายศตวรรษที่ 17 และต้ น ศตวรรษที่ 18 อาทิ เ ช่ น Jean-Jacques Rousseau,
Jeremy Bentham และ Immanuel Kant
แม้จะมีงานเขียนในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐออกมาในจานวนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มี
การพัฒนากรอบคิดให้ชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับการสร้างกรอบคิดและทฤษฎีทางการเมือง
การปกครอง ดังที่ Martin Wight ได้กล่าวไว้ว่า “ทฤษฎีระหว่างประเทศ” (International
Theory) ซึ่งเราหมายถึง “วิถีทางแห่งการพิจารณาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ,แนวทาง
ที่ได้รับการพิจารณาให้เป็นคู่แฝดของการพิจารณารัฐที่เรียกว่า ‘ทฤษฎีการเมือง’ ไว้ได้อย่าง
เหมาะสม” (Wight, 1966 cited in Dougherty & Pfaltzgraff, 1990: 2)
Wight ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่างานที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในยุคก่อน
ศตวรรษนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในวรรณกรรมทางการเมืองของนักเขียนแนวสันติภาพ เช่น Hugo
Grotius และ Pufendorf หรื อ ปรากฎอยู่ บ้ างในงานทางประวั ติศ าสตร์ อาจจะเป็ น ภาพ
สะท้อนในงานเชิงปรัชญา สุนทรพจน์ รายงานและบันทึกความทรงจาของบรรดารัฐบุรุษหรือ
นักการทูตเท่านั้น กล่าวโดยสรุปแล้ว ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่มีการจัดวางหรือสร้าง
กรอบแนวคิ ด ทฤษฎี ค วามสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งประเทศอย่ า งเป็ น ระบบ แนวทางการศึ ก ษา
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นลัก ษณะเชิงบรรยายพรรณา (descriptive) เน้นการ
เรียงลาดับเหตุการณ์ตามช่วงเวลา ให้ความสาคัญกับบุคคล วันเวลา และสถานที่ ที่เกิดขึ้น
โดยไม่มีการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ หรือศึกษาถึงสาเหตุและผลกระทบ เราจึงอาจเรี ยก
21
21 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
22
22
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
1 Alfred Mahan เป็ น นั ก ยุ ท ธศาสตร์ ท างทะเลคนส าคั ญ ของสหรั ฐ อเมริ ก าได้ น าเสนอแนวคิ ด
สมุ ท รานุ ภ าพ (Sea Power) ผ่ า นผลงานส าคั ญ ได้ แ ก่ The Influence of Sea Power upon
History, 1660-1782 (1890) และ The Influence of Sea Power upon the French Revolution
and Empire, 1793-1812 (1892) โดยชี้ให้เห็นปัจจัยทางด้านภูมิศาสตร์และแสนยานุภาพทางทะเล
ของรัฐมหาอานาจในอดีตที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงอานาจในประวัติศาสตร์โลก อีกทั้งเชื่อว่ากองทัพเรือ
เป็นเครื่องมือในการดาเนินโยบายของรัฐได้ดีกว่ากองทัพบกเพราะกองทัพเรือสามารถเข้าถึงพื้นที่
ห่างไกลกว่า
2 Halford Mackinder เป็นนักภูมิศาสตร์ชาวอังกฤษ เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ก่อตั้ง
23
23 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปและมีตัวแสดงในโลกที่ซับซ้อนขึ้นสร้างความท้าทายให้กับ
นัก วิชาการในวิช าความสั มพั น ธ์ระหว่างประเทศโดยการพั ฒนากรอบคิด และทฤษฎี เ พื่ อ
อธิบายความเปลี่ยนแปลงต่างๆ จนเมื่อเกิดเหตุการณ์ ก่อวินาศกรรม 9/11 ถือเป็นความท้า
ทายสาคัญครั้งล่าสุดต่อวิ ชานี้ว่าแนวคิดและทฤษฎีที่มีอยู่ก่อนหน้านั้นยังสามารถอธิบายโลก
หลัง 9/11 ที่เริ่มซับซ้อนขึ้นได้หรือไม่ อาจกล่าวได้ว่า “ทฤษฎีเป็นผลผลิตของกาลเวลาในแต่
ละสมั ย ”จนน าไปสู่ ก ารสร้ า งกรอบคิ ด และการถกเถี ย งทางความคิ ด และทฤษฎี ใ นวิ ช า
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในแต่ละยุค ดังจะเห็นได้จากแผนภาพที่ 1.1
แผนภำพที่ 1.1 กำรพัฒนำแนวคิดและทฤษฎีควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
บริบททำงประวัติศำสตร์
พัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงความเป็นรัฐ
กำรถกเถียงทำงทฤษฎีระหว่ำงนักวิชำกำรด้ำนควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
วิวาทะครั้งสาคัญ
กำรประยุกต์สำขำวิชำอื่นๆ
(ปรัชญำ ประวัติศำสตร์ เศรษศำสตร์ กฎหมำยและอื่นๆ)
การทาความเข้าใจและวิธีการแบบใหม่ทมี่ ีอทิ ธิพลต่อการศึกษา
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
24
24
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
1.6 วิวำทะครั้งใหญ่ในกำรศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
องค์ความรู้การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบันได้พัฒนาแนวทาง
การศึกษาไปไกลกว่ายุคดั้งเดิมที่หลายคนคุ้นเคยโดยเฉพาะกระแสรัฐศาสตร์อเมริกันที่เน้น
การศึกษาสานักสัจนิยมและแนวทางปฏิฐานนิยมจนเกิดความคุ้นชิน และหลายคนเริ่มตกอยู่
ในสภาวะ “ตระหนก ตื่นเต้น หรือตื่นตาตื่นใจ” กับสภาวะแห่งการเปลี่ยนแปลงดังที่ศุภมิตร
ปิ ติ พั ฒ น์ ( 2548) ได้ เ สนอไว้ ใ นบทความ “ไม่ มี ค วามสมานฉั น ท์ ใ นความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า ง
ประเทศ” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือความรู้ที่กว้างขวางขึ้นยิ่งก่อให้เกิดความสับสนและกังวลใจว่าผู้
ศึกษาจะเลือกเครื่องมือใดที่จะเหมาะสมในการศึกษาและวิเคราะห์ศาสตร์นี้
ความไม่สมานฉันท์ดังกล่าวนั้นพิจารณาได้จาก การเกิด วิวำทะครั้งใหญ่ 4 ครั้ง(4
Great Debates)ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วิวำทะยุคแรก เป็นการโต้แย้ง
สานักคิดอุดมคตินิย ม (Idealism) กับ สานักสัจนิยม (Realism) วิวำทะครั้งที่ส องคือ การ
โต้แย้งระหว่างสานัก แนวทางการศึ ก ษาแบบดั้งเดิ ม (Traditional Approach) กั บ สานั ก
แนวทางการศึ ก ษาสายพฤติ ก รรมศาสตร์ (Behavioral Approach) ซึ่ ง ได้ รั บ อิ ท ธิ พ ลจาก
สหรัฐอเมริกา วิวำทะครั้งที่สำม คือ การโต้แย้งระหว่างสานักคิดสัจนิยมใหม่ (Neo-Realism)
กั บ ส านั ก คิ ด เสรี นิ ย มใหม่ (Neo-Liberalism) อี ก ทั้ ง การเกิ ด ขึ้ น ของสาขาวิ ช าเศรษฐกิ จ
การเมืองระหว่างประเทศ(International Political Economy) และแนวคิดมาร์กซิสใหม่
(Neo-Marxist) และวิ ว ำทะครั้ ง ที่ สี่ คื อ การโต้ แ ย้ ง กั น ระหว่ า งส านั ก คิ ด ปฎิ ฐ านนิ ย ม
(Positivism) หรือแนวคิดรากฐานดั้ง เดิม (established traditions) กับแนวคิดหลังปฏิฐาน
นิ ย ม (Post-Positivism) ซึ่ ง ถื อ เป็ น ทางเลื อกแนวใหม่ ใ นการศึ ก ษาความสั มพั น ธ์ ร ะหว่าง
ประเทศ เช่น แนวคิดหลังสมัยใหม่ (Post-Modernism) แนวคิดสตรีนิยม (Feminism) หรือ
แนวคิดหลังอาณานิคม (Post-Colonialism)
การทาความเข้าใจการโต้แย้งทางความคิดในแต่ละยุคจะเป็นเสมือน “แผนที่”
เชื่อมต่อความเข้าใจวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งดาเนินมาอย่างต่อเนื่องและมีการ
เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอและยังชี้ให้เห็นถึงทิศทางของการพัฒนาแนวคิดและทฤษฎีอีกด้วย
25
25 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
เสรีนิยมเชิงอุดมคติ สัจนิยม
26
26
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
3
ความตกลงฉบับนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า The Kellogg Pactซึ่งเป็นข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยการยกเลิก
สงคราม หรือ สนธิสัญญาสันติภาพโลก แต่เดิมข้อตกลงฉบับนี้เป็นการยกเลิก สงครามเฉพาะระหว่าง
ฝรั่งเศสกับสหรัฐอเมริกา Frank B. Kellogg รัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาใน
ขณะนั้นต้องการคงไว้ซึ่งอิสระในการปฏิบัติการของสหรัฐอเมริกา จึงสนองข้อเสนอสนธิสัญญาพหุ
ภาคีเพื่อต่อต้านสงครามโดยเปิดให้ทุกชาติเป็นภาคีสนธิสัญญา โดยได้รับการลงนามเมื่อวันที่ 27
สิงหาคม 1928 โดยที่ป ระชุมสมัชชาแห่ งสันนิบ าตชาติโ ดยชาติสมาชิก จ านวน 23 ชาติ (ยกเว้น
สหภาพโซเวี ย ต) ร่ ว มลงนามโดยมี ส าระส าคั ญ คื อ การประณามการใช้ อ าวุ ธ สงครามเพื่ อ เป็ น
“เครื่ อ งมื อ ของนโยบายแห่ ง ชาติ ” เว้ น แต่ ในกรณีเ พื่อ ปกป้ อ งตนเอง แต่ ไ ม่ มี บ ทบั ญ ญั ติ ลงโทษ
ข้อตกลงฉบับนี้เป็นผลมาจากความพยายามของสหรัฐอเมริกาที่ตั้งใจหลีกเลี่ยงการเข้าไปมีส่วนร่วมใน
ระบบพันธมิตรแห่งยุโรป
27
27 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ชั ย ชนะในวิ ว าทะครั้ ง ที่ ห นึ่ ง นั้ น เป็ น ของส านั ก คิ ด สั จ นิ ย มซึ่ ง มี ทั้ ง Carr และ
Morgenthau เป็ น แกนน าส าคั ญ ส่ ง ผลให้ ส านั ก สั จ นิ ย มมี อิ ท ธิ พ ลต่ อ นั ก วิ ช าการด้ า น
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วยังมีอิทธิพลต่อนักการเมืองและนักการทูต
ในแต่ละประเทศอีกด้วย แต่กระนั้นแนวคิดเสรีนิยมก็ยังมี การศึกษาอยู่ นักคิดสายเสรีนิยม
จานวนมากยังได้ยอมรับว่าแนวคิดสัจนิยมเป็นแนวทางที่ดีกว่าแต่ก็มองปรากฎการณ์นี้เป็นดั่ง
“ช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่สุดขีดและผิดปกติ ” (an extreme and abnormal historical
period) และยังคงเห็นต่างอย่างแข็งขันในประเด็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่สานักสัจนิยมมองว่า
มีความโหดร้ายมาแต่กาเนิด (Jackson & Sorensen, 2013: 43) ถึงแม้ว่าช่วงสงครามเย็น
เราจะเห็นการดิ้นรนเพื่อแสวงหาความอยู่รอดและการแสวงหาอานาจระหว่างมหาอานาจ
อย่างสหรัฐอเมริก าและโซเวียต ในขณะเดียวกัน เรายังเห็นบทบาทของความร่วมมือ และ
สถาบันระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติและองค์กรในก ากับ ย่อมแสดงถึงว่า
แนวคิดเสรีนิยมยังคง “มีลมหายใจ”แม้จะไม่ชนะในวิวาทะครั้งนี้ก็ตาม
แนวทำงดั้งเดิม แนวทำงพฤติกรรมศำสตร์
ให้ควำมสำคัญกับ ให้ควำมสำคัญกับ
กำรทำควำมเข้ำใจบรรทัดฐำน และ VS กำรอธิบำยสมมติฐำน
ค่ำนิยม ควำมยุติธรรม กำรรวบรวมข้อมูล
ควำมรู้ทำงประวัติศำสตร์ ควำมรู้เชิงวิทยำศำสตร์
นักคิดที่อยู่ในสำขำวิชำแต่เดิม นักคิดที่ประยุกต์สำขำวิชำอื่น
28
28
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
29
29 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
30
30
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
31
31 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ระหว่างประเทศซึ่งดาเนินการสอดคล้องกับรูปแบบหรือความคงที่ทางวัตถุของตัวมันเองซึ่ง
สามารถถูก ตรวจสอบและอธิบายได้ในลัก ษณะรูปแบบและทฤษฎีที่เห็นได้อย่างชัดแจ้ง ”
ดังนั้นในกลุ่มการศึกษาเช่นนี้ จึงถูกขนานนามอีกอย่างว่า “กลุ่มปฎิฐานนิยม” (Positivism)
ในส่ ว นของการโต้ แ ย้ ง จากส านั ก การศึ ก ษาแบบดั้ ง เดิ ม นั้ น Hedley Bull
นักวิชาการรัฐศาสตร์ ชาวอังกฤษโต้แย้งว่า วิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นวิชาทาง
มนุ ษ ยศาสตร์ ที่ ซั บ ซ้ อ น (a complex humanistic discipline) ดั ง นั้ น วิ ช าความสั ม พั น ธ์
ระหว่างประเทศควรเป็นสหวิทยาการและตั้งอยู่บนการศึก ษา 3 วิชาหลัก คือ ประวัติศาสตร์
ทฤษฎี ก ารเมื อ งหรื อ ปรั ช ญา รวมทั้ ง กฎหมายระหว่ า งประเทศ โดยเฉพาะการศึ ก ษา
ประวัติศาสตร์ถือว่ามีความสาคัญ ในฐานะสิ่งบ่งชี้จุดเด่นของแต่ละรัฐเนื่องจากทุกรัฐมีความ
แตกต่างกันถึงแม้ว่าบางรัฐจะมีลักษณะร่วมกันบางประการก็ตาม รัฐทุกรัฐมีประวั ติศาสตร์
และที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ที่แตกต่างกันไป ดังนั้นจึงเป็นข้อจากัดต่อความสามารถของเราที่จะ
สรุประบบรัฐต่างๆ การศึกษาประวัติศาสตร์มิใช่เพียงจุดเริ่มต้นของการศึกษาความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศแต่มันยังจาเป็นในฐานะ “มิตร” และ “สิ่งถูกต้อง” ต่อทฤษฎีความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศเพราะว่ามันเป็นเครื่องเตือนใจต่อข้อจากั ดของการสรุปเชิงประจัก ษ์ต่ อ
การเมืองโลก (Bull, 1969 cited in Jackson & Sorensen, 2013: 225) กล่าวโดยสรุป Bull
มีทัศนะต่อการศึกษาแนวทางพฤติกรรมศาสตร์ว่า หากนักวิชาการมุ่งที่จะหาแต่ทฤษฎีที่จะ
ทดสอบได้แล้ว นักวิชาการจะไม่ค้นพบอะไรที่สาคัญในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เขาเชื่อ
ว่าข้อเสนอแนะต่างๆเกี่ยวกับวิชานี้จะต้องได้มาด้วยวิธีการที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์แต่โดยอาศัย
การรับรู้ (perception) และสัญชาตญาณ (instinct) และข้อเสนอแนะเหล่านั้นจะเป็นอะไร
ไปไม่ ไ ด้ น อกจากข้ อ เสนอแนะและข้ อ สรุ ป ที่ คิ ด ไว้ ก่ อ นแล้ ว เท่ า นั้ น (tentative and
conclusive statys) (สุรชัย, 2521:80)
ในวิวาทะครั้งที่สองนี้ ไม่มีสานักใดได้รับชัยชนะอย่างชัดเจน ต่างฝ่ายต่างผลิตผล
งานในสายของตนออกมาเป็นจานวนมาก ทว่าการผลิตผลงานของสานักพฤติกรรมศาสตร์ได้
ก่อให้เกิดคาถามต่อความไม่ชัดเจนขององค์ความรู้ แต่กระนั้นสานักคิดพฤติกรรมศาสตร์ก็ได้
สร้างรอยต่อทางระเบียบวิธีให้กับแนวคิดใหม่ของทั้งสายสัจนิยมและเสรีนิยมในเวลาต่อมา
นั่ น ก็ คื อ การก่ อ ร่ า งแนวคิ ด สั จ นิ ย มใหม่ และเสรี นิ ย มใหม่ เ สมื อ นน าเราย้ อ นกลั บ ไปสู่
ปรากฎการณ์ วิ ว าทะครั้ ง ที่ ห นึ่ ง อี ก ครั้ ง ภายใต้ บ ริ บ ททางประวั ติ ศ าสตร์ แ ละระเบี ย บวิ ธี
การศึกษาที่แตกต่างกันเท่านั้น
32
32
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
สัจนิยมใหม่ เสรีนิยมใหม่
VS
สำนักอังกฤษ มำร์กซ์ใหม่
33
33 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
34
34
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
แนวคิดปฏิฐำนนิยม แนวคิดหลังปฏิฐำนนิยม
35
35 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
36
36
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
หลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง การตั้งคาถามกับวิธีวิทยาของการศึกษาความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศได้เกิดขึ้นอีกครั้งจนกลายมาเป็นวิวาทะครั้งที่สี่ระหว่างกลุ่มแนวคิดปฏิฐาน
นิยมกับแนวคิดหลังปฏิฐานนิย มโดยกลุ่มหลังปฏิฐานนิยมแสดงความไม่เห็นด้วยต่อ สานัก
คิดปฎิฐานนิยมหรือแนวคิดรากฐานอันทรงอิทธิพลได้แก่ กลุ่มสัจนิยมใหม่ และเสรีนิยมใหม่
โดยมองว่า แนวคิดเหล่านี้สร้างกรอบคิดทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นวิทยาศาสตร์
ด้ ว ยการเก็ บ ข้ อ มู ล ที่ เ ห็ น ได้ ชั ด มากจนเกิ น ไป โดยละเลย “ความเป็ น นามธรรม” และ
“คุณค่า” อีกทั้งกลุ่มแนวคิดหลังปฏิฐานนิยมเริ่มตั้งคาถามว่า ความรู้ในวิชาความสัม พั นธ์
ระหว่างประเทศเกิดขึ้นมาและเป็นที่ รับรู้ในปัจจุบันได้อย่างไร นอกจากนั้นแนวคิดนี้ยังให้
ความสนใจว่าเราจะเปลี่ยนแปลงแนวคิดและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดเหล่านี้ได้อย่างไร
ยกตัวอย่างเช่น นักคิดกลุ่มนี้เริ่มตั้งคาถามกับสภาวะอนาธิปไตย ความเป็นรัฐ ว่าแท้จริงแล้ว
เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว หรือมนุษย์ สร้างมันขึ้นมาเอง กลุ่มแนวคิดหลังปฏิฐานนิยมหรือบางทีเรา
อาจจะเรียกว่า กลุ่มแนวคิดเชิงวิพากษ์ จึงประกอบไปด้วยกลุ่มแนวคิดย่อยได้แก่ สานักแฟรง
เฟิ ร์ ต (Frankfurt School) จากเยอรมนี หรื อ ส านั ก อิ ต าลี ที่ ไ ด้ รั บ อิ ท ธิ พ ลจากAntonio
Gramsciหรือเรียกว่าNeo-Gramscianism แนวคิดสรรสร้างนิยม (Constructivism) แนวคิด
สตรีนิยม (Feminism) แนวคิดหลังอาณานิคม (Post-Colonialism) แนวคิดการเมืองสีเขียว
(Green Politics) เป็นต้น ถึงแม้ว่าแนวคิดหลังปฏิฐานนิยมจะมีความหลากหลาย แต่มี จุดยืน
ร่วมกันคือ การย้อนกลับไปให้ความสาคัญกับแง่มุมทางปรัช ญาตลอดจนมิติทางสังคมและ
วัฒนธรรมซึ่งแต่เดิมยึดถือปัจจั ย ทางการเมืองเป็นสาคัญเพียงประการเดีย ว การสร้างองค์
ความรู้ในกลุ่มหลังปฏิฐานนิย มจึงเป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆให้กับการศึกษาความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศ เช่น ประเด็นความมั่นคงของมนุษย์ ปัญหาสิ่งแวดล้อมระหว่างประเท ศ
ประเด็นเพศสภาพ โลกหลังสมัยใหม่ เป็นต้น แต่ในปัจจุบัน กรอบแนวคิดในกลุ่มหลังปฏิฐาน
นิย มนี้ยังถือเป็นแนวคิดทางเลือกและยังมิได้รับความสนใจในในแวดวงวิชาความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศในวงกว้าง
แผนภำพที่ 1.6 สรุปใจควำมสำคัญของวิวำทะในกำรศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
37
37 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
38
38
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
บทที่ 2 บทที่ 2
ควำมเข้ำความเข้ าใจพื้นฐานในการศึ
ใจพื้นฐำนในกำรศึ กษำทฤษฎีกษาทฤษฎี
ควำมสัมคพัวามสั มพันำธ์งประเทศ
นธ์ระหว่ ระหว่างประเทศ
ในบทนี้จะนาเสนอความรู้ ความเข้าใจพื้นฐานทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่
มีผลต่อโลกทัศน์และการรับรู้ของนักวิชาการที่สร้างทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในแต่
ละสานัก รวมทั้งยกตัวอย่างเหตุการณ์สาคัญบางเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ความสั มพั นธ์
ระหว่างประเทศโดยเฉพาะเหตุการณ์หลังปี ค.ศ. 1648 อันเป็นที่มาของแนวคิดความเป็นรัฐ
(statehood) อานาจอธิปไตย (sovereignty) และระบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ (interstate
system) หรื อ ระบบความสัม พั น ธ์ร ะหว่า งประเทศ (international system) ได้ ก่ อตั ว ขึ้ น
หลังจากการเจรจาสันติภาพที่เวสฟาเลีย (the Peace of Westphalia 1648) นอกจากนี้ยัง
นาเสนอแนวคิดเรื่องอนาธิปไตย (anarchy) อานาจในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (power
in international relations) รวมทั้ ง ระดั บ และหน่ ว ยการวิ เ คราะห์ (level and unit of
analysis) ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อเป็นเครื่องมือสาคัญในการวิเคราะห์
ทาความเข้าใจหรือตีความเหตุการณ์ในมุมมองที่ต่างกันไป
2.1 รัฐ (state) ชำติ (nations) และรัฐชำติ (nation-state)
คาว่า “รัฐ” ถือเป็นคาศัพท์พื้นฐานทางการศึกษารัฐศาสตร์ที่ต้องศึกษากันเบื้องต้น
ทว่าเป็นคาที่สร้างความสับสนอีกคาหนึ่งดังจะเห็นได้จากการนิยามของนักวิชาการหลายท่าน
แต่โดยทั่วไปถือว่า รัฐเป็นตัวแสดงหลัก (actors) และเป็นหน่วยวิเคราะห์ (unit of analysis)
ที่สาคัญในการศึกษาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เราอาจจะเคยเห็นคาว่า รัฐ (state)
ชาติ (nation) รวมทั้ง รัฐชาติ (nation-state) ว่าเป็นสิ่งที่เหมือนหรือแตกต่างกั นอย่างไร
เพราะในการศึกษาวิชานี้มักจะใช้คากลุ่มนี้ปะปนกันอยู่เสมอ
รัฐเป็นคาที่มีความหมายทางการเมืองรัฐเป็นหน่วยทางการเมืองหรือแนวคิดใหม่ที่
เกิดขึ้นหลังการสิ้นสุดของสงครามสามสิบปี (Thirty Years’ War 1618-1648)4 อันมีสาเหตุ
4 พิ จ ารณาข้ อ วิพ ากษ์ แ ละมายาคติ (myth) ของการเกิด รั ฐ ชาติ สมั ย ใหม่ ดู Carvalho, Leira &
Hobson (2011) โดยเสนอว่า หากยึด หลั ก การที่ ว่า อ านาจอธิป ไตยเป็ น อ านาจสู ง สุ ดของรัฐชาติ
สมัยใหม่แล้ว เราอาจย้อนกลับไปพิจารณา Treaty of Ausburg 1555 อันเกี่ยวข้องกับจักรวรรดิ
โรมันอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งให้สิทธิการรับรองหรือสิทธิการยอมรับเขตแดนของตน ในสัญญาฉบับนี้ยังได้
กล่าวถึงอานาจอธิปไตยและการเลือกนับถือศาสนา
39
39 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
มาจากความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและคริสต์นิกายโปรแตส
แตนท์ หลังสงครามสิ้นสุดเกิดการเจรจาสันติภาพที่เวสฟาเลีย และการลงนามในสนธิสัญญา
มุนสเตอร์ (Treaty of Munster) และสนธิสัญญาออสนาบรูก ค์ (Treaty of Osnabruck)5
เป็นปัจจัยหนึ่งที่นาไปสู่การเกิดรัฐสมัยใหม่ที่มีการกาหนดอาณาเขตที่ชัดเจนรวมถึงอานาจ
สูงสุดในการปกครองประเทศหรืออานาจอธิปไตย
แนวคิ ด ส าคั ญ ที่ เ กิ ด ขึ้ น จากการประชุ ม สั น ติ ภ าพที่ เ วสต์ ฟ าเลี ย และปรากฎใน
สนธิสัญญาทั้งสองฉบับข้างต้น ได้แก่ หลักการที่ว่ากษัตริย์คือองค์อธิปัตย์หรือผู้มีอานาจสูงสุด
ในอาณาจักร (Rex est imperator in regno suo) หลักการที่ผู้ปกครองมีสิทธิในการเลือก
ก าหนดศาสนาให้แก่ อ าณาจัก รของตน (Cuius regio, eius religio) อันถือเป็นหลัก การที่
บรรดาผู้นาของรัฐต่างๆในยุโรปร่วมยอมรับสิทธิและเคารพอานาจอธิปไตยเหนือดินแดนโดย
ปราศจากหลักการการแทรกแซงจากอานาจภายนอกส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐใน
ยุโรปที่ผู้ปกครองต้องการมีอานาจเหนือดินแดนของตนอย่างชัดเจน รวมทั้งการลดอิทธิพล
ของพระสันตะปาปาและศาสนจักรโรมันคาทอลิก อาณาบริเวณและประชากรในพื้นที่นั้นๆ
เป็นของผู้ปกครองซึ่งมีอานาจในการจัดการดูแลโดยไม่ต้องขึ้นตรงต่ออานาจภายนอก
การกาเนิดรัฐชาติสมัยใหม่ยังเป็ นที่มาของหลักการบางประการ เช่น การที่แต่ละ
รัฐสามารถกาหนดชะตากรรมของตนเอง การดูแลตนเอง และไม่ถูกรุกรานด้วยรัฐหรืออานาจ
นอกรัฐ นาไปสู่หลักการกาหนดชะตากรรมด้วยตนเอง (self-determination)และหลักการ
การไม่แทรกแซงกิ จ การภายใน (non-interference) (ในปัจ จุบันหลัก การนี้เ ป็น หลั ก การ
พื้นฐานอันสาคัญของกฎบัตรสหประชาชาติ ) อีกทั้งความพยายามที่จะแยกศาสนาออกจาก
กิจการการเมืองหรือรัฐฆราวาส (secularism) อีกด้วย
กล่าวโดยสรุป องค์ประกอบของรัฐสมัยใหม่จึงมีลักษณะสาคัญ 4 ประการได้แก่
1) ดินแดน (territory) รัฐต้องมีอาณาเขตทั้งพื้นดินและน่านน้าที่แน่นอนและชัดเจน
2) ประชากร (population) มีประชากรจานวนหนึ่งที่มีสานึกความเป็นพลเมืองของ
รัฐนั้นโดยไม่จาเป็นต้องมีเชื้อชาติ ความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรมหรือการนับถือ
ศาสนาเดียวกัน
40
40
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
41
41 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
42
42
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
43
43 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
44
44
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
45
45 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
46
46
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
47
47 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ถึงแม้ว่าสัจนิยมและเสรีนิยมจะให้ความสาคัญกับตัวแสดงเช่นรัฐต่างกัน แต่ทั้งสอง
แนวคิดนี้ก็มีมุมมองที่ว่ารัฐเป็นตัวแสดงที่สาคัญในเวทีระหว่างประเทศด้วยเหตุผล 4 ประการ
คือ (Nye & Welch, 2011: 38)
1) รัฐมีความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนย้ายของประชากร ทรัพยากร สินค้า
หรือเงินตราระหว่างพรมแดนของรัฐ แม้ว่าแต่ละรัฐจะมีความสามารถในลักษณะนี้
ไม่เท่ากันและไม่มีรัฐใดสามารถกระทาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่รัฐก็ เป็นตัวแสดงที่
มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการบริหารจัดการประเด็นข้างต้น
2) รัฐเป็นตัวแสดงเพียงหนึ่งเดียวที่ใช้อานาจกองทัพได้ บางรัฐก็สามารถจัดการความ
รุนแรงในระดับเล็กได้ แต่ในขณะที่บางรัฐก็ไม่สามารถจัดการความรุนแรงระดับ
ใหญ่ได้
3) รัฐเป็นเพียงตัวแสดงเดียวที่มีอานาจจัดเก็บภาษีและจัดการการใช้จ่ายเงินจานวน
มาก
4) รัฐเป็นเพียงตัวแสดงเดียวที่สามารถประกาศและบังคับใช้กฎหมายได้
จากข้างต้น แสดงให้เห็นว่ารัฐเป็นตัวแสดงทีjแตกต่างจากตัวแสดงอื่นๆใน
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นลักษณะสาคัญที่รัฐถือครองไว้ นั่น
คือ “อ ำนำจ” (power) ซึ่งถือเป็นอีก แนวคิ ดส าคัญ ในการท าความเข้ าใจความสั ม พั น ธ์
ระหว่างประเทศทั้งในระดับทฤษฎีและกิจการระหว่างประเทศ
2.5 อำนำจในควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
หากนิยามคาว่า “อานาจ” (power) แล้วจะพบว่ามีผู้ให้คานิยามไว้หลากหลาย
Robert Dahl นั ก รั ฐ ศาสตร์ ช าวอเมริ ก าคนส าคั ญ ได้ นิ ย ามอ านาจไว้ ว่ า “อ านาจเป็ น
ความสามารถที่จะให้ผู้อื่นกระทาตามหรือห้ามผู้อื่นไม่ให้กระทา” หากเราจะวัดอานาจใน
รู ป แบบของการเปลี่ ย นแปลงพฤติ ก รรมของผู้ อื่ น แล้ ว เราจ าเป็ น ที่ ต้ อ งรู้ ค วามพึ ง พอใจ
(preference) ของผู้นั้นก่อน มิฉะนั้นแล้วอาจจะเกิดความผิดพลาดจาการใช้อานาจของเรา
ในทางความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งประเทศ นั ก วิ ช าการหลายคนได้ แ สดงทั ศ นคติ ต่ อ อ านาจที่
แตกต่างกันไป อาทิ Joseph Nye กล่าวว่า อานาจในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็เหมือน
ดินฟ้าอากาศ ทุก คนพูดถึงอานาจ” และขยายความว่า “อานาจก็ คล้ายๆกั บ ความรัก มี
ประสบการณ์รัก นั้นง่ายกว่าที่จ ะให้ความหมายหรือวัดปริ มาณความรัก ว่ ามากน้อยอย่ า ง
ชัดเจน” ส่วน Hans Morgenthau กล่าวถึงอานาจว่า “อานาจอาจรวมอะไรก็ได้ที่สร้างและ
รักษาการควบคุมของคนหนึ่งเหนือคนอื่นๆ” Karl Deustch กล่าวถึงอานาจว่า “อานาจเป็น
48
48
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
49
49 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
จะเห็นได้ว่า การใช้อานาจอ่อนมิได้ส่งผลกระทบอย่างมีประสิทธิภาพโดยอัตโนมัติ
เช่นเดียวกับอานาจแข็ง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้ใช้อานาจนั้นๆด้วย ยกตัวอย่างเช่น
โอซามา บินลาเดน มีอานาจอ่อนในการชัก จูงแนวคิด ต่อ ผู้ ที่จ งรัก ภัก ดีจ นนาไปสู่ก ารก่ อ
วินาศกรรม 9/11 ในบางครั้งอานาจแข็งอาจจะกลายเป็นอานาจอ่อนได้ด้วยเช่นกัน เช่น หาก
รัฐใดรัฐหนึ่งใช้อานาจทางเศรษฐกิจโดยการให้เงินหรือความช่วยเหลืออีกรัฐหนึ่งเป็นรูปธรรม
หรือใช้อานาจทางเศรษฐกิจเข้าบีบบังคับ เช่น การคว่าบาตรหรือการกีดกันทางการค้าก็จัดว่า
อานาจเศรษฐกิจเช่นนี้เป็น อานาจแข็ง แต่หากบรรดารัฐต่างๆเข้าไปลงทุนในรัฐนั้นๆเพราะ
เห็นว่ารัฐนั้นมีศักยภาพที่อยากจะร่วมมือด้วยก็จัดว่าเป็นอานาจอ่อน
อานาจแข็งและอานาจอ่อนจัดว่ามีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ความสาเร็จทางด้าน
รู ป ธรรมก่ อ ให้ เ กิ ด แรงจูง ใจทางวั ฒ นธรรมและอุด มการณ์ อีก ทั้ งลดประสิ ท ธิ ผ ลทางด้าน
เศรษฐกิจ และทางทหารอันนาไปสู่การขาดความเชื่อมั่นและวิกฤตของอั ตลักษณ์อานาจอ่อน
มิได้ขึ้นอยู่กับอานาจแข็งเท่านั้น ดังจะเห็นได้จาก อานาจอ่อนของนครรัฐวาติกันก็มิได้ลดลง
ตามขนาดของรัฐ ส่วนแคนาดา สวีเดนและเนเธอแลนด์เองก็มีแนวโน้มที่จะมีอิทธิพลมากว่า
รัฐอื่นๆด้วยอานาจทางการทหารและเศรษฐกิจ สหภาพโซเวียตในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่
สองเองก็มีการใช้อานาจอ่อนในยุโรปแต่หลังการบุกฮังการีในปี 1956 และ เชคโกสโลวาเกีย
ในปี 1968 การใช้อานาจอ่อนดังกล่าวก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป หรือจากเหตุการณ์ 9/11
เอง สหรัฐอเมริกาก็สามารถใช้อานาจในการดึงดูดความร่วมมือจากนานาชาติ แต่อานาจอ่อน
ที่สหรัฐอเมริกาใช้นั้นก็ถือว่า “สูญเปล่า” หลังจากที่สหรัฐอเมริกาเริ่มใช้นโยบายเอกภาคีนิยม
ที่แข็งกร้าว (muscular unilateralism)
50
50
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
หากพิจารณาประวัติศาสตร์โลกแล้วจะพบว่ามหาอานาจแต่ละรัฐมีอานาจในการ
จัดการระบบระหว่างประเทศที่แตกต่างกันไปตามทรัพยากรหรือศักยภาพของรัฐที่ถือครองใน
ขณะนั้นทั้งในรูปแบบอานาจแข็ง อานาจอ่อน และอานาจทางเศรษฐกิจ (พิจารณาตารางที่
2.3)
คาถามชวนคิดประการหนึ่งคือ “แหล่งอานาจใดจะเป็นแหล่งที่สาคัญที่สุ ด ของ
อานาจในปัจจุบัน” จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่ก ารเกิดรัฐชาติสมัยใหม่เป็นต้นมา แต่ละรัฐจะมี
แหล่งอานาจที่แตกต่างกันไปตามยุคสมัยและแสดงบทบาททางอานาจในลักษณะที่ต่างกันไป
แหล่งอานาจไม่มีความแน่นอนและไม่ คงที่ อีกทั้งมันยังเป็นปัจจัยสาคัญที่เปลี่ยนแปลงโลก
อานาจอ่อนมีความสาคัญมากขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างสังคมหลังยุคอุตสาหกรรม ในยุค
แห่ ง ข้ อ มู ล ข่ า วสารที่ สั น ติ ภ าพและประชาธิ ป ไตยมี ค วามเหนื อ กว่ า ส่ ว นอ านาจแข็ ง มี
ความสาคัญในสังคมที่อุตสาหกรรมกาลังพัฒนาและบางสังคมที่ยังเป็นยุคก่อนอุตสาหกรรม
51
51 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
52
52
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
53
53 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
พิจารณาได้จากปัญหาทางการเมืองภายในสหภาพโซเวียตเอง ดังจะเห็นได้จากความล้มเหลว
ในการปฏิรูปเศรษฐกิจภายในประเทศ
2.6.3. ระดับระหว่ำงประเทศ (International Level) การวิเคราะห์ในลักษณะนี้
เป็นการมองภาพรวมของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในฐานะองค์รวม มองปฎิสัมพั นธ์
ระหว่างรัฐต่างๆประกอบกั นเป็นระบบระหว่างประเทศ ซึ่งอาจจะพิจ ารณาได้จ ากหลาย
ประเด็น เช่น สภาวะอนาธิปไตย ขั้วอานาจในระบบการเมืองระหว่างประเทศว่าเป็นระบบ
สองขั้วอานาจ หลายขั้วอานาจ หรือขั้วอานาจเดียว ระบอบและองค์การระหว่างประเทศ
การกระจายอานาจและขีดความสามารถของแต่ละรัฐ รูปแบบพันธมิตรทางการทหารหรือ
บรรทัดฐานระดับระหว่างประเทศเป็ นต้น ปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อพฤติกรรมและ
การกาหนดนโยบายต่างประเทศของแต่ละรัฐ
ในที่นี้ ผู้เขียนจะยกตัวอย่างการใช้ระดับการวิเคราะห์ กับเหตุการณ์สงครามโลก
ครั้งที่ 1 เป็นกรณีศึกษา สงครามโลกครั้งที่ 1 นับได้ว่าเป็นมหาสงคราม (great war) ที่เกิดขึ้น
ในช่วงปี ค.ศ. 1914 – 1919 โดยมีชนวนเหตุมาจากการลอบปลงพระชนม์อาร์ค ดยุค เฟอร์
ดินาน มกุ ฎราชกุ มารแห่ง ออสเตรีย -ฮังการี และลุกลามกลายเป็ น เหตุแ ห่ง ความขั ด แย้ ง
ระหว่างมหาอานาจในยุโรปและนาไปสู่สงครามที่ถือได้ว่าขยายขอบเขตสมรภูมิการรบออกไป
หากพิจารณาเหตุการณ์ดังกล่าวจะพบว่าสิ่งที่ เกิดขึ้นข้างต้นเป็นเพียง “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่
นาไปสู่วิกฤตการณ์แต่มิใช่สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดสงครามโลก ดังนั้นหากเราใช้ระดับการ
วิเคราะห์ทั้งสามรูปแบบอันได้แก่ ระดับปัจเจกบุคล ระดับรั ฐ ระดับระบบระหว่างประเทศ
(พิจารณาแผนภาพที่ 2.1)
ในระดับระหว่างประเทศนั้น สามารถพิจารณาได้จากเหตุการณ์สาคัญ ได้แก่การ
ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอานาจของเยอรมนี (Rise in German Power) และการสร้างระบบสอง
ขั้วระหว่างกลุ่มพันธมิตรของมหาอานาจยุโรป (Bipolarity of Alliance) ในประเด็นเรื่องการ
ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอานาจของเยอรมนีเกิดจากการที่เยอรมนีสามารถรวมประเทศได้ในปี ค.ศ.
1871 โดยผู้ ขั บ เคลื่ อ นคนส าคั ญ คื อ Otto Von Bismarck อั ค รมหาเสนาบดี แ ห่ ง ปรั ส เซี ย
นอกจากนั้นเยอรมนียังมีศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจและพัฒนาอุตสาหกรรมจนก้าวขึ้นมาเป็น
มหาอ านาจทางเศรษฐกิ จ เคี ย งคู่ กั บ อั ง กฤษในช่ ว งเวลาดั ง กล่ า ว เยอรมนี เ ริ่ ม ขยาย
แสนยานุภาพกองทัพเรือในปี 1911 จนสามารถสร้างกองราชนาวีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สอง
ของโลก ความยิ่ ง ใหญ่ ดั ง กล่ า วเริ่ ม สร้ า งความหวาดระแวงให้ กั บ ประเทศอื่ น ๆในยุ โ รป
โดยเฉพาะอังกฤษที่เกรงว่าเยอรมนีจะเข้ามาแย่งชิงพื้นที่และเส้นทางผลประโยชน์ของตนใน
54
54
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
ภูมิภาคต่างๆของโลก โดยเฉพาะความขัดแย้งเรื่องอาณานิคมทวีปแอฟริการะหว่างอังกฤษ
และเยอรมนีในสงครามบัวร์ (Boer War)
การสร้างค่ายพันธมิตรระหว่างมหาอานาจในยุโ รปเป็น ไปตามที่ Bismarck ได้
วางแผนซึ่งเราอาจเรียกระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในสมัยนี้ว่า “ระบบการทูตแบบ
บิสมาร์ก” (Bismarckian Diplomacy) เยอรมนีใช้การทูตเป็นเครื่องมือในการรักษาสันติภาพ
และการรักษาสถานภาพของตน อีกทั้งหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับมหาอานาจอื่นๆและต้องการ
โดดเดี่ยวฝรั่งเศส ดังนั้น Bismarck จึงสร้างระบบพันธมิตรที่สลับซับซ้อนเพื่อวัตถุประสงค์
ข้างต้นซึ่งระบบการทูตดังกล่าวนาไปสู่การเกิดระบบพันธมิตรจนทาให้ยุโรปแบ่งออกเป็น 2
ค่ายอย่างชัดเจน กล่าวคือ เยอรมนีที่กาลังก้าวขึ้นมามีอานาจได้ลงนามพันธมิตรทางทหารกับ
ออสเตรีย-ฮังการีในนามสนธิสัญญาพันธไมตรีทวิภาคี(Dual Alliance) ในปี ค.ศ. 1879 ซึ่งถือ
ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งอานาจในยุโรปออกเป็น 2 ขั้วและถูกขยายออกเป็นสนธิสัญญา
พันธไมตรีไตรภาคี (Triple Alliance) ในปี ค.ศ. 1882 โดยรับอิตาลีเข้ามาเป็นสมาชิก การ
รวมกลุ่มดังกล่าวก็เป็นไปตามที่ Bismarck คาดหวังไว้คือการแสวงหาพันธมิตรเพื่อป้องกัน
ฝรั่งเศสกลับมามีบทบาทในยุโรปอีก
ระบบโครงสร้างระหว่างมหาอานาจเริ่มสั่นคลอนเมื่อ Kaiser Wilhelm II เสด็จขึ้น
ครองราชย์ในปี ค.ศ. 1888 และดาเนินนโยบายต่างประเทศที่แ ตกต่ างจากนโยบายของ
Bismarck อย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ทรงมีพระประสงค์ที่จะขยายอานาจของเยอรมนีให้ได้มาก
ที่สุดซึ่งต่างจาก Bismarck ที่พยายามหลีก เลี่ย งความขัดแย้งกั บมหาอานาจอื่นๆจนสร้าง
ความไม่พอใจให้กั บรัสเซีย และทาให้เยอรมนี ขัดแย้งกั บอังกฤษมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ระบบ
ดุลอานาจเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ฝรั่งเศสซึ่งถูกเยอรมนีโดดเดี่ยวก็เริ่มผูกมิตรกับรัสเซียในปี ค.ศ.
1894 โดยการร่วมลงนามความร่วมมือ Franco-Russian Entente หรือเรียกอีกชื่อว่า Dual
Alliance ฝรั่งเศสทาข้อตกลงทางไมตรีกับอังกฤษในปี ค.ศ. 1904 ในนามข้อตกลง Entente
Cordial และอั ง กฤษท าข้ อ ตกลงกั บ รั ส เซี ย ในปี ค.ศ. 1907 ในนาม Anglo-Russian
Agreement การผูกความสัมพันธ์ระหว่างมหาอานาจทั้งสามจึงถือเป็นการสร้างขั้วอานาจ
ขึ้ น มาใหม่ ใ นยุ โ รปที่ เ ป็ น ที่ รู้ จั ก กั น ในนาม กลุ่ ม ไตรพั น ธมิ ต ร (Triple Entente) โดยมี
วัตถุประสงค์ที่สาคัญคือการต่อต้านการขยายอานาจของเยอรมนีในตะวันออกกลาง ดังนั้น
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 คือช่วงที่โ ครงสร้างระหว่างประเทศในยุโรปมีการแบ่งขั้วอานาจ
ชัดเจน ระบบดุลแห่งอานาจที่ใช้เป็นแกนรักษาความสงบเริ่มขาดความยืดหยุ่นและขาดความ
สมดุล สร้างความตึงเครียดในยุโรปจนเกิดวิกฤตการณ์ต่างๆก่อนที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะ
อุบัติขึ้น
55
55 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
56
56
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
ที่มา: https://vanowiki.wikispaces.com/WWIAlliances
ในการวิเคราะห์ระดับปัจเจกบุคคลที่มีผลต่อการเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้นคง
จะต้องพิจารณาถึงผู้นารัฐที่สาคัญในยุโรป เช่น พระจักรพรรดิ Franz Joseph แห่งออสเตรีย
Tsar Nicolas II แห่งรัสเซีย Herbert Henry Asquith นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ เป็นต้ น
หากบุคคลที่น่าสนใจมากที่สุดคนหนึ่งคือKaiser Wilhelm II พระจักรพรรดิแห่งเยอรมนี หาก
วิเคราะห์ถึงบุคลิกภาพส่วนพระองค์แล้ว ทรงมีพระอารมณ์ฉุนเฉียว เจ้าอารมณ์ ซึ่งอาจจะมา
จากประเด็นที่พระองค์ต้องการปกปิดปมด้อยเรื่องพระวรกายที่พระพาหา (แขน) ทั้งสองข้าง
ยาวไม่เท่ากันก็เป็นได้ บุคลิก ภาพและแนวพระราชดาริทางการเมืองของพระองค์มีผลต่อการ
สร้างนโยบายที่ก้าวร้าวของเยอรมนี
คาถามที่ว่า “แล้วระดับการวิเคราะห์ใดที่เหมาะสมหรือควรให้ความสาคัญ มาก
ที่สุดในปัจจุบัน” ในที่นี้สามารถตอบได้ว่า ระดับการวิเคราะห์ทุกระดับล้วนสาคัญหมด ดังนั้น
ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ขึ้นอยู่กับว่า อะไรคือสิ่งที่เราพิจารณาภายใน
ระดับการวิเคราะห์ อีกทั้งตัวแสดงต่างๆ โครงสร้างและปัจจัยอื่นๆหรือตัวแปรนั้นเกี่ยวข้องกัน
โดยข้ามระดับการวิเคราะห์และช่วงเวลาอย่างไร
ระดับและหน่วยการวิเคราะห์ที่แตกต่างกันล้วนมีผลต่ อการวิเคราะห์ปรากฎการณ์
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่แม้จะเป็นเหตุการณ์เดียวกันก็ตาม อีกทั้งมีผลต่อการมองโลก
57
57 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
และนาไปสู่การสร้างแนวคิดและทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอีกด้วย ดังจะเห็นได้จาก
ทฤษฎีสัจนิยมใหม่ให้ความสาคัญกับโครงสร้างระหว่างประเทศ การกระจายขีดความสามารถ
และอานาจในระบบระหว่างประเทศมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของรัฐอย่างไรซึ่งแตกต่างจากสัจ
นิยมดั้งเดิมที่อธิบายพฤติกรรมของรัฐจากภายในเป็นสาคัญ หรือในแนวทางการศึกษาสานัก
อั ง กฤษมองว่ า สั ง คมระหว่ า งประเทศหรื อ สั ง คมโลกเป็ น หลั ก การพื้ น ฐานของระดั บ การ
วิเคราะห์ หรือในสายทฤษฎีมาร์กซ์เอง ก็อาศัยระดับการวิเคราะห์ระดับระหว่างประเทศที่
มองว่ า โลกนี้ เ ป็ น ระบบทุ น นิ ย มโลก (capitalist world economy) มี พั ฒ นาการทาง
ประวัติศาสตร์อย่างไรจนมีอิทธิพลและจัดการความเป็นไปของตัวแสดงระดับรัฐ ส่วนกลุ่ม
ทฤษฎีเสรีนิยมเริ่มต้นศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากทั้งระดับระบบระหว่างประเทศ
จากระบบราชการ กลุ่ ม ผลประโยชน์ และระดั บ ปั จ เจกบุ ค คล นั่ น ก็ คื อ การใช้ ระดั บการ
วิเคราะห์ระดับรัฐและปัจเจกบุคคล อย่างไรก็ตามทั้งนักคิดในทฤษฎีเสรีนิยมและเสรีนิยมใหม่
บางคนก็ให้ความสาคัญกับการพัฒนาและการขยายตัวของบรรทัดฐานระหว่างประเทศที่มี
อิทธิพลต่อพฤติกรรมของรัฐ ซึ่งนั่นก็คือระดับการวิเคราะห์ระดับระบบระหว่างประเทศ
58
58
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
ศิวพล ชมภูพันธุ์
กล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงมิได้เป็นเรื่องไกลตัวเราอีกต่อไปเพราะตัวเราเองก็
คือตัวละครตั ว หนึ่ง ในโลกแห่ ง ความสั ม พั นธ์ ระหว่ างประเทศ หากแต่เราเข้ าใจและรั บ รู้
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศว่ามันคืออะไรแล้ว การรับรู้ดังกล่าวก็มิต่างอะไรกับการอ่านข่าว
จากสื่ อ ดั ง นั้ น ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งประเทศที่ ก ล่ า วไปข้ า งต้ น จึ ง เป็ น ลั ก ษณะของ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในฐานะปรากฎการณ์หรือในชีวิตประจาวันของเรา (IR as
Phenomena or IR as daily life)
คาถามประการถัดมาคือ “เราจะสามารถเข้าใจถึงที่มาหรือเหตุผลรวมทั้งอนาคต
ของเหตุการณ์ต่างๆในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างไร” การกาเนิดความสัมพันธ์
แผนภำพที่ 2.2 ระดับกำรวิเครำะห์สำเหตุกำรเกิดสงครำมโลกครั้งที่ 1
59
ขึ้นเพื่อทาหน้าที่ตอบคาถามนี้ รวมทั้ง อธิบายความเป็นไปในโลกโดยการอาศัย เครื่องมื อ
จานวนหนึ่งและวิธีการในการพิจารณาปรากฎการณ์ แล้วสร้างคาอธิบายเพื่อทาความเข้าใจ
ตีความหรือทานายเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งเครื่องมือดังกล่าวนั้นเป็นที่มาของการสร้างและ
ศึ ก ษา “แนวคิ ด และทฤษฎี ค วามสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งประเทศ” (International Relations
Theory and Concepts) ซึ่ ง ก็ มี ห ลากหลายกั น ไปแล้ ว แต่ มุ ม มองของนั ก วิ ช าการที่ ส ร้ า ง
เครื่องมือเหล่านี้ขึ้นมา
ที่มา: ปรับปรุงจาก Nye & Welch, 2001: 93
อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น
และรัฐมิได้เป็นตัวแสดงหลักที่สาคัญอีกต่อไป หากยังสัมพันธ์กับการพึ่งพาอาศัยทางเศรษฐกิจ
การพัฒนาทางเศรษฐกิจ สิทธิมนุษยชน ความร่วมมือข้ามชาติ บทบาทขององค์การระหว่าง
ประเทศ ประเด็นสิ่งแวดล้อม ประเด็นความเท่าเทียมกันทางเพศ กลุ่มศาสนา การก่อการร้าย
และอื่ น ๆด้ ว ยเหตุ นี้ เ อง นั ก วิ ช าการบางกลุ่ ม เริ่ ม ที่ จ ะใช้ ค าว่ า “International Studies”
“World Politics” หรื อ “Global Politics” มากกว่ า ค าดั้ ง เ ดิ ม อย่ าง International
Relations” แต่ในที่นี้ผู้เขียนยังคงใช้คาว่าความสัมพันธ์ระหว่า งประเทศเพื่อดาเนินเนื้อหา
ภายในเล่ม
60
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
บทที่ 3 บทที่ 3
ทฤษฎีกมารเมื
ทฤษฎีกำรเมืองในควำมสั พันธ์อรงในความสั มพันธ์ระหว่างประเทศ
ะหว่ำงประเทศ
Political Theory in International Relations
Political Theory in International Relations
ในบทนี้จะนาเสนอแนวคิดและทฤษฎีการเมืองที่สาคัญอันเป็นรากฐานต่อการสร้าง
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (classical theory of international relations) ซึ่ง
ก าลังได้รับความสนใจมากขึ้น บางครั้งเราอาจเรียกการศึกษาในลักษณะเช่นนี้ว่า ทฤษฎี
กำรเมื อ งในระดั บ ระหว่ ำ งประเทศ (International Political Theory) อั น หมายถึ ง
มุมมองทางวาทกรรม (discourse) ของการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งจั ด วาง
ประเด็นทางบรรทัดฐาน (norm) การตีความ (interpretation) และรากฐานของภววิทยา
(ontological foundation) ของสาขาวิชา (Neufled, 1995; Frost, 1996 cited in Brown,
2002: 1) จากข้ า งต้ น จะเห็ น การบรรจบกั น ของรัฐ ศาสตร์ ส องสาขาส าคั ญ นั่ น คื อ ทฤษฎี
การเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งต่างมีมุมมองต่อโลกในคนละด้าน กล่าวคือ
ทฤษฎีการเมืองในฐานะศาสตร์สาคัญของการศึกษารัฐศาสตร์มักจะเน้นการศึกษาบทบาทของ
สิทธิ ความรับผิดชอบ ความยุติธรรมหรือภาระหน้าที่ภายในระดับรัฐ ในขณะที่ การศึกษา
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นการอธิบายและเข้ าใจปฏิสัมพันธ์ข้ามพรมแดนของรัฐหรือ
ก้ า วข้ า มไปยั ง ระดั บ โลก (Jorgenson, 2010: 33) ดั ง นั้ น การศึ ก ษาทฤษฎี ก ารเมื อ งระดับ
ระหว่างประเทศจึงเป็นการถูกปัดฝุ่น (renewed) เพื่อให้เห็นว่าในแต่ละช่วงเวลานั้น สิ่งที่
เรียกว่าความแตกต่างระหว่าง “ระหว่างประเทศ” และ “ภายใน” ไม่เคยปรากฎอยู่เลย
ผู้ เ ขี ย นจะน าเสนอแนวคิ ด และทฤษฎี ก ารเมื อ งผ่ า นความคิ ด ของนั ก ปรั ช ญา
การเมืองคนสาคัญตั้งแต่สมัยกรีกโบราณจนถึงก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งเป็นช่วงเวลา
ก่อนที่จะมีการจัดตั้งการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในฐานะสาขาวิชาขึ้นอย่างเป็น
ทางการเมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่ งยุติ แม้ว่าแนวคิดเหล่านี้จะสัมพันธ์การศึก ษารัฐศาสตร์
สาขาการเมืองการปกครองโดยเฉพาะสาขาวิชาปรัชญาการเมืองโดยตรงซึ่งดูแล้วอาจจะไม่
เกี่ยวข้องกับการศึกษาความสัมพันธระหว่างประเทศ หากพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า แนวคิด
ต่างๆของนัก ปรัชญาการเมืองที่ผู้เขีย นนาเสนอ เช่น เรื่องอานาจ ความยุติธรรม สภาวะ
อนาธิปไตย สงคราม สันติภาพ การสร้างประชาคมความร่วมมือหรือการแตกต่างระหว่างชน
ชั้น ล้วนมีรากฐานมาจากแนวคิดและทฤษฎีการเมืองเหล่านี้ทั้งสิ้น ดังนั้นนักคิดและแนวคิด
ทางการเมืองเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนเป็น “หมุดหมาย”(canon) ของการวางรากฐานแนวคิด
61
61 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลต่อการสร้างทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใน
แต่ละสานักในปัจจุบันซึ่งขึ้นอยู่กับนักวิชาการในแต่ละสานักเลือกที่จะ “หยิบยืม” มา “ปรุง”
เป็นทฤษฎีตามแนวทางของสานักอย่างไร
อนึ่ ง ในต าราความรู้ เ บื้ อ งต้ น ทางความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งประเทศและทฤษฎี
ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งของประเทศในโลกวิ ช าการตะวั น ตกจ านวนหนึ่ ง ( Jackson &
Sorensen, 2013; Goldstein, 2003; Viotti & Kauppi, 2012; Dunne (Eds.), 2013) มักจะ
น าเสนอแนวคิ ด ของนั ก ปรั ช ญาการเมื อ งโดยบรรจุ ไ ว้ ใ นบทที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ แนวคิ ด นั้ น
ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มทฤษฎีสัจนิยมมักจะบรรยายถึงรากฐานทางความคิ ดของตนว่าปรากฎ
ร่ อ งรอยทางความคิ ด หรื อ ได้ รั บ อิ ท ธิ พ ลจาก Thucydides, Machiavelli, Hobbes หรื อ
Rousseau (Yurdusev, 2006, Bell, 2008: 1-16) ส่วนกลุ่มทฤษฎีเสรีนิยมก็มักจะกล่าวนา
ด้วยแนวคิดของ Locke Kant หรือ Bentham มาเป็นรากฐานทางทฤษฎีของตน เป็นต้น เมื่อ
พิจารณาแล้ว นักปรัชญาการเมืองเหล่านี้มิได้เป็นนักทฤษฎีความสัมพั นธ์ระหว่างประเทศแต่
ประการใด ทว่านักวิชาการรุ่นหลังได้หยิบยืมแนวคิดเหล่านี้มาเพื่อวางรากฐานและเชื่อมร้อย
กั บ ทฤษฎี ข องตน นอกจากตั ว อย่ า งการน าเสนอในต าราจ านวนหนึ่ ง แล้ ว ยั ง สามารถ
ยกตัวอย่างการเชื่อมร้อยแนวคิดแบบเก่ากับการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมัยใหม่
เช่น ในสานักอังกฤษ (The English School) มีการใช้คาว่า Kantian tradition สาหรับกลุ่ม
ผู้มีแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพประชาธิปไตย (Democratic Peace) และการสร้างสังคม
โลก (World Society) Grotian tradition ที่ได้รับอิทธิพลจาก Hugo Grotius ที่ให้ความ
สาคับการสร้างสังคมระหว่างประเทศและการเคารพอานาจอธิปไตยแห่งรัฐ นอกจากนั้นยัง
พบเห็นการใช้คาเช่นนี้ในสานัก อื่นๆ เช่นในสานัก สัจ นิย ม เรามัก ใช้คาว่า Machiavellian
เรียกผู้ทกี่ ระหายอานาจหรือฝักใฝ่ความยิ่งใหญ่โดยมุ่งหวังผลลัพธ์ที่ตนต้องการโดยไม่คานึงถึง
วิธีการที่ได้อานาจนั้นมาไม่ว่าจะเลวร้ายหรือไม่ก็ตาม เป็นต้น
David Boucher (1998) ได้ จั ด แบ่ ง กลุ่ ม แนวคิ ด และปรั ช ญาทางการเมื อ งที่
เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไว้ 3 กลุ่มได้แก่
นักคิดในกลุ่มนี้มีมุมมองต่อธรรมชาติของมนุษย์มีความโดดเดี่ยว ดารงชีพอย่าง
อิสระและเน้นความเป็นปัจเจกบุคคลที่มีความต้องการ ความปรารถนา แสวงหาผลประโยชน์
และเปี่ย มด้วยแรงบันดาลใจ การความต้องการบางอย่างในสิ่งเดีย วกั นอาจนาไปสู่ ค วาม
62
62
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
63
63 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
3.1 Thucydides
Thucydides เป็นชาวเอเธนส์ ผลงานสาคัญของเขาคือ ประวัติศาสตร์ของสงคราม
เพโลพอนเนเชียน (History of the Peloponnesian War) ในงานเขียนชิ้นนี้ Thucydides
ได้นาเสนอคาอธิบายที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับสงครามเพโลพอนเนเชียนที่มาจากทั้งความรู้เรื่อง
ความขัดแย้งของเขาเองและความรู้ที่มาจากประจักษ์พยานในเหตุการณ์ คาอธิบายของเขา
เกี่ยวกับสงครามมักถูกนามาตีความเป็นบทบัญญัติในยุคแรกของแนวคิดสานักสัจนิยมในเรื่อง
การเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะส่วนสาคัญที่มักนามากล่าวอ้างอยู่เสมอนั่นก็ คือ บท
สนทนาของชาวมีเลี่ยน (Melian Dialogue) กล่าวถึงการวิงวอนและโต้แย้งเชิงศีลธรรมของ
ชาวมีเลี่ยนต่อทหารเอเธนส์ที่รุกรานเกาะเมลอสซึ่งเป็นถิ่นที่อาศัยของตนทหารเอเธนส์ก ลับ
เมินเฉยต่อข้อโต้แย้งในเชิงศีลธรรมและเหตุผลทุกประการ ในท้ายที่สุด ทหารเอเธนส์ได้ยึด
เกาะเมลอส ประหารชีวิตชาวมีเลี่ยนทุกคนที่อยู่ในวัยทหาร ส่งผู้หญิงและเด็กไปเป็นทาส ดัง
จะเห็นได้จากวรรคทองในบทสนทนาดังกล่าวที่ว่า “The Strong do as they can and the
weak suffer what they must” (Thucydides, 1954: 400-408 cited in Art & Jervis,
2010: 9-15)
แนวคิดหลักที่สานักสัจนิยมได้รับอิทธิพลจาก Thucydides นั้นสามารถสรุปได้ 3
ประการด้วยกัน ได้แก่ ธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ลบและศักยภาพในการควบคุมสถานการณ์
ต่างๆ การแยกผลประโยชน์ ออกจากความยุติธรรม ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการตัดสินใจทาง
การเมืองในเรื่องดาเนินนโยบายต่างประเทศและการรับรู้ข้อจากัดที่กาหนดพฤติกรรมของ
หน่วยทางการเมือง โดยโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยทางการเมืองเหล่านั้นที่ ไร้ผู้มี
อานาจสูงสุด
3.1.1 ธรรมชำติของมนุษย์: เสรีภำพและควำมจำเป็น
เรารู้จักแนวความคิดทางการเมืองของกรีกโบราณในฐานะจุดเริ่มต้นแนวคิดทาง
การเมื อ งในโลกตะวั น ตก นั ก ปรั ช ญาอย่า ง Plato และ Aristotle ได้ ก าหนดปรั ช ญาทาง
ความคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติของมนุษย์และธรรมชาติของรัฐ ทั้งยังได้
เสนอแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของทั้งคนดีและระเบียบทางการเมืองที่ดี ในขณะที่ Plato
และ Aristotle เห็ น ว่ า ความมี เ หตุ ผ ลเป็ น คุ ณ ธรรมสู ง สุ ด ทั้ ง ยั ง เชื่ อ ว่ า การเมื อ งสามารถ
ปกครองได้ ด้ ว ยเหตุ ผ ล Thucydides น าเสนอแนวคิ ด เกี่ ย วกั บ มนุ ษ ย์ ที่ ต่ า งออกไปและ
หลากหลายกว่า ในความคิดของ Thucydides นั้น นักการเมืองและทหารบางครั้งก็เป็นคนดี
แต่ก็มักจะกระทาความผิดผ่านความภาคภูมิใจ ความโลภ หรือเนื่องด้วยการไร้ความสามารถ
64
64
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
65
65 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
แผนที่นครรัฐกรีกกับสงครำมเพโลโพนีเชียน
66
66
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
67
67 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
3.2.1 วิธีกำรและเป้ำหมำย
Machiavelli ได้รับข้อครหาว่าเป็นพวกไร้ศีลธรรม เนื่องด้วยวิธีคิดทางการเมืองที่
เสนอว่า “เป้าหมาย” (ในที่นี้หมายถึงเป้าหมายของกิจกรรมทางการเมือง เช่น การสั่งสม
อานาจ หรือการป้องกันประเทศ) เป็นตัวกาหนด “วิธีการ” ในที่นี้หมายถึงวิธีการที่จะทาให้
ได้มาซึ่งอานาจหรือสามารถป้องกันประเทศของตนได้ แนวคิดทางการเมืองของ Machiavelli
ใน The Prince ถือว่าสาคัญมาก ตราบใดที่แนวคิดทางการเมืองของเขายังคงดารงอยู่ เขาไม่
เคยคิดเลยว่าจะต้องสั่งสมอานาจโดยการคร่าชีวิตศัตรูฝ่ายตรงข้าม หรือป้องกัน ประเทศของ
ตนโดยการหลอกล่ อ คู่ ต่ อ สู้ ซึ่ ง แสดงให้ เ ห็ น ว่ า ทั ศ นคติ ต่ อ ประเด็ น เรื่ อ งสงครามโดย
Machiavelli ยอมรับว่า สงครามเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเมืองและมูลค่าของสงครามนั้น
ขึ้นอยู่กับว่าจะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ในฐานะเครื่องมือที่จะนาไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้
3.2.2 ผลประโยชน์แห่งรัฐและนโยบำยต่ำงประเทศ
Machiavelli แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของรัฐหนึ่งกับอีกรัฐหนึ่งควรถูกกาหนด
โดยผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย นั่นหมายความว่า ผู้ปกครองที่ดีจะไม่ถูกครอบงาโดย
เหตุผลส่วนตัว (ความปรารถนาที่จะมีเกียรติย ศหรือครอบครองสิ่งที่แย่งชิ งมา) และความ
ปรารถนาว่ า ตนจะพ้ น ผิ ด จากบาป (ความยุ ติ ธ รรม) แต่ จ ะแสดงออกมาในรู ป แบบของ
ผลประโยชน์ที่ดีที่สุดทั้งหมดของรัฐ ใน The Discourses เขากล่าวถึงคาแนะนาที่ Lucius
Lentulus ให้ กั บ กองทั พ โรมั น ที่ เ ป็ น ผู้ พ่ า ยแพ้ และต้ อ งเสี ย เกี ย รติ ใ นฐานะผู้ ย อมจ านน
Lentulus แนะนาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือความอยู่รอดของโรม และมันก็ดีกว่าที่กองทัพจะยอมรับ
ความพ่ายแพ้นั้นและอยู่รอดเพื่อที่จะต่อสู่ในวันต่อไปแทนที่จะสู้จนถึงตายและสูญเสียทุกสิ่ง
อย่ า ง เว้ น แต่ เ กี ย รติ ย ศ (Brown, 2002: 268) นั ก คิ ด สมั ย ใหม่ ม องเห็ น ความคิ ด ของ
68
68
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
69
69 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
7
ตาราส่วนใหญ่มักจะจัดให้ Hobbes อยู่ในกลุ่มนักคิดที่มีมุมมองแบบสัจนิยม แต่มีบทความที่เสนอ
แนวคิดของเขาในแง่มุมของการนาเสนอเรื่องการสร้างความร่วมมือและการสร้างกลุ่มพันธมิตรใน
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ โดยมองว่า Hobbes สามารถจัดเป็นนักคิดเชิงเหตุผลนิยม (rationalism) ดู
Yurdusev (2006)
70
70
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
ด้วยมนุษย์มีความเท่าเทียมกันทั้งในด้านความแข็งแรงและความมีสติปัญญา จึงเป็นไปไม่ได้ที่
คนๆหนึ่งจะกลายมาเป็นคนที่แข็งแรงกว่าและสามารถออกคาสั่งบังคับผู้อื่นได้ เว้นเสียแต่ใน
ระยะยาว ภาพของสภาวะธรรมชาติที่เกิดขึ้นจึงดูน่าสังเวชเป็นอย่างมาก มนุษย์ทุกคนต่างมุ่ง
หมายที่จะขยายความมั่นคงของตน และหนทางเดียวที่จะทาเช่นนั้นได้คื อการมีอานาจมาก
ที่สุดเท่าที่จะทาได้ ผลที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่จะทาให้มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความกลัวเท่านั้น
แต่ยังส่งผลให้อารยธรรมมนุษย์ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ในสถานการณ์เช่นนี้ จะไม่มีพื้นที่
สาหรับอุตสาหกรรม เนื่องจากผลผลิตไม่มีความ แน่นอน และไม่มีวัฒนธรรมเกิดขึ้นบนโลก
ไม่มีการเดินเรือ ไม่มีการบริโภคสินค้าที่อาจนาเข้าทางทะเล ไม่มีตึกราบ้านช่อง ไม่มีเครื่องไม้
เครื่องมือที่จะใช้ขนย้ายสิ่งของที่ต้องอาศัยแรงมหาศาล ไม่มีความรู้ถือกาเนิดขึ้นบนโลก ไม่มี
เงื่อนไขของเวลา ไม่มีงานศิลปะ ไม่มีตัวอักษร ไม่มีสังคม และสิ่ งที่แย่ที่สุดคือความกลัว ที่
เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอันตรายจากความตายอันเหี้ยมโหด และสุดท้าย “ชีวิตมนุษย์ช่าง
สันโดษ ต่าต้อย น่ารังเกียจ โหดร้ายและสั้น ” (solitary, poor, nasty, brutish and short)
( Brown, Nardin & Rengger, 2002: 337) Hobbes เรี ย กสภาวะธรรมชาติ ข องเขาว่ า เป็ น
สภาวะของสงคราม (state of war) เพราะแม้ว่าการต่อสู้จะสิ้นสุดลง แต่ความรุนแรงจะมีผล
สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
3.3.2 อำนำจทำงกำรเมืองภำยในรัฐ
คนเราจะสามารถหลีกหนีจากสภาวะธรรมชาติและเข้าไปสู่การมีชีวิตรอดอยู่ใน
สังคมได้อย่างไรนั้น คาตอบของ Hobbes คือ ผ่านทางสัญญา (contract) ระหว่างมนุษย์ที่
อยู่ภายในรัฐ สัญญานี้ส่งผ่านสิทธิ ตามธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนไปยังผู้ปกครอง ผู้ที่ได้รับ
มอบอานาจโดยสมบูรณ์ พร้อมทั้งเครื่องมือในการบังคับใช้อานาจเหล่านั้น สาหรับ Hobbes
แล้ว กฎหมายลายลักษณ์อักษร (positive law) ทาให้การมีชีวิตรอดอยู่ในสังคมและบรรทัด
ฐานแห่งความยุติธรรมเกิ ดขึ้นจริงมากกว่ากฎหมายธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้น อิทธิพลของ
อานาจอธิปไตยจะปรากฏให้เห็นโดยสมบูรณ์ ดังภาพที่ปรากฏบนปกหนังสือ Leviathan ที่
เป็นภาพของกษัตริย์ขนาดใหญ่ แต่เมื่อสังเกตดูใกล้ๆ จะพบว่าภาพกษัตริย์นั้นประกอบไปด้วย
คนตัวเล็กๆ จานวนมหาศาล ซึ่งทาให้เราเกิดแนวคิดว่ ารัฐอธิปไตยเป็นเพียงตัวแทนเดียวที่
ปรากฏขึ้นในช่วงคริสตศวรรษที่ 17 ในยุโรปและยังคงเป็นศูนย์กลางของความเข้าใจในเรื่อง
อานาจอธิปไตยของรัฐในปัจจุบัน
71
71 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
3.3.3 ควำมสัมพันธ์ทำงกำรเมืองในระหว่ำงประเทศ
แม้ ว่ า Hobbes จะไม่ ไ ด้ อ ธิ บ ายถึ ง การเมื อ งระหว่ า งประเทศไว้ ม ากนั ก แต่ ก็ มี
คาอธิบายที่ชัดเจนในระดับระหว่างประเทศเกี่ยวกับอานาจภายในรัฐของ Hobbes เห็นได้
จาก Hobbes ที่เสนอว่าที่ใดที่ปราศจากกฎหมายลายลักษณ์อักษร ก็จะไม่มีบรรทัดฐานความ
ยุติธรรม ตรงข้ามกับ Grotius ที่เสนอว่าความสัมพันธ์ภายในรัฐไม่สามารถจะเกิดเป็นสังคมได้
(นับตั้งแต่ปราศจากอานาจเหนือรัฐที่ชอบธรรมหรืออานาจในการบังคับใช้กฎหมายระหว่าง
ประเทศ) แต่จะมีลักษณะคล้ายกั บสภาวะธรรมชาติ เนื่องด้วยเหตุนี้ นักทฤษฎีในยุ ค สมัย
เดียวกันบางคนจึงมองว่า Hobbes เป็นตัวแทนของสานักสัจนิยมทางด้านทฤษฎีความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศ รวมถึง Thucydides และ Machiavelli ด้วย อย่างไรก็ตาม จะสังเกตได้ว่า
แท้ที่จริงแล้ว Hobbes คิดว่าสงครามระหว่างรัฐมีแนวโน้มที่จะเกิดจากความสัมพันธ์ภายใน
รัฐอนาธิปไตยน้อยกว่าที่จะเกิดจากสภาวะธรรมชาติ (ที่สมมติขึ้น) ระหว่างปัจเจกบุคคล ต่าง
จากในสภาวะธรรมชาติที่รัฐไม่มีความเท่าเทียมกันทั้งในแง่ของความแข็งแรงและเล่ห์เหลี่ยม
อย่างสิ้นเชิง และรัฐจาเป็นจะต้องพึ่งพาปัจเจกบุคคลที่ไม่สามารถจะต่อสู้เพื่อประเทศของตน
ได้ แต่มีความสนใจในการปกป้องรักษาตนเอง
72
72
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
Hugo Grotius
Hugo Grotius
73
73 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
3.4.1 กฎหมำยธรรมชำติ
แนวคิดเรื่องกฎหมายธรรมชาติเดิมมาจากแนวคิด Judeo-Christian ที่ถกเถียงกัน
ว่ า มี ก ฎหมายสากลที่ ใ ช้กั บ มนุ ษ ย์และความสั มพั น ธ์ แม้ จ ะไม่ มี ก ารตรากฎหมายนั้ น เป็น
พระราชบัญญัติก็ตาม หากมองตามแนวคิดเรื่องกฎหมายธรรมชาติแล้ว การรักษาชีวิตไว้ถือ
เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้นการประหัตประหารจึงเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ว่าจะมีกฎหมายภายในประเทศที่
ห้ามการประหารชีวิตหรือไม่ก็ตาม และสาเหตุที่ทาให้เราแน่ใจได้เช่นนั้นคือเหตุผลของเราเอง
ที่คอยย้าตัวเราว่าการคร่าชีวิตนั้นมันขัดกั บหลัก กฎหมายธรรมชาติ สาหรับ Grotius แล้ว
กฎหมายธรรมชาติไม่ได้เป็นสิ่งเร้นลับแต่อย่างใด มันเป็นกลุ่มกฎเกณฑ์เกี่ยวกับศีลธรรมที่
สามารถเข้าถึงได้ด้วยเหตุผล ซึ่งมนุษย์ทุกคนสามารถทาได้ตลอด และกฎธรรมชาติก็จาเป็น
สาหรับรัฐ เพราะมนุษย์คือคนบาป ที่ไม่สามารถจะปฏิบัติตามกฎธรรมชาติได้ตลอด จึงต้อง
ถูกบังคับใช้ด้วยระบบการก่ออาชญากรรมและการลงโทษ อย่างไรก็ตาม กฎหมายแห่งรัฐก็
ได้รับความชอบธรรมขั้นต้นมาจากกฎหมายธรรมชาติก่อนแล้ว ทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติที่ถือ
เป็นหลักการเขียนกฎหมายนี้ มีความเกี่ยวพันอย่างมากกับทฤษฎีการเมืองโลกตะวันตก (เช่น
ให้หลักเกณฑ์ที่ว่ากฎหมายบ้านเมืองอาจถูกมองว่าไม่เป็นธรรมและไม่ชอบธรรม) โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง กฎหมายธรรมชาติก่อให้เกิดรากฐานความคิด เรื่องสิทธิสากล หรือ สิทธิ ในฐานะ
ความเป็นมนุษย์อันเป็นต้นกาเนิดของสิทธิมนุษยชนในปัจจุบัน
ความสาคัญของกฎหมายธรรมชาติต่อทฤษฎีการเมืองระหว่างประเทศขึ้นอยู่กับ
ความเป็นสากลของตัวมันเอง กฎหมายธรรมชาติไม่ได้เป็นเพียงแค่พื้นฐานของกฎหมายแห่ง
รัฐเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นฐานของกฎหมายที่ใช้ควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ หรือที่เราเรียก
กันว่ากฎหมายระหว่างประเทศ
3.4.2 กฎหมำยระหว่ำงประเทศและสงครำม
ในงานของ Thucydides และ Machiavelli ความสัมพันธ์ระหว่างการปกครองที่
แตกต่างกันเป็นทั้งการสงบศึกที่ดีที่สุดและในขณะเดียวกั นก็เป็นการต่อสู้กันอย่างโกลาหลที่
เลวร้ายที่สุด ในรัฐที่ต่างต้องการจะไขว่คว้าอานาจ เพื่อให้ตนสามารถแสวงหาความมั่นคงได้
อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในทางกลับกัน Grotius โต้แย้งว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสามารถและควร
เป็น ‘สังคม’ (โครงสร้างการอยู่ร่วมกันภายใต้ระเบียบข้ อบังคับ และถูกทาให้เป็นสถาบัน)
เสียมากกว่า ‘ระบบ’ (โครงสร้างอนาธิปไตยที่รวมรัฐต่างๆ เข้ามาอยู่รวมกันแต่ไม่สามารถ
ไว้ใจซึ่งกันและกันได้) กฎหมายธรรมชาติก่อให้เกิดพื้นฐานสังคมของรัฐ ที่ชี้ให้เห็นมาตรฐาน
พฤติกรรมระหว่างรัฐ และผลักดันให้เกิดแนวทางปฏิบัติและสถาบั นทางสังคม เช่น การทูต
74
74
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสามารถดาเนินการในรูปแบบของธรรมเนียมที่ปฏิบัติต่อ
กั นมา นี่ไม่ได้หมายความว่ าทางออกของรัฐ คือการเป็น ครอบครัวขนาดใหญ่ ที่มี ความสุ ข
Grotius ยังคงคิดว่า ผลประโยชน์แห่งรัฐจะก่อให้เกิดการปะทะและสงครามระหว่างรัฐขึ้ น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าที่ใดจะเกิดสงครามขึ้น เราก็สามารถจาแนกได้ว่าเป็นสงครามที่ชอบธรรม
หรือไม่ชอบธรรม (Grotius inBrown,Nardin & Rengger, 2002: 334)
3.5 Jean-Jacques Rousseau
Rousseau เกิ ด ในช่ ว งศตวรรษที่ 18 อั น เป็ น ยุ ค ภู มิ ธ รรมแห่ ง ยุ โ รป (the
European Enlightenment) Rousseau เป็ น นั ก คิ ด ที่ มี ค วามย้ อ นแย้ ง ในตั ว เอง หาก
พิจ ารณาตาราทางปรัชญาและทฤษฎีก ารเมือง เรามัก จะจัดให้ Rousseau อยู่ในกลุ่มนั ก
ปรัชญาสายเสรีนิยม หากแต่ในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้วเขาได้รับการจัดวางให้
อยู่กลุ่มนักคิดสายสัจนิยม 8ในมุมแรกที่แสดงความย้อนแย้ง พิจารณาที่เขาสนใจจะวินิจฉัย
และพยายามที่จะระบุปัญหาในยุคที่เขามีชีวิตอยู่ แต่ ในอีกมุมคือเขาไม่ได้แบ่งปันความรู้แจ้ง
เกี่ ย วกั บ เหตุ ผ ลนั้ น ในฐานะกุ ญ แจสู่ ก ระบวนการทางประวั ติ ศ าสตร์ (Boucher, 1998)
Rousseau มองเห็นภาพการเมืองและสังคมร่ วมสมัย ทั้งภายในรัฐและระหว่างรัฐว่าเป็นการ
ฉ้อราษฎร์บังหลวงขั้นแรกสุดและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม เขามองการทุจริต
และความขัดแย้งนี้เป็นผลผลิตทางสังคมมากกว่าความจาเป็นโดยธรรมชาติ ดังนั้น เขาจึงนา
ประเด็นนี้ไปเทียบกับมุมมองของ Hobbes ที่ว่า ในสภาวะธรรมชาติ มนุษย์มีความเห็นแก่ตัว
และมักใช้รุนแรง ทั้งยังกล่าวว่า ในทางกลับกัน โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์รักสงบและมีแนวโน้ม
ที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว แม้มนุษย์จะมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด แต่ในขณะเดียวกั นก็มี
ความเห็นอกเห็นใจกับความทุกข์ทรมานของผู้อื่น ตามความคิดของ Rousseau นั้น มีเพียง
แค่อารยธรรมเท่านั้นที่มีการพัฒนา ดังจะเห็นได้จากความกระหายอานาจความขัดแย้งใน
เรื่องผลประโยชน์ของมนุษย์ ที่ Hobbes ระบุว่า เป็นเรื่องธรรมชาติ หรือ สภาวะก่อนที่มนุษย์
จะรวมกลุ่มกันเป็นสังคม หรือสมัยก่อนจะเป็นสังคม (Brown, 2002: 416-425) โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง Rousseau ได้ระบุถึงพัฒนาการของสถาบันทรัพย์สินส่วนบุคคล (the institution
of private property) ว่าเป็นพลังแห่งการทุจริต ซึ่งก่อให้ความโลภ ความอิจฉาริษยา และ
ความรุนแรง สาหรับ Rousseau แล้ว สงครามเป็นผลผลิตของระเบียบทางสังคมที่ผู้ปกครอง
75
75 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ตระหนักถึงพรมแดนของตนในฐานะทรัพย์สินส่วนบุคคล และการแสวงหาทั้งการป้องกันและ
ขยายสิ่งที่มีอยู่
76
76
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
77
77 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
78
78
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
3.6.2 ปรัชญำแห่งประวัติศำสตร์
ทฤษฎีทางการเมืองของ Kant ที่ประกอบไปด้วยทฤษฎีการเมืองระหว่างประเทศ
นั้นมิใช่เพียงหลักการที่เป็นนามธรรมเท่านั้น แต่ยั งถูกบัญญัติไว้ในปรัชญาแห่งประวัติศาสตร์
ของเขาอีกด้วย สาหรับ Kant แล้ว สันติภาพที่ยั่งยืนไม่ใช่ฝันที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเขามองว่า
พลังธรรมชาติ (natural forces) จะก่อให้เกิดสันติภาพขึ้นได้ (Kant in Brown, 2001: 430,
443-445) ปรัชญาศีลธรรมของ Kant สอดคล้องกับหลักคาสอนของคริสตศาสนาเป็นอย่าง
มาก เขาเชื่ อ ว่ า มนุ ษ ย์ ส ามารถกระท าสิ่ ง ที่ มี ศี ล ธรรมได้ แต่ ม นุ ษ ย์ ก ลั บ เป็ น สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี
ข้อบกพร่อง ซึ่งถูกครอบงาโดยกิเลสตัณหาและความปรารถนาของพวกเขาเอง อย่างไรก็ตาม
จากแนวคิดอาณาจักรแห่งชีวิตทางสังคม(realm of social life)ของ Kant นั้น แม้ว่ามนุษย์
มักจะถูกขับเคลื่อนโดยกิเลสตัณหาและความปรารถนา แต่พวกเขาจะยังคงถูกผลักดันให้สร้าง
สังคม และท้ายที่สุดก็จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขร่วมกับสังคมอื่น เนื่องด้วยความกลัวและความ
ละโมบโลภมากของพวกเขา ความกลัวคือสิ่งที่จะนาพามนุษย์ไปสู่การทาสั ญญาร่วมกับผู้อื่น
เพื่อสร้างรัฐขึ้น ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ได้ตกอยู่ในสภาวะธรรมชาติตามแบบของ Hobbes นาน
มากนัก เมื่อเวลาล่วงเลยไป ความกลัวที่ว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในศึกสงครามที่มีความน่า
กลัวมากขึ้น จะทาให้รัฐหยุดคุกคามรัฐอื่ น ในทางกลับกัน ความโลจะผลักดันให้มนุษย์เข้าสู่
กระบวนการผลิตและการค้ามากและมากยิ่งขึ้น และการค้าระหว่างประเทศจะกีดกันการเกิด
สงครามระหว่างรัฐโดย Kant ระบุว่าท้ายที่สุดแล้วเหตุผลและกิเลสตัณหาจะเป็นไปในทิศทาง
เดียวกัน มนุษย์ผู้มีศีลธรรมและมีเหตุผลจะมองว่าความปรารถนาสันติภาพที่ยั่งยืนเป็นสิ่งที่
ถูกต้อง และท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ผู้ที่สนใจแต่ผลประโยชน์ส่วนตนก็จะมองว่าความปรารถนา
สันติภาพที่ยั่งยืนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องเช่นกัน
Immanuel Kant
79
79 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
80
80
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
3.7.1 ประวัติศำสตร์แห่งกำรต่อสู้ระหว่ำงชนชั้น
Marx มองเรื่ อ งความไม่ เ ท่ า เที ย มกั น ทางเศรษฐกิ จ ว่ า มี ค วามส าคั ญ ในแง่ ก าร
ดารงชีวิตทั้งทางการเมืองและสังคม รวมถึงเหตุผลที่ว่าทาไมรูปแบบสังคมบางรูปแบบ เช่น
ระบบทาส หรือ ระบบศักดินา จึงล่มสลายลงในท้ายที่สุด Marx กาหนดทฤษฎีเงื่อนไขทาง
วัตถุหรือเงื่อนไขทางเทคโนโลยีขึ้นในยุคที่มีการใช้รูปแบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสังคม
แต่ในทางกลับกัน โครงสร้างนั้นก็กาหนดหมวดหมู่ของมนุษย์ออกมาในลักษณะของชนชั้น ซึ่ง
ชนชั้นจะถูกกาหนดโดยความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลกับ 'ปัจจัยการผลิต' ความแตกต่าง
ทางชนชั้นในทุกช่วงเวลาและในทุกสังคมคือ ความสัมพันธ์ระหว่างบรรดาผู้ที่เป็นเจ้าของหรือ
ควบคุมปัจจัยการผลิตและบรรดาผู้ที่จะต้องทางานให้กับเจ้าของกิจการเพื่อความอยู่รอดของ
ตน ในบริบทของเกษตรกรในสังคมก่อนยุคอุตสาหกรรมนั้น เงื่อนไขทางวัตถุก่อให้เกิดหลาย
ระบบขึ้น อาทิ ทาสหรือไพร่ที่มีชนชั้นผู้สูงซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเป็นผู้ปกครองประชากรที่เหลือ
ส่วนใหญ่ ด้วยการเป็นเจ้าของแรงงานทั้งหมด และควบคุมแรงงานด้วยตัวพวกเขาเอง อย่างไร
ก็ตาม ในสังคมการตลาดอุตสาหกรรม ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่อย่างทุนนิยมก็ได้ถือก าเนิด
ขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางชนชั้นรูปแบบใหม่ เห็น ได้จากความสัมพันธ์ระหว่างนายทุน
และกรรมาชีพ ทั้งนี้ Marx ยืนยันว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างความขัดแย้งทางการเมือง
ในสังคมกับฐานะทางชนชั้นของคนในสังคมนั้น Marx เห็นการเปลี่ยนแปลงจากระบบศักดินา
สู่ระบบทุนนิยมที่เกิดจากการความต้องการที่จะปลดเปลื้องจากข้อจากัดของระบบศักดินา
ของนายทุนที่ เ พิ่ม สูง ขึ้น Marx มองชนชั้นกรรมาชี พ ในฐานะตัวแทนแห่งการปฏิ วั ติ เ พื่ อ
แข่งขันกับนายทุน และเป็นกาลังที่จะสามารถโค่นล้มระบบทุนนิยมในท้ายที่สุด รวมถึงความ
ไม่เท่าเทียมและเป็นประตูสู่ยุคของสันติภาพและความเสมอ เช่น ระบบสังคมนิยม
3.7.2 ระบบทุนนิยม ระบบสำกลนิยมและกำรปฏิวัติ
Marx มองระบบทุ น นิ ย มและนายทุ น ว่ า เป็ น พวกนั ก สากลนิ ย ม เขายื น ยั น ว่ า
จุดประสงค์เดียวของระบบทุนนิยมคือ การขยายตัวของผลกาไร และมองว่าความจาเป็นนี้จะ
มองข้ามอัตลักษณ์และความสัตย์ซื่อเช่นชาติหรือรัฐ ไป ผลกาไรที่มากขึ้นทาให้ตลาดและการ
ปฏิ วั ติ เ ทคโนโลยี ข ยายตั ว ส าหรั บ Marx แล้ ว ชาวอั ง กฤษสนั บ สนุ น ให้ มี ก ารค้ า เสรี ลั ทธิ
พาณิชย์นิยมและลัทธิล่าอาณานิคม ตลอดจนบทบาทผู้นาของอัง กฤษในเรื่องการพัฒนาทาง
เทคโนโลยีในช่วงศตวรรษที่ 19 ดังจะเห็นได้จากบทบาทของอังกฤษในฐานะอานาจทุนนิยม
หลักในขณะนั้น สาหรับ Marx รัฐสะท้อนให้เห็นถึงผลประโยชน์ของชนชั้นผู้ปกครองในยุคนั้น
อุดมการณ์อย่าง ลัทธิชาตินิยมเป็นภาพสะท้อนผลประโยชน์ของชนชั้นทางเศรษฐกิจในมุมที่
ลึกกว่า หากนายทุนเป็นพวกสากลนิยมแล้ว ก็จะมีชนชั้นกรรมาชีพเกิดขึ้นจานวนมาก ตาม
81
81 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ภำพจำลองกำรทำงำนในโรงงำนอุตสำหกรรมช่วงสมัยกำรปฏิวัติอุตสำหกรรมในศตวรรษที่ 18
เหตุกำรณ์ดังกล่ำวส่งผลต่อกำรเปลีย่ นแปลงขนำนใหญ่ทั้งทำงกำรเมือง เศรษฐกิจ สังคมและภูมิปัญญำ
กำรปฏิวัติอุตสำหกรรมยังเป็นส่วนหนึ่งของก่อร่ำงสร้ำงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
อย่ำงที่เรำรู้จักกันในปัจจุบัน
82
82
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
ประวัติศาสตร์และบริบท
ประวัติศาสตร์และบริบท
(Constructivism)
ต้องการชีวิตในสังคมที่มี
หลากหลายทั้งในระดับโลก ระดับภูมิภาค ระดับรัฐ หรือแม้แต่ระดับประชาชนอีก ทั้งมี ตัว
ข้อจากัดทางสังคม เช่น
ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาทาง
ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาทาง
ตัวแสดงอื่นๆที่มิใช่รัฐ
สรรสร้ำงนิยม
Theories of norm
ระเบียบและเปี่ยม
แสดงที่หลากหลายมากกว่าในอดีต เราจะเห็นได้ว่านอกจากรัฐแล้ว องค์การระหว่างประเทศ
Structuration
ความหมาย
evolution
ปฏิสัมพันธ์
บรรษัทข้ามชาติที่ผลิตสินค้าออกมจาหน่ายให้กับผู้คนในโลก กลุ่มก่ อการร้าย หรือแม้กระทั่ง
ทางสังคม
ทางสังคม
ฐาน
กลุ่มศาสนา ก็ล้วนแล้วแต่มีความสาคัญที่กาหนดความเป็นไปของโลกแทบทั้งสิ้น หากเปรียบ
รัฐ
ค่าจ้างที่เป็นธรรมและชีวิตที่
นายทุน) และการใช้แรงงาน
ชนชั้นนายทุนแสวงหากาไร
ความมั่งคั่ง (สาหรับชนชั้น
(สาหรับชนชั้นกรรมาชีพ)
Theory of Revolution
Dependency Theory
หลากหลายและซับซ้อนอีก ทั้งตัวแสดงจานวนมากที่มีบุคลิก ลักษณะแตกต่างกั นไป ดังนั้น
ชนชั้นแรงงานแสวงหา
ความไม่เท่าเทียมทาง
(Marxism)
ชนชั้นทางเศรษฐกิจ
มำร์กซ์
ศิวพล ชมภูพันธุ์
กล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงมิได้เป็นเรื่องไกลตัวเราอีกต่อไปเพราะตัวเราเองก็
คือตัวละครตั ว หนึ่ง ในโลกแห่ ง ความสั ม พั นธ์ ระหว่ างประเทศ หากแต่เราเข้ าใจและรั บ รู้
การขูดรีด
ความโลภ
เศรษฐกิจ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศว่ามันคืออะไรแล้ว การรับรู้ดังกล่าวก็มิต่างอะไรกับการอ่านข่าว
ดี
ระเบียบและความยุติธรรม
ความรับผิดชอบในสังคม
ความต้องการที่จะมีชีวิต
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในฐานะปรากฎการณ์หรือในชีวิตประจาวันของเรา (IR as
สังคมระหว่างประเทศ
Communitarianism
ตัวแสดงอื่นๆที่มิใช่รัฐ
สำนักอังกฤษ
Normative Theory
Cosmopolitanism
การเจรจา การจูงใจ
การค้า การลงทุน
ของเหตุการณ์ต่างๆในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างไร” การกาเนิดความสัมพันธ์
ความต้องการที่จะมีชีวิตอย่างมี
Neoliberal institutionalism
ตัวแสดงต่างแสวงหาการมีชีวิต
การแข่งขันและการร่วมมือกัน
83
Democratic Peace theory
ขึ้นเพื่อทาหน้าที่ตอบคาถามนี้ รวมทั้ง อธิบายความเป็นไปในโลกโดยการอาศัย เครื่องมื อ
(Liberalism)
ที่ดีและความยุติธรรม
ตัวแสดงอื่นๆที่มิใช่รัฐ
เสรีนิยม
การเจรจา การจูงใจ
การค้า การลงทุน
จานวนหนึ่งและวิธีการในการพิจารณาปรากฎการณ์ แล้วสร้างคาอธิบายเพื่อทาความเข้าใจ
อานาจทางทหาร
อนาธิปไตย
ตีความหรือทานายเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งเครื่องมือดังกล่าวนั้นเป็นที่มาของการสร้างและ
ความกลัว
ความสุข
hegemonic transition
and hegemonic war
เครื่องมือเหล่านี้ขึ้นมา
ความต้องการอานาจ
Balance of power
(Realism)
สัจนิยม
อานาจทางทหาร
Theories of
อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น
อนาธิปไตย
การแข่งขัน
ความกลัว
มั่นคง
และรัฐมิได้เป็นตัวแสดงหลักที่สาคัญอีกต่อไป หากยังสัมพันธ์กับการพึ่งพาอาศัยทางเศรษฐกิจ
รัฐ
แนวคิดที่เกี่ยวข้องในสำนัก
เป้ำหมำยของตัวแสดง
ระบบระหว่ำงประเทศ
เครื่องมือที่สำคัญของ
และอื่ น ๆด้ ว ยเหตุ นี้ เ อง นั ก วิ ช าการบางกลุ่ ม เริ่ ม ที่ จ ะใช้ ค าว่ า “International Studies”
ตัวแสดงหลัก
รูปแบบเชิงของ
ที่สำคัญ
84
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
บทที่ 4 บทที่ 4
ทฤษฎีสจั นิยม (Realism) ทฤษฎีสัจนิยม
Realism
4.1 บทนำ
สั จ นิ ย ม หรื อ อาจจะเรี ย กว่ า สั จ นิ ย มทางการเมื อ ง (Political Realism) หรื อ
การเมืองแห่งอานาจ (Power Politics) สัจนิยมเป็นแนวคิดที่เก่าแก่ (Donnelly, 2005: 29)
มีรากฐานมาจาก “Realpolitik”อันเป็นภาพสะท้อนการเมืองของการเมืองยุโรปในศตวรรษที่
19 แต่แนวคิดนี้ก ลั บปั ก หลัก และงอกงามในสหรั ฐอเมริ ก าในฐานะทฤษฎี ที่ ท รงพลั ง และ
ครอบงาการศึกษาในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองก็
ว่าได้ ทฤษฎีสัจนิยมกาเนิดขึ้นมาเพื่อโต้แย้งแนวคิดเสรีนิยมหรืออุดมคตินิยมซึ่งเป็นแนวคิดที่
ได้ รั บ ความสนใจเป็ น อย่ า งมากในสมั ย นั้ น ว่ า ไม่ ส ามารถอธิ บ ายปรากฎการณ์ ก ารเกิ ด
สงครามโลกได้อย่างสมเหตุสมผล ทฤษฎีสัจนิยมก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในสมัยสงครามเย็นที่ระบบ
การเมืองโลกแบ่งออกเป็นสองขั้วอานาจอย่างชัดเจน และต่อมาเมื่อบริบ ททางการเมือ ง
ระหว่างประเทศได้เปลี่ย นแปลงไปก็ มีก ารพั ฒนาทฤษฎีสัจนิย มจนกลายเป็น สัจ นิย มใหม่
(Neo-Realism) หรือสัจนิยมเชิงโครงสร้าง (Structural Realism)
กล่าวได้ว่า การก่อตัวของทฤษฎีสัจนิยมในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เริ่ ม ต้ น มาจากงานเขี ย นของ E.H.Carr ใน The Twenty Years’ Crisis 1919-1939 ซึ่ ง ได้
บรรยายช่วงเวลายี่สิบปีก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะเกิดขึ้นว่า ช่วงเวลาดังกล่าวมีแต่ความ
วุ่นวาย มิได้เป็นช่วงเวลาแห่งสันติภาพดังที่นักคิดแนวเสรีนิยมได้วาดไว้ และยังมองว่า แนวคิด
เสรีนิยม เป็นเพียงแนวคิดที่ “ไร้เดียงสา เพ้อฝัน ล่องลอย” (ขจรศักดิ์, 2555) กล่าวคือให้
ความสาคัญกับองค์กรระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ หรือบรรทัดฐานต่างๆ เช่น
ความยุติธรรม และความเท่าเทียม มากเกินไปโดยไม่พิจารณาความเป็นจริงที่กาลังเผชิญอยู่
ตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดคือ ความล้มเหลวขององค์การสันนิบาตชาติที่ไม่สามารถยับยังการ
รุก รานดินแดนของมหาอานาจรวมทั้งบทบาทของนาซีเยอรมันภายใต้ก ารนาของ Adolf
Hitler ที่ใช้นโยบายรุกรานประเทศต่างๆจนนาไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 จุดเด่นของแนวคิด
คาร์คือ การให้ความสนใจกั บความสาคัญของสถานการณ์ต่างๆที่เป็นต้นเหตุของสงคราม
มิ ฉ ะนั้ น เราจะไม่ เ ข้ าใจได้ เ ลยว่ า เพราะเหตุ ใ ดช่ วงเวลาเพี ย งแค่ 20 ปี ห ลั ง การลงนามใน
สนธิสัญญาสันติภาพฉบับต่างๆ จึงเกิดสงครามได้รวดเร็วขนาดนี้ นอกจากนั้นในหนังสือเล่มนี้
ดังนั้น คาร์จึงเรียกร้องให้มีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแก้ไขข้อบกพร่องทางความคิดแบบ
อุดมคติซึ่งละเลยการนาปัจจัยทางอานาจมาศึกษาการเมืองระหว่างประเทศ
85
85 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
4.2 หลักกำรและแนวคิดพื้นฐำนของทฤษฎีสัจนิยม
ในความเป็นจริงแล้ว ทฤษฎีสัจนิยมก็มีความหลากหลายในตัวทฤษฎีเองดังจะเห็น
ได้ จ ากวิ วั ฒ นาการและความหลากหลายในส านั ก เช่ น การเกิ ด กลุ่ ม ทฤษฎี สั จ นิ ย มเชิ ง
โครงสร้ า งหรื อ สั จ นิ ย มใหม่ แ ละแนวคิ ด ที่ เ กี่ ย วข้ อ งอี ก จ านวนหนึ่ ง ทั้ ง นี้ ขึ้ น อยู่ กั บ นั ก คิ ด
นักวิชาการในสานักนี้จะมีมุมมองโลกที่แตกต่างกันไป แต่นักคิดในกลุ่มสัจนิยมก็มีสมมติฐาน
ร่วมกันหลายประการกล่าวคือ ธรรมชาติแล้วของมนุษย์ (human nature) มีความเห็นแก่ตัว
ชอบการแข่งขัน เชื่อมั่นในตนเอง (egoism) มานับตั้งแต่อดีตด้วยความที่ธรรมชาติของมนุษย์
ดังกล่าวไม่เคยเปลี่ยน ส่งผลให้มนุษย์ต้องดิ้นรนและแข่งขันกันอยู่เสมอ ดังนั้นรัฐก็มีพฤติกรรม
เช่นเดียวกับมนุษย์ กล่าวคือ ผู้นาในฐานะเป็นผู้ขับเคลื่อนรัฐ เป็นผู้มีความเลวร้าย ดังนั้น
นโยบายของนรัฐจึงมีความก้าวร้าว แสวงหาผลประโยชน์และนาไปสู่สงครามเพื่อแสวงหา
อานาจซึ่งเป็นเรื่องที่พบเห็นได้อยู่ทั่วไป ในที่นี้ ผู้เขียนจึงนาเสนอหลักการและแนวคิดพื้นฐาน
ที่ทฤษฎีสัจนิยมมีร่วมกันเพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจเบื้องต้นก่อนที่จะทาความเข้าใจว่าใน
หลักการเบื้องต้นดังกล่าว นักคิดสัจนิยมมาขยายต่อยอดหรือสร้างคาอธิบายที่แตกต่างกันไป
อย่างไร
หลักกำรสำคัญของทฤษฎีสัจนิยม (Heywood, 2011; Viotti & Kauppi, 2012)
1) แนวทางการศึกษาตามความเป็นจริง (Realistic Approach)
2) การเน้นรัฐและผลประโยชน์แห่งชาติ (Statism and National Interests)
3) สภาวะอนาธิ ป ไตย (International Anarchy) รั ฐ ต้ อ งแสวงหาความอยู่ ร อด
(survival) และการพึ่งพิงตนเอง (self-help)
4) การถ่วงดุลอานาจ (the balance of power)
86
86
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
4.2.1 แนวทำงกำรศึกษำตำมควำมเป็นจริง
แนวทางการศึกษาของสัจนิยมเน้นการศึกษาการเมืองระหว่างประเทศตามที่เป็น
จริง (what it is) มากกว่าการศึกษาในลักษณะที่ควรจะเป็น (what ought to be) โดยเชื่อ
ว่าการศึกษาการเมืองตามความเป็นจริงนั้นเป็นวิธีการที่ถูกต้อง แท้จริง และเหมาะสม ซึ่ง
การศึกษาเช่นถือเป็นการตอบโต้การศึกษาของแนวคิดอุดมคตินิยมหรือเสรีนิยมที่มองโลกที่
“ไร้เดียงสา เพ้อฝันและล่องลอย” มากจนเกินไป ถึงแม้ว่าสานักสัจนิยมจะเชื่อเรื่องการสร้า ง
ความร่วมมือ ระเบียบโลก และการสถาปนาสันติภาพให้บังเกิดขึ้นเช่นเดียวกับสานักเสรีนิยม
แต่สัจนิยมว่ามองว่าการสร้างความร่วมมือและสันติภาพนั้นตั้งอยู่พื้นฐานเรือง “อานาจ” มิใช่
กฎหมายหรือบรรทัดฐานทางศีลธรรมใดๆ สันติภาพจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องเกิดจากการสร้างดุล
ทางอานาจ (balance of power) เพื่อป้องกันมิให้รัฐใดรัฐหนึ่งมีอานาจมากจนเกินไป
4.2.2 กำรเน้ น รั ฐ และผลประโยชน์ แ ห่ ง ชำติ (Statism and National
Interests)
จุดเด่นของแนวคิดสัจนิยมที่สาคัญคือ รัฐเป็นตัวแสดงที่มีเหตุผล (rational actor)
และเป็นตัวแสดงที่สาคัญที่สุดในระดับ การวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศ รัฐถือเป็น
ตัวแทนของประชาชนที่จะกระทาการใดๆในพรมแดนของรัฐ บางทีอาจจะเรียกแนวคิดนี้ว่า
กำรเน้นรัฐ หรือรัฐนิยม (statism) สาหรับนักคิดสัจนิยม รัฐเป็นตัวแสดงเดียวเท่านั้นที่ได้รับ
การพิจารณาอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างบทบาทของรัฐมหาอานาจที่มีต่อการสร้างการเมือง
โลก (ตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดในประเด็น นี้ พิจารณาได้จ ากบทบาทของสหรัฐอเมริก าและ
สหภาพโซเวียตในสมัยสงครามเย็น รวมทั้งมหาอานาจยุโรปที่ก่อให้เกิดสงครามโลกทั้งสอง
ครั้ง) ส่วนตัวแสดงอื่นๆ เช่น องค์การระหว่างประเทศ กลุ่มผู้ก่อการร้าย หรือบรรษัทข้ามชาติ
ไม่ มี ค วามส าคั ญ เพราะเป็ น สิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น จริ ง แต่ ไ ม่ ถ าวร นอกจากนั้ น แนวคิ ด นี้ ยั ง มองว่ า
พฤติกรรมของรัฐ ไม่แตกต่างจากพฤติกรรมของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว ร้ายกาจ ก้าวร้าว รับใช้
ตนเอง แสวงหาผลประโยชน์และกระหายอานาจ ดังนั้น ธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดนี้จึง
กลายเป็นพื้นฐานสาคัญในการอธิบายการเมืองระหว่างประเทศที่เต็มไปด้วยความรุ นแรง
ความตึงเครียด จนนาไปสู่ความขัดแย้งและสงครามอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นเพื่อความอยู่รอดของ
รัฐ รัฐจึงต้องแสวงหาผลประโยชน์แห่งชำติ (national interests) ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น
กฎเหล็ก ของการศึก ษาความสั มพั นธ์ระหว่างประเทศและยังถือเป็ นวิ ถีท างหลัก ของการ
ดาเนินการของรัฐในแนวทางสัจ นิยมที่จะนาไปสู่ก ารออกนโยบำยต่ำงประเทศ (foreign
policy)อี ก ด้ ว ย โดยทั่ ว ไป แต่ ล ะรั ฐ มั ก จะให้ ค วามส าคั ญ กั บ ผลประโยชน์ ที่ ค ล้ า ยกั น 4
ประการ ได้แก่ ประการแรกคือ ควำมอยู่รอดปลอดภัย (survival) ที่ต้องการให้รัฐเป็นเอก
87
87 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
88
88
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
89
89 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
กำรก่อกำเนิดแห่งดุลอำนำจ มี 2 รูปแบบ
1) รูปแบบกำรต่อต้ำนโดยตรง (The Pattern of Direct Opposition) โดยการที่รัฐ
หรือกลุ่มรัฐหนึ่งทาการต่อต้านรัฐอีกรัฐหนึ่งหรืออีกกลุ่มรัฐหนึ่ง
2) รูปแบบของกำรแข่งขัน (The pattern of competition) โดยการที่รัฐหรือกลุ่ม
รัฐแข่งขันกับอีกผ่ายหนึ่ง ในการครอบครองหรือครองงาทางอานาจเหนือรัฐที่มี
อานาจด้อยกว่า
ถึงแม้ว่านักคิดสายสัจนิยมจะเห็นพ้องต้องกันว่าระบบดุลแห่งอานาจเป็นสิ่งที่ใช้
รักษาความมั่นคงระหว่างประเทศและมีความจาเป็นที่จะต้องรักษาระบบนี้ไว้ แต่ก็ยังมีคาถาม
ที่ต้องทาความเข้าใจเกี่ยวกับดุลแห่งอานาจ คือ ดุลแห่งอานาจนี้เกิดขึ้นได้เองหรือมีคนทาให้
เกิ ด ขึ้ น มา มี ก ารให้ ค าตอบจากนั ก คิ ด สายสั จ นิ ย มคนส าคั ญ คื อ Henry Kissinger และ
Kenneth Waltz โดย Kissinger มองว่าดุลแห่งอานาจเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง แต่เป็น
ความตั้งใจของรัฐต่างๆที่จะทาให้เกิดขึ้น โดยการกาหนดของรัฐหรือผู้กาหนดนโยบายของรัฐ
ดุลแห่งอานาจที่เกิดขึ้นมานั้นไม่ว่าจะเป็นระบบสองขั้วอานาจหรือระบบหลายขั้วอานาจ เป็น
ผลมาจากความตั้งใจของผู้กาหนดนโยบายที่ต้องการให้สังคมระหว่างประเทศเป็นแบบนั้น แต่
ความตั้งใจดังกล่าวก็มิได้เกิดขึ้นอย่างง่ายดายและอิสระ หากแต่ต้องคานึงถึงความตั้งใจของรัฐ
อื่นๆ และข้อจากัดของอานาจรัฐที่กาหนดนโยบายต่างๆ ดังจะเห็นได้จาก การสร้างระบบ
ดุลอานาจแห่งยุโรปหลังการประชุมใหญ่แห่งเวียนนา (Congress of Vienna 1815) ที่บรรดา
มหาอานาจยุโรปต้องการรักษาสันติภาพและความมั่นคงของยุโรปภายหลังการสิ้นอานาจของ
พระจักรพรรดินโปเลียน ส่วน Waltz มองว่า ระบบดุลแห่งอานาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง ถึงแม้ว่า
รัฐจะเป็นตัวแสดงที่มีเหตุผล แต่รัฐไม่สามารถหลีกเลี่ยงสภาวะระหว่างประเทศอันวุ่นวาย
สับสนและไร้ความแน่นอน ดังนั้นเมื่อรัฐใดรัฐหนึ่งมีอานาจและพยายามจะครอบงาระบบ
ระหว่างประเทศ รัฐอื่นๆจะรวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมายเพื่อที่จะสกัดกั้นอานาจของรัฐนั้น
และทาให้ระบบดุลอานาจกลับมาอยู่ในสภาวะสมดุลดังเดิม ดังจะเห็นได้จากในประวัติศาสตร์
ยุโ รปสมัย พระจักรพรรดินโปเลียนเรืองอานาจและมีนโยบายรุกรานและยึดครองดินแดน
ในช่วง ค.ศ. 1804-1814 จนทาให้บรรดามหาอานาจเช่น อังกฤษ ปรัสเซีย รัสเซีย ออสเตรีย
รวมตัวกันเพื่อทาให้ระบบดุลอานาจยุโรปกลับสู่สภาพเดิม
90
90
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
91
91 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
1) การเมืองมีรากฐานมาจากธรรมชาติของมนุษย์อันถาวรและไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งโดย
พื้นฐานคือการถือเอาตนเองและผลประโยชน์แห่งตนเป็นที่ตั้ง
2) การเมื อ งคื อ “พื้ น ที่ อิ ส ระแห่ ง การกระท า” (an autonomous sphere of
action) และไม่ ส ามารถลดระดั บ สู่ ร ะดั บ ศี ล ธรรม (cannot be reduced to
morals)
3) ผลประโยชน์ส่วนตัว (self-interests) เป็นหลักการพื้นฐานของความเป็น มนุษย์
การเมืองเป็นพื้นที่แห่งการขัดแย้งแข่งขันทางอานาจระหว่างรัฐ ผลประโยชน์นั้นไม่
มีความตายตัว รัฐจึงปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
4) จริยธรรมของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นจริยธรรมทางการเมืองที่มีความ
แตกต่างอย่างมากจากศีลธรรมส่วนบุคคล ผู้นาการเมืองมิได้มีเสรีภาพที่จะทาสิ่ง
ถูกต้องเฉกเช่นพลเมืองเนื่องจากผู้นาต้องรับผิดชอบที่หนัก หนาสาหัส เช่น การ
ดูแลความอยู่รอดปลอดภัยของรัฐและสวัสดิการต่างๆ
5) นักคิดสัจนิยมคัดค้านการที่รัฐพยายามจะนาอุดมการณ์ของตนไปยัดเยียดรัฐอื่นๆ
6) ศิลปะการปกครองรัฐ (Statecraft) เป็นความสามารถและความสุขุมที่จะต้องรู้
ข้อจากัดของมนุษย์ ความจริงที่รับได้ยากคือการมองมนุษย์ในแง่ลบ
92
92
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
93
93 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
94
94
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
โครงสร้ำงระหว่ำงประเทศ ผลลัพธ์ในระหว่ำงประเทศ
(หน่วยระดับรัฐและควำมสัมพันธ์) (ผลกระทบของกำรแข่งขันของรัฐ)
สภาวะอนาธิปไตยระหว่างประเทศ ระบบดุลอานาจ
รัฐในฐานะหน่วยที่เหมือนกัน (like unit) การปรากฎซ้าๆในระดับระหว่างประเทศ
(international recurrence)
ความสามารถของรัฐที่ไม่เท่ากัน ความขัดแย้งระหว่างประเทศและ
สงคราม
ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอานาจ การแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ
95
95 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เราจะพบเห็นการถ่วงดุลอานาจ
ระหว่างรัฐอยู่เสมอ ซึ่งอาจจะเป็นระบบหลำยขั้วอำนำจ (Multi-Polar) ดังจะเห็นได้จาก
การถ่วงดุลระหว่างมหาอานาจยุโรปในศตวรรษที่ 18 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการประชุมใหญ่แห่ง
เวียนนา (Congress of Vienna) ใน ปี ค.ศ.1815 จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ระบบสอง
ขั้วอำนำจ (Bi-polar) ซึ่งสามารถอธิบายการเมืองโลกในสมัยสงครามเย็น ที่มีการถ่วงดุล
ระหว่ า งสหรั ฐ อเมริก าและสหภาพโซเวี ย ต ที่ ต่ า งพยายามขยายอิท ธิ พ ลและแสวงหารัฐ
พันธมิตร เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลงส่งผลให้ระบบระหว่างประเทศในช่วงแรก เป็นเพียงขั้ว
อำนำจเดี่ยว (Unipolar)ที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นา
ในความเห็นของ Waltz ระบบหลายขั้วอานาจเป็นระบบที่ไม่มีประสิทธิภาพเพราะ
รัฐแต่ละรัฐจะไม่มีทางแน่ใจว่ารัฐใดจะเป็นมิตรที่ดีหรือสร้างภัย ต่อความมั่นคงของตนเอง
ความไม่ มีเ สถีย รภาพนั้ นเกิ ดจากความผิ ด พลาด 2 ประการคือ กำรติ ด ร่ ำ งแห (Chain-
ganging/Entrapment) ซึ่งเป็นการถูกดึงเข้าไปสู่ความขัดแย้งโดยไม่จาเป็น และ กำรผลัก
ภำระให้ผู้อื่น (Buck-passing/Abandonment) ซึ่งเมื่อใดที่เกิดความขัดแย้ง จะมีการผลัก
ภาระให้รัฐที่อยู่ใกล้ความขีดแย้งนั้นให้รับภาระไปก่อน ความไม่แน่นอนเป็นไปตามกฎแห่ง
อานาจที่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรในระบบระหว่างประเทศ ความไม่แน่นอนเหล่านี้ล้วนเป็น
ปัจจัยที่นาไปสู่ความขัดแย้งและสงครามใหญ่ในที่สุด ดังจะเห็นได้จากสงครามในช่วงปี 1815
จนกระทั่งก่ อนสงครามโลกครั้งที่ 1 บรรดารัฐมหาอานาจในยุโ รปเกิดความหวาดระแวง
นาไปสู่การสร้างค่ายพันธมิตรซึ่งก็ไม่มีความแน่นอนในการเปลี่ยนค่ายอานาจอันเป็นผลมา
96
96
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
Kenneth Waltz
และผลงำนสำคัญ Man, the State and War
และ Theory of International Politics
97
97 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
98
98
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
99
99 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
100
100
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
101
101 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
102
102
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
103
103 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ต้องการให้มหาอานาจในยุโรปเข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจการภายในของสหรัฐอเมริกาเอง จึงมีการ
ประกาศลัทธิมอนโร (Monroe Doctrine) ในปี 1823 นอกจากนั้นด้วยการครองความเป็น
เจ้าของสหรัฐอเมริกาอัน ยาวนาน อเมริกาก็ยังไม่ต้องการให้มหาอานาจยุโรปเช่น เยอรมนี
หรือรัฐในเอเชียตะวันออก เช่น จีนหรือญี่ปุ่น เข้ามาเป็นคู่แข่ง สหรัฐอเมริกาเผชิญหน้ากับ
จักรวรรดิเยอรมนีในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง
รวมทั้งกับสหภาพโซเวียตในสมัย สงครามเย็น ทั้งนี้ก็เพื่อเป้าหมายที่ว่าหากรัฐใดมีอ านาจ
เหนือยุโรปแล้ว รัฐนั้นจะมีอิสระในการรุกรานซีกโลกตะวันตก และอาจเป็นภัยต่อความมั่นคง
ของอเมริกาเอง
ในทัศนะดังกล่าว สรุปได้คือรัฐต่างๆต้องการก้าวขึ้นมาเป็นมหาอานาจในระดับ
ภูมิภาค Mearsheimer เสนอต่อไปอีก ว่า เยอรมนีจะก้ าวขึ้นมาเป็น ผู้ นายุโ รปและจี น จะ
กลายเป็นมหาอานาจที่ครอบงาเอเชีย ในทฤษฎีของเขาเองนั้นยังอาจวิเคราะห์ต่อไปได้ว่า
หากจีนก้ าวขึ้นมาเป็นผู้นาเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการครองความเป็นเจ้าเหนือภูมิภาค
เอเชียตะวันออก สหรัฐอเมริกาอาจจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ป้องกันหรือกระทาการเพื่อลดอานาจ
ของจี น ในเอเชี ย ตะวั น ออก หรื อ มองในอี ก มุ ม หนึ่ ง หากจี น ก้ า วขึ้ น มาเป็ น คู่ แ ข่ ง กั บ
สหรัฐอเมริกาในอนาคตแล้ว สหรัฐอเมริกาคงจะถูกคาดหวังว่าจะต้องทาการปิดล้อมอิทธิพล
ของจี น และป้ อ งกั น การแทรกแซงของจีน ในภู มิ ภ าคอื่ น ๆของโลกโดยเฉพาะในบริเ วณที่
สหรัฐอเมริกามีผลประโยชน์
Mearsheimer ก็ได้กล่าวถึงเรื่องดุลอานาจเช่นเดียวกับ Waltz และมีการแบ่งเป็น
4 รูปแบบคือ
1) ระบบสองขั้วอำนำจที่ไม่ถ่วงดุลกัน (unbalanced bipolarity) ซึ่งในความเป็นจริง
ระบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์
2) ระบบสองขั้วอำนำจที่ถ่วงดุลกัน (balanced bipolarity) หรือระบบสองขั้วอานาจ
นั้น เป็นระบบที่มหาอานาจสองรัฐมีอานาจเท่าเทียมกัน เช่น การถ่วงดุลอานาจระหว่าง
สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตในสมัยสงครามเย็น ซึ่ง Mearshimer องว่าเป็นระบบ
ที่มีเสถียรภาพมากที่สุด มีโอกาสที่จะเกิดสงครามน้อยมากเนื่องจากมีตัวแสดงเพียงสอง
ตัวเท่านั้น
3) ระบบหลำยขั้ ว อ ำนำจที่ ไ ม่ถ่ ว งดุ ล กั น (unbalanced multipolarity) เป็ น ระบบ
หลายขั้วมหาอานาจที่มากว่า 3 รัฐในระบบระหว่างประเทศและรัฐใดรัฐหนึ่งมีอานาจ
มากพอที่ จ ะก้ า วมาเป็ น มหาอ านาจได้ เช่ น สมั ย ที่ พ ระจั ก รพรรดิ Napoleon เรื อ ง
104
104
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
105
105 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
106
106
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
ถึงแม้ว่าการเกิดสงครามนั้นจะสามารถอธิบายได้ด้วยหลายสาเหตุ แต่แนวคิดสัจ
นิยมใหม่ยังคงเชื่อเสมอว่า โอกาสของการเกิดสงครามนั้นเกิดจากโครงสร้างของระบบระหว่าง
ประเทศ (architecture of international system) นักสัจนิยมบางคนได้อภิปรายเพิ่มเติม
อีกว่า การเกิดสงครามนั้นอาจจะเกิดขึ้นมาจาก จานวนรัฐมหาอานาจหรือระบบขั้วอานาจที่มี
อยู่ในระบบเวลานั้น ในขณะที่บางคนเน้นไปที่กระจายตัวของอานาจระหว่างรัฐสาคัญด้วยกัน
และนั ก คิ ด สั จ นิ ย มบางคนเสนอว่ า การเปลี่ ย นแปลงในการถ่ ว งดุ ล แบบเชิ ง รุ ก -เชิ ง รั บ
(offence-defence balance) มีอิทธิพลอย่างมากต่อการเกิดสงคราม
107
107 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
108
108
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
109
109 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
กำรกระจำยอำนำจเชิง
สัมพันธ์และตำแหน่งของรัฐใน นโยบำยต่ำงประเทศ
ระบบระหว่ำงประเทศ
(ตัวแปรตำม)
(ตัวแปรต้น)
ตัวแปรแทรกซ้อน
Randal Schweeler นั ก วิ ช าการในกลุ่ ม สัจ นิ ย มดั้ งเดิ มแนวใหม่ ไ ด้ ย้อ นกลั บไป
ทบทวนศึก ษางานเขีย นของ Morgenthau และ Henry Kissinger เพื่อที่จ ะย้าเตือนเราว่า
ความแตกต่างที่สาคัญระหว่างประเด็นการรักษาสถานะเดิมของรัฐต่างๆ (status quo) และ
รัฐที่เข้ามาท้าทาย (revisionist states) ดังจะเห็นในงานของนักคิดสายสัจนิยมดั้งเดิมใหม่ที่
อธิบายว่า ในช่วงทศวรรษที่ 1930 การที่เยอรมนีเป็นรัฐที่ท้าชิงและเป็นรัฐที่รักษาสถานะภาพ
เดิมของตนตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด ถือเป็นความสาคัญขั้นพื้นฐานของการทา
ความเข้าใจบทบาทของสิ่ง นี้ใ นระบบระหว่ างประเทศ นอกจากนั้น Fareed Zakaria ได้
110
110
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
จากที่ ก ล่ า วมานั้ น จะเห็ น ได้ ว่ า ทฤษฎี สั จ นิ ย มเป็ น แนวคิ ด ที่ “ไร้ ก าลเวลา”
(timeless) และทรงอิ ท ธิ พ ลในการศึ ก ษาความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งประเทศมาตั้ ง แต่ ห ลั ง
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่กระนั้นเมื่อโลกเปลี่ยนไปโดยเฉพาะหลังยุคสงครามเย็น สัจนิยมก็
ถูกตั้งคาถาม ท้าทายและวิพากษ์วิจ ารณ์จ ากนัก วิชาการในสานักอื่นว่ายังสามารถอธิ บาย
ความเป็นไปของโลกได้อยู่หรือไม่ อย่างไรก็ดีทฤษฎีสัจนิยมก็มีพัฒนาการภายในสานักจนเกิด
เป็นสัจ นิย มใหม่ร วมทั้ง แนวคิ ด ที่เกี่ ย วข้องโดยตั้งอยู่ บนพื้ น ฐานของ “ตัวแสดงรัฐ ” และ
“การเมืองอานาจ” ที่ยังคงเป็นพระเอกที่สาคัญในเวทีการเมืองโลกอยู่เสมอมา
111
111 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
นักทฤษฎีควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศในสำนักสัจนิยม
1 2
112
112
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
114
114
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
บทที่ 5 บทที่ 5
ทฤษฎีเสรีนิยม (Liberalism) ทฤษฎีเสรีนิยม
Liberalism
5.1 บทนำ
แนวคิดเสรีนิยมเป็นผลผลิตจากช่วงประวัติศาสตร์ตะวันตกในยุคเหตุผลอันงอกเงย
มาจากการปฏิ วั ติ วิ ท ยาศาสตร์ (The Scientific Revolution) และยุ ค ภู มิ ธ รรม (The
Enlightenment) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนในโลกตะวันตกเริ่มตื่นตัวและให้ความสาคัญกับเรื่อง
สิทธิ เสรีภาพส่วนบุคคล ประกอบกับกระแสการสร้างความทันสมัยของรัฐสมัยใหม่ที่มีการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งอิทธิพลจากนักปรัชญาการเมืองโดยเฉพาะ John
Locke ที่นาเสนอประเด็นศัก ยภาพอั นยิ่ งใหญ่ส าหรับ ความก้ า วหน้ าของมนุษย์ (human
progress) ในโลกสมัยใหม่และยุคสมัยแห่งเศรษฐกิจทุนนิยมที่กาลังก่อร่างขึ้นมาในศตวรรษที่
17 นอกจากนั้นแนวความคิดของนักปรัชญาการเมืองเช่น Jeremy Bentham ที่เสนอเรื่อง
กฎหมายระหว่างประเทศและ Immanuel Kant ที่ให้ความสาคัญกับสันติภาพอันถาวรก็มีผล
ต่อการสร้างฐานคิดที่นาไปสู่การสถาปนาองค์ความรู้ทฤษฎีเสรีนิย มในสาขาความสัม พั นธ์
ระหว่างประเทศซึ่งนับเป็นแนวคิดลาดับต้นๆที่มีก ารศึกษาอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่ตั้ง
สาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเกิดขึ้นในโลกวิชาการตะวันตก
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสิ้นสุดลงพร้อมกับคาถามเพื่อการรักษาสันติภาพ
ของระบบระหว่างประเทศที่ว่า “จะทาอย่างไรมิให้รัฐต่างๆก่อสงครามขึ้นมาอีก ” แนวคิดเสรี
นิ ย มซึ่ ง ในขณะนั้ น มั ก จะเรี ย กว่ า อุ ด มคติ นิ ย ม (Idealism) ได้ ก ลายเป็ น จุ ด เริ่ ม ต้ น ของ
การศึก ษาความสั ม พั นธ์ ระหว่ างประเทศในฐานะสาขาวิ ช าและมี บ ทบาทต่อการก าหนด
นโยบายของชนชั้นนาในโลกตะวันตก ดังจะเห็นได้จากการจัดตั้งองค์การสันนิบาตชาติ และ
องค์การสหประชาชาติ ภายหลังสงครามโลกทั้งสองครั้งตามลาดับ ในช่วงสงครามเย็น ทฤษฎี
สัจ นิย มจะทรงพลังในการอธิบายการเมืองระหว่างประเทศที่มีความขัดแย้ง แบ่ งค่ายกัน
ระหว่างประเทศมหาอ านาจจนแทบจะบดบั ง ความส าคั ญของทฤษฎีเ สรี นิย มไปบ้ าง แต่
กระนั้นก็มีการพัฒนาเนื้อหาของทฤษฎีจนกลายเป็นทฤษฎีเสรีนิยมใหม่หรือทฤษฎีเสรีนิยม
เชิ ง สถาบั น (Neo-Liberalism or Institutional Liberalism) ที่ เ น้ น บทบาทของสถาบั น
ระหว่างประเทศมาอธิบายบริบ ททางเศรษฐกิจการเมืองโลกที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงทศวรรษ
1970 กล่ า วได้ ว่ า ทฤษฎี เ สรี นิ ย มเริ่ ม กลั บ มามี พื้ น ที่ ใ นแวดวงวิ ช าความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า ง
ประเทศอีกครั้งตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 เป็นต้นมา โดยทฤษฎีดังกล่าวสามารถอธิบายการเมือง
115
115 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ระหว่างประเทศได้หลากหลายมิติมากกว่าที่จะเน้ นมิติทหารและการเมืองอันเป็นใจความ
สาคัญของกลุ่มนักทฤษฎีสัจนิยม อีกทั้งทฤษฎีสัจนิยมก็มีข้อจากัดอยู่หลายประการ กล่าวได้
ว่า ถึงแม้ว่าทฤษฎีสัจนิยมจะมีอิทธิพลต่อการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาช้านาน
แต่ทฤษฎีเสรีนิยมก็เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่ขอ “ท้าชน” สัจนิยมเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของ
การศึกษา (Dunn, 2011: 102)
จากที่กล่าวไปข้างต้น ทฤษฎีเสรีนิยมได้กลับมามีบทบาทอีกครั้งอันเป็นผลมาจาก
สถานการณ์ระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลง ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ต่อไปนี้ กล่าวคือ
1) ในสมัยผ่อนคลายความตึงเครียด (Détente Period) บรรดารัฐมหาอานาจ
เริ่มมีการติดต่อและปรับความสัมพันธ์กันมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่สหรัฐอเมริกาปรับ
ความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศมิได้มีแต่ความขัดแย้งและสงครามเท่านั้น หากแต่ยังมีการเจรจา การประนีประนอม
กันได้
2) ในช่วงทศวรรษที่ 1970 เกิดความร่วมมือในทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวมากขึ้น
ซึ่งแนวคิดสัจนิยมเองมองว่าเป็นไปไม่ได้ที่ในระบบระหว่างประเทศจะสามารถร่วมมือกัน อีก
ทั้งสัจนิยมเองก็เชื่อการถ่วงดุลอานาจและสร้างขั้วอานาจ แต่จากปรากฎการณ์ในยุคนั้น เริ่ม
เกิดการร่วมมือและรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐต่างๆ เช่น การจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจ
ยุโรป การทาความตกลงว่าด้วยพิกัดศุลกากรและการค้า (General Agreement on Tariffs
and Trade: GATT) ดังนั้นปรากฎการณ์ตัวอย่างนี้เป็นสิ่งที่แสดงว่า ความร่วมมือระหว่างรัฐ
นั้นมีความเป็นไปได้ อีกทั้งองค์การและสถาบันระหว่างประเทศเป็นดั่งตัวเชื่อมความร่วมมือ
3) การสิ้นสุดสงครามเย็นในทศวรรษ 1990 ยิ่งเป็นการตอกย้าให้เห็นถึงชัยชนะ
แห่งแนวคิดเสรีนิยมที่เห็นการสิ้นสุดขั้วอานาจของโลกสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ กระแสคลื่น
ประชาธิปไตย (Democratic Wave) และการทาให้เป็นประชาธิปไตย (Democratization)10
ได้ ข ยายตั ว ไปทั่ ว โลกแม้ แ ต่ ป ระเทศที่ เ คยปกครองด้ ว ยระบอบคอมมิ ว นิ ส ต์ ก็ ต าม จน
นักวิชาการอย่าง Francis Fukuyama ได้วิเคราะห์โ ลกและการปกครองทั่วโลกว่า “มาถึง
116
116
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
สำนักสัจนิยมสำมำรถอธิบำยได้ สำนักสัจนิยมไม่สำมำรถอธิบำยได้
กิจกรรมความขัดแย้งต่างๆในสมัยสงครามเย็น ความเป็นจริงของยุคหลังสงครามเย็นที่มีความ
ในบรรดารัฐต่างๆ ร่วมมือระหว่างกันในบรรดารัฐเอกราช
ความกระหายอานาจ กระแสประชาธิปไตย
ความปรารถนาแห่งการขยายดินแดน ความตกลงทางการค้ า เสรี ใ นเชิ ง เสรี นิ ย มที่
เพิ่มขึ้น
การดิ้นรนเพื่อความเป็นเจ้า การปรับบทบาทของสหประชาชาติ
การแข่งขันทางอาวุธในหมู่รัฐมหาอานาจ ความตกลงว่า ด้ ว ยการควบคุ ม อาวุธ ที่ เป็ นที่
แพร่หลายยิ่งขึ้น
ภาวะครอบงากับความมั่นคงแห่งชาติ มนุษยธรรมระหว่างประเทศ
117
117 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
5.2 หลักกำรพื้นฐำนของแนวคิดเสรีนิยม
เพื่อเป็นปูพื้นฐานทฤษฎีเสรีนิยมและการต่อยอดทฤษฎีเสรีนิยมในความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศ โดยสมมติฐานของแนวคิดเสรีนิยมเชื่อว่า (Stean, Pettiford, Diez & El-
Anis, 2010: 31-32; Jackson & Sorensen, 2013: 100-102)
1) มนุษย์เป็นคนดีโดยธรรมชาติและมีเหตุมีผล มีความสามารถที่จะแสวงหา
ผลประโยชน์ อีกทั้งมนุษย์สามารถที่จะเข้าใจหลักศีลธรรรมและดารงอยู่ใน
หลักนิติธรรมได้ (The rule of law)
2) มนุษย์ล้วนต่างแสวงหาผลประโยชน์ แต่เชื่อว่า “ผลประโยชน์ร่วมกันเกิดขึ้น
ได้” (a potential harmony of interests)
3) ความร่วมมือเป็นสิ่งที่เป็นไปได้และเป็ นลักษณะสาคัญของความสัมพันธ์ของ
มนุษย์ รวมทั้งในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย
4) แนวคิ ด เสรี นิ ย มได้ ท้ า ทายความแตกต่ า งระหว่ า งกรอบการมองกิ จ การ
ภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยอ้างถึงความสัมพันธ์ที่หลากหลาย
ระหว่างประชาชนที่อยู่เหนือพรมแดนของรัฐ มองว่ารัฐบาลเป็นสิ่งจาเป็นแต่
การรวมศูนย์อานาจเป็นสิ่งเลวร้าย เสรีภาพระดับปัจเจกบุคคลมีความสาคัญ
ที่สุด
จากสมมติฐานข้างต้น สามารถสร้างข้อสรุปของทฤษฎีเสรีนิยมในการศึกษา
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ ยกตัวอย่างเช่น
1) หากมองว่ามนุษย์เป็นคนดีและมีผลประโยชน์ร่วมกันแล้วสงครามก็จะไม่เกิด
2) พหุนิยมทางการเมือง (political pluralism) และประชาธิปไตยถือว่ามี
ความสาคัญ
3) เชื่อว่าความร่วมมือกันจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีในความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศ
4) เน้ น การกระจายรู ป แบบทางอ านาจที่ แ ตกต่ า งกั น (รวมทั้ ง อ านาจทหาร
เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และรูปแบบความคิด) และให้ความสาคัญกับ
ตัวแสดงอื่นๆนอกเหนือจากรัฐเพียงอย่างเดียว
5) เน้นหลัก การสิทธิมนุษยชน (human rights) เนื่องด้วยความมีเหตุผลของ
มนุษย์
6) เสรีนิยมเป็นหลักการสากล (universal doctrine) และถือเป็นความคิดของ
ประชาคมสากลแห่งมนุษยชาติ (a universal community of mankind)
118
118
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
7) แนวคิดเรื่องการพึ่งพาอาศัยกันและสังคมโลกของเสรีนิยมในโลกยุคปัจจุบัน
เชื่อว่าเส้นเขตแดนระหว่างรัฐจะลดความสาคัญลง
โดยสรุ ป แล้ ว เสรี นิ ย มเกี่ ย วข้ อ งกั บ การเกิ ด ขึ้ น ของรั ฐ ที่ ใ ช้ ร ะบอบรั ฐ ธรรมนูญ
สมัยใหม่ นักคิดเสรีนิยมเสนอว่าการทาให้ทันสมัย (Modernization) ได้ขยายขอบเขตของ
ความร่วมมือข้ามพรมแดนระหว่างรัฐ หากความก้าวหน้าหมายถึงการมีชีวิตที่ดีอีกทั้งการมี
เหตุผลของมนุษย์ ถูกนามาปรับใช้กับกิจการระหว่างประเทศแล้ว การร่วมมือที่ดีก็ย่อมเกิดขึ้น
ในที่สุด ดังจะเห็นได้จากแผนภาพที่ 5.1
แผนภำพที่ 5.1 สมมติฐำนเบื้องต้นของแนวคิดเสรีนิยม
กระบวนกำรของกำรทำให้ทันสมัย : กำรพัฒนำของรัฐสมัยใหม่
119
119 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
120
120
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
ก็ล้มเหลวเนื่องจากบรรดาประเทศมหาอานาจไม่ให้ความร่วมมือและยังรุกรานประเทศต่างๆ
ดังเช่น ญี่ปุ่นรุกรานแมนจูเรีย ในปี 1931 และอิตาลีบุกเอธิโอเปียในปี 1935 เป็นต้น อีกทั้ง
บทบาทของมติมหาชนมีความสาคัญมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบ
เผด็จการเช่น ฟาสซิสต์ในอิตาลี และนาซีเยอรมนีที่ผู้นารัฐบาลส่งเสริมและสนับสนุน การ
รุกรานและการทาสงคราม จนนาไปสู่ความขัดแย้งและปะทุเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง และ
สันนิบาตชาติก็ยุติบทบาทลงในปี 1939 ทาให้แนวคิดเสรีนิยมเสื่อมความนิยมลงไป
ตำรำงที่ 5.2 กำรอธิบำยสำเหตุของสงครำมและแนวทำงกำรสร้ำงสันติภำพของเสรีนิยม
(Dunne,2011: 103)
121
121 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
5.4 ทฤษฎีเสรีนิยมหลังสงครำมโลกครั้งที่ 2
การสถาปนาสันติภาพและการประสานความร่วมมือระหว่างรัฐหลังสงครามโลก
ครั้งที่ 2 ที่เป็นรูปธรรมที่สุ ด คือ การก่ อตั้ง องค์ก ารสหประชาชาติ (United Nation: UN)
ขึ้ น มาท าหน้ า ที่ แ ทนองค์ ก ารสั น นิ บ าตชาติ ที่ ยุติ บ ทบาทลง โดยองค์ ก ารสหประชาชาติมี
วัตถุประสงค์ที่สาคัญคือ เพื่ออานวยความสะดวกแก่ความร่วมมือในกฎหมายระหว่างประเทศ
ความมั่นคงระหว่างประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจ กระบวนการทางสังคม สิทธิมนุษยชน และ
การบรรลุสันติภาพโลกซึ่งวัตถุประสงค์ดังกล่าวเป็นลักษณะของแนวทางของทฤษฎีเสรีนิยม
หากแต่บรรยากาศการเมืองระหว่างประเทศตั้งแต่ทศวรรษที่ 1940 เป็นบรรยากาศความ
ขัดแย้งระหว่างค่ายเสรีนิยมประชาธิปไตยและค่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ซึ่งทฤษฎีสัจนิยม
เป็นแนวคิดที่สามารถอธิบายเหตุการณ์ในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี จึงดูเหมือนว่าทฤษฎีเสรีนิยมที่
เน้นเรื่องสันติภาพและความร่วมมือในระดับระหว่างประเทศไม่สามารถอธิบายปรากฎการณ์
ที่เกิดขึ้นได้อย่างเพียงพอ แต่ในสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศดังกล่าว ก็ยังมีนักวิชาการสาย
เสรีนิยมจานวนหนึ่งได้ศึกษาและสร้างกรอบทฤษฎีเพื่ออธิบายปรากฎการณ์ความร่วมมือที่
เกิดขึ้นในบรรยากาศดังกล่าวเพราะต่างเห็นว่าในบรรยากาศของความขัดแย้งในสงครามเย็น
เราสามารถพบเห็นการติดต่อค้าขายและตัวแสดงอื่นๆที่มิใช่รัฐแสดงบทบาทในความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศซึ่งถือว่านอกเหนือจากการอธิบายของสานักสัจนิยม
Keohane (1986) นักวิชาการคนสาคัญในสานักเสรีนิย มได้แบ่งแนวคิดเสรี นิย ม
ออกเป็น 3 รูปแบบ เพื่อทาความเข้าใจและตีความการเมืองโลกในยุคร่วมสมัย โดยให้เหตุผล
ว่าหากเรายังนิยามเสรีนิยมในแบบดั้งเดิมก็มักจะหมายถึงแนวคิดของ Adam Smith หรือ
David Ricardo ซึ่งเป็นแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ที่ เน้นการค้าเสรีหรือ ความเป็นเสรีทาง
เศรษฐกิจเท่านั้น ในอีกมุมหนึ่ง หากพิจารณาความหมายของเสรีนิยมในแง่ทฤษฎีการเมือง ก็
มักจะหมายถึง เสรีภาพและความเป็นปัจเจกชน ดังนั้น เราจึงควรพิจารณาเสรีนิยมในฐานะ
“แนวทางการศึกษา” (approaches) ต่อการวิเคราะห์สภาพความเป็นจริงในสังคมมากกว่าที่
จะพิ จ ารณาเป็ น เพี ย ง “อุ ด มการณ์ ห รื อ ลั ท ธิ แ ห่ ง เสรี ภ าพ” (doctrine of liberty) อั น
ประกอบด้วย การให้ความสาคัญกับปัจเจกชน การทาความเข้าใจว่าการรวมกลุ่มของปัจเจก
ชนสร้างการตัดสินใจร่วมกันได้อย่างไร อีกทั้งองค์กรควบคุมปฎิสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกชนได้
อย่างไร ประการสุดท้ายคือการสร้างการวิเคราะห์ต่อการมองโลกที่เน้นสิทธิของปัจเจกชน
และความก้าวหน้าในกิจกรรมของมนุษย์ Keohane แบ่งเสรีนิยมออกเป็น 3 ประเภทดังนี้ คือ
เ ส รี นิ ย ม เ ชิ ง ป ร ะ ช ำ ธิ ป ไ ต ย (republican liberalism/democratic liberalism) เ น้ น
ความสาคัญเรื่องเสรีภาพส่วนบุคคล นิติธรรม (the rule of law) และความเท่าเทียมกันของ
122
122
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
123
123 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
124
124
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
125
125 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
กิจกรรมอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่มีระดับการพึ่งพากัน
และกันสูงในขณะนั้นหรือในอนาคต
จะเห็นได้ว่า แนวคิดเสรีนิย มเชิงบูรณาการในยุคนี้ได้เสนอวิธีก ารที่จ ะนามาซึ่ง
สันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง รัฐทั้งหลายควรร่วมมือกันและยอมสละอานาจอธิปไตย
บางส่ ว นเพื่ อ สร้ า งประชาคมที่ บู ร ณาการ (Integrated Community) เพื่ อ ส่ ง เสริ ม การ
เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหรือร่วมรับผิดชอบต่อปัญหาต่างๆภายในภูมิภาค ตัวอย่างที่เด่นชัด
ที่สุดคือ กำรก่อตั้งสหภำพยุโรป (European Union: EU) ถือเป็นการรวมตัวของประชาคม
ระดับภูมิภาคซึ่งเริ่มต้นมาจากการกระตุ้นความร่วมมือในการผลิตถ่านหินและเหล็กกล้า และ
ก่ อ ตั้ ง เป็ น ประชาคมถ่ า นหิ น และเหล็ ก กล้ า แห่ ง ยุ โ รป ( European Coal and Steel
Community: ECSC) ในปี 1951 ซึ่ ง ถื อ เป็ น ครั้ ง แรกที่ รั ฐ สมาชิ ก ตกลงใจที่ จ ะสละอ านาจ
อธิ ป ไตยบางส่ ว นให้ กั บ องค์ ก รเหนื อ รั ฐ 13 อี ก ทั้ ง ยั ง ได้ ข ยายความร่ ว มมื อ เป็ น ประชาคม
เศรษฐกิจยุโรป (European Economic Community: EEC) และประชาคมพลังงานปรมาณู
แห่งยุโรป (European Atomic Energy Community: EAEC) นาไปสู่การรวมตัวกันในนาม
ประชาคมยุโรป (European Community: EC) ภายใต้การลงนามในสนธิสัญญาบรัสเซลส์
(Brussels Treaty) ในปี 1965 และสมาชิ ก สามารถร่ ว มลงนามในสนธิ สั ญ ญามาสทริ ช ท์
(Maastricht Treaty) หรื อ ชื่ อ อย่ า งเป็ น ทางการว่ า สนธิ สั ญ ญาสหภาพยุ โ รป (Treaty on
European Union: TEU) ในปี 1993 เพื่อจัดตั้งสหภาพยุโรปที่มีลักษณะประชาคม “เหนือ
ชาติ” (supranational) ที่ขยายความร่วมมือไปสู่การบูรณาการทางการเมืองและเศรษฐกิจที่
ลึกซึ้งยิ่งขึ้นโดยการจัดตั้งสถาบันที่เป็น 3 เสาหลักเพื่อดาเนินการดังกล่าว อันได้แก่เสาที่หนึ่ง
ประชาคมยุโรป (EC) ครอบคลุมการดาเนินงานของสหภาพเศรษฐกิจและการเงินของยุโ รป
(Economic and Monetary Union: EMU) เสาที่สอง คือ นโยบายร่วมด้านการต่างประเทศ
และความมั่นคง (Common Foreign and Security: CFSP) เพื่อนาไปสู่ก ารเป็น สหภาพ
การเมืองแห่งยุโรป (European Political Union: EPU) ที่ขยายความร่วมมือทางการเมือง
ไปสู่ด้านความมั่นคง เสาที่สาม คือ ด้านกิจการยุติธรรมและกิจกรรมภายใน (Justice and
Home Affairs: JHA) เกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนภายในสหภาพยุโ รป
เช่น การเคลื่อนย้ายโดยเสรี ผู้ลี้ภัยและคนเข้าเมือง รวมถึงความร่วมมือด้านตุลาการและ
ตารวจ (ขจิต, 2553: 319-24)
13หลังจากการจัดตั้งประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้าแห่งยุโรป มีความพยายามรวมตัวทางการเมือง
และความมั่นคงโดยการจัดตั้ง ประชาคมการป้องกันแห่งยุโรป (European Defense Community:
EDC) และประชาคมทางการเมืองแห่งยุโรป (European Political Community: EPC) แต่ก็ล้มเหลว
126
126
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
แนวความคิดการบูรณาการที่กล่าวไปข้างต้นนั้นมีลักษณะเชิงอุดมคติน้อยลงและ
เน้นการปฏิบัติได้จ ริงมากกว่าแนวคิดสากลนิย มเชิงเสรี (liberal internationalism) หลัง
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จะเห็นได้ว่างานศึกษาของนักวิชาการกลุ่มนี้เป็นงานในเชิงพหุนิย ม
(pluralism literature) ซึ่งท้าทายนักวิชาการสัจนิยมที่เชื่อมั่นความสาคัญและความมีเหตุผล
ของรัฐในฐานะตัวแสดงหลัก พวกพหุนิยมเชื่อว่าความหลากหลายของตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐและ
กระบวนการต่างๆกาลังทาลายเส้นคั่นระหว่างกิจการภายในและกิจการระหว่างรัฐ
127
127 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
128
128
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
นอกเหนือไปจากความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเท่านั้น แนวคิดนี้จึงถือเป็นแนวคิดที่เติมเต็ม
แนวคิดเสรีนิยมได้อย่างดีซึ่งแสดงให้เห็นถึง “ตัวแสดงข้ามชาติ” ที่มีบทบาทมากยิ่งขึ้นในโลก
ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการศึกษาในแนวทางนี้จึงเน้นการศึกษา “ตัวแสดง ปฏิสัมพันธ์และแนว
ร่วม” ที่รัฐต่างๆก่อตั้งข้ามพรมแดนของตน
5.4.3 กำรพึ่งพำอำศัยซึ่งกันและกัน (interdependence)
ผลงาน Power and Interdependence: World Politics in Transition ของ
Robert Keohane และ Joseph Nye (1977) ได้พัฒนาแนวคิดเรื่องการพึ่งพาอาศัยกั นโดย
การนาเรื่องอานาจเข้ามาสู่การพิจารณาด้วย โดยเสนอว่า การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอย่าง
ซับซ้อนมีลักษณะที่สาคัญ ได้แก่
1) ช่องทางที่หลากหลาย (Multiple Channels) สาหรับการติดต่อระหว่างรัฐ
โดยการข้ามพรมแดนของชาติ รวมทั้งการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างรัฐและตัว
แสดงที่ไม่ใช่รัฐ หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ข้ามชาติระหว่างปัจเจกบุค คลกั บ
กลุ่มต่างๆที่อยู่ภายนอกรัฐจะมีมากขึ้น
2) ประเด็นใหม่ๆในกิจการระหว่างประเทศที่ไม่มีความแตกต่างระหว่างการเมือง
ระดับสูง (high politics) ที่เน้นความสาคัญของความมั่นคงและความอยู่รอด
และการเมืองระดับล่าง (low politics) ที่ให้ความสาคัญ กั บเศรษฐกิจและ
สังคม อีกทั้งขาดการลาดับความสาคัญกับประเด็นใดเป็นพิเศษ (absence of
hierarchy among issues)
3) ความเสื่อมลงของก าลังอานาจของกองทัพในฐานะที่ เป็นเครื่องมือดาเนิน
นโยบายของรัฐ
129
129 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
สัจนิยม กำรพึ่งพำอำศัยกันอย่ำงสลับซับซ้อน
เป้ำหมำยของ เป้าหมายหลักของรัฐคือ เป้าหมายของรัฐจะเปลี่ยนแปลงไปตามพื้นที่
ตัวแสดง ความมั่นคงทางการทหาร ทางประเด็น (issue area) การเมืองข้าม
รัฐบาลจะสร้างเป้าหมายที่ยุ่งยากต่อการให้
ความหมายของตัวแสดงข้ามชาติ
เครื่องมือของ กองกาลังทหารจะเป็นสิ่ง เครื่องมือสาคัญ ได้แก่ การจัดการของการ
นโยบำยแห่งรัฐ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด พึ่งพาอาศัยกัน องค์การระหว่างประเทศและ
แม้ว่าปัจจัยอื่นๆเช่น ตัวแสดงข้ามชาติ
เศรษฐกิจจะถูกนามาใช้
บ้างในบางโอกาส
กำรสร้ำงวำระ การเปลี่ยนแปลงในระบบ วาระจะได้รับผลกระทบจากการเปลีย่ นแปลง
ดุลอานาจและการคุกคาม ในการกระจายของแหล่งอานาจภายในพื้นที่
ด้านความมั่นคงจะเป็นตัวประเด็น: สถานะของระบอบระหว่างประเทศ
สร้างวาระในการเมือง การเปลี่ยนแปลงในความสาคัญของตัวแสดง
ระดับสูง อีกทั้งจะมี ข้ามชาติ ความเกี่ยวพันจากประเด็นอื่นๆและ
อิทธิพลต่อวาระอื่นๆ การทาให้เป็นการเมืองอันเป็นผลมาจากการ
พึ่งพาอาศัยกันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
กำรเชื่อมต่อ การเชื่อมต่อ(เกี่ยวพัน)จะ การเชื่อมต่อโดยรัฐเข้มแข็งจะปฎิบัตยิ าก
ของประเด็น ลดความแตกต่างใน เนื่องจากการใช้กาลังจะไม่เกิดประสิทธิภาพ
ต่ำงๆ ผลลัพธ์ในระหว่าง issue การเชื่อมต่อโดยรัฐอ่อนแอผ่านทางองค์การ
areas และเสริมสร้าง ระหว่างประเทศจะผุกร่อนมากกว่าสร้างเสริม
ลาดับชั้นระหว่างประเทศ ลาดับชั้น
บทบำทของ มี บ ทบาทน้ อ ย ถู ก จ ากั ด องค์การจะเป็นตัวสร้างวาระ
องค์กำรระหว่ำง โดยอ านาจของรั ฐ และ
ประเทศ ความสาคัญของกองกาลัง
ทหาร
130
130
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
131
131 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ขึ้นมา เพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมด้วยเศรษฐกิจหรือเทคโนโลยีที่
เปลี่ย นไป เช่น ระบอบระหว่างประเทศที่เกี่ ย วข้องกั บโทรคมนาคมร ะหว่าง
ประเทศนั้นเกิดขึ้นเพราะเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นการส่งดาวเทียม
จึ ง จ าเป็ น ที่ ต้ อ งมี ก ารจั ด ระเบี ย บ เราเรี ย กระเบี ย บเช่ น นี้ ว่ า “International
Telecommunication Regime” เกิดขึ้นมาจากกระบวนการทางเทคโนโลยี
2) ประเด็นทางอานาจเป็นการวิเคราะห์เชิงลึกต่อระบอบระหว่างประเทศว่า อานาจ
เป็นปัจ จัย สาคัญในการเปลี่ย นแปลงระบอบระหว่างประเทศ ซึ่งได้เสนอไว้ 2
ประเด็นย่อยคือ overall power อันหมายถึงอานาจโดยส่วนรมทั้งหมดและ issue
power อันหมายถึง อานาจในแต่ละประเด็น สามารถยกตัวอย่างได้จาก ญี่ปุ่นมี
อานาจทางเศรษฐกิจที่ไม่รองเป็นใคร แต่หากพิจารณาอานาจทางทหารแล้วญี่ปุ่น
ยังมีข้อจากัด เราจะมองอานาจทางทหารของญี่ปุ่นเป็น overall power มิได้ต้อง
มองเพียง issue power
3) ก ร ะ บ ว น ก า ร เ ชิ ง อ ง ค์ ก า ร ใ น ร ะ ดั บ ร ะ ห ว่ า ง ป ร ะ เ ท ศ ( International
organizational process) ที่เน้นว่าการเปลี่ยนแปลงระบอบระหว่างประเทศเป็น
ผลมาจากการเจรจาต่อรองทางการเมืองในเวทีระหว่างประเทศ
5.4.5 สถำบันนิยมระหว่ำงประเทศ (institutionalism)
132
132
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
133
133 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
แนวคิดเรื่องความร่วมมือตั้งอยู่บนพื้นฐานของอรรถประโยชน์เชิงหน้าที่ของระบอบ (the
functional utility of regimes) ซึ่งรักษาผลประโยชน์ระยะยาวและและผลประโยชน์ที่เป็น
เหตุเป็นผลของรัฐในความร่วมมือถาวร (perpetuating co-operation) ทั้งที่มีการเปลี่ย น
ผ่านในดุลแห่งอานาจ เขาเสนอว่าระบอบดังกล่าวถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อจัดการความล้มเหลวของ
ตลาดทางการเมือง ระบอบเหล่านี้จะ ลดต้นทุนของปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศลงโดยกาหนด
ขอบเขตปฏิสัมพันธ์ทั้งที่อนุญาตได้และไม่ได้ หรือโดยการผนวกปฏิสัมพันธ์ผ่านการเชื่อมโยง
ประเด็นทาให้รัฐสามารถรวบรวมข้อตกลงต่างๆ และโดยการลดความไม่แน่นอน โดยสรุปแล้ว
การรักษาความร่วมมือเชิงสถาบันระหว่างรัฐมิได้ขึ้นอยู่กับสภาพถาวรของเงื่อนไขความเป็น
เจ้ามหาอานาจซึ่งจาเป็นต่อการสร้างระบอบให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย Keohane ยังได้นา
แนวคิดเชิงหน้าที่ ของความร่วมมือเชิงสถาบันโดยการตรวจสอบประเด็นต่างๆเช่น การค้า
น้ามันและการเงินเขาพบว่าความเสื่อมอานาจของสหรัฐอเมริกาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการ
อธิบายความอ่อนแอของระบอบ แม้แต่ก่อนทศวรรษ 1970 ถึงแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะครอง
ความเป็นมหาอานาจ แต่บรรดาประเทศอุตสาหรรมก็เริ่มที่จะพยายามประสานนโยบายเข้า
กับเศรษฐกิจการเมืองของโลก จะไม่ย้อนกลับไปดาเนินนโยบายสร้างความยากจนให้ประเทศ
เพื่อนบ้าน (beggar-thy-neighborpolicy) ดังเช่นในทศวรรษที่ 1930 อีกทั้งการค้าระหว่าง
ประเทศจะไม่ตกเป็นเหยื่อของการกีดกันที่เข้มงวดในยุโรป อเมริกา และเอเชีย
Keohane ยอมรับสมมติฐานของทฤษฎีสัจนิยมใหม่หลายประการ 14 เช่น รัฐเป็น
ตัวแสดงที่สาคัญในระบบระหว่างประเทศ สภาวะอนาธิปไตย แต่ต่างก็มีมุมมองที่แตกต่างกัน
ไป กล่าวคือ
ประการที่หนึ่ง ในมุมมองเรื่องอนาธิปไตย ถึงแม้ว่าสัจนิยมใหม่และเสรีนิยมจะมี
ความเชื่อในเรื่องนี้เช่นเดียวกันว่า ไม่มีลาดับขั้นของรัฐที่แน่นอนในสภาวะที่ไร้อานาจสูงสุด
แต่ทฤษฎีสัจนิยมใหม่มองว่าสภาวะอนาธิปไตยเป็นสภาวะที่รวมเข้าไว้ทั้งหมด ไม่เปลี่ยนแปลง
(all–encompassing, unchanging condition) เป็ น สภาวะที่ ม นุ ษ ย์ ถู ก ครอบง าการไม่
สามารถควบคุมนโยบายและรับประกันความอยู่รอดก่ อให้เกิด ความกลัวและขับเคลื่อ นสู่
อานาจซึ่งถือเป็นวิเคราะห์ขั้นพื้นฐานของทฤษฎีสัจนิยม ในทางตรงข้าม ทฤษฎีเสรีนิยมใหม่
134
134
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
มองสภาวะอนาธิ ป ไตยเป็ น ดั่ ง ภาวะสู ญ ญากาศ (a vacuum) ซึ่ ง จะถู ก เติ ม เต็ ม ด้ ว ย
กระบวนการและสถาบันที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยการศึกษาพัฒนาการ
ทางประวัติศาสตร์ที่ต่างมุมมองกัน นักทฤษฎีสายสัจนิยมใหม่จึงมุ่งศึกษาเรื่องสงครามและ
การทหาร การแข่งขันทางการค้าระหว่างรัฐในฐานะการยืนยันต่อคุณภาพของอนาธิปไตยที่ไม่
แปรเปลี่ ย น (unchanging quality of anarchy) ในขณะที่ ท ฤษฎี เ สรี นิ ย มใหม่ เ น้ น ย้ าว่ า
สภาวะอนาธิ ป ไตยไม่ จ าเป็ น ต้ อ งสั ม พั น ธ์ กั บ การเกิ ด สงคราม ทฤษฎี เ สรี นิ ย มใหม่ เ ชื่ อ ว่า
ถึงแม้ว่าความร่วมมือนั้นจะเกิดขึ้นยากในสภาวะอนาธิปไตยระหว่างประเทศแต่จะเกิดได้ง่าย
ขึ้นหากมี “สถาบัน” เป็นตัวกลางเชื่อมความร่วมมือระหว่างรัฐ อีกทั้งเชื่อว่า ความร่วมมือ
ระหว่างรัฐจะเกิดได้นั้นรัฐต้องปรับพฤติกรรมให้สอดคล้องกับความพึงพอใจของผู้อื่น
ประการที่สอง ทฤษฎีเสรีนิย มเน้นให้เห็นว่า มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ใน
ศตวรรษที่ 20 อยู่ 2 ประเด็นที่ทฤษฎีสัจนิยมใหม่ไม่สามารถอธิบายการเมืองของโลกได้ ได้แก่
(Sterling-Folker, 2013: 117-118) พัฒนาการทางประวัติศาสตร์เป็นการพึ่งพาอาศัยกันที่
มากขึ้ น ในประเด็ น ที่ ห ลากหลายอั น เป็ น ผลมาจากความก้ า วหน้ า ทางเทคโนโลยี แ ละ
อุตสาหกรรม และความไม่แม่นยาของทฤษฎีสัจนิยมกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศร่วม
สมัยก็คือ ช่วงเวลาเสถียรภาพแห่งความเป็นเจ้า (The period of hegemonic stability) ที่
มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้สร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ประการสุดท้าย เรื่อง สัจนิยมใหม่เชื่อในเรื่องกำรได้เชิงเปรียบเทียบ (relative
gain) ส่วนเสรีนิยมใหม่เชื่อเรื่องกำรได้เชิงสัมบูรณ์ (absolute gain) กล่าวคือ สัจนิยมใหม่
มี เ ชื่ อ ว่ า การได้ เ ชิ ง เปรี ย บเที ย บเป็ น สิ่ ง ส าคั ญ กว่ า การได้ เ ชิ ง สั ม บู ร ณ์ กล่ า วคื อ รั ฐ จะให้
ความสาคัญกับผลประโยชน์ของรัฐที่ได้เปรียบรัฐอื่นในเชิงเปรียบเที ยบและไม่ต้องการให้รัฐ
อื่นได้ผลประโยชน์มากกว่าตน ดังจะเห็นได้จากความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพ
โซเวียตในระหว่างสงครามเย็น หรือประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างจีนกั บสหรัฐอเมริก าใน
ปัจจุบัน โดยมุมมองเช่นนี้ตรงข้ามกับมุมมองของเสรีนิยมใหม่ที่เสนอการได้เชิงสัมบูรณ์โดย
มองว่ารัฐทั้งหลายแม้จะได้ผลประโยชน์โดยไม่เท่าเทียมกัน แต่รัฐทุกรัฐก็ล้วนได้ผลประโยชน์
ด้วยกันทั้งสิ้น
135
135 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
กำรได้เชิงเปรียบเทียบ กำรได้เชิงสัมบูรณ์
รัฐหนึ่งๆได้รับผลประโยชน์ที่มากขึ้นบน รัฐต่างๆได้ผลประโยชน์ร่วมกันไม่ว่ารัฐ
ความสูญเสียของอีกรัฐหนึ่ง (zero-sum นั้นจะได้ผลประโยชน์มากน้อยเพียงใด
game) รัฐจะเพิ่มอานาจของตนโดยมิได้
รัฐจะเพิ่มอานาจของตนก็ต่อเมื่อการเพิม่ คานึงถึงว่าสิ่งที่รัฐนั้นกระทาอยู่จะสร้าง
อานาจนั้นมีความได้เปรียบมากกว่าการ ผลกระทบต่ออานาจของรัฐอื่นๆ
เพิ่มอานาจของรัฐอื่นๆ
Keohane มองว่ า ทฤษฎี ร ะบอบนั้ น มี ข้อ จากั ด มากเกิน ไปที่ จะอธิ บ ายแนวทาง
การศึ ก ษาของเขาต่ อ เงื่ อ นไขภายใต้ สิ่ ง ที่ จ ะท าให้ ค วามร่ ว มมื อ ระหว่ า งประเทศประสบ
ความสาเร็จ ดังนั้นเขาจึงขยายกรอบความคิดของสถาบัน Keohane นิยามสถาบันระหว่าง
ประเทศไว้ว่า “เป็นชุดของกฎเกณฑ์กติกาที่มีลักษณะคงที่และเชื่อมโยงอย่างเป็นทางการและ
ไม่ เ ป็ น ทางการเพื่ อ ก ากั บ พฤติ ก รรมและการด าเนิ น งานเพื่ อ ให้ เ ป็ น ตามคาดหวั ง ”
(Keohane,1989) ส่วน Christian Reus-Smit อธิบายว่าสถาบันระหว่างประเทศเป็น “กลุ่ม
ของกติกา กฎเกณฑ์ และหลักการซึ่งจะกาหนดแนวทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อ
ควบคุมพฤติกรรมของกันและกั น ” (Reus-Smit, 2011: 278-293) ดังนั้น รูปแบบสถาบัน
ระหว่างประเทศปรากฎอยู่ไม่รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ได้แก่
136
136
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
137
137 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
กล่าวโดยสรุปแล้วแนวคิดเสรีนิยมใหม่พยายามนาเสนอแนวคิดธรรมาภิบาลโลก
(global governance) หรือความคิดความร่วมมือระหว่างรัฐกับรัฐโดยผ่านสถาบันระหว่าง
ประเทศทั้งในรูปแบบที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ในที่นี้จะกล่าวถึงแนวคิดหลักสองประการ
คื อ ส ถ ำ บั น แ ล ะ อ ง ค์ ก ำ ร ร ะ ห ว่ ำ ง ป ร ะ เ ท ศ ( international Institutions and
International Organization) และ ควำมร่ ว มมื อ ระหว่ ำ งประเทศ (international
cooperation) (ขจรศักดิ์, 2556: 40-41)
5.5.1 สถำบันระหว่ำงประเทศ
หัวใจสาคัญประการหนึ่งของแนวคิดเสรีนิยมใหม่คือ การศึกษาสถาบันระหว่าง
ประเทศ ซึ่งมักมีผู้สับสนกับคาว่า องค์การระหว่างประเทศ อยู่บ่อยครั้ง คาว่า สถาบันระหว่าง
ประเทศจะมีความหมายที่กว้างกว่าเดิมมาก
138
138
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
สถาบันระหว่างประเทศอาจแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท
1. ส ถ ำ บั น ร ะ ห ว่ ำ ง ป ร ะ เ ท ศ ร ำ ก ฐ ำ น ( Constitutional Institutions)
ประกอบด้วย กฎเกณฑ์ กติกาเบื้องต้นของสถาบันระหว่างประเทศ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่าง
เป็นระเบียบ เช่น กติกาว่าด้วยอานาจอธิปไตย การไม่แทรกแซงกิจการภายใน
2. สถำบันระหว่ำงประเทศพื้นฐำน (Fundamental Institutions) เป็นสถาบัน
ระหว่างประเทศที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของสถาบันระหว่างประเทศรากฐาน เพราะ
ไม่เพียงแต่จะมีกฎเกณฑ์ กติกาที่ชัดเจนและได้รับการยอมรับ จะมีแนวทางปฏิบัติที่รัฐต่างๆ
จะร่วมมือกันหรือประสานพฤติกรรมระหว่างประเทศ เช่น กฎหมายระหว่างประเทศ
3. สถำบันระหว่ำงประเทศที่เป็นประเด็นเฉพำะ (Issue Specific Institutions)
เป็นสถาบันระหว่างประเทศที่ไม่เพียงมีกติกาแนวทางปฏิบัติ แต่ยังมีกระบวนการตัดสินใจ
เช่น ระบอบระหว่างประเทศ
4. สถำบั น ระหว่ ำ งประเทศเบ็ ด เสร็ จ (Comprehensive Institutions) เป็ น
สถาบันระหว่างประเทศขั้นสูง ที่มีกติกา แนวทางปฎิบัติและกระบวนการตัดสินใจชัดเจน มี
หน่วยงานที่ทาหน้าที่บริหารจัดการ ติดตาม ตรวจสอบพฤติกรรมของรัฐสมาชิก เช่น องค์การ
ระหว่างประเทศ
139
139 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
อธิปไตยและความตกลงร่วมกันของรัฐเหล่านี้ นักเสรีนิยมมีความเชื่อว่าควรมีการสถาปนา
กฎหมายระหว่างประเทศขึ้นเพื่อเป็นแนวทางและเครื่องมือสาคัญในการควบคุมพฤติกรรม
ของรัฐ ลดความขัดแย้งและใช้แก้ไขข้อพิ พาทต่างๆ ถึงแม้ว่ากฎหมายจะมีผลบังคับใช้และลด
ความหวาดระแวงระหว่างประเทศน้อยลง แต่ในความเป็นจริง กฎหมายระหว่างประเทศอาจ
เป็นเพียง “เสือกระดาษ” ที่ไม่สามารถควบคุมรัฐได้อย่างแท้จริง อีกทั้งไม่ได้รับความสนใจ
หากรัฐนั้นเมินเฉยหรือถึงขั้นละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐทั้งหลายยังให้ความสาคัญกับ
อานาจอธิปไตยภายในและมีกฎหมายภายในของรัฐเอง
ในส่วนขององค์กำรระหว่ำงประเทศจะเห็นว่า ในปัจจุบัน จานวนขององค์การ
ระหว่างประเทศมีจานวนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและทวีบทบาทมากยิ่งขึ้นในประชาคมโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศตวรรษที่ 21 องค์การระหว่างประเทศประกอบด้วยชุดของกติกา (set
of norms) กฎเกณฑ์ (rules) และกระบวนการการตัดสินใจ (decision making process)
รวมทั้งมีหน่วยงานที่ทาหน้าที่บริหารกฎเกณฑ์ดังกล่าว โดยเป็นองค์กรที่มีรัฐบาลของประเทศ
ต่างๆเข้าร่วมเป็นสมาชิก
องค์การระหว่างประเทศอาจเป็นได้ทั้งองค์ระดับโลกหรือระดับภูมิภาค และการ
ร่วมมือของรัฐสมาชิกในองค์การระหว่างประเทศนั้นๆ อาจจะเป็นได้ทั้งการร่วมมือเฉพาะเรื่อง
มีวัตถุประสงค์ด้านใดด้านหนึ่ง เช่น การทหารและความมั่นคง หรือ ด้านเศรษฐกิ จ เช่น
การเงิน การค้าระหว่างประเทศ หรืออาจจะมีความร่วมมือที่หลากหลาย เช่น เพื่อลดหรือ
ควบคุมความขัดแย้งระหว่างประเทศและป้องกั น สงคราม เพื่อจัดระเบีย บความสั ม พั น ธ์
ระหว่างประเทศให้มีสันติ ภาพ ร่วมแก้ ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศโดยสัน ติวิ ธี ตัวอย่าง
องค์การระหว่างประเทศที่สาคัญในโลกได้แก่ องค์การสหประชาชาติ องค์การการค้าโลก
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ สหภาพยุโรป สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หรืออาเซียน เป็นต้น
5.5.2 ควำมร่วมมือระหว่ำงรัฐ
แนวคิดเรื่องความร่วมมือระหว่างรัฐ เป็นแนวคิดที่มีมาแต่เดิมของนักคิดสายเสรี
นิยมอยู่แล้ว แต่ความร่วมมือระหว่างรัฐตามแนวคิดเสรีนิยมใหม่นั้นมีลักษณะ 2 ประการคือ
1) ความร่วมมือระหว่างรัฐก้าวข้ามเรื่องการค้าและการพัฒนา และครอบคลุมไป
ยังประเด็นอื่น เช่น การรักษาสิ่งแวดล้อมโลก การสาธารณสุขและโรคระบาด
การต่อต้านการค้ามนุษย์และการค้ายาเสพติด รวมทั้งประเด็นด้านความ
มัน่ คง เช่น การป้องกันการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์ เป็นต้น
140
140
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
ในที่นี้ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่สามารถใช้แนวคิดเสรีนิยมใหม่อธิบายได้
อย่างเด่นชัดคือ การจัดตั้งองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) ขึ้นในปี
1995 โดยการพัฒนามาจากความตกลงทั่ วไปว่า ด้ วยภาษี ศุล กากรและการค้า (General
Agreement on Tariff and Trade: GATT) ในปี 1947 โดยมีวัตถุประสงค์คือการส่งเสริม
การขยายตัวทางการค้าด้วยการลดอุปสรรคทางการค้าทั้งที่เป็นภาษี (tariff barriers) และ
มิใช่ภาษี (non-tariffs barriers) อีกทั้งสร้างกฎเกณฑ์ในระบบการค้าโลก รวมถึงแก้ไขและ
ระงับข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งในประเด็นหลังสุดนี้ทาให้ WTO มีความ
แตกต่างจากครั้งที่ยังเป็นเพียง GATT ประเทศที่เป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลกมีสิทธิและ
ข้อผูก พันที่จ ะต้องปฏิ บั ติต ามภายใต้ ความตกลงต่างๆขององค์ก าร ซึ่งหากพิจ ารณาของ
องค์การการค้าโลกแล้วจะพบว่าเป็นแนวทางที่ปฏิบัติตามแนวทางเสรีนิยมที่เน้นเรื่องของ
การค้าเสรีและความร่วมมือระหว่างรัฐ อีกทั้งหากศึกษาวิวั ฒนาการขององค์การการค้าโลก
แล้ ว จะพบว่ า นี่ เ ป็ น กรณี ศึ ก ษาที่ เ ห็ น ถึ ง ความส าคั ญ ของการออกแบบเชิ ง สถาบั น
(institutional design) ที่มีต่อเป้าหมายร่วมกัน (collective goal) ในสภาวะอนาธิปไตย ดัง
จะเห็นได้จากการที่รัฐต่างๆร่วมกันพัฒนาองค์การนี้ขึ้นมาจาก GATT ที่เป็นเพียงข้อตกลงในปี
1947 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะรับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ร่วมกั นที่ดีขึ้นกว่าเดิม การ
ออกแบบสถาบั น ของ WTO นั้ น พั ฒ นาขึ้ น มาให้ มี ค วามแตกต่ า งจาก GATT แง่ มุ ม บาง
ประการของ WTO ได้รับการปรับปรุงเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ย นแปลงไป
รวมทั้งแก้ไขข้อบกพร้อมในเชิงสถาบันที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ถึงแม้ว่า WTO จะสถาปนาขึ้นมา
เพื่อการได้รับผลประโยชน์ร่วมกั น แต่ปัญหาหลายประการก็ ยังเกิ ดขึ้น เช่น ปัญหาเรื่อ ง
แรงงาน ปัญหาสภาพแวดล้อม รวมทั้งประเทศมหาอานาจบางประเทศยังใช้องค์การนี้เป็น
เครื่องมือเอารัดเอาเปรียบประเทศกาลังพั ฒนา ดังจะเห็นจากความล้มเหลวของการประชุม
ในวาระต่างๆของ WTO ที่ประเทศต่างๆไม่สามารถหารือหรือหาข้อสรุปร่วมกันได้ เนื่องจาก
บรรดาประเทศกาลังพัฒนารู้สึกว่าตนถูกเอาเปรียบจากประเทศมหาอานาจจึงร่วมกันต่อสู้
เพื่อแก้ไขความไม่เป็นธรรมทางการค้าระหว่างประเทศที่มีระดับการพัฒนาที่แตกต่างกัน
141
141 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
5.6 เสรีนิยมในโลกร่วมสมัย
การสิ้นสุดของสงครามเย็นเป็นจุดเปลี่ยนผ่านสาคัญอีกครั้งหนึ่งของทฤษฎีเสรีนิยม
กล่าวคือ ทฤษฎีเสรีนิย มได้ทวีความสาคัญอย่างยิ่งในการอธิ บายปรากฎการณ์ของโลกที่
เปลี่ยนแปลงไปอย่างตรงประเด็นโดยเฉพาะเรื่องความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การสิ้นสุดของ
ระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ รวมทั้งกระแสประชาธิปไตยที่กาลังแผ่ขยายไปทั่วโลก อีกทั้ง
ยังทาให้การอธิบายปรากฎการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามแนวทางของทฤษฎีสัจ
นิ ย มที่ เ น้ น รั ฐ เป็ น ตั ว แสดงส าคั ญ และประเด็ น ความมั่ น คงทางการทหารเริ่ม อ่ อนด้ อยลง
เนื่องจากละเลยปัจ จัย บางประการเช่น ปัจ จัย ทางการเมืองภายใน ความร่วมมือระหว่าง
ประเทศที่เป็นประเด็นใหม่ๆ ความทั้งการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าทฤษฎีเสรีนิยม
จะมีความสาคัญมากขึ้น แต่การเจาะจงประเด็นที่ศึกษามีความเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่เคย
เน้นการศึก ษาสถาบันระหว่ างประเทศตามแนวทางของ Keohane และ Nye ก็ เริ่มมาให้
ควา มส าคั ญกั บก าร ปกคร องปร ะชาธิ ป ไตยและก ารท าให้ เ ป็ น ประชาธิ ป ไตย
(democratization) อานาจอธิปไตยและการเปลี่ยนแปลงในบริบทของการทาให้ทันสมัยและ
ประเด็นโลกาภิวัตน์ (Sorensen, 1998: 83)
แนวคิดสาคัญในร่มเงาของเสรีนิยมที่กลับมามีความสาคัญและได้รับการถกเถียง
อย่างมีชีวิตชีวามากที่สุดอีกแนวคิดหนึ่งคือ ทฤษฎีสันติภำพประชำธิปไตย (democratic
peace theory) โดยทฤษฎีนี้มีข้อเสนอว่ารัฐที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตนจะนาพา
สันติภาพมาสู่โลกมากกว่ารัฐที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ หรือตั้งอยู่บนฐานคิดที่เชื่อว่า รัฐ
ประชาธิปไตยจะไม่ก่อสงครามระหว่างรัฐประชาธิปไตยด้วยกัน นักวิชาการจานวนหนึ่ง ได้แก่
Michael Doyle, James Lee Ray และ Bruce Russett เสนอค าอธิ บ ายจ านวนมากรั ฐ
เหล่านี้ยึดถือบรรทัดฐานของประนีประนอมซึ่งเลี่ยงการใช้กองกาลังและความรุนแรงต่ออีก
ฝ่ า ยซึ่ ง ยึ ด ถื อ หลั ก การเดี ย วกั น จากดั ง กล่ า วข้ า งต้ น ก็ ยั ง น าไปสู่ ข้ อ ถกเถี ย งบางประการ
โดยเฉพาะแนวคิดที่ว่า “รัฐประชาธิปไตยจะไม่ต่อสู้กัน” (Democracies don’t fight each
other) และ “สร้างโลกนี้ให้ปลอดภัยสาหรับประชาธิปไตย” (make the world safe for
democracy) กลายเป็นข้ออ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กั บความพยายามของรั ฐ บาล
สหรั ฐ อเมริ ก าที่ จ ะขยายและส่ ง เสริ ม แนวคิ ด การปกครองประชาธิ ป ไตย (democracy
promotion) ในพื้นที่ต่างๆของโลก (Walt, 1998: 39; Synder, 2004: 58) กล่าวอีกนัยหนึ่ง
ได้ว่า ทฤษฎีสันติภาพประชาธิปไตยได้กลายมาเป็นพื้นฐานทางนโยบายของสหรัฐอเมริกา อีก
ทั้งแนวคิดเสรีนิยมยังปรากฎในหลากหลายรูปแบบในสหรัฐอเมริกาซึ่งปรากฎในรูปแบบที่
เรียกว่าอนุรักษนิยมใหม่ (neoconservative) ไปจนถึงการสนับสนุนสิทธิมนุษยชน
142
142
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่นาเสนอแนวคิดเสรีนิยมก่อนที่จะเกิดการก่อวินาศกรรม 9/11
ไ ม่ น า น นั ก คื อ ผ ล ง า น After Victory: Institutions, Strategic Restraint, and the
Rebuilding of Order after Major Wars ของ G. John Ikenberry (2001) ได้ พ ยายาม
ศึกษาระเบียบระหว่างประเทศที่จัด ตั้งขึ้นโดยผู้ชนะในความขัดแย้งระหว่างมหาอานาจ เขา
เสนอว่า รัฐผู้ชนะอันทรงอานาจที่สุดต้องการที่จะได้รับความร่วมมืออย่างเต็มใจ (willing
cooperation) จากรั ฐ ที่ แ พ้ ร วมทั้ ง บรรดารัฐ อ่ อนแออื่น ๆ โดยวิ ธี ก ารได้ แ ก่ การเสนอข้อ
ต่อรองที่ดึงดูดใจร่วมกัน การสร้างระเบียบระหว่ างประเทศให้เป็นระบบรัฐประชาธิปไตยที่
ชนะมีโอกาสที่ดีที่สุดในการสร้างระเบียบ ดังจะเห็นได้จาก การเกิดระบบเบรตตัน วูดหลัง
สงครามโลกครั้ง ที่ สอง เนื่องจากความโปร่ง ใสและยึ ด หลั ก กฎหมายเป็ น สิ่ง ที่ สร้ างความ
น่าเชื่อถือให้กับการสร้างระเบียบดังกล่าว หากแต่ Ikenberry ก็ไม่ได้ยืนยันว่ารัฐมหาอานาจที่
เป็นประชาธิปไตยจะไม่ทาข้อผิดพลาดรัฐอื่นๆสามารถต่อต้านสิ่งจูงใจที่ถูกสร้างขึ้นมาโดย
ตาแหน่งแห่งที่ในระบบระหว่างประเทศ แต่รัฐเหล่านั้นจะได้รับผลลัพธ์ที่เจ็บปวด ในการ
วิเคราะห์ของ Ikenberry ต่อรัฐบาลของ George W. Bush เขาเสนอว่า แรงจู งใจสาหรับ
รั ฐ บาลสหรั ฐ อเมริ ก าที่ จ ะท าตนเป็ น ผู้ น าในการจั ด ตั้ ง ระเบี ย บขั้ น พื้ น ฐานเชิ ง พหุ ภ าคี
(multilateral constitutional order) จะยังคงมีอานาจต่อไปตราบใดที่ลูกตุ้มทางอานาจยัง
ไม่เหวี่ยงกลับ (pendulum will swing back)15
นับได้ว่าทฤษฎีเสรีนิย มในการศึก ษาความสัมพัน ธ์ระหว่างประเทศเป็นแนวคิด
แรกเริ่มตั้งแต่สถาปนาสาขาวิชานี้ในโลกวิชาการ โดยให้ความสาคัญกั บการร่วมมือ การ
ประสานประโยชน์ การแสวงหาสันติภาพ การปกครองที่ให้เสรีทางความคิดและการกระทา
ต่อพลเมืองของรัฐ รวมถึงการให้ความสาคัญกั บตัวแสดงอื่นที่นอกเหนือจากรัฐ ถึงแม้ว่า
ภายในสานักเสรีนิยมเองจะมีความหลากหลายกันไปแต่ก็แสดงให้เห็นถึงการเชื่อมร้อยความ
พยายามในการสร้างคาอธิบายเรื่องโลกที่ต้องการเห็นความร่วมมือบังเกิดขึ้นกับการเมืองโลก
15
Ikenberry เสนอว่ า ในปั จ จุ บั น ความเป็ น สากลนิ ย มเชิ ง เสรี (liberal internationalism) ได้
เปลี่ยนแปลงรูปแบบจากอดีตจนเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า ยุคระเบียบเสรีนิยม 3.0 โดยในยุคแรกหรือยุค 1.0
คือยุคระเบียบระหว่างประเทศตามแนวคิดของประธานาธิบดี Woodrow Wilson ยุคทีสอง หรือยุค
2.0 คื อ ยุ ค สงครามเย็ น ยุ ค 3.0 เรี ย กว่ า ยุ ค หลั ง สากลนิ ย มเชิ ง เสรี ที่ เ น้ น ความเป็ น เจ้ า (post-
hegemonic liberal internationalism) ดูเพิ่มเติม Ikenberry (2009) ศึกษารายละเอียดเรื่องการ
กาเนิด พลวัติและวิกฤตความเป็นมหาอานาจในระบอบระหว่างประเทศเชิงเสรีนิยมที่สหรัฐอเมริกา
สร้างขึ้นหลังการวินาศกรรม 9/11 ดู Ikenberry (2011)
143
143 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
นักทฤษฎีควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศในสำนักเสรีนิยม
144
144
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
146
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
บทที่ 6 บทที่ 6
ทฤษฎีมำร์กซ์ (Marxism) ทฤษฎีมาร์กซ์
Marxism
6.1 บทนำ
การศึก ษาความสัม พั นธ์ระหว่างประเทศสายมาร์ก ซ์ ไ ด้รั บอิท ธิ พลมาจาก Karl
Marx โดยเป็ น การศึ ก ษาที่ ป ฏิ เ สธมุ ม มองตามแนวทางทฤษฎี สั จ นิ ย มและเสรี นิ ย มที่ ใ ห้
ความสาคัญกับความขัดแย้งและความร่วมมือทางการเมือง จุดเด่นของแนวคิดมาร์กซ์คือการ
นาปัจจัยทางเศรษฐกิจมาเป็นส่วนสาคัญของการวิเคราะห์ปรากฎการณ์ทางความสั มพั นธ์
ระหว่างประเทศ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วงานเขียนของมาร์กซ์จะมิได้นาเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวกับ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่แนวคิดเรื่อง วิถีแห่งกำรผลิต (Means of production)
กำรต่อสู้ทำงชนชั้น (Class Struggle) และกำรขูดรีด (exploitation)ก็ได้นามาปรับใช้กับ
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือที่เรียกว่า ทฤษฎีมำร์กซ์ใหม่ (Neo-Marxism)
และนาไปสู่ก ารก าเนิ ดวิช าเศรษฐกิ จ การเมืองระหว่ างประเทศ (International Political
Economy: IPE)
6.2 พัฒนำกำรของกำรประยุกต์ทฤษฎีมำร์กซ์ในควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
ถึงแม้ว่างาน Capital ของ Marx จะวิพากษ์ทุนนิย มและอธิบายถึงการขยายตั ว
ของทุนนิย มในระดับระหว่างประเทศ แต่ก ล่าวเพีย งรูปแบบและการทางานของทุนนิ ย ม
อังกฤษในศตวรรษที่ 19 เท่านั้น ต่อมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 งานเขียนในรุ่นหลังหลายชิ้น
ได้เริ่มพัฒนากรอบคิดและกล่าวถึงลัก ษณะทุนนิย มที่ข้ามพรมแดน (Capitalism’s trans-
border characteristics) ซึ่งก็คือ ลัทธิจักรวรรดินิยม (imperialism) เช่นงานของ Trosski
เรื่ อ ง Combined and Uneven Development และข้ อ ถกเถี ย งของ Rosa Luxamburg
เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐทุนนิย มที่พัฒนามากและพัฒนาน้อย ต่อมาJ.A.Hobson จะ
พัฒนากรอบคิดเรื่องจักรวรรดิ นิยมให้เป็นระบบจากประสบการณ์ร่วมสมัยก็ตาม ทว่างานที่
เป็ น ที่ รู้ จั ก และทรงอิ ท ธิ พ ลในแนวทางนี้ ก็ คื อ Imperialism, the Highest Stage of
Capitalism ที่ตีพิมพ์ใน ค.ศ.1917 ของLenin ที่เน้นย้าทุนนิยมผูกขาดที่ครอบงาระบอบทุน
นิยมและเป็นเหตุให้เกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
คาว่า จักรวรรดิหรือ Empire มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินคือคาว่า “emperor”
หรือจักรพรรดิ ซึ่งมีความหมายว่า การมีอานาจเด่นนาทางการเมืองที่ขยายกว้างและเด็ดขาด
147
147 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ดังนั้นโดยความหมายของคานี้จึงมีความหมายถึงการครองอานาจเหนือดินแดนและมีการจัด
องค์กรทางการเมืองที่ควบคุม ดินแดนส่วนต่างๆ ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีมาก่อนแนวคิดเรื่องอาณา
นิคม ซึ่งการควบคุมดังกล่าวอาจจะเข้าไปจัดการสร้างแรงจูงใจทางการเมือง เศรษฐกิจหรือ
สังคม หรือการใช้กาลังเข้าบังคับก็เป็นได้
หากศึกษาเรื่องทฤษฎีจักรวรรดินิยมแล้ว อาจจะมองย้อนไปได้ถึงประวัติศาสตร์
ตะวั น ตกในช่ ว งยุ ค ฟื้ น ฟู ศิ ล ปวิ ท ยาการที่ ช าวยุโ รปเริ่ม แสวงดิ น แดนและความมั่ งคั่ ง ทาง
เศรษฐกิ จ โดยการขยายอ านาจผ่ า นการใช้ ค วามรุ น แรงออกจากทวี ป ยุ โ รป จนท าให้
ความหมายของคาว่า colonise หมายถึง การเอาชนะและการยึดครองดินแดน (วรารัก ,
2557: 27) ซึ่งจะเห็นได้จากบทบาทของโปรตุเกส สเปน และฮอลันดาที่แสวงหาผลประโยชน์
ในดินแดนต่างๆโดยอ้างถึงเกียรติยศของประเทศ การแสวงหาทรัพยากรและสินค้า รวมทั้ง
การเผยแผ่คริสต์ศาสนา โดยในช่วงนี้บรรดาประเทศเจ้าอาณานิคมต่างใช้กาลังทางทหารเข้า
ปกป้ อ งผลประโยชน์ ท างเศรษฐกิ จ โดยเฉพาะเรื่ องผลประโยชน์ ท างการค้ า ไม่ ว่ า จะเป็น
ผลประโยชน์ ข องรั ฐ เองหรื อ บรรษั ท การค้ า ของรั ฐ ต่ อ มาในช่ ว งศตวรรษที่ 19 ประเทศ
มหาอานาจเช่น อังกฤษ และฝรั่งเศส เข้าครอบครองดินแดนต่างๆในทวีปเอเชียและแอฟริกา
จนอาจเรียกยุคนี้ได้ว่าเป็นยุคจักรวรรดินิยมใหม่ (New Imperialism) ที่ประเทศเมืองแม่เข้า
ไปครอบครองดินแดนโดยเข้าไปควบคุมทั้งระบบการเมืองและเศรษฐกิจในอาณานิคมตนเอง
อย่างจริงจัง ซึ่งสะท้อนภาพของการกดขี่ ขูดรีดของระบบทุ น นิย มที่ เข้ าไปบี บบัง คั บ เอา
ทรัพยากรและแรงงงานจากชนพื้นเมืองอย่างเข้มข้น ในที่นี้ จะขอกล่าวถึงงานทางทฤษฎี
จักรวรรดินิยมของ Hobson และ Lenin โดยสังเขป
J.A.Hobson นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษได้เสนอภาพของจักรวรรดินิยมไว้ ใน
งาน Imperialism: A Study ในปี 1902 โดยการตั้งคาถามว่า เหตุใดจักรวรรดินิยมจึงรุ่งเรือง
148
148
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
149
149 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
150
150
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
151
151 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
1) เกิดการแบ่งงานกันทาระหว่างประเทศในลักษณะที่ประเทศชายขอบทาหน้าที่ผลิต
และส่งออกสินค้าประเภทอาหารและวัตถุดิบ ขณะที่ประเทศศูนย์กลางผลิตและ
ขายสินค้าอุตสาหกรรม
2) เกิดการผูกขาดในตลาดปัจจัยการผลิตและตลาดสินค้าภายในดินแดนศูนย์กลาง
มากยิ่งขึ้น
ความผิดปกติท้ังสองประการข้างต้นทาให้ประเทศศูนย์กลางมีอานาจมาก ได้รับ
ผลประโยชน์จากการค้าและสามารถกดราคาสินค้าขั้นปฐมจากประเทศชายขอบให้ ต่าลง
ส่งผลให้การพึ่งพิงไม่มีวันสิ้นสุด (อนุสรณ์, 2550: 173-174) ดังนั้น ECLA จึงเสนอหลักการ 3
ประการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว อันได้แก่
1) การพัฒนาอุตสาหกรรมโดยการทดแทนการนาเข้า (Import Substitution
Industry : ISI) เพื่อตัดวงจรการไหลออกของเงินตราต่างประเทศ
2) การพัฒนาส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
3) การหาทางเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสถาบันเศรษฐกิจระหว่างประเทศให้เป็น
ประโยชน์
การเสนอแนวทางดังกล่าวไม่ประสบความสาเร็จ แต่แนวคิดการพึ่งพิงก็ได้รับการ
พัฒนาให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มนักวิชาการจากละตินอเมริกา เช่น Andre
Gunder Frank, Theotonio Dos Santos, Samir Amin เป็นต้น ในที่นี้จะขอกล่าวถึงงาน
ของ Frank และ Santos
Frank นัก วิชาการทางด้า นเศรษฐศาสตร์ ได้นาองค์ ค วามรู้ด้ า นเศรษฐศาสตร์
สังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ ได้เสนอภาพการพัฒนาและการเติบโตของละตินอเมริกาว่า
สภาพความด้อยพัฒนานี้เป็นผลมาจากการเป็นส่วนหนึ่งของการขยายตัวและการพัฒนาการ
ค้าแบบพาณิชยนิยม ตลอดจนการพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมระดับโลก รูปแบบความสัมพันธ์นี้
เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเมืองหลักและเมืองบริวาร (metropolis-satellite relationship)
ที่พัฒนามาตั้งแต่สมัยเป็นอาณานิคมของสเปนและโปรตุเกสในช่วงคริสตศตวรรษที่ 15
จากที่ ข้ อ กล่ า วมานี้ เราสามารถสรุ ป สมมติ ฐ านของ Frankได้ 5 ประการคื อ
(อนุสรณ์, 2550:177-8)
1) การตกอยู่ในฐานะบริวาร ส่งผลให้การพัฒนาของประเทศเป็นไปอย่างจากัด
2) การพั ฒ นาของเมื อ งบริ ว ารจะประสบความส าเร็ จ ได้ ห รื อ นั้ น ขึ้ น อยู่ กั บ
ความสัมพันธ์ที่มีอยู่กับเมืองศูนย์กลางเริ่มหย่อนตัวลงเมื่อใด
3) ภูมิภาคของโลกที่ด้อยพัฒนามากที่สุดคือภูมิภาคที่ใกล้ชิดกับเมืองศูนย์กลาง
โลกมากที่สุด
152
152
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
4) ฟาร์ ม ขนาดใหญ่ (latifundium) เป็ น หน่ ว ยธุ ร กิ จ ที่ เ กิ ด ขึ้ น เพื่ อ ตอบสนอง
ความต้องการในตลาดโลกหรือระดับชาติที่สูงขึ้น
5) ฟาร์ ม ขนาดใหญ่ ที่ มี อ ยู่ อ ย่ า งโดดเดี่ ย วและล้ า สมั ย เป็ น ผลมาจาก
ความสามารถในการผลิตลดต่าลง
153
153 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ตะวั น ตก ได้ แ ก เทคโนโลยี ก ารผลิ ต สิ น ค้ า ทุ น เงิ น ทุ น ตลาดส่ ง ออก และผู้ เ ชี่ ย วชาญ
นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยากจนและประเทศร่ารวยยังมีลักษณะความสัมพันธ์
แบบเอารัดเอาเปรียบ ขูดรีด ดังนั้น Santos จึงเสนอแนะให้ประเทศโลกที่สามดาเนินการดังนี้
1) พัฒนาโดยการพึ่งพาตนเอง และใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
2) ส่งเสริมความร่วมมือ ทางเศรษฐกิ จ สังคม การเมือง เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาของ
ตนเอง และต่อรองกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
3) ปฏิรูปความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศกาลังพัฒนา
154
154
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
155
155 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
156
156
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
157
157 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
รัฐศูนย์กลางของโลกจึงเสมือนชนชั้นนายทุน และรัฐชายขอบรวมทั้งรัฐกึ่งชายขอบ
จะเป็นรัฐที่ถูกเอาเปรียบและมีส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจในระบบโลกที่น้อย แต่สิ่งที่สาคัญที่สุดที่
ทาให้รัฐทั้งสามรูปแบบนี้รวมกันเป็นระบบโลกคือ การไหลเวียนของสินค้า (circulation of
goods)และความสัมพันธ์ในเชิงขูดรีด (exploitative relationship) ของระบบดังกล่าวที่ทา
ให้ระบบทุนนิยมโลกยังดารงอยู่ได้ (จุลชีพ , 2557: 79-80; Hobden & Jones, 2011: 135-
136)
นอกจากนั้น ด้วยโครงสร้างของโลกที่แบ่งออกเป็นสามส่วนข้างต้น ยังสะท้อนให้
เห็นถึงสถานะของรัฐในระบบโลกอีกด้วย กล่าวคือ ระบบเศรษฐกิ จ โลกไม่ได้มีโ ครงสร้าง
ศูนย์กลางทางการเมืองเพียงแห่งเดียว แต่จะประกอบด้วยรัฐจานวนต่างๆมากมาย รัฐเหล่านี้
มีความเข้มแข็งและบทบาทที่แตกต่างกันไป ได้แก่
1) รัฐศูนย์กลางจะมีความแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพสูง ขณะที่รัฐชายขอบจะอ่อนแอ
ส่วนรัฐกึ่งชายขอบจะมีความแข็งแกร่งน้อยกว่ารัฐศูนย์กลางแต่ก็เข้มแข็งกว่ารัฐ
ชายขอบ
2) รั ฐ ศู น ย์ ก ลางจะมี อ านาจทางทหารและพลเรื อ นที่ เ ข้ ม แข็ ง สามารถปกป้ อ ง
ผลประโยชน์ของนายทุนกลุ่มต่างๆทั้งในประเทศและในระหว่างประเทศได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ รัฐมีอิสระในการกาหนดนโยบายในระดับหนึ่ง มีผลประโยชน์ของรัฐ
และระบบราชการที่ต้องรักษาไว้ อีกทั้งต้องตอบสนองความต้องการของกลุ่มอื่นๆ
ตามที่กาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของรัฐนั้นๆด้วย
3) รัฐศูนย์กลางเข้มแข็งมากเท่าใดก็ยิ่งทาให้รัฐชายขอบอ่อนแอลงเท่านั้น อันเป็นผล
มาจากการแทรกแซงกิจการของรัฐชายขอบโดยรัฐศูนย์กลาง ไม่ว่าจะด้ วยการทา
สงคราม การเป็นบ่อนทาลายหรือการทูตก็ตาม
158
158
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
รัฐกึ่งชำยขอบ
รัฐเผด็จการอานาจนิยม
ส่งออกและนาเข้า
รัฐศูนย์กลำง สาธารณูปโภคและวัตถุดิบ
แรงงานราคาถูก
รัฐประชำธิปไตย (Democratic สวัสดิการสังคมต่า
government)
แรงงำนรำคำสูง (high wage)
นำเข้ำวัตถุดิบรำคำถูก
ส่งออกสินค้ำอุตสำหกรรม
มีกำรลงทุนสูง รัฐชำยขอบ
มีบริกำรทำงสวัสดิกำรสังคม รัฐที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
ส่งออกวัตถุดิบ
นาเข้าสินค้า
ค่าจ้างต่ากว่าความเป็นจริง
ไม่มีสวัสดิการสังคม
159
159 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
160
160
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
พลังทำงสังคม
(Social Force)
รูปแบบรัฐ ระเบียบโลก
(Forms of State) (World Order)
161
161 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
162
162
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
163
163 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ตัวอย่างองค์การระหว่างประเทศที่ทาหน้าที่แทนรัฐมหาอานาจที่ครองอานาจนาใน
ระบบระหว่างประเทศที่เห็นเด่นชัด ได้แก่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International
Monetary Fund: IMF) องค์ ก ารการค้ า โลก (World Trade Organization: WTO) และ
ธนาคารโลก (World Bank) ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงชัยชนะทางความคิดเสรีนิยมใหม่ 17 (Neo-
Liberalism) ซึ่งทาหน้าที่เป็นเครือข่ายทางสถาบันในการกาหนดกฎเกณฑ์ของระบบการค้า
ระหว่างประเทศในปัจจุบัน นอกจากนี้หากพิจารณาจากประวัติศาสตร์ รัฐที่ก้าวขึ้นมาครอง
ความเป็ น จ้ า วจ าต้ อ งรั ก ษาระเบี ย บแบบแผนซึ่ ง มี คุ ณ ค่ า สากล (universal) อั น มิ ไ ด้ เ อื้ อ
ประโยชน์ต่อรัฐใดรัฐหนึ่ง หากแต่ได้ เป็นคุณค่าซึ่งเอื้อประโยชน์แก่สังคมการเมืองระหว่าง
ประเทศโดยรวม ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า องค์การระหว่างประเทศดังกล่าวถือเป็นกลุ่มก้อนทาง
17 การศึกษาแนวคิดเสรีนิยมใหม่ในเชิงเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศมีความหมายแตกต่างจาก
เสรีนิยมใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีสาระสาคัญคือ คือแนวคิดทางเศรษฐกิจที่รัฐและทุนจะ
ร่ว มกัน ดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งมีความแตกต่างกับเสรีนิยมแบบคลาสิคในยุคของAdam
Smith ที่มองว่ารัฐไม่ควรที่จะเข้ามาแทรกแซงกลไกของตลาดหรือเข้าควบคุมปัจจัยการผลิต ทว่าเสรี
นิยมใหม่มีกรอบคิดที่เน้นการบูรณาการร่วมกันของรัฐเพื่อสร้างช่องทางการตลาดใหม่ๆขึ้นมาไม่ว่าจะ
เป็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ,การเปิดการค้าเสรี ฯลฯ ซึ่งเสรีนิยมใหม่จะวางฐานคิดอยู่ 4 ประการ
ได้แ ก่ การทาให้ เป็ นระบบตลาด (Marketization) การลดกฎเกณฑ์ห รือ ผ่อ นปรนระเบี ยบต่างๆ
(Deregulation) การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ (Stabilization) และการแปรรูปกิจการของรัฐ
ให้เป็นเอกชน (Privatization) ดูเพิ่มเติม เดวิด ฮาร์วี (แปล)(2555).
164
164
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
ประวัติศาสตร์ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองและถือเป็นการต่อยอดของความพยายามสร้าง
เครื อ ข่ า ยการครองอ านาจน าทางเศรษฐกิ จ ในระดั บ ระหว่ า งประเทศ ดั ง จะเห็ น ได้ ว่ า
สหรัฐอเมริก าก้ าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการระบบเศรษฐกิ จการเมืองโลก หรือ Pax-Americana
ผ่านการสถาปนาสถาปัตยกรรมทางการเงินระดับโลกที่เรียกว่า ระบบเบรตตัน วูด (Bretton
Woods System) ซึ่งระบบนี้ถูกท้าทายและล่มสลายลงในทศวรรษที่ 1970 สหรัฐอเมริกาเอง
ก็ ต้ อ งประคองและรั ก ษาสถานะการครองอ านาจน าใหม่ อี ก ครั้ ง ( Reconstruction of
Hegemony) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ระหว่างประเทศ (Cox, 1981)
ทฤษฎีมาร์กซ์เน้นการวิเคราะห์การทางานของระบบทุนนิยมและความขัดแย้งทาง
ชนชั้นอันนาไปสู่การอธิบายความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียม เมื่อนาแนวคิดนี้มาประยุกต์กั บการ
อธิบายเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศก็ ทาให้เราเข้าใจถึงความไม่เท่าเทีย มของรัฐ ใน
ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ ตลอดจนพิจารณาถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจว่าส่วนต่อการขับเคลื่อน
เศรษฐกิจการเมืองของโลกใบนี้อย่างไร และชี้ให้เราเห็นว่าเศรษฐกิจและการเมืองมิสามารถ
แยกการอธิบายออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด อีกทั้งยังชี้ให้เห็นบทบาทนาของรัฐมหาอานาจที่
กุมชะตาเศรษฐกิจการเมืองโลกจนส่งผลต่อความเป็ นไปในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศ
กาลังพัฒนา ในขณะเดียวกันเราก็จะเห็นถึงการต่อสู้ของประเทศกาลังพัฒนาและด้อยพัฒนา
ที่พยายามแสวงหาจุ ดยืน ของตนเพื่อแสดงปากเสีย งและเรีย กร้องความเป็ น ธรรมในเวที
ระหว่างประเทศ
165
165 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
166
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
บทที่ 7 บทที่ 7
สำนักอังกฤษกัสำบ�กำรศึ
นักอังกกฤษกั บการศึ
ษำควำมสั มพักนษาความสั มพันธ์ระหว่างประเทศ
ธ์ระหว่ำงประเทศ
The English School and IR
(The English School and IR)
7.1 บทนำ
ในบทที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าแนวคิดและทฤษฎีต่างๆ อันได้แก่ สัจนิยม เสรีนิยม ถือ
เป็ น แนวคิ ด กระแสหลั ก อั น เกิ ด จากนั ก วิ ช าการด้ า นความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งประเทศใน
สหรัฐอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งทศวรรษ 1970 Stanley Hoffmann ได้อ้างถึงงาน
เขีย นทางประวัติศาสตร์ซึ่งให้เห็นภาพว่าแนวคิดของสานักอังกฤษนั้นถูก เพิก เฉยอย่างไร
(Dunne, 2010: 132) อี ก ทั้ ง ไม่ มี ร ะเบี ย บวิ ธี ก ารศึ ก ษาอย่ า งเป็ น ระบบที่ น อกเหนื อ จาก
รัฐศาสตร์แบบสหรัฐอเมริกา มีเพียงงานของ Hedley Bull เท่านั้น จากข้างต้นจึงเป็นที่มา
ของแนวคิดสานักอังกฤษ (The English School) ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โดยเฉพาะหลังการตีพิมพ์ผลงานที่ชื่อ “The Anarchical Society” แนวคิดสานักอังกฤษก็
ได้รับความสนใจในแวดวงวิชาการมากยิ่งขึ้น
จุดเด่นของสานักอังกฤษคือ การให้ความสาคัญกับบริบททางประวัติศาสตร์ และ
คุณค่าหรือค่านิยมระหว่างประเทศซึ่งเป็นประเด็นที่ทฤษฎีกระแสหลักเช่นสัจนิยมและเสรี
นิยมเพิกเฉย นักคิดในสานักนี้ส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการที่สังกัดอยู่ในมหาวิทยาลัยในอังกฤษ
เช่น Hedley Bull ซึ่งถือเป็นผู้บุกเบิกแนวคิดนี้ Martin Wight, Nicolas Wheeler, Andrew
Hurrell, Barry Buzan, Tim Dunne เป็ น ต้ น ส านั ก อั ง กฤษมี ชื่ อ เรี ย กอี ก ชื่ อ คื อ Liberal
Realism หรื อ แนวทางการศึ ก ษาสั ง คมระหว่ า งประเทศ ( International Society
Approach)
สานักอังกฤษหลีกเลี่ยงการสร้างทฤษฎีที่เลือกกระแสอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ
ทฤษฎีกระแสหลักเช่นทฤษฎีสัจนิยมหรือทฤษฎีเสรีนิยม กล่าวคือ เลี่ยงการอธิบายที่ว่ารัฐเป็น
ตัวแสดงสาคัญที่สุดและเน้นความขัดแย้งตามแนวทางสัจ นิย มหรือประเด็นธรรมชาติ และ
เจตนารมณ์ของมนุษย์รวมทั้งความร่วมมือซึ่งกลายเป็นสิ่งที่สัจนิยมและเสรีนิยมต่างถกเถียง
กั น ดั ง นั้ น แนวทางส านั ก อั ง กฤษจึ ง สั ง เคราะห์ ท ฤษฎี แ ละแนวคิ ด ต่ า งๆหลายประการ
โดยเฉพาะการผนวกเอาทฤษฎีและประวัติศาสตร์ ศีลธรรมและอานาจ ตัวแสดงกับโครงสร้าง
ประเด็ น ที่ ส าคั ญ ที่ สุ ด คื อ การเสนอกรอบการวิ เ คราะห์ “สั ง คมของรั ฐ ” (society of
states) หรือ “สังคมระหว่ำงประเทศ” (international society) อันหมายถึง กลุ่มของ
167
167 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
7.2 พัฒนำกำรของสำนักอังกฤษในวิชำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
พัฒนาการทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสานักอังกฤษสามารถแบ่งได้
เป็น 4 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 (ค.ศ.1959-1966) เป็ น ช่ ว งก่ อ ตั้ ง ส านั ก วิ ช า โดยจั ด ตั้ ง The British
Committee on Theory of Intenational Politics และเริ่มพัฒนากรอบวิธีการศึกษาสังคม
ระหว่างประเทศ ซึ่งความสาคัญของยุคนี้คือการตีพิมพ์ผลงานที่เกี่ยวข้องกับการสืบค้นและ
ศึ ก ษาข้ อ มู ล ทางประวั ติ ศ าสตร์ แ ละการทู ต โดยมี นั ก วิ ช าการที่ ส าคั ญ ได้ แ ก่ Herbert
Butterfield แ ล ะ Martin Wight ทั้ ง ส อ ง ค น นี้ ร่ ว ม กั น เ ขี ย น ผ ล ง า น Diplomatic
Investigations นอกจากนั้นยังมีนักวิชาการในมหาวิทยาลัยของอังกฤษที่สาคัญในการร่วม
สร้ า งส านั ก อั ง กฤษ ได้ แ ก่ Desmond Williams, Adam Watsan, William Armstrong,
Michael Howard, Donald Mackinson และ Hedley Bull (นักวิชาการจากออสเตรเลีย)
ระยะที่ 2 (ค.ศ.1966-1977) เป็นช่วงของกาหนดกรอบวิ ธีก ารศึก ษา ผลงานที่
ส าคั ญ ในช่ ว งนี้ คื อ The Anarchical Society: A study of Order in World Politics ของ
Hedley Bull งานที่ แ สดงจุ ด ยื น ที่ เ น้ น แนวทางการศึ ก ษาเชิ ง ประวั ติ ศ าสตร์ (Historical
Approach) ในการศึกษาสังคมระหว่างประเทศจนเป็นที่มาของสานักอังกฤษ โดยงานสาคัญ
ชิ้นนี้ตั้งคาถามว่า “ในสภาวะอนาธิปไตยของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ระเบียบมาจากที่
ใด”
ระยะที่ 3 (ค.ศ.1977-1992) เป็นช่วงรุ่งเรืองของการผลิตผลงานทางวิชาการของ
สานักอังกฤษ ซึ่งเป็นช่วงที่สานักอังกฤษได้ปรับปรุงแนวคิดสังคมระหว่างประเทศให้ชัดเจน
มากยิ่งขึ้นและสามารถวางตาแหน่งแห่งที่ของตนในทางวิชาการได้
ระยะที่ 4 (ตั้งแต่ ค.ศ.1992 จนถึงปัจจุบัน) ในยุคนี้มีนักวิชาการใหม่ๆในสานัก ที่
โดดเด่นได้แก่ Barry Buzan และ Tim Dunne ที่ได้พัฒนาแนวคิดสังคมระหว่างประเทศให้
168
168
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
169
169 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ทั้งสามนีล้ ้วนปรากฎอยู่ในเวลาเดียวกันในฐานะการทาความเข้าใจความเป็นจริงและประเด็น
ต่างๆที่จะวิเคราะห์ กล่าวคือเป็นการเปิดมุมมองให้นักวิชาการก้าวข้ามหรือหยิบยืมทฤษฎีสัจ
นิ ย มและเสรี นิ ย มรวมทั้ ง ทฤษฎี ส รรสร้า งนิ ย ม (constructivism)ทฤษฎี วิ พ ากษ์ (critical
theory) และแนวคิดหรือทฤษฎีที่เน้นการตีความอื่นๆมาประยุกต์กับการศึกษา
เพื่อเป็นการทาความเข้าใจรายละเอียดอื่นๆของสานักอังกฤษ ผู้เขียนได้เลือกงาน
สาคัญบางชิ้นเพื่อนาเสนอมุมมองหลักของสานักอังกฤษในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศ อั น ได้ แ ก่ “The Anarchical Society” ของ Hedley Bull ในฐานะหมุ ด หมาย
สาคัญของการกาเนิดสานัก อังกฤษมานาเสนอเพื่ อให้เห็นภาพรวมของการทาความเข้ าใจ
แนวคิ ด ของส านั ก อั ง กฤษ อี ก ทั้ ง งานของ Martin Wight หนึ่ ง ในนั ก วิ ช าการคนส าคั ญ ที่
นาเสนอภาพลักษณ์ 3 ประการที่สาคัญของสานักอังกฤษจากผลงาน International Theory:
The Three Traditions (1991) ต่อการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ
170
170
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
171
171 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
172
172
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
173
173 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ตัวอย่างความแตกต่างระหว่างสังคมระหว่างประเทศกับระบบระหว่างประเทศ
(Bull 1977: 13) ในประวัติศาสตร์เราจะเห็นได้ว่า ตุรกี จีน ญี่ปุ่น อินเดีย หรือแม้แต่ไทยเองก็
ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบระหว่างประเทศของยุโรป (European International System)
มาเป็ น เวลานานก่ อ นที่ จ ะกลายมาเป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของสั ง คมระหว่ า งประเทศของยุ โ รป
(European International Society) กล่าวคือประเทศดังกล่าวในเอเชียทั้งการติดต่อค้าขาย
หรือการทาสงครามกับมหาอานาจยุโรป ก่อนที่ประเทศเหล่านี้และมหาอานาจยุโรปจะเกิด
การตระหนักถึงประโยชน์หรือคุณค่าร่วมกัน หรือยอมรับกฎเกณฑ์และความร่วมมือในการ
ปฏิบัติของสถาบันร่วมกัน ยกตัวอย่างเช่น ตุรกีเป็นส่วนหนึ่งของระบบระหว่างประเทศของ
ยุโรปมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ทั้งในรูปแบบของจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรและการทาสงครามซึ่งถือ
เป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบระหว่างประเทศดังกล่าว แต่สถานะของตุรกีในฐานะสมาชิกของ
สังคมระหว่างประเทศเกิดขึ้นจากการลงนามในสนธิสัญญาปารีส ปี 1856 (Treaty of Paris
1856) อันเป็นสนธิสัญญาสงบศึกสงครามไครเมีย แต่กระนั้น สมาชิกภาพดังกล่าวก็มิได้มีสิทธิ
แห่ ง ความเท่ า เที ย มเต็ ม รู ป แบบในสั ง คมระหว่ า งประเทศจนกระทั่ ง มี ก ารลงนามใน
สนธิสัญญาโลซาน ปี 1923
7.4.4 ระเบียบ (order) และระเบียบระหว่ำงประเทศ (international order)
ระเบียบระหว่างประเทศ คือ รูปแบบกิจกรรมที่รักษาเป้าหมายพื้นฐานของสังคม
รัฐเอาไว้ โดยสมาชิกต่างเห็นพ้องว่าเป็นเป้าหมายที่ต้องรักษาไว้ โดยมีเป้าหมาย 4 ประการ
ได้แก่ (Bull 1977: 16-19)
1. การปกป้องรักษาสังคมรัฐเอง กล่าวคือ การที่แต่ละรัฐสมาชิกต่างก็เห็นว่าการ
จัดตั้งสังคมรัฐจะเป็นประโยชน์แก่ตนจึงต้องหาทางป้องกันสังคมรัฐจากสิ่งที่อาจจะมาทาลาย
สังคมรัฐลงได้ สิ่งที่อาจจะมาทาลายสังคมรัฐได้แก่ รัฐที่ต้องการครอบงารัฐอื่น องค์กรที่อยู่
เหนือรัฐ หน่วยย่อยภายในรัฐ และขบวนการองค์กรหรือกลุ่มที่มีการดาเนินการข้ามรัฐ
2. เพื่อรักษาความเป็นอิสระของรัฐในการใช้อานาจอธิปไตยภายในและภายนอก
ของรัฐ โดยคาดหวังว่าเมื่อตนเองเข้ามาร่วมในระบบระหว่างประเทศ ก็ จ ะทาให้รัฐอื่นๆ
ยอมรับและรับรองว่ารัฐของตนดารงอยู่ในระบบระหว่างประเทศ โดยมีเอกราชและปราศจาก
อานาจอื่นๆเข้ามาแทรกแซง
3. รั ก ษาสั น ติ ภ าพซึ่ ง เป็ น สั น ติ ภ าพระหว่ า งประเทศในสั ง คมรั ฐ นั้ น ๆแต่ ไ ม่ ได้
หมายความไปถึงสันติภาพที่เป็นสากลและถาวร เพราะสันติภาพแบบนั้นเป็นความคิดในความ
ฝันและไม่เป็นไปตามความจริงเมื่อดูจากประวัติศาสตร์โลก แต่สันติภาพที่แท้จริงคือการไม่มี
สงคราม
174
174
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
โดยสรุปแล้ว รัฐต่างๆที่เห็นคุณค่าและผลประโยชน์ร่วมกันจะจัดตั้งสังคมรัฐขึ้นมา
และจะใช้กฎระเบียบมาใช้เป็นตัวรักษาระเบียบระหว่างประเทศและใช้เป็นแนวทางในการ
ปฏิบัติต่อกัน โดยรัฐจะเป็นผู้มีสิทธิและความรับผิดชอบหลักในการปฏิบัติที่เกี่ยวกับกฎ โดย
ถือว่า ระเบียบเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่อดีตและยังคงถูกสร้างและรักษาต่อไป ถึงว่าระเบียบ
จะขึ้นอยู่กับสภาพการเมืองระหว่างประเทศที่ล่อแหลมก็ตาม
7.5 แนวคิดสำคัญของสำนักอังกฤษ
มุ ม มองเรื่ อ งการเมื อ งโลกของส านั ก อั ง กฤษตั้ ง อยู่ บ นพื้ น ฐานแนวคิ ด ส าคั ญ 3
ประการ (three traditions)18 ซึ่งมีชื่อเรียกที่แตกต่างแต่มีความหมายเช่นเดียวกัน กล่าวคือ
Wight จ ะ เ รี ย ก ว่ า realism rationalism แ ล ะ revolutionism ส่ ว น Bull ใ ช้ ค า ว่ า
Hobbesian,Grotian และ Kantian ซึ่งจะเห็นจัดเพื่อให้เห็นความเหมือนกันของทั้งความคิด
ทั้งสองชุดนี้คือ
175
175 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ระบบระหว่ำงประเทศ เป็นเสาหลักที่สอดคล้องกับแนวคิดที่ได้รับอิทธิพลนักคิดสายสัจ
นิ ย ม เช่ น Hobbes และ Machiavelli โดยให้ ค วามส าคั ญ กั บ การเมื อ งเรื่ อ งอ านาจ
(power politics) ระหว่างรัฐต่างๆและนาเสนอประเด็นโครงสร้างและกระบวนการของ
สภาวะอนาธิปไตยระหว่างประเทศให้เป็นหลักการสาคัญของทฤษฎี จุดยืนเช่นนี้เป็น
แนวคิดที่คล้ายกับทฤษฎีสัจนิยมและสัจนิยมใหม่ที่ยังคงมองว่ารัฐเป็นตัวแสดงที่แสวงหา
อานาจอยู่เสมอซึ่งอาจจะนาไปสู่สงครามและไม่มีอานาจใดที่หยุดยั้งได้ หลักการการไม่
รุกรานและแทรกแซงกิจการของรัฐอื่นจึงเป็นพื้นฐานสาคัญในระบบระหว่างประเทศ
หากไร้ซึ่งหลักการนี้แล้วก็ มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งการรุก ราน
คุ ก คามรั ฐ อื่ น ๆ ดั ง นั้ น รั ฐ จึ ง ต้ อ งปฏิ บั ติ ต ามกฎเกณฑ์ ดั ง กล่ า วเนื่ อ งจากรั ฐ ต่ า งๆมี
ผลประโยชน์ร่วมกันในการธารงรักษาระเบียบระหว่างรัฐ
สังคมระหว่ำงประเทศ อาจจะเรียกว่า ระบบรัฐ (States-system) สังคมระหว่างรัฐ
(interstate society)หรื อ สั ง คมของรั ฐ (society of states) แนวคิ ด สั ง คมระหว่ า ง
ประเทศเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับแนวคิดของ Grotius อันเกี่ยวกับการสร้างความเป็น
สถาบันของผลประโยชน์และอัตลักษณ์ร่วมกันของบรรดารัฐต่างๆและจัดวางการสร้าง
และรั ก ษาบรรทั ด ฐานกติ กาและสถาบั น ร่ ว มกั น ( shared norms,rules and
176
176
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
177
177 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
Pluralism and Solidarism เป็ น ค าศั พ ท์ ส องค าที่ บั ญ ญั ติ ขึ้ น โดย Bull ซึ่ ง ใช้
อธิบายการมุมมองที่ต่างกันในเรื่องระเบียบและความยุติธรรม สิทธิมนุษยชน และประเด็น
การแทรกแซงกิจการภายในว่าควรกระทาหรือไม่ (พิจารณาจากตารางที่ 7.2) ทั้งสองกลุ่มนี้
ยังคงประเด็นการถกเถียงภายในสานักอังกฤษด้วยกันเองจนถึงปัจจุบันนี้
ถึงแม้นักวิชาการภายในสานักอังกฤษเองจะมีความเห็นที่ต่างกัน แต่มิใช่ประเด็นนี้
มิ ไ ด้ แ สดงถึ ง ความขั ด แย้ง หรือ โต้ เ ถีย ง หากแต่ เ ป็ น เสมื อ น “คู่ ส นทนาที่ ยิ่ ง ใหญ่ ” (great
conservation) ต่อคาถามที่ว่า “เราจะหาความสมดุลที่ดีที่สุดระหว่างความยุติธรรมและ
ระเบียบในสังคมระหว่างประเทศได้อย่างไร” ซึ่งหากกลับไปพิจารณาแผนภาพที่ 7.1 แล้วจะ
พบว่าแนวคิดทั้งสองอยู่ในส่วนของ Rationalism แต่ตาแหน่งแห่งที่ของทั้งสองแนวคิดตั้งอยู่
บ ริ เ ว ณ ใ ก ล้ ข อ บ เ ข ต พ ร ม แ ด น ( boundary zone) ข อ ง แ น ว คิ ด Realism แ ล ะ
178
178
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
179
179 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
7.5 ระเบียบระหว่ำงประเทศและควำมยุติธรรม
แนวคิดทั้งสามประการในหัวข้อ 7.4 ยังสะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศเป็นเรื่องกิจกรรมของมนุษย์ที่สัมพันธ์กับค่านิยมขั้นพื้นฐานซึ่ง Bull เสนอว่าค่านิยมที่
ส าคั ญ ที่ สุ ด นั้ น 2 ประเด็ น คื อ ระเบี ย บระหว่ ำ งประเทศ (International Order) และ
ควำมยุติธรรมระหว่ำงประเทศ (International Justice) ซึ่งคาว่าระเบียบระหว่างประเทศ
นั้น หมายถึง “รูปแบบหรือการจัดวาง (disposition) ของกิจกรรมระหว่างประเทศที่รักษา
เป้าหมายพื้นฐานของสัง คมแห่ง รัฐ ต่างๆ” ส่วนคาว่า ความยุติธรรมระหว่ างประเทศนั้ น
หมายถึง กฎศีลธรรมอันคานึงถึงสิทธิและภาระหน้าที่ของแต่ละรัฐอาทิ สิทธิในการกาหนด
ชะตากรรมด้วยตนเอง (the right of self-determination) สิทธิของการไม่แทรกแซงกิจการ
ภายใน (the right of non-intervention) และสิ ท ธิ แ ห่ ง รั ฐ อธิ ป ไตยที่ จ ะได้ รับ การปฎิบัติ
อย่างเท่าเทียมกัน (Bull, 2002:78)
Bull แบ่งความยุติธรรมไว้หลายประเภท แต่เขาให้ความสนใจกับความยุติธรรมที่
เกี่ยวข้องกับความสัมพั นธ์ระหว่างประเทศโดยตรง นั่นคือ ควำมยุติธรรมเชิงแลกเปลี่ย น
ทดแทน (commutative justice) และควำมยุ ติ ธ รรมเชิ ง กระจำย (distributive
justice)กล่าวคือ ความยุติธรรมเชิงแลกเปลี่ยนทดแทน เชื่อว่า รัฐทุกรัฐเท่าเทียมกันภายใต้
กฎหมายระหว่างประเทศและข้อปฏิบัติทางการทูตภายใต้ กฎกติกาหรือบรรทัดฐานเดียวกัน
ในสังคมระหว่างประเทศ ความยุติธรรมประเภทนี้จึงเป็นหลักการพื้นฐานของความยุติธรรม
ระหว่างประเทศ ส่วนความยุติธรรมเชิงกระจายเป็นแนวคิดที่เสนอว่าในโลกแห่งความเป็นจริง
มีรัฐที่อ่อนแอและยากจนอยู่มากมาย รัฐเหล่านี้ควรได้รับความช่วยเหลือจากรัฐอื่นๆที่เข้มแข็ง
และร่ ารวยกว่ า ดั ง นั้ น รั ฐ ต่ า งๆควรเห็ น อกเห็ น ใจและก้ า วข้ า มเรื่ อ งอ านาจอธิ ป ไตยเพื่ อ
ช่วยเหลือประชาชนที่อยู่ในรัฐที่ประสบปัญหาอันเป็นผลมาจากการเมืองภายใน โดยสรุปแล้ว
ความยุติธรรมเชิงแลกเปลี่ยนทดแทน เป็นแนวคิดของ Pluralism และความยุติธรรมเชิง
กระจายเป็นแนวคิดของ Solidarism
Bull ยังแบ่งความยุติธรรมในการเมืองโลกออกเป็น 3 ประเภทคือ ความยุติธรรม
ระหว่างประเทศ (international justice) ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์โดยพื้นฐานระหว่างรัฐที่
เท่าเทียมกัน ความยุติธรรมระดับปัจเจกบุคลหรือระดับมนุษย์ (individual/human justice)
ซึ่งกล่าวถึงประเด็นของสิทธิมนุษยชน และความยุติธรรมระดับโลก (world justice) อัน
หมายถึงความถูกต้องหรือความดีงามของโลก หากพิจารณาในเชิงประวัติศาสตร์แล้ วสิ่ง ที่
180
180
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
กาหนดความเป็นไปของการเมืองโลกคือความยุติธรรมระดับระหว่างประเทศ แต่ในศตวรรษที่
21 ความยุติธรรมในระดับปัจเจกบุคคลและระดับโลกก็ เป็นประเด็นที่ทวีความสาคั ญ มาก
ยิ่งขึ้น
7.6 รัฐกับควำมรับผิดชอบในสังคมระหว่ำงประเทศ
แนวคิดสามประการของสานักอังกฤษนั้นแสดงถึงการทาความเข้าใจว่า “การเมือง
ของโลกนี้ เ ป็ น อย่ า งไรและควรจะเป็ น อย่ า งไร” ดั ง ที่ Jackson (1995: 110-28 cited in
Bellamy, 2001:80) ให้ความเห็นไว้ว่า “แนวทางแต่ละแนวทางเป็นความคิดที่เปรียบได้กับ
ของความรับผิดชอบที่มีความต่างระดับกัน (layerof responsibility) ซึ่งกาลังเผชิญหน้ากับ
ผู้นาทางการเมืองที่ต้องเลือกระหว่างหนทางเชิงบรรทัดฐาน (normative dilemmas) หรือ
ทางเลื อ กเชิ ง ปฎิ บั ติ (pragmatic dilemmas) ที่ ส าคั ญ ต่ อ การก าหนดความเป็ น ไปของ
การเมืองโลก”
ในที่นี้การศึกษาตามแนวทางสานักอังกฤษได้นาเราไปสู่อีกหนึ่งประเด็นสาคัญคือ
“ทางเลือกของนโยบายต่างประเทศและความรับผิดชอบของผู้นารัฐต่อปัญหาที่กาลังเผชิญ ”
กล่าวคือ แนวทางสัจนิยมจะพิจารณาถึงความรับผิดชอบขั้นต้นของผู้นาสาหรับเรื่องปากท้อง
ของประชาชน อีกในทางหนึ่งรัฐก็มีหน้าที่ที่ต้องรักษาความมั่นคงให้กับประชาชนของตน ส่วน
เหตุผลนิยมพิจารณาถึงความรับผิดชอบของรัฐที่ต้องยึดถือกฎหมายระหว่างประเทศ ส่วน
ประเด็นปฏิวัตินิย มได้ถูก นามาพิจ ารณาว่า รัฐต่างๆตระหนัก รับรู้ถึงความรับผิดชอบทาง
ศีลธรรมต่อความผาสุกของปัจเจกบุคคลในระดับข้ามพรมแดน จากมุมมองทั้งหมดนี้
สรุปได้ว่า การเมืองโลกเป็นที่ตั้งของการโต้เถียงระหว่างความรับผิดชอบแบบสาม
ระดับ กล่าวคือ ความรับผิดชอบต่อรัฐและประชาชนของตนหรือความรับผิดชอบระดับชาติ
(National Responsibility) ความรับผิดชอบตามกฎหมายระหว่างประเทศและเคารพสิทธิ
ของรัฐอื่นๆ เรียกว่าความรับผิดชอบระหว่างประเทศ (International Responsibility) และ
181
181 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ความรับผิดชอบที่มีต่อมวลมนุษยชาติที่คานึงถึงสิทธิมนุษยชน เรียกว่าความรับผิดชอบเชิง
มนุษยธรรม (Humanitarian Responsibility) ดังมีรายละเอียดดังนี้
182
182
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
183
183 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
184
184
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
185
185 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
19 ทฤษฎีสรรสร้างนิยมได้พัฒนากรอบคิดเพื่อทาความเข้าใจปัจจัยทางสังคมและปัจจัยทางอัตลักษณ์
ที่เข้ า ไปสู่ก ารประกอบสร้า งของความสั มพันธ์ระหว่า งประเทศและความสัมพั นธ์ข้ า มพรมแดน
จุ ด อ่ อ นประการหนึ่ ง ของทฤษฎี ส รรสร้ า งนิ ย มคื อ การขาดแนวคิ ด ทางการเมื อ ง งาน From
International to World Society? จึงเป็นการนาทฤษฎีสรรสร้างนิยมเข้าสู่การเป็นกระบวนทัศน์
หนึ่งของการศึกษาการเมืองระหว่างประเทศ ดูเพิ่มเติม Adler (2005).
186
186
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
นักวิชำกำรคนสำคัญในสำนักอังกฤษ
187
187 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
188
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
บทเกริ่นนำ บทเกริ่นนำ�
ทฤษฎีหลังทฤษฎี หลังยปฎิ
ปฎิฐำนนิ ฐานนิยกมในการศึ
มในกำรศึ ษำควำมสักษาความสำ �พัำนงประเทศ
มพันธระหว่ ธ์ระหว่างประเทศ
Post-positivism in International Relations
(Post-positivism in International Relations)
20 ในงานบางชิ้นอาจเรียกวิวาทะครั้งที่สี่ว่าวิวาทะครั้งที่สาม โดยนับรวมการถกเถียงระหว่างกระบวน
ทัศน์ (the inter-paradigm debate) ระหว่างสัจนิยมใหม่ เสรีนิยมใหม่และมาร์ก ซ์ใหม่ไว้ด้วย ดู
Lapid (1989) และ Waever (1996)
189
189 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
190
190
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
ทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมให้ความสาคัญกับภาษาและวาทกรรม โดยแนวคิดนี้มุ่ง
วิจ ารณ์ก ลุ่มทฤษฎีก ระแสหลัก โดยเฉพาะทฤษฎีสัจ นิย มใหม่เนื่องด้วยการให้ความสาคัญ
เฉพาะตัวแสดงรัฐเป็นสาคัญ โดยเพิก เฉยการวิเคราะห์และศึกษาตัวแสดงอื่นๆในโลกอีก
จานวนมาก เช่น ผู้หญิง ผู้ยากไร้ คนชายขอบ กลุ่มคนในซึกโลกใต้ ขบวนการประท้วงต่างๆ
รวมทั้งกระบวนการต่างๆ เช่น การกดขี่ขูดรีด (exploitation) การถูกทาให้อยู่ในบังคับบัญชา
(subordination) การเสื่อมถอยทางธรรมชาติ (environmental degradation) ด้วยเหตุนี้
ทฤษฎีสัจนิยมใหม่จึงสร้างภาพที่เป็นอคติของโลก (a biased picture of the world) ซึ่งเป็น
สิ่งที่จาต้องถูกเปิดเผยและวิพากษ์วิจารณ์
ทฤษฎีสตรีนิยมให้ความสาคัญกับประเด็นที่ผู้หญิงเป็นกลุ่มที่เสียเปรียบในโลกทั้ง
ในทางวัตถุและเชิงระบบของคุณ ค่า ที่มั ก จะยกให้ ผู้ช ายมี ค วามเหนือกว่า อยู่เสมอ เราใช้
มุมมองทางเพศสภาพสารวจตรวจสอบตาแหน่งแห่งที่ของ “ผู้หญิง” ในระบบการเมืองและ
เศรษฐกิจระหว่างประเทศ อีกทั้งวิเคราะห์ว่าวิธีการของแนวคิดในการศึกษาความสัมพั นธ์
ระหว่างประเทศมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนโฉมและผลิตสร้างลาดับชั้นทางเพศสภาพขึ้นใหม่ได้
อย่างไร
191
191 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
192
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
บทที่ 8 บทที่ 8
ทฤษฎีสรรสร้ำงนิยม (Constructivism) ทฤษฎีสรรสร้างนิยม
Constructivism
8.1 บทนำ
ทฤษฎีสรรสร้างนิย ม(Constructivism หรือในบางตาราอาจจะเรีย กว่า Social
Constructivism) มีชื่อในภาษาไทยหลายชื่อเช่ น ทฤษฎีประดิษฐกรรมทางสัง คม ทฤษฎี
บัญญัตินิยม ทฤษฎีนิรมิตนิยม ทฤษฎีก่อร่างหรือประกอบสร้าง ซึ่งในที่นี้จะขอใช้คาว่าทฤษฎี
สรรสร้างนิยมเป็นหลัก
ทฤษฎีสรรสร้างนิยมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศ และกลายเป็นแนวคิดและแนวทางการศึก ษาที่ “มาแรง” จนเป็นที่นิย มในเวลา
อันรวดเร็วจนติดอันดับ 1 ใน 3 ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นนิยมในปัจ จุบัน
(Sterling-Folker, 2013: 127; Viotti & Kuppi, 2012: 277) แนวคิดนี้เริ่มปรากฎในแวดวง
วิชาการมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 โดยได้รับอิทธิพลมาจากงานของนักสังคมวิทยา เช่น Emile
Durkheim,Max Weber แ ละ Anthony Giddens ในส่ ว นที่ เ กี่ ย วข้ อ ง กั บก าร ศึ ก ษา
ความสัมพันธ์ระหว่งประเทศ ทฤษฎีสรรสร้างนิย มเป็นคาที่ ริเริ่มโดย Nicholas Onuf ซึ่ง
ปรากฎในงาน “World of Our Making” ในปี ค.ศ.1989 (Zehfuss, 2004: 11) แต่ผลงาน
ที่ มี ชื่ อ เสี ย งในแนวทางทฤษฎีนี้ คื อ ผลงานของ Alexander Wendt ซึ่ ง ผลิ ต ผลงานอย่าง
ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลาย 1980 จนถึงทศวรรษที่ 1990 โดยเฉพาะบทความ “Anarchy is
what states make of it” ที่ตีพิมพ์ในวารสาร “International Organization” ในปี 1992
Wendt ได้หยิบยืม StructurationTheory21 ของ Anthony Gidden และแนวคิดสัจ นิ ย ม
เชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Realism) เพื่อนามาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดย
เขาเสนอว่า “สภาวะอนาธิปไตยมิได้เกิดขึ้นเอง หากแต่เป็นสิ่งที่บรรดารัฐต่างๆร่วมกันสร้าง
21
Structuration Theory เป็นทฤษฎีที่มีชื่อเสียงของ Anthony Giddens ว่าด้วยการก่อรูปความสัมพันธ์
ของโครงสร้างทางสังคมซึ่งเป็นทั้งผลลัพธ์และวิธีการให้ผู้กระทา การแสดงพฤติกรรมหรือกระทาการต่างๆ อัน
เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างและผู้กระทาการในรูปแบบของทวิภาวะของโครงสร้าง ทฤษฎีดังกล่าวถือ
ได้ว่าเป็นทฤษฎีร่วมสมัยและยังคงเป็นข้อถกเถียงในทางสังคมวิทยามาจนถึงปัจจุบันว่าแท้จริง แล้วมนุษย์มี
อิสระในการกระทาอย่างเสรีหรือ ถูกโครงสร้างกากับควบคุมกันแน่ ในภาษาไทยมีการแปล Structuration
Theory ว่า ทฤษฎีการก่อตัวของโครงสร้างความสัมพันธ์ทางสัง คม แต่ในที่นี้ผู้เขียนขอใช้คาทับศัพท์เ พื่ อ
ดาเนินเนื้อหาในเล่ม
193
193 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ขึ้ น มา” ผลงานชิ้ น ส าคั ญ ของเขาอี ก หนึ่ ง ผลงานคื อ “Social Theory of International
Relations”
ยัง กล่าวได้อีก ว่า ทฤษฎีสรรสร้างนิย มมีตาแหน่งแห่งที่ทางทฤษฎีอยู่ตรงกลาง
ระหว่างทฤษฎีระหว่างประเทศสองกลุ่มใหญ่ กล่าวคือ ทฤษฎีสรรสร้างนิยมเปรียบดั่งสะพาน
เชื่อมระหว่างทฤษฎีปฏิฐานนิยมและทฤษฎีหลังปฏิฐานนิยม (พิจารณาได้จากแผนภาพที่ 8.1)
เนื่ อ งจากนั ก วิ ช าการกลุ่ ม หนึ่ ง ในทฤษฎี ส รรสร้ า งนิ ย มมี วิ ธี ก ารที่ ใ ช้ ข้ อ มู ล เชิ ง ประจั ก ษ์
(empirical data) และแนวทางการศึก ษาเชิง วิทยาศาสตร์เช่นเดีย วกั บกลุ่มทฤษฎีปฏิ ฐ าน
นิยมแต่แนวคิดของทฤษฎีสรรสร้างนิยมก็เน้นอานาจของความคิด (power of ideas) และ
ความส าคั ญ ของการท าความเข้ า ใจเชิ ง การตี ค วาม (interpretive understanding) ของ
“โลกที่ แ ตกต่ า งไป” (the world out there) อย่ า งไรก็ ต าม การกล่ า วอ้ า งที่ ว่ า มี ค วาม
แตกต่างขั้นพื้นฐานระหว่างความเข้าใจเชิงเหตุผลและความเข้าใจเชิงตีความนั้น เราสามารถ
เข้าใจได้ถึงข้อสมมติฐานหลักทางวิธีวิทยาและญาณวิทยาของทฤษฎีสรรสร้างนิยม
กลุ่มปฏิฐำนนิยม กลุ่มหลังปฏิฐำนนิยม
สัจนิยม สรรสร้างนิยม หลังโครงสร้ำงนิยม
เสรีนิยม
สตรีนิยม
มำร์กซิส
หลังอำณำนิคม
สำนักอังกฤษ
8.2 แนวคิดพื้นฐำนของทฤษฎีสรรสร้ำงนิยม
เพื่อทาความเข้าใจเบื้องต้น ผู้เขียนจึงขอเริ่มต้นจากภาพรวมและสมมติฐานของ
ทฤษฎีสรรสร้างนิยมซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้ (Diez,Bode & Costa,2011:210-212; Viotti &
Kuppi, 2012: 278-279; Jackson & Sorensen: 2013: )
1) ทฤษฎีสรรสร้างนิยมแสวงหาวิธีการที่ทาให้จะให้อัตลักษณ์ (identities) และ
ผลประโยชน์ (interest) แห่งรัฐเป็นประเด็นปัญหาและมองว่า อัตลักษณ์เป็นปัจจัยสาคัญต่อ
การทาความเข้าใจนโยบาย แต่อัตลักษณ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้
2) ทฤษฎีสรรสร้างนิยมเสนอว่าเรื่องโครงสร้างและตัวแสดง กล่าวคือ โครงสร้าง
194
194
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
ควำมคิด
ก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาส่วนที่เป็นภาคทฤษฎีของสานักสรรสร้างนิยม ผู้เขียนจะ
ขอนาเสนอตัวอย่างใกล้ตัวเพื่อให้เห็นว่าความคิดมีผลต่อการสร้างอัตลักษณ์ ผลประโยชน์และ
นาไปสู่ก ารกระท าได้อย่ างไร ในเหตุก ารณ์สมมติว่ า เพื่อนชวนเราไปงานเลี้ย งวั น เกิ ด ซึ่ ง
เจ้าของงานเลี้ยงวันเกิดเป็นผู้หญิง เรามักจะมีภาพและความคิดในหัวเราว่าผู้หญิงจะต้องชอบ
ของขวัญที่ดูสดใส อ่อนหวาน หากเราเลือกซื้อเสื้อให้ผู้หญิงคนนี้ เราอาจจะเลือกเสื้อผ้าสีชมพู
หรือชุดที่มีสีสันหวาน มีลายการ์ตูน หรือเลือกซื้อเครื่องสาอาง เป็นต้น หากเจ้าของงานเลี้ยง
วันเกิดเป็นผู้ชาย เราก็มีจะมีภาพว่าเขาผู้นั้นจะต้องสิ่งที่ดูเคร่งขรึมหรือดูเหมาะสมกับความ
เป็นชาย เช่นเลือกซื้อเข็มขัด เสื้อเชิ้ตสีขาวหรือสีเทาหรืออุปกรณ์กีฬา เป็นต้น แต่ในความเป็น
จริงของขวัญที่เรามอบให้ไปนั้นอาจจะไม่ตรงใจกับเจ้าของตามที่เราคาดหวังและคิดไว้แต่ต้น
195
195 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ซึ่งจากตัวอย่างที่ยกมานั้นแสดงให้เห็นว่า ความคิดที่เรามีอยู่นั้นมีผลต่อการเลือกซื้อของและ
มอบของขวัญให้กับเจ้าของวันเกิดตามความคาดหวังของเรา ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ถือเป็นได้
ว่ า เป็ น ความคิ ด ที่ เ กิ ด ขึ้ น จากบรรทั ด ฐานที่ ป ระกอบสร้ า งขึ้ น ทางสั ง คม ( socially
constructed norms) และการปฏิบัติจะถูกเปลี่ยนผ่าน อีกทั้งการให้คุณค่าหรือความหมาย
กับสิ่งของบางสิ่งก็เพราะด้วยความคิดของเรา จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น คือจุดเริ่มต้นของการ
ทาความเข้าใจทฤษฎีสรรสร้างนิยม
แนวคิ ด พื้ น ฐานที่ ก ลุ่ ม นั ก คิ ด ทฤษฎี ส รรสร้ า งนิ ย มให้ ค วามส าคั ญ คื อ ควำมคิ ด
(ideas) และ ควำมเชื่อ (belief) มีผลต่อตัวแสดงต่างๆในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
และเป็นสิ่งที่สร้างความเข้าใจร่วมกัน (shared understanding) ระหว่างตัวแสดงต่างๆ นั่นก็
คือ การให้ความสาคัญกับการรับรู้ของมนุษย์ (human awareness) หรือการตระหนักรู้ของ
มนุษย์ (human consciousness) ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อีกทั้ง ระบบระหว่ำง
ประเทศเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมำจำกควำมคิด มิใช่พลังทำงวัตถุ (material force) กล่าวอีก
นัยหนึ่งคือ หากเราต้องการเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เราต้องเข้าใจว่าโลกแห่ง
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมิใช่โลกที่อยู่อย่างเอกเทศที่ไม่มีก ารติดต่อปฏิสัมพันธ์กั บ ตัว
แสดงอื่นๆ โลกของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นโลกทางสังคม (social World) ที่มีการ
ก่ อสร้างขึ้นโดยมนุษย์ มันเป็นโลกของความเชื่อ ความคิด ภาษา วาทกรรม (discourse)
สัญลักษณ์ (signs) สัญญาณ (signal) และความเข้าใจระหว่างมนุษย์และรัฐต่างๆ โลกทาง
สังคมเป็นโลกที่เรียกได้ว่า intersubjective domains เพราะโลกทางสังคมมีความหมายต่อ
คนที่สร้างโลก อยู่ในโลก และเข้าใจในโลกที่ตนอยู่
ทฤษฎีสรรสร้างนิยมเชื่อว่าโลกที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เป็นสิ่งที่กาหนดความรับรู้ของ
เรา เป็นสิ่งที่ บอกว่าเราเป็ น ใคร บอกอัตลัก ษณ์ ของเรา เมื่อบอกว่าเราเป็ น ใคร เราก็ จ ะ
สามารถบอกได้ว่าเราต้องการอะไร นั่นก็คือ การระบุถึงผลประโยชน์ของเราได้และนาไปสู่
การกาหนดนโยบาย ดังนั้น ผลประโยชน์แห่งชาติมิได้เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วตามที่กลุ่มทฤษฎีสัจ
นิยมและกลุ่มเสรี นิยมเชื่อ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อัตลักษณ์แห่งรัฐ (identities of state)
นั้นถูกสร้างมาจากบรรทัดฐานของบุคคลต่างๆในสังคมมารวมกันเพื่อหาจุดร่วมของความมีอัต
ลัก ษณ์ หากเกิ ดความขัดแย้งขึ้นกลุ่มผู้ที่สรรสร้างอัตลัก ษณ์แล้ว ก็ จ ะไม่สามารถสร้างอัต
ลักษณ์ได้สาเร็จ
อิทธิพลของความคิดที่มีการรับรู้ ความเข้าใจและความเชื่อของเราในความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศนั้น Wendt (1995: 73) ได้ยกตัวอย่างที่ให้ภาพเจนจากคากล่าวที่ว่า “อาวุธ
นิวเคลียร์ของอังกฤษจานวน 500 ลูกไม่เป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐอเมริกาเท่ากับการที่เกาหลี
196
196
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
กำรเล่นเกมไพ่ของเด็ก: เป็นภำพสะท้อนให้เห็นแง่มุมของทฤษฎีสรรสร้ำงนิยมหลำยลักษณะ
เด็กๆเล่มเกมตำมกฎเกณฑ์ (rules) และบรรทัดฐำน (norms) ที่พวกเขำยอมรับใน “โลก” ของเกมโดย
ไม่มีข้อสงสัยในควำมเป็นเหตุเป็นผลของเขำ (rationality)
นอกจำกนัน้ พวกเขำยังได้รับกำรขัดเกลำทำงสังคมเพื่อเข้ำสู่ “โลก” ใบนี้ ในบำงครำว กำรเล่มเกมอำจทำ
ให้เรำได้สร้ำงอัตลักษณ์ (identity)ให้กับบทบำทที่พวกเขำได้รับในเกมนี้
197
197 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
8.2 ควำมหลำกหลำยภำยในสำนักทฤษฎีสรรสร้ำงนิยม
ถึงแม้ว่านักวิชาการในสานักทฤษฎีสรรสร้างนิยมจะมีแนวคิดและสมมติฐานร่วมกั น
ในเชิงภววิทยาที่สร้างบนฐานแห่งความคิด (ideational Ontology) แต่ก็มีมุมมองทางญาณ
วิทยาหรือการหาความรู้ที่แตกต่างกันไป กล่าวคือนักวิชาการบางกลุ่ม ปฏิเสธการสร้างทฤษฎี
ที่เน้นรูปแบบของความเป็นศาสตร์และเน้นการตีความที่เรียกว่า สรรสร้างนิยมเชิงหลังปฎิ
ฐานนิยม (post-positivist constructivism) ส่วนบางกลุ่มก็ให้ความสาคัญระเบีย บวิ ธีก าร
เชิงวิทยาศาสตร์และการใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่ออธิบายพลวั ตรของความสัมพันธ์ ระหว่าง
ประเทศหรือเรียกว่า สรรสร้างนิยมเชิงปฏิฐานนิยม (positivist constructivism) ซึ่งหากแบ่ง
อย่างกว้างๆ เราอาจะแบ่งทฤษฎีสรรสร้างนิยมออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ (Checkel, 2008: 72-
73) คือ สรรสร้างนิย มสายอเมริก า (American constructivism) และสรรสร้างนิย มสาย
ยุ โ รป (European constructivism) ซึ่ ง มี ก ารอธิ บ ายและการให้ ค าตอบที่ แ ตกต่ า งกั น ต่อ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามวิธีการที่ตนเองยึดถือ กล่าวคือในแนวทางการศึกษาสรร
สร้างนิยมสายอเมริกาจะเน้นย้าถึงบทบาทของ “บรรทัดฐานทางสังคม” และ “อัตลักษณ์” ที่
ก่อร่างการเมืองระหว่างประเทศและกาหนดนโยบายต่างประเทศ อีกทั้งแนวทางเป็นไปตาม
การก าหนดของนั ก วิ ช าการสายปฏิ ฐ านนิ ย มที่ ส นใจ วิ ธี ก ารเชิ ง นิ ร นั ย (deductive
mechanisms) และความสัม พั น ธ์เ ชิงเหตุผ ลระหว่างตั วแสดง บรรทัดฐาน ผลประโยชน์
และอัตลักษณ์ อีกทั้งยอมรับการตีความเชิงภววิสัย (objective hermeneutic) ซึ่งให้น้าหนัก
กับปัจจัยสภาพแวดล้อมและโครงสร้างที่ตัวแสดงต้องเผชิญ โดยให้ความสาคัญกับจุดตัดทาง
ประวั ติ ศ าสตร์ ใ นฐานะปริ ม ณฑลส าคั ญ ที่ เป็ น จุด สั ง เกตความเปลี่ ย นแปลงความสั ม พันธ์
ระหว่างโครงสร้างและตัวแสดง แนวทางเช่นนี้อาจเรียกอีกอย่างได้ว่า แนวทางสรรสร้างนิยม
ดั้ ง เดิ ม (conventional constructivism) หรื อ สรรสร้ า งนิ ย มแบบมาตรฐาน (standard
constructivism) หรือ นักวิชาการในกลุ่มนี้ได้แก่ Alexander Wendt, Emmanuel Adler,
John Gerard Ruggie, Peter Katzenstein and Martha Finnemore
ส่วนแนวทางสรรสร้างนิยมสายยุโรปหรือเรียกอีกอย่างว่าสรรสร้างนิยมเน้นการ
ตีความหรือเชิงตีความ (interpretive/interpretative constructivism) ให้ความสาคัญกับ
บทบาทของ “ภาษา” “การประกอบสร้างทางภาษาศาสตร์" (linguistic constructions)
และ “วาทกรรมทางสังคม” (social discourses) แนวทางนี้ได้รับการกาหนดแนวทางโดย
นักวิชาการกลุ่มหลังปฏิฐานนิยมหรือนักวิชาการที่เน้นตีความซึ่งไม่เพียงแต่สนใจการอธิบาย
สาเหตุและผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงทางอัตลักษณ์ผ่านวิธีการเชิงนิรนัยเช่นเดียวกับกลุ่ม
สรรสร้างนิยมดั้งเดิมแต่ยังสนใจเงื่อนไขของความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงและวิธีการที่
198
198
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
199
199 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ทฤษฎีสรรสร้ำงนิยมตำม ไม่มีตรรกะสาหรับ
แนวคิดของ Wendt อนาธิปไตยเพราะอนาธิปไตย
เป็นสิ่งรัฐสร้างขึ้นมา
สัจนิยมใหม่ เสรีนิยมใหม่
ตรรกะของอนาธิปไตยคือ ตรรกะของอนาธิปไตยคือ
โครงสร้างที่นาไปสู่ความขัดแย้ง กระบวนการที่นาไปสู่ความร่วมมือ
200
200
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
201
201 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
202
202
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
สถำบัน กระบวนกำร
อัตลักษณ์และผลประโยชน์ของรัฐ A
สิ่งกระตุ้นที่ต้องการการกระทา
การให้ความหมายของสถานการณ์
ของรัฐ A
ความเข้าใจร่วมกันและความ
คาดหวัง การกระทาของรัฐ A
การตีความต่อการกระทาของของรัฐ
Aโดยรัฐ B และ
การให้ความหมายของสถานการณ์
นั้นโดยรัฐ B เอง
อัตลักษณ์และผลประโยชน์ของรัฐ B
การกระทาของรัฐ B
203
203 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
204
204
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
งานชิ้นสาคัญของ Krotichwil คือ Rules, Norms and Decisions ในปี 1989 นั้น
ได้ใช้แนวทางสรรสร้างนิยมอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยวิพากษ์วิจารณ์ข้อจากัด
และปัญหาทางด้านญาณวิทยาของกลุ่มทฤษฎีปฏิฐานนิยมหรือเหตุผลนิยม (rationalism)
ของทฤษฎี ก ระแสหลั ก รวมทั้ ง ทฤษฎี ส รรสร้ า งนิ ย มสายกลาง ( middle-ground
constructivism) ด้วย หากนักวิชาการในทฤษฎีกระแสหลักเปรียบเสมือน “ผู้รักษาประตู”
ของวงการการศึกษาความสัมพั นธ์ระหว่ างประเทศแล้ ว Krotochwill ก็ เปรีย บดั่ง “ผู้พัง
ประตู” (gate-breaker) ของวงการ กล่าวคือ เขาพยายามสร้างความเข้าใจตัวตนเชิงสะท้อน
ภาพ (reflective self-understanding) ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอีกทั้งใช้
แนวทางวิพากษ์ (critical theory) มาประยุกต์กับทฤษฎีสรรสร้างนิยมของเขาเองด้วย
แนวทางการสร้างทฤษฎีสรรสร้างนิยมของ Krotochwil ตั้งอยู่บนฐานของทฤษฎี
วิพากษ์อยู่สองประการคือ ประการแรก การปฏิเสธการแสวงหาความรู้แบบปฏิฐานนิยมที่
เน้นความเป็นวัตถุรวมทั้งการแยกความจริงออกจากวัตถุ ดังจะเห็นได้จากความพยายามของ
ทฤษฎีกลุ่มนี้ที่ทาให้ข้อเท็จจริงทุกอย่างเป็นวัตถุเพื่อการทดสอบสมมติฐานและการอธิบาย
ประการที่สองคือ Krotocwil เห็นพ้องกับทฤษฎีวิพากษ์ที่ว่าแนวคิดและทฤษฎีต้องไม่ตายตัว
เนื่ อ งจากความคิ ด เป็ น สิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น จากประสบการณ์ ท างสั ง คมของแต่ ล ะคนและการ
เปลี่ ย นแปลงทางสั ง คมที่ ต่ า งกั น จากประเด็ น ทั้ ง สองนี้ ท าให้ ท ฤษฎี ส รรสร้ า งนิ ย มของ
Krotochwill ก้าวข้ามความเป็นทฤษฎีสรรสร้างนิยมสายกลาง
Krotocwil ตั้งคาถามสาคัญของเขาอยู่ 2 ประเด็นคือ “เพราะเหตุใดเราจึงยึดถือ
ว่าโครงสร้างและข้อเท็จจริงดารงอยู่อย่างอิสระและตายตัว ” และ “ทฤษฎีทางสังคมที่มีอยู่
แล้วสามารถอธิ บ ายข้อ จากั ด และปั ญหาของการสร้ างทฤษฎี ต่อโลกที่ เปลี่ย นแปลงไปได้
อย่างไร” จากคาถามข้างต้น สามารถอธิบายได้ว่า ค่านิยมเป็นส่วนประกอบของความเป็นจริง
ทางสังคมที่เราต้องการอธิบายและทาความเข้าใจ ในความเป็นจริงแล้วตัวแสดงได้รับความรู้
ผ่านบริบททางสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจง ตัวแสดงเหล่านี้จึงกระทาและสร้าง
ทางเลือกของเขาจากความเข้าใจเชิงวัฒนธรรมในการมองโลกที่แตกต่างกัน ดังนั้น แนวคิด
สาคัญในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น อนาธิปไตย อานาจอธิปไตยและบรรทัด ฐาน
ระหว่างประเทศจึงเป็นตัวแทนความหมายทางการเมืองและสังคมของความเข้าใจและการ
อธิบายในพลวัตรเช่นนี้ เขายังย้าว่า “ความเป็นจริงทางสังคมเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาโดยตัวแสดง
แนวคิดที่เราใช้กั นอยู่นั้นเป็นส่วนหนึ่งของคาศัพท์ที่ทับซ้อนกับความหมายทางการเมือง”
(Krotochwil, 2006 cited in Griffits (eds.), 2009 : 128) บรรทัดฐานเป็นสิ่งที่สร้างความ
เข้าใจร่วมกัน (inter-subjective meanings) ที่ให้ตัวแสดงมุ่งกระทาต่อกัน ติดต่อสื่อสารกัน
205
205 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
206
206
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
207
207 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
208
208
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
เนืองจนสร้างความหวาดระแวงให้กับเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ความหวาดกลัวดังกล่าวอธิบายได้ด้วย
การวิเคราะห์ “การรับรู้” และ “การตีความ” ของรัฐต่างๆที่มีต่อพฤติกรรมจีน
ในทางตรงกันข้าม นักวิชาการสรรสร้างนิยมบางคนที่มองการผงาดของจีนในแง่ดี
(Kang, 2004) โดยเสนอว่า รัฐในเอเชียตะวันออกปรับตัวให้เข้ากับจีนมากกว่าที่จะทาการ
ถ่วงดุลอานาจ การที่ไม่ถ่วงดุลจีนนั้นเริ่มต้นมาจากการประสานกั นระหว่างผลประโยชน์
และอัตลักษณ์ กล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงได้ว่า อัตลักษณ์เป็นใจความหลักในการตีกรอบว่ารัฐ
ในภูมิภาคนี้จะตีความการผงาดของจีนอย่างไร รัฐในเอเชียตะวันออกมีมุมมองและหลักการ
หลายประการร่วมกันกับที่จีนคานึงถึงหลักการอธิปไตยแห่งรัฐและหลักการการไม่แทรกแซง
กิจการภายใน ในขณะที่รัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม ชาติพันธุ์
และทางประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งกับจีน
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคของจีนนั้น ทฤษฎีสรร
สร้างนิย มสามารถอธิบายได้ว่า (Liu, 2010) มีปัจ จัย ทางความคิดสองประการที่ทาให้ จี น
กระตือรือล้นเข้าร่วมในความร่วมมือของภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกคือ การรับรู้ของจีนต่อ
สถาบันระดับภูมิภาค (regional institutions) และ ความร่วมมือระดับภูมิภาค (regional
cooperation) นั้นถือเป็นความโอกาสที่ดี และจีนยังมองว่าความร่วมมือระดับภูมิภาคเป็น
เครื่องมือทางการทูตที่จะส่งเสริมเป้าหมายนโยบายต่างประเทศของตนเอง การเปลี่ยนการ
รับรู้ (the shift in perception) ของจีนก่อให้เกิด การร่วมมืออย่างแข็งขันในสถาบันระดับ
ภูมิภาคซึ่งเดิมที่จีนจะมีการรับรู้ต่อสถาบันเหล่านี้ เช่น APEC หรือ ARF ว่าเป็นเครื่องมือของ
รัฐอื่นๆที่ต้องการท้าทายอานาจของจีน
นอกจากประเด็นของการเปลี่ยนการรับรู้ของจีนข้างต้นแล้วการแสวงหาความ
ร่วมมือระดับภูมิภาคของจีนยัง เกิดจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจเอเชียในปี ค.ศ. 1997 วิกฤต
ดังกล่าวเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการส่งเสริมการเกิดขึ้นของ “อัตลักษณ์เอเชียตะวันออก” (East
Asian Identity) ในความหมายเช่นนี้ วิกฤตเศรษฐกิจเอเชียช่วยให้จีนได้ตระหนักว่าเอเชีย
ตะวันออกมีการพึ่งพาอาศัยระหว่างกันและอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ในบริบทดังกล่าว อาจ
ตีความได้ว่าในอนาคต จีนจะจัดตั้งแนวทางระดับภูมิภาคที่จะเข้าไปเกี่ยวพันกับประเด็นที่
เกิดขึ้นในลักษณะนี้อีก
โดยสรุปแล้ว ทฤษฎีสรรสร้างนิยมในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น
ถือได้ว่าเป็นทฤษฎีที่แนะนาให้เราได้ “จินตนาการ” และ “สารวจ” โลกที่สร้างอย่างที่มันเป็น
นั้นเกิดจากอะไร รวมถึงการพิจารณาปัจจัยที่หลากหลายที่มีส่วนก่อร่างรูปแบบของการเมือง
โลกและโลกที่เป็นอีกทางเลือก (alternative world) นอกจากนั้นทฤษฎีสรรสร้างนิยมยังท้า
ทายความคิดที่รับรู้มาแต่แรกและเปิดมุมมองของการแสวงหาความรู้แบบใหม่โดยเฉพาะใน
209
209 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
210
210
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
นักวิชำกำรสำนักทฤษฎีสรรสร้ำงนิยมในควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
211
211 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
212
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
บทที่ 9 บทที่ 9
ทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยม
ทฤษฎีหลังโครงสร้ำงนิยม (Post-Structuralism)
Post-Structuralism
9.1 บทนำ
ทฤษฎี ห ลั ง โครงสร้ า งนิ ย มเป็ น แนวคิ ด ที่ อ ยู่ ภ ายใต้ ร่ ม เงาของ “แนวคิ ด หลั ง
สมัยใหม่” (Diez, Bode & Costa, 2011: 167) ในที่นี้ ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงความแตกต่าง
ระหว่างแนวคิดหลังสมัยใหม่และแนวคิดหลังโครงสร้างนิยมเป็นเบื้องต้น ซึ่งในบางกรณีดู
เหมือนว่าจะเป็นคาเดียวกันและมีความเหมือนกันในเชิงความคิดพื้นฐาน แต่ในความเป็นจริง
แล้ว ทั้งสองคานี้มีความแตกต่างกันในบางประเด็น โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชา
รัฐศาสตร์ กล่าวคือ ในแวดวงการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีแนวโน้มที่จะใช้ชื่อ
หลั ง โครงสร้ า งนิ ย ม กั บ งานศึ ก ษาของตน ขณะที่ แ วดวงการศึ ก ษาบริ ห ารรั ฐ กิ จ หรื อ รั ฐ
ประศาสนศาสตร์มักนิยมใช้ชื่อ หลังสมัยใหม่ ในงานศึกษาของตน (ไชยรัตน์ ,2554: 184) ซึ่ง
ในที่นี้ ผู้เขียนเลือกที่จะนาเสนอการนาแนวทางทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมที่มีอิทธิพลต่อการ
สร้างทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็จะนาเสนอให้ผู้ศึกษามองเห็น
ภาพรวมของทฤษฎีหลังสมัยใหม่ ว่ามีผลต่อการสร้างทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมอย่างไร
ทฤษฎีหลังสมัยใหม่ (Postmodernism) เป็นแนวคิดทฤษฎีที่แพร่หลายในหลาย
หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมาโดยมีใจความสาคัญคือ การต่อต้านและการไม่เชื่อรวมทั้ง
การปฎิเสธแนวความคิดที่มีลักษณะเบ็ดเสร็จรวบยอด (totalizing theories) ซึ่งเรียกว่า อภิ
เรื่องเล่า (meta-narrative) ที่อ้างความเป็นสากลเพื่อสร้างความชอบธรรมว่าความคิดแบบ
ตนเองนั้นมีความเหนือกว่าองค์ความรู้อื่นๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งโดยสังเกตคาว่า “หลัง” จะพบว่า
ทฤษฎีหลังสมัยใหม่เป็นสิ่งที่ท้าทายทฤษฎีและสภาวะสมัยใหม่ (Modernity) ทฤษฎีหลัง
สมัยใหม่จึงมองว่าทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสวัฒนธรรม และยุคสมัย รวมทั้งความพอใจ
ของแต่ละคน ความรู้ต่างๆ จึงไม่สามารถนามาเปรียบเทียบกันได้ ทุกสิ่งล้วนอ้างถึงแต่เฉพาะ
“วาทกรรม” ของตนเท่านั้น (ธีระ, 2541:291 อ้างใน ศาสตร์, 2552: 60) โดยสรุปกล่าวได้ว่า
ทฤษฎีหลังสมัยใหม่ เป็นแนวคิดที่ต่อต้านการครอบงาผูกขาดความถูกต้องชอบธรรมผ่านการ
ผลักไสองค์ความรู้อื่นๆ ให้ไปอยู่ใน “ชอยขอบ” ของแต่ละสาขาวิชา ทั้งที่ในความเป็นจริง
แล้ว ความรู้ ความคิด ทฤษฎีทั้งหลายต่างก็มีความสัมพันธ์กับชุดความจริงหรือทฤษฎีอื่นๆ ไม่
มีแนวคิดทฤษฎีใดสามารถอธิบายความจริงได้ครอบคลุมทั้งหมด ทฤษฎีหลังสมั ยใหม่จึงให้
ความสาคัญกั บความหลากหลาย (heterogeneity) ความรู้ที่ลัก ษณะเฉพาะเทศะ ใช้ก าร
213
213 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
214
214
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
9.3 ทฤษฎีหลังโครงสร้ำงนิยม
ทฤษฎี ห ลั ง โครงสร้ า งนิ ย มเป็ น ส านั ก ที่ พั ฒ นาขึ้ น มาจากฐานคิ ด ของแนวคิ ด
โครงสร้างนิยม (Structuralism) โดยเฉพาะจากสานักภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้างชาวสวิสชื่อ
Ferdinand de Saussure แนวคิดโครงสร้างนิยมมุ่งศึกษาโครงสร้างทางวัฒนธรรมและสังคม
อั น หลากหลายที่ ก าหนดความหมายในชี วิ ต ประจ าวั น ของเรา ขณะเดี ย วกั น ทฤษฎี ห ลั ง
โครงสร้างนิยมก็ศึกษาโครงสร้างที่กาหนดความหมายดังกล่าว แต่จากมุมมองที่สอดคล้องกับ
ภาวะที่ระเบียบทางสังคมเปลี่ยนแปลงในช่วงปลายศตวรรษที่ 20
ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า กลุ่มทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมได้หยิบยืมแนวคิดและ
กรอบคิดทางปรัญามาเป็นเครื่องมือในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งถือได้ว่ามี
215
215 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
216
216
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
217
217 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
218
218
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
พิจารณาในอดีตแล้ว เราจะเห็นทางเลือกในการสร้างกรอบความคิดเรื่องความสัมพันธ์ของ
มนุษย์กับ “สภาพภูมิอากาศ” และได้รับการทาความเข้าใจของโครงสร้างเชิงซับซ้อนและวัตถุ
ซึ่งรองรับความเป็นปัจจุบัน
9.3.4 สัมพันธบท (Intertextuality)
แนวคิดเรื่องสัมพันธบท เป็นแนวคิดที่พัฒนาขึ้นมาโดย Julia Kristeva โดยเสนอ
ว่าเราสามารถเข้าใจสังคมของโลกในฐานะองค์ประกอบของตัวบท ความหมายของตัวบท
ต่างๆมิได้อยู่ที่ตัวบทนั้นๆ แต่อยู่ที่ความสัม พันธ์ของงานดังกล่าวกั บงานเขีย นชิ้นก่ อนๆใน
ระบบของวรรณกรรม ในที่นี้สามารถยกตัวอย่างได้คือ สถาบันระหว่างประเทศ เช่น สหภาพ
ยุ โ รปหรื อ สหประชาชาติ มั ก จะออกแถลงการณ์ ใ นวาระต่ า งๆ ซึ่ ง หยิ บ ยื ม อ้ า งอิ ง มาจาก
แถลงการณ์ ห รื อ ข้ อความที่ มี อ ยู่ แ ต่ เ ดิ ม ความสั ม พั น ธ์ ข องสั ม พั น ธบทจะถู ก ท าขึ้ น ในเชิ ง
นามธรรม ยกตัวอย่างเช่น หากเราพูดว่า “คาบสมุทรบอลข่าน” (the Balkans) มักจะถูกเติม
เต็มด้วย “ความอาฆาตสมัย โบราณ” (ancient haterd) แสดงให้เห็น ถึง การใช้ ตัว บทซึ่ ง
ประกอบสร้าง “คาบสมุทรบอลข่าน” ในฐานะยุคก่อนประวัติศาสตร์และยุคคนป่า
สัมพันธบทเกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ หรือการตีความเหตุก ารณ์ที่ถูกเขียนหรือ พูด
ขึ้ น มา นอกจากนั้ น ยั ง แสดงนั ย ยะว่ า สิ่ ง ต่ า งๆไม่ เ ป็ น ที่ น่ า ชื่ ม ชมหรื อ ไม่ ถู ก ตระหนั ก ว่ า มี
ความหมายเพียงใดเนื่องจากตัวบทก่อนๆได้ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งจนไม่จาเป็นต้องระบุถึงอีก
เช่น หากเราอ่านเอกสารของ NATO ในสมัย สงครามเย็นจะพบว่าไม่มีการกล่า วถึง ค าว่ า
สหภาพโซเวียตมากเท่าใดนักเนื่องจากเป็นที่รับรู้ของทุกคนว่าจุดประสงค์สาคัญของ NATO
คือการป้องกันการขยายเขตอานาจและการโจมตีของสหภาพโซเวียต ดังนั้นการใช้สัมพันธบท
ในการศึกษานั้น เราต้องถามตัวเราเองว่าตัวบทที่เสนอมานั้นมิได้กล่าวถึงอะไร เพราะว่ามันมี
การพูดถึงมากเกินไปหรือว่ามันอันตรายเกินกว่าที่จะพูดถึง
โดยสรุป สัมพันธบทเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และสังคม ตัวบทเอง
ก็ไม่มีความโปร่งใสแต่บรรจุ อุดมการณ์ไว้เป็นจานวนมาก ดังนั้น การเขียนหรือการพูดจึงมิได้
เป็นเพียงการถ่ายทอดข้อความ แต่เป็นการปฎิบัติและมีผลิตผล (productivity) กล่าวคือ ตัว
บทมิได้หยุดนิ่ง แต่นาไปสู่ก ารงอกเงยความหมายให้กั บตัวบทอื่ นๆ ต่อไปไม่สิ้นสุด ตัวบท
ต่างๆจึงมิได้เอกลักษณ์เป็นของตนเอง หากแต่เป็นการหยิบยืมรูปแบบและเนื้อหาของตัวบทที่
มีอยู่ก่อนมาประกอบสร้างขึ้นใหม่ (Allen, 2000: 27-37 อ้างใน สุรสม, 2549: 209)
219
219 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
9.4 ทฤษฎีหลังโครงสร้ำงนิยมกับกำรศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามแนวทางหลังโครงสร้างนิยมเกิดขึ้น
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 โดยได้รับอิทธิพลมาจากทฤษฎีทางสังคมและทฤษฎีเชิงปรัชญาที่มี
บทบาทในแวดวงมนุ ษ ยศาสตร์ ม าตั้ ง แต่ ท ศวรรษที่ 1970 โดยแนวทางการศึ ก ษาหลั ง
โครงสร้างนิยมให้ความสาคัญกับภาษา โดยพิจารณาว่าสิ่งที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
กาลังศึกษานั้นถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร มีวาทกรรมหรือชุดของวาทกรรมแบบใดกากับอยู่ ดังนั้น
สิ่งที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีอยู่หรือเชื่ออยู่นั้นมิใช่ความจริงหากแต่เป็นชุดของวาท
กรรมแบบต่างๆที่ประกอบสร้างขึ้นมาเป็น “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ”
งานของแนวทางการศึกษาหลังโครงสร้างนิยมจึงเป็นงานเชิงทฤษฎีมากกว่าเป็น
ระเบียบวิธีวิจัย (theory not methodology) (ไชยรัตน์, 2554: 156) แม้จะให้ความสาคัญ
กับข้อมูลเชิงประจักษ์ แต่ก็มิใช่นักประจักษ์นิยม (empirical not empiricalist) และที่สาคัญ
คือแนวทางการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบหลังโครงสร้างนิยมเน้นการท าให้
ปรากฎการณ์ที่ศึกษากลายเป็นปัญหามากกว่าการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาเช่นเดียวกับที่ทฤษฎี
กระแสหลัก นิย ม (problematize not problem-slving) อีกทั้งสลายความเป็นธรรมชาติ
(de-naturalizing) ของกลุ่ ม ทฤษฎี ก ระแสหลั ก โดยเฉพาะสั จ นิ ย มใหม่ แ ละเสรี นิ ย มใหม่
ยกตัวอย่างเช่น หลังโครงสร้างนิยมไม่เห็นด้วยกับความคิดของสัจนิยมที่มักจะมองว่ารัฐเป็น
ตัวแสดงที่ต้องพึ่งพิงตนเอง (self-help) อยู่ตลอดเวลารวมทั้งประเด็นเรื่องอนาธิปไตยของ
ระบบระหว่ า งประเทศ เหตุ ที่ สั จ นิ ย มเชื่ อ เช่ น นี้ เ นื่ อ งมาจากรั ฐ ต่ า งๆร่ ว มกั น ผลิ ต ซ้ า
(reproduce) ระบบและความคิดเช่นนีอ้ ยู่เสมอ ดังนั้นทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมจึงต้องการให้
เราหยิบยกสิ่งที่ถูกผลักออกไปและถูกทาให้เป็นชายขอบ (marginalized) โดยทฤษฎีและ
นโยบายที่ดารงอยู่อีก ทั้งกระตุ้ นให้ เราคิด เชิง วิพ ากษ์ ว่า เราสร้างโลกนี้ อย่ างไร (how we
construct the world)
ทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมที่มีต่อวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สรุปได้คือ
1) แสวงหาวิธีการว่าอานาจถูกจัดการกับวำทกรรมและมีการปฎิบัติการอย่างไร
ในการเมืองโลก
2) วางโครงวิธีการที่จานวนมากและหลากหลายที่ “พื้นที่ทำงกำรเมือ ง” ถูก
สร้างและทาให้เป็นประโยชน์โดยปัจเจกบุคคลและกลุ่มต่างๆ
3) จัดกระบวนการที่ซับซ้อนอันเกี่ย วกับการก่อร่างอัตลักษณ์ทางการเมืองให้
ออกเป็นส่วนๆ
4) ให้ความสนใจกับความแตกต่างและหลากหลายของผู้คนและวัฒนธรรม
220
220
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
5) สนับสนุนการแผ่กระจายของวิธีการและมุมมองต่อโลก เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะ
มี ผ ลต่ อ การเข้ า มาแทนที่ ก ารผู ก ขาด ครอบง าความรู้ แ ละอ านาจในรู ป
แบบเดิมๆ
6) เน้นประเด็นที่ถูกละเลยไปจากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อ
เป็นการเติมเต็มให้ก ลุ่ม คนและหรือกลุ่ มแนวคิ ด ที่ถูกผลัก ให้อยู่ใ น “ชำย
ขอบ”ขององค์ความรู้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แนวคิดหลังโครงสร้างนิยมมิได้สถาปนาตนเป็นแนวคิดทฤษฎีหรือตัวแบบในการ
อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หากแต่ว่าเป็นกระบวนทัศน์ แนวคิด ที่เรียกร้องให้ผู้คน
เห็นความสาคั ญของการสร้างภาพตั วแทน ความสัมพันธ์ระหว่ างอานาจกั บ ความรู้ และ
การเมืองเรื่องอัตลักษณ์เพื่อเป็นอีกแนวทางในการเข้าใจการเมืองโลก ลักษณะดังกล่าวทาให้
แนวคิดหลังโครงสร้างนิยมไม่สอดคล้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกระแสหลัก แนวคิด
หลั ง โครงสร้ า งนิ ย มจึง ชี้ช วนให้ มี ก ารตั้ ง ค าถามชุ ด ใหม่ ขึ้ น มาในฐานะแนวคิ ด เชิ งวิ พ ากษ์
มากกว่าที่จะเป็นทฤษฎี และชี้ว่าทฤษฎีเป็นปฏิบัติการอย่างหนึ่ง โดยตั้งคาถามเชิงอภิทฤษฎี
(meta-theoretical question) หรือคาถามว่าด้วยทฤษฎีในการสร้างทฤษฎีเพื่อพยายาม
สืบค้นว่าวิธีการหาความรู้แบบหนึ่งๆ สิ่งที่นับว่าเป็นการรู้ และผู้ที่เข้าถึงความรู้ ได้ถูกสถาปนา
ขึ้นมาอย่างไร ในแง่นี้ แนวคิดหลังโครงสร้างนิยม (รวมทั้งทฤษฎีเชิงวิพากษ์ ทฤษฎีสตรีนิยม
และหลังอาณานิคม) มีที่มาเดียวกันจากฐานทางญาณวิทยาในองค์ความรู้ทางสังคมศาสตร์
และมนุษยศาสตร์
งานเขียนทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในแนวทางหลังโครงสร้างนิยมเริ่มขึ้น
ในยุคทศวรรษที่ 1980 (Cambell, 2013: 226) ดังจะเห็นได้จากงานของ Richard Ashley,
James Der Derian, Michael Shapiro และ R.B.J.Walker ซึ่งถือเป็นผลงานในคลื่นลูกแรก
ของทฤษฎี ซึ่ ง เน้ น การวิ พ ากษ์ เ ชิ ง อภิ ท ฤษฎี ( The First wave of meta-theoretical
critiques) งานเหล่านี้มุ่งวิพากษ์วิจารณ์งานกลุ่มทฤษฎีสัจนิยม เพื่อชี้ให้เห็นว่าคาอธิบายทาง
ทฤษฎีแบบดั้งเดิมมีวิธีการอย่างไร นอกจากนั้นนักคิดสายหลังโครงสร้างนิยมพยายามเชื่อม
ความรู้ของตนเข้ากั บสหวิทยาการ เนื่องจากทฤษฎีกระแสหลัก ทางความสัมพันธ์ระหว่ าง
ประเทศไม่ใส่ใจในประเด็นนี้เลย จึงอาจกล่าวได้ว่าทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมมีจุดยืนเพื่อสร้าง
พื้นที่ให้แก่ผู้คนและแนวคิดที่ถูกมองข้ามไปในองค์ความรู้ของทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศในกระแสหลัก
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมจึงใส่ใจกับการผลิตความคิดและการ
ผลิตประวัติศาสตร์ของรัฐ วาทกรรมซึ่งแสดงความสั มพันธ์ระหว่างอานาจกับความรู้ รวมทั้ง
221
221 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
222
222
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
223
223 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
224
224
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
นักวิชาการคนสาคัญที่นาเสนอเรื่องภาษากับความสั มพันธ์ระหว่างประเทศที่โ ดด
เด่ น คนหนึ่ ง ได้ แ ก่ Michael J. Shapiro ในผลงาน The Politics of Representation:
Writing Practices in Biograhy, Photography, and Policy Analysis (1988) ว่า การเมือง
ของภาพตั ว แทนมี ค วามส าคั ญ อย่ า งมาก ประเด็ น ที่ ว่ า เราน าเสนอถึ งความเป็ น อื่ น สร้ าง
ผลกระทบต่อภาพตัวแทนของเราได้อย่างไรนั้นมีความชัดเจนสาหรับนโยบายต่างประเทศที่
เราเลือกจะนาเสนอ ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่สหภาพยุโรปมีข้อถกเถียงกันภายในว่าจะรับ
ตุรกีเข้าเป็นสมาชิกใหม่หรือไม่ เนื่องจากความไม่ชัดเจนของตุรกีที่มีที่ตั้งในยุโรปแต่ก็ประเทศ
ที่มีประชากรมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ วิธีการที่ประเทศต่างๆในสหภาพยุโรปให้คาตอบต่อคาถาม
เหล่านี้มีนัยยะหลายประการซึ่งไม่เพียงแต่สาหรับการประกอบสร้างตัวตนของตุรกีหากแต่ยัง
เป็นการประกอบสร้างตัวตนความเป็นยุโรป นอกจากนั้น Shapiro ยังยกตัวอย่างการสร้าง
ภาพ “ละตินอเมริกา” ในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในสมัยสงครามเย็นว่าเป็น
การสร้างภาพและตอกย้าวาทกรรมชุดหนึ่งที่อาพรางความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่าง
สหรั ฐ อเมริ ก าและภู มิ ภาคละติ น อเมริ ก าไว้ ห รือ ตั ว อย่า งในยุ ค ใกล้ เ ข้า มาอี ก ที่ เ ห็ น ชัด คือ
นโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกามักจะสร้างภาพหรือสร้างตัวตนให้กั บสิ่งที่นโยบาย
ต่ า งประเทศนั้ น ต้ อ งการพู ด ถึ ง เช่ น การสร้ า ง “จั ก รวรรดิ แ ห่ ง ความชั่ ว ร้ า ย” (the evil
empire) ให้กับสหภาพโซเวียตในสมัยสงครามเย็น หรือการสร้างภาพ “อักษะแห่งความชั่ว
ร้ า ย” (the axis of evil) และ “รั ฐ อั น ธพาล” (the rogue states) ในยุ ค หลั ง การก่ อ
วินาศกรรม 9/11 เป็นต้น
ดังนั้นกล่าวได้ว่า “นโยบายต่างประเทศ” ของรัฐเป็นเพียงภาคปฎิบัติการของการ
นาเสนอ การผลิต การสร้างความเป็นอื่นในระดับโลกแบบหนึ่ง เช่นคาว่า ละตินอเมริกา ใน
ภาษาแห่ ง นโยบายต่ า งประเทศจึ ง มิ ไ ด้ มี ค วามหมายเฉพาะเพี ย ง “พื้ น ที่ บ นโลก” แต่ ยั ง
หมายถึงการตอกย้าและผลิตซ้าความเหนือกว่าเชิงอานาจและเชิงสถาบันที่ดารงอยู่ในภูมิภาค
นี้ด้วย (Der Darian & Shapiro, 1989: 15 อ้างใน ไชยรัตน์, 2556: 480)
นอกจากนั้น Shapiro ได้ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมในการพูดถึงประเทศใดประเทศหนึ่ง
ก็ตามมักมีจะมีการนาเสนอแผนที่ของประเทศนั้นขึ้นมาประกอบเสมอ แผนที่จึงเป็นเครื่องมือ
ตอกย้าการเป็นส่วนหนึ่งของระบบรัฐชาติของประเทศนั้นได้อย่างเด่นชัด และยังเป็นเครื่องมือ
สาคัญของภาคปฏิบัติการของการสร้างตัวบทที่ก้าวร้าว รุนแรงและตอกย้าและผลิตซ้าเส้น
แบ่ ง อาณาเขตของรั ฐ ชาติ จ นดู เ ป็ น ธรรมชาติ แผนที่ จึ ง เป็ น ทั้ ง เทคโนโลยี ข องพื้ น ที่ แ ละ
เทคโนโลยีของภาษาไปพร้อมกั น เพราะในแผนที่มีการกาหนดอาณาเขตและการตั้งชื่อ ไป
พร้อมกัน
225
225 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ภาษาของการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเริ่มเปลี่ยนจากภาษาที่เน้นแต่
พูดถึงรัฐชาติเป็นศูนย์กลางและเน้นแต่อานาจอธิปไตยของรัฐในรูปของภาษาของการบริหาร
จัดการ เช่นการพูดถึงความมั่นคง สงคราม สันติภาพ อาณาเขต การใช้กาลัง มาสู่ภาษาของ
การอ่าน เขียน การสร้างตัวบทและสัมพันธบทอันเป็นผลโดยตรงมาจากอิทธิพลทางความคิด
ของสานัก หลังโครงสร้างนิยมและสานักหลังสมัยใหม่นิย ม นักวิชาการในสานัก ดังกล่าวมี
ความเห็นว่ากระบวนการในการสร้างตัวบทกั บกระบวนการในการสร้างความเป็นจริง ทาง
สังคมและการเมืองมีความคล้ายคลึงกันจนสามารถนาวิธีการในการเขียนและอ่านตัวบทมาใช้
กับการเขียนและอ่านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนการเน้นย้าจาก
การเข้าใจหรือการมองปัญหาผ่านการมีตัวแสดงที่มีอานาจเด็ดขาดอย่างผู้แต่งในกรณีของตัว
บท หรื อ รั ฐ อธิ ป ไตยในกรณี ข องความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งประเทศสู่ ภ าคปฏิ บั ติ ก ารเชิ ง
ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและภาษาที่ ตัวแสดงและวัต ถุเ พื่อการศึกษาของความสั ม พั น ธ์
ระหว่างประเทศถูกสร้างขึ้นมา ภาษาของทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมยังเป็นภาษาที่พูดหรือมอง
ปัญหาจากชอบขอบ (marginality) ของสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศพร้อมคัดค้านกับ
การศึ ก ษาความสั ม พั น ธ์ ระหว่ างประเทศที่ ด ารงอยู่ (dissidence) ดั ง นั้ น กล่ า วได้ ว่ า จาก
ข้างต้นเป็นสิ่งที่แสดงถึงการแตกต่างทางการเขียนหรือการอ่านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ระหว่างทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมกับทฤษฎีกระแสหลักอย่างสานักสัจนิยม
นอกจากนี้การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในแนวทางทฤษฎีหลังโครงสร้าง
นิยมยังให้ความสาคัญกั บการสลั บที่สลับทาง การกลับหัวกลับหางประเด็นสาคัญต่างๆใน
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอีกด้วย 22 ยกตัวอย่างที่ทฤษฎีกระแสหลักอย่างสัจ
นิยมมักจะมองว่า ในเมื่อมนุษย์มีเหตุผล มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคมและกลายเป็นรัฐที่อยู่ใน
ขอบเขตของคาว่าภายในเพื่อแสดงออกถึงความร่วมมื อ ดังนั้นรัฐจึงเป็นสิ่งที่มีเหตุผ ลด้วย
ในขณะที่ภายนอกคือสภาวะไร้ระเบียบอันนาไปสู่สงครามซึ่งถูกมองว่าให้เป็นสภาวะภายนอก
ที่ไร้เหตุผล ดังนั้นในแนวทางสานักหลังโครงสร้างนิยมจึงสลับที่การศึกษาโดยหันไปให้ความ
สนใจกับสภาวะภายนอกที่ไร้ระเบียบอย่างอนาธิปไตยมากกว่าที่ จะสนใจมนุษย์หรือรัฐตาม
แบบอย่างการศึกษาของกระแสหลัก การสลับที่สลับทางเช่นนี้ทาให้มองรัฐในมุมใหม่ได้ว่า รัฐ
มิใช่ศูนย์ก ลางของอานาจอีกต่อไป แต่รัฐเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกปิดความไม่
ชั ด เจนและความแตกต่ า ง รั ฐ จึ ง ท าหน้ า ที่ ก าหนดอาณาเขตเพื่ อ ให้ ส งครามหรื อ ความไร้
ระเบียบของสภาวะอนาธิปไตยให้ชัดเจนเพื่อแบ่งความเป็น “ภายใน” ของความเป็นรัฐ และ
“ภายนอก” ของสภาวะอนาธิปไตย
226
226
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
9.4.4 วัฒนธรรมสมัยนิยม
ข้อถกเถียงประการหนึ่งที่ว่าเราควรทาความเข้าใจการเมืองโลกผ่านมุมมองของสัม
พันธบทนั้ น ได้ น านัก คิ ดหลังโครงสร้า งนิย มมาสู่ก ารพิจ ารณารู ปแบบของตั ว บทที่มิ ไ ด้ ถู ก
อภิปรายหรือนามาถกเถียงในกลุ่มนักทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
งานในกลุ่มนี้จะปรากฎในงานของ James Der Darian (1992) ได้ศึกษาสัมพันธ
บทของนวนิยายสายลับ (spy novels) วรสารศาสตร์ (journalism) และงานวิเคราะห์ทาง
วิ ช าการ (academic analysis) นอกจาก Der Darian แล้ ว Michael J. Shapiro (1988,
1997) และ Cynthia Weber (2006) ก็ ไ ด้ ศึ ก ษารายการโทรทั ศ น์ ภาพยนตร์ แ ละการ
ภาพถ่ า ย มี เ หตุ ผ ลหลายประการที่ ท าให้ นั ก คิ ด สายหลั ง โครงสร้ า งนิ ย มเลื อ กที่ จ ะให้
ความสาคั ญกั บ วั ฒ นธรรมสมั ย นิ ย ม (popular culture) เหตุผลประการหนึ่ ง คือ รัฐใช้
วัฒนธรรมสมัยนิยมอย่างจริงจังถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่เพียง “just fiction” ยกตัวอย่างเช่น
ในปี 2006 รัฐบาลของคาซัคสถานได้อ อกการรณรงค์เชิงโฆษณาในสหรัฐอเมริกาเนื่องจาก
ต้องการสร้างภาพที่ถูกต้องของคาซัคสถานที่ถูกนาเสนอในภาพยนตร์เรื่อง Borat23 และในปี
2010 ละครโทรทัศน์ของตุรกีที่นาเสนอภาพความมั่นคงของอิสราเอลนั้นส่งผลให้รัฐมนตรี
กระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอลประกาศประท้วงต่อสถานทูตตุรกี (Hansen, 2011:
173) เหตุผลอีกประการหนึ่งคือสื่อต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ โทรทัศน์ ดนตรีเป็นสิ่งที่ถูกรับชม
และถูกฟังจากผู้คนทั่วโลก ยิ่งในกระแสแห่งโลกาภิวัตน์ วัฒนธรรมสมัยนิยมได้แพร่กระจาย
อย่างรวดเร็ว ดังจะเห็นได้จากการใช้โ ทรศัพท์เคลื่อนที่ อินเทอร์เนต ได้เปลี่ย นแปลงผู้ ที่
สามารถผลิต “ตัวบท” ของการเมืองโลกได้ ดังจะเห็นได้จากกรณีคลิปวิดีโอและรูปภาพจาก
เหตุ ก ารณ์ ใ นสงครามอิ รั ก และปฏิ บั ติ ก ารในอั ฟ กานิ ส ถานที่ แ พร่ ห ลายในอิ น เตอร์ เ นต
23 ภาพยนตร์ เ รื่ อ ง Borat หรื อ ที่ ชื่ อ เต็ ม ว่ า Borat: Cultural Leranings of America for Make
Benefit Glorious Nation of Kazakstan กากับโดย Larry Charles เป็นภาพยนตร์สารคดีล้อเลียน
(mockumentary) มีเนื้อเรื่องย่อว่า Borat Sagdiyev ผู้รายงานข่าวโทรทัศน์และนักจัดรายการชาว
คาซัคสถานถูกส่งตัวไปยังประเทศ “ยู เอส เอส เอ” ที่เป็นประเทศที่ร่ารวยที่สุดในโลกเพื่อทาหน้าที่
เป็นพิธีกรรายการสารคดีเพื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆเพื่อนามาเป็นแนวทางพัฒนาคาซัคสถาน โดยเขาได้
เสนอไว้ตอนหนึ่งว่า ปัญหาประการหนึ่งที่คาซัคสถานประสบคือปัญหาชาวยิว ศึกษาการวิเคราะห์
ภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างละเอียดผ่านมุมมองทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเชิงวิพากษ์ ดู สรวิศ
(2555)
227
227 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
วัฒนธรรมสมัยนิยมอาจจะเป็นเหตุเค้าลางในโลกแห่งความจริงและตระเตรียมวิสัยทัศน์ของ
การเมืองโลกที่ซับซ้อนและกระตุ้นความคิดให้กับเรา24
ทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมเริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้นในแวดวงวิชาการความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศโดยมีจุดมุ่งหมายสาคัญกับการตั้งคาถามกับ “ความเป็นชายขอบ” กับสิ่งที่
ทฤษฎีกระแสหลัก อย่างไรก็ตาม การตอบรับกลุ่มทฤษฎีนี้ยังมิได้เป็นไปเชิงบวกกลุ่มนัก คิด
สายหลังโครงสร้างนิยมก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ขาดความน่าเชื่อถือทางการวิจั ยและขาดความ
แข็งแกร่งทางวิชาการและสร้างชื่ อเสีย งที่ ไม่ ค่อยดี นัก ดังจะเห็นได้คากล่าวของ Robert
Keohane ที่มีต่อการศึกษาในแนวทางนี้ว่า “เป็นจุดตายของการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศ ไม่มีจุดมุ่งหมายอันใดในการสร้างข้อถกเถียงในระดับทฤษฎีที่แท้จริง...มีแต่จะนาเรา
ไปสู่ก ารศึก ษาที่ไกลออกจากไปการเมืองโลกไปสู่ก ารพูด คุย ในเชิง ปรัชญาและวิ ชาการที่
แตกต่างหลากหลาย” (Keohane, 1988: 382 อ้างใน ศาสตร์, 2548: 28) อีกทั้งนักวิชาการ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกระแสหลักบางกลุ่มยังโจมตีนักคิดกลุ่มทฤษฎีหลังโครงสร้าง
นิยมว่าเป็นพวก “หลงตัวเอง”(self-righteousness) “ปีศาจร้ายและอันตราย” (evil and
dangerous) “IR แบบเลว” (bad IR) และ “พวกพล่ามมหาศาล”(meta-babble) ซึ่งแสดง
ถึงการตอกย้าการไม่ยอมรับแนวคิดกระแสนี้ (Cambell, 2013: 229-230)
228
228
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
นักวิชำกำรหลังโครงสร้ำงนิยมในกำรศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
229
229 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
230
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
บทที่ 10 บทที่ 10
ทฤษฎีสตรีนิยม (Feminism) ทฤษฎีสตรีนิยม
Feminism
10.1 บทนำ
ทฤษฎีสตรีนิยมให้ความสาคัญกับความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ โดยส่งเสริมและ
ยกระดับสถานภาพและบทบาททางสังคมของผู้หญิงไม่ให้ต่าต้อยกว่าผู้ชาย ทฤษฎีสตรีนิยมจึง
เห็นว่าความแตกต่างระหว่างเพศของบุคคลมิได้เป็นพียงความแตกต่างทางชีวภาพหรือสรีระ
เท่านั้น หากแต่เป็นความแตกต่างทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและวัฒนธรรมซึ่งมนุษย์เป็น
ผู้สร้างขึ้น กลุ่มนักคิดสตรีนิยมเชื่อมั่นในแนวคิดสิทธิตามธรรมชาติ (Natural Rights) ที่มอง
ว่าสิทธิไม่เกี่ยวข้องกับเพศ อีกทั้งมองว่าที่ผ่านมากิจกรรมต่างๆของโลกมักจะจากัดขอบเขต
อยู่ในเฉพาะเพศชายเท่านั้น ดังนั้นเมื่อพิจารณาความเท่าเทียมระหว่างเพศ เพศหญิงก็ควรมี
บทบาทและมีส่วนร่วมทางการเมืองได้ทัดเทียมกับเพศชาย โดยสรุป แนวคิดพื้นฐานของสตรี
นิยม ยืนยันความมีเหตุผล ความสามารถในการมีสิทธิต่างๆ เช่น สิทธิทางการเมือง เป็นสิ่งที่
ทุกเพศมีความเท่าเทียมกัน และต่อต้านวาทกรรมที่ว่าด้วยผู้ชายเป็นใหญ่
10.2 แนวคิดพื้นฐำนของทฤษฎีสตรีนิยม
231
231 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
10.4 แนวคิ ด พื้ น ฐำนของทฤษฎี ส ตรี นิย มในกำรศึก ษำควำมสั ม พัน ธ์ร ะหว่ ำ งประเทศ
(Viotti & Kauppi, 2012: 362-363)
ก่อนที่จะเราจะพิจารณาว่าสตรีนิยมในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมี
ที่มาและพัฒนาการอย่างไรนั้น ในส่วนนี้ผู้เขียนจึงขอนาเสนอแนวคิดพื้นฐานเพื่อเป็นการมอง
ภาพรวมของทฤษฎีสตรีนิยมที่ปรับมาใช้กับการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรวมทั้ง
การสร้างแนวคิด ระเบียบวิธีวิจัยผ่านคากล่าวของนักวิชาการสตรีนิยมคนสาคัญคือ J. Ann
Tickner (2006: 4 อ้างใน สรวิศ, 2555: 220) ที่ว่า
“นักวิชาการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสายสตรีนิยมส่วนใหญ่ง่วนอยู่กับคาถาม
พื้นฐานที่ว่า ทาไมผู้หญิงในแทบทุกสังคมถึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบทั้งในเรื่องการเมือง
สังคมและเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับผู้ชาย และมันเป็นเช่นนี้เพราะการเมืองระหว่าง
ประเทศและเศรษฐกิจ มากน้อยแค่ไหน และในทางตรงกั นข้าม พวกเขาตั้งคาถาม
ว่าโครงสร้างของความเท่าเทียมกันทางเพศที่เป็นลาดับชั้นเหล่านี้ที่แท้จริงแล้วช่วย
ค้ าจุ น ระบบระหว่ า งประเทศและมี ส่ ว นท าให้ ก ารกระจายความมั่ น คั่ ง และ
ทรัพยากรในระบบทุนนิยมโลกเป้นไปอย่างไม่เท่าเทียมกันได้อย่างไรด้วย”
แนวคิดพื้นฐานที่แนวทางสตรี นิยมในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมี
ร่วมกันสามารถสรุปได้ดังนี้คือ
1) แนวทางการศึกษาสตรีนิยมในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใช้ “เพศ
สภาพ” เป็นกลุ่มสาคัญของการวิเคราะห์เพื่อให้ความสาคัญกับมุมมองของผู้หญิง
ต่อประเด็นทางสังคมและการวิจัย นักวิชาการด้านสตรีนิยมอ้างว่าในฐานะที่เพศ
สภาพดารงอยู่ในชีวิตประจาวันนั้นมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งและไม่ปรากฎเด่นชัด
อย่างมากมายในการกระทาของรัฐ องค์การระหว่ างประเทศและตัวแสดงข้ามชาติ
ต่างๆ นักวิชาการด้านสตรีนิยมจึงพยายามพัฒนากรอบคิดและกรอบการวิจัยเพื่อ
สืบค้นและอธิบายผลกระทบเหล่านี้
232
232
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
10.3 สตรีนิยมในกำรศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
233
233 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
234
234
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
การศึกษาและงานวิจัยของสานักสตรีนิยมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบ่ง
ออกเป็นสองรุ่น (True, 2005: 215-216) ในรุ่นที่หนึ่งมุ่งสร้างทฤษฎีโดยพยายามเผยให้เห็น
มิติเชิงเพศสภาพในฐานความรู้และปฏิบัติการของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบดั้งเดิม
รวมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ และท้าทายภววิทยาและวิธีวิทยาของสาขาวิชาโดยเข้าสู่การถกเถียง
ทางทฤษฎีที่เรียกกันว่า วิวาทะครั้งที่ 4 ระหว่างกลุ่มปฏิฐานนิยมและกลุ่มหลังปฏิฐานนิยมใน
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (ดังที่กล่าวไปแล้วในบทที่ 1) สานักสตรีนิยมพยายาม
ที่จะรื้อสร้างและโจมตีทฤษฎีสัจนิยมซึ่งเน้นการอธิบาย “การเมืองเรื่องอานาจ” เป็นสาคัญ
สตรีนิยมเน้นการศึกษาและมีสมมติฐานบนฐานคิดเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศสภาพให้เ ป็น
จุดยืนทางญาณวิทยาของตน จากจุดยืนดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าชีวิตของผู้หญิง ที่อยู่ชายขอบ
ของการเมืองโลกสร้างความเข้าใจทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแก่เราในเชิงวิพากษ์และ
มี ค วามรอบด้ า นมากยิ่ ง กว่ า มุ ม มองทางวั ต ถุ (objectivist view) ของส านั ก สั จ นิ ย มหรื อ
มุมมองของนโยบายต่างประเทศจากบรรดารัฐบุรุษทั้งหลายเนื่องจากผู้หญิงมีส่วนรู้เห็นน้อย
หรื อ ถู ก ปิ ด บั ง โดยสถาบั น และชนชั้ น น าที่ มี อ านาจ ผลงานที่ โ ดดเด่ น ในช่ ว งเวลานี้ คื อ
Bananas, Beaches and Bases: Making Feminist Sense of International Politicsของ
Cynthia Enloe ในปี ค.ศ.1989 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเมืองระหว่างประเทศเกี่ ยวข้องกับ
ความสั ม พั น ธ์ อั น คุ้ น เคย(intimate relationship) อั ต ลั ก ษณ์ ส่ ว นบุ ค คล ( personal
identities) และชีวิตส่วนตัว (private lives) อย่างไร
ถึงแม้ว่าพื้นที่ของสานักสตรีนิยมในแวดวงการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
จะยังคงถูกจากัดในบริบทที่สานักสัจนิยมมีอิทธิพลอยู่อย่างสูง แต่ก็ถือเป็นการเปิดพื้ นที่และ
สร้างความท้ า ทายเชิ งวิ พ ากษ์ ใ นหมู่ นั ก วิ ช าการโดยการตั้ ง คาถามถึง ความเป็ นเนื้ อ หา ว่ า
ลักษณะอย่างไรและความโดดเด่นว่าควรจะเป็นอย่างไร การตีพิมพ์ผลงานของนักวิชาการใน
สานักสตรีนิยมที่ผลิตขึ้นมาอย่างต่อเนื่องส่งผลให้มีการบรรจุประเด็นเพศสภาพหรือมุมมอง
สตรีนิยมเข้าสู่หลักสูตรความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในหลายสถาบันทั่วโลก จนกระทั่งในปี
ค.ศ.1999 วารสาร International Feminist Journal of Politics ก็ ได้รับการจัดตั้งขึ้ น มา
เพื่ อ ส่ ง เสริ ม การแลกเปลี่ ย นความคิ ด ระหว่ า งนั ก วิ ช าการสตรี นิ ย ม ด้ า นรั ฐ ศาสตร์ แ ละ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ส่วนรุ่นที่สองถือเป็นระยะแห่งการพัฒนาตาแหน่งแห่งที่ทางวิชาการของสตรีนิยม
ในสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยสนใจปรากฎการณ์เชิงประจักษ์ที่ใช้เพศสภาพเป็น
หน่วยการวิเคราะห์ทั้งในการศึก ษานโยบายต่างประเทศ ความมั่นคง เศรษฐกิ จ การเมือง
ระหว่างประเทศผ่านการสารวจทั้งในบริบททางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์นัก วิชาการสตรี
นิ ย มในรุ่ น นี้ ไ ด้ พั ฒ นาแนวทางการวิ จั ย ของตนเองซึ่ งมุ่ ง ขยายขอบเขตวิ ช าความสั ม พันธ์
235
235 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
236
236
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
237
237 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ให้ความสาคัญกับเกาหลีใต้เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของชาติด้วยการขายเรือนร่างและรักษา
สุขภาพอนามัยของตนให้ปลอดจากโรค (Moon, 1997: 84,92 อ้างใน สรวิศ, 2555: 224)
โดยสรุปแล้วสิ่งที่ Moon ต้องการนาเสนอคือรัฐใช้ผู้หญิงเป็นตัวแสดงที่สร้างความมั่นคงให้กับ
ตนและการกระทาของรัฐเป็นไปด้วยกดขี่ผู้หญิง
ตัวอย่างงานชิ้นสุดท้ายที่จะนาเสนอในที่นี้ คือ การใช้มุมมองสตรีนิยมมองเรื่องการ
ทาสงคราม ดังปรากฎในงาน Gender Realtions as Casual in Militarization and War
ของ Cynthia Cockburn ที่ชี้ให้เห็นว่าเพศสภาพเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดสงคราม (Cockburn,
2010, 140 อ้างใน สรวิศ, 2555: 227-228) กล่าวคือ ความสัมพันธ์เชิงเพศสภาพแบบที่ผู้ชาย
เป็นใหญ่ทาให้สังคมของพวกเราแนวโน้มที่จะเกิดสงครามและเป็นแรงขับเคลื่อนที่ไม่รู้จักจบ
สิ้น มันเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดสงคราม สงครามมีขั้นตอนและกระบวนการที่ซับซ้อน
อี ก ทั้ ง กองทั พ เองโดยธรรมชาติจ ะยึด ถือ แนวคิ ด นิ ย มชายเป็น ใหญ่ ดั ง นั้ น เพศสภาพจึงมี
อิทธิพลต่อขั้นตอนของสงคราม เช่น การปลูกฝังให้ทหารเชื่อฟังและมีลักษณะของความเป็น
ชายเพื่อเตรียมพร้อมในการออกรบ และการสร้างศัตรู ให้ดูเป็นหญิง (effeminize) ในการ
กระทาชาเราผู้หญิงของรัฐศัตรูในยามสงครามและสันติ ดังนั้น Cockburn จึงจัดให้เพศสภาพ
เป็นมูลเหตุขั้นพื้นฐานของสงคราม โดยเฉพาะการสร้างปัจจัยแวดล้อมที่เหมาะสมต่อสงคราม
เพศสภาพท าให้ เ รื่ อ งสงครามเป็ น เรื่ อ งที่ นึ ก คิ ด ได้ โ ดยการมองผ่ า นแนว คิ ด ทหารนิ ย ม
(millitarianism) และการทาให้เป็นทหาร (militarization)
10.5 ประเภทสตรีนิยมในควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
238
238
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
239
239 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
240
240
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
ถึงแม้ว่าทฤษฎีสตรีนิย มจะเริ่มปรากฎตัวในแวดวงวิชาการมาตั้งแต่ทศวรรษที่
1960 แต่ก็ถือว่ามีผลต่อวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศค่อนข้างช้าแต่ก็สามารถจัด วาง
สร้างที่ทางของตนไว้ได้สาเร็จจนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ทั้งนี้สตรี
นิยมมีมุมมองโลกแบบรื้อสร้างเพื่อมองว่าเพศสภาพโดยเฉพาะผู้หญิงมีผลต่อเศรษฐกิจและ
การเมืองโลก (ที่เป็นโลกที่ผู้ชายสร้างและครอบงา) อย่างไร
นักวิชำกำรสตรีนิยมในกำรศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
241
241 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
บทส่งท้ำย
“One of the principal contributions that international relations theory can
make is not predicting the future but providing the vocabulary and
conceptual framework to ask hard questions of those who think that changing
the world is easy”
จากเนื้อหาทั้งหมดที่ผู้เขียนได้เรียบเรียงแนวคิดและทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศไปแล้วนั้น ถือว่า “เป็นเพียงส่วนหนึ่ง” และ “ความรู้เบื้องต้น” ของกระแสธารของ
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่นับวันจะมีแต่การเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่คาดเดาได้
ยากและมาไกลจากอดีตอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากการปฐมบทแห่งวิชาที่เริ่มต้นด้วยแนวคิด
เชิงเสรีนิยมหรืออุดมคตินิยมที่พยายามตอบคาถามว่า “เราจะรักษาสันติภาพของโลกและ
ป้องกันการเกิดสงครามได้อย่างไร” จนต่อมาแนวคิดนี้ก็ถูกท้าทายโดยแนวคิดอันทรงอิทธิพล
มากสานักหนึ่งคือ สัจนิยมที่ต้องการจะตอบคาถามว่า “โลกเราเป็นอย่างไร อะไรคือความ
ขัดแย้ง” ตามสิ่งที่เราเห็นและเป็นอยู่ หากแต่กระแสแนวคิดทั้งสองข้างต้นก็ใช่ว่าตอบโจทย์
และอธิ บ ายความเปลี่ ย นแปลงในโลกได้ ทั้ ง หมด การศึ ก ษาความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งก็ เ ปิ ด
ประยุกต์และปรับพรมแดนความรู้ของตนเองอยู่ตลอดเวลาดังจะเห็นได้จากบทที่ 1 ที่ฉาย
ภาพการถกเถียงหรือวิวาทะระหว่างสานักคิดต่างๆอย่างสังเขป จะเห็นได้ว่ าไม่มีทฤษฎีใดที่
ดารงคงอยู่และทรงพลังยาวนานทั้งนี้ด้วยเพราะโลกที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน
ปัญหาหลายประการสาหรับผู้ที่ศึกษาทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศประสบ
พบเจอ คือ “เราจะประยุก ต์ทฤษฎีกั บเหตุก ารณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างไร”
“ทฤษฎีนั้นเหมาะสมหรือไม่ ” หรือ “แท้จริงแล้ว ทฤษฎีที่มีอยู่สามารถใช้ได้กับเหตุก ารณ์ที่
เราสนใจหรือไม่” ปัญหาดังกล่าวถือเป็นปัญหาพื้นฐานสาหรับใครหลายคนที่มีเครื่องมืออยู่ใน
มื อ จ านวนหนึ่ ง แล้ ว แต่ จ ะใช้ มั น อย่ า งไร Jennifer Stering-Folker(2013) ได้ เ สนอวิ ธี ก าร
ประยุกต์ใช้ทฤษฎีความสัมพันธ์ โดยกล่าวว่าหลังจากที่เราเข้าใจเนื้อหาหลักของแต่ละทฤษฎี
แล้ว เราควรเลือกที่จะนา 2 ทฤษฎีมาเป็นเครื่องมือเปรียบเทียบเหตุการณ์ระหว่า งประเทศ
เชิงประจักษ์ (empirical IR topic) โดยเราต้องเลือกหัวข้อที่เราสนใจ มีความรู้ความเข้าใจ
บ้างแล้วในระดับหนึ่งหรือมีผู้ศึก ษาไว้บ้างแล้วในอดีต แต่มีข้อควรระวังอยู่ 2 ประการคือ
ประการแรก อย่าใช้ทฤษฎีเป็นตัวตั้งต้น (starting point) สาหรับเรื่องที่เราสนใจ เพราะการ
กระทาเช่นนีจ้ ะก่อให้เกิดความโน้มเอียงว่าเราจะเลือกเรื่องที่เข้ากับทฤษฎีและแสดงว่าทฤษฎี
242
242
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
สิ่งที่ควรระลึกไว้เสมอสาหรับการเลือกใช้ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคือ
แม้ในทฤษฎีสานักเดียวกัน ก็ยังมีวิธีการวิเคราะห์และมุมมองที่ต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น
หากเราเลือกใช้ทฤษฎีสัจ นิยมดั้งเดิมแนวใหม่ (neo-classical realism) ที่เน้นการอธิ บาย
25ศึกษาการเขียนบทความและวิธีวจ
ิ ัยเบื้องต้นทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดูเพิ่มเติม Spray &
Roselle (2012)
243
243 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
ปัจจัยภายในประเทศว่าเป็นตัวแปรในกาหนดนโยบายต่างประเทศ หรืออธิบายปรากฎการณ์
ระหว่างประเทศ มาวิเคราะห์วิกฤตการณ์อิรักในปี 2003 แล้วเราอาจจะเลือกที่จะอธิบาย
วิ เ คราะห์ ถึ ง กลุ่ ม ที่ ป รึ ก ษาสายอนุ รั ก ษนิ ย มใหม่ (neoconservative advisers) หรื อ สาย
เหยี่ย วในรัฐบาลของ George W. Bush หรือ อาจจะวิเคราะห์ถึงบทบาทของแนวคิ ด ที่ ว่ า
สหรั ฐ อเมริ ก ามี ค วามเหนื อ กว่ า ชนชาติ อื่ น (American Exceptionalism) ในนโยบาย
ต่างประเทศก็ได้ อีกตัวอย่างหนึ่งคือทฤษฎีเสรีนิยมเชิงสถาบัน (Institutional Liberalism) ที่
เน้นบทบาทของสถาบันระหว่างประเทศ หากเราใช้ทฤษฎีดังกล่าววิเคราะห์บทบาทของ
สถาบันระหว่างประเทศในวิกฤตการณ์อิรักข้างต้น เราอาจจะพบคาอธิบายต่อบทบาทของ
สถาบันระหว่างที่ร่วมกันลดกาลังอาวุธ (Iragi Disarmament) หรือในทางกลับกันอาจจะพบ
การใช้ทฤษฎีนี้อธิบายสถาบันระหว่างประเทศที่มีต่อการฟื้นฟูอิรัก (Iraqi reconstruction)
เป็นต้น
แนวคิดและทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังมีอีกเป็นจานวนมากทั้งที่เป็น
ทฤษฎีหลัก ทฤษฎีทางเลือกและแนวคิดแยกย่อยอีกจานวนหนึ่ง ที่นักวิชาการพยายามพัฒนา
และปรับปรุง เพื่อตอบโจทย์โ ลกใบนี้ อีก ทั้งมีความพยายามที่จ ะสร้างทฤษฎีความสั ม พั น ธ์
ระหว่างประเทศให้ก้ าวข้า มจากความอเมริก าและยุโ รป (American IR & European IR)
(Jorgenson, 2010: 233-234) โดยการเริ่ ม ตั้ ง ค าถามว่ า เราจะสามารถสร้ า งแนวคิ ด และ
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากโลกตะวันออกได้หรือไม่ จนนาไปสู่การศึกษา การ
วิจารณ์และการนาเสนอทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มิได้มาจากโลกตะวันตก26
ทั้งนี้ผู้ศึกษาพึงระลึกเสมอว่าการยึดติดทฤษฎีใดอย่างเคร่งครัดจนไม่คานึงถึงความ
เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบริบทต่างๆ ย่อมเป็นการอันตรายต่อการศึกษาเพราะจะทาให้เรา
ขาดการมองอย่างรอบด้าน แม้กระทั่งหน้าที่ของทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็มิได้มี
หน้าที่เพื่อการอธิบายหรือทานายอีกต่อไป หากยังใช้ทฤษฎีเพื่อทาความเข้าใจ ตีความหรือใช้
เป็นภาพสะท้อนได้อีกด้วย อนึ่ง ผู้เขียนเองที่เมื่อปวารณาตนเป็น “นักเรียนรัฐศาสตร์ ” ก็
ยังคงต้องใช้เวลาในการศึกษาทฤษฎีจานวนมากและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามกระแส
โลกที่หมุนเร็วและแรงขึ้นทุกวัน ท้ายที่สุดนี้ หากหนังสือเล่มนี้สามารถ “จุดประกาย” ผู้อ่าน
ให้เปิดใจและพาตัวเองเข้าสูด่ ินแดนแห่งการศึกษาทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ “น่า
ตระหนก ตื่ น เต้ น และตื่ น ตาตื่ น ใจ” อย่ า งแข็ง ขัน แล้ว ก็ นั บ ได้ ว่ า บรรลุ วั ต ถุป ระสงค์ ตาม
เจตนารมณ์ที่ผู้เขียนได้ตั้งใจไว้
26
ดูเพิ่มเติม Archaya & Buzan(eds)(2010), Chan (ed.)(1999)
244
244
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
รำยกำรหนังสืออ้ำงอิง
ภำษำไทย
245
245 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
246
246
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
ภำษำอังกฤษ
Achaya, A. & Buzan, B. (Eds.) (2010). Non-Western International Relations Theory:
Perspectives on and beyond Asia. New York: Routledge
Adler, E. (2005). Barry Buzan’ Use of Constructivism to Reconstruct the English
School: ‘Not All the Way Down’. Millennium: Journal of International
Studies, 34(1): 171-182
Art, R. & Jervis, R. (2010). International Politics: Enduring Concepts and
Contemporary Issues. New York: Pearson
Ashley, R. (1989). Living on Border Lines: Man, Poststructuralism, and War. In Der
Darian, J. & Shapiro, M.J. (Eds.) International/Intertexual Relations:
Postmodern Readings of World Politics. New York: Lexington Books, pp.
259-321
Barnett, M. & Finnamore, M. (2004). The Power of Liberal International Organizations.
In Barnett, M. & Duvall, R. (Eds.). Power in Global Governance. Cambridge:
Cambridge University Press
Baylis, J. & Smith, S. (Eds.). (2001). The Globalization of World Politics: An
Introduction to International Relations. Oxford: Oxford University Press
Betts, R.K. (ed.) (2002). Conflict after The Cold War: Arguments on Causes of War
and Peace. New York: Pearson
Boucher, D. (1998). Political Theories of International Relations: From Thucydides to
the present. New York, Oxford University Press
Brown,C. & Ainley, K. (2005). Understanding International Relations. New York:
Palgrave Macmilan
Brown, C., Nardin, T. & Rengger, N. (2012). International Relations in Political
Thought: Texts from the Ancient Greeks to the First World War. Cambridge:
Cambridge University Press
Bull, H. (2002). The Anarchical Society: A study of Order in World Politics. New York:
Palgrave.
Burchill, S. and Linklater, A. (Eds.) (2005). Theories of International Relations.
Basingstoke: Palgrave Macmillan.
Buzan, B. (2004). From International to World Society? : English School Theory and
the Social Structure of Globalization. Cambridge: Cambridge University
Press
247
247 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
248
248
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
Dunne, T. & Schmidt, B.C. (2011). Realism. In Baylis, J. & Smith, S. (Eds.).The
Globalization of World Politics: An Introduction to International Relations.
(5 ed., pp. 84-99). Oxford: Oxford University Press
Elman, C. (2004). Extending Offensive Realism: The Louisiana Purchase and America’s
Rise to Regional Hegemony. The American Political Science Review. 98(4):
563-576
Grieco, J. (1988). Anarchy and the limits of cooperation: a realist critique of the
newest liberal institutionalism. International Organization. 42(3): 285-507
Griffiths, M. (eds.) (2007).International Relations Theory for the Twenty-First Century:
An Introduction. New York: Routledge.
Griffiths, M., Roach, S.C & Soloman, M.C (eds.) (2009). Fifty Key Thinkers in
International Relations. New York: Routledge
Hansen, L. (1997). R.B.J. Walker and International Relations: deconstructing a displine.
In Neumann, I.B & Waever, O. (Eds). The Future of International Relations:
Masters in Making? London: Routledge
Hansen, L. (2011). Poststructuralism. In Baylis, J. & Smith, S. (Eds.).The Globalization
of World Politics: An Introduction to International Relations. Oxford:
Oxford University Press
Heywood, A. (2011). Global Politics. New York: Palgrave
Hobden, S. & Jones, R. W. (2011). Marxist theories of international relations. In
Baylis, J. & Smith, S. (Eds.).The Globalization of World Politics: A
Introduction to International Relations. Oxford: Oxford University Press
Hoffman, S. (1963). Rousseau on War and Peace. The American Political Science
Review. 57(2): 317-333
Ikenberry, G.J. (2001). After Victory: Institutions, Strategic Restraint, and the
Rebuilding of Order after Major Wars. New Jersy: Princeton University
Press
Ikenberry, G.J. (2009). Liberal Internationalism 3.0: America and the Dilemmas of
Liberal World Order. Perspective on Politics. 7(1): 71-87
Ikenberry, G.J. (2011). Liberal Leviathan: The origins, crisis, and transformation of
American world order. New Jersy: Princton University Press.
Jackson, R. & Sorenen, G. (2013). Introduction to International Relations: Theories
& Approaches. Oxford: Oxford University Press.
249
249 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
250
250
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ความรู้เบื้องต้น
251
251 ศิวพล ชมภูพันธุ์
International Relations Theory: An Introduction
252
252
ประวัติผู้เขียน
ประวัติผู้เขียน
อาจารย์ศิวพล ชมภูพันธุ์
อาจารย์ประจาหลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยบริหารศาสตร์
มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่
การศึกษา :
รัฐศาสตรบัณฑิต (การเมืองการปกครอง) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ภูมิภาคศึกษา) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผลงานทางวิชาการ
วิ ท ยานิ พ นธ์ “การแข่ง ขัน ระหว่ า งจี น กับ อิ น เดี ย ในเขตภาคพื้ น ทวีป
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลังยุคสงครามเย็น” หลักสูตรศิลปศาสตรมหา
บัณฑิต (ภูมิภาคศึกษา) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาเชียงใหม่ ปี 2551
บทความ “อิ น เดี ย : ความท้ าทายต่อจี นในอนุภูมิ ภาคลุ่ มแม่น้าโขง”
น าเสนอในที่ประชุ ม การประชุม รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์
แห่งชาติ ครั้งที่ 9 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บทความ “เพราะการศึกษาคือการสอบ คาตอบอยู่ที่กวดวิชา: โรงเรียน
กวดวิ ช ากั บ สั ง คมจั ง หวั ด ล าปาง” ใน วารสารมนุ ษ ยศาสตร์ แ ละ
สังคมศาสตร์, 2(2), 64-85
ความสนใจทางวิชาการ
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
บทบาทมหาอานาจกับเศรษฐกิจและการเมืองโลก
เอเชียใต้ศึกษา
253