You are on page 1of 18

เตภูมกิ ถา

อาจเรียกว่า ไตรภูมก ิ ถา หรือ ไตรภูมพ ิ ระร่วง


ผูแ
้ ต่ง พญาลิไท
แต่งเป็ นร้อยแก้ว สานวนพรรณนา
เนื้อหา
กล่าวถึงภูมอิ น
ั เป็ นทีเ่ กิดของสิง่ มีชีวต
ิ รวม 3 ภูมใิ หญ่ ๆ ได้แก่ กามภูมิ
รูปภูมิ และอรูปภูมิ
1. กามภูมิ (Sensuous Planes)

กามภูมิ คือภูมริ ะดับล่าง มีทง้ ั สิน


้ 11 ภูมิ แบ่งออกเป็ น อบายภูมห
ิ รือทุคติภูมิ 4
และ สุคติภูมิ 7

อบายภูมิ คือภูมช ิ น้ ั ต่า มี 4 ชัน


้ เป็ นภูมข
ิ องความชั่วช้าต่าง ๆ นรกภูมิ
คือภูมชิ น
้ ั ต่าทีส
่ ุดในอบายภูมิ ทีย่ งั มีลก ึ ซ้อนกันลงไปอีกถึง 8 ชัน ้ มหาอเวจีนรก
คือชัน
้ นรกทีต ่ ่าทีส่ ุด ผูท้ ก
ี่ ระทาบาปอันเป็ น อนันตริยกรรม 5 คือ ฆ่ามารดา
ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ ทาร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อขึน ้ ไป
ทาลายหรือยุยงสงฆ์ให้แตกแยกกัน จะไปเกิดในขุมนรกชัน ้ มาคือ
้ นี้ ถัดขึน
เดรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ และอสุรกายภูมิ ตามลาดับ

สุคติภูมิิ คือภูมช
ิ น ้ มา ได้แก่ภูมข
้ ั สูงขึน ิ องมนุษย์และภูมข
ิ องเทวดาอีก 6 ชัน

(ภูมเิ ทวดาทัง้ 6 รวมเรียกว่า ฉกามาพจร) ทัง้ หมดนี้รวมอยูใ่ นกามภูมิ
คือยังหลงมัวเมาอยูใ่ นกามกิเลส
นรกภูมิ (Woeful State)

สัตว์ทม
ี่ าเกิดในภูมน
ิ ี้ประกอบด้วยอกุศลจิต เหตุมาจาก โลภ โกรธ หลง
ทาบาปด้วยกาย ปาก และใจ

ทางกาย 3 คือ ฆ่าคนฆ่าสัตว์ดว้ ยตัง้ ใจ ลักทรัพย์ เป็ นชู้

ทางปาก 4 คือ พูดโกหก พูดยุแหย่ ติเตียนนินทาพูดคาหยาบ


พูดตลกเล่นอันมิควรพูด

ทางใจ 3 คือ ไม่ชอบว่าชอบและชอบว่าไม่ชอบ อาฆาตพยาบาท


คิดปองร้ายเพือ
่ เอาทรัพย์สน
ิ ผูอ
้ ืน

ย่อมไปเกิดในนรกใหญ่ทง้ ั 8 อยูใ่ ต้แผ่นดินลงไป ล่างสุดคือ มหาอเวจีนรก


บนสุดคือ สัญชีพนรก นรกใหญ่ 8 อันนี้ เป็ น 4 มุม มี 4 ประตู อยู่ 4 ทิศ
เป็ นสีเ่ หลีย่ มจตุรสั ไม่มีทวี่ า่ งเลย เต็มไปด้วยฝูงสัตว์นรกเบียดเสียดกันอยู่
มีไฟลุกอยูช
่ ่วั กัลป์ ไฟทีล่ ุกเกิดจากบาปกรรมของผูน
้ น
้ ั เอง
นรกใหญ่แต่ละอันมีนรกบ่าว 16 อัน ด้านละ 4
นรกบ่าวยังมีนรกเล็กหรือยมโลก อยูโ่ ดยรอบ 40
เหล่ายมบาลจะอยูใ่ นนรกบ่าว

ยมบาลนัน ้ เมือ
่ เป็ นคนทาทัง้ บาปและบุญ ตายไปเกิดในนรก 15 วัน
เป็ นยมบาล 16 วัน ดังเช่นเปรตบางตน กลางวันเป็ นเปรต กลางคืนเป็ นเทวดา
กลางวันเป็ นเทวดา กลางคืนเป็ นเปรต
บุญมากกว่าบาปก็ไปเสวยสุขในสวรรค์กอ ่ น แล้วมารับโทษในนรกภายหลัง
บาปมากกว่าก็มารับโทษก่อนแล้วเสวยสุขภายหลัง บุญและบาปเท่ากัน
ก็ไปเป็ นยมบาล ผูท ้ ม
ี่ ีแต่บาปจะไปเกิดในนรกใหญ่ 8 อันนี้

เดรัจฉานภูมิ (Animal Kingdom)

สัตว์ทเี่ กิดในภูมน
ิ ี้ เป็ นสัตว์ทม
ี่ ีตน
ี และไม่มีตน
ี เวลาเดินเอาอกคว่าลง ได้แก่
ครุฑ นาค สิงห์ ช้าง ม้า วัว ควาย เป็ ด ไก่ นก แมลง ดารงชีวต ิ ด้วย กามสัญญา
อาหารสัญญา มรณสัญญา มักไม่รูจ้ กั บุญ รูจ้ กั ธรรม ไม่รูจ้ กั ค้าขาย ทาไร่ไถนา
ล่ากินกันเอง

เปรตภูมิ (Ghost-Sphere)

ผูท
้ ท
ี่ าบาปหยาบช้าจะมาเกิดในภูมน ิ ี้ แล้วแต่บาปทีก ่ ระทา เช่น
ตัวงามดั่งทองแต่ปากเหม็นเต็มไปด้วยหนอน เนื่องเพราะเคยบวชรักษาศีล
แต่ชอบยุยงให้หมูส ่ งฆ์ผดิ ใจกัน บางตัวงามดั่งท้าวมหาพรหม แต่ปากเป็ นหมู
อดหยากนักหนา เมือ ่ ก่อนได้บวชรักษาศีลบริสุทธิ ์
แต่ดา่ ว่าครูบาอาจารย์และพระสงฆ์ผม ู้ ีศีล
บางตัวผอมโซกินลูกตัวเองทีค ่ ลอดออกมา เพราะเคยรับทาแท้งให้ชาวบ้าน
บางตัวสูงเท่าต้นตาล ผมหยาบตัวเหม็น อดหยากไม่มีขา้ วน้ากิน
เพราะไม่เคยทาบุญให้ทาน แม้เห็นใครทาก็หา้ ม
บางตัวเพียรเอาสองมือกอบข้าวทีล่ ุกเป็ นไฟมาใส่หวั อยูอ ่ ย่างนัน

เพราะเคยเอาข้าวไม่ดป ี นกับข้าวดีหลอกขายชาวบ้าน เปรตบางตัวมีอายุ 100
ปี บางตัวอายุ 1,000 ปี บางตัวชั่วกัลป์ ไม่ได้กน ิ ข้าว กินน้า แม้แต่หยดเดียว 1
วันนรก เท่ากับ 9 ล้านปี มนุษย์
อสุรกาย (Host of Demons)

อสุรกายมี 2 จาพวก คือ กาลกัญชกาอสูรกาย ร่างกายผอมสูง 2,000 วา


ไม่มีเลือด ไม่มีเนื้อ ดั่งไม้แห้ง ตาเล็กเท่าตะปู ปากเท่ารูเข็ม
ตาและปากอยูเ่ หนือกระหม่อม เวลากินต้องหัวลง ตีนชี้ฟ้า ลาบากยากนักหนา
ส่วนทิพยอสูรกาย ตัวสูง หน้าตาน่ าเกลียด ท้องยาน ฝี ปากใหญ่ หลังหัก
จมูกเบี้ยว แต่ยงั มีชา้ งม้า ข้าไท มีรี้พลดั่งพระอินทร์ อยูใ่ นอสูรพิภพ
ใต้แผ่นดินลึกลงไปถึง 84,000 โยชน์ มีเมืองอสูรใหญ่ 4 เมือง 4 ทิศ
มีพระยาอสูรอยูเ่ มืองละ 2 เมืองทางทิศเหนือมีพระยาอสูรชือ ่ ราหู
มีอานาจและกาลังกว่าพระยาอสูรทัง้ หลาย มีรา่ งกายใหญ่โต 48,000 โยชน์
หัวโดยรอบ 900 โยชน์ สามารถอมพระอาทิตย์และพระจันทร์เข้าไว้ในปาก
ทีค
่ นทัง้ หลายเรียกว่า สุรยิ คราส หรือ จันทรคราส

มนุษยภูมิ (Human Realm)

ภูมขิ องมนุษย์เป็ นภูมริ ะดับสูงกว่าอบายภูมิ เป็ นชัน ้ แรกของสุคติภูมิ


แต่ยงั รวมอยูภ ่ ูมใิ หญ่คอ ิ
ื กามภูมิ สัตว์อนั เกิดในมนุษยภูมน ิ ี้
แรกก่อกาเนิดในครรภ์เรียก กลละ (รูปเมือ ่ เริม่ ในครรภ์) มีรูป 8 คือ ปฐวีรูป-
ดิน อาโปรูป-น้า เตโชรูป-ความร้อน วาโยรูป-ลม กายรูป-ตัวตน ภาวรูป-เพศ
หทัยรูป-ใจ ชีวต ิ รูป-ชีวต ิ ก่อกาเนิดจาก 3 สิง่ ก่อน คือ กายรูป ภาวรูป หทัยรูป
ผสมรวมกันเป็ นหนึ่งแล้วรวมกับ ปฐวี อาโป เตโช วาโย วณโน คนโธ รโส
โอชา ประกอบกันเป็ นองค์ 9 แล้วจักษุ -ตา โสต-หู ฆาน-จมูก ชิวหา-ลิน ้
จึงตามมา เมือ ่ เริม ่ เป็ นกลละได้ 7 วัน ดั่งน้าล้างเนื้อ ต่อไปอีก 7 วัน
ข้นเป็ นดั่งตะกั่วหลอม อีก 7 วัน แข็งเป็ นก้อนดั่งไข่ไก่ อีก 7 วันเป็ นตุม ่ ออก 5
แห่ง ตุม่ นัน
้ เป็ นมือ 2 ตีน 2 และหัว 1 แล้วต่อไปทุก ๆ 7 วัน เป็ นฝ่ ามือ นิ้วมือ
ผม ขน เล็บ และอวัยวะอืน ่ ๆ อันประกอบเป็ นมนุษย์
กุมารนัน ้ นั่งกลางท้องแม่และเอาหลังมาชนหนังท้องแม่
ฝูงกุมารมนุษย์อน ั เกิดมาดีกว่า เก่งกว่าพ่อแม่ เรียก อภิชาตบุตร ดีเสมอพ่อแม่
เรียก อนุชาตบุตร ด้อยกว่าพ่อแม่ หรือบุตรทีท ่ ราม เรียก อวชาตบุตร
จาตุมหาราชิกา-ดาวดึงสภูมิ (Realm of the Four Great Kings-Realm
of the Thirty-three Gods)

เหนือมนุ ษยภูมข ึ้ มาจะเป็ นภูมข


ิ น ิ องเหล่าเทพยดา มีท่ ง้ ั สิน
้ 6 ชัน
้ รวมเรียกว่า
ฉกามาพจรภูมิ แต่ยงั อยูใ่ นภูมริ ะดับล่างคือกามภูมิ

จาตุมหาราชิกาภูมิ เป็ นสวรรค์ชน ึ้ ไป 46,000


้ ั แรกอยูเ่ หนือโลกมนุ ษย์ขน
โยชน์ มีพระยาผูเ้ ป็ นเจ้าทัง้ 4 รวมเรียกว่า พระยาจตุโลกบาล
มีหน้าทีค่ อยสอดส่องดูมนุษย์ทป ี่ ระกอบผลบุญ แล้วรายงานต่อพระอินทร์
เพือ
่ ให้ได้ไปเกิดในสรวงสวรรค์

้ ไปอีก 46,000 โยชน์


ดาวดึงภูมิ อยูเ่ หนือจาตุมหาราชิกาขึน
มีพระอินทร์เป็ นเจ้าแก่พระยาเทพยดาทัง้ หลาย ทีร่ ายล้อมออกไปทัง้ สีท
่ ศ
ิ รวม
72 องค์ เหล่าเทพยดามี 3 จาพวกคือ

สมมุตเิ ทวดา
คือฝูงท้าวและพระยาในแผ่นดินผูร้ ห
ู ้ ลักแห่งบุญธรรมและกระทาโดยทศพิธรา
ชธรรมทัง้ 10 ประการ

อุปปัตเิ ทวดา คือ เหล่าเทพยดาในพรหมโลก

วิสุทธิเทวดา คือ พระพุทธปัจเจกโพธิเจ้า และพระอรหันต์สาวกเจ้า


ผูเ้ สด็จเข้าสูน
่ ิพพาน

ยามาภูมิ (Realm of the Yama Gods)

อยูส ่ ูงกว่าชัน ึ้ ไปอีก 84,000 โยชน์


้ ดาวดึงส์ขน
อยูเ่ หนือพระอาทิตย์และพระจันทร์ แสงสว่างในภูมนิ ี้
เกิดจากรัศมีของเหล่าเทวดาในชัน ้ นี้เอง

ดุสต
ิ าภูมิ (Realm of Satisfied Gods)

สูงกว่ายามาสวรรค์อีก 168,000 โยชน์


เป็ นทีส
่ ถิตของพระโพธิสตั ว์และพระศรีอาริย์

นิมมานรดีภูมิ (Realm of Gods who rejoice in their own creations)


้ ไปอีก 336,000 โยชน์
สูงขึน
เหล่าเทพยดาในชัน ้ นี้ตอ
้ งการสิง่ ใดเนรมิตเอาเองได้ด่งั ใจตน

ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ (Realm of Gods who lord over the creation of


others)

สวรรค์ชน ้ ั ทีส
่ ุดของฉกามาพจรภูมิ สูงสุดในระดับกามภูมิ อยูถ ้ ไปอีก
่ ดั ขึน
672,000 โยชน์ เหล่าเทพยดาในสวรรค์ชน ้ ั นี้
อยากได้สงิ่ ใดก้เนรมิตเอาเองได้ตามประสงค์
มีพระยาผูเ้ ป็ นเจ้าแห่งเทพยดาทัง้ หลาย 2 องค์ มีอายุตง้ ั แต่ 500-16,000
ปี ทิพย์ (500 ปี ทิพย์ = 9 ล้านปี มนุษย์)

2. รูปภูมิ (Form Planes)

ภูมริ ะดับกลาง เป็ นรูปพรหม มี 16 ชัน ้ แบ่งออกเป็ น ปฐมฌานภูมิ 3


ทุตยิ ฌานภูมิ 3 ตติยฌานภูมิ 3 และจตุตฌานภูมิ 7
อยูเ่ หนือสวรรค์ชน ้ ั ปรนิมมิตวสวัตดีภูมข ึ้ ไปนับประมาณไม่ได้
ิ น
ผูท
้ จี่ ะมาเกิดในพรหมโลกนี้ ต้องจาเริญสมาธิภาวนา จาเริญกรรมฐาน
เพือ่ บาบัด ปัญจนิวรณ์ คือ

กามฉันทะ ความพอใจในกาม
พยาบาท ความคิดร้ายเคืองแค้นใจ
ถีนมิทธะ ความหดหูเ่ ซือ
่ งซึม
อุทธัจจกุกกุจจะ ความกระวนกระวายใจ
วิจก
ิ จิ ฉา ความลังเลสงสัย

จะได้เกิดเป็ นพรหมใน ปฐมฌานภูมิ (First-Jhana planes)


ถ้าจาเริญภาวนาฌานให้สูงขึน ้ ไป เมือ ้ อายุจะไปเกิดใน ทุตยิ ฌานภมิิ
่ สิน
(Second-Jhana planes) ตติยฌานภูมิ (Third-Jhana planes) และ
จตุตฌานภูมิ (Fourth-Jhana planes) ตามลาดับ
พรหมในรูปภูมน ิ ี้มีแต่ผช
ู้ ายไม่มีผห
ู้ ญิง มีตา หู จมูก มีตวั ตน
แต่ไม่รกู ้ ลิน
่ หอมหรือเหม็น ไม่รรู ้ ส ไม่รส ู้ ก
ึ เจ็บ ไม่ยน
ิ ดีในกาม ไม่รห
ู ้ วิ
ไม่ตอ
้ งกินข้าวกินน้า เนื้อตัวเกลี้ยงเกลา
ส่องสว่างกว่าพระอาทิตย์พระจันทร์พน ั เท่า ผูท
้ ไี่ ด้จตุตฌานเต็มที่
เมือ
่ สิน้ อายุจะได้เกิดแต่ใน ปัญจสุทธาวาส (ภูมิ 5 ชัน ้ สุดท้ายของรูปภูม)ิ
จะไม่มาเกิดเป็ นมนุษย์อีก จนได้เข้าสูน ่ ิพพาน ส่วนผูท ้ ยี่ งั ไม่ได้จตุตฌานเต็มที่
เมือ่ สิน้ อายุ ใจนัน
้ ก็คืนสูป
่ กติด่งั คนทัง้ หลาย แล้วไปเกิดตามบุญและบาปต่อไป

3. อรูปภูมิ (Formless Planes)

ภูมริ ะดับสูง มี 4 ชัน ้ อยูส ่ ูงสุดขอบกาแพงจักรวาล


เหล่าพรหมในชัน ้ นี้ไม่มีตวั ตน มีเพียงแต่จต ิ
ผูท
้ จี่ ะมาเกิดในภูมน ิ ี้ตอ้ งจาเริญภาวนาฌาน
พิจารณาขันธ์หา้ จนเข้าถึงอรูปฌาน คือไม่ยน ิ ดีในร่างกายตน
ปรารถนาทีจ่ ะไม่มีตวั ตน จะได้มาเกิดใน อากาสานัญจายตนภูมิ (Realm of
infinite space)
คือภพของผูเ้ ข้าถึงฌานอันกาหนดอากาศเป็ นช่องว่างหาทีส ่ ุดมิได้เป็ นอารมณ์
มีอายุยืน 20,000 มหากัลป์ แล้วกาหนดจิตให้สูงขึน ้
ปรารถนาให้อยูเ่ หนืออากาศ จนได้เกิดใน วิญญาณัญจายตนภูมิ (Realm of
infinite consciousness) คือภพของผูก ้ าหนดวิญญาน
อันหาทีส ่ ุดมิได้เป็ นอารมณ์ มีอายุยืน 40,000 มหากัลป์
เมือ่ พิจารณาภาวนาฌานให้สูงขึน ้ จนได้ฌานกาหนดอันกาหนดภาวะที่
ไม่มีอะไรเป็ นอารมณ์ จึงได้เกิดใน อากิญจัญญายตนภูมิ (Realm of
nothingness) มีอายุยืน 60,000 มหากัลป์
แต่ยงั ไม่พอใจใคร่จะได้ไปเกิดในพรหมชัน ้ สูงขึน ้ ไป
จนจิตเข้าถึงสภาวะมีสญ ั ญาก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ ถึงภูมช ิ น
้ ั สูงสุดในไตรภูมิ คือ
เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ (Real of neither perception nor non-
perception) พรหมโลกชัน ้ นี้มีสมาบัตยิ งิ่ กว่าพรหมทุกแห่ง
สามารถเห็นชัน ้ ฟ้ า ชัน ้ ดิน ชัน ้ อินทร์ และชัน ้ พรหม
ดุจเห็นมะขามป้ อมกลางฝ่ ามือ มีจต ิ อันเป็ น โสภณเจตจิต
คือสภาวะธรรมทีด ่ งี ามเกิดดับพร้อมกับจิต มีอายุยืนถึง 84,000 มหากัลป์

อนิจจลักษณะ (Impermanence)
เหล่าฝูงสัตว์ในภูมิ นรก เปรต ดิรจั ฉาน และ อสุรกาย เมือ ่ สิน ้ แก่อายุ
จะไปเกิดในภูมเิ ดิม ถ้าได้เคยทาบุญกุศลมาก่อนก็จะได้เกิดเป็ นมนุษย์
หรือเกิดในภูมเิ ทพยดา แต่ไม่สามารถไปเกิดในภูมข ิ องพรหมทัง้ 20 ชัน ้ ได้
ฝูงสัตว์ทเี่ ป็ นมนุษย์ มี 2 จาพวกคือ อันธปุถุชน คือผูท ้ ที่ าแต่ความชั่วช้าต่าง ๆ
เมือ
่ ตายจากมนุษย์ยอ ่ มไปเกิดในอบายภูมิ ถ้าเกิดเป็ นมนุษย์ก็จะอัปลักษณ์ บดั สี
กัลยานปุถุชน คือผูท ้ ีฝ่ กั ใฝ่ ประกอบแต่กรรมดี
เมือ่ ตายได้ไปเกิดในสวรรค์ชน ้ ไป ยกเว้นปัญจสุทธวาส
้ ั สูงขึน
หรือได้ไปสูน ่ ิพพานก็มี เหล่า เทพยดาในฉกามาพจรภูมิ เมือ ่ สิน้ อายุ
ถ้าไม่ได้มรรคผล อาจเกิดในภูมเิ ดิม ภูมม ิ นุษย์ หรืออบายภูมิ ถ้าได้มรรคผล
จะไปเกิดในรูปภูมิ หรืออรูปภูมิ พรหมในรูปภูมิ เมือ ่ สิน ้ อายุ
อาจมาเกิดในสุคติภูมิ หรือถ้าได้มรรคผลก็จะเกิดในภูมท ิ สี่ ูงขึน้ ไป
แต่จะไม่เกิดในอบายภูมิ เหล่าฝูง พรหมในอรูปภูมิ เมือ ่ สิน ้ อายุ
อาจลงมาเกิดในสุคติภูมิ แต่จะไม่เกิดในอรูปภูมช ิ น
้ ั ทีต ่ ่ากว่า หรือในรูปภูมิ
และจะไม่ได้เกิดในอบายภูมิ แต่ถา้ ฌานทีส ้
่ ูงขึน
ก็ได้ไปเกิดในอรูปภูมช ิ น้ ั ทีส
่ ูงกว่า ฝูงสัตว์ทง้ ั หลายอันเกิดในไตรภูมน ิ ี้
ย่อมไม่ม่น ั คง ย่อมรูฉ้ ิบหาย รูต ้ ายจาก รูพ้ ลัดพราก
ไม่วา่ พระอินทร์หรือพระพรหม ยังคงมีเกิดและดับ
ย่อมเวียนว่ายอยูใ่ นไตรภูมน ิ ี้ เนื่องมาแต่เหตุแห่งสภาวะจิต
ยังรับแรงกระทบจากกิเลส ประดุจดังหยดน้าตกกระทบผิวน้า
ผิวน้าย่อมเกิดระลอกสั่นไหว ถ้าจิตเราไม่รบ ั สนองต่อสิง่ ทีม ่ ากระทบ
จิตนัน้ ย่อมนิ่งย่อมสงบ

นิพพาน (Nibbana)

ความสุขใด ๆ ในเทวโลกหรือพรหมโลกจะเทียบเท่านิพพานสุขนัน
้ หาไม่
เปรียบได้ด่งั แสงหิง่ ห้อยหรือจะสูแ
้ สงดวงตะวัน
หยดน้าอันติดอยูป ่ ลายผมหรือจะเทียบกับน้าในมหาสมุทร
เพราะหยุดเหตุแห่งการเกิดและดับ นิพพานมี 2 จาพวก คือ

กิเลสปรินิพพาน (Nibbana with the substratum of life remaining)


นิพพานของพระอรหันต์ผยู้ งั เสวยอารมณ์ ทน ี่ ่ าชอบใจและไม่ชอบใจทางอินทรี
ย์ 5 รับรูส้ ุขทุกข์ คือดับกิเลสแต่ยงั มีเบญจขันธ์เหลือ
ขันธปรินิพพาน (Nibbana without any substratum of life
remaining) ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ
คือนิพพานของพระอรหันต์ผรู้ ะงับการเสวยอารมณ์ ทง้ ั ปวงแล้ว

ไตรภูมก ิ ถานี้ได้แสดงให้เห็นว่า แม้จะได้มรรคผลสูงจนถึงทีส ่ ุดแห่งภูมิ คือ


เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ในอรูปภูมิ
แต่จต ิ นัน้ ยังมีสญั ญาอยูใ่ นสภาวะทีย่ งั ไม่แน่ นอน จึงมีดบั และเกิด
แต่ถา้ ได้พจิ ารณาอริยสัจ 4 สามารถดับเบญจขันธ์คอ ื ขันธ์ 5 (รูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ) เท่ากับได้ดบั กิเลสและกองทุกข์
เข้าสูส่ ภาวะทีเ่ ป็ นสุขสูงสุด คือ นิพพาน เพราะไร้กเิ ลสไร้ทุกข์
เป็ นอิสรภาพอันสมบูรณ์
......................................
ไตรภูมก ิ ถาหรือไตรภูมพ ิ ระร่วงเป็ นวรรณคดีเก่าแก่มีมาตัง้ แต่สมัยกรุง
สุโขทัยซึ่งยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็ นพระนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชาลิไท
( พ ญ า ลิ ไ ท )
จัดเป็ นวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาเรือ ่ งแรกทีแ ้ ในประเทศไทยซึ่งมีเนื้
่ ต่งขึน
อ ห า เ กี่ ย ว กั บ ศ า ส น ธ ร ร ม โ ด ย ต ร ง
เ ขี ย น ขึ้ น โ ด ย ก า ร ค้ น ค ว้ า ร ว บ ร ว ม จ า ก คั ม ภี ร์ ต่ า ง ๆ
ในพระพุทธศาสนาไม่น้อยกว่า ๓๐ คัมภีร์
ห นั ง สื อ ไ ต ร ภู มิ พ ร ะ ร่ ว ง เ ดิ ม เ รี ย ก ว่ า " เ ต ภู มิ ก ถ า
ห รื อ ไ ต ร ภู มิ ก ถ า " ใ น ก า ร พิ ม พ์ ค รั้ ง แ ร ก เ มื่ อ พ . ศ .
๒ ๔ ๕ ๗ ส ม เ ด็ จ พ ร ะ เ จ้ า บ ร ม ว ง ศ์ เ ธ อ
กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงเปลีย่ นชือ ่ หนังสือเล่มนี้เป็ น "ไตรภูมพ ิ ระร่วง"
ดังได้ประทานคาอธิบายไว้ในการพิมพ์ครัง้ แรกว่า

“บ ร ร ด า พ ร ะ เ จ้ า ก รุ ง สุ โ ข ทั ย
ดู เ ห มื อ น จ ะ ป ร า ก ฏ พ ร ะ น า ม ใ น น า น า ป ร ะ เ ท ศ
และขอบขัณฑสีมาว่า สมเด็จพระร่วงเจ้า ต่อ ๆ กันมาทุก
ๆ พระองค์ ไม่เรียกแต่เฉพาะพระองค์หนึ่งพระองค์ใดใน
๖ พระองค์นี้ ...เพราะฉะนัน ้ เมือ
่ พิมพ์หนังสือนี้จงึ เรียกว่า
ไ ต ร ภู มิ พ ร ะ ร่ ว ง
จะได้เป็ นคูก ั หนังสือสุภาษิตพระร่วง...”1
่ บ

1
ดำรงรำชำนุ ภำพ, กรมพระยำ. “บำนแพนก”. ไตรภูมพ
ิ ระร่วง. ๒๕๐๖ หน้ำ ๓ - ๔
จุ ด ประสงค์ ใ นการแต่ ง องค์ ผู้ นิ พ นธ์ ไ ด้ ร ะบุ ไ ว้ ใ นบานแพนก ว่ า
พระองค์ มี ค วามมุ่ง หมายส าคัญ ๓ ประการคื อ เพื่อ เผยแพร่พ ระอภิ ธ รรม
เ พื่ อ เ ป็ น บ ท เ รี ย น พ ร ะ อ ภิ ธ ร ร ม แ ก่ พ ร ะ ม า ร ด า ข อ ง ท่ า น
และเพือ ่ เผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ประชาชน
หนังสือเรือ ่ งไตรภูมท ิ ป
ี่ รากฏเป็ นทีร่ จู ้ กั กันในปัจจุบน ั มีหลายสานวน คือ
ไตรภู มิพ ระร่ว งหรื อ ไตรภู มิก ถาซึ่ ง ถื อ กัน ว่า เป็ นหนัง สื อ ที่พ ญาลิ ไ ทย
พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย์ รั ช ก า ล ที่ ๕ แ ห่ ง ก รุ ง สุ โ ข ทั ย
ท ร ง พ ร ะ ร า ช นิ พ น ธ์ ขึ้ น เ มื่ อ ป ร ะ ม า ณ พ . ศ . ๑ ๘ ๘ ๘
เรือ
่ งไตรภูมส ิ มัยสุโขทัยนี้ไม่ปรากฎว่ามีตน ้ ฉบับเดิมครัง้ กรุงสุโขทัยตกทอดมา
ถึงปัจจุบน ั ต้นฉบับที่นามาใช้พิมพ์ เผยแพร่น้น ั คือ ต้นฉบับที่ พระมหาช่วย
วั ด ป า ก น้ า จั ง ห วั ด ส มุ ท ร ป ร า ก า ร ( วั ด ก ล า ง ว ร วิ ห า ร )
ได้ตน ้ ฉบับมาจากจังหวัดเพชรบุรี จึงได้จารเรือ ่ ง ไตรภูมไิ ว้ในใบลาน ๓๐ ผูก
เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๑ และ สมเด็ จ พระเจ้า บรมวงศ์ เ ธอ กรมพระยาด ารงราชา-
นุ ภ า พ โ ป ร ด ใ ห้ น า อ อ ก ตี พิ ม พ์ เ ผ ย แ พ ร่ เ ป็ น ค รั้ ง แ ร ก เ รี ย ก ชื่ อ ว่ า
“ไตรภูมพ ิ ระร่วง”2
ไ ต ร ภู มิ โ ล ก วิ นิ จ ฉั ย คื อ
ไตรภูมส ิ านวนทีพ ่ ระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ
ให้พระราชาคณะ และราชบัณฑิตช่วยกันแต่งขึน ้ เมือ
่ ปี เถาะ จุลศักราช ๑๑๔๕
(พ.ศ.๒๓๒๖) เป็ นหนังสือจบ ๑ ยังไม่สมบูรณ์ ครัน ้ ถึง พ.ศ.๒๓๔๕ โปรดฯให้
พระยาธรรมปรีชา (แก้ว) แต่งไตรภูมโิ ลกวินิจฉัยให้จบความ
ลักษณะการแต่งคาประพันธ์ของไตรภูมพ ิ ระร่วงนัน ้ แต่งเป็ นร้อยแก้วภา
ษ า ไ ท ย นั บ เ ป็ น “ว ร ร ณ ค ดี ”เ ล่ ม แ ร ก ที่ แ ต่ ง เ ป็ น ภ า ษ า ไ ท ย
โดยที่พญาลิไททรงรวบรวมข้อความต่าง ๆ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ได้แก่
พระไตรปิ ฎก อรรถกถา ฎีกาต่าง ๆ เป็ นต้น ลักษณะคาประพันธ์เป็ นร้อยแก้ว
มี ก า ร ผู ก ป ร ะ โ ย ค ใ ช้ ถ้ อ ย ค า โ บ ร า ณ ย า ก แ ก่ ก า ร เ ข้ า ใ จ เ ป็ น อั น ม า ก
บ า ง ค า ก็ เ ป็ น ภ า ษ า บ า ลี
กรมศิลปากรในขณะทีต ่ รวจสอบชาระไตรภูมพ ิ ระร่วงนี้ก็ กล่าวว่าเป็ นเรื่องค่อ
น ข้ า ง จ ะ ย า ก
และต้ น ฉบับ เดิ ม ขาดตก บก พร่ อ งไปเพราะเป็ น หนั ง สื อ ที่ เ ก่ า แก่ ม าก
ดังทีก่ รมศิลปากรก็ได้กล่าวไว้ในคานาของหนังสือว่า

"เ นื่ อ ง จ า ก ห นั ง สื อ นี้ เ ป็ น ข อ ง เ ก่ า


แ ล ะ ก็ มี ก า ร คั ด ล อ ก กั น ม า ห ล า ย ชั้ น ห ล า ย ส มั ย
จึ ง มี ส่ ว น วิ ป ล า ส ค ล า ด เ ค ลื่ อ น ไ ป ม า ก
ท า ใ ห้ ข อ ง เ ดิ ม ข อ ง แ ท้ มั ว ห ม อ ง ไ ป ย า ก ที่ จ ะ เ ข้ า ใ จ ไ ด้
ก า ร ต ร ว จ ช า ร ะ จึ ง เ ป็ น ง า น ห นั ก

2
ประสิทธิ ์ ศรีสมุทร. วรรณคดีเกียวกั
่ บพระพุทธศำสนำ. ดวงแก ้ว. กรุงเทพ : ๒๕๔๖
ก า ร วิ นิ จ ฉั ย ค า บ า ง ค า ต้ อ ง ใ ช้ เ ว ล า แ ร ม เ ดื อ น
ต้องหาหลักฐานมาประกอบการวินิจฉัยทัง้ ภาษาไทยและภาษาบ
า ลี แ ต่ เ พื่ อ ใ ห้ เ รื่ อ ง นี้ มี ค ว า ม เ ห ม า ะ ส ม บู ร ณ์ ยิ่ ง ขึ้ น
ก็จงึ จาเป็ นจะต้องดาเนินการตามหลักฐานต่าง ๆ...”3
เรือ
่ งย่อ
เริม่ ต้นด้วยคาถานมัสการเป็ นภาษาบาลี ต่อไปมีบานแพนกบอกชือ ่ ผูแ
้ ต่ง
วันเดือนปี ทีแ ่ ต่ง บอกชือ่ คัมภีร์
บอกความมุง่ หมายในการแต่ง แล้วจึงกล่าวถึงภูมท ิ ง้ ั ๓ ว่า
คาว่าไตรภูมแ ิ ปลว่า สามแดน คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ทัง้ ๓ ภูมิ
แบ่งออกเป็ น ๘ กันฑ์ คือ
๑. กามภูมิ มี ๖ กัณฑ์ คือ
๑.๑ นรกภูมิ เป็ นแดนนรก
๑.๒ ดิรจั ฉานภูมิ เป็ นแดนของสัตว์ทเี่ จริญตามขวาง
๑.๓
เปตภูมิ เป็ นแดนของเปรตทีเ่ คยเป็ นมนุษย์และทาความชั่วเกิดเป็ นเปรต
๑.๔ อสุรกายภูมิ
เป็ นแดนของยักษ์ มารหรือผีทห ี่ ลอกมนุษย์ให้ตกใจกลัว
๑.๕ มนุสสภูมิ เป็ นแดนของมนุษย์
๑.๖
ฉกามาพจร เป็ นแดนของเทวดาทีย่ งั เกีย่ วข้องในกาม มี ๖ ชัน ้
คือ จาตุมหาราชิก ดาวดึงส์ ยามะ ดุสต ิ นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวดี
๒. รูปภูมิ มี ๑ กัณฑ์คอ ื รูปาวจรภูมิ เป็ นแดนของพรหมทีม ่ ีรูปแบ่งเป็ น
๑๖ ชัน ้ ตามภูมธิ รรมเรียกว่าโสฬสพรหม
๓. อรูปภูมิ มี ๑ กัณฑ์ คือ อรูปาวจรภูมิ
เป็ นแดนของพรหมไม่มีรูป มีแต่จต ิ แบ่งเป็ น ๔ ชัน

ได้แก่อากาสานัญจายตนภูมิ วิญญาณัญจายตนภูมิ อากิญจัญญายตนภูมิ
เนวสัญญานาสัญญายตนภูมฆ ิ
สรุปภูมิทง้ ั ๓ ภูมิว่า สัตว์โลกทัง้ หลายทีเ่ วียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิท ้งั ๓
นี้ ล้วนแต่ต กอยู่ใ นอ านาจอนิ จ ลัก ษณะ แม้แ ต่สิ่งที่เป็ นรูป ธรรมล้ว น ๆ เช่น
ภู เ ข า แ ม่ น้ า พ ร ะ อ า ทิ ต ย์ พ ร ะ จั น ท ร์
ซึ่ ง เป็ นอวินิ โ ภครู ป ก็ ต กอยู่ใ นอ านาจอนิ จ ลัก ษณะทั้ง สิ้น พระนิ พ พาน หรื อ
โ ล กุ ต ร ภู มิ เ ป็ น สิ่ ง ที่ จี รั ง ยั่ ง ยื น ไ ม่ รู ้ เ กิ ด แ ก่ เ จ็ บ ต า ย
รวมทัง้ กล่าวถึงการปฏิบตั เิ พือ ่ เข้าถึงนิพพาน
3
พระมหำธรรมรำชำที่ ๑. ไตรภูมก
ิ ถำ. ฉบับตรวจสอบชำระใหม่ : ๒๕๒๖.
ในส่วนอวสานพจน์ ได้กล่าวถึงความมุง่ หมายในการแต่งไตรภูมพ ิ ระร่วง
ประวัติส งั เขปของผู้นิ พ นธ์ วัน เดือ น ปี ที่แ ต่ง จบบริบู ร ณ์ แ ละหนัง สื อ อุ เทศ
ต ล อ ด จ น ป ร ะ โ ย ช น์ ข อ ง ก า ร ศึ ก ษ า
ก า ร ฟั ง ไ ต ร ภู มิ ก ถ า แ ล ะ อ า นิ ส ง ส์ ข อ ง ก า ร เ จ ริ ญ ก ร ร ม ฐ า น
โดยพิจารณาสังขารให้เป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
น อ ก จ า ก นี้ ยั ง ก ล่ า ว ถึ ง ทิ พ ย ส ม บั ติ
พ ร ะ นิ พ พ า น แ ล ะ ก า ร จ ะ ไ ด้ พ บ พ ร ะ ศ รี อ า ริ ย์ ใ น อ น า ค ต ว่ า
ผู้ป รารถนาจะได้ร บ ั หรื อ ได้พ บสิ่ ง ที่ก ล่ า วมา ขอให้ส ดัต รับ ฟัง ไตรภู มิ ก ถา
“ด้ ว ย ท า นุ ก อ า รุ ง ด้ ว ย ใ จ ศ รั ท ธ า อ ย่ า ไ ด้ ป ร ะ ม า ท สั ก อั น ไ ส้
จะได้พบได้ไหว้ได้ฟงั ธรรมแห่งพระอาริยเจ้า”
ไตรภูมพ ิ ระร่วงเป็ นหนังสือทีเ่ สนอความคิดด้านศาสนธรรมโดยเฉพาะอ
งค์ ผู้นิ พ นธ์ ไ ด้ท รงกล่า วย้า เรื่อ งนรกสวรรค์ ใ ห้ช ด ั เจนและมี ห ลัก ฐานยิ่ ง ขึ้น
อาจกล่าวว่าพญาลิไททรงทาให้กระแสแห่งความคิดในเรือ ่ งนรกสวรรค์ทีม ่ ีอยูแ

ล้ ว ใ ห้ เ ด่ น ชั ด ยิ่ ง ขึ้ น
เสริมความคิดให้เด่นชัดขึน ้ ในรูปของหนังสือทีอ ่ าจเรียกได้วา่ “วิทยานิพนธ์”
คณะทางานโครงการวรรณกรรมอาเซียนได้กล่าวถึงความสาคัญของไต
รภูมพ ิ ระร่วงไว้วา่

“เรือ
่ งไตรภูมเิ ป็ นวรรณคดีทีไ่ ร้รบ ั การยกย่องว่าดีทีส่ ุดในป
ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี ไ ท ย ยุ ค สุ โ ข ทั ย
เป็ นวรรณคดีทแ ี่ สดงปรัชญาแห่งพระบวรพุทธศาสนาอย่าง
ชั ด เ จ น ลึ ก ซึ้ ง
เนื่องด้วยเป็ นผลงานประพันธ์ทีเ่ กิดจากการศึกษาค้นคว้าข้
อปรัช ญาอย่า งละเอี ย ด โดยอาศัย คัม ภี ร์ต่าง ๆ ไม่ต่ากว่า
๓๐ คัม ภี ร์ มี เ นื้ อ ความกล่ า วถึ ง จัก รวาลวิ ท ยา ปรัช ญา
จริยศาสตร์ ชีววิทยา ความคิดความเชือ ่ ในทางพุทธศาสนา
ซึ่ ง เ ป็ น ห ลั ก ธ ร ร ม ส า คั ญ คื อ
การละเว้นความชั่วและการประกอบกรรมดี”4
เสนี ย์ วิ ล าวรรณ 5 ได้ ก ล่ า วถึ ง ความส าคัญ ของไตรภู มิ พ ระร่ ว งไว้
ก ล่ า ว โ ด ย ส รุ ป ไ ด้ ว่ า
ไตรภูมพ ิ ระร่วงนับเป็ นวรรณคดีเรือ ่ งแรกทีเ่ รียบเรียงตามหลักการค้นคว้าโดย
ใ ช้ ห ลั ก ฐ า น ป ร ะ ก อ บ ถึ ง ๓ ๐ คั ม ภี ร์ บ อ ก ชื่ อ ผู้ แ ต่ ง วั น เ ดื อ น ปี
และความมุ่งหมายที่แ ต่งไว้ค รบถ้วน มี ค วามสาคัญ ทัง้ ในด้านอัก ษรศาสตร์
ศาสนา และสังคม ดังนี้

4
คณะทำงำนโครงกำรวรรณกรรมอำเซียน. “คำนำ”. ใน ไตรภูมก ิ ถำ ฉบับถอดควำม. ๒๕๒๘. หน้ำ ๘
5
เสนี ย ์ วิลำวรรณ. หนังสือเรียนภำษำไทย รำยวิชำ ท ๐๓๑ ประวัตวิ รรณคดี ๑. ๒๕๒๖ หน้ำ ๑๔
ใ น ด้ า น อั ก ษ ร ศ า ส ต ร์ ใ ห้ ค ว า ม รู ้ เ กี่ ย ว กั บ ภ า ษ า
ความเก่าของภาษาทีอ ่ งค์ผนู้ ิพนธ์นามาใช้สว่ นใหญ่มีความเก่าและน่ าเชือ ่ ถือไ
ด้ ม า ก ก ว่ า ห นั ง สื อ ที่ สั น นิ ษ ฐ า น ว่ า เ กิ ด ใ น ส มั ย เ ดี ย ว กั น คื อ
สุ ภ า ษิ ต พ ร ะ ร่ ว ง แ ล ะ ต า รั บ ท้ า ว ศ รี จุ ฬ า ลั ก ษ ณ์
การพรรณนาความในหนัง สื อ นี้ น ับ ว่ า เป็ นเลิ ศ ท าให้ เ กิ ด มโนภาพ เช่ น
เ รื่ อ ง เ กี่ ย ว กับ พ ร ะ อิ น ท ร์ เ ข า พ ร ะ สุ เ ม รุ ป่ า หิ ม พ า น ต์ ช้ า ง เ อ ร า วัณ
แท่นบัณฑุกม ั พล ต้นปาริชาต และนกกรวิก (การเวก) เป็ นต้น
ใ น ท า ง ศ า ส น า ห นั ง สื อ นี้ ชี้ ใ ห้ เ ห็ น บ า ป บุ ญ คุ ณ โ ท ษ
ส ม ค ว า ม มุ่ ง ห ม า ย ข อ ง ผู้ แ ต่ ง ต รึ ง จิ ต ใ จ ข อ ง ผู้ ไ ด้ อ่ า น ไ ด้ ฟั ง
มีผน ู้ าเรือ
่ งราวบางตอนจากหนังสือนี้ไปวาดเป็ นรูปภาพตามวัดก็มี
ใ น ท า ง สั ง ค ม
หนัง สื อ เล่ ม นี้ ส ะท้ อ นถึ ง การศึก ษาและการอบรมศี ล ธรรมในสมัย สุ โ ขทัย
พ ร ะ เ จ้ า แ ผ่ น ดิ น เ จ้ า น า ย
แ ล ะ ร า ษ ฏ ร ส า มั ญ ต่ า ง ใ ฝ่ ใ จ ใ น ก า ร ศึ ก ษ า เ ล่ า เ รี ย น วิ ช า ก า ร ทั่ ว ไ ป
ต ล อ ด จ น ป รั ช ญ า แ ล ะ จ ริ ย ธ ร ร ม ท า ง ศ า ส น า
พระเจ้ า แผ่ น ดิน ทรงวางพระองค์ เ สมอบิ ด าและครู อ าจารย์ ข อง ราษฎร
ทรงสั่งสอนราษฎรด้วยพระองค์เอง สังคมสุโขทัยยึดมั่นในอุดมการณ์ สู งสุ ด
ยกย่ อ งคุ ณ งามความดี ข องบุ ค คลเป็ นส าคัญ เชื่ อ มั่น ในผลแห่ ง กรรมน า
พากันบาเพ็ญทานและสร้างปูชนียสถานและถาวรวัตถุดว้ ยแรงศรัทธา
ไตรภูมิพระร่วงยัง ได้เป็ นแม่บทและมีอิทธิพ ลต่อ วรรณคดีเรื่อ งต่าง ๆ
เ กื อ บ ทุ ก เ รื่ อ ง อี ก ด้ ว ย ว ร ร ณ ค ดี ห รื อ ว ร ร ณ ก ร ร ม ใ น ส มั ย ห ลั ง ๆ
จะมี เ รื่ อ งของไตรภู มิ พ ระร่ ว งแทรกอยู่ เ สมอ เช่ น ลิ ลิ ต โองการแช่ ง น้ า
บุ ณ โ ณ ว า ท ค า ฉั น ท์ ขุ น ช้ า ง ขุ น แ ผ น นิ ร า ศ น ริ น ท ร์ ฯ ล ฯ
ร ว ม ทั้ ง แ น ว คิ ด เ รื่ อ ง น ร ก ส ว ร ร ค์ เ ป ร ต อ สุ ร ก า ย อ เ ว จี
หรื อ ไม่ก็ ก ล่า วอ้า งถึง สิ่ง ต่า ง ๆ ที่ป รากฏอยู่ใ นไตรภู มิพ ระร่ว ง เช่ น เปรต
อสุรกาย ภูเขาสัตตบริภณ ั ฑ์ ปลาใหญ่ ครุฑ นาค ป่ าหิมพาานต์ นทีสีทน ั ดร
เ ข า ยุ คั น ธ ร เ ป็ น ต้ น
ทัง้ นี้เพราะความบันดาลใจของผูแ ้ ต่งทีไ่ ด้รบ
ั จากไตรภูมพ ิ ระร่วง
น อ ก จ า ก นี้
คติจกั รวาลแบพุทธเถรวาทในงานสถาปัตยกรรมได้ถูกถ่ายทอดผ่านไตรภูมิพ
ร ะ ร่ ว ง แ ล ะ ป ร า ก ฎ เ ป็ น รู ป ธ ร ร ม เ ช่ น
ค ติ ก า ร ส ร้ า ง วั ด ม ห า ธ า ตุ เ ป็ น ศู น ย์ ก ล า ง ข อ ง เ มื อ ง แ ล ะ รั ฐ
เ ป็ น วั ด ที่ มี ข น า ด ใ ห ญ่ ที่ สุ ด ทั้ ง ใ น ข น า ด ข อ ง พื้ น ที่
ข น า ด ข อ ง อ า ค า ร แ ล ะ สิ่ ง ก่ อ ส ร้ า ง จ า น ว น ข อ ง สิ่ ง ก่ อ ส ร้ า ง ทั้ ง ห ม ด
แ ล ะ น อ ก จ า ก เ จ ดี ย์ ห รื อ พ ร ะ บ ร ม ธ า ตุ ป ร ะ ธ า น แ ล้ ว จ ะ มี เ จ ดี ย์ เ ล็ ก ๆ
จ า น ว น ม า ก ล้ อ ม อ ยู่
นี่คอ
ื แผนภาพหรือโครงสร้างของจักรวาลทีก ่ ล่าวไว้ในไตรภูมิ 6

จุ ด บ ก พ ร่ อ ง อัน ยิ่ ง ใ ห ญ่ ข อ ง ไ ต ร ภู มิ พ ร ะ ร่ ว ง คื อ อ่ า น ไ ม่ รู ้ เ รื่ อ ง


รวมทัง้ ความพยายามปรับปรุงซ่อมเสริมวรรณคดีทาให้รสของวรรณคดีเสียไป
ศักดิศ์ รี แย้มนัดดา ได้กล่าวไว้วา่

“...เพราะเหตุว่า ลอกกันมาผิด คล้าย ๆ กับ ตารายาไทย


ค น ส มั ย ก่ อ น เ ข า ล อ ก กั น ม า
ถึ ง กับ มี ค าก ล่ า วว่ า ต าราย า ไท ย ลอก กัน มาส า ม ห น
กิ น แ ล้ ว ต า ย เ ล ย
เพราะเหตุวา่ คนลอกไม่ทราบว่าคนเดิมเขาเขียนกันมาอย่
างไร...”7

สาหรับ ประเด็ นที่ถกเถีย งกันเกี่ยวกับ ที่มาของไตรภูมิพระร่วงนั้น นิ ธิ


เ อี ย ว ศ รี ว ง ศ์ 8 ตั้ ง ข้ อ สั ง เ ก ต ว่ า ด้ ว ย ภ า ษ า ที่ ใ ช้ ใ น ตั ว ว ร ร ณ ค ดี เ อ ง
คาศัพท์บางคาปรากฎหลักฐานว่าเริม ่ มีใช้ในสังคมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ต
อ น ต้ น จึ ง เ ป็ น ไ ป ไ ด้ ว่ า ไ ต ร ภู มิ พ ร ะ ร่ ว ง จ ะ แ ต่ ง ใ น ส มัย รัช ก า ล ที่ ๓
แ ห่ ง ก รุ ง รั ต น โ ก สิ น ท ร์ เ นื่ อ ง จ า ก อิ ท ธิ พ ล ข อ ง ต่ า ง ช า ติ
โดยเฉพาะต่างชาติตะวันตกทีน ่ บ
ั วันจะรุนแรงมากขึน ้
แ ต่ ป ร ะ เ ด็ น ก า ร ถ ก เ ถี ย ง ดั ง ก ล่ า ว ด้ อ ย ล ง ไ ป
เนื่ อ งจากต้ น ฉบับ ไตรภู มิ พ ระร่ ว งที่ มี อ ยู่ มิ ใ ช่ ห ลัก ฐานปฐมภู มิ นั่นคื อ
เ ป็ น จ า ร ที่ คั ด ล อ ก ด้ ว ย ล า ย มื อ ต่ อ ม า อี ก ค รั้ ง ห นึ่ ง
จึ ง เ ป็ น ไ ป ไ ด้ ว่ า ใ น ก ร ะ บ ว น ก า ร ก า ร คั ด ล อ ก นั้ น
ผู้ คั ด ล อ ก ไ ด้ ดั ด แ ป ล ง ตั ว เ นื้ อ ห า ภ า ษ า ใ น ว ร ร ณ ค ดี
ท า ใ ห้ ว ร ร ณ ค ดี ที่ ถู ก แ ต่ ง เ ติ ม มี ค ว า ม ร่ ว ม ส มั ย กั บ ผู้ คั ด ล อ ก
ร ว ม ทั้ ง ภ า ษ า ส่ ว น ม า ก ที่ ใ ช้ ใ น ไ ต ร ภู มิ พ ร ะ ร่ ว ง
มี ล ัก ษณะสอดคล้ อ งกับ วรรณคดี เ รื่ อ งอื่ น ๆ ที่ ป ราก ฎในยุ ค เดี ย วกัน
ทาให้ขอ ้ เสนอของนิธด ิ อ
้ ยลงไป
ก ล่ า ว โ ด ย ส รุ ป
ไตรภูมพ ิ ระร่วงมิได้เป็ นเพียงวรรณคดีทีเ่ ด่นในด้านศิลปการประพันธ์เท่านั้น
แต่ยงั เป็ นวรรณคดีทีม ่ ีคุณค่าสูงในฐานะทีเ่ ป็ นแหล่งบันทึกประสบการณ์ และจิ
ต ไ ร้ ส า นึ ก ร่ ว ม ข อ ง ม นุ ษ ย ช า ติ ไ ด้ แ ก่
ก า ร ค ว บ คุ ม แ บ บ แ ผ น พ ฤ ติ ก ร ร ม ข อ ง ม นุ ษ ย์
การให้ค าตอบต่อ ข้อ สงสัย ของมนุ ษย์ ที่ เกี่ย วกับ ก าเนิ ด และจุด จบของมนุ ษย์


อนุ วท ่ ไตรภูมพ
ิ ย ์ เจริญศุภกุล. สรุปผลกำรสัมมนำเรือง ิ ระร่วง เล่ม ๑. กรมศิลปำกร : ๒๕๒๖
7
ศักดิศรี ์ แย ้มนัดดำ. สรุปผลกำรสัมมนำเรือง่ ไตรภูมพิ ระร่วง เล่ม ๒. กรมศิลปำกร : ๒๕๒๖
8
นิ ธ ิ เอียวศรีวงศ ์. วรรณกรรมการเมืองเรือง ่ "อานุ ภาพพ่อขุนอุปถัมภ ์" ศึกศิลาจารึก
่ อขุนรามคาแหงไม่ได้แต่งยุคสุโขทัย. กรุงเทพฯ : มติชน, 2546
ทีพ่
แ ล ะ ข้ อ ส ง สั ย ใ น เ รื่ อ ง โ ล ก
ส ภ า พ ภู มิ ศ า ส ต ร์ แ ล ะ ป ร า ก ฏ ก า ร ณ์ ธ ร ร ม ช า ติ ใ น ส มั ย โ บ ร า ณ
ซึง่ เป็ นปัญหาข้อสงสัยทีเ่ กิดกับมนุษยชาติทุกศาสนา

ห นั ง สื อ ไ ต ร ภู มิ ก ถ า นี้
นอกจากจะพรรณนาด้วยภาษาร้อยแก้วอันไพเราะและแจ่มแจ้งในเนื้อหาแล้ว
ยังถือเป็ นหลักฐานอ้างอิงทางวรรณคดีไทยที่เก่าแก่โบราณที่สุด โลกสัณฐาน
หรือ ภูมศ ิ าสตร์โบราณนี้มีผน ู้ าไปใช้อา้ งอิงในวรรณคดียุคหลัง ๆ แทบทัง้ สิน ้
ตัวอย่างการใช้ภาษาทีด ่ ท
ี ส
ี่ ุด
พรรณนาเปตภูมิ กล่าวถึงเปรตพวกหนึ่งว่า
เ ป ร ต ล า ง จ า พ ว ก ตั ว เ ข า ใ ห ญ่ ป า ก เ ข า น้ อ ย เ ท่ า รู เ ข็ ม นั้ น ก็ มี ฯ
เ ป ร ต ล า ง จ า พ ว ก ผ อ ม นั ก ห น า เ พื่ อ อ า ห า ร จ ะ กิ น บ มิ ไ ด้
แ ม้ น ว่ า จ ะ ข อ ด เ อ า เ นื้ อ น้ อ ย ๑ ก็ ดี เ ลื อ ด ห ย ด ๑ ก็ ดี บ มิ ไ ด้ เ ล ย
เ ท่ า ว่ า มี แ ต่ ก ร ะ ดู ก แ ล ห นั ง พ อ ก ก ร ะ ดู ก ภ า ย น อ ก อ ยู่ ไ ส้
หนัง ท้อ งนั้น เหี่ย วติด กระดูก สัน หลัง แลตานั้น ลึก และกลวงดัง แสร้ง ควัก เสี ย
ผ ม เ ข า นั้ น ยุ่ ง รุ่ ย ร่ า ย ล ง ม า ป ก ป า ก เ ข า ม า ต ร ว่ า ผ้ า ร้ า ย น้ อ ย ๑ ก็ ดี
แ ล จ ะ มี ป ก ก า ย เ ข า นั้ น ก็ ห า บ มิ ไ ด้ เ ล ย เ ที ย ร ย่ อ ม เ ป ลื อ ย อ ยู่ ชั่ ว ต น
ตั ว เ ข า นั้ น เ ห ม็ น ส า บ พึ ง เ ก ลี ย ด นั ก ห น า แ ล
เขานั้น เที ย รย่อ มเดื อ ดเนื้ อ้ อ นใจเขาแล เขาร้อ งไห้ ร ้อ งครางอยู่ทุ ก เมื่อ แล
เ พ ร า ะ ว่ า เ ข า อ ย า ก อ า ห า ร นั ก ห น า แ ล
ฝู ง เ ป ร ต ทั้ ง ห ล า ย นั้ น เ ข า ยิ่ ง ห า แ ร ง บ มิ ไ ด้ เ ข า ย่ อ ม น อ น ห ง า ย อ ยู่ ไ ส้
เมื่อ แลฝู ง นั้น เขานอนอยู่ แ ลหู เ ขานั้น ได้ยิ น ประดุ จ เสี ง คนร้อ งเรี ย กเขาว่ า
สู ทั้ ง ห ล า ย เ อ๋ ย จ ง ม า กิ น ข้ า ว กิ น น้ า
แลฝู ง เปรตทั้ง หลาย นั้ เ ขาได้ ยิ น เสี ง ดัง นั้ น เขาก็ ใส่ ใ จว่ เ ขามี ข้ า วมี น้ า
จึ ง เ ข า จ ะ ลุ ก ไ ป ห า กิ น ไ ส้ ก็ ยิ่ ง ห า แ ร ง บ มิ ไ ด้
เ ข า จ ะ ช ว น กั น ลุ ก ขึ้ น ต่ า ง ค น ต่ า ง ก็ ล้ ม ไ ป ล้ ม ม า
และบางคนล้มคว่าบางคนล้มหงาย แต่เขาทนทุกข์อยู่ฉน ั นั้นหลายคาบนักแล
แ ต่ เ ข า ล้ ม ฟั ด กั น ห ก ไ ป ห ก ม า แ ล ะ ค่ อ ย ลุ ก ไ ป ดั ง นั้ น
แลเขาได้ยิน ดับ งนั้น แลเขามิใ ช่ ว่า แต่ค าบเดีย วไส้ ได้ยิน อยู่ท ้งั พัน ปี นั้น แล
ผิ แ ล ว่ า เ ข า อ ยู่ เ มื่ อ ใ ด หู เ ข า นั้ น เ ที ย ร ย่ อ ม ไ ด้ ยิ น ดั ง นั้ น ทุ ก เ มื่ อ
ครัน้ ว่าเขาลุกขึน ้ ได้เขาเอามือทัง้ สองพาดเหนื อหัวแล้วแล่นชืนชมดีใจไปสูท ่ เี่ สี
ย งเรี ย ก นั้ น เร่ ง ไปเร่ ง แลหาที่ แ ห่ ง ใดแลจัก มี ข้ า วแลน้ าไส้ ก็ หาบมิ ไ ด้
เ ข า จึ ง ร่ า ร้ อ ง ไ ห้ ด้ ว ย เ สี ย ง แ ร ง แ ล้ ว เ ข า เ ป็ น ทุ ก ข์ นั ก ห น า
เ ข า ก็ ล้ ม น อ น อ ยู่ เ ห นื อ พื้ น แ ผ่ น ดิ น นั้ น แ ล
เ ป ร ต ทั้ ง ห ล า ย เ มื่ อ เ ข า แ ล่ น ไ ป ดั ง นั้ น ไ ก ล นั ก ห น า แ ล
เ ป ร ต เ ห ล่ า นี้ ไ ส้ เ มื่ อ เ ป็ น ค น อ ยู่ นั้ น มั ก ริ ษ ย า ท่ า น เ ห็ น ท่ า น มี ดู มิ ไ ด้
เห็นท่านยากไร้ดูแคลนเห็นท่านมีทรัพย์สินจะใคร่ได้ทรัพย์สินท่านย่อมริก ระ
ท า ก ล ที่ จ ะ เ อ า สิ น ท่ า น นั้ น ม า เ ป็ น สิ น ต น แ ล ต ร ะ ห นี่ มิ ไ ด้ ใ ห้ ท า น
รั้ น ว่ า เ ห็ น เ ข า จ ะ ใ ห้ ท า น ต น ย่ อ ม ห้ า ม ป ร า ม มิ ใ ห้ เ ข า ใ ห้ ท า น ไ ด้ แ ล
ฉ้ อ เ อ า ท รั พ ย์ สิ น ส ง ฆ์ ม า ไ ว้ เ ป็ น ป ร ะ โ ย ช น์ แ ก่ ต น
คนจาพวกนี้แลตายไปเกิดเป็ นเปรตอยูท ่ รี่ า้ ยนักดังนัน
้ ทุกตนแลฯ

พรรณนา เรือ ่ ง อุตตรกุรุทวีป ในมนุสสภูมิ


แผ่น ดิน เบื้ อ งตี น นอนพระสิ เ นรุ น้ น ั ชื่ อ ว่ า อุ ต ตรกุ รุ ท วี ป โดยกว้ า งได้
๘,๐๐๐ โยชน์ แผ่ น ดิ น เล็ ก ได้ ๕๐๐ แผ่ น ดิ น นั้น ล้ อ มรอบเป็ นบริ ว าร
ฝู ง ค น อ ยู่ ใ น ที่ นั้ น ห น้ า เ ข า เ ป็ น ๔ มุ ม แ ล มี ภู เ ข า ท อ ง ล้ อ ม ร อ บ
ฝู ง ค น ทั้ ง ห ล า ย อ ยู่ ที่ นั้ น ม า ก ห ล า ย นั ก
เ ที ย ร ย่ อ ม ดี ก ว่ า ค น ทุ ก แ ห่ ง เ พื่ อ ว่ า เ พ ร า ะ บุ ญ เ ข า แ ล เ ข า รั ก ษ า ศี ล
แ ล แ ผ่ น ดิ น เ ข า นั้ น ร า บ เ คี ย ง เ รี ย ง เ ส ม อ กั น ดู ง า ม นั ก ห น า
แ ล ว่ า ห า ที่ ร า บ ที่ ลุ บ ขุ บ ที่ เ ท ง มิ ไ ด้
แลมีต้นไม้ทุกสิ่งทุกพรรณแลมีกิ่งตาสาขางามดีมีค่าคลบมั่งคั่งดังแกล้งทาไว้
ไม้ฝู ง นั้น เป็ นเย่า เป็ ฯเรื อ นเลื อ นกัน เข้า มอง งามดัง ปราสาทเป็ นที่อ ยู่ที่น อน
ฝู ง ค น ใ น แ ผ่ น ดิ น ช า ว อุ ต ร กุ รุ ท วี ป
แลไม้น้น ั หาด้ว งหาแลงมิไ ด้แ ลไม่มี ที่ค ดที่โกง หาพุ ก หาโพรงหากลวงมิได้
ซื่ อ ต ร ง ก ล ม ง า ม นั ก ห น า แ ล มี ด อ ก เ ที ย ร ย่ อ ม มี ด อ ก
แลลู ก อยู่ ทุ ก เมื่ อ บมิ ไ ด้ ข าดเลยฯ อนึ่ ง ที่ ใ ดแลมี บึ ง มี ห นองมี ต ระพัง ทั้ง นั้น
เ ที ย ร ย่ อ ม มี ด อ ก บั ว แ ด ง บั ว ข า ว บั ว เ ขี ย ว บั ว ห ล ว ง
แ ล ก ร ะ มุ ท อุ บ ล จ ล ก ร ณี แ ล นิ ลุ บ ล บั ว เ ผื่ อ น บั ว ข ม
ครัง้ ลมพัด ต้อ งมี ก ลิ่นอันหอมขจรอยู่มิรูว้ ายสัก คาบฯ คนฝู งนั้นบมิต่า บมิสู ง
บ มิ พี บ มิ ผ อ ม ดู ง า ม ส ม ค ว ร นั ก
ค น ฝู ง นั้ น เ รี่ ย ว แ ร ง อ ยู่ ชั่ ว ต น แ ต่ ห นุ่ ม เ ถิ ง เ ฒ่ า บ มิ รู ้ ถ อ ย ก า ลั ง เ ล ย
แลคนชาวอุตรกุรุนน ้ ั หาความกลัวบมิได้ดว้ ยจะทาไร่ไถนาค้าขายวายล่องทามา
หากิ น ดัง นั้น เลยสัก คาบอนึ่ ง ชาวอุ ต รกุ รุ น้ น ั เขาบห่ อ นจะรู ้ร ้อ นรู ้ห นาวเลย
แ ล มิ มี ใ ญ่ ข่ า ว แ ล ริ้ น ร่ า น ห า น ยุ ง
แ ล งู เ งี้ ย ง เ ปี ย ว ข อ ง ทั้ ง ห ล า ย เ ล แ ล ส า ร พ สั ต ว์ อั น มี พิ ษ
บ ห่ อ น จ ะ รู ้ ท า ร้ า ย แ ก่ เ ข า เ ล ย ทั้ ง ล ม แ ล ฝ น ก็ บ ห่ อ น จ ะ ท า ร้ า ย แ ก่ เ ข า
ทั้ง แดดก็ บ ห่ อ นจะรู ้ ร ้ อ นตัว เขาเลย เขาอยู่ แ ห่ ง นั้น มี เ ดื อ นวัน คื น บห่ อ น
จะรู ้ห ลากสัก คาบหนึ่ ง เลย แลชาวอุ ด รกุ รุ น้ น ั บห่ อ นจะรู ้ร ้อ นเนื้ อ เดื อ ดใจ
ด้วยถ้อยความสิ่งอันใดบห่อนจะมีสกั คาบ แลชาวอุตรกุรุน้น ั มีช้าวสารสิ่งหนึ่ ง
ข ชี เ ต น ส า ลี บ มิ พั ด ท า น า แ ล ข้ า ว ส า ลี นั้ น ห า ก เ ป็ น้ ต้ น เ ป็ น ร ว ง เ อ ง
เ ป็ น ข้ า ว ส า ร แ ต่ ร ว ง นั้ น ม า เ อ ง แ ล ข้ า ว นั้ น ข้ า ว แ ล
หอมปราศจากแกลบแลร าบมิ พ ัก ต า แลฝั ด แลหากเป็ นข้ า วสารอยู่ แ ล
เขาชวนกันกินทุกเมือ ่ แล ในแผ่นดินอุตรกุรุนน ้ ั ยังมีศลิ าสิง่ หนึ่งชือ่ โชติปราสาท
คนทั้ง หลายฝู ง นั้น เอาข้า วสารนั้น มาใส่ใ นหม้อ ทองอัน เรื อ งงามดัง แสงไฟ
จึงยกไปตัง้ ลฝงเหนื อศิลาอันชือ ่ ว่าโชติปราสาท บัดใจหนึ่งก็ลุกขึน ้ แต่กอ ้ นศิลา
อัน ชื่ อ ว่ า โชติ ป ราสาทนั้น ครั้น ว่ า ข้ า วนั้น สุ ก แล้ ว ไฟนั้น ก็ ด บ ั ไปเองแลฯ
เ ข า แ ล ดู ไ ฟ นั้ น ค รั้น เ ข า เ ห็ น ไ ฟ นั้ น ดับ แ ล้ ว เ ข า ก็ รู ้ ว่ า ข้ า ว นั้ น สุ ก แ ล้ ว
เ ข า จึ ง เ อ า ถ า ด แ ล ต ร ะ ไ ล ท อ ง นั้ น ใ ส ง า ม นั้ น ม า
ค ด เ อ า ข้ า ว ใ ส่ ใ น ถ า ด แ ล ต ร ะ ไ ล ท อ ง นั้ น แ ล ฯ
อัน ว่ า เครื่ อ งอัน จะกิ น กับ ข้ า วนั้น ฉแม่ น ว่ า เขาพอใจจัก ใคร่ กิ น สิ่ ง ใด ๆ
เ ข า มิ พั ก ห า สิ่ ง นั้ น ห า ก บั ง เ กิ ด ขึ้ น ม า อ ยู่ แ ท บ ใ ก ล้ เ ข า นั้ น เ อ ง แ ล ฯ
ค น ผู้ กิ น ข้ า ว นั้ น แ ล จ ะ รู ้ เ ป็ ฯ หิ ด แ ล เ รื้ อ น เ ก ลื้ อ น แ ล ก า ก หู แ ล เ ป า
เป็ นต่อมเป็ นเตาเป็ นง่อยเป็ ฯเพลียตาฟูหูหนวกเป็ นกระจอกงอกเงือยเปื อยเนื้ อเ
มื่ อ ย ต น ท้ อ ง ขึ้ น ท้ อ ง พ อ ง เ จ็ บ ท้ อ ง ต้ อ ง ไ ส้ ป ว ด หั ว มั ว ต า
ไข้เจ็บเหน็ บเหนื่อยวิการดังนี้ไสบห่อนจะบังเกิดมีแก่ชาวอุตรกุรุน้น ั แต่สกั คาบ
หนึ่ ง เล ย ฯ ผิ ว่ า เข ากิ น ข้ า วอ ยู่ แ ลมี ค นไ ปมา หา เมื่ อ เข ากิ น ข้ า ว อ ยู่ น้ ั น
เขาก็เอาข้าวนัน ้ ให้แก่ผไู้ ปเถิงเขานัน ้ กินด้วยใจอันยินดีบห่อนจะรูค ้ ด ิ สักเมือ ่ เล
นยฯ แลในแผ่นดินอุ ต รกุ รุท วี ป นั้น มี ต้นกัลปพฤกษ์ ต้นหนึ่ งโดยสู งได้ ๑๐๐
โยชน์ โดยกว้ า งได้ ๑๐๐ โยชน์ โดยรอบบริ เ วณมณฑลได้ ๓๐๐ โยชน์
และต้น กัล ปพฤกษ์ นั้น ผู้ใ ดจะปราถนาหาทุ น ทรัพ ย์ ส รรพเหตุ อ น ั ใด ๆ ก็ ดี
ย่ อ ม ไ ด้ ส า เ ร็ จ ใ น ต้ น ไ ม้ นั้ น ทุ แ ป ร ะ ก า ร แ ล ฯ
ถ้าแลคนผูใ้ ดปราถนาจะใคร่ได้เงินแลทององแก้วแลเครือ ่ งประดับนิท ์ ง้ ั หลาย
เป็ นต้นว่าเสื้อสร้อยสนิมพิมพาภรณ์ ก็ดี แลผ้าผ่อนท่อนแพรพรรณสิง่ ใด ๆ ก็ดี
แ ล ข้ า ว น้ า โ ภ ช น า ห า ร ข อ ง กิ น สิ่ ง ใ ด ก็ ดี
ก็ ย่ อ ม บั ง เ กิ ด ป ร า ก ฎ ขึ้ น แ ต่ ค่ า ค บ ต้ น กั ล ป พ ฤ ก ษ์ นั้ น
ก็ ใ ห้ ส า เ ร็ จ ค ว า ม ป ร า ร ถ น า แ ก่ ช น ทั้ ง ห ล า ย นั้ น แ ล ฯ
แลมีฝูงผูห ้ ญิงอันอยูใ่ นแผ่นดินนั้นงามทุกคนรูปทรงเขานั้นบมิต่าบมิสูงบมิพีบ
มิ ผ อ ม บ มิ ข า ว บ มิ ด า
สี ส มบู ร ณ์ งามดัง ทองอัน สุ ก เหลื อ งเรื อ งเป็ นที่ พึ ง ใจฝู งชายทุ ก คน แลฯ
นิ้ ว ตี น นิ้ ว มื อ เ ข า นั้ น ก ล ม ง า ม น ะ แ น่ ง
เล็ บตี น เล็ บมื อเข า นั้ น แ ด ง งาม ดัง น้ า ครั่ง อัน ท่ า น แต่ ง แ ล้ ว แ ลแ ต้ ม ไ ว้
แ ล ส อ ง แ ก้ ม เ ข า นั้ น ไ ส ง า ม เ ป็ น น ว ล ดั ง แ ก ล้ ง เ อ า แ ป้ ง ผั ด
ห น้ า เ ข า นั้ น ห ม ด เ ก ลี้ ย ง ป ร า ศ จ า ก ม ล ทิ น ห า ผ้ า ห า ไ ผ บ มิ ไ ด้
แ ล เ ห็ น ด ว ง ห น้ า เ ข า ใ ส ดุ จ ด ว ง พ ร ะ จั น ท ร์ อั น เ พ็ ง บู ร ณ์ นั้ น
เ ข า นั้ น มี ต า อั น ด า ดั ง ต า แ ห่ ง ลู ก ท ร า ย พึ่ ง อ อ ก ไ ด้ ๓
วันทีบ่ ูรณ์ ขาวก็ขาวงามดังสังข์อน ั ท่านพึง่ ฝนใหม่แลมีฝีปากนัน ้ แดงดังลูกฝักข้า
ว อัน สุ ก นั้ น แ ล มี ล า แ ข้ ง ล า ข า นั้ น ง า ม ดัง ล า ก ล้ ว ย ท อ ง ฝ า แ ฝ ด นั้ น แ ล
แลมี ท้ อ งเขา นั้ น งาม ร าบ เพี ย ง ล าตัว เ ขา นั้ น อ้ อ น แอ้ น เก ลี้ ย งก ล ม ง า ม
แลเส้ น ขนนั้ น ละเอี ย ดอ่ อ นนั ก ๘ เส้ น ผม เขาจึ ง เท่ า ผม เรานี้ เส้ น หนึ่ ง
แ ล ผ ม เ ข า นั้ น ด า ง า ม ดัง ปี ก แ ม ล ง ภู่ เ มื่ อ ป ร ะ ล ง ม า เ ถิ ง ริ ม บ่ า เ บื้ อ ง ต่ า
แลมี ป ลายผมเขานั้น งอนเบื้ อ งบนทุ ก เส้ น แลเมื่ อ เขานั่ง อยู่ ก็ ดี ยื น อยู่ ก็ ดี
เดิ น ไปก็ ดี ดัง จัก แย้ ม หัว ทุ ก เมื่ อ แลขนคิ้ ว เขานั้น ด าแลงามดัง แกล้ ง ก่ อ
เมื่ อ เขาเจรจาแลน้ า เสี ย งเขานั้น แจ่ ม ใส่ ป ราศจากเสมหเขฬทั้ง ปวงแล
ใ น ตัว เ ข า นั้ น เ ที ย ร ย่ อ ม ป ร ะ ดับ นิ ์ ด้ ว ย เ ค รื่ อ ง ถ นิ ม อ า ภ ร ณ์ บ ว ร ยุ คั น ฐี
แ ล มี รู ป โ ฉ ม โ น ม พ ร ร ณ อั น ง า ม ดั ง ส า ว อั น ไ ด้ ๑ ๖ เ ข้ า
แ ล รู ป เ ข า นั้ น บ ห่ อ น รู ้ เ ฒ่ า รู ้ แ ก่ แ ล ห นุ่ ม อ ยู่ ดั ง นั้ น ชั่ ว ต น ทุ ก ๆ แ ล ฯ
อั น ว่ า ฝู ง ผู้ ช า ย อั น อ ยู่ ใ น แ ผ่ น ดิ น อุ ต ร กุ รุ นั้ น โ ส ด
รู ป โ ฉ ม โ น ม พ ร ร ณ เ ข า นั้ น ง า ม ดั ง บ่ า ว ห นุ่ ม น้ อ ย ไ ด้ ๒ ๐ ปี
มิ รู ้ แ ก่ บ มิ รู ้ เ ฒ่ า ห นุ่ ม อ ยู่ ดั ง นั้ น ชั่ ว ต น ทุ ก ๆ เ ล ย
แ ล เ ข า นั้ น ไ ส้ เ ที ย ร ย่ อ ม กิ น ข้ า ว แ ล น้ า ส ร ร พ ห า ร อัน ดี อัน โ อ ช า ร ส นั้ น
แลแต่งแต่เขาทากระแจะแลจวงจันทน์ น้ามันอันดี แลมีดอกไม้หอมต่าง ๆ กัน
เ อ า ม า ทั ด ม า ท ร ง เ ล่ น แ ล้ ว ก็ เ ที่ ย ว ไ ป เ ล่ น ต า ม ส บ า ย
บ้ า ง เ ต้ น บ้ า ง ร า บ้ า ง ฟ้ อ น ร ะ บ ะ บ ร ร ลื อ เ พ ล ง ดุ ริ ย ดน ต รี บ้ า ง ดี ด บ้ า งสี
บ้ า งตี บ้ า งเป่ า บ้ า งขับ สรรพส าเนี ย งเสี ย งหมู่ น ัก คุ น จุ น กัน ไปเดี ย รดาษ
พื้ น ฆ้ อ ง ก ล อ ง แ ต ร สั ง ข์ ร ะ ฆั ง กั ง ส ด า ล ม โ ห ร ทึ ก กึ ก ก้ อ ง ท า นุ ก ดี
ที่ มี ด อ ก ไ ม้ อั น ต ร ะ ก า ร ต่ า ง ๆ
สิง่ มีจวงจันทน์กฤษณาคันฦธาทานองลบองดังเทพยดาในเมืองฟ้ าสนุกนิท ์ ุกเมือ

บ า เ ร อ กั น บ มิ ว า ย สั ก ค า บ ห นึ่ ง เ ล ย
ล า ง ห มู่ ช ว น เ พื่ อ น กั น ไ ป เ ล่ น แ ห่ ง ที่ ต ร ะ ก า ร ส นุ ก นิ ์ นั้ น ก็ มี
ล า ง ห มู่ ไ ป เ ล่ น ใ น ส ว น ที่ ส นุ ก นิ ์ ที่ มี ด อ ก ไ ม้ อั น ต ร ะ ก า ร ต่ า ง ๆ
สิ่ ง มี จ ว ง จั น ท น์ ก ฤ ษ ณ า ค น ธ า ป า ริ ก ช า ต น า ค พ ฤ ก ษ์
ร า ด ว น จ า ป า โ ย ท ก า ม า ลุ ตี ม ณี ช า ติ บุ ต ร ทั้ ง ห ล า ย
อันมีดอกอันบานงามตระการแลหอมกลิน ่ ฟุ้ งขจรไปบมิรูว้ ายฯ

You might also like