Professional Documents
Culture Documents
สุคติภูมิิ คือภูมช
ิ น ้ มา ได้แก่ภูมข
้ ั สูงขึน ิ องมนุษย์และภูมข
ิ องเทวดาอีก 6 ชัน
้
(ภูมเิ ทวดาทัง้ 6 รวมเรียกว่า ฉกามาพจร) ทัง้ หมดนี้รวมอยูใ่ นกามภูมิ
คือยังหลงมัวเมาอยูใ่ นกามกิเลส
นรกภูมิ (Woeful State)
สัตว์ทม
ี่ าเกิดในภูมน
ิ ี้ประกอบด้วยอกุศลจิต เหตุมาจาก โลภ โกรธ หลง
ทาบาปด้วยกาย ปาก และใจ
ยมบาลนัน ้ เมือ
่ เป็ นคนทาทัง้ บาปและบุญ ตายไปเกิดในนรก 15 วัน
เป็ นยมบาล 16 วัน ดังเช่นเปรตบางตน กลางวันเป็ นเปรต กลางคืนเป็ นเทวดา
กลางวันเป็ นเทวดา กลางคืนเป็ นเปรต
บุญมากกว่าบาปก็ไปเสวยสุขในสวรรค์กอ ่ น แล้วมารับโทษในนรกภายหลัง
บาปมากกว่าก็มารับโทษก่อนแล้วเสวยสุขภายหลัง บุญและบาปเท่ากัน
ก็ไปเป็ นยมบาล ผูท ้ ม
ี่ ีแต่บาปจะไปเกิดในนรกใหญ่ 8 อันนี้
สัตว์ทเี่ กิดในภูมน
ิ ี้ เป็ นสัตว์ทม
ี่ ีตน
ี และไม่มีตน
ี เวลาเดินเอาอกคว่าลง ได้แก่
ครุฑ นาค สิงห์ ช้าง ม้า วัว ควาย เป็ ด ไก่ นก แมลง ดารงชีวต ิ ด้วย กามสัญญา
อาหารสัญญา มรณสัญญา มักไม่รูจ้ กั บุญ รูจ้ กั ธรรม ไม่รูจ้ กั ค้าขาย ทาไร่ไถนา
ล่ากินกันเอง
เปรตภูมิ (Ghost-Sphere)
ผูท
้ ท
ี่ าบาปหยาบช้าจะมาเกิดในภูมน ิ ี้ แล้วแต่บาปทีก ่ ระทา เช่น
ตัวงามดั่งทองแต่ปากเหม็นเต็มไปด้วยหนอน เนื่องเพราะเคยบวชรักษาศีล
แต่ชอบยุยงให้หมูส ่ งฆ์ผดิ ใจกัน บางตัวงามดั่งท้าวมหาพรหม แต่ปากเป็ นหมู
อดหยากนักหนา เมือ ่ ก่อนได้บวชรักษาศีลบริสุทธิ ์
แต่ดา่ ว่าครูบาอาจารย์และพระสงฆ์ผม ู้ ีศีล
บางตัวผอมโซกินลูกตัวเองทีค ่ ลอดออกมา เพราะเคยรับทาแท้งให้ชาวบ้าน
บางตัวสูงเท่าต้นตาล ผมหยาบตัวเหม็น อดหยากไม่มีขา้ วน้ากิน
เพราะไม่เคยทาบุญให้ทาน แม้เห็นใครทาก็หา้ ม
บางตัวเพียรเอาสองมือกอบข้าวทีล่ ุกเป็ นไฟมาใส่หวั อยูอ ่ ย่างนัน
้
เพราะเคยเอาข้าวไม่ดป ี นกับข้าวดีหลอกขายชาวบ้าน เปรตบางตัวมีอายุ 100
ปี บางตัวอายุ 1,000 ปี บางตัวชั่วกัลป์ ไม่ได้กน ิ ข้าว กินน้า แม้แต่หยดเดียว 1
วันนรก เท่ากับ 9 ล้านปี มนุษย์
อสุรกาย (Host of Demons)
สมมุตเิ ทวดา
คือฝูงท้าวและพระยาในแผ่นดินผูร้ ห
ู ้ ลักแห่งบุญธรรมและกระทาโดยทศพิธรา
ชธรรมทัง้ 10 ประการ
ดุสต
ิ าภูมิ (Realm of Satisfied Gods)
สวรรค์ชน ้ ั ทีส
่ ุดของฉกามาพจรภูมิ สูงสุดในระดับกามภูมิ อยูถ ้ ไปอีก
่ ดั ขึน
672,000 โยชน์ เหล่าเทพยดาในสวรรค์ชน ้ ั นี้
อยากได้สงิ่ ใดก้เนรมิตเอาเองได้ตามประสงค์
มีพระยาผูเ้ ป็ นเจ้าแห่งเทพยดาทัง้ หลาย 2 องค์ มีอายุตง้ ั แต่ 500-16,000
ปี ทิพย์ (500 ปี ทิพย์ = 9 ล้านปี มนุษย์)
กามฉันทะ ความพอใจในกาม
พยาบาท ความคิดร้ายเคืองแค้นใจ
ถีนมิทธะ ความหดหูเ่ ซือ
่ งซึม
อุทธัจจกุกกุจจะ ความกระวนกระวายใจ
วิจก
ิ จิ ฉา ความลังเลสงสัย
อนิจจลักษณะ (Impermanence)
เหล่าฝูงสัตว์ในภูมิ นรก เปรต ดิรจั ฉาน และ อสุรกาย เมือ ่ สิน ้ แก่อายุ
จะไปเกิดในภูมเิ ดิม ถ้าได้เคยทาบุญกุศลมาก่อนก็จะได้เกิดเป็ นมนุษย์
หรือเกิดในภูมเิ ทพยดา แต่ไม่สามารถไปเกิดในภูมข ิ องพรหมทัง้ 20 ชัน ้ ได้
ฝูงสัตว์ทเี่ ป็ นมนุษย์ มี 2 จาพวกคือ อันธปุถุชน คือผูท ้ ที่ าแต่ความชั่วช้าต่าง ๆ
เมือ
่ ตายจากมนุษย์ยอ ่ มไปเกิดในอบายภูมิ ถ้าเกิดเป็ นมนุษย์ก็จะอัปลักษณ์ บดั สี
กัลยานปุถุชน คือผูท ้ ีฝ่ กั ใฝ่ ประกอบแต่กรรมดี
เมือ่ ตายได้ไปเกิดในสวรรค์ชน ้ ไป ยกเว้นปัญจสุทธวาส
้ ั สูงขึน
หรือได้ไปสูน ่ ิพพานก็มี เหล่า เทพยดาในฉกามาพจรภูมิ เมือ ่ สิน้ อายุ
ถ้าไม่ได้มรรคผล อาจเกิดในภูมเิ ดิม ภูมม ิ นุษย์ หรืออบายภูมิ ถ้าได้มรรคผล
จะไปเกิดในรูปภูมิ หรืออรูปภูมิ พรหมในรูปภูมิ เมือ ่ สิน ้ อายุ
อาจมาเกิดในสุคติภูมิ หรือถ้าได้มรรคผลก็จะเกิดในภูมท ิ สี่ ูงขึน้ ไป
แต่จะไม่เกิดในอบายภูมิ เหล่าฝูง พรหมในอรูปภูมิ เมือ ่ สิน ้ อายุ
อาจลงมาเกิดในสุคติภูมิ แต่จะไม่เกิดในอรูปภูมช ิ น
้ ั ทีต ่ ่ากว่า หรือในรูปภูมิ
และจะไม่ได้เกิดในอบายภูมิ แต่ถา้ ฌานทีส ้
่ ูงขึน
ก็ได้ไปเกิดในอรูปภูมช ิ น้ ั ทีส
่ ูงกว่า ฝูงสัตว์ทง้ ั หลายอันเกิดในไตรภูมน ิ ี้
ย่อมไม่ม่น ั คง ย่อมรูฉ้ ิบหาย รูต ้ ายจาก รูพ้ ลัดพราก
ไม่วา่ พระอินทร์หรือพระพรหม ยังคงมีเกิดและดับ
ย่อมเวียนว่ายอยูใ่ นไตรภูมน ิ ี้ เนื่องมาแต่เหตุแห่งสภาวะจิต
ยังรับแรงกระทบจากกิเลส ประดุจดังหยดน้าตกกระทบผิวน้า
ผิวน้าย่อมเกิดระลอกสั่นไหว ถ้าจิตเราไม่รบ ั สนองต่อสิง่ ทีม ่ ากระทบ
จิตนัน้ ย่อมนิ่งย่อมสงบ
นิพพาน (Nibbana)
ความสุขใด ๆ ในเทวโลกหรือพรหมโลกจะเทียบเท่านิพพานสุขนัน
้ หาไม่
เปรียบได้ด่งั แสงหิง่ ห้อยหรือจะสูแ
้ สงดวงตะวัน
หยดน้าอันติดอยูป ่ ลายผมหรือจะเทียบกับน้าในมหาสมุทร
เพราะหยุดเหตุแห่งการเกิดและดับ นิพพานมี 2 จาพวก คือ
“บ ร ร ด า พ ร ะ เ จ้ า ก รุ ง สุ โ ข ทั ย
ดู เ ห มื อ น จ ะ ป ร า ก ฏ พ ร ะ น า ม ใ น น า น า ป ร ะ เ ท ศ
และขอบขัณฑสีมาว่า สมเด็จพระร่วงเจ้า ต่อ ๆ กันมาทุก
ๆ พระองค์ ไม่เรียกแต่เฉพาะพระองค์หนึ่งพระองค์ใดใน
๖ พระองค์นี้ ...เพราะฉะนัน ้ เมือ
่ พิมพ์หนังสือนี้จงึ เรียกว่า
ไ ต ร ภู มิ พ ร ะ ร่ ว ง
จะได้เป็ นคูก ั หนังสือสุภาษิตพระร่วง...”1
่ บ
1
ดำรงรำชำนุ ภำพ, กรมพระยำ. “บำนแพนก”. ไตรภูมพ
ิ ระร่วง. ๒๕๐๖ หน้ำ ๓ - ๔
จุ ด ประสงค์ ใ นการแต่ ง องค์ ผู้ นิ พ นธ์ ไ ด้ ร ะบุ ไ ว้ ใ นบานแพนก ว่ า
พระองค์ มี ค วามมุ่ง หมายส าคัญ ๓ ประการคื อ เพื่อ เผยแพร่พ ระอภิ ธ รรม
เ พื่ อ เ ป็ น บ ท เ รี ย น พ ร ะ อ ภิ ธ ร ร ม แ ก่ พ ร ะ ม า ร ด า ข อ ง ท่ า น
และเพือ ่ เผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ประชาชน
หนังสือเรือ ่ งไตรภูมท ิ ป
ี่ รากฏเป็ นทีร่ จู ้ กั กันในปัจจุบน ั มีหลายสานวน คือ
ไตรภู มิพ ระร่ว งหรื อ ไตรภู มิก ถาซึ่ ง ถื อ กัน ว่า เป็ นหนัง สื อ ที่พ ญาลิ ไ ทย
พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย์ รั ช ก า ล ที่ ๕ แ ห่ ง ก รุ ง สุ โ ข ทั ย
ท ร ง พ ร ะ ร า ช นิ พ น ธ์ ขึ้ น เ มื่ อ ป ร ะ ม า ณ พ . ศ . ๑ ๘ ๘ ๘
เรือ
่ งไตรภูมส ิ มัยสุโขทัยนี้ไม่ปรากฎว่ามีตน ้ ฉบับเดิมครัง้ กรุงสุโขทัยตกทอดมา
ถึงปัจจุบน ั ต้นฉบับที่นามาใช้พิมพ์ เผยแพร่น้น ั คือ ต้นฉบับที่ พระมหาช่วย
วั ด ป า ก น้ า จั ง ห วั ด ส มุ ท ร ป ร า ก า ร ( วั ด ก ล า ง ว ร วิ ห า ร )
ได้ตน ้ ฉบับมาจากจังหวัดเพชรบุรี จึงได้จารเรือ ่ ง ไตรภูมไิ ว้ในใบลาน ๓๐ ผูก
เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๑ และ สมเด็ จ พระเจ้า บรมวงศ์ เ ธอ กรมพระยาด ารงราชา-
นุ ภ า พ โ ป ร ด ใ ห้ น า อ อ ก ตี พิ ม พ์ เ ผ ย แ พ ร่ เ ป็ น ค รั้ ง แ ร ก เ รี ย ก ชื่ อ ว่ า
“ไตรภูมพ ิ ระร่วง”2
ไ ต ร ภู มิ โ ล ก วิ นิ จ ฉั ย คื อ
ไตรภูมส ิ านวนทีพ ่ ระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ
ให้พระราชาคณะ และราชบัณฑิตช่วยกันแต่งขึน ้ เมือ
่ ปี เถาะ จุลศักราช ๑๑๔๕
(พ.ศ.๒๓๒๖) เป็ นหนังสือจบ ๑ ยังไม่สมบูรณ์ ครัน ้ ถึง พ.ศ.๒๓๔๕ โปรดฯให้
พระยาธรรมปรีชา (แก้ว) แต่งไตรภูมโิ ลกวินิจฉัยให้จบความ
ลักษณะการแต่งคาประพันธ์ของไตรภูมพ ิ ระร่วงนัน ้ แต่งเป็ นร้อยแก้วภา
ษ า ไ ท ย นั บ เ ป็ น “ว ร ร ณ ค ดี ”เ ล่ ม แ ร ก ที่ แ ต่ ง เ ป็ น ภ า ษ า ไ ท ย
โดยที่พญาลิไททรงรวบรวมข้อความต่าง ๆ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ได้แก่
พระไตรปิ ฎก อรรถกถา ฎีกาต่าง ๆ เป็ นต้น ลักษณะคาประพันธ์เป็ นร้อยแก้ว
มี ก า ร ผู ก ป ร ะ โ ย ค ใ ช้ ถ้ อ ย ค า โ บ ร า ณ ย า ก แ ก่ ก า ร เ ข้ า ใ จ เ ป็ น อั น ม า ก
บ า ง ค า ก็ เ ป็ น ภ า ษ า บ า ลี
กรมศิลปากรในขณะทีต ่ รวจสอบชาระไตรภูมพ ิ ระร่วงนี้ก็ กล่าวว่าเป็ นเรื่องค่อ
น ข้ า ง จ ะ ย า ก
และต้ น ฉบับ เดิ ม ขาดตก บก พร่ อ งไปเพราะเป็ น หนั ง สื อ ที่ เ ก่ า แก่ ม าก
ดังทีก่ รมศิลปากรก็ได้กล่าวไว้ในคานาของหนังสือว่า
2
ประสิทธิ ์ ศรีสมุทร. วรรณคดีเกียวกั
่ บพระพุทธศำสนำ. ดวงแก ้ว. กรุงเทพ : ๒๕๔๖
ก า ร วิ นิ จ ฉั ย ค า บ า ง ค า ต้ อ ง ใ ช้ เ ว ล า แ ร ม เ ดื อ น
ต้องหาหลักฐานมาประกอบการวินิจฉัยทัง้ ภาษาไทยและภาษาบ
า ลี แ ต่ เ พื่ อ ใ ห้ เ รื่ อ ง นี้ มี ค ว า ม เ ห ม า ะ ส ม บู ร ณ์ ยิ่ ง ขึ้ น
ก็จงึ จาเป็ นจะต้องดาเนินการตามหลักฐานต่าง ๆ...”3
เรือ
่ งย่อ
เริม่ ต้นด้วยคาถานมัสการเป็ นภาษาบาลี ต่อไปมีบานแพนกบอกชือ ่ ผูแ
้ ต่ง
วันเดือนปี ทีแ ่ ต่ง บอกชือ่ คัมภีร์
บอกความมุง่ หมายในการแต่ง แล้วจึงกล่าวถึงภูมท ิ ง้ ั ๓ ว่า
คาว่าไตรภูมแ ิ ปลว่า สามแดน คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ทัง้ ๓ ภูมิ
แบ่งออกเป็ น ๘ กันฑ์ คือ
๑. กามภูมิ มี ๖ กัณฑ์ คือ
๑.๑ นรกภูมิ เป็ นแดนนรก
๑.๒ ดิรจั ฉานภูมิ เป็ นแดนของสัตว์ทเี่ จริญตามขวาง
๑.๓
เปตภูมิ เป็ นแดนของเปรตทีเ่ คยเป็ นมนุษย์และทาความชั่วเกิดเป็ นเปรต
๑.๔ อสุรกายภูมิ
เป็ นแดนของยักษ์ มารหรือผีทห ี่ ลอกมนุษย์ให้ตกใจกลัว
๑.๕ มนุสสภูมิ เป็ นแดนของมนุษย์
๑.๖
ฉกามาพจร เป็ นแดนของเทวดาทีย่ งั เกีย่ วข้องในกาม มี ๖ ชัน ้
คือ จาตุมหาราชิก ดาวดึงส์ ยามะ ดุสต ิ นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวดี
๒. รูปภูมิ มี ๑ กัณฑ์คอ ื รูปาวจรภูมิ เป็ นแดนของพรหมทีม ่ ีรูปแบ่งเป็ น
๑๖ ชัน ้ ตามภูมธิ รรมเรียกว่าโสฬสพรหม
๓. อรูปภูมิ มี ๑ กัณฑ์ คือ อรูปาวจรภูมิ
เป็ นแดนของพรหมไม่มีรูป มีแต่จต ิ แบ่งเป็ น ๔ ชัน
้
ได้แก่อากาสานัญจายตนภูมิ วิญญาณัญจายตนภูมิ อากิญจัญญายตนภูมิ
เนวสัญญานาสัญญายตนภูมฆ ิ
สรุปภูมิทง้ ั ๓ ภูมิว่า สัตว์โลกทัง้ หลายทีเ่ วียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิท ้งั ๓
นี้ ล้วนแต่ต กอยู่ใ นอ านาจอนิ จ ลัก ษณะ แม้แ ต่สิ่งที่เป็ นรูป ธรรมล้ว น ๆ เช่น
ภู เ ข า แ ม่ น้ า พ ร ะ อ า ทิ ต ย์ พ ร ะ จั น ท ร์
ซึ่ ง เป็ นอวินิ โ ภครู ป ก็ ต กอยู่ใ นอ านาจอนิ จ ลัก ษณะทั้ง สิ้น พระนิ พ พาน หรื อ
โ ล กุ ต ร ภู มิ เ ป็ น สิ่ ง ที่ จี รั ง ยั่ ง ยื น ไ ม่ รู ้ เ กิ ด แ ก่ เ จ็ บ ต า ย
รวมทัง้ กล่าวถึงการปฏิบตั เิ พือ ่ เข้าถึงนิพพาน
3
พระมหำธรรมรำชำที่ ๑. ไตรภูมก
ิ ถำ. ฉบับตรวจสอบชำระใหม่ : ๒๕๒๖.
ในส่วนอวสานพจน์ ได้กล่าวถึงความมุง่ หมายในการแต่งไตรภูมพ ิ ระร่วง
ประวัติส งั เขปของผู้นิ พ นธ์ วัน เดือ น ปี ที่แ ต่ง จบบริบู ร ณ์ แ ละหนัง สื อ อุ เทศ
ต ล อ ด จ น ป ร ะ โ ย ช น์ ข อ ง ก า ร ศึ ก ษ า
ก า ร ฟั ง ไ ต ร ภู มิ ก ถ า แ ล ะ อ า นิ ส ง ส์ ข อ ง ก า ร เ จ ริ ญ ก ร ร ม ฐ า น
โดยพิจารณาสังขารให้เป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
น อ ก จ า ก นี้ ยั ง ก ล่ า ว ถึ ง ทิ พ ย ส ม บั ติ
พ ร ะ นิ พ พ า น แ ล ะ ก า ร จ ะ ไ ด้ พ บ พ ร ะ ศ รี อ า ริ ย์ ใ น อ น า ค ต ว่ า
ผู้ป รารถนาจะได้ร บ ั หรื อ ได้พ บสิ่ ง ที่ก ล่ า วมา ขอให้ส ดัต รับ ฟัง ไตรภู มิ ก ถา
“ด้ ว ย ท า นุ ก อ า รุ ง ด้ ว ย ใ จ ศ รั ท ธ า อ ย่ า ไ ด้ ป ร ะ ม า ท สั ก อั น ไ ส้
จะได้พบได้ไหว้ได้ฟงั ธรรมแห่งพระอาริยเจ้า”
ไตรภูมพ ิ ระร่วงเป็ นหนังสือทีเ่ สนอความคิดด้านศาสนธรรมโดยเฉพาะอ
งค์ ผู้นิ พ นธ์ ไ ด้ท รงกล่า วย้า เรื่อ งนรกสวรรค์ ใ ห้ช ด ั เจนและมี ห ลัก ฐานยิ่ ง ขึ้น
อาจกล่าวว่าพญาลิไททรงทาให้กระแสแห่งความคิดในเรือ ่ งนรกสวรรค์ทีม ่ ีอยูแ
่
ล้ ว ใ ห้ เ ด่ น ชั ด ยิ่ ง ขึ้ น
เสริมความคิดให้เด่นชัดขึน ้ ในรูปของหนังสือทีอ ่ าจเรียกได้วา่ “วิทยานิพนธ์”
คณะทางานโครงการวรรณกรรมอาเซียนได้กล่าวถึงความสาคัญของไต
รภูมพ ิ ระร่วงไว้วา่
“เรือ
่ งไตรภูมเิ ป็ นวรรณคดีทีไ่ ร้รบ ั การยกย่องว่าดีทีส่ ุดในป
ร ะ วั ติ ว ร ร ณ ค ดี ไ ท ย ยุ ค สุ โ ข ทั ย
เป็ นวรรณคดีทแ ี่ สดงปรัชญาแห่งพระบวรพุทธศาสนาอย่าง
ชั ด เ จ น ลึ ก ซึ้ ง
เนื่องด้วยเป็ นผลงานประพันธ์ทีเ่ กิดจากการศึกษาค้นคว้าข้
อปรัช ญาอย่า งละเอี ย ด โดยอาศัย คัม ภี ร์ต่าง ๆ ไม่ต่ากว่า
๓๐ คัม ภี ร์ มี เ นื้ อ ความกล่ า วถึ ง จัก รวาลวิ ท ยา ปรัช ญา
จริยศาสตร์ ชีววิทยา ความคิดความเชือ ่ ในทางพุทธศาสนา
ซึ่ ง เ ป็ น ห ลั ก ธ ร ร ม ส า คั ญ คื อ
การละเว้นความชั่วและการประกอบกรรมดี”4
เสนี ย์ วิ ล าวรรณ 5 ได้ ก ล่ า วถึ ง ความส าคัญ ของไตรภู มิ พ ระร่ ว งไว้
ก ล่ า ว โ ด ย ส รุ ป ไ ด้ ว่ า
ไตรภูมพ ิ ระร่วงนับเป็ นวรรณคดีเรือ ่ งแรกทีเ่ รียบเรียงตามหลักการค้นคว้าโดย
ใ ช้ ห ลั ก ฐ า น ป ร ะ ก อ บ ถึ ง ๓ ๐ คั ม ภี ร์ บ อ ก ชื่ อ ผู้ แ ต่ ง วั น เ ดื อ น ปี
และความมุ่งหมายที่แ ต่งไว้ค รบถ้วน มี ค วามสาคัญ ทัง้ ในด้านอัก ษรศาสตร์
ศาสนา และสังคม ดังนี้
4
คณะทำงำนโครงกำรวรรณกรรมอำเซียน. “คำนำ”. ใน ไตรภูมก ิ ถำ ฉบับถอดควำม. ๒๕๒๘. หน้ำ ๘
5
เสนี ย ์ วิลำวรรณ. หนังสือเรียนภำษำไทย รำยวิชำ ท ๐๓๑ ประวัตวิ รรณคดี ๑. ๒๕๒๖ หน้ำ ๑๔
ใ น ด้ า น อั ก ษ ร ศ า ส ต ร์ ใ ห้ ค ว า ม รู ้ เ กี่ ย ว กั บ ภ า ษ า
ความเก่าของภาษาทีอ ่ งค์ผนู้ ิพนธ์นามาใช้สว่ นใหญ่มีความเก่าและน่ าเชือ ่ ถือไ
ด้ ม า ก ก ว่ า ห นั ง สื อ ที่ สั น นิ ษ ฐ า น ว่ า เ กิ ด ใ น ส มั ย เ ดี ย ว กั น คื อ
สุ ภ า ษิ ต พ ร ะ ร่ ว ง แ ล ะ ต า รั บ ท้ า ว ศ รี จุ ฬ า ลั ก ษ ณ์
การพรรณนาความในหนัง สื อ นี้ น ับ ว่ า เป็ นเลิ ศ ท าให้ เ กิ ด มโนภาพ เช่ น
เ รื่ อ ง เ กี่ ย ว กับ พ ร ะ อิ น ท ร์ เ ข า พ ร ะ สุ เ ม รุ ป่ า หิ ม พ า น ต์ ช้ า ง เ อ ร า วัณ
แท่นบัณฑุกม ั พล ต้นปาริชาต และนกกรวิก (การเวก) เป็ นต้น
ใ น ท า ง ศ า ส น า ห นั ง สื อ นี้ ชี้ ใ ห้ เ ห็ น บ า ป บุ ญ คุ ณ โ ท ษ
ส ม ค ว า ม มุ่ ง ห ม า ย ข อ ง ผู้ แ ต่ ง ต รึ ง จิ ต ใ จ ข อ ง ผู้ ไ ด้ อ่ า น ไ ด้ ฟั ง
มีผน ู้ าเรือ
่ งราวบางตอนจากหนังสือนี้ไปวาดเป็ นรูปภาพตามวัดก็มี
ใ น ท า ง สั ง ค ม
หนัง สื อ เล่ ม นี้ ส ะท้ อ นถึ ง การศึก ษาและการอบรมศี ล ธรรมในสมัย สุ โ ขทัย
พ ร ะ เ จ้ า แ ผ่ น ดิ น เ จ้ า น า ย
แ ล ะ ร า ษ ฏ ร ส า มั ญ ต่ า ง ใ ฝ่ ใ จ ใ น ก า ร ศึ ก ษ า เ ล่ า เ รี ย น วิ ช า ก า ร ทั่ ว ไ ป
ต ล อ ด จ น ป รั ช ญ า แ ล ะ จ ริ ย ธ ร ร ม ท า ง ศ า ส น า
พระเจ้ า แผ่ น ดิน ทรงวางพระองค์ เ สมอบิ ด าและครู อ าจารย์ ข อง ราษฎร
ทรงสั่งสอนราษฎรด้วยพระองค์เอง สังคมสุโขทัยยึดมั่นในอุดมการณ์ สู งสุ ด
ยกย่ อ งคุ ณ งามความดี ข องบุ ค คลเป็ นส าคัญ เชื่ อ มั่น ในผลแห่ ง กรรมน า
พากันบาเพ็ญทานและสร้างปูชนียสถานและถาวรวัตถุดว้ ยแรงศรัทธา
ไตรภูมิพระร่วงยัง ได้เป็ นแม่บทและมีอิทธิพ ลต่อ วรรณคดีเรื่อ งต่าง ๆ
เ กื อ บ ทุ ก เ รื่ อ ง อี ก ด้ ว ย ว ร ร ณ ค ดี ห รื อ ว ร ร ณ ก ร ร ม ใ น ส มั ย ห ลั ง ๆ
จะมี เ รื่ อ งของไตรภู มิ พ ระร่ ว งแทรกอยู่ เ สมอ เช่ น ลิ ลิ ต โองการแช่ ง น้ า
บุ ณ โ ณ ว า ท ค า ฉั น ท์ ขุ น ช้ า ง ขุ น แ ผ น นิ ร า ศ น ริ น ท ร์ ฯ ล ฯ
ร ว ม ทั้ ง แ น ว คิ ด เ รื่ อ ง น ร ก ส ว ร ร ค์ เ ป ร ต อ สุ ร ก า ย อ เ ว จี
หรื อ ไม่ก็ ก ล่า วอ้า งถึง สิ่ง ต่า ง ๆ ที่ป รากฏอยู่ใ นไตรภู มิพ ระร่ว ง เช่ น เปรต
อสุรกาย ภูเขาสัตตบริภณ ั ฑ์ ปลาใหญ่ ครุฑ นาค ป่ าหิมพาานต์ นทีสีทน ั ดร
เ ข า ยุ คั น ธ ร เ ป็ น ต้ น
ทัง้ นี้เพราะความบันดาลใจของผูแ ้ ต่งทีไ่ ด้รบ
ั จากไตรภูมพ ิ ระร่วง
น อ ก จ า ก นี้
คติจกั รวาลแบพุทธเถรวาทในงานสถาปัตยกรรมได้ถูกถ่ายทอดผ่านไตรภูมิพ
ร ะ ร่ ว ง แ ล ะ ป ร า ก ฎ เ ป็ น รู ป ธ ร ร ม เ ช่ น
ค ติ ก า ร ส ร้ า ง วั ด ม ห า ธ า ตุ เ ป็ น ศู น ย์ ก ล า ง ข อ ง เ มื อ ง แ ล ะ รั ฐ
เ ป็ น วั ด ที่ มี ข น า ด ใ ห ญ่ ที่ สุ ด ทั้ ง ใ น ข น า ด ข อ ง พื้ น ที่
ข น า ด ข อ ง อ า ค า ร แ ล ะ สิ่ ง ก่ อ ส ร้ า ง จ า น ว น ข อ ง สิ่ ง ก่ อ ส ร้ า ง ทั้ ง ห ม ด
แ ล ะ น อ ก จ า ก เ จ ดี ย์ ห รื อ พ ร ะ บ ร ม ธ า ตุ ป ร ะ ธ า น แ ล้ ว จ ะ มี เ จ ดี ย์ เ ล็ ก ๆ
จ า น ว น ม า ก ล้ อ ม อ ยู่
นี่คอ
ื แผนภาพหรือโครงสร้างของจักรวาลทีก ่ ล่าวไว้ในไตรภูมิ 6
อ
อนุ วท ่ ไตรภูมพ
ิ ย ์ เจริญศุภกุล. สรุปผลกำรสัมมนำเรือง ิ ระร่วง เล่ม ๑. กรมศิลปำกร : ๒๕๒๖
7
ศักดิศรี ์ แย ้มนัดดำ. สรุปผลกำรสัมมนำเรือง่ ไตรภูมพิ ระร่วง เล่ม ๒. กรมศิลปำกร : ๒๕๒๖
8
นิ ธ ิ เอียวศรีวงศ ์. วรรณกรรมการเมืองเรือง ่ "อานุ ภาพพ่อขุนอุปถัมภ ์" ศึกศิลาจารึก
่ อขุนรามคาแหงไม่ได้แต่งยุคสุโขทัย. กรุงเทพฯ : มติชน, 2546
ทีพ่
แ ล ะ ข้ อ ส ง สั ย ใ น เ รื่ อ ง โ ล ก
ส ภ า พ ภู มิ ศ า ส ต ร์ แ ล ะ ป ร า ก ฏ ก า ร ณ์ ธ ร ร ม ช า ติ ใ น ส มั ย โ บ ร า ณ
ซึง่ เป็ นปัญหาข้อสงสัยทีเ่ กิดกับมนุษยชาติทุกศาสนา
ห นั ง สื อ ไ ต ร ภู มิ ก ถ า นี้
นอกจากจะพรรณนาด้วยภาษาร้อยแก้วอันไพเราะและแจ่มแจ้งในเนื้อหาแล้ว
ยังถือเป็ นหลักฐานอ้างอิงทางวรรณคดีไทยที่เก่าแก่โบราณที่สุด โลกสัณฐาน
หรือ ภูมศ ิ าสตร์โบราณนี้มีผน ู้ าไปใช้อา้ งอิงในวรรณคดียุคหลัง ๆ แทบทัง้ สิน ้
ตัวอย่างการใช้ภาษาทีด ่ ท
ี ส
ี่ ุด
พรรณนาเปตภูมิ กล่าวถึงเปรตพวกหนึ่งว่า
เ ป ร ต ล า ง จ า พ ว ก ตั ว เ ข า ใ ห ญ่ ป า ก เ ข า น้ อ ย เ ท่ า รู เ ข็ ม นั้ น ก็ มี ฯ
เ ป ร ต ล า ง จ า พ ว ก ผ อ ม นั ก ห น า เ พื่ อ อ า ห า ร จ ะ กิ น บ มิ ไ ด้
แ ม้ น ว่ า จ ะ ข อ ด เ อ า เ นื้ อ น้ อ ย ๑ ก็ ดี เ ลื อ ด ห ย ด ๑ ก็ ดี บ มิ ไ ด้ เ ล ย
เ ท่ า ว่ า มี แ ต่ ก ร ะ ดู ก แ ล ห นั ง พ อ ก ก ร ะ ดู ก ภ า ย น อ ก อ ยู่ ไ ส้
หนัง ท้อ งนั้น เหี่ย วติด กระดูก สัน หลัง แลตานั้น ลึก และกลวงดัง แสร้ง ควัก เสี ย
ผ ม เ ข า นั้ น ยุ่ ง รุ่ ย ร่ า ย ล ง ม า ป ก ป า ก เ ข า ม า ต ร ว่ า ผ้ า ร้ า ย น้ อ ย ๑ ก็ ดี
แ ล จ ะ มี ป ก ก า ย เ ข า นั้ น ก็ ห า บ มิ ไ ด้ เ ล ย เ ที ย ร ย่ อ ม เ ป ลื อ ย อ ยู่ ชั่ ว ต น
ตั ว เ ข า นั้ น เ ห ม็ น ส า บ พึ ง เ ก ลี ย ด นั ก ห น า แ ล
เขานั้น เที ย รย่อ มเดื อ ดเนื้ อ้ อ นใจเขาแล เขาร้อ งไห้ ร ้อ งครางอยู่ทุ ก เมื่อ แล
เ พ ร า ะ ว่ า เ ข า อ ย า ก อ า ห า ร นั ก ห น า แ ล
ฝู ง เ ป ร ต ทั้ ง ห ล า ย นั้ น เ ข า ยิ่ ง ห า แ ร ง บ มิ ไ ด้ เ ข า ย่ อ ม น อ น ห ง า ย อ ยู่ ไ ส้
เมื่อ แลฝู ง นั้น เขานอนอยู่ แ ลหู เ ขานั้น ได้ยิ น ประดุ จ เสี ง คนร้อ งเรี ย กเขาว่ า
สู ทั้ ง ห ล า ย เ อ๋ ย จ ง ม า กิ น ข้ า ว กิ น น้ า
แลฝู ง เปรตทั้ง หลาย นั้ เ ขาได้ ยิ น เสี ง ดัง นั้ น เขาก็ ใส่ ใ จว่ เ ขามี ข้ า วมี น้ า
จึ ง เ ข า จ ะ ลุ ก ไ ป ห า กิ น ไ ส้ ก็ ยิ่ ง ห า แ ร ง บ มิ ไ ด้
เ ข า จ ะ ช ว น กั น ลุ ก ขึ้ น ต่ า ง ค น ต่ า ง ก็ ล้ ม ไ ป ล้ ม ม า
และบางคนล้มคว่าบางคนล้มหงาย แต่เขาทนทุกข์อยู่ฉน ั นั้นหลายคาบนักแล
แ ต่ เ ข า ล้ ม ฟั ด กั น ห ก ไ ป ห ก ม า แ ล ะ ค่ อ ย ลุ ก ไ ป ดั ง นั้ น
แลเขาได้ยิน ดับ งนั้น แลเขามิใ ช่ ว่า แต่ค าบเดีย วไส้ ได้ยิน อยู่ท ้งั พัน ปี นั้น แล
ผิ แ ล ว่ า เ ข า อ ยู่ เ มื่ อ ใ ด หู เ ข า นั้ น เ ที ย ร ย่ อ ม ไ ด้ ยิ น ดั ง นั้ น ทุ ก เ มื่ อ
ครัน้ ว่าเขาลุกขึน ้ ได้เขาเอามือทัง้ สองพาดเหนื อหัวแล้วแล่นชืนชมดีใจไปสูท ่ เี่ สี
ย งเรี ย ก นั้ น เร่ ง ไปเร่ ง แลหาที่ แ ห่ ง ใดแลจัก มี ข้ า วแลน้ าไส้ ก็ หาบมิ ไ ด้
เ ข า จึ ง ร่ า ร้ อ ง ไ ห้ ด้ ว ย เ สี ย ง แ ร ง แ ล้ ว เ ข า เ ป็ น ทุ ก ข์ นั ก ห น า
เ ข า ก็ ล้ ม น อ น อ ยู่ เ ห นื อ พื้ น แ ผ่ น ดิ น นั้ น แ ล
เ ป ร ต ทั้ ง ห ล า ย เ มื่ อ เ ข า แ ล่ น ไ ป ดั ง นั้ น ไ ก ล นั ก ห น า แ ล
เ ป ร ต เ ห ล่ า นี้ ไ ส้ เ มื่ อ เ ป็ น ค น อ ยู่ นั้ น มั ก ริ ษ ย า ท่ า น เ ห็ น ท่ า น มี ดู มิ ไ ด้
เห็นท่านยากไร้ดูแคลนเห็นท่านมีทรัพย์สินจะใคร่ได้ทรัพย์สินท่านย่อมริก ระ
ท า ก ล ที่ จ ะ เ อ า สิ น ท่ า น นั้ น ม า เ ป็ น สิ น ต น แ ล ต ร ะ ห นี่ มิ ไ ด้ ใ ห้ ท า น
รั้ น ว่ า เ ห็ น เ ข า จ ะ ใ ห้ ท า น ต น ย่ อ ม ห้ า ม ป ร า ม มิ ใ ห้ เ ข า ใ ห้ ท า น ไ ด้ แ ล
ฉ้ อ เ อ า ท รั พ ย์ สิ น ส ง ฆ์ ม า ไ ว้ เ ป็ น ป ร ะ โ ย ช น์ แ ก่ ต น
คนจาพวกนี้แลตายไปเกิดเป็ นเปรตอยูท ่ รี่ า้ ยนักดังนัน
้ ทุกตนแลฯ