Professional Documents
Culture Documents
2 ฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน 13
2.1 ฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 13
2.2 ลิมิตของฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 13
2.2.1 สมบัติของลิมิต . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 14
2.3 ความต่อเนื่องของฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน . . . . . . . . . . . . . . . . . 15
2.4 อนุพันธ์ของฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 15
2.4.1 สมการโคชี-รีมานน์ . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 17
2.4.2 สมบัติพื้นฐานของอนุพันธ์ของฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน . . . . . . . 17
i
ii สารบัญ
2.5 อนุพันธ์อันดับที่สองและอันดับที่สูงกว่าของฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน . . . . 20
2.6 ฟังก์ชันวิเคราะห์ . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 20
2.7 ฟังก์ชันฮาร์โมนิค (Harmonic Functions) . . . . . . . . . . . . . . 21
2.8 แบบฝึกหัด . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 21
4 อินทิกรัล(Integrals) 37
4.1 การอินทิเกรต (Integration) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 37
4.2 ปริพันธ์ (Antiderivatives) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 41
4.3 ทฤษฏีบทพื้นฐานเกี่ยวกับอินทิกรัล . . . . . . . . . . . . . . . . . . 42
4.4 แบบฝึกหัด . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 46
7 การส่งและการส่งคงรูป
(Mapping and Conformal Mapping) 99
7.1 การส่ง (Mapping) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 99
7.1.1 การแปลงเชิงเส้น (Linear Transformations) . . . . . . . . 99
7.1.2 การแปลงเชิงเส้นคู่ (Bilinear Transformation) . . . . . . . 101
7.2 การส่งคงรูป (Conformal Mappings) . . . . . . . . . . . . . . . . 101
7.2.1 การแปลงชวาร์ซ-คริสโตฟเฟล (The Schwarz-Christoffel Trans-
formation) . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 102
7.3 แบบฝึกหัด . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 104
นิยาม 2 (การบวก). ให้ จำนวนเชิงซ้อน z1 และ z2 เป็น (a1 , b1 ) และ (a2 , b2 ) ตามลําดับ
โดยที่ a1 , a2 , b1 และ b2 เป็นจำนวนจริง ดังนั้น
z1 + z2 = (a1 + a2 , b1 + b2 ) (1.1)
วิธีทำ
นิยาม 3 (การคูณ). ให้ z1 และ z2 เป็น (a1 , b1 ) และ (a2 , b2 ) ตามลำดับ โดยที่ a1 ,
a2 , b1 และ b2 เป็นจํานวนจริง ดังนั้น
1
2 บทที่ 1. จำนวนเชิงซ้อน (COMPLEX NUMBER)
y = Im(z)
z = (a, b)
b
a x = Re(z)
วิธีทำ
(1, 1).(2, 4) = (1 × 2 − 1 × 4, 1 × 4 + 1 × 2)
= (−2, 6)
วิธีทำ
(1, 0).(2, 4) = (1 × 2 − 0 × 4, 1 × 4 + 0 × 2)
= (2, 4)
วิธีทำ
(1, 0).(2, 0) = (1 × 2 − 0 × 0, 1 × 0 + 0 × 2)
= (2, 0)
1.2 สมบัติพื้นฐานเกี่ยวกับจำนวนเชิงซ้อน
1.2.1 สมบัติของการบวก
ให้ z1 , z2 , z3 และ z เป็นจํานวนเชิงซ้อน
1.2. สมบัติพื้นฐานเกี่ยวกับจำนวนเชิงซ้อน 3
1. z1 + z2 ยังคงเป็นจำนวนเชิงซ้อน
2. z1 + z2 = z2 + z1
3. (z1 + z2 ) + z3 = z1 + (z2 + z3 )
1.2.2 สมบัติของการคูณ
1. z1 .z2 ยังคงเป็นจำนวนเชิงซ้อน
2. z1 .z2 = z2 .z1
(a, −b)
5. ถ้า z = (a, b) 6= 0 แล้ว z.z −1 = z −1 .z = (1, 0) โดยที่ z −1 =
a2 + b2
ดังนี้
1
ในตำราทางคณิตศาสตร์ทั่วๆไป (0, 1) สามารถถูกเขียนแทนได้ด้วยสัญลักษณ์ ı นอกจากนี้
ในตำราทางวิศวกรรมไฟฟ้าส่วนใหญ่นิยมใช้สัญลักษณ์ แทน ı เพื่อหลีกเลี่ยงการสับสน
กับกระแสไฟฟ้าซึ่งนิยมเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ ı เช่นเดียวกัน
4 บทที่ 1. จำนวนเชิงซ้อน (COMPLEX NUMBER)
z = (a, 0) + (0, b)
= (a, 0) + (b, 0).(0, 1)
= a + bı
αz = (α, 0).(a, b)
= (αa − 0b, αb + 0a)
= (αa, αb)
1.2.3 สมบัติการกระจาย
ให้ z1 , z2 , z3 และ z เป็นจํานวนเชิงซ้อน
1.3 นิยามและสมบัติเพิ่มเติม
1.3.1 นิยามเพิ่มเติมเกี่ยวกับจำนวนเชิงซ้อน
นิยาม 4 (การหาร). ให้ z1 = (a1 , b1 ) และ z2 = (a2 , b2 ) 6= 0 ดังนั้น
z1
= z1 .z2−1 (1.3)
z2
1.3. นิยามและสมบัติเพิ่มเติม 5
y = Im(z)
z = (a, b)
b
a x = Re(z)
−b z = (a, −b)
วิธีทำ
25
ı100 = ı4
= 125
=1
นิยาม 9. เมื่อ z 6= 0
z0 = 1
1.3.2 สมบัติของค่าสัมบูรณ์และสังยุคเชิงซ้อน
ให้ z, z1 และ z2 เป็นจํานวนเชิงซ้อน
6. z1 .z2 = z1 .z2
1 1
7. = , z 6= 0
z z
8. |z|2 = z.z
1.3.3 ทฤษฎีบทพื้นฐาน
ทฤษฏีบท 1. ถ้า f เป็นฟังก์ชันพหุนาม (Polynomial Function) ที่สามารถเขียนอยู่ในรูป
N
X
f (z) = an z n
n=0
2
เราสามารถดัดแปลงอสมการอิงสามเหลี่ยมเป็น||z1 | − |z2 || ≤ |z1 − z2 |
1.4. รูปแบบเชิงขั้ว(POLAR FORM) 7
f (z) = f (z)
ดังนั้น
f (1 − ı) = 1 + 2ı
= 1 − 2ı
สมการข้างต้นสามารถนําไปสู่นิยามดังต่อไปนี้
8 บทที่ 1. จำนวนเชิงซ้อน (COMPLEX NUMBER)
จากนิยาม 10 เราสามารถแสดงได้ว่า
|eıθ | = 1
z = a + bı
p a b
= a2 + b2 ( √ +√ ı)
2
a +b2 a + b2
2
= |z|(cos θ + ı sin θ)
a b
= |z|eıθ โดยที่ θ เป็นมุมซึ่ง cos θ = √ และ sin θ) = √
a2 +b2 a + b2
2
z = |z|eıθ (1.11)
หรือ
z = |z|(cos θ + ı sin θ) (1.12)
1.4.1 สมบัติพื้นฐานของรูปแบบเชิงขั้ว
ให้ z = |z|eıθ , z1 = |z1 |eıθ1 และ z2 = |z2 |eıθ2
2. z = |z|e−ıθ
z1 |z1 | ı(θ1 −θ2 )
3. = e เมื่อ z2 ไม่เท่ากับศูนย์
z2 |z2 |
1.4.2 รากของจำนวนเชิงซ้อน
นิยาม 12. ให้ z และ ω เป็นจำนวนเชิงซ้อน และ n เป็นจำนวนเต็มบวก เราเรียก
1
ω ว่าเป็น รากที่ n ของ z เขียนแทนด้วย z 2 ก็ต่อเมื่อ ω n = z
โดยที่ m เป็นจำนวนเต็มใดๆ
วิธีทำ เนื่องจาก
−1 = 1eıπ
ดังนั้น
1 1 2nπı+πı
(−1) 4 = |1| 4 e 4
10 บทที่ 1. จำนวนเชิงซ้อน (COMPLEX NUMBER)
az 2 + bz + c = 0
คือ
1
−b + (b2 − 4ac) 2
z=
2a
นั่นคือ z = ı, −5ı
1.6 แบบฝึกหัด
100
X
1. จงหาค่าของ ın
n=1
1.6. แบบฝึกหัด 11
โดยใช้อสมการอิงสามเหลี่ยม (TriangularInequality)
โดยใช้อุปนัยเชิงคณิตศาสตร์
6. จากสมการ
p
หมายเหตุ จำนวนตรรกยะ คือจำนวนจริงที่สามารถเขียนในรูปเศษส่วน โดยที่
q
p, q เป็นจำนวนเต็ม และ q 6= 0
7. จงหาค่าของ
N
X N
(a0 + (n − 1)d) = (2a0 + (N − 1)d)
2
n=1
12 บทที่ 1. จำนวนเชิงซ้อน (COMPLEX NUMBER)
8. จงแสดงว่า
N
X a0 (1 − rN )
a0 rn−1 = เมื่อ r 6= 1
1−r
n=1
9. จงหาผลบวกของผลเฉลยทั้งหมดของสมการ z n = ω
10. จงหาผลเฉลยของสมการ z 2 + 2z + 1 = 0
12. จงวาดรูปทางเดินของรากของ
z 2 + Kz + 1 = 0
เมื่อ 0 ≤ K ≤ 100
|z − 1| = 10
|z − 1| + |z + 1| = 100
บทที่ 2
ฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน
2.1 ฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน
นิยาม 13 (ฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน (Complex-Valued Functions)). ฟังก์ชัน f คือกฎเกณฑ์ในการส่ง
แต่ละ z ใน S ไปยังจำนวนเชิงซ้อน w เราสามารถเขียนแทนได้ด้วย f (z) เราเรียก S ว่าโดเมน
(Domain)
2.2 ลิมิตของฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน
นิยาม 14. ให้ f เป็น ถ้ามี δ > 0 สำหรับทุกๆ > 0 ซึ่งถ้าหาก |f (z) − L| < แล้ว
0 < |z − zo | < δ เราสามารถกล่าวได้ว่า1
lim f (z) = L
z→zo
z
ตัวอย่าง 9. จงแสดงว่า lim ไม่มีค่า
z→0 z
1
ในบางครั้งในตำราอาจเขียนแทนด้วย f (z) → L เมื่อ z → z0
13
14 บทที่ 2. ฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน
z z z
เนื่องจาก → 1 เมื่อ z → 0 ในแนวนอน แต่ → −1 เมื่อ z → 0 ในแนวตั้ง นั่นคือ lim ไม่มีค่า
z z z→0 z
2.2.1 สมบัติของลิมิต
ทฤษฏีบท 5. lim f (z) = w0 ก็ต่อเมื่อ lim u(x, y) = u0 และ lim v(x, y) =
z→z0 (x,y)→(x0 ,y0 ) (x,y)→(x0 ,y0 )
v0 โดยที่
z0 = x0 + ıy0 เมื่อ x0 และ y0 เป็นจำนวนจริง,
f (z) = w = u(x, y) + ıv(x, y) เมื่อ u และ v เป็นฟังก์ชันค่าจริง และ
w0 = u0 + ıv0 เมื่อ u0 และ v0 เป็นจำนวนจริง
lim z n = z0n
z→z0
ทฤษฏีบท 7. ให้ lim f (z) และ lim g(z) มีค่า และ c เป็นจำนวนเชิงซ้อนซึ่งเป็นค่าคงที่
z→z0 z→z0
ดังนั้น
1. lim c = c
z→z0
lim f (z)
z→z0 f (z)
5. = lim เมื่อ lim g(z) 6= 0
lim g(z) z→z0 g(z) z→z0
z→z0
วิธีทำ
=4
2.3 ความต่อเนื่องของฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน
นิยาม 15. ให้ f เป็นฟังก์ชันค่าเชิงซ้อนดังนั้น f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องที่ z = z0 ก็ต่อเมื่อ
1. f (z0 ) มีค่า
จงแสดงว่า f ไม่ต่อเนื่องที่ z = 0
z
วิธีทำ เนื่องจาก lim ไม่มีค่า ดังนั้น จากนิยามของความต่อเนื่อง f ไม่ต่อเนื่องที่ z =
z→0 z
0
2.4 อนุพันธ์ของฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน
dz 2
ตัวอย่าง 12. จงหาค่าของ
dz
วิธีทำ จากนิยาม
dz 2 (z + ∆z)2 − z 2
= lim
dz ∆z→0 ∆z
z + 2z∆z + (∆z)2 − z 2
2
= lim
∆z→0 ∆z
= 2z
dz 2
นั่นคือ = 2z
dz
dz
ตัวอย่าง 13. จงแสดงว่า ไม่มีค่า
dz
วิธีทำ จากนิยาม
dz ∆z
= lim (2.1)
dz ∆z→0 ∆z
∆z
ดังนั้น ความจริงแล้วโจทย์ต้องการให้จงแสดงว่า lim ไม่มีค่า
∆z→0 ∆z
เมื่อ ∆z เข้าใกล้ 0 ในแนวนอน ดังนั้น ∆z = ∆z = ∆x จะได้
∆x
lim =1
∆x→0 ∆x
−ı∆y
lim = −1
∆y→0 ı∆y
∆z ∆z dz
เนื่องจาก → 1 เมื่อ ∆z → 0 ในแนวนอน แต่ → −1 เมื่อ z → 0 ในแนวตั้ง นั่นคือ =
∆z z dz
∆z
lim ไม่มีค่า
∆z→0 ∆z
f (z0 ) − f (z)
lim (f (z0 ) − f (z)) = lim lim (z0 − z)
z→z0 z→0 z0 − z z→z0
= f 0 (z0 ).0
=0
2.4.1 สมการโคชี-รีมานน์
ทฤษฏีบท 10. ถ้าให้ u และ v เป็นฟังก์ชันค่าจริงและ f เป็นฟังก์ชันค่าเชิงซ้อนโดยที่ f (z) =
u(x, y) + ıv(x, y) โดยที่ตัวแปรเชิงซ้อน z สามารถเขียนอยู่ในรูปของตัวแปรค่าจริง x
และ y ได้ว่า z = x + yı ดังนั้น สมการโคชี-รีมานน์
∂u ∂v ∂u ∂v
= และ =−
∂x z=z0 ∂y z=z0 ∂y z=z0 ∂x z=z0
2.4.2 สมบัติพื้นฐานของอนุพันธ์ของฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน
ทฤษฏีบท 11. ให้ f และ g เป็นฟังก์ชันค่าเชิงซ้อนใดๆ ซึ่งสามารถหาอนุพันธ์ได้ โดยที่
α และ β เป็นจำนวนเชิงซ้อน ซึ่งเป็นค่าคงที่ใดๆ ดังนั้น3
พิสูจน์
1. จากนิยาม 16 จะได้ว่า
เนื่องจาก
ดังนั้น
2. จากนิยาม 16 จะได้ว่า
f (z + ∆z) f (z)
0 −
f g(z + ∆z) g(z)
(z) = lim
g ∆z→0 ∆z
f (z + ∆z)g(z) − g(z + ∆z)f (z)
g(z + ∆z)g(z)
= lim
∆z→0 ∆z
f (z + ∆z)g(z) − f (z)g(z) + f (z)g(z) − g(z + ∆z)f (z)
g(z + ∆z)g(z)
= lim
∆z→0 ∆z
(f (z + ∆z) − f (z)) g(z) − (g(z + ∆z) − g(z)) f (z)
= lim ∆z
∆z→0 g(z + ∆z)g(z)
(f (z + ∆z) − f (z)) g(z) (g(z + ∆z) − g(z)) f (z)
lim −
= ∆z→0 ∆z ∆z
lim g(z + ∆z)g(z)
∆z→0
f (z + ∆z) − f (z) g(z + ∆z) − g(z)
lim g(z) − lim f (z)
∆z→0 ∆z ∆z→0 ∆z
=
lim g(z + ∆z)g(z)
∆z→0
(f (z + ∆z) − f (z))
เนื่องจาก lim g(z+∆z) = g(z), f (z) = lim และ g(z) =
∆z→0 ∆z→0 ∆z
(g(z + ∆z) − g(z))
lim ดังนั้น
∆z→0 ∆z
0
f g(z)f 0 (z) − f (z)g 0 (z)
(z) = เมื่อ g(z) 6= 0
g (g(z))2
ทฤษฏีบท 13 (กฎลูกโซ่ (Chain Rule)). ให้ w = f (u) และ u = g(z) ถ้าหากว่า f 0 (u) และ
g 0 (z) มีค่า ดังนั้น
dw dw du
=
dz du dz
dz n
3. = nz n−1 โดยที่ n เป็นจำนวนเต็มบวก
dz
2.5 อนุพันธ์อันดับที่สองและอันดับที่สูงกว่าของฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน
f 0 (z + ∆z) − f 0 (z)
f 2 (z) = lim
∆z→0 ∆z
เราจะเรียกอนุพันธ์ของอนุพันธ์ของ f ว่าอนุพันธ์อันดับที่สองของ f
เมื่อ n เป็นจำนวนเต็มบวก
จากนิยามแสดงว่า อนุพันธ์อันดับที่ n ของฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน f หาไม่ได้ถ้าอนุพันธ์
อันดับต่ำกว่าของฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน f หาไม่ได้
2.6 ฟังก์ชันวิเคราะห์
4
เราอาจเรียก f ว่าอนุพันธ์อันดับที่ศูนย์ของ f ซึ่งสามารถเขียนแทนด้วย f 0
2.7. ฟังก์ชันฮาร์โมนิค (HARMONIC FUNCTIONS) 21
∂2H ∂2H
+ =0 (2.2)
∂x2 ∂y 2
2.8 แบบฝึกหัด
|z|
1. จงแสดงว่า lim ไม่มีค่า
z→0 z
d|z|
2. โดยใช้สมการโคชี-รีมานน์ จงแสดงว่า ไม่มีค่า
dz
d|z|2
3. จงแสดงว่า ไม่มีค่า
dz
4. จงใช้สมการโคชี-รีมานน์แสดงว่าฟังก์ชัน
f (z) = z 2
5
นอกจากนี้เรากล่าวว่า จุดเอกฐาน z0 อยู่โดดเดี่ยวถ้ามีบริเวณ 0 < |z − z0 | < ซึ่ง f
เป็นฟังก์ชันวิเคราะห์ทั่วทั้งบริเวณ
22 บทที่ 2. ฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน
มีอนุพันธ์ที่ทุกจุดในระนาบเชิงซ้อน
5. จงแสดงว่าฟังก์ชัน
1
f (z) =
z
มีอนุพันธ์ที่ทุกจุดในระนาบเชิงซ้อนยกเว้นที่จุด z 6= 0 และจงหาอนุพันธ์ของฟังก์ชันนี้ด้วย
f (z) = z 2
7. จงหาอนุพันธ์ของฟังก์ชัน
f (x, y) = (x + y) + ıxy
8. จงหาอนุพันธ์ของฟังก์ชัน
f (x, y) = (x + y) + ı (x − y)
บทที่ 3
ฟังก์ชันพื้นฐาน (Fundamental
Functions)
ez = ex (cos y, sin y)
= ex .eyı
1. |ez | = |ex |
1
2. e−z =
ez
ทฤษฏีบท 16. ให้ z1 และ z2 เป็นจำนวนเชิงซ้อนใดๆ ดังนั้น
1
เราอาจเขียนแทน ez ด้วย exp(z)
23
24 บทที่ 3. ฟังก์ชันพื้นฐาน (FUNDAMENTAL FUNCTIONS)
z = |z| eıθ
หรือ
จะได้ว่า
log(z) = ln |z| + ı (θ + 2nπ) (3.3)
2
อย่าสับสนกับฟังก์ชันลอกการิทึม (Logarithmic Function) ที่นิยามในระดับมัธยมศึกษา
3
ในตำราบางเล่มไม่ถือว่าฟังก์ชันหลายค่าเป็นฟังก์ชัน
3.2. ฟังก์ชันลอกการิทึม (LOGARITHMIC FUNCTION) 25
วิธีทำ เนื่องจาก
log e = ln e + ı (0 + 2nπ)
= 1 + 2nπı
โดยที่ n เป็นจำนวนเต็ม
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่าฟังก์ชันลอกการิทึมมีได้หลายค่า ถ้าหากว่าเราต้องการ
ฟังก์ชันลอกการิทึมที่เป็นฟังก์ชันค่าเดียว เราจำเป็นต้องจำกัดอาร์กิวเมนต์ θ ในสมการ 3.2
เป็นอาร์กิวเมนต์หลัก ฟังก์ชันลอกการิทึมที่ถูกสร้างขึ้นจาก log(z) ดังนี้
วิธีทำ เนื่องจาก
Log(e) = ln e + ı (0)
=1
ตัวอย่าง 16. จงแสดงว่า Log (z1 z2 ) = Log z1 + Log z2 เมื่อ z1 z2 6= 0 และ −π <
Arg z1 + Arg z2 ≤ π
วิธีทำ เนื่องจาก
ln |z1 z2 | = ln |z1 | + ln |z2 | และ Arg (z1 z2 ) = Arg (z1 ) + Arg (z2 )
นั่นคือ
Log (z1 z2 ) = Log z1 + Log z2 เมื่อ z1 z2 6= 0 และ −π < Arg z1 + Arg z2 ≤ π
จะได้
z = ew และ z + ∆z = ew+∆w
นั่นคือ
z c = ec log(z) (3.5)
วิธีทำ
ıı = eı log(ı)
เนื่องจาก
π
log(ı) = ln |ı| + ı 2nπ + เมื่อ n เป็นจำนวนเต็ม
2
π
= ı 2nπ +
2
นั่นคือ
2 π
ıı = e(ı) (2nπ+ 2 )
π
= e(−(2nπ+ 2 ))
28 บทที่ 3. ฟังก์ชันพื้นฐาน (FUNDAMENTAL FUNCTIONS)
P V (z c ) = ecLog(z) (3.6)
วิธีทำ
z c = ec log(z)
z n = en (ln|z|+ıθ)
n
= e(ln|z|+ıθ)
n
= |z|eıθ
= zn
3.3.2 สมบัติของ z c , z 6= 0
1. (z c1 )c2 = z c1 c2 เมื่อ z 6= 0
2. z c1 z c2 = z c1 +c2 เมื่อ z 6= 0
z c1
3. = z c1 −c2 เมื่อ z 6= 0
z c2
log z = ln r + ıθ (3.7)
3.4. ฟังก์ชันตรีโกณมิติ (TRIGONOMETRIC FUNCTIONS) 29
จะได้ว่า
dz c ec log z
= เมื่อ z 6= 0
dz dz
c
= ec log z
z
เนื่องจาก
z = elog z (3.8)
ดังนั้น
dz c ec log z
= c log z เมื่อ z 6= 0
dz e
= ce(c−1) log z
นั่นคือ
dz c
= cz c−1 เมื่อ z 6= 0
dz
1. cos2 z + sin2 z = 1
cos (z + nT ) = cos z
sin (z + nT ) = sin z
2. sec2 z − tan2 z = 1
3.5. ฟังก์ชันไฮเปอร์โบลิค (HYPERBOLIC FUNCTIONS) 31
d sin z
1. = cos z
dz
d cos z
2. = − sin z
dz
d tan z
3. = sec2 z
dz
เราสามารถนิยามฟังก์ชันไฮเปอร์โบลิคสำหรับจำนวนเชิงซ้อนได้ดังนี้
ez + e−z ez − e−z
cosh z = sinh z =
2 2
ez − e−z (ez + e−z )
tanh z = z coth z = z
(e + e−z ) e − e−z
วิธีทำ จากสมการ
1
cos−1 z = −ı log z + z 2 − 1 2
3.6. ตัวผกผันของฟังก์ชันตรีโกณมิติ (TRIGONOMETRIC FUNCTIONS) 33
จะได้
1
cos−1 (1) = −ı log 1 + 12 − 1 2
= −ı log (1))
= −ı (ln(1) + ı arg(1))
= −ı (0 + ı2πn)
= 2πn
โดยที่ n เป็นจำนวนเต็มใด ๆ
นั่นคือ
d sin−1 z 1
= 1
dz (1 − z 2 ) 2
วิธีทำ จากสมการ
1
cosh−1 z = log z + z 2 − 1 2
จะได้
1
cosh−1 (1) = log 1 + 12 − 1 2
= log (1)
= (ln(1) + ı arg(1))
= (0 + ı2πn)
= ı2πn
โดยที่ n เป็นจำนวนเต็มใด ๆ
3.7. ตัวผกผันของฟังก์ชันไฮเปอร์โบลิค (HYPERBOLIC FUNCTIONS) 35
วิธีทำ
cos (cos−1 1) = 1
โดยใช้กฎลูกโซ่
d sinh w dw
=1
dw dz
เนื่องจาก
d sinh w
= cosh w
dw
ดังนั้น
dw 1
=
dz cosh w
นั่นคือ
dw 1
= 1
dz (1 + z 2 ) 2
36 บทที่ 3. ฟังก์ชันพื้นฐาน (FUNDAMENTAL FUNCTIONS)
3.8 แบบฝึกหัด
1. จงแก้สมการ ez = 1
2. จงแก้สมการ log z = 1 + ı1
5. จงหาค่าของ sin (π + π)
14. จงพิสูจน์ว่า
15. จงพิสูจน์ว่า
อินทิกรัล(Integrals)
Z 2π
ตัวอย่าง 24. จงหา eıt dt
0
37
38 บทที่ 4. อินทิกรัล(INTEGRALS)
n
X
S(Pn ) = f ∗ (zk ) ∆zk
k=1
นิยาม 28.
Z n
X
f (z) dz = lim f (zk∗ ) ∆zk (4.2)
C ∆zk →0
n→∞ k=1
ทฤษฏีบท 29.
Z Z b
f (z) dz = f (z)z 0 (t) dt
C a
โดยที่
C = {z | z = t + ıt โดยที่ 0 ≤ t ≤ 1}
4.1. การอินทิเกรต (INTEGRATION) 39
Z Z 1
z dz = (t + ıt)(1 + ı1) dt
C 0
Z 1
= 2ıt dt
0
1
= ıt2
0
=ı
โดยที่
S
C = C1 C2
C1 = {z | z = t โดยที่ 0 ≤ t ≤ 1} และ
C2 = {z | z = 1 + ıt โดยที่ 0 ≤ t ≤ 1}
วิธีทำ เนื่องจาก
Z Z Z
z dz = z dz + z dz
C C1 C2
Z Z 1
z dz = t dt
C1 0
Z 1
= t dt
0
1
t2
=
2 0
1
=
2
40 บทที่ 4. อินทิกรัล(INTEGRALS)
= ıπ
= −ıπ
วิธีทำ
Z
1
dz = Log ı − Log (−ı)
C1 z
π −πı
=ı −( )
2 2
= ıπ
42 บทที่ 4. อินทิกรัล(INTEGRALS)
Z
1
ตัวอย่าง 30. จงหาค่าของ dz ด้วยการใช้ปริพันธ์โดยที่
C2 z
3π π
C2 = {z | z = eıθ โดยที่ − ≤ θ ≤ − วนในทิศตามเข็มนาฬิกา}
2 2
วิธีทำ ı
ı
z 3 ı3 − (−ı)3 −ı − ı
Z
2 2ı
z dz = = = =−
−ı 3 −ı 3 3 3
4.3 ทฤษฏีบทพื้นฐานเกี่ยวกับอินทิกรัล
Z
ตัวอย่าง 32. จงหาค่า y dx+x dy เมื่อ C = {(x, y) | x2 +y 2 = 1 วนในทิศทวนเข็มนาฬิกา}
C
Z
1 1 π π
เราไม่สามารถกล่าวว่า dz = Log ı − Log (−ı) = ı − (−ı ) = πı
C2 z 2 2
dLog z
เนื่องจาก บนแกนจริงลบไม่มีค่า
dz
2
วงปิดอย่างง่าย (Simple Closed Contour) คือ วงปิดที่ไม่ทับตัวเอง
4.3. ทฤษฏีบทพื้นฐานเกี่ยวกับอินทิกรัล 43
= 2π
∂f (z)
f 0 (z) =
∂z I
∂ 1 f (s)
= ds
∂z 2πı C s − z
I
1 ∂ f (s)
= ds
2πı C ∂z s − z
I
1 f (s)
= ds
2πı C (s − z)2
∂ n f (z)
f n (z) =
∂z n
หรือ
I
n n! f (s)
f (z) = ds (4.5)
2πı C (s − z)n+1
es
Z
d
ตัวอย่าง 34. จงหา ds โดยที่
dz C s−z
C = {z | z = eıθ เมื่อ 0 ≤ θ ≤ 2π วนในทิศทวนเข็มนาฬิกา}
ดังนั้น
es d(2πıez )
Z
d
ds =
dz C s−z dz
= 2πıez
Z
d cos s
ตัวอย่าง 35. จงหา ds โดยที่
dz C s−z
C = {z | z = eıθ เมื่อ 0 ≤ θ ≤ 2π วนในทิศทวนเข็มนาฬิกา}
ดังนั้น
Z
d cos s d(2πı cos z)
ds =
dz C s−z dz
= 2πı(− sin z)
= −2πı sin z
4.4 แบบฝึกหัด
2
ez
I
1. จงหาค่าของ dz เมื่อ C = {z | z = 5eıθ เมื่อ 0 ≤ θ ≤ 2π วนในทิศทวนเข็มนาฬิกา}
C z+1
I
2. จงหาค่าของ z dz เมื่อ C = {z | z = 5eıθ เมื่อ 0 ≤ θ ≤ 2π วนในทิศทวนเข็มนาฬิกา}
C
โดยใช้ทฤษฎีบทของกรีน
4.4. แบบฝึกหัด 47
I
3. จงหาค่าของ z 2 dz เมื่อ C = {z | z = 5eıθ เมื่อ 0 ≤ θ ≤ 2π วนในทิศทวนเข็มนาฬิกา}
C
โดยใช้ทฤษฎีบทของกรีน
Z
4. จงหาค่าของ z 2 dz เมื่อ C = {z | z = eıθ เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π วนในทิศทวนเข็มนาฬิกา}
C
48 บทที่ 4. อินทิกรัล(INTEGRALS)
บทที่ 5
ลำดับและอนุกรม(Sequences and
Series)
5.1 นิยามเกี่ยวกับลำดับและอนุกรม
นอกจากนี้เราเรียกลำดับที่ไม่ลู่เข้าว่าลำดับลู่ออก1
= z1 + z2 + z 3 + · · · + zn
49
50 บทที่ 5. ลำดับและอนุกรม(SEQUENCES AND SERIES)
N
X
ตัวอย่าง 36. จงหาค่าของ z n โดยที่ z 6= 1 และ N เป็นจำนวนเต็มบวก
n=0
N
X
วิธีทำ ให้ SN = z n นั่นคือ
n=0
SN = 1 + z + · · · + z N
zSN = z + z 2 + · · · + z N + z N +1
จะได้
SN − zSN = (1 − z)SN
= 1 + (z − z) + (z 2 − z 2 ) + · · · − z N +1
= 1 − z N +1
ดังนั้น
1 − z N +1
SN =
1−z
นั่นคือ
N
X 1 − z N +1
zn = , z 6= 1 (5.1)
1−z
n=0
∞
X
ตัวอย่าง 37. จงหาค่าของ z n เมื่อ |z| < 1
n=0
วิธีทำ เนื่องจาก
N
X 1 − z N +1
zn = , z 6= 1
1−z
n=0
f (z)
×
R
× x
(0, 0)
และ
f n (z) = ez สำหรับ n = 0, 1, 2, . . .
ดังนั้น
∞
X zn
f (z) =
n!
n=1
52 บทที่ 5. ลำดับและอนุกรม(SEQUENCES AND SERIES)
นั่นคือ
z2
ez = 1 + z + + ...
2!
ตัวอย่าง 39 (ข้อสอบเก่าภาคปลาย ปีการศึกษา 2554). จงหาอนุกรมแมคคลอรินของ
2
ฟังก์ชัน f (z) = ez
วิธีทำ เนื่องจาก
z2
ez = 1 + z + + ...
2!
ดังนั้น
2 z4
ez = 1 + z 2 + + ...
2!
3
ตัวอย่าง 40. จงหาอนุกรมแมคคลอรินของฟังก์ชัน f (z) = ez
วิธีทำ เนื่องจาก
z2
ez = 1 + z + + ...
2!
ดังนั้น
3 z6
ez = 1 + z 3 + + ...
2!
ตัวอย่าง 41. จงหาอนุกรมแมคคลอรินของฟังก์ชัน f (z) = (z − 1)2
วิธีทำ เนื่องจาก
f (z) = (z − 1)2
ดังนั้น
f (z) = z 2 − 2z + 1
f (z) R
× × z0
วิธีทำ เนื่องจาก
f (z) = z 2
และ
ดังนั้น
f (z) = 1 + 2(z − 1) + (z − 1)2
วิธีทำ เนื่องจาก
z2
ez = 1 + z + + ...
2!
54 บทที่ 5. ลำดับและอนุกรม(SEQUENCES AND SERIES)
ดังนั้น
ez = e1 ez−1
(z − 1)2
1
= e 1 + (z − 1) + + ...
2!
(z − 1)2
= e1 + e1 (z − 1) + e1 + ...
2!
1
ตัวอย่าง 44. จงหาอนุกรมโลรองต์ของฟังก์ชัน f (z) = e z รอบจุด z = 0
วิธีทำ เนื่องจาก
z2
ez = 1 + z + + ...
2!
ดังนั้น
1 1 1 1
ez = 1 + + + ...
z 2! z 2
1
ตัวอย่าง 45. จงหาอนุกรมโลรองต์ของฟังก์ชัน f (z) = รอบจุด z = 0 เมื่อ
1−z
5.4. อนุกรมโลรองต์(LAURENT SERIES) 55
C2
y
C1
R1 R2
f (z)
× ×
z0
1. |z| < 1
2. |z| > 1
วิธีทำ พิจารณาสองกรณีต่อไปนี้
1
= 1 + z + z2 + . . .
1−z
นั่นคือ
1
= 1 + z + z2 + . . . เมื่อ |z| < 1
1−z
56 บทที่ 5. ลำดับและอนุกรม(SEQUENCES AND SERIES)
1
1 z
= 1
1−z z −1
1
z
=−
1 − z1
1 1
=− + + ...
z z2
นั่นคือ
1 1 1
= − − 2 − ... เมื่อ |z| > 1
1−z z z
1
ตัวอย่าง 46. จงหาอนุกรมโลรองต์ของฟังก์ชัน f (z) = รอบจุด z = 0 เมื่อ
(1 − z)2
1. |z| < 1
2. |z| > 1
วิธีทำ พิจารณาสองกรณีต่อไปนี้
1
= 1 + z + z2 + . . . เมื่อ |z| < 1
1−z
ดังนั้น
1
d 1−z d
1 + z + z2 + . . .
= เมื่อ |z| < 1
dz dz
นั่นคือ
1
= 1 + 2z + 3z 2 + . . . เมื่อ |z| < 1
(1 − z)2
5.5. ซีโรและโพล (ZERO AND POLE) ของฟังก์ชัน 57
นั่นคือ
1 1 2
2
= 2 + 3 + ... เมื่อ |z| > 1
(1 − z) z z
ตัวอย่าง 47 (ข้
อสอบเก่
าภาคปลาย ปีการศึกษา 2554). จงหาอนุกรมโลรองต์ของฟังก์ชัน
1
f (z) = exp รอบจุด z = 0
z2
วิธีทำ เนื่องจาก
z2
ez = 1 + z + + ...
2!
ดังนั้น
1 1 1
exp =1+ + + ...
z2 z 2 2!z 4
∞
X f m (z0 )
f (z) = (z − z0 )m
m=n
m!
!
n f n (z0 ) f (n+1) (z0 )
= (z − z0 ) + (z − z0 ) + . . .
n! (n + 1)!
ถ้าให้
ดังนั้น
f (z) = (z − z0 )n g(z)
f n (z0 )
ความจริงแล้ว g ในสมการ 5.2 เป็นอนุกรมเทย์เลอร์ โดยที่ g(z0 ) = 6= 0 ดังนั้น g เป็นฟังก์ชันวิเคราะห์ท
n!
f (z) = (z − z0 )n g(z)
เราอาจแบ่งจุดเอกฐานที่อยู่โดดเดี่ยวออกเป็นชนิดต่าง ๆ ดังนี้
z3 z5 z7
sin z z− + − + ...
= 3! 5! 7!
z z
z2 z4 z6
=1− + − + ... เมื่อ |z| > 0
3! 5! 7!
ถ้าหากเรานิยามฟังก์ชัน f˜ ดังต่อไปนี้
sin z , z =
6 0
˜
f (z) = z
1, z=0
60 บทที่ 5. ลำดับและอนุกรม(SEQUENCES AND SERIES)
จะได้ว่า
z2 z4 z6
f˜(z) = 1 − + − + ...
3! 5! 7!
นั่นคือ cn = 0 เมื่อ n = −m − 1, −m − 2, . . .
1
วิธีทำ เนื่องจากฟังก์ชัน f (z) = exp สามารถเขียนอยู่ในรูปของอนุกรมโลรองต์
z
∞
1 X
exp = cn (z − z0 )n เมื่อ 0 < |z − z0 | < ∞
z n=−∞
2
เราเรียกโพลอันดับ 1 ว่าโพลอย่างง่าย (Simple Pole)
5.6. แบบฝึกหัด 61
ดังนี้
1 1 1
exp = 1 + + 2 + ... เมื่อ 0 < |z − z0 | < ∞ (5.4)
z z z
5.6 แบบฝึกหัด
1. จงหาอนุกรมแมคคลอรินของฟังก์ชันต่อไปนี้
2. จงหาอนุกรมเทย์เลอร์รอบจุด z = 1 ของฟังก์ชันต่อไปนี้
3. จงหาอนุกรมโลรองต์รอบจุด z = 0 ของฟังก์ชันต่อไปนี้
cos z
(a) f (z) =
z+1
sin z
(b) f (z) =
z+1
4. จงหาอนุกรมโลรองต์รอบจุด z = 0 ของฟังก์ชันต่อไปนี้
2
e−z
(a) f (z) =
z4
e −z
(b) f (z) = 4
z
62 บทที่ 5. ลำดับและอนุกรม(SEQUENCES AND SERIES)
บทที่ 6
ทฤษฎีบทเรซิดิวและการประยุกต์
(Residue Theorem and Its
Applications)
ก่อนที่จะกล่าวถึงทฤษฎีบทเรซิดิวพิจารณาตัวอย่างดังต่อไปนี้
63
64บทที่ 6. ทฤษฎีบทเรซิดิวและการประยุกต์ (RESIDUE THEOREM AND ITS APPLICATIONS)
จากตัวอย่างข้างต้น เราสามารถสรุปได้ว่า
I
0, n = 0, 1, 2, · · ·
(z − z0 )n dz = 2πı, n = −1 (6.1)
C
0, n = −2, −3, · · ·
n=∞
X
f (z) = an (z − z0 )n เมื่อ |z − z0 | <
n=−∞
6.1. ทฤษฎีบทเรซิดิว(RESIDUE THEOREM) 65
และ
I I n=∞
X
f (z)dz = ( an (z − z0 )n )dz
C C n=−∞
I n=−2
X I I n=∞
X
= an (z − z0 )n dz + a−1 (z − z0 )−1 dz + ( an (z − z0 )n )dz
C n=−∞ C C n=0
n=−2
X I I n=∞
X I
n −1
= ( an (z − z0 ) dz) + a−1 (z − z0 ) dz + ( an (z − z0 )n dz)
n=−∞ C C n=0 C
ดังนั้น
I n=∞
X
( an (z − z0 )n )dz = 2πa−1 ı (6.2)
C n=−∞
I
f (z)dz = 2πıResf (z) (6.3)
C z=z0
I n
X
f (z) dz = 2πı( Resf (z)) (6.4)
C z=zi
i=1
เรซิดิว (Residue) คือ สัมประสิทธิ์หน้า (z−z0 )−1 ของอนุกรมโลรองต์ (Laurent Series) รอบจุด z =
1
C
z1× ... × zn
R
6.2 เทคนิคการหาค่าเรซิดิว
1. ถ้าฟังก์ชันวิเคราะห์ f สามารถเขียนในรูปอนุกรมโลรองต์รอบจุด z = z0 ดังต่อไปนี้
∞
X
f (z) = an (z − z0 )n
n=−∞
ดังนั้น
Resf (z) = a−1
z=z0
φ(z)
2. ให้ฟังก์ชัน f (z) = โดยที่ φ เป็นฟังก์ชันวิเคราะห์และ n เป็นจำนวนเต็มบวก
(z − z0 )n
ดังนั้น
dn−1 (f (z)(z − z0 )n )
1
Resf (z) = lim
z=z0 z→z0 (n − 1)! dz n−1
Res f (z) = 1
z=−1
1
ตัวอย่าง 55. จงหาค่า Res f (z) โดยที่ f (z) =
z=−1 (z + 1)2
1
ตัวอย่าง 56. จงหาค่า Res f (z) โดยที่ f (z) =
z=−1 (z + 1)2 (z + 2)
1
วิธีทำ เนื่องจาก φ(z) = เป็นฟังก์ชันวิเคราะห์ในบริเวณรอบ ๆ จุด z =
z+2
−1 ดังนั้น เราสามารถเขียนแทน φ(z) ด้วยอนุกรมเทย์เลอร์ดังนี้
∞
X
φ(z) = an (z − z0 )n
n=0
โดยที่ z0 = −1
ดังนั้น
φ(z) a0 a1
f (z) = 2
= 2
+ + a2 + a3 (z + 1) + . . .
(z + 1) (z + 1) z+1
นั่นคือ
1
d (z + 1)2
(z + 1)2 (z + 2)
Res f (z) = lim
z=−1 z→−1 dz
1
d
z+2
= lim
z→−1 dz
= lim −(z + 2)−2
z→−1
= −1
68บทที่ 6. ทฤษฎีบทเรซิดิวและการประยุกต์ (RESIDUE THEOREM AND ITS APPLICATIONS)
1
ตัวอย่าง 57. จงหาค่า Resf (z) โดยที่ f (z) = e z
z=0
ดังนั้น
n=∞
1 X z −n
e =
z
n!
n=0
1 1 1
= 1 + 1 + 1 2 + 1 3 + ···
z 2!z 3!z
1
จะได้ว่า Res(e z ) = 1
z=0
ez
ตัวอย่าง 58. จงหาค่า Res f (z) โดยที่ f (z) =
z=−1 z+1
วิธีทำ
ez
Res f (z) = lim (z + 1)
z=−1 z→−1 z+1
= e−1
p(0)
Resf (z) =
z=0 q 0 (0)
cos 0
=
sin0 0
cos 0
=
cos 0
=1
1. Res
π
(tan z)
z= 2
1
2. Res
π
e z2
z= 2
z
3. Res
z=1 z−1
4. Res (ez )
z=1
ez
5. Res
z=ı z2 + 1
z
e
6. Res
z=−ı z2 + 1
วิธีทำ
1. Res
π
(tan z)
z= 2
ให้
p(z) = sin z และ q(z) = cos z
เราจะได้ว่า
p(z) sin π2
Res (tan z) = limπ = = −1
π
z= 2 z= 2 q 0 (z) − sin π2
70บทที่ 6. ทฤษฎีบทเรซิดิวและการประยุกต์ (RESIDUE THEOREM AND ITS APPLICATIONS)
1
2. Res
π
e z2
z= 2
เนื่องจาก
1
1 π 2 π
e z2 = e ( 2 ) เมื่อ z =
2
1
ดังนั้น Res
π
e z2 = 0
z= 2
z
3. Res
z=1 z−1
z z
Res = lim (z − 1) =1
z=1 z−1 z→1 z−1
4. Res (ez )
z=1
เนื่องจาก
ez = e1 เมื่อ z = 1
ดังนั้น Res
π
(ez ) = 0
z= 2
ez
5. Res
z=ı z2 + 1
z z z
eı
e e e
Res = lim (z − ı) = lim =
z=ı z2 + 1 z→ı z2 + 1 z→ı z+ı 2ı
ez
6. Res
z=−ı z2 + 1
ez ez ez e−ı e−ı
Res = lim (z + ı) = lim = =−
z=−ı z2 + 1 z→ı z2 + 1 z→−ı z−ı −2ı 2ı
z2
วิธีทำ เนื่องจาก f (z) = เป็นฟังก์ชันวิเคราะห์ที่จุดเดียวคือ z = 1 ซึ่งอยู่นอก |z| =
z−1
0.5 ดังนั้น
z2
I
dz = 0
|z|=0.5 z−1
z2
I
ตัวอย่าง 63 (ข้อสอบเก่าปลายภาค ปีการศึกษา 2554). จงหาค่าของ dz
|z|=1 z2 + 4
วนในทิศตามเข็มนาฬิกา
z2
I
dz = 0
|z|=1 z2 + 4
I
1
ตัวอย่าง 64. จงหา dz วนในทิศทวนเข็มนาฬิกา
|z|=5 z−1
วิธีทำ เนื่องจาก
1 1
Res = lim (z − 1)
z=1 z−1 z→1 z−1
=1
ดังนั้น
I
1
dz = 2πı(1)
|z|=5 z−1
= 2πı
I
1
ตัวอย่าง 65. จงหา dz วนในทิศทวนเข็มนาฬิกา
|z|=1 z−5
1
วิธีทำ เนื่องจากตำแหน่ง z = 5 อยู่ภายนอกวงปิด ดังนั้น f (z) = เป็นฟังก์ชันวิเคราะห์
z−5
ภายในวงปิด|z| = 1
I
1
dz = 0
|z|=1 z−5
72บทที่ 6. ทฤษฎีบทเรซิดิวและการประยุกต์ (RESIDUE THEOREM AND ITS APPLICATIONS)
I
1
ตัวอย่าง 66. จงหา dz ในทิศทวนเข็มนาฬิกา
|z|=5 (z − 1)(z − 2)
วิธีทำ เนื่องจาก
1 z−1
Res = lim
z=1 (z − 1)(z − 2) z→1 (z − 1)(z − 2)
= −1
และ
1 z−2
Res = lim
z=2 (z − 1)(z − 2) z→2 (z − 1)(z − 2)
=1
ดังนั้น
I
1
dz = 2πı(−1 + 1)
|z|=5 (z − 1)(z − 2)
=0
I
1
ตัวอย่าง 67. จงหา dz ในทิศทวนเข็มนาฬิกา
|z|=2 (z − 1)(z − 4)
I
1 1
dz = 2πıRes
|z|=2 (z − 1)(z − 4) z=1 (z − 1)(z − 4)
เราสามารถหาเรซิดิวได้จาก
1 z−1
Res = lim
z=1 (z − 1)(z − 4) z→1 (z − 1)(z − 4)
1
=−
3
ดังนั้น
I
1 1
dz = 2πı −
|z|=2 (z − 1)(z − 4) 3
2πı
=−
3
6.3. การประยุกต์ใช้ทฤษฎีบทเรซิดิว(APPLICATIONS OF RESIDUE THEOREM)73
I
1
ตัวอย่าง 68. จงหา exp dz โดยที่ C เป็นวงปิดวนในทิศทวนเข็มนาฬิกา
C z
จากสมการ
X∞
1 1
exp = (6.5)
z zn
n=1
จะได้ว่า
1
Res exp =1
z=0 z
ดังนั้น
I
1
exp dz = 2πı(1)
C z
= 2πı
I
1
ตัวอย่าง 69. จงหา exp dz โดยที่ C เป็นวงปิดวนในทิศทวนเข็มนาฬิกา
C z2
I
1 1
exp dz = 2πıRes exp
C z2 z=0 z2
จากสมการ
X∞
1 1
exp = (6.6)
z zn
n=1
74บทที่ 6. ทฤษฎีบทเรซิดิวและการประยุกต์ (RESIDUE THEOREM AND ITS APPLICATIONS)
จะได้ว่า
∞
1 X 1
exp = (6.7)
z2 z 2n
n=1
ดังนั้น
1
Res exp =0
z=0 z2
นั่นคือ
I
1
exp dz = 2πı(0)
C z
=0
Z ∞
1
ตัวอย่าง 70. จงหาค่าของ dx
−∞ x2 +1
CR y
R
×ı
Γ
x
×−ı
วิธีทำ โดยนิยาม
Z ∞ Z m
1 1
2+1
dx = m→∞
lim 2+1
dx
−∞ x n→∞ −n
x
Z n Z m
1 1
= lim dx + m→∞
lim dx
n→∞ −n x2 + 1 x 2+1
n→∞ n
เนื่องจาก
x2 + 1 > x2
6.3. การประยุกต์ใช้ทฤษฎีบทเรซิดิว(APPLICATIONS OF RESIDUE THEOREM)75
ดังนั้น
1 1
< 2
x2 + 1 x
จะได้ว่า
Z m Z m
1 1
lim dx ≤ lim dx
n→∞ n x2 + 1 n→∞ n x2
m→∞ m→∞
m
= m→∞
lim (−x)|n
n→∞
1 1
= m→∞
lim −
n→∞ n m
=0
นั่นคือ
Z ∞ Z n
1 1
dx = lim dx
−∞ x2 + 1 n→∞ −n x2 + 1
หรือ
Z R
1
= lim dx
R→∞ −R x2 + 1
Z ∞
1
เราสามารถหา dx ได้โดยเริ่มต้นจากสมการ
−∞ x2
+1
I Z Z
1 1 1
2
dz = 2
dz + 2
dz (6.8)
C z +1 Γ z +1 CR z + 1
Z R Z
1 1
= 2
dx + 2
dz
−R x + 1 CR z + 1
I
1
จากสมการ 6.10 เราสามารถหาค่าของ 2+1
dz ได้จากทฤษฎีบทเรซิดิว
Z ∞ C z
1
ดังนั้น เราสามารถหาค่า 2
dx ได้ถ้าหากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่า
−∞ x + 1
Z
f (z) dz = 0 เมื่อ R → ∞ (6.9)
CR
76บทที่ 6. ทฤษฎีบทเรซิดิวและการประยุกต์ (RESIDUE THEOREM AND ITS APPLICATIONS)
1
โดยที่ f (z) =
z2 +1
เนื่องจาก
z + 1 ≥ |z|2 − |1|
2
จะได้ว่า
Z Z
1 2
2
dz <
2 dz
CR z +1 CR |z|
= 0 เมื่อ R → ∞
=π
6.3. การประยุกต์ใช้ทฤษฎีบทเรซิดิว(APPLICATIONS OF RESIDUE THEOREM)77
Z ∞
1
ตัวอย่าง 71 (ข้อสอบเก่าภาคปลาย ปีการศึกษา 2554). จงหาค่าของ dx
−∞ 1 + x2
(โดยการพิจารณาคอนทัวร์ครึ่งวงกลมวนในทิศตามเข็มนาฬิกาเท่านั้น)
วิธีทำ โดยนิยาม
Z ∞ Z m
1 1
2
dx = m→∞
lim 2
dx
−∞ x + 1 n→∞ −n
x +1
Z n Z m
1 1
= lim 2
dx + m→∞
lim 2
dx
n→∞ −n x + 1 x +1
n→∞ n
เนื่องจาก
x2 + 1 > x2
ดังนั้น
1 1
< 2
x2 +1 x
จะได้ว่า
Z m Z m
1 1
lim dx ≤ lim dx
n→∞ n x2 + 1 2
m→∞
m→∞ x
n→∞ n
m
= m→∞
lim (−x)|n
n→∞
1 1
= m→∞
lim −
n→∞ n m
=0
นั่นคือ
Z ∞ Z n
1 1
dx = lim dx
−∞ x2 + 1 n→∞ −n x2 + 1
หรือ
Z R
1
= lim dx
R→∞ −R x2 + 1
78บทที่ 6. ทฤษฎีบทเรซิดิวและการประยุกต์ (RESIDUE THEOREM AND ITS APPLICATIONS)
Z
f (z) dz = 0 เมื่อ R → ∞ (6.11)
CR
1
โดยที่ f (z) =
z2 +1
เนื่องจาก
z + 1 ≥ |z|2 − |1|
2
2
z + 1 > |z|
2
2
ดังนั้น
1 2
< 2
|z 2 + 1| |z|
จะได้ว่า
Z Z
1 2
2
dz < 2 dz
CR z +1 CR |z|
6.4. การหาค่าอินทิกรัลจำกัดเขตที่เกี่ยวกับฟังก์ชันไซน์และโคไซน์ (SINE AND COSINE FUNCTIONS)79
= 0 เมื่อ R → ∞
=π
eıθ − e−ıθ
sin θ =
2ı
z − z −1
=
2ı
นั่นคือ
2π
z + z −1 z − z −1
Z I
dz
F (cos θ, sin θ) dθ = F , (6.13)
0 C 2 2ı zı
วิธีทำ เนื่องจาก
2π
z + z −1 dz
Z I
cos x dx =
0 C 2 ız
z −2
Z 2π I
1
cos x dx = + dz
0 C 2ı 2ı
I I −2
1 z
= dz + dz
C 2ı C 2ı
=0+0
=0
Z 2π
นั่นคือ cos x dx = 0
0
Z 2π I
1 2
dθ = −ı dz
0 2 + cos θ C z2 + 4z + 1
2πı
= −ı √
3
2π
=√
3
Z 2π
ตัวอย่าง 74 (ข้อสอบเก่าปลายภาค ปีการศึกษา 2554). จงหาค่าของ (1+cos θ) dθ
0
โดยใช้ทฤษฎีบทเรซิดิว
วิธีทำ ให้ z = eıθ ดังนั้น
z + z −1 dz
cos θ = และ dθ =
2 ız
และดังนั้น
z + z −1 dz z −2
Z 2π I I
1 1
(1 + cos θ) dθ = 1+ = + + dz
0 C 2 ız C ız 2ı 2ı
ดังนั้น
z −2
I
1 1 1
+ + dz = 2πı = 2π
C ız 2ı 2ı ı
นั่นคือ Z 2π
(1 + cos θ) dθ = 2π
0
6.5 การหาค่าอินทิกรัลไม่จำกัดเขตโดยใช้ทฤษฎีบทเรซิดิว
ก่อนที่จะกล่าวถึงการหาค่าอินทิกรัลไม่จำกัดเขตโดยใช้ทฤษฎีบทเรซิดิว จะขอยกตัวอย่างการหาค่า
อินทิกรัลไม่จำกัดเขตง่าย ๆ ตอไปนี้
Z ∞
ตัวอย่าง 75. จงหาค่า sin x dx
−∞
วิธีทำ
Z ∞ Z m
sin x dx = m→∞
lim sin x dx
−∞ n→∞ −n
วิธีทำ
Z ∞ Z m
1 1
dx = m→∞
lim dx
−∞ 1 + x2 n→∞ −n 1 + x
2
m
= m→∞
lim tan−1 x −n
n→∞
Z R
1
lim dx = π
R→∞ −R 1 + x2
Z ∞ Z ∞
1 1
จะเห็นได้ว่า dx = π ในขณะที่ค่าหลักของ dx = π เช่นเดียวกัน
−∞ 1 + x2 −∞ 1 + x2
ในกรณีนี้ Z ∞ Z ∞
1 1
2
dx = P V 2
dx = π
−∞ 1 + x −∞ 1 + x
Z ∞
จากตัวอย่างก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่า ถ้า f (x) dx มีค่า จะได้ว่า
−∞
Z ∞ Z ∞
f (x) dx = P V f (x) dx
−∞ −∞
Z ∞
sin θ
ตัวอย่าง 77. จงหาค่าของ dθ
0 θ
CR y
C
C2 C1
× x
CR = {z | z = Reıθ เมื่อ 0 ≤ θ ≤ π}
eız
ดังนั้น หากพิจารณาฟังก์ชัน F (z) = จะได้
z
I ız
eız eız eız eız
Z Z Z Z
e
dz = dz + dz + dz + dz
C z C2 z C z C1 z CR z
I
เนื่องจาก F เป็นฟังก์ชันวิเคราะห์ภายใน C ดังนั้น F (z) dz = 0 นั่นคือ
C
จะได้ว่า
eız eız eız eız
Z Z Z Z
dz + dz = − dz − dz
C2 z C1 z C z CR z
R
eız eız
Z Z Z
sin x
แทน dz + dz = 2ı dx จะได้ว่า
C2 z C1 z x
R
eız eız
Z Z Z
sin x 1
dx = − dz − dz
x 2ı C z CR z
เนื่องจาก
z2 z3
ez = 1 + z + + + ...
2! 3!
6.5. การหาค่าอินทิกรัลไม่จำกัดเขตโดยใช้ทฤษฎีบทเรซิดิว 85
ดังนั้น
eız 1 ız (ız)2
= +ı+ + + ...
z z 2! 3!
และ
eız ız (ız)2
Z Z
1
dz = +ı+ + + . . . dz
C z C z 2! 3!
ız (ız)2
Z Z
1
= dz + ı+ + + . . . dz
C z C 2! 3!
Z
ız (ız)2
Z
1
= dz + ı+ + + . . . dz
C z − 2! 3!
เมื่อ → 0+ ,
ız (ız)2
Z
ı+ + + . . . dz = 0
− 2! 3!
นั่นคือ
eız
Z
lim dz = −πı
→0+ C z
นอกจากนี้ จากบทตั้งของจอร์แดนจะได้ว่า
eız
Z
lim dz = 0
R→∞ CR z
นั่นคือ
Z ∞
sin x π
dx =
0 x 2
Z ∞
cos x
ตัวอย่าง 78. จงหา dx
−∞ 1 + x2
วิธีทำ โดยนิยาม
Z ∞ Z m
cos x cos x
2
dx = m→∞
lim dx
−∞ 1 + x n→∞ −n
1 + x2
Z n Z m
cos x cos x
= lim 2
dx + m→∞
lim dx
n→∞ −n 1 + x
n→∞ n
1 + x2
เราสามารถแสดงได้ว่า Z m
cos x
lim dx = 0
m→∞
n→∞ n 1 + x2
ได้ดังนี้
จาก | cos x| ≤ 1 ดังนั้น
cos x 1
≤
1 + x2 1 + x2
จะได้ว่า
Z m Z m
cos x 2
lim dx ≤ lim |dx|
n→∞ n 1 + x2 m→∞ x2
m→∞
n→∞ n
1 1
= m→∞
lim 2 − →0
n→∞
m n
นั่นคือ
Z ∞ Z n
cos x cos x
dx = lim dx
−∞ 1 + x2 n→∞ −n 1 + x2
6.5. การหาค่าอินทิกรัลไม่จำกัดเขตโดยใช้ทฤษฎีบทเรซิดิว 87
CR y
n
×ı
Γ
x
×−ı
จากรูป จะได้ว่า
หรือ
n
eız eıx eız
Z Z Z
dz = dx + dz
C 1 + z2 −n 1 + x2 CR 1 + z2
S
โดยที่ C = CR Γ
โดยการใช้บทตั้งของจอร์แดน เราสามารถแสดงได้ว่า
eız
Z
dz = 0 เมื่อ n → ∞
CR 1 + z2
นั่นคือ
n
eıx eız
Z Z
lim dx = dz
n→∞ −n 1 + x2 C 1 + z2
88บทที่ 6. ทฤษฎีบทเรซิดิวและการประยุกต์ (RESIDUE THEOREM AND ITS APPLICATIONS)
eız eız
Z
เราสามารถหา dz ได้ โ ดยการหาค่ า Res ดังนี้
C 1 + z2 z=ı 1 + z 2
eız eız
Z
2
dz = 2πıRes
C 1+z z=ı 1 + z 2
eız
= 2πı lim(z − ı)
z→ı 1 + z2
eız
= 2π lim
z→ı z + ı
e−1
= 2πı
2ı
= πe−1
นั่นคือ
n n n
eıx
Z Z Z
cos x sin x
lim dx = lim dx + ı lim dx = πe−1
n→∞ −n 1 + x2 n→∞ −n 1 + x2 n→∞ −n 1 + x2
Z ∞
cos x −1
= πe−1
สรุปได้ว่า 2
dx = Re πe
−∞ 1 + x
Z ∞
cos (2x)
ตัวอย่าง 79. จงหา 2
dx
−∞ 1 + x
วิธีทำ โดยนิยาม
Z ∞ Z m
cos (2x) cos (2x)
2
dx = lim dx
−∞ 1 + x m→∞
n→∞ −n
1 + x2
Z n Z m
cos (2x) cos (2x)
= lim dx + m→∞
lim dx
n→∞ −n 1 + x2 1 + x2
n→∞ n
เราสามารถแสดงได้ว่า Z m
cos (2x)
lim dx = 0
m→∞
n→∞ n 1 + x2
ได้ดังนี้
จาก | cos (2x)| ≤ 1 ดังนั้น
cos (2x) 1
1 + x2 ≤ 1 + x2
ดังนั้น
1
< 2
1 + x2 x2 เมื่อ |x| ใหญ่พอ
จะได้ว่า
Z m Z m
cos (2x) 2
lim dx ≤ lim |dx|
n→∞ n 1 + x2 x2
m→∞
m→∞
n→∞ n
1 1
= m→∞
lim 2 − →∞
n→∞
m n
นั่นคือ
Z ∞ Z n
cos (2x) cos (2x)
dx = lim dx
−∞ 1 + x2 n→∞ −n 1 + x2
จากรูป จะได้ว่า
CR y
n
×ı
Γ
x
×−ı
หรือ
n
e2ız e2ıx e2ız
Z Z Z
dz = dx + dz
C 1 + z2 −n 1 + x2 CR 1 + z2
90บทที่ 6. ทฤษฎีบทเรซิดิวและการประยุกต์ (RESIDUE THEOREM AND ITS APPLICATIONS)
S
โดยที่ C = CR Γ
โดยการใช้บทตั้งของจอร์แดน เราสามารถแสดงได้ว่า
e2ız
Z
2
dz = 0 เมื่อ n → ∞
CR 1 + z
นั่นคือ
n
e2ıx e2ız
Z Z
lim dx = dz
n→∞ −n 1 + x2 C 1 + z2
e2ız e2ız
Z
เราสามารถหา dz ได้ โ ดยการหาค่ า Res ดังนี้
C 1 + z2 z=ı 1 + z 2
e2ız e2ız
Z
2
dz = 2πıRes
C 1+z z=ı 1 + z 2
e2ız
= 2πı lim(z − ı)
z→ı 1 + z2
e2ız
= 2π lim
z→ı z + ı
e−2
= 2πı
2ı
−2
= πe
นั่นคือ
n n n
e2ıx
Z Z Z
cos (2x) sin (2x)
lim dx = lim dx + ı lim dx = πe−2
n→∞ −n 1 + x2 n→∞ −n 1 + x2 n→∞ −n 1 + x2
Z ∞
cos (2x)
dx = Re πe−2 = πe−2
สรุปได้ว่า 2
−∞ 1+x
วิธีทำ
6.5. การหาค่าอินทิกรัลไม่จำกัดเขตโดยใช้ทฤษฎีบทเรซิดิว 91
Z ∞
2
1. ให้ I = e−x dx ดังนั้น3
0
Z ∞
2
I= e−y dy
0
และ Z ∞Z ∞
2 +y 2
I2 = e−(x ) dxdy
0 0
Z ∞Z ∞
2 +y 2
อินทิกรัล I 2 = e−(x ) dxdy ก่อนหน้าสามารถเปลี่ยนเป็น
0 0
π
Z
2
Z ∞
2
2
I = e−r rdrdφ
0 0
หรือ
1 2 ∞ π
I 2 = − e−r φ|02
2 0
π −r2 ∞
=− e
4 0
π
= − (0 − 1)
4
π
=
4
สรุปได้ว่า √
π
I=
2
นั่นคือ Z ∞ √
−x2 π
e dx = (6.14)
0 2
2. จากรูป 80
I Z Z Z
2 2 2 2
eiz dz = eiz dz + eiz dz + eiz dz
C C1 CR C2
S S
โดยที่ C = C1 CR C2
เราอาจแสดงได้ว่า I
2
eiz dz = 0
C
3
จะสังเกตได้ว่า ถ้าหาก I มีค่า ดังนั้น I > 0
92บทที่ 6. ทฤษฎีบทเรซิดิวและการประยุกต์ (RESIDUE THEOREM AND ITS APPLICATIONS)
C2
CR
π
4
x
R
C1
โดยใช้ทฤษฎีบทของโคชี-เกอร์ซาต์
ดังนั้น
Z Z Z
iz 2 iz 2 2
e dz = − e dz − eiz dz (6.15)
C1 C2 CR
Z Z R
2 2
eiz dz = eıx dx
C1 0
Z R
cos (x2 ) + ı sin (x2 ) dx
=
0
Z R Z R
2
= cos (x ) dx + ı sin (x2 ) dx
0 0
และ
Z Z
iz 2 2
e dz = eı(x+ıy) d(x + ıy)
C2
ZC2
2 −y 2 +2xyı
= eı(x ) (dx + ıdy)
ZC2
= e−2xy (dx + ıdy)
C2
6.5. การหาค่าอินทิกรัลไม่จำกัดเขตโดยใช้ทฤษฎีบทเรซิดิว 93
จะได้ว่า √
Z ∞ Z ∞
2 1 −r2 π
cos (x ) dx = √ e dr = √
0 2 0 2 2
และ √
Z ∞ Z ∞
1 2 π
sin (x2 ) dx = √ e−r dr = √
0 2 0 2 2
Z ∞
cos mx
ตัวอย่าง 81. จงหาค่า x −x
dx, m > 0 โดยที่
−∞ e + e
C1 = {z | z = x, −R1 ≤ x ≤ R2 }
C2 = {z | z = R2 + ıy โดยที่ 0 ≤ y ≤ π}
C3 = {z | z = −t + ıπ, −R2 ≤ t ≤ R1 }
C4 = {z | z = −R1 − ıy โดยที่ − π ≤ y ≤ 0}
และ
C = C1 ∪ C2 ∪ C3 ∪ C4
eımz
I
วิธีทำ พิจารณา z −z
dzจะได้ว่า
C e +e
eımz eımz
Z Z
เราสามารถแสดงได้ว่า dz → 0 เมื่อ R2 → ∞ และ dz →
C2 ez + e−z C4 ez + e−z
0 เมื่อ R1 → ∞ ดังนั้น
Z ∞
eımz eımx
I
−mπ
z −z
dz = (1 + e ) x −x
dx
C e +e −∞ e + e
eımz
I
เราสามารถหา dz ได้โดยใช้ทฤษฎีบทเรซิดิวดังต่อไปนี้
C ez + e−z
6.6. หลักการอาร์กิวเมนต์ (ARGUMENT PRINCIPLE) 95
ให้
p(z) = eımz และ q(z) = ez + e−z
เราจะได้ว่า
z −z 1
q(z) = e + e = 0 เมื่อ z = n + πı
2
โดยที่ n เป็นจำนวนเต็ม
πı
แต่มีเพียงจุดเดียวเท่านั้นที่อยู่ภายในคอนทัวร์ C นั่นคือ z = เราจะได้ว่า
2
πı π
p = e−m 2
2
และ πı πı πı
q0 = e 2 − e− 2 = 2ı
2
นอกจากนี้
π π
eımz e−m 2 e−m 2
I
π
z −z
dz = 2πı πı
− πı = 2πı = πe−m 2
C e +e e2 −e 2 2ı
นั่นคือ
∞
eımx
Z
π
−x
dx = mπ mπ
−∞
x
e +e e 2 + e− 2
สรุปได้ว่า
Z ∞
cos (mx) π
dx = mπ mπ
−∞ ex + e−x e 2 + e− 2
1
∆C f (z) = N = Z − P (6.16)
2π
โดยที่
∆C f (z) เป็นมุมของ f (z) ที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อ z เคลื่อนไปบนวงปิดอย่างง่ายวนในทิศทางบวก C
N เป็นจำนวนครั้งในการวนรอบกำเนิดของ f (z)
เมื่อ
z เคลื่อนที่รอบคอนทัวร์ C
Z เป็นจำนวนของซีโร5 ของ f ในคอนทัวร์ C
P เป็นจำนวนของโพล6 ของ f ในคอนทัวร์ C
6.7 แบบฝึกหัด
1. จากทฤษฎีบทเรซิดิว จงพิสูจน์สมการ ??
I n I
X
f (z) dz = f (z) dz
C i=1 Ci
Z ∞
2. จงแสดงว่า cos x dx ไม่มีค่า
−∞
5
เรานับ Z ตามอันดับของแต่ละซีโร
6
เรานับ P ตามอันดับของแต่ละโพล
6.7. แบบฝึกหัด 97
Cn
C1 C
× ... ×
z1 zn
R
Z 2π
3. จงหาค่าของ sin4 x dx
0
Z 2π
4. จงหาค่าของ sin5 x dx
0
Z 2π
5. จงหาค่าของ cos4 x dx
0
Z 2π
6. จงหาค่าของ cos5 x dx
0
I
1
7. จงหาค่าของ dz เมื่อ
C (z + 1)3
การส่งและการส่งคงรูป
(Mapping and Conformal
Mapping)
ในบทนี้เราจะกล่าวถึงแนวความคิดเกี่ยวกับการส่งและการส่งคงรูป เราสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากตำราและ
เอกสารอ้างอิง เช่น [1–3, 6, 7, 9–12]
w = f (z)
พิจารณาการส่ง w = u + ıv ซึ่งนิยามโดย
w = Az + b
1
การส่งอาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่าการแปลง (Transformation)
99
100บทที่ 7. การส่งและการส่งคงรูป(MAPPING AND CONFORMAL MAPPING)
โดยที่
A 6= 0 และ B เป็นค่าคงตัวซึ่งเป็นจำนวนเชิงซ้อน
การส่ง w สามารถเขียนในรูปของฟังก์ชันประกอบ (Composite Function)
w = f2 (f1 (z))
w1 = Az
w1 = aeıα reıθ
= areı(α+θ)
นอกจากนี้ พิจารณา w2
w2 = u + ıv
=z+b
โดยที่
b = b1 + ıb2 เป็นค่าคงตัวซึ่งเป็นจำนวนเชิงซ้อน
u และ v เป็นส่วนจริง และ ส่วนจินตภาพ ของ w ตามลำดับ
w2 = u + ıv
= x + ıy + b1 + ıb2
= (x + b1 ) + ı(y + b2 )
7.2. การส่งคงรูป (CONFORMAL MAPPINGS) 101
เราเรียกการแปลง
az + b
w= , ad − bc 6= 0
cz + d
1. การเลือนทางขนาน (Translation)
w =z+b
2. การผกผัน
1
w=
z
w = az
เป็นฟังก์ชันฮาร์โมนิคในโดเมน Dz
102บทที่ 7. การส่งและการส่งคงรูป(MAPPING AND CONFORMAL MAPPING)
โดยที่
αi
ki = , x1 < x2 < . . . , xn และ wi = f (zi ), i = 1, 2, . . . , n
π
และ
Z a 2π 2π
1=A (s + a)− 3 (s − a)− 3 ds + B
0
ถ้าให้
Z −a 2π 2π
c1 = (s + a)− 3 (s − a)− 3 ds
0
Z a 2π 2π
c2 = (s + a)− 3 (s − a)− 3 ds
0
2
เราเรียกการแปลงชนิดนี้ว่าการแปลงชวาร์ซ-คริสโตฟเฟล (The Schwarz-Christoffel Transformation)
7.2. การส่งคงรูป (CONFORMAL MAPPINGS) 103
ดังนั้น
เมื่อแก้สมการข้างต้น จะได้ว่า
1 c1
A= และ B=−
c2 − c1 c2 − c1
สรุปได้ว่า
Z z
1 2π 2π c1
w= (s + a)− 3 (s − a)− 3 ds −
c2 − c1 0 c2 − c1
df (z) 1 1
= A(z + a)− 2 (z − a)− 2
dz
หรือ
df (z) α
= 1
dz (a2 − z 2 ) 2
จะได้ว่า
α z
w= sin−1 + B (7.2)
a a
π α −a π α a
เมื่อแทนค่า − = sin−1 + B และ = sin−1 + B จะได้ว่า
2 a a 2 a a
π α π π α π
− = − + B และ = +B
2 a 2 2 a 2
104บทที่ 7. การส่งและการส่งคงรูป(MAPPING AND CONFORMAL MAPPING)
ดังนั้น
α = a และ B=0
สรุปได้ว่า
z
w = sin−1 +B
a
7.3 แบบฝึกหัด
az + b d
1. ให้ f (z) = , z 6= − โดยที่ ad − bc 6= 0 จงแสดงว่า
cz + d c
a
lim f (z) =
z→∞ c
az + b d
2. ให้ f (z) = , z 6= − โดยที่ ad − bc 6= 0 จงหา f −1 (z)
cz + d c
3. ให้ f (z) = exp(−z) โดยที่ Re(z) > 0 และ 0 < Im(z) ≤ 2π จงหา f −1 (z)
4. ให้ f (z) = exp(ız) โดยที่ Im(z) > 0 และ 0 < Re(z) ≤ 2π จงหา f −1 (z)
การประยุกต์ในทางวิศวกรรม
(Applications in Engineering)
• ตัวต้านทาน R
• ตัวเหนี่ยวนำ L
i(t)
Ri(t) + L = V (t)
dt
โดยที่
i(t) = 0 เมื่อ t < 0
105
106บทที่ 8. การประยุกต์ในทางวิศวกรรม (APPLICATIONS IN ENGINEERING)
จะได้
R
ih (t) = I0 e− L t เมื่อ t > 0
หรือ
IR + ıωLI = Vm
นั่นคือ
Vm
I=
R + ıωL
หรือ
Vm ωL
I=p ∠φ เมื่อ φ = − tan−1
R2 + (ωL)2 R
8.1. แนวความคิดเกี่ยวกับเฟเซอร์ (PHASOR CONCEPT) 107
π ωL π
โดยที่ − < tan−1 <
2 R 2
นอกจากนี้กระแสไฟฟ้า ip (t) เป็นไปตามสมการ
Vm
ip (t) = p cos (ωt + φ)
R + (ωL)2
2
และ
Vm Vm R
i(t) = p cos (ωt + φ) − p cos φe− L t เมื่อ t > 0
R2 + (ωL)2 R2 + (ωL)2
พิจารณาระบบอธิบายได้ด้วยสมการ
dy n (t) dy(t)
an n
+ . . . + a1 = x(t)
dt dt
หรือ
yp (t) = Re Y eıωt
โดยที่ Y = Ym eıθ
นอกจากนี้ x(t) สามารถแสดงอยู่ในรูป
x(t) = Re Xeıωt
108บทที่ 8. การประยุกต์ในทางวิศวกรรม (APPLICATIONS IN ENGINEERING)
โดยที่ X = Xm eıφ
และสมการ
dypn (t) dyp (t)
an n
+ . . . + a1 = x(t)
dt dt
จะเปลี่ยนเป็น
an (ıω)n Y + . . . + a1 (ıω)Y = X
นั่นคือ
an (ıω)n Y + . . . + a1 (ıω)Y = X
หรือ
X
Y =
an (ıω)n + . . . + a1 (ıω)
1
อาจเขียนแทนได้ด้วย L(f (t))
8.2. การแปลงลาปลาซ (LAPLACE TRANSFORM) 109
เนื่องจาก
1, t ≥ 0
u(t) =
0, t < 0
1
นั่นคือ L(u(t)) = เมื่อ |s| > 0
s
ทฤษฏีบท 41 (สมบัติเชิงเส้น (Linearity Property)). ให้ F (s) = L(f (t)) และ G(s) =
L(g(t)) ดังนั้น
L(f (t) + g(t)) = F (s) + G(s)
ดังนั้น
ทฤษฏีบท 43.
df (t)
L = sL(f (t)) − f (0)
dt
110บทที่ 8. การประยุกต์ในทางวิศวกรรม (APPLICATIONS IN ENGINEERING)
est est
= lim + lim
z→ıω s + ıω z→−ıω s − ıω
e ıωt e −ıωt
= +
2ıω −2ıω
1 eıωt − e−ıωt
=
ω 2ı
sin (ωt)
=
ω
=1
เนื่องจาก
∞
X 1
z −n = เมื่อ |z| > 1 (8.3)
1 − z −1
n=0
ดังนั้น
1
U (z) = เมื่อ |z| > 1 (8.4)
1 − z −1
โดยที่ a 6= 0
112บทที่ 8. การประยุกต์ในทางวิศวกรรม (APPLICATIONS IN ENGINEERING)
เนื่องจาก
∞
X 1 1
(az)−n = เมื่อ |z| >
1 − (az)−1 |a|
n=0
ดังนั้น
1 1
X(z) = เมื่อ |z| >
1 − (az)−1 |a|
ทฤษฏีบท 45 (สมบัติเชิงเส้น (Linearity Property)). ให้ X1 (z) และ X2 (z) เป็นการแปลง zของ
ลำดับ x1 [n] และ x2 [n] ตามลำดับ ดังนั้นการแปลง z X(z) ของลำดับ x[n] = c1 x1 [n]+
c2 x2 [n] คือ
โดยที่ m เป็นจำนวนเต็มบวก
คือ
Y (z) = z −m X(z)
y[n] = x[n + m]
8.3. การแปลง Z (Z-TRANSFORM) 113
โดยที่ m เป็นจำนวนเต็มบวก
คือ
m−1
!
X
m −n
Y (z) = z X(z) − x[n]z
n=0
จากนิยามของการแปลง z (z-Transform)
∞
X
X(z) = x[n]z −n
n=0
จะได้ว่า
∞
X
X(z)z m−1 = x[n]z −n z m−1
n=0
X∞
= x[n]z m−n−1
n=0
และดังนั้น
∞
I "X
I #
X(z)z m−1 dz = x[n]z m−n−1 dz
C C n=0
∞ I
X
m−n−1
= x[n]z dz
n=0 C
โดยที่ C วงปิดอย่างง่ายวงปิดวนในทิศทวนเข็มนาฬิกาล้อมรอบ z = 0
จากทฤษฎีบทเรซิดิว จะได้ว่า
I x[m], m = n
m−n−1
x[n]z dz =
C 0, m 6= n
นั่นคือ
I
x[n] = X(z)z n−1 dz
C
โดยที่ C วงปิดอย่างง่ายวงปิดวนในทิศทวนเข็มนาฬิกาล้อมรอบ z = 0
114บทที่ 8. การประยุกต์ในทางวิศวกรรม (APPLICATIONS IN ENGINEERING)
∆(z) = 1
วิธีทำ เนื่องจาก
I
δ[n] = ∆(z)z n−1 dz
IC
= z n−1 dz
C
โดยที่ C วงปิดอย่างง่ายวงปิดวนในทิศทวนเข็มนาฬิกาล้อมรอบ z = 0
จากทฤษฎีบทเรซิดิวจะได้ว่า
I 1, n = 0
z n−1 dz =
C 0, n 6= 0
นั่นคือ
1, n = 0
δ[n] =
0, n 6= 0
การแก้สมการผลต่างสืบเนื่อง
จากสมการ
จะได้ว่า
จากสมบัติเชิงเส้น จะได้
จากทฤษฎีบท 47 จะได้ว่า
N m−1
!!
X X
am z m X(z) − x[n]z −n = Z (x[n])
m=0 n=0
x[n] = Z −1 (X(z))
วิธีทำ จากสมการผลต่างสืบเนื่อง
จะได้ว่า
โดยการใช้สมบัติเชิงเส้น
1
z (X(z) − x[0]) − 2X(z) =
1 − z −1
1
z (X(z)) − 2X(z) =
1 − z −1
116บทที่ 8. การประยุกต์ในทางวิศวกรรม (APPLICATIONS IN ENGINEERING)
และดังนั้น
1
X(z) =
(z − 2)(1 − z −1 )
z −1
X(z) =
(1 − 2z −1 )(1 − z −1 )
ให้
z −1 a b
−1 −1
= −1
+
(1 − 2z )(1 − z ) 1 − 2z 1 − z −1
ดังนั้น
z −1
a = lim
z→2 1 − z −1
1
2
= 1
1− 2
=1
และ
z −1
b = lim
z→1 1 − 2z −1
1
=
1−2
= −1
จะได้ว่า
1 −1
X(z) = +
1 − 2z −1 1 − z −1
นั่นคือ
และ
p
u = ln x2 + y 2 (8.6)
p
ถ้าหากว่าศักย์ V เป็นฟังก์ชันฮาร์โมนิคในวงแหวน a < x2 + y 2 < b นั่นคือ
∂2V ∂2V p
+ = 0 ในวงแหวน a < x2 + y 2 < b (8.7)
∂x2 ∂y 2
∂2V ∂2V
+ = 0 ในอาณาบริเวณ ln (a) < u < ln (b) (8.8)
∂u2 ∂v 2
จะได้
V = k1 u + k2 (8.10)
นั่นคือ
p
V = k1 ln x2 + y 2 + k 2 (8.11)
118บทที่ 8. การประยุกต์ในทางวิศวกรรม (APPLICATIONS IN ENGINEERING)
8.5 แบบฝึกหัด
1. ให้โหลด ZL มีแรงดันตกคร่อม
และกระแสไหลผ่าน
i(t) = Im cos (ωt + φI )
โดยที่
Vm และ Im เป็นแอมพลิจูดของแรงดันตกคร่อมและกระแส ตามลำดับ และ
φV และ φI เป็นเฟสของแรงดันตกคร่อมและกระแส ตามลำดับ
จงแสดงว่ากําลังเฉลี่ย
Pav = Re(V I)
อสมการของจอร์แดน (Jordan’s
Inequality)
Z π
π
e−R sin θ dθ < เมื่อ R > 0 (ก.1)
0 R
อสมการ ก.1 ถูกเรียกว่าอสมการของจอร์แดน (Jordan’s Inequality)
2θ
2 y=
π
1 y = sin θ
2
0 3π π
พิสูจน์ 2
π
ให้ R เป็นจำนวนบวก และ 0 < θ < จะได้ว่า
2
2θ
sin θ >
π
ดังนั้น
−2Rθ
−R sin θ <
π
เนื่องจากฟังก์ชันชี้กำลังเป็นฟังก์ชันเพิ่ม ดังนั้น
Z π Z π
2 2 −2Rθ
−R sin θ
e dθ < e π dθ
0 0
119
120 ภาคผนวก ก. อสมการของจอร์แดน (JORDAN’S INEQUALITY)
นั่นคือ
Z π
2 π
e−R sin θ dθ < 1 − e−R
0 2R
π
<
2R
π
เนื่องจากฟังก์ชัน y = sin θสมมาตรรอบ θ = ดังนั้น y = e−R sin θ ก็สมมาตรรอบ θ =
2
π
ด้วย ดังนั้น
2
π
Z π Z
2
−R sin θ
e dθ = e−R sin θ dθ
π
2
0
π
<
2R
นั่นคือ
Z π
π
e−R sin θ dθ <
0 R
ภาคผนวก ข
บทตั้งของจอร์แดน (Jordan’s
Lemma)
lim MR = 0
R→∞
แล้ว สำหรับทุกจำนวนบวก a
Z
lim f (z)eıaz dz = 0
R→∞ CR
พิสูจน์ พิจารณา
Z Z π
ıθ
f (z)eıaz dz = f (Reıθ )eıaRe ıReıθ dθ
CR 0
เนื่องจาก
|f (z)| = |f (Reıθ )| ≤ MR
121
122 ภาคผนวก ข. บทตั้งของจอร์แดน (JORDAN’S LEMMA)
y
CR
R R0
x
และ
ıθ
|eıaRe | ≤ e−aR sin θ
ดังนั้น
π
Z Z
ıaz
e−aR sin θ dθ
f (z)e dz ≤ MR R
CR 0
MR π
< →0 เมื่อ R → ∞
a
เนื่องจาก MR → 0 เมื่อ R → ∞
บรรณานุกรม
[4] C. A. Desoer and E. S. Kuh, Basic Circuit Theory, 16th Printing Mc-
GrawHill, 1987.
[6] L. Hahn and B. Epstein, Classical Complex Analysis, Jones and Bartlett,
1996.
123
124 บรรณานุกรม