You are on page 1of 6

หลวงตาท่ านเมตตาสอนว่ า เราทั้งหลายควรหมั่นอธิษฐานสั จจะไว้ บ้าง แต่ ต้อง

ดูเค้ าของตัวเองก่ อนว่ าจะทำได้ ไหม โดยให้ อธิษฐานจากสิ่ งรอบกายทีพ่ อจะ


ทำได้ ก่อน เมื่อทำได้ แล้ ว ก็ให้ ค่อย ๆ เพิม่ มากขึน้ การอธิษฐานสั จจะบารมีนี้
เป็ นการสร้ างบารมีอย่ างหนึ่ง เพราะสั จจะบารมีทเี่ ราอธิษฐานนี้ เราสามารถ
ทำได้ แล้ ว จะได้ บารมีอื่น ๆ อีกหลายบารมีตามมา เช่ น ขันติบารมี ทานบารมี
ฯลฯ นอกจากนีแ้ ล้ ว ยังทำให้ เราเกิดกำลังใจในการปฏิบัติธรรมเพิม่ มากขึน้ อีก
เวลาจะตั้งอธิษฐานจิตให้ กล่ าวว่ า อิมัง สั จจะวาจัง อธิษฐานมิ หลวงตายังบอก
อีกว่ า นักปฏิบัติควรจะมีการตั้งจิตอธิษฐาน แต่ ก่อนทีจ่ ะเริ่มตั้งจิตอธิษฐานนั้น
อย่ าลืมพิจารณาก่ อนว่ า สิ่ งนั้นๆ เราต้ องแน่ ใจว่ าเราสามารถทำได้ เราต้ องเข้ ม
แข็งพอกับสิ่ งทีจ่ ะเกิดขึน้ และการตั้งจิตอธิษฐานนี้ ท่ านให้ เริ่มจากทีละน้ อย
ก่ อน เช่ น เริ่มจาก ๓-๗ วันก่ อน แล้ วค่ อยเพิม่ เป็ น ๑-๓ เดือน แล้ วค่ อยเป็ นปี ถ้ า
เราสามารถปฏิบัติได้ ตามทีเ่ ราตั้งจิตอธิษฐานแล้ ว บารมีของเราก็เพิม่ มากขึน้
มหาศาลนะ ถ้ าทำได้ แต่ ถ้าทำไม่ ได้ ทำไม่ สำเร็จ ก็ต้องไปเริ่มต้ นที่ ก ไก่ ใหม่ คือ
ทุกอย่ างทีเ่ ราเคยสร้ างไว้ ทำไว้ เป็ นอันว่ าสู ญนะ แต่ ทุกคนต้ องทำนะ อย่ ามัวแต่
รอช้ า เริ่มจากง่ ายๆ ก่ อน อย่ างเช่ น เราตั้งจิตอธิษฐานขอถือธรรมะตลอดชีวติ
ข้ อนีน้ ักปฏิบัติต้องทำกันได้ อยู่แล้ ว หรื อจะตั้งจิตอธิษฐานว่ าชาตินีเ้ ราจะไม่
แต่ งงาน อันนีส้ ำคัญนะ เวลาตั้งจิตอธิษฐานข้ อนีด้ ูเอาเองแล้ วกัน ไม่ รู้ใครต่ อใคร
มาจากทีไ่ หน ๆ มาหากันเป็ นโขยงเลย รับกันไม่ หวาดไม่ ไหว ไม่ เชื่ อก็ไปลองทำ
ดูเอง แรงอธิษฐานและบารมีเป็ นสิ่ งสำคัญ เช่ น คน ๒ คน อธิษฐานด้ วยกัน
อย่ างไร ก็ต้องเจอกัน เพราะการอธิษฐานนีเ้ ป็ นการเชื่ อมต่ อจิตให้ ถงึ กัน การ
อธิษฐานนีใ้ ห้ เลือกช่ วงทีเ่ รามีจิตใจทีส่ บาย ปลอดโปร่ ง จะช่ วยให้ การอธิษฐานนี้
สำเร็จผล เหมือนกับการทีเ่ ราทำบุญ พอเริ่มตั้งจิตอธิษฐานตอนทีเ่ ราทำบุญนั้น
เราเกิดความศรัทธา ความสบายใจ มันพร้ อมไปหมด คำอธิษฐานนั้นก็ได้ ผล
อย่ างหลวงตาพอเริ่มอธิษฐานปั๊ป ให้ สังเกตเลย ไม่ รู้ คนมาจากไหน จนสร้ าง
ไม่ ทัน เดีย๋ วก็มีโน่ น เดีย๋ วก็มีนี่ ด้ วยแรงอธิษฐานผู้ทเี่ กีย่ วพัน เกีย่ วข้ อง จะต้ อง
มาช่ วยกันทีเ่ ห็น ๆ อยู่นี้ ก็ด้วยแรงอธิษฐานทั้งนั้น ไม่ ใช่ เทีย่ วไปหา ไปแจกซอง
ใช้ แรงอธิษฐานจากผู้ทเี่ กีย่ วข้ องและเกีย่ วพันเท่ านั้น แล้ วผู้ทเี่ กีย่ วข้ องเกีย่ วพัน
ทั้งหลายก็ต้องมา ไม่ ง้นั อยู่ได้ ทไี่ หน เร่ าร้ อน หงุดหงิด ต้ องมาลวงตาเล่ าว่ า เคย
ให้ พระชัชวาลท่ านลองอธิษฐานจิตดู ตอนทีท่ ่ านจะกลับไปบ้ านท่ าน โดยบอกให้
ท่ านอธิษฐานถึงผู้ทเี่ กีย่ วข้ องเกีย่ วพันกับท่ าน ให้ มาหาท่ าน หลังจากนั้น พระ
ชัชวาลได้ กลับมาเล่ าให้ หลวงตาฟังว่ า เห็นผลเลย เขาอยู่กนั ไม่ ได้ อยากจะมาหา
แล้ วก็จะมาหาอีก เพื่อนท่ านจากกรุงเทพฯ อยู่ๆ ก็ต้องขับรถมาเลย หลวงตาบอก
ว่ า หลวงปู่ ดู่ท่านให้ อธิษฐานโดยตั้งบารมี ๑๐ ได้ แก่
๑. ทานบารมี ความพอใจในการให้ ทานอยู่เสมอ เป็ นการตัดโลภ
๒. ศีลบารมี พยายามรักษาศีลให้ ครบ เป็ นการป้ องกันอบายภูมิ
๓. เนกขัมมบารมีพยายามระงับนิวรณ์ ในเบื้องต้ น ป้ องกันความวุ่นวายของจิต
๔. วิริยะบารมี ความพากเพียรต่ อสู้ กบั กิเลส
๕. ปัญญาบารมี การทรงปัญญายอมรับนับถือกฎของความเป็ นจริง
๖. ขันติบารมี ต้ องมีความอดทน
๗. สั จจะบารมี ความตั้งใจจริง
๘. อธิษฐานบารมี
๙. เมตตาบารมี
๑๐.อุเบกขาบารมี
อดทนต่ อความอดกลั้นทั้งหลาย และให้ รู้ จักละวาง ลูกศิษย์ ถามว่ า ถ้ าเรา
อธิษฐานตามใครสักคน ก็ต้องตามตลอดเลยหรื อ หลวงตาบอกว่ าแน่ นอนอยู่
แล้ ว เรื่ องของบารมี ไม่ ใช่ ว่าบารมีคนจะเท่ ากัน อย่ างเช่ น เราเกิดมาในภพนี้ เรา
อัดบุญกัน ๒ คน พร้ อมๆ กัน บุญทีไ่ ด้ ยงั ไม่ เท่ ากันเลย บารมีคือกำลังใจ อย่ างคน
นั่งสมาธิ ๒ คน คนหนึ่งนั่งแค่ ๒ นาทีกเ็ มื่อยแล้ ว ส่ วนอีกคนหนึ่งนั่ง ๒ ชั่วโมง
ไม่ เป็ นไร นั่งเหมือนกัน ปฏิบัติเหมือนกัน ยังได้ ไม่ เหมือนกันเลย บุญทีไ่ ด้ กไ็ ม่
เหมือนกัน อย่ างเรื่ องของการพิจารณา ให้ พจิ ารณาให้ รอบคอบ พิจารณาคำสอน
ของพระพุทธเจ้ าให้ ลกึ ๆ ในคำสอนแต่ ละข้ อ ๆ ลูกศิษย์ ๕ คน สอนในบท
เดียวกันยังใช้ ไม่ เหมือนกัน เพราะอะไร เพราะอยู่ทคี่ วามตั้งใจ เจตนา และความ
เชื่ อของแต่ ละบุคคล ผลออกมาจึงย่ อมไม่ เท่ ากัน ต้ องรู้ หลักอธิษฐานและหลัก
ของการทำบุญ ผู้ทไี่ ปแล้ วก็เยอะแยะ ผู้ทยี่ งั ตามอยู่นี่กม็ ี พวกทีไ่ ปแล้ ว อย่ านึกว่ า
จะตามอีก บางคนก็ไม่ ตาม เขาไม่ ตามก็เพราะเขาถึงแล้ ว เขารู้ แล้ วว่ า เกิดนี่ทุกข์
ขนาดไหน เขาก็ไม่ ตามอีก” (คำว่ า “ถึง” ในที่นี้ หลวงตาหมายถึง พระนิพพาน)
ลูกศิษย์ ถามว่ า “ถ้ าเราอธิษฐานขอถึงพระนิพพานนี่เรามีโอกาสจะถึงไหมหลวง
ตาบอกว่ า ถ้ าเราปฏิบัติจริงก็ถงึ ถ้ ากำลังใจเราถึง ดูอย่ างพระมหาวีระ (หลวงพ่อ
ฤาษีลงิ ดำ) สิ พอท่ านละสั งขาร ลูกศิษย์ ท่านมาเยอะเลย หลวงตาพูดจริงไหมละ
การลานี่ไม่ ใช่ ลากันง่ ายๆ เพราะความผูกพันกับพรรคพวก หมู่คณะ ไหนๆ มา
ด้ วยกันไม่ รู้ กภี่ พต่ อกีช่ าติ กีช่ าติต่อกีช่ าติ ก็ตามกันมา เพราะฉะนั้นเราต้ องเตรี
ยมตัวให้ พร้ อม ศึกษาศรัทธา ศีล ทาน การศึกษา ปัญญา หลวงปู่ ดู่ท่านสอนไว้
อย่ างนีแ้ หละ ว่ ามีครบ ปรารถนาไปไหนก็ได้
๑. ศรัทธา คือ ความเชื่ อ เชื่ อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่ อว่ านรก
สวรรค์ มีจริง เชื่ อเรื่ องมีเกิด มีแก่ มีตาย
๒. ทาน คือ การให้
๓. ศีล คือ การรักษา
๔. อศิตะ คือ การศึกษาจากพระไตรปิ ฎก หนังสื อ คณาจารย์ เวลาไปวัดไหน
ก็ตาม ท่ านสอนก็ฟัง ฟังแล้ วก็เอามาพิจารณาว่ าเท็จจริงอย่ างไร ถูกไหม แล้ วก็
รวมเข้ าเป็ นปัญญาทั้งหมด ตั้งแต่ ข้อแรก อย่ างเราเชื่ อว่ าเราต้ องตายแน่ เมื่อตาย
แล้ วเราต้ องเกิด เมื่อเกิดแล้ วเราอยากสวย อยากหล่ อ อยากรวย อยากเป็ นใหญ่
เราจะทำอย่ างไร เราก็ต้องรักษาศีล ไม่ เป็ นคนขีโ้ กรธ หมั่นให้ ทาน เกิดมาก็สวย
ไม่ โกรธ เพราะโกรธแล้ ว ให้ ไปส่ องกระจกดู หน้ าจะหงิก เมื่อหน้ าหงิกเพราะ
ความโกรธ จิตก็อดั เข้ าไปแล้ ว ยิง่ โกรธบ่ อยเท่ าไร เกิดใหม่ กไ็ ม่ สวยเท่ านั้น ถ้ าไม่
โกรธ เกิดอีกทีกเ็ ป็ นใหญ่ สวย รวย นี่มีในพระไตรปิ ฎก อย่ างนางวิสาขา ในพระ
ไตรปิ ฎกมีอยู่ ๗ นาง ทีป่ รารถนาพร้ อมกัน ตั้งแต่ นางอุบลวรรณา นางเขมา นาง
ผกาจารา ฯลฯ พอถึงพระพุทธเจ้ าองค์ปัจจุบัน ดูซิทุกข์ ไม่ เหมือนกันเลย เพราะ
ช่ วงทีเ่ วียนว่ ายตายเกิด ไปทำกรรมไว้ นางผกาจารานี่ทุกข์ กว่ าใครเพื่อน ทั้งๆ ที่
ปรารถนาพร้ อมกัน นางวิสาขาสบายกว่ าเพื่อน ฉะนั้น เมื่อเรารู้ หลีกแล้ วจะทำ
อย่ างไร ก็เลือกกันเอาเอง เกิดมานี่ทุกข์ มากเห็นๆ กันอยู่ ถ้ าเรามองว่ าเกิดมาแล้ ว
เป็ นอย่ างไร แต่ ละคนไม่ เหมือนกัน แต่ กใ็ กล้เคียงกัน เวลาเขาให้ ทาน ก็ไปกิน
เหล้ าซะ ไม่ โมทนา แค่ โมทนาเท่ านั้น หรื อเวลาเขาทำบุญ ก็มัวแต่ ไปขัดซะ ให้ ดู
เราโชคดีเท่ าไร หลวงปู่ ดู่ท่านสอนให้ เตรียมตัวไว้ เพราะเราตายแน่ ๆ ตายแล้ วจะ
ไปไหนนั่นคือปัญหา เราจะเอาพ้นทุกข์ หรื อตามหลวงปู่ หรื อจะปรารถนาสู ง
กว่ านั้นก็ได้ ให้ เราตั้งความปรารถนาไว้ ตั้งไว้ แล้ วก็ต้องทำ ไม่ ใช่ ต้งั แล้ วก็ไม่ ทำ
อย่ างนีก้ จ็ บกันเท่ านั้น ลูกศิษย์ ถามว่ า “ถ้ าอย่ างนีเ้ ราอธิษฐานไว้ สองอย่ างได้
ไหม คือ ถ้ าเราไปไม่ รอด ก็ขอตาม แต่ ถ้าเราไปรอดก็ขอแยก หลวงตาบอกว่ า ได้
เราต้ องเผื่อขาดเผื่อเหลือไว้ หลวงปู่ ดู่ท่านก็สั่งพระเล็กกับหลวงตาไว้ ว่า ถ้ าไปได้
ให้ ไปเลย และหลวงปู่ ดู่ยงั สั่ งอีกว่ า ให้ ลูกศิษย์ ทุกคนรีบปฏิบัติกลัวไม่ ทนั กัน
หลวงปู่ ดู่บอกว่ า ให้ รีบทำเข้ าไว้ โลกกำลังเปลีย่ นแปลง เราจะตายเมื่อไรก็ไม่ รู้
หลวงตาท่ านยังบอกอีกว่ า การตั้งสั จจะอธิษฐานอย่ างทีท่ ำกันทุกวันนีถ้ ูกแล้ ว ให้
ทำกันอย่ างจริงจัง จะได้ ท้งั วิริยะ ได้ ท้งั ศีล ได้ ท้งั ทาน ได้ ท้งั ขันติ ได้ ท้งั อธิษฐาน
ได้เกือบครบบารมี ๑๐ แต่ ท้งั นีท้ ้งั นั้น ต้ องทำให้ ได้ จริงๆ เอาเท่ าทีก่ ำลังใจเราจะ
ทำได้ การตั้งสั จจะอธิษฐานในการนั่งสมาธิน้ัน ให้ อธิษฐานว่ า นับตั้งแต่ บัดนี้
เป็ นต้ นไป ภายใน ๗ วัน ข้ าพเจ้ าจะนั่งสมาธิทุกวัน แล้ วก็ว่า อิมัง สั จจะวาจัง
อธิษฐานมิ แต่ อย่ าบอกว่ ากีช่ ั่วโมง อย่ าเจาะจงจนกว่ าเราจะแน่ น ลูกศิษย์ ถามว่ า
ถ้ าเราตั้งสั จจะอธิษฐานอะไรก็แล้ วแต่ เกิดเราทำไม่ ได้ นี่ขอลาได้ ไหม หลวงตาบ
อกว่ า การตั้งสั จจะอธิษฐานนี้ ถ้ าเราทำได้ เป็ นการเพิม่ กำลังใจ ถ้ าเราเสี ยสั จจะ
เราก็เสี ยกำลังใจนะ ถ้ าขอลาก็ได้ แต่ กำลังใจเราจะคงทีห่ รื อ การเสียสั จจะนี่
ทำให้ บารมีไม่ เต็ม ถ้ าเราตั้งสั จจะอธิษฐานสมมุติต้งั ไว้ ว่า เราจะนั่งสมาธิ พอถึง
เวลาเราก็ต้องนั่งนะ ถึงแม้ ว่าเราจะนอนก็ต้องคิดว่ าเรานั่งสมาธิอยู่ หมายถึงเอา
กายใน กายทิพย์ นั่งก็ได้ เพราะเราไม่ ได้ ระบุว่า เราจะใช้ กายไหนนั่งสมาธิ นอน
เราก็นึกว่ าเรานั่ง ถ้ าเราอธิษฐานว่ าใช้ กายนอกกายเนื้อนั่ง เราก็ต้องนั่ง แต่ ถ้าเรา
กลัวก็ให้ อธิษฐานว่ า ข้ าพเจ้ าจะภาวนาทุกวันนี่คือการใช้ วิจารณญาณเป็ นทีต่ ้งั
ถ้ าเราทำได้ กำลังใจเราจะเพิม่ ขึน้ เพราะเมื่อเกิดบารมี ก็เกิดสั จจะและกำลังใจ
เวลาเราภาวนาเราก็ใช้ กายใน (กายทิพย์ ) ภาวนา ไม่ ใช่ กายนอก กายเนื้อ หลับตา
ก็นึกว่ าเรากำลังนั่งภาวนาข้ างหน้ าพระ ทำไปเรื่ อยๆ จิตกับกายจะสั มพันธ์ กนั
ตลอด จะไม่ ละเมอ เพราะช่ วงทีจ่ ิตกับกายปฏิสนธิอยู่จะติดคำภาวนา จะไม่ มี
การละเมอ ถ้ าละเมอจะรู้ เลย ถ้ าเอาสติคุม จะรู้ ทนั ทีว่านี่คือความฝัน จิตยังมี
กิเลสตัณหา แต่ กายนีส้ ามารถแยกได้ เราเอากายออกมาแล้ ว เอาศีลคุมกรรมฐาน
หลวงปู่ ดู่ท่านว่ า พอตื่นขึน้ ให้ ทำเลย คือลืมตาขึน้ ทำเลย จะเอาวิปัสสนา หรื อจะ
เอากรรมฐาน ๔๐ เราก็ต้องทำจนกว่ าจะหลับ ให้ คุมอยู่ตลอด มันจะโผล่ บ้างก็
ช่ วงทีเ่ ราคุยกันอยู่
เรียบเรียงจากคติธรรมคำสอนของ พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้ า)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ -->>>
F/B Kajitsai Sakuljittajarern
กันยายน 2563 26

You might also like