Professional Documents
Culture Documents
สรุปกฎหมายแพ่ง 1
สรุปกฎหมายแพ่ง 1
1 ภาค 1/2563
มาตรา 19 บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู เ้ ยาว์และบรรลุ นิ ติ ภาวะเมื่ อมี อายุย ี่สิ บปี บริ บูรณ์
มาตรา 28 บุคคลวิกลจริ ตผู ใ้ ด ถ้าคู่สมรสก็ดี ผู บ้ ุ พการี กล่ าวคื อ บิ ดา มารดา ปู่ ย่า ตายาย ทวดก็ดี ผู ส้ ื บ
สันดานกล่ าวคือ ลูก หลาน เหลน ลื่อก็ดี ผู ป้ กครองหรื อผู พ้ ิ ท กั ษ์ก ็ดี ผู ซ้ ่ึ งปกครองดู แลบุ คคลนั้ นอยู่ก็ดี
หรื อพนักงานอัยการก็ดี ร้ องขอต่ อศาลให้สั ่งให้บุ คคลวิกลจริ ตผู น้ ้ั นเป็ นคนไร้ ความสามารถ ศาลจะสั่ง
ให้บุ คคลวิกลจริ ตผู น้ ้ั นเป็ นคนไร้ความสามารถก็ได้
มาตรา 30 การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริ ตซึ่ งศาลยังมิ ได้สั ่งให้เป็ นคนไร้ ความสามารถได้กระทำลง การ
นั้นจะเป็ นโมฆี ยะต่ อเมื่ อได้กระทำในขณะที่ บุ คคลนั้ นจริ ตวิกลอยู่ และคู่กรณี อี กฝ่ ายหนึ่ งได้รู ้ แล้วด้วย
ว่าผู ก้ ระทำเป็ นคนวิกลจริ ต
มาตรา 32 บุคคลใดมี กายพิการหรื อมี จิ ตฟั ่ นเฟื อนไม่ สมประกอบ หรื อประพฤติ สุ รุ่ ยสุ ร่ ายเสเพลเป็ น
อาจิ ณ หรื อติ ดสุ รายาเมา หรื อมี เหตุอื่นใดทำนองเดี ยวกันนั้น จนไม่ สามารถจะจัดทำการงานโดยตนเอง
ได้ หรื อจัดกิ จการไปในทางที่ อาจจะเสื่ อมเสี ยแก่ ทรั พย์สิ นของตนเองหรื อครอบครั ว เมื่ อบุ คคลตามที่
ระบุ ไว้ในมาตรา 28 ร้ องขอต่ อศาล ศาลจะสั ่งให้บุ คคลนั้ นเป็ นคนเสมื อนไร้ ความสามารถก็ได้
(5) เช่ าหรื อให้เช่ าสังหาริ ม ทรั พย์มี กำ หนดระยะเวลาเกิ นกว่าหกเดื อน หรื ออสังหาริ ม ทรั พย์มี
กำหนดระยะเวลาเกิ นกว่าสามปี
(6) ให้โดยเสน่ หา เว้นแต่ การให้ที่ พอควรแก่ ฐานานุ รู ป เพื่อการกุศล การสังคม หรื อตามหน้า ที่
ธรรมจรรยา
(7) รั บการให้โดยเสน่ หาที่ มี เงื่ อนไขหรื อค่าภาระติ ดพัน หรื อไม่ รั บการให้โดยเสน่ หา
(8) ทำการอย่างหนึ่ งอย่างใดเพื่อจะได้มาหรื อปล่ อยไปซึ่ งสิ ทธิ ในอสังหาริ ม ทรั พย์หรื อใน
สังหาริ มทรั พย์อ นั มี ค ่า
(9) ก่ อสร้ างหรื อดัดแปลงโรงเรื อนหรื อสิ ่ งปลูกสร้ างอย่างอื่ น หรื อซ่ อมแซมอย่างใหญ่
(10) เสนอคดี ต่ อศาลหรื อดำเนิ นกระบวนพิจารณาใด ๆ เว้นแต่ การร้ องขอตามมาตรา 35 หรื อการ
ร้ องขอถอนผู พ้ ิ ท กั ษ์
ถ้าจะต้องคืน ทรั พย์สิ นอันเกิ ดจากโมฆะกรรม ให้นำ บทบัญญัติ ว ่าด้วยลาภมิ ควรได้แห่ งประมวล
กฎหมายนี้ มาใช้บ งั คับ
(1) ผู แ้ ทนโดยชอบธรรมหรื อผู เ้ ยาว์ซ่ึ งบรรลุ นิ ติ ภาวะแล้ว แต่ ผ ู เ้ ยาว์จะบอกล้างก่ อนที่ ตนบรรลุ
นิ ติ ภาวะก็ได้ถ า้ ได้รั บความยินยอมของผู แ้ ทนโดยชอบธรรม
(2) บุคคลซึ่ งศาลสั ่งให้เป็ นคนไร้ ความสามารถหรื อคนเสมื อนไร้ ความสามารถ เมื่ อบุ คคลนั้ นพ้น
จากการเป็ นคนไร้ ความสามารถหรื อคนเสมื อนไร้ ความสามารถแล้ว หรื อผู อ้ นุ บาลหรื อผู พ้ ิ ท กั ษ์ แล้วแต่
กรณี แต่ คนเสมื อนไร้ ความสามารถจะบอกล้างก่ อนที่ ตนจะพ้นจากการเป็ นคนเสมื อนไร้ ความสามารถ
ก็ได้ถ า้ ได้รั บความยินยอมของผู พ้ ิ ท กั ษ์
(4) บุคคลวิกลจริ ตผู ก้ ระทำนิ ติ กรรมอันเป็ นโมฆี ยะตามมาตรา 30 ในขณะที่ จริ ตของบุ คคลนั้ นไม่
วิกลแล้ว
ถ้าบุ คคลผู ทำ
้ นิ ติ กรรมอันเป็ นโมฆี ยะถึ งแก่ ความตายก่ อนมี การบอกล้างโมฆี ยะกรรม ทายาทของ
บุ คคลดังกล่ าวอาจบอกล้างโมฆี ยะกรรมนั้ นได้
(๑) ผู แ้ ทนโดยชอบธรรมหรื อผู เ้ ยาว์ซ่ึ งบรรลุ นิ ติ ภาวะแล้ว แต่ ผ ู เ้ ยาว์จะบอกล้างก่ อนที่ ตน
บรรลุ นิ ติ ภาวะก็ได้ถ า้ ได้รั บความยินยอมของผู แ้ ทนโดยชอบธรรม
จากข้ อเท็จพิเคราะห์ แล้ วเห็นว่ า การที่ เด็กชายหล่ อซึ่ งอยู่ในฐานะเป็ นผู เ้ ยาว์ซื้ อสร้ อยทองคำน้ำหนัก 15
กรั ม ราคา 12,000 บาท โดยผู แ้ ทนโดยชอบธรรมไม่ รู ้ ถื อว่าผู เ้ ยาว์ทำ นิ ติ กรรมใดๆ ต้องได้รั บความ
ยินยอมของผู แ้ ทนโดยชอบธรรมก่ อน ตามมาตรา 21
ต่ อมาอี กหนึ่ งเดื อนราคาทองคำลดลงเหลือ ที่ ราคาต่ อน้ำหนัก 15 กรั ม คื อ 10,000 บาทเมื่ อนิ ติ กรรมเป็ น
โมฆี ยะกรรมแล้วดังนั้ นผู แ้ ทนโดยชอบธรรมจึ งมี สิ ทธิ์ ที่ จะบอกล้างสัญญาซื้ อขายทองคำของเด็กชาย
หล่ อได้
แนวคำตอบ
(มาตรา 19) บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู เ้ ยาว์ หรื อบรรลุ นิ ติ ภาวะเมื่ ออายุครบยี่สิ บปี บริ บูรณ์
(มาตรา 20) ผู เ้ ยาว์ย ่อมบรรลุนิ ติ ภาวะเมื่ อ ทำการสมรส หากการสมรสนั้ นได้ทำ ตามบทบัญญัติ มาตรา
1448
( มาตรา 21) ผู เ้ ยาว์จะทำนิ ติ กรรมใดๆต้องได้รั บความยินยอมจากผู แ้ ทนโดยชอบธรรมก่ อน การใดๆที่ ผ ู ้
เยาว์ทำ ลงโดยปราศจากความยินยอมเช่ นว่านั้นเป็ นโมฆี ยะ เว้นแต่ จะบัญญัติ ไว้เป็ นอย่างอื่ น
ตามปั ญหา นางสาวแดงยังไม่ บรรลุนิ ติ ภาวะเพราะว่าอายุย งั ไม่ ครบ 20 บริ บูรณ์ และการแต่ งงานตาม
ประเพณี ไม่ ใช่ การสมรส ดังนั้นนางสาวแดงจึ งยังเป็ นผู เ้ ยาว์อยู ่ นางสาวแดงไปซื้ อรถยนต์โดยที่ พ ่อแม่
ไม่ ทราบ
โมฆะกรรม หมายความว่า การทำนิ ติ กรรมใดๆ ที่ ผลของนิ ติ กรรมที่ ได้ทำ ขึ้ นนั้ นเสี ยเปล่ า ไม่ มี ผลผูกพัน
ที่ จะใช้บ งั คับได้ตามกฎหมาย การเสี ยเปล่ าของนิ ติ กรรมนั้ นมี มาตั้งแต่ เริ่ มต้นของการทำนิ ติ กรรมจึ งถื อ
ได้ว ่าผู ท้ ี่ ทำ นิ ติ กรรมที่ เป็ นโมฆะมิ ได้ทำ นิ ติ กรรมนั้ นขึ้ นเลย
มาตรา 155 การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู ้ ก บั คู่กรณี อี กฝ่ ายหนึ่ งเป็ นโมฆะ แต่ จะยกขึ้ นเป็ นข้อต่ อสู ้บุ คคล
ภายนอกผู ก้ ระทำการโดยสุ จริ ต และต้องเสี ยหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้ นมิ ได้
ผลระหว่างคู่กรณี : นิ ติ กรรมตกเป็ น “โมฆะ” เสมอ (เพราะคู่กรณี ไม่ มี เจตนาที่ จะผูกนิ ติ สัมพันธ์
กรรม ความสำคัญผิดในตัวบุคคลซึ่ งเป็ นคู ่กรณี แห่ งนิ ติ กรรมและความสำคัญผิดในทรั พย์สิ นซึ่ งเป็ น
วัตถุ แห่ งนิ ติ กรรม เป็ นต้น (เจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่ งซึ่ งเป็ นสาระสำคัญแห่ งนิ ติกรรมเป็ นโมฆะ)
สิ่ งที่ เป็ นสาระสำคัญแห่ งนิ ติ กรรม หมายถึ ง สิ่ งที่ จำ เป็ นจะต้องมี ในนิ ติ กรรมนั้ น ถ้านิ ติ กรรมนั้ นไม่ มี สิ่ ง
นั้นแล้วก็จะไม่ เกิ ดเป็ นนิ ติ กรรมขึ้ นมาได้
2.1 ลักษณะของนิ ติ กรรม
เช่ น ต้องการทำสัญญาเช่ าที่ ดิน แต่ กลับไปทำสัญญาขายที่ ดิ น สัญญาขายที่ ดิ นตกเป็ นโมฆะ ตาม
ม.156 ว.แรก
***ถ้าเป็ นเรื่ องที่ แต่ เดิ มผู แ้ สดงเจตนาไม่ เคยมี เจตนาจะทำนิ ติ กรรม แล้วจำเลยมาหลอกให้ทำ นิ ติ กรรม
อย่างใดอย่างหนึ่ งขึ้ น จะเป็ นเรื่ องกลฉ้อฉล ตาม ม.159 แต่ หากเป็ นเรื่ องที่ คู่กรณี มี เจตนาจะทำนิ ติ กรรม
อย่างหนึ่ งอย่างใดอยู่แล้ว แต่จำ เลยมาหลอกให้ทำ นิ ติ กรรมอี กชนิ ดหนึ่ ง ถื อเป็ นเรื่ องสำคัญผิดใน
ลักษณะของนิ ติ กรรม นิ ติ กรรมจึ งเป็ นโมฆะ ตาม ม.156
***ผู ต้ ายไม่ ได้มี เจตนาทำพิน ัยกรรม แต่ จำ เลยหลอกให้ลงลายพิมพ์นิ ้ วมื อในพิน ัยกรรมขณะนอนป่ วย
อยู่ในโรงพยาบาล โดยหลอกว่าเป็ นหนังสื อมอบอำนาจขอรั บเงิ นเวนคืน ที่ ดิ น พิน ัยกรรมจึ งเสี ยเปล่ า
เป็ นโมฆะ เพราะเป็ นการสำคัญผิดในลักษณะของพิน ัยกรรม ตาม ม.156
******ตัวบุ คคลที่ เป็ นคู่กรณี ต อ้ งเป็ นสาระสำคัญในการทำนิ ติ กรรม นิ ติ กรรมจึ งจะตกเป็ น “โมฆะ”
ทำสัญญาซื้ อที่ ดิ นจากบุคคลผู ท้ ี่ ไม่ ใช่ เจ้าของหรื อไม่ ใช่ ผ ู ม้ ี สิ ทธิ ครอบครองในที่ ดิ น
ดังนี้ ถ้าตัวบุคคลที่ เป็ นคู่กรณี ไม่ ใช่ สาระสำคัญ นิ ติ กรรมนั้ น “สมบูรณ์ ” เพราะแม้จะมี การสำคัญผิดใน
ตัวบุ คคลที่ เป็ นคู่กรณี ในการทำนิ ติ กรรม การสำคัญผิดนี้ ก ็ถื อไม่ ได้ว ่าเป็ นการสำคัญผิดในสิ ่ งที่ เป็ น
สาระสำคัญของนิ ติ กรรม
หมายถึ ง การสำคัญผิดในตัว ทรั พย์สิ น ที่ เป็ นวัตถุ ของนิ ติ กรรมที่ ต อ้ ง “ส่ งมอบ” แก่ ก นั
สังเกต : ทรั พย์สิ น ที่ เป็ นวัตถุของนิ ติ กรรม เป็ นสาระสำคัญของนิ ติ กรรม
ผล : นิ ติ กรรมตกเป็ น “โมฆะ”
เช่ น โอนที่ ดิ นสลับแปลงกัน , ทำสัญญาซื้ อที่ ดิ น ที่ เข้าใจว่าเป็ นที่ ดิ น ที่ ซื้ อขายกันได้ แต่ กลับเป็ นที่ ดิ น
สาธารณสมบัติ ของแผ่นดิ นที่ ห ้ามโอน
หมายเหตุ : ม.173 เป็ นเรื่ องนิ ติ กรรมที่ ตกเป็ นโมฆะ สามารถแยกออกจากส่ วนที่ ไม่ เป็ นโมฆะได้ ส่ วนที่
ไม่ เป็ นโมฆะจึ งมี ผลสมบูรณ์
***การที่ คุ ณสมบัติ จะเป็ นสาระสำคัญหรื อไม่ ต้องพิจารณาว่าคุ ณสมบัติ น้ ั นเกี่ ยวกับ “หน้า ที่ หรื อการ
ชำระหนี้ ” ตามนิ ติ กรรมนั้ นหรื อไม่ หากเกี่ ยวก็ถื อเป็ นสาระสำคัญ เป็ นโมฆี ยะ ถ้าไม่ เกี่ ยวก็ไม่ ถื อว่าเป็ น
สาระสำคัญ นิ ติ กรรมมี ผลสมบูรณ์
ทั้งนี้ ต้องดู เป็ นเรื่ องๆ ไป โดยดู ที่ “เจตนา” ของคู่กรณี ที่ เข้า ทำนิ ติ กรรม
คุ ณสมบัติ ของบุคคล เช่ น การจ้างคนมาซ่ อมรถ ความรู ้ เรื่ องการซ่ อมรถย่อมเป็ นสาระสำคัญของสัญญา
ว่าจ้างซ่ อมรถ
คุ ณสมบัติ ของทรั พย์สิ น เช่ น การที่ ทรั พย์สิ นนั้ นเป็ นของแท้หรื อของปลอม หรื อใช้งานได้ตรงตาม
วัตถุ ประสงค์ของสัญญาหรื อไม่
สำคัญ : การถู กกลฉ้ อฉลที่จะเป็ นโมฆียะ ตาม ม.159 นั้ น จะ “ต้ องถึงขนาด” ว่ าถ้ าไม่ มีการใช้ กลฉ้ อฉล
แล้ ว จะไม่ มีการทำนิติกรรมนั้ นเลย หากไม่ ถึงขนาด แม้ จะมีการใช้ กลฉ้ อฉลให้ บ ุ คคลอื่นเข้ าใจผิดและ
แสดงเจตนาทำนิติกรรม การแสดงเจตนานั้ นก็ไม่ เป็ นโมฆียะ ซึ่ งกลฉ้ อฉลขนาดไหนถึงจะถือว่ าเป็ นกล
ฉ้ อฉลที่ถึงขนาด จะต้ องดู พฤติการณ์ เป็ นเรื่ องๆ ไป
(ข้ อ3) นาย ก. ทำสั ญญาปลดหนี ้ให้ กับ นาย จ. โดยมีเงื่อนไขให้ นาย จ. ต้ องยกรถยนต์ ให้ น้ องของตน
คือนาย ข. เมื่อนาย ข. ทราบเรื่ อง ก็เลยส่ งจดหมายไปหานาย จ. เพื่อให้ นาย จ.ยกรถให้ ตน แต่ นาย จ. ไป
ต่ างจังหวัดไม่ อยู่ บ้ านระหว่ างนั้ น นาย ก. และนาย ข. มีเรื่ องทะเลาะกัน ทำให้ นาย ก. ไม่ พอใจ จึง
ต้ องการ ยกรถให้ นาย ค. แทนถามว่ านาย ข. มีสิ ทธิ ได้ รั บรถหรื อไม่ (โจทย์ ประมาณนี ้ครั บ )
แนวคำตอบ
มาตรา 374 ถ้าคู่สัญญาฝ่ ายหนึ่ ง ทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้ แก่ บุ คคลภายนอกบุ คคลภายนอกมี สิ ทธิ จะ
เรี ยกชำระหนี้ จากลูกหนี้ โดยตรง สิ ทธิ ของบุ คคลภายนอกย่อมเกิ ดขึ้ นตั้งแต่ เวลาที่ แสดงเจตนาแก่ ลู กหนี้
ว่าจะถื อเอาประโยชน์จากสัญญานั้ น
มาตรา 375 เมื่ อสิ ทธิ ของบุคคลภายนอกได้เกิ ดขึ้ นแล้ว คู่สัญญาจะระงับหรื อเปลี่ ยนแปลงสัญญานั้ นภาย
หลังไม่ ได้
มาตรา 169 การแสดงเจตนาที่ กระทำต่ อบุ คคลซึ่ งมิ ได้อยู ่เฉพาะหน้า ให้ถื อว่ามี ผลนับแต่ เวลาที่ การ
แสดงเจตนานั้ นไปถึงผู ร้ ั บการแสดงเจตนา ....
ดังนั้ นเมื่ อนาย ข.แสดงเจตนาแล้ว สิ ทธิ ของนาย ข.ได้เกิ ดขึ้ นแล้ว นาย ก.หรื อ นาย จ. ไม่ สามารถ
เปลี่ ยนแปลงข้อตกลงในสัญญาได้อีก
ข้ อ 1 :
นายเอก เป็ นบุคคลวิกลจริ ต ต้องการซื้ อจักรยานคันใหม่ จากนายยอด และได้รั บความยินยอมจากนาย
แอ๊ด แล้วซึ่ งเป็ นลุงว่าให้ซื้ อรถได้ และในขณะที่ นายเอกทำสัญญานั้ น นายเอก ไม่ ได้มี อาการจริ ตวิกล
แต่ อย่างใด มี อาการปกติ และนายยอดก็ไม่ เคยรู ้ มาก่ อนว่านายเอกนั้ น เคยมี อาการวิกลจริ ต ดังนั้ นนาย
ยอดจึ งขายรถจักรยานให้แก่ นายเอก
แนวคำตอบ
ตามปพพ. ได้กล่ าวไว้ว ่า การใดอันไม่ เป็ นไปตามที่ กฏหมายบังคับเกี่ ยวกับความสามารถของบุ คคล การ
นั้นเป็ นโมฆะ
ตามปพพ. ได้กล่ าวไว้ว ่า บุคคลวิกลจริ ต ที่ ศาลยังไม่ ได้สั่งให้เป็ นคนไร้ ความสามารถเพราะมี จริ ตวิกล
นั้น สามารถทำนิ ติ กรรมได้ด ้วยตนเอง และมี ผลสมบูรณ์ เว้นแต่ คู่กรณี อี กฝ่ ายจะได้รู ้ ว ่าคู่กรณี มี จริ ตวิกล
อยู่ การนั้ นเป็ นโมฆี ยะ
ตามปพพ. ได้กล่ าวไว้ว ่า บุคคลวิกลจริ ต ที่ ศาลสั่งให้เป็ นคนไร้ ความสามารถ ไม่ สามารถกระทำนิ ติ กรรม
ได้ การใดที่ ที่ คนไร้ ความสามารถทำ การนั้ นเป็ นโมฆะ ซึ่ งนิ ติ กรรมจะทำได้โดยให้ผ ู อ้ นุ บาลเป็ นผู ้
กระทำแทนจึ งจะสมบูรณ์
ตามปพพ. ได้กล่ าวไว้ว ่า บุคคลดังต่ อไปนี้ ได้แก่ บิ ดามารดา ปู่ ย่าตายาย ทวดก็ดี ลูกหลานเหลน ลื่ อก็ดี
สามี ภริ ยา ผู แ้ ทนโดยชอบธรรมก็ดี พนักงานอัยการ หรื อผู ม้ ี ส่ วนได้เสี ย จะร้ องขอต่ อศาลให้สั ่งบุ คคล
วิกลจริ ต ผู เ้ ยาว์ เป็ นผู ไ้ ร้ความสามารถ หรื อเสมื อนไร้ ความสามารถก็ย ่อมได้
นายเอก ซึ่ งเป็ นคนวิกลจริ ต และศาลยังไม่ ได้สั่งให้เป็ นคนไร้ ความสามารถ จึ งยังไม่ ต อ้ งมี ผ ู อ้ นุ บาล
และต้องการทำนิ ติ กรรมสัญญาการซื้ อรถจักรยานจากนายยอด จึ งกระทำได้เพราะคนวิกลจริ ตสามารถ
ทำนิ ติ กรรมได้ และขณะที่ ทำ นิ ติ กรรมนั้ น ไม่ ได้มี อาการจริ ตวิกลอยู ่ และคู่กรณี ก ็ไม่ ได้ทราบเกี่ ยวกับ
อาการวิกลจริ ตของนายเอกแต่ อย่างใด ดังนั้ นสัญญาการซื้ อขายรถจักรยานจึ งสมบูรณ์ โดยที่ ไม่ ต อ้ งได้
รั บความยินยอมจากนายแอ๊ด เพราะเหตุ ที่ ได้กล่ าวตามข้างต้น
สรุ ป
ข้ อ 2 :
นายแพงเป็ นผู ม้ ี หนี้ สิ นมากมายล้นพ้นตัว และเป็ นลูกหนี้ เงิ นกู ้ของนายเหมี ยว ซึ่ งเป็ นเจ้าหนี้ ซึ่ งปั จจุ บ นั
นายแพงมี ทรั พย์สิ นมากมายทั้งบ้านและรถยนต์ นายพันกลัวว่าเจ้าหนี้ คื อนายเหมี ยวจะตามให้ ชำ ระหนี้
และหากไม่ มี ก ็จะสามารถยึดรถยนต์ซ่ึ งเป็ นทรั พย์สิ นได้ จึ งปรึ กษากับนายพันซี่ งเป็ นเพื่อนนายแพงว่า
จะหลอกทำสัญญาการซื้ อขายรถยนต์ให้แก่ นายแพง แต่ ในความเป็ นจริ งไม่ ได้มี สัญญานั้ นเกิ ดขึ้ นจริ งๆ
แต่ อย่างใด เจตนาเพียงเพื่อปิ ดบังไม่ ให้นายเหมี ยวล่ วงรู ้ ขณะที่ นายเหมี ยวมาทวงถามดังกล่ าว
แนวคำตอบ
จากข้อวินิ จฉัย
สรุ ป
สัญญาการซื้ อขายรถยนต์ระหว่างนายแพงและนายพัน เป็ นโมฆะ เพราะเป็ นเจตนาลวงโดยของนายแพง
และนายพัน
ข้ อ 3 :
แนวคำตอบ
ตามปพพ ได้กล่ าวไว้ว ่า คำเสนอซึ่ งต่ อบุคคลผู อ้ ยู่ห่ างระยะทาง จะมี ผลก็ต่ อเมื่ อคำผู ร้ ั บ คำเสนอได้รั บ
แต่ จะถอนไม่ ได้ เว้นแต่ จะถอนก่ อนส่ งหรื อพร้ อมกับที่ ส่ งไป ก่ อนถึ งผู ร้ ั บ คำเสนอนั้น
ตามปพพ ได้กล่ าวไว้ว ่า คำเสนอซึ่ งส่ งไปถึ งผู ส้ นอง หากผู ส้ นองไม่ ได้ตอบรั บหรื อมี การไม่ ตรงกับคำ
เสนอ คำเสนอมี อ นั สิ ้ นผลไป
จากข้อวินิ จฉัย
การที่ นายปั ดได้ส่ งคำเสนอขายรถยนต์ให้แก่ นายป้ อง ทางโทรศัพท์ ซึ่ งเป็ นคำเสนอต่ อบุ คคลที่ อยู่เฉพาะ
หน้านั้น การที่ นายป้ องมิ ได้ตอบรั บหรื อปฏิ เสธอดังกล่ าว ถื อว่าคำเสนอเป็ นอันสิ ้ นผลไปแล้ว และเมื่ อ
อี ก 1 เดื อนต่ อมา นายปั ดได้เสนอขายรถยนต์แก่ นางส้ม จึ งเป็ นการทำคำเสนอใหม่ และมี การตอบรั บ คำ
สนองจากนางส้มแล้ว หลังจากนั้ นอีก 2 เดื อนนายป้ องได้เขี ยนจดหมายถึ งนายปั ด เพื่อตอบรั บ คำเสนอ
การซื้ อรถยนต์ของนายปั ดนั้ น เป็ นคำเสนอซึ่ งอยู่ห่ างระยะทางและได้ล่ วงเลยไปแล้ว คำเสนอเดิ มที่ นาย
ปั ดเป็ นอันสิ ้ นผลไปแล้ว ตั้งแต่ ครั้ งที่ นายป้ องมิ ได้ตอบรั บ คำเสนอนั้ น
สรุ ป