Professional Documents
Culture Documents
ปริญญานิพนธ์
ของ
วรรณี เพลินทรัพย์
บทคัดย่อ
ของ
วรรณี เพลินทรัพย์
AN ABSTRACT
BY
WANNEE PLERNSAP
........................................................................ คณบดีบณ
ั ฑิตวิทยาลัย
(รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย สันติวฒ ั นกุล)
วันที่ ....... เดือน ............. พ.ศ. 2554
คณะกรรมการควบคุมปริญญานิพนธ์ คณะกรรมการสอบปากเปล่า
........................................................ กรรมการ
(ดร.ชนิดา ตังเดชะหิรญ ั )
........................................................ กรรมการ
(ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. ศรัณย์ นักรบ)
ประกาศคุณูปการ
วรรณี เพลินทรัพย์
สารบัญ
บทที่ หน้า
1 บทนา .................................................................................................................. 1
ภูมหิ ลัง ............................................................................................................. 1
จุดมุง่ หมายของการวิจยั ..................................................................................... 5
ความสาคัญของการวิจยั .................................................................................... 5
ขอบเขตการวิจยั ................................................................................................ 5
ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รบั ................................................................................. 7
คานิยามศัพท์เฉพาะ .......................................................................................... 7
กรอบแนวคิดในการวิจยั ..................................................................................... 10
บทที่ หน้า
5 สรุป อภิ ปราย และข้อเสนอแนะ ...................................................................... 188
ความมุง่ หมายของการวิจยั ................................................................................ 188
วิธกี ารดาเนินการวิจยั ........................................................................................ 188
สรุปผลการศึกษาและวิเคราะห์ ........................................................................... 188
อภิปรายผล ....................................................................................................... 215
ข้อเสนอแนะ ...................................................................................................... 216
ภูมิหลัง
มนุษย์ในสมัยโบราณใช้เสียงเป็ นเครื่องมือสื่อสารและบอกถึงความรูส้ กึ ทีต่ ้องการให้ บุคคล
อื่นได้ร ับทราบ เสียงสามารถสื่ออารมณ์ ต่ าง ๆ ได้มากมาย เช่ น เสียงร้องด้ว ยความเจ็บปวด
เสียงร้อ งเพราะความเสียงใจ (ร้อ งไห้) เสียงอุ ทานเมื่อ ตกใจ เสียงร้อ งเมื่อ ดีใจ (หัวเราะ) และ
เมือ่ กาลเวลาผ่านไปมนุษย์เริม่ พัฒนาจากเสียงทีส่ ่อื อารมณ์เพียงอย่างเดียวมาเป็ นภาษาพูด ซึง่ แบ่ง
พื้นฐานภาษาไปตามพื้นที่ต่ าง ๆ ของโลกจนกลายมาเป็ นภาษาในปจั จุบ ัน เช่ น ภาษาไทย จีน
ฝรังเศส
่ อังกฤษ และเมือ่ เรานาเสียงพูดมาเรียงร้อยเป็นถ้อยคาทีค่ ล้องจองโดยใส่ทว้ งทานอง จังหวะ
และโน้ตดนตรีลงไปในแต่ละคาจึงเกิดเป็ นเสียงเพลงขึน้ ซึ่งจะมีเอกลักษณ์ต่างกันไปตามพื้นฐาน
ภาษาของแต่ละชาติ ด้วยเหตุน้ที าให้เราสามารถแยกแยะออกได้ว่าเพลงทีไ่ ด้ยนิ อยู่นนั ้ เป็ นของชาติ
ไหน (ปิ่นศิร ิ ศิรปิ ิ่น. 2551: 4)
ดนตรีจงึ เป็ นทัง้ ศาสตร์และศิลป์ท่มี นุ ษ ย์ได้สร้างและพัฒนาขึ้นมาทีละน้ อย จนในที่สุ ด
ได้กลายเป็ นสิง่ สาคัญส่วนหนึ่งของชีวติ ซึง่ อันทีจ่ ริงมนุ ษย์ทเ่ี กิดมานัน้ ทุกคนมีจงั หวะดนตรี อยู่ใน
ตัวพร้อมมาแล้วตัง้ แต่ต้น นัน่ คือการเต้นของหัวใจ มนุ ษย์มเี สียงที่เกิดจากปอด หลอดลม กล่องเสียง
และรู้จกั ใช้อวัยวะ เช่น ปาก จมูก ลิ้น ล าคอ ท าให้เสียงนัน้ เปลี่ยนแปลงจนกลายเป็ น เสีย งต่ าง ๆ
กลายเป็นเสียงทีท่ าให้เกิดทัง้ อานาจและสื่อความหมาย การแสดงเจตนารมณ์ ความชื่นชม มนุ ษย์
ผลิต เสียงดนตรีจากตัว เองนัน้ ค่อนข้างจากัด มนุ ษย์ จงึ จาเป็ นที่จะต้องสร้างเครื่องเสียงอย่างอื่น
เพิม่ ขึน้ อีก เพื่อใช้การตามความประสงค์ (พูนพิศ อมาตยกุล. 2535: 25 – 26)
ดนตรีเป็ นงานศิลปะและมีการพัฒนา ดนตรีจงึ เป็ นสื่อที่ทาให้ชาติสมบูรณ์และสามารถ
บ่งชี้ได้ชดั เจนว่า ชาติท่เี จริญย่อมมีดนตรีเป็ นเอกลักษณ์ ของตนเอง นอกจากนัน้ ดนตรียงั เป็ นสื่อใน
การศึกษาความเป็ นอยู่ในอดีต และปจั จุบนั ตลอดจนความเจริญรุ่งเรือง หรือความเสื่อมของสังคม
นัน้ ได้เป็ นอย่างดี ดนตรีในสังคมไทยมีววิ ฒ ั นาการมาอย่างต่ อเนื่องจากอดีตสู่ปจั จุบนั ได้สร้าง
รู ป ลัก ษณ์ จ นเป็ น เอกลัก ษณ์ ใ นการแสดงถึ ง ความเป็ น เจ้า ของดนตรี ซึ่ง แสดงให้ เ ห็น ความ
เจริญรุง่ เรืองมา อย่างยาวนาน (ณรงค์ศกั ดิ ์ ศรีบรรฎาศักดิ ์วัชราภรณ์. 2548: 1)
คุ ณ ค่ า ความงามในดนตรีจ ึง เป็ น สิ่ง ส าคัญ ต่ อ มนุ ษ ย์ใ นยุ ค ป จั จุ บ ัน ดนตรีส ามารถ
กล่อมจิตใจให้สงบให้ว่างก็ได้ หรือจะเลือกเอาเสียงดนตรี เสียงเพลงทีส่ นุ กสนานเร้าใจก็ได้ ดังนัน้
ศิล ปะดนตรีจ ึง เป็ น คุ ณ ค่ า แท้แ ห่ ง ความงามที่เ กิด จากความเด่ น ชัด ของเสีย งที่ม ีจุ ด มุ่ ง หมาย
เพื่อความสงบสุข และเมื่อเข้าถึงรสแห่งเสียงเพลงขัน้ สูงแล้ว สามารถหลุดพ้นความทุกข์พ้นื ฐาน
ทีจ่ ะมารบกวนจิตใจได้ เสียงดนตรีจงึ เป็ นคุณค่าแท้แห่งศิลปะอันเกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุ ษย์
(วิสา อัศเวศน์. 2552: 34 – 35)
2
“บัง สาวัน ” และทรงตัง้ ชื่อ ละครคณะใหม่ น้ี ว่ า “ปรีด าลัย ” ลัก ษณะของเพลงมีเ นื้ อ ร้อ งมาก
เอื้อ นน้ อ ยและให้ลู ก คู่เ ป็ น ผู้เ อื้อ นแทนนั ก แสดง ซึ่ง เป็ น ที่นิ ย มในช่ ว งนั น้ จนในปี พ.ศ. 2455
พระบาทสมเด็จ พระมงกุ ฎ เกล้า เจ้า อยู่ห ัว รัช กาลที่ 6 ทรงสร้า งวงดนตรีใ นราชส านัก เรีย กว่ า
“วงเครื่อ งสายฝรัง่ หลวง” และโปรดเกล้า ฯ ให้จ ัด ตัง้ โรงเรีย นเพื่อ สอนดนตรีทุ ก ประเภทที่ช่ือ
โรงเรียนพรานหลวง ทีส่ วนมิสกวัน นอกจากนัน้ ทรงสร้าง “กาแฟนรสิงห์” บริเวณมุมถนนศรีอยุธยา
ลานพระราชวังดุสติ ให้ประชาชนพักผ่อน มีสถานทีข่ ายอาหาร และยังจัดบรรเลงดนตรี วงดุรยิ างค์
สากลและวงปี่พาทย์ให้ประชาชนฟงั ทุก ๆ วันอาทิตย์เริม่ ตัง้ แต่เวลา 17.00-19.00 น.
ดนตรีตะวันตกเริม่ แพร่หลายเข้าสู่ประชาชนอย่างกว้างขวางตามลาดับ ทรงส่งเสริมไห้ม ี
การฝึ กดนตรีตะวันตกในหมู่ขา้ ราชการบริพารและนักดนตรีไทย ซึ่งมีนักดนตรีท่เี ป็ นบุคคลที่ได้รบั
การยกย่ องอย่ าง พระเจนดุ ร ิยางค์ (ปิ ติ วาทยกร) และอีกบุ คคลหนึ่ งในวงเครื่องสายฝรัง่ หลวง
เป็ นหัวหน้าวงกรมโฆษณาการนัน่ คือ เอื้อ สุนทรสนาน (วิกพิ เี ดีย. 2554: ออนไลน์; อ้างอิงจาก
พระเจนดุรยิ างค์. 2512. ชีวประวัตขิ องข้าพเจ้า. หน้า 6)
เพลงไทยสากล อาจพูดได้ว่าที่มา เกิดจาก 2 สายคือ สายทางละครและสายทางภาพยนตร์
สายทางละครนัน้ ละครคณะปรีดาลัยเป็ นต้นกาเนิด มีลกั ษณะเป็ นเพลงไทยที่ร้องตามทานองฝรัง่
ส่วนทางสายภาพยนตร์ สันนิษ ฐานว่าชาวญี่ปุ่นเป็ นชาติแรกที่นาเข้ามาฉาย ในเมืองไทยราวปี
พ.ศ. 2471 ในช่วงแรกเป็ นภาพยนตร์เงียบ จึงมีการริเริม่ ทาเพลงประกอบเพื่อเพิม่ อรรถรสสาหรับ
ผูช้ ม โดยใช้แตรวงบรรเลงก่อนการฉายและขณะทาการฉายหนัง เพลงที่บรรเลงเป็ นเพลงสากลกับ
เพลงไทยเช่น เพลงแบล็คอีเกิ้ล และเพลงของทูลกระหม่อมบริพตั รคือเพลงมาร์ชบริพตั รและวอลซ์
ปลืม้ จิต (วิกพิ เี ดีย. 2554: ออนไลน์; อ้างอิงจาก วราวุธ สุมาวงศ์. 2526. วิวฒ ั นาการเพลงไทย
สากลจากละครและภาพยนตร์. หน้า 15)
ในสมัย รัช กาลที่ 6 ภาพยนตร์ต ะวัน ตก ท าให้ค ณะละครที่ม ีช่ือ เสีย งต้ อ งหยุ ด ลงไป
มีละครสลับรา (คือมีร้องเพลงประกอบบ้าง) ได้รบั ความนิยมแทน แต่ละครเพลงเหล่านี้ก็ไม่ได้รบั
ความนิ ย มเท่ า ภาพยนตร์ต ะวัน ตก ความนิ ย มในละครประเภทนี้ ก็ ล ดลงตามล าดับ จนในปี
พ.ศ. 2470 จวงจันทร์ จันทร์คณา (พรานบูรณ์) ผูป้ ระพันธ์เรื่องและเพลงของคณะละครศิลป์สาเริง
(คณะละครของแม่ เ ลื่อ น) ประวัติ โคจริก (แม่แ ก้ ว ) ผู้ป ระพัน ธ์เ รื่อ งและเพลงของคณะละคร
นครบันเทิง (คณะละครของแม่ บุญนาค) และสมประสงค์รตั นทัศ นีย์ (เพชรรัต น์ ) แห่ง คณะละคร
ปราโมทย์นคร (คณะละครของแม่ เ สงี่ยม) ได้พ ัฒนาเพลงประกอบละคร “โดยการดัดแปลงจาก
เพลงไทยเดิมทีม่ ที านองสองชัน้ มาใส่เนื้อร้องแทนทานองเอือ้ นใช้ดนตรีคลอฟงั ทันหูทนั ใจ เป็ นทีน่ ิยม
ของประชาชนซึง่ เรียกกันว่าเพลงเนื้อเต็มหรือเนื้อเฉพาะแต่ยงั คงใช้ป่ีพาทย์บรรเลงเหมือนเช่นเดิม ”
วิกพิ เี ดีย. 2554: ออนไลน์; อ้างอิงจาก วราวุธ สุมาวงศ์. 2526. วิวฒ ั นาการเพลงไทยสากล
จากละครและภาพยนตร์. หน้า 18)
เพลงไทยสากล ในสมัยของพรานบูรณ์ (2470-2472) มีลกั ษณะเป็ น “เพลงไทยเดิมสากล”
ได้รบั แรงบันดาลใจจากเพลงไทยเดิม พรานบูรณ์ได้แต่งเพลงลักษณะนี้อกี เป็ นจานวนมาก และในปี
พ.ศ. 2474 พรานบูรณ์และเพชรรัตน์แห่งละครคณะศรีโอภาสได้นาดนตรีสากลประเภทเพลงแจ๊ส
4
ในปี พ.ศ. 2480 ได้มกี ารสร้าง เรื่อ ง “เพลงหวานใจ” โดยมีขุนวิจติ รมาตราเป็ นผู้แต่ ง
บทภาพยนตร์ คาร้อ งเพลงประกอบภาพยนตร์และกากับการแสดง นารถ ถาวรบุต ร เป็ นผู้แต่ ง
ทานองเพลง และในปีเดียวกัน พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุ พนั ธุย์ ุคล เป็ นหัวหน้าวงดนตรี
มีนั ก ดนตรีท่ีส าคัญ ในวง เช่ น เอื้อ สุ น ทรสนาน เวส สุ น ทรจามร สัง เวีย น แก้ว ทิพ ย์ จ าปา
เล้มสาราญ คีติ คีต ากร (บิล ลี่) ฯลฯ มีเ พลงที่ได้รบั ความนิยมอย่าง “ลมหวล” และ “เพลิน ”
จาก ภาพยนตร์เรือ่ ง “แม่ส่อื สาว” (วิกพิ เี ดีย. 2554: ออนไลน์; อ้างอิงจาก ขุนวิจติ รมาตรา. 2518.
ยุคเพลงหนังและละครในอดีต. หน้า 18)
ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล เป็ นศิลปิ นเพลงแนวไทยสากล ที่มชี ่อื เสียงและเป็ นคนสาคัญ
ของวงการเพลงไทยสากล ด้วยความเป็ นนักร้องเพลงไทยสากลที่มเี อกลักษณ์ มีความโดดเด่น
ทางด้านน้ าเสียง อารมณ์ การขับร้อง ผลงานเพลงเป็ นที่ช่ นื ชมและชื่นชอบต่ อผู้ฟงั อย่างมากมาย
สมควรนาไปใช้เ ป็ นต้น แบบในการฝึ กหัดขับร้อ งเพลงไทยสากล สาหรับเยาวชนและผู้ท่ีส นใจ
ผู้ว ิจ ัย จึง เห็น ความส าคัญ ต่ อ การศึก ษา ชีว ประวัติ ผลงาน ตลอดจนวิธ ีก ารขับ ร้อ งเพลงตาม
แบบฉบับของทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล เพื่อเป็ นองค์ความรูใ้ นการศึกษาด้านคีตศิลป์ตามลาดับต่อไป
ควำมมุ่งหมำยของกำรวิ จยั
1. เพื่อศึกษาชีวประวัตแิ ละผลงานของ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล
2. เพื่อศึกษาเทคนิควิธกี ารขับร้องของ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล
ควำมสำคัญของกำรวิ จยั
การศึกษาด้านชีวประวัตแิ ละผลงานตลอดถึงวิธกี ารขับร้องเพลงไทยสากลในปจั จุบนั มีอยู่
น้อยมาก การศึกษาครัง้ นี้จะช่วยให้ผทู้ ส่ี นใจศิลปะการขับร้องเพลงไทยสากล ได้รบั ความรู้ โดยตรง
ทีเ่ กี่ยวข้องกับชีวติ และวิธ กี ารขับร้องของ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล อีกทัง้ การศึกษาในครัง้ นี้สามารถใช้
เป็นแนวทางสาหรับผูส้ นใจฝึกหัดขับร้องเพลงไทยสากลต่อไป
ขอบเขตของกำรวิ จยั
ในการศึก ษาวิธ ีก ารขับร้อ งของ ทิพย์ว ลั ย์ ปิ่ นภิบ าล แบ่งหัว ข้อ ในการศึกษาวิเ คระห์
ออกเป็น 2 หัวข้อใหญ่ ดังนี้
1. ขอบเขตของการเลือกบทเพลง
2. ขอบเขตของการศึกษาวิธกี ารขับร้อง
1. ขอบเขตของกำรเลือกบทเพลง
เพลงที่นามาศึกษาวิธกี ารขับร้องเป็ นเสียงร้อ งของ ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ซึ่งบันทึก
ในแผ่ นบันทึกเสียงโดยนาเสนอบทเพลงที่ท่านได้ร ับรางวัลแผ่ นเสียงทองค าพระราชทาน ตัง้ แต่ ปี
พุทธศักราช 2524- 2548 จานวน 6 บทเพลง คือ เพลงทีไ่ ด้รบั รางวัล ประกอบด้วย
6
1.1 เพลงสุ ด เหงา จากการขับ ร้อ งบัน ทึก เสีย ง โดย ทิพ ย์ว ัล ย์ ปิ่ น ภิบ าล เมื่อ ปี
พ.ศ. 2524 ได้รบั รางวัล แผ่นเสียงทองคาพระราชทาน ครัง้ ที่ 5
1.2 เพลงดอกไม้ช่อนี้ รางวัลทีวตี ุ๊กตาทองมหาชนครัง้ ที่ 3 ในงานSiam Expo’82
จัดขึน้ ที่ สวนสยาม ประเภทนักร้องลูกกรุงยอดนิยมฝ่ายหญิง ในวันศุกร์ท่ี 10 ธันวาคม 2525
ยอดเยีย่ ม
1.3 เพลงไฟ ปี พ.ศ. 2526 ได้รบั รางวัลรางวัลกรังด์ปรีซ์ สยามกลการมิวสิคฟาวเดชัน่
ประเภทเพลงไทยป็ อ ป
1.4 เพลงในโลกบันเทิง ปี พ.ศ. 2527 ได้รบั รางวัลพิณทอง (ชนะเลิศ) ธนาคารกสิกรไทย
1.5 เพลงน้ าเซาะทราย ปี พ.ศ. 2548 รางวัลพระพิฆเนศทอง ประเภทเพลงไทย
อมตะยอดเยีย่ ม
1.6 เพลงอัสดง ปี พ.ศ. 2548 รางวัลพระพิฆเนศทอง ประเภทเพลงไทยสากลหญิง
ยอดเยีย่ ม
ทัง้ นี้ผู้วจิ ยั ได้พจิ ารณาจากความโดดเด่นของบทเพลงเป็ นหลัก โดยบทเพลงเหล่านี้
ล้วน เป็ นเพลงทีไ่ ด้รบั รางวัลแผ่นเสียงทองคาพระราชทาน ระหว่างปีพุทธสักราช 2524-2548 และ
เป็ นการขับร้องโดยทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล แต่ เพียงผู้เดียวทัง้ หมด มิได้มกี ารขับร้องร่วมกับนักร้อง
ท่านอื่นแต่อย่างใด ซึง่ จะทาให้เห็นเอกลักษณ์ในการขับร้องของ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล อย่างแท้จริง
2. ขอบเขตของกำรวิ เครำะห์ข้อมูล
ผูว้ จิ ยั ได้กาหนดแนวทางในการวิเคระห์ขอ้ มูลของการศึกษาวิธกี ารขับร้อง ทิพย์วลั ย์
ปิ่นภิบาล ใน 3 ประเด็นสาคัญ ได้แก่
2.1 ข้อมูลด้านชีวประวัตแิ ละผลงาน ประกอบด้วย
2.1.1 ชีวประวัติ
2.1.2 ผลงาน
2.2 ข้อมูลด้านบทเพลง
2.2.1 ความเป็นมาของบทเพลง (Historical Background)
2.2.2 ความหมายของบทเพลง (Meaning)
2.2.3 โครงสร้างและรูปแบบของบทเพลง (Structure and Form)
2.3 ข้อมูลด้านเทคนิควิธกี ารขับร้อง ประกอบไปด้วย
2.3.1 การบังคับควบคุมลมหายใจ
1) การแบ่งวรรคลมหายใจ
2) การลากเสียงยาว
3) การเอือ้ นเสียง
2.3.2 การออกอักขระ (Pronunciation)
1) การเน้นเสียงการเน้นคา
2) การผันอักษรตามทานอง
3) การร้องคาเป็นคาตาย
7
ประโยชน์ ที่คำดว่ำจะได้รบั
1. ได้บนั ทึกบทเพลงในแนวการขับร้องของ ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล เป็ นโน้ ตดนตรีสากล
ซึง่ อาจนาไปใช้ในการฝึกหัดขับร้องสาหรับผูท้ ส่ี นใจต่อไป
2. ได้ท ราบถึง ชีว ประวัติแ ละผลงานของ ทิพย์ว ัล ย์ ปิ่ นภิบ าล ซึ่ง อาจน าไปใช้เ ป็ น
แนวทางในการดาเนินชีวติ
3. เทคนิควิธกี ารขับร้องของ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล อาจนาไปใช้เป็ นแนวทางในการฝึกฝน
การขับร้องในหลายลักษณะให้มปี ระสิทธิภาพต่อไป
4. แบบแผนของการวิจยั เล่มนี้ สามารถใช้เป็ นแนวทางสาหรับการวิจยั ศิลปิ นท่านอื่นๆ
ต่อไป
คำนิ ยำมศัพท์เฉพำะ
จากการศึก ษาของผู้ ว ิจ ัย ได้ ศึก ษาศัพ ท์ ใ นการขับ ร้อ งเพลงไทยสากลและศัพ ท์ ใ น
การอธิบายความหมายต่างๆ ดังนี้
1. กำรพริ้ วเสี ยง หมายถึง เป็ นการเน้ นเสียงแล้วลากเสียงให้ยาวขึ้น และมีการสัน่
ของเสียง (Vibrato) ซึง่ มีทงั ้ ในเสียงสูงและเสียงต่า
2. กำรเน้ นเสียง หมายถึง มีทงั ้ ในคาร้องและคาเอื้อน โดยการเปล่งเสียงให้หนักหรือ
เบากว่าปกติ เพื่อให้เกิดความไพเราะ ตรงกับอารมณ์เพลง ความหมายของคาและอักขระวิธ ี
3. กำรเน้ นคำ หมายถึง การทาเสียงให้ชดั ขึ้น ตามความเหมาะสมของคาร้อง
และอารมณ์เพลง
4. กำรเน้ นเสี ย งเน้ น ค ำ หมายถึง การให้ค วามสาคัญกับเสียงเอื้อ นหรือคาร้อ ง
โดยเพิม่ น้าหนักเสียงหรือเน้นคาให้ชดั เจนเป็ นพิเศษ
5. กำรปัน้ เสี ยง หมายถึง เป็ นการทาให้เสียงออกจากลาคอ เพื่อให้เสียงชัดเจน
พร้อมทัง้ เน้นเสียงให้หนักหรือเบากว่าปกติ ตัง้ ใจทีข่ บั ร้องให้ล่นื หู
6. กำรซำ้ เสี ยงซำ้ คำ หมายถึง เป็ นการขับร้องพร้อมทัง้ ใช้เสียงในการเล่นคาซ้ากัน
เพื่อสื่อคาร้องและอารมณ์เพลง
7. กำรกระโดดเสียง หมายถึง เป็ นการใช้เสียงขึน้ ไปเสียงสูงในการกระโดดเสียงจะ
กระโดดเสียงขึน้ มากกว่า คู่ 4 หรือไม่ผ่านเสียงอื่น พร้อมทัง้ ยังเป็ นจุดเด่นของเสียงด้วย โดยเฉพาะ
8
ประโยชน์ที่ได้รบั
การสูดลมไม่ต้องสูดมาก แต่ผู้ฝึกมักกลัวลมหายใจจะไม่พอจึงสูดเข้าเต็มปอดเลยทาให้
ส่วนอกโดยเฉพาะอกท่อนบนเกิดอาการเกร็ง ขาดความยืดหยุ่นจนทาให้เปล่งเสียงได้ยาก ความจริง
ปริมาณอากาศน้อยหรือปานกลางดีกว่าปริมาณอากาศมาก เพราะทาให้ปอดมีแรงยืดหยุ่น อีกทัง้
ไม่ เ กิด ความแน่ นและอึดอัด การเปล่ งเสีย งขณะหายใจออกก็ ต้ อ งควบคุ มลมหายใจโดยค่ อ ยๆ
ผ่านออกมา จุดประสงค์ของการฝึกหายใจก็เพื่อให้รอ้ งเพลงได้ดี ดังนัน้ การฝึกหายใจควรฝึกพร้อม
การออกเสียงเพื่อพิจารณาดูว่าวิธหี ายใจถูกต้องหรือไม่
กาญจนา อินทรสุนานนท์ (2538) กล่าวถึงการหายใจ ในที่น้ีหมายถึงการหายใจได้ถูก
ทีถ่ ูกต้องตามวรรคตอนของการเอือ้ นทานองและคาร้องโดยไม่ขดั กับลีลาของเพลง
ดุษฎี พนมยงค์ (2537) การเปล่งเสียง การเปล่งเสียงเป็นการฝึกต่อเนื่องจากการหายใจ
เมื่อควบคุมการหายใจได้ดี จะนาไปสู่การเปล่งเสียงที่ดี ควรนาการเปล่งเสียงมารวมกับขัน้ ตอน
การหายใจ การเปล่งเสียงเป็ นการประสานงานกันระหว่างอวัยวะสามส่ วนคือ อวัยวะที่ใ ช้การ
หายใจ อวัยวะที่ใช้ในการเกิดเสียงสะท้อน วิธกี ารเปล่งเสียงขึ้นอยู่ท่กี ารสามารถใช้เสียงที่เปล่ง
ออกมาเพื่อ ถ่ ายทอดอารมณ์ ค วามรู้ส ึกและเนื้อ หาของบทเพลง หลายคนมัก หวัง เพีย งให้แค่ ม ี
น้ า เสีย ง ที่ไ พเราะเท่ า นัน้ ซึ่ง ไม่ค รบถ้ว น ฉะนัน้ เสีย งที่ดีค วรมีล ัก ษณะ คือ น้ า เสีย งไพเราะ
คุณภาพเสียง สดใส มีเสียงสะท้อนกังวาน สิง่ เหล่านี้ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างจริงจัง เพื่อให้เสียง
เป็ นธรรมชาติ ที่สุด การฝึ ก การเปล่ งเสียงควรเริ่มจากการเปิ ดช่อ งคอ กล่ าวคือ จาเป็ นต้อ ง
พยายามทาให้ช่องคอขยายออก และความเกร็ง เริม่ ฝึ กการเปล่งเสียงด้วยการพูด โดยเปล่งเสียง
เป็ นประโยค รวมทัง้ การเปล่งเสียงเร็วและช้า พร้อมทัง้ การใช้น้ าเสียงทีช่ ดั เจนหรือการเปล่งเสียง
สูงเสียงแหลม เสียงช้า-เบา ทีด่ งั ฟงั ชัด
การฝึกคาร้อง การขับร้องทีด่ นี นั ้ นอกจากการเปล่งเสียงและการฝึกทานอง จังหวะเพื่อให้
ได้เสียงทีม่ คี ุณภาพแล้ว การออกเสียงคาต่างๆ ในทานองเพลงให้ชดั เจนและถูกต้องตามอักขระวิธ ี
ก็เป็นสิง่ สาคัญ การออกเสียงผิดมักส่งผลต่อเนื้อหาของเพลง
อารมณ์ เ พลง การขับ ร้อ งเพลงไม่ ว่ า จะเป็ น เพลงประเภทใดก็ ต าม ถ้ า อาศัย เพีย ง
ความสามารถทางน้ าเสียงอย่างเดียวก็ไม่อาจจะสร้างความประทับใจให้แก่ ผู้รบั ชมรับฟงั ได้อย่าง
ลึกซึง้ ฉะนัน้ ผู้ขบั ร้องจาเป็ นต้องเข้าใจเนื้อหาและรูปแบบทานองอย่างถูกต้อง พร้อมทัง้ สามารถ
วิเคราะห์ว่าจะสื่อความหมายเช่นใดให้ผู้ฟงั เข้าใจ และซาบซึง้ กับบทเพลง การสื่อความหมายของ
บทเพลงให้ล ึก ซึ้งต้อ งเข้า ใจเนื้ อ หาสาระของบทเพลงนัน้ ๆ ให้ถ่ อ งแท้ หรือ ความต้อ งการของ
ผูป้ ระพันธ์ เพลงนัน้ ๆ จุดประสงค์หลักของการขับร้อง การใช้ความสามารถทางการขับร้องทีไ่ ด้รบั
การฝึกหรือประสบการณ์มานัน้ สื่อความหมายและเนื้อหาของบทเพลงอย่างมีชวี ติ ชีวา ใช้เสียงเพลง
อันไพเราะและเอกลักษณ์ของเสียงสร้างความเคลิบเคลิม้ และอารมณ์ต่างๆ ของเพลงให้กบั ผูฟ้ งั
23
เว็ปไซด์ที่เกี่ยวข้อง
เพลงไทยสากล คือเพลงทีใ่ ช้ท่วงทานองดนตรีสากล มีหลักปฏิบตั ใิ นการร้องต้องถูกต้อง
ตามท านอง ร้อ งให้เ ต็มเสียง ออกเสียงพยัญ ชนะและอักขระให้ถู กต้อ ง เนื้อ เพลงต้อ งครบถ้ว น
สอดคล้องกับจังหวะวรรคตอนของเพลง เพลงไทยสากลที่ผู้วจิ ยั เลือ กวิเคราะห์จงึ เป็ นแนวเพลง
ลูกกรุง ดังนัน้ ผูว้ จิ ยั จึงได้ศกึ ษาความเป็นมาของเพลงลูกกรุงดังนี้
ความเป็ นมาของเพลงลูกกรุง
นุ ชนาถ ศรีแ ดนกลาง (2551: ออนไลน์ ) ได้กล่ าวถึง เพลงลูกกรุง หมายถึง “บทเพลง
ทีถ่ ่ายทอดออกมาในรูปแบบของ สังคม และคนเมืองหลวง รวมถึงเรื่องราว ตลอดจนเหตุการณ์ทเ่ี กิดขึน้
การถ่ายทอดอารมณ์ การขับร้อง น้ าเสียง ของกลุ่มนักร้อง นักแต่งเพลง และนักดนตรีจะมีรปู แบบ
ประณีต ละเอียดอ่อน ออกมานุ่ มนวล ความรูส้ กึ ของผู้ฟงั ฟงั แล้วเกิดจินตนาการตาม เนื้อร้อง
ของบทประพันธ์ออกมาเป็ นร้อยแก้ว ร้อยกรอง มีความหมายสลับซับซ้อน ยอกย้อน ผู้ประพันธ์
นักร้อง นักดนตรี และผูฟ้ งั อาจเข้าถึงบทเพลงไปตามจินตนาการแตกต่างกันไป”
จากบางแหล่งข้อมูลเพลงลูกกรุงกาเนิดขึน้ เมื่อประมาณ พ.ศ. 2474 ซึง่ เป็ นช่วงทีป่ ระเทศไทย
กาลังจะเปลีย่ นแปลงระบอบการปกครองฯ ในรัชกาลที่ 7 บางแหล่งบอกปลาย รัชกาลที่ 6 ประมาณ
พ.ศ. 2455 โดยการจ้างครูจากอิตาลีนาเครื่องสายสากลเข้ามาสอน แต่เพลงลูกกรุงเริม่ ชัดเจน
เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2475 โดยเริม่ มีแนวเพลง เนื้อร้อง ทานอง และเครื่องดนตรีท่นี ามาบรรเลง
ประกอบเป็ นไทย นาทานองเพลงของรัชกาลที่ 6 ที่นามาเรียบเรียงเสียงประสานใช้เครื่องดนตรี
สากลบรรเลงประกอบ เป็ นเพลงในกิจการลูกเสือ ต่อมาได้มกี ารนาเพลง "ลาทีกล้วยไม้" ของ
ขุนวิจติ รมาตรา มาทาในจังหวะรุมบ้าเพลงแรกของไทย และบทเพลงของจิตร ภูมศิ กั ดิ ์ และอื่นๆ
ซึง่ แต่งและใช้เครือ่ งดนตรีสากลบรรเลงประกอบ เป็นเครือ่ งบ่งบอกการกาเนิดของเพลงลูกกรุง
คาว่า “เพลงลูกกรุง” ได้แยกกลุ่มผู้ฟงั อย่างเด่นชัดขึน้ มาตามลาดับ โดยนาเอาความเป็ นอยู่
(Lifestyle) ของผูฟ้ งั ศิลปิน นักร้อง นักดนตรี เป็ นผูก้ าหนดทิศทาง วงสุนทราภรณ์เป็ นวงแรก ก่อตัง้
เป็ นวงดนตรีวงใหญ่ เมื่อ พ.ศ. 2482 ซึง่ ทาให้สงั คมเมืองในยุคนัน้ เริม่ ตื่นตัวการฟงั เพลง ผูฟ้ งั และ
ค่ายเพลงต่างๆ เริม่ จัดประเภทเพลง สร้างนักร้องให้มรี ูปแบบความเป็ นคนเมืองหลวง นักดนตรี
28
1. วิ เคราะห์ข้อมูลด้านชีวประวัติและผลงาน
1.1 ชีวประวัติของ ทิ พย์วลั ย์ ปิ่ นภิ บาล
ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาลเป็ นนักร้องเพลงไทยสากลที่มคี วามสามารถ ขับร้อ งเพลงไทย
สากลและบันทึกเสียงเผยแพร่สู่สาธารณชนไว้เป็ นจานวนมาก ในงานวืจยั ครัง้ นี้ผู้วจิ ยั ขอนาเสนอ
ชีวประวัตแิ ละผลงานของท่าน โดยใช้หวั ข้อในการนาเสนอคือ ชีวติ ก่อนเข้าสู่อาชีพนักร้อง ชีวติ
อาชีพนักร้อง ผลงานการขับร้องและชีวติ ในปจั จุบนั ดังต่อไปนี้ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล เกิดในอาเภอ
34
เมือง จังหวัดจันทบุร ี วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2497 ปจั จุบนั อายุ 57 ปี บิดาชื่อ ทองอยู่ ปิ่ นภิบาล
อายุ 85 ปี อดีตผูอ้ านวยการสถานีทดลองพืชสวนพลิ้ว จังหวัดจันทบุร ี ปจั จุบนั เกษียณอายุราชการ
และได้เสียชีวติ แล้ว มารดาชื่อนางวรรณะ ปิ่ นภิบาล บ้านเดิมอยู่ตรงข้ามทางเข้าน้ าตกพลิ้ว
อาเภอขลุง จังหวัดจันทบุร ี ปจั จุบนั อยู่บา้ นเลขที่ 16 ซอยอุดมเกียรติ ์ ถนนสุทธิสาร แขวงห้วยขวาง
กรุงเทพฯ 10310 ทิพย์วลั ย์ เป็นลูกสาวคนโต ในจานวนพีน่ ้องทัง้ หมด 7 คน คือ
1. ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล (โพธิ ์ทองนาค)
2. พวงพร ปิ่นภิบาล (เลิศกิจจา)
3. ศิรเิ พ็ญ ปิ่นภิบาล
4. รัดเกล้า ปิ่นภิบาล
5. กรกนก ปิ่นภิบาล
6. พิจาริณี ปิ่นภิบาล
7. จักรทอง ปิ่นภิบาล
ปจั จุบนั ยังมีชวี ติ อยูค่ รบทุกคน
1.1.1 ครอบครัว
ทิพ ย์ว ัล ย์ ปิ่ น ภิบ าล สมรสกับ พลโท ศุ ภ ชัย โพธิท์ องนาค ป จั จุ บ ัน
เกษียณอายุราชการแล้ว มีบุตรธิด า 2 คน คือ นายณัฏฐธชัย โพธิ ์ทองนาค อายุ 31 ปี ปจั จุบนั
ทางานที่บริษัททรู (True) นางสาวกุ ลกรณ์ พชั ร โพธิ ์ทองนาค อายุ 21 ปี ปจั จุบนั ศึกษาอยู่คณะ
ศิลปกรรมศาสตร์ สาขาวิชาดุรยิ างค์ตะวันตก วิชาเอกขับร้อง (Voice) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
1.1.2 การศึกษา
ประถมศึก ษา โรงเรียนสฤษดิเ ดช จังหวัดจันทบุร ี มัธ ยมศึกษาตอนต้น
โรงเรียนสตรีศรียานุ สรณ์ จังหวัดจันทบุร ี มัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเบญจมราชูทศิ จังหวัด
จันทบุร ี จบมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนอัมพรไพศาล จังหวัดกรุงเทพมหานคร ระดับอุดมศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์ เอกสังคมศึก ษา มหาวิทยาลัยรามคาแหง รุ่ นที่ 2 และประกาศนียบัตรชัน้ สูง
หลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข (สสสส.1) สถาบันพระปกเกล้า
ทิพย์วลั ย์ ชอบร้องเพลงมาตัง้ แต่สมัยเป็นเด็ก เมือ่ เข้าโรงเรียน ในวิชาขับร้อง
เธอทาได้ดีเป็ นพิเ ศษ จึงได้รบั หน้ าที่เป็ นตัว แทนโรงเรียน ประกวดร้องเพลง ตัง้ แต่ชนั ้ ประถม
เรื่อยมาจนถึงระดับอุดมศึกษา ไม่ว่าจะเป็ นงานในโรงเรียนหรือระดับจังหวัด งานศิลปะหัตกรรม
นักเรียน เป็นต้น เพลงทีใ่ ช้ประกวดส่วนใหญ่ เป็นเพลงไทยสากลและเพลงพระราชนิพนธ์
นอกจากนัน้ เธอยังสนใจภาษาอังกฤษและชอบร้องเพลงสากล เช่น เพลงที่
ได้รบั ความนิยม เก่า ๆ เพลงจากภาพยนตร์ ฉะนัน้ จึงมีความชานาญทัง้ เพลงไทยและสากล
สมัยเป็ นนักเรียน ตอนเช้าตื่นขึน้ มาทางานบ้าน ก็รอ้ งเพลงไปด้วยโดยเปิ ด
แผ่นเสียงเพลงเก่าๆ แล้วร้องตาม บางเพลงมีแต่ทานองเพราะเป็ นเพลงบรรเลงก็อุตส่าห์ไปหา
เนื้อเพลงมาร้องตามทานองเพลงนัน้ ๆและขอความรู้ ความถูกต้องจากนักดนตรีภายหลังจนเกิด
35
ความชานาญ ครูท่เี ห็น ทิพ ย์วลั ย์ ตัง้ แต่ประถมคือ ครูบรรจง โรงเรียนสฤษดิเ ดชได้ส่ งทิพย์ว ลั ย์
ไปประกวดร้องเพลงในรายการวิทยุ (07 วิทยุทหารอากาศ ) และต่อมาชัน้ มัธยมครูบวั ศรี โกศล
ท่านสอนร้องเพลงไทย ทิพย์วลั ย์กไ็ ม่ทาให้ครูผดิ หวัง นารางวัลมาให้โรงเรียนเสมอ รวมทัง้ ครูกณ ั หา
วรรณทอง โรงเรียนศรียานุ สรณ์และครูมาลัย โรงเรียนเบญจมราชูทศิ ได้ขอให้ทพิ ย์วลั ย์รอ้ งเพลง
ให้กบั วงดนตรีสากลของโรงเรียนด้วย
เมื่อทิพย์วลั ย์เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยรามคาแหง ได้รบั เลือกให้เป็ นนักร้อง
ประจาวงดนตรีสากล ชื่อวง R.U. BAND ของมหาวิทยาลัยรามคาแหง เธอเล่าให้ฟงั ว่า “ เมื่อวันไป
สมัค รคัดตัว นัก ร้อ ง เขาได้ปิ ดรับ สมัค รไปแล้ว แต่ คุ ณ เจนกิจ คุ ณ ฑีว งศ์ ประธานแผนกดนตรี
ขณะนัน้ ยังเล่นเปี ยโนอยู่ บอกให้รอ้ งเพลงให้ฟงั เธอจึงเลือกเพลง Till และ Too Young พอเริม่
ร้องนักศึกษาที่ฟงั อยู่ใกล้ๆ แผนกดนตรีและร้านอาหารบริเวณนัน้ ก็วงิ่ มาดู” คุณเจนกิจจึงรับเป็ น
นักร้องประจาวง R.U. BAND ทันที
พ.ศ. 2519 ไทยทีวสี ชี ่อง 3 จัดประกวดนักร้องสมัครเล่ น คุณพ่อ ของสามี
และสามี เป็ นผู้นาข่าวการประกวดนักร้องสมัครเล่นและสนั บสนุ นให้เข้าประกวดจนได้รบั รางวัล
ชนะเลิศ ทาให้ประสบผลสาเร็จเป็นทีร่ จู้ กั และมีช่อื เสียงตัง้ แต่นนั ้ เป็ นต้นมา
ปจั จุบนั เป็ นกรรมการผูจ้ ดั การ บริษทั แฟร์โอเปอร์เรชัน่ จากัด ผลิตรายการ
วิทยุ โทรทัศน์ โดยมีรายการทีเ่ ป็นทีร่ จู้ กั และเคยได้รบั รางวัลโทรทัศน์ทองคา ดังนี้
ผลิ ตรายการโทรทัศน์
1. รายการ ร้อ ยอาชีพ ได้ ร ับ รางวัล โทรทัศ น์ ท องค าเช่ น เดีย วกัน โดย
สถานีโทรทัศน์ช่อง 5
2. ผลิตรายการ The Royal music เนื่องในวโรกาสทีพ่ ระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หวั ทรงครองราชย์ ครบ 60 ปี ในปีพุทธศักราช 2539 ได้รบั รางวัลโทรทัศน์ทองคา และ
รางวัลจากสื่อมวลชนแคทอลิค สถานีโทรทัศน์ช่อง 5
3. ผลิตรายการ อร่อย 100 เส้นทาง สถานีโทรทัศน์ช่อง 5
รายการวิ ทยุ
1. รายการเพลงผลิใบ ออกอากาศวันเสาร์ เวลา 16.00 – 17.00 น. 92.5 F.M
2. รายการเมล็ดพันธ์เพลง ออกอากาศวันอาทิตย์ เวลา 13.00 น. – 15.00 น.
93.5 F.M.
3. รายการวิทยุทงั ้ 2 รายการเป็ นรายการเพลงไทยสากลและเรื่องราวที่เป็ น
ประโยชน์ต่อผูฟ้ งั ทัง้ เศรษฐกิจ สังคม สุขภาวะทางอารมณ์ ตัวอย่างของการใช้ชวี ติ ความมีวฒ ั นธรรม
และการพูดคุย รวมทัง้ สอนให้ผฟู้ งั รักและมีความรูเ้ กี่ยวกับเพลงไทยสากล (ลูกกรุง)และวิวฒ ั นาการ
ต่างๆ ในวงการเพลงไทยสากลด้วย
36
1.1.3 งานอาสาสมัครและงานองค์กรการกุศล
1) เป็นกรรมการสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
2) เป็ น กรรมการสมาคมนั ก ร้อ งแห่ ง ประเทศไทยในพระบรมราชูป ถัม ภ์
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
3) เป็นกรรมการสภาสตรีแห่งชาติ
4) ให้ ค วามรู้ เ รื่อ งการร้ อ งเพลงไทยสากล การใช้ เ สีย งแก่ ป ระชาชน
และองค์กรต่างๆ รวมทัง้ อาสาสมัคร การสอนในฑัณฑสถานร่วมกับกรมราชฑัณฑ์ดว้ ย
นอกจากนี้ทพิ ย์วลั ย์ยงั ได้รบั เชิญ เป็ นกรรมการตัดสิน การประกวดร้องเพลงให้กบั
องค์กรต่าง ๆ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ อยูเ่ ป็นนิจ
1.2 ผลงาน
เริม่ มีช่อื เสียงเมื่อได้รบั ตาแหน่ ง นักร้องสมัครเล่นแห่งประเทศไทย (Amateur singing
contest 1976) เมือ่ พ.ศ. 2519 ร่วมกับคุณเกวลิน บุญศิรธิ รรม เมือ่ กลับจากการประกวด ได้เซ็นสัญญา
กับทางช่อง 3 เป็ นเวลา 4 ปี โดยร้องเพลงให้กบั รายการชื่อ All star Variety Show ทุกสัปดาห์
โดยมีนักร้องอาชีพ นักร้องสมัครเล่นมาร่วมรายการด้วย นักร้องสมัครเล่นของทางช่อง 3 จะ
ได้รบั การฝึกฝน ให้มคี วามสามารถขับร้องเพลงได้หลายแนว เมื่อได้ออกสื่อบ่อยครัง้ ทาให้มบี ริษทั
แผ่นเสียงหลายแห่งมาติดต่อ ทิพย์วลั ย์ได้รบั การติดต่อจากบริษทั อโซน่ า โปรโมชัน่ จากัด ให้มา
เซ็นสัญญาร้องเพลง หลังจากหมดสัญญากับไทยทีวสี ชี ่อง 3 แล้ว
ในระหว่างนัน้ ทิพ ย์วลั ย์ได้ทางานอยู่ฝ่ายจัด รายการของไทยทีว ีสชี ่ อ ง 3 ด้ว ยและ
มีงานพิเศษ คือ งานเพลงโฆษณา เช่น โอวัลติน บริษทั ประกันภัย เพลงประกอบภาพยนตร์
ละครหลายเรื่อ ง เช่น แสนรัก ภูชิต นริศ รา สายเลือ ดเดียวกัน พิศ วาส ร่มฉัต ร เป็ นต้น
หลังจากหมดสัญญากับไทยทีวสี ชี ่อง 3 ทิพย์วลั ย์หนั มาเป็นนักร้องอาชีพเต็มตัว โดยเซ็นสัญญากับ
บริษทั อโซน่าจากัดและออกอัลบัม้ เป็นของต้นเองเรือ่ ยมา
อัล บัม้ ชุ ด แรกคือ ชุ ด ฉั น รัก รถเมล์ ท าให้ผู้ค นรู้จ กั ทิพ ย์ว ัล ย์ม ากขึ้น แต่ เ ธอรู้ว่ า
แนวเพลงสไตล์แบบนี้ไม่เป็ นตัวเธอ จึงเปลีย่ นแนวเพลงใหม่และได้ออกอัลบัม้ ชุดใหม่ คือ ชุดสุดเหงา
ซึง่ แต่งโดย วราห์ วรเวช (นายแพทย์ วราวุฒ ิ สุมาวงศ์) เพลงนี้ ได้ รบั รางวัลแผ่นเสี ยงทองคา
พระราชทาน ในปี 2525 หลัง จากได้ร บั รางวัล แผ่ น เสีย งทองค า กรมประชาสัม พัน ธ์ไ ด้เ ชิญ
ทิพย์วลั ย์เป็ นตัวแทนนักร้องไทยไปร่วมงาน มหกรรมอาเซียน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
โดยมีคุณ อ้อ ยทิพย์ ปญั ญาธร เป็ นตัวแทนนัก ร้องประเภทเพลงพื้นบ้าน (ลูกทุ่ ง) ขับร้องเพลง
สาวทรานซิสเตอร์
ในปี 2527 ทิพ ย์ว ลั ย์ ได้รบั เชิญ อีกครัง้ จากกรมประชาสัมพันธ์ ให้เ ป็ นตัว แทน
นักร้องไทยร่วมงานมหกรรมอาเซียน ครัง้ ที่ 3 ทีป่ ระเทศสิงคโปร์ ในครัง้ นี้เธอได้นาบทเพลง ไฟ
ทีไ่ ด้รบั รางวัล
37
ดอกจัน 1
ดอกจัน 2
ดอกจัน 3
Once Upon Time
วันวาน
ทะเลจันทร์ (B.S.O)
สรุปได้ว่า ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล เป็ นศิลปินนักร้องทีม่ คี ุณภาพคนหนึ่งของสังคมไทย
มีบทบาทสาคัญยิง่ ต่อวงการเพลง ด้วยผลงานและแนวทางการขับร้ อง เพลงลูกกรุงที่ยงั คงอยู่ใน
สังคมไทย ซึ่งมีเอกลักษณ์ ทัง้ ศาสตร์และศิลป์ ทางอารมณ์และภาษาแห่งศิลปะการขับร้องเพลง
ลูกกรุง ด้วยเป็ นเพชรน้ าหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กบั วงการเพลงของประเทศ จากรางวัลแผ่นเสียง
ทองคาพระราชทาน รางวัลพระพิฆเนศทองและรางวัลตุ๊กตาทองทีวมี หาชน รวมถึงผลงานอื่น ๆ
จึงเป็นเครือ่ งชีว้ ดั ได้ถงึ คุณภาพผลงานการขับร้องของ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล
2. วิ เคราะห์ข้อมูลด้านบทเพลง
ในการศึก ษาข้อ มูล ด้า นบทเพลงของ ทิพ ย์ว ัล ย์ ปิ่ น ภิบ าล ครัง้ นี้ ไ ด้ข้อ มูล มาจากการ
สัมภาษณ์ทพิ ย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล โดยตรงและรวบรวมบทสัมภาษณ์ของนักประพันธ์เพลงในแนวเพลง
ไทยสากล มีเพลงทีใ่ ช้ในการวิเคราะห์ คือ เพลงสุดเหงา ดอกไม้ช่อนี้ ไฟ ในโลกบันเทิง น้ าเซาะ
ทรายและอัสดง โดยมีหวั ข้อในการวิเคราะห์ ดังนี้
2.1 ความเป็นมาของบทเพลง (Historical Background)
2.2 ความหมายของบทเพลง (Meaning)
2.3 โครงสร้างและรูปแบบของบทเพลง (Structure and Form)
40
41
คาร้อง เพลงสุดเหงา
ร้อนสุดร้อนผ่อนคลาย หนาวเหน็บหนาวไม่หาย
ยามฉันอยูเ่ ดียวดายขาดเธอ จากเธอไป
ไม่ใช่เรือ่ งทีฉ่ ันนัน้ อยากจะทา แต่เป็นเรือ่ งทีฉ่ นั ไม่ทาไม่ได้
สุดหักอาลัยยามไกลไปจากเธอ * ร้อนสุดร้อนผ่อนคลาย
หนาวเหน็บหนาวไม่หาย ยามฉันอยูเ่ ดียวดายขาดเธอ
แต่เพื่อความรักของเธอและเขา ฉันยอมรับความเหงาเศร้าตรม
** ปล่อยเวลารักษาอารมณ์ จนกว่าความระทมผ่อนคลาย
(ซ้า * . *)
ท่อนA
ท่อน B
ท่อน A
43
ท่อน C
ท่อน A
คาร้อง เพลงสุดเหงา
ร้อนสุดร้อนผ่อนคลาย หนาวเหน็บหนาวไม่หาย
ยามฉันอยูเ่ ดียวดายขาดเธอ จากเธอไป
ไม่ใช่เรือ่ งทีฉ่ นั นัน้ อยากจะทา แต่เป็นเรือ่ งทีฉ่ นั ไม่ทาไม่ได้
สุดหักอาลัยยามไกลไปจากเธอ * ร้อนสุดร้อนผ่อนคลาย
หนาวเหน็บหนาวไม่หาย ยามฉันอยูเ่ ดียวดายขาดเธอ
แต่เพื่อความรักของเธอและเขา ฉันยอมรับความเหงาเศร้าตรม
** ปล่อยเวลารักษาอารมณ์ จนกว่าความระทมผ่อนคลาย
(ซ้า * . ** )
การแบ่งวรรคลมหายใจของเพลงสุดเหงา
ในการแบ่งวลีเพื่อการหายใจใช้สญ
ั ลักษณ์ ลูกศร หลังตัวโน้ ตที่หยุดการหายใจ
การหายใจวลีท่ี 1 ร้อนสุดร้อนผ่อนคลาย
การหายใจวลีท่ี 2 หนาวเหน็บหนาวไม่หาย
47
5) ...ผ่ อ นคลาย ... ผู้ร้อ งใช้เ ทคนิ ค การบัง คับ ลมเพื่อ ลากเสีย งค าร้อ ง ค าว่ า
“ คลาย ” โดยใช้เทคนิค Vibrato โดยเริม่ ต้นด้วยโน้ตโน้ตตัว E และ F# สลับกันไป หลังจาก
นัน้ ใช้เทคนิค Decrscendo ลากเสียงให้ยาวขึน้ โดยใช้ลมในการขับร้องเดียวกัน จบลงด้วย
โน้ตตัว E โดยมีวธิ บี งั คับควบคุมลมหายใจในการลากเสียงยาวเท่ากับ 6 จังหวะ
ปล่อยเวลารักษาอารมณ์(...........)จนกว่าความระทมผ่อนคลาย
สรุป ในบทเพลงสุ ด เหงา ทิพ ย์ว ัล ย์ ปิ่ นภิบ าล ได้ใ ช้ว ิธ ีก ารเน้ น เสียงเน้ นค าใน
บทเพลงเพื่อให้ความสาคัญกับเสียงเอื้ อนหรือคาร้อง โดยเพิม่ น้ าหนักเสียงหรือเน้ นคาให้ชดั เจน
เป็ นพิเศษ ซึ่งมีคาร้องที่ผู้วจิ ยั พบจานวน 6 วลี คือ คาว่า...ร้อนสุดร้อน...หนาวเหน็บหนาว...ใช้
เทคนิคพิเศษการเน้นเสียงให้ดงั ขึน้ เพื่อเน้นความหมายของคาว่า ร้อน ส่วนคาว่า หนาวเหน็บหนาว
ก็ใช้เทคนิคพิเศษการเน้นเสียงให้ดงั ขึน้ เพื่อเน้นความหมายของคาว่า หนาว คาว่า ...เดียวดาย...ใช้
เทคนิคพิเศษเพื่อเน้นความหมายของคาว่า เดียว ด้วยน้ าเสียงทีห่ นักแน่ นส่วนคาว่า ดาย ใช้เทคนิค
การใช้เ สียงที่ก ารแผ่ ว เสียงเบาลงในตอนท้า ยของค า เพื่อ ให้เ กิด ความรู้ส ึก ว่ า เดียวดายจริง ๆ
ส่วนคาว่า ขาดเธอ ก็ใช้เทคนิคพิเศษการเน้นเสียงในคาว่า...ขาด...ให้หนักแน่นและพลิว้ เสียง คือการ
สันของเสี
่ ยงให้เป็นลักษณะคลื่นในตอนท้ายคาว่า... เธอ... คาว่า ...เธอ..โดยใช้เทคนิคพิเศษเพื่อเน้น
ความหมายของคาว่า เธอ ด้วย เทคนิคการลากเสียง เพื่อเน้นถึงอารมณ์เศร้า ส่ วนคาว่า..เขา.. เพื่อ
เน้ นความหมายของค าว่า..เขา...ใช้เ ทคนิค การลากเสียง เพื่อ เน้ นความหมายของคาว่า...เขา...
ซึง่ เป็นผูห้ ญิงคนใหม่ของเธอทีท่ าให้เธอไม่สามารถหวนกลับคืนมาหาได้ คาว่า ...เหงา..เศร้า...ตรม
ใช้เทคนิคการใช้เสียงครวญ คือการร้องน้ าเสียงแผ่วเบาคล้า ยกับการสะอื้นไปในตัว ซึง่ เป็ นเสียงที่
แสดงอารมณ์ของการเหงา เศร้าโศกไปตามบทเพลง คาว่า ...เวลา...รักษา... โดยใช้เทคนิคการ
กระโดดเสียงจากเสียงต่ าไปหาเสียงสูง ห่างกัน 6 เสียง เพื่อ เน้ นค าให้ได้อารมณ์ ชดั เจนตาม
ความหมายของคาร้อง คาว่า...ผ่อนคลาย..โดยใช้เทคนิคการกระโดดเสียง จากเสียงต่ าไปหาเสียงสูง
ห่างกัน 5 เสียง ซึง่ เป็ นการร้องทีแ่ สดงอารมณ์ของคาว่า...ผ่อนคลาย...ให้รสู้ กึ ว่าผ่อนคลายจริงๆได้
ตามความหมายของคาอย่างชัดเจน
3.2.2 การผันอักษรตามทานอง
ในบทเพลงสุดเหงา ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้วยเทคนิควิ ธกี ารผัน
อัก ษรตามทานอง โดยการร้องเสียงพยางค์ท่ผี สมด้ว ยพยัญ ชนะ สระและวรรณยุกต์ ซึ่งเสียง
วรรณยุกต์ในการขับร้องมักเปลีย่ นไปตามทานองเพลง
1) คาว่า…หาย...
ในบทเพลงสุดเหงา ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้วยเทคนิควิธกี าร
ผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า ฮาย โน้ตตัว G# ซึง่ เป็ นอักษรต่ าคู่กบั อักษรสูง
พยัญชนะ ห ซึง่ ต้องใช้การผันอักษรและวรรณยุกต์ร่วมกันและจบลงด้วยการร้องด้วยหางเสียงขึน้
นาสิกโน้ตตัว A ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
54
2) คาว่า…เหงา…
ในบทเพลงสุดเหงา ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้วยเทคนิควิธกี าร
ผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า...เงา…โน้ตตัว F# ซึง่ เป็ นอักษรต่ าเดียวเพื่อให้
เกิดเสียงคาว่า...เหงา...ในหลักภาษาไทยเป็ นการออกเสียงแบบคาที่ม.ี ..ห...นาเสียงของคาจะเป็ น
เสียงจัตวา ซึ่งผู้ขบั ร้องต้องใช้การโดยการผันอักษรและวรรณยุกต์ร่วมกันและจบลงด้วยการร้อง
ด้วยหางเสียงขึน้ นาสิกโน้ตตัว G# ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
3) คาว่า...รักษา...
ในบทเพลงสุดเหงา ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบ าล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้วยเทคนิควิธกี าร
ผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า ซา โน้ตตัว G# ซึง่ เป็ นอักษรต่ าคู่กบั อักษรสูง
พยัญชนะ ษ ซึ่งต้อ งใช้ก ารผันอักษรและวรรณยุกต์ร่วมกันและจบลงด้วยการร้องด้วยหางเสียง
ขึน้ นาสิกโน้ตตัว A ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
4) คาว่า...ผ่อนคลาย...
ในบทเพลงสุดเหงา ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้วยเทคนิควิธกี าร
ผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า พอ โน้ตตัว D# ซึง่ เป็ นอักษรต่ าคู่กบั อักษรสูง
พยัญชนะ ผ ซึง่ ต้องใช้การผันอักษรและวรรณยุกต์ร่วมกันให้เสียงต่ าลงมาหนึ่งเสียงคือโน้ตตัว C#
และเปล่งเสียงด้วยคาว่า ห่อนซึ่งเมื่อรวมคาว่า …พอ… ผสม กับคาว่า…ห่อน… จะได้เสียงขับร้อง
เป็นคาว่า ผ่อน ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
สรุปการขับ ร้อ งโดยการผัน อัก ษรตามท านอง ในบทเพลงสุ ดเหงา ทิพ ย์ว ัล ย์
ปิ่นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้วยเทคนิควิธกี ารผันอักษรตามทานอง โดยการร้องเสียงพยางค์ท่ผี สม
55
2) คลาย
คาว่า...คลาย…เป็นคาเป็นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อา และสะกดด้วย
ย ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ เกย ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อให้
ได้ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็น
56
3) ปล่อย
คาว่า...ปล่อย…เป็ นคาเป็ นที่ผสมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ ออ และสะกด
ด้วย ย ซึง่ เป็ นตัวสะกดในแม่ เกย ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้ องให้ยาวขึน้
เพื่อให้ได้ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
2) สุดหัก
คาว่า...สุด...เป็นคาตายทีผ่ สมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อุ และสะกดด้วย ด
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กด และคาว่า...หัก...เป็ นคาตายทีผ่ สมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อะและสะกด
ด้วย ก ซึง่ เป็ นตัวสะกดในแม่กก ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสียงคาร้องให้สนั ้ ลง
เพื่อให้ได้ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาตาย
57
3) ความรัก
คาว่า...ความรัก...เป็ นคาตายที่ผสมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อะ และสะกด
ด้วย ก ซึ่งเป็ นตัวสะกดในแม่ กก ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสียงคาร้องให้สนั ้ ลง
เพื่อให้ได้ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาตาย
2) คาว่า...หนาวเหน็บหนาว...
หนาวเหน็บหนาว จากการศึกษาวิเคราะห์บทเพลงสุดเหงาพบว่า วลีน้ีม ี
ความหมายที่กล่าวถึงความเหน็บหนาวของคน ที่ถูกคนรักทอดทิ้ง จะมีความเหน็บหนาวยิง่ กว่า
คนทัวไป
่ วลีน้ีทิพ ย์ว ลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ถ่ ายทอดอารมณ์ โ ดยใช้สุ นทรียรส คือ รสค าหรือ รสถ้อ ย
โดยขับร้องด้วยการเน้นคาด้วยน้ าเสียงทีด่ งั แสดงถึงความเหน็บหนาวในอารมณ์ทถ่ี งึ ทีส่ ุด ทาให้ผฟู้ งั
เกิดความรูส้ กึ ว่าเหน็บหนาวคล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้อง
59
3) คาว่า...ยามฉันอยูเ่ ดียวดาย...ขาดเธอ...
ยามฉันอยู่เดียวดาย....ขาดเธอ จากการศึกษาวิเคราะห์บทเพลงสุดเหงา
พบว่า วลีน้มี คี วามหมายทีก่ ล่าวถึงความเหงาความอ้างว้างของผูห้ ญิงทีถ่ ูกคนรักทอดทิง้ ให้อยู่เดียวดาย
วลีน้ที พิ ย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ถ่ายทอดอารมณ์โดยใช้สุนทรียรส คือ รสแห่งความเศร้า เหงา เดียวดาย
หรือ สัล ลาปงั คพิส ยั ในรสของวรรณคดีไทย โดยการขับร้องแบบพลิ้วเสียง ซึ่งเป็ นการเน้ นเสียง
แล้วลากเสียงให้ยาวขึน้ และมีการสันของเสี
่ ยง (Vibrato) โดยเฉพาะคาว่า...ขาดเธอ…ทาให้ผฟู้ งั เกิด
ความรูส้ กึ เดียวดายคล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้อง
4) คาว่า...ฉันยอมรับความเหงา...เศร้าตรม...
ฉันยอมรับความเหงา...เศร้าตรม จากการศึกษาวิเคราะห์บทเพลงสุดเหงา
พบว่า วลีน้มี คี วามหมายทีก่ ล่าวถึงความเหงา...เศร้า...ของผูห้ ญิงทีถ่ ูกคนรักทอดทิง้ ให้อยู่เดียวดาย
วลีน้ี ทิพ ย์ ว ัล ย์ ปิ่ น ภิบ าล ได้ ถ่ า ยทอดอารมณ์ โ ดยใช้ สุ น ทรีย รส คือ รสแห่ ง ความเศร้า หรือ
สัลลาปงั คพิสยั ในรสของวรรณคดีไทย โดยใช้เสียงครวญ... เศร้าสร้อย...ซึง่ มีลกั ษณะ...แผ่วเบาผสม
ความสะอืน้ ..ในน้าเสียง ทาให้ผฟู้ งั เกิดความรูส้ กึ เหงา...เศร้าสร้อย...คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้อง
5) คาว่า...จนกว่าความระทม...ผ่อนคลาย...
จนกว่าความระทม...ผ่อนคลาย จากการศึกษาวิเคราะห์บทเพลงสุดเหงา
พบว่า วลีน้ีมคี วามหมายที่ก ล่ าวถึงความรู้ส ึกของผู้หญิง คนหนึ่ง ที่ใ ช้กาลเวลาเป็ นเครื่อ งรักษา
อารมณ์ ซึง่ ในวลีน้ี ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ถ่ายทอดอารมณ์โดยใช้สุนทรียรส คือ รสแห่งความทุกข์
หรือสัลลาปงั คพิสยั ในรสของวรรณคดีไทย ใช้การแผ่วเสียงที.่ ..แผ่วเบา...ซึง่ มีลกั ษณะแสดงออกถึง
ความหลุดพ้นจากความทุกข์ ความเหงาในน้ าเสียง ทาให้ผู้ฟงั เกิดความรูส้ กึ ...ผ่อนคลาย...คล้อย
ตามไปกับผูข้ บั ร้อง
60
3.3.2 การใช้เทคนิคภวารมณียะ
ในบทเพลงสุดเหงา ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ คือ การทา
หน่วยเสียง 2เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็วๆ ทีเ่ รียกกันว่า Trill เขียนเป็ นโน้ตสากล ตอนบนของบรรทัด 5
เส้น มีสญั ลักษณะใช้ว่า tr...เป็ นการบอกว่าระหว่างปฏิบตั ิหรือขับร้องต้องเล่นโน้ต 2 ตัวสลับกัน
อย่างเร็ว เสียง2 เสียงหรือโน้ต2 ตัวนี้ ตัวทีท่ าหน้าทีใ่ ห้เสียงหลักคือโน้ตตัวล่าง การตกแต่งเสียงเป็ น
หน้ าที่ของโน้ ต ตัว บน หน่ ว ยเสียงที่เ รียบเรียงอย่างสมบูรณ์ น้ีแสดงถึงความบันเทิง ความร่าเริง
ความคึกคัก รวมถึงอารมณ์โศกเศร้า วังเวง เรียกว่า ภวารมณียะของบทเพลง ในบทเพลงสุดเหงา
มีลกั ษณะการขับร้องทีก่ ่อให้เกิด ภวารมณียะ ดังนี้
1) คาว่า...ขาดเธอ...
คาว่า...เธอ...ในบทเพลงสุดเหงา ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ
คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก คือโน้ต
ตัว B และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว C# ลักษณะการขับร้อง
เช่นนี้ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
2) คาว่า...จากเธอไป...
คาว่า...ไป...ในบทเพลงสุดเหงา ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ
คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสีย งหลัก คือโน้ต
ตัว B และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว C# ลักษณะการขับร้อง
เช่นนี้ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
61
3) คาว่า...อารมณ์ ...
คาว่า...รมณ์...ในบทเพลงสุดเหงา ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ
คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก คือโน้ต
ตัว C# และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว D# ลักษณะการขับร้อง
เช่นนี้ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
4) คาว่า...ผ่อนคลาย
คาว่า...คลาย...ในบทเพลงสุดเหงา ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ
คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก คือโน้ต
ตัว E และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว F# ลักษณะการขับร้อง
เช่นนี้ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
คำร้อง เพลงดอกไม้ช่อนี้
ดอกไม้ช่อนี้ นึกดูให้ดคี ุณเคยมอบให้
และบอกว่าแทนความรักในใจ ทีจ่ งรับไป จวบจนนิรนั ดร์
ดอกสวยเรือ่ ยมา เพราะเป็นผกาทีท่ าเทียมนัน่
ประดิษฐ์ได้ดี สดสีลาวัณย์ ยัวใจของฉั
่ นให้ฝนั เฟื่องฟู
*จนผ่านมานาน หมดความฉ่ าหวานชื่นชู
ก็จงึ รู้ รักปลอมคุณอยูข่ า้ งใน
ดอกไม้ช่อนี้ แม้ยงั สดสีเหมือนวันคุณให้
แต่ดอกก็ปลอม เช่นรักในใจ
โปรดจงรับไป ฉันไม่ตอ้ งการ
(ซ้า *)
2. วิ เครำะห์ข้อมูลด้ำนบทเพลง
ในการวิเคราะห์ขอ้ มูลด้านบทเพลงของเพลงสุดเหงา ผูว้ จิ ยั ได้แบ่งหัวข้อในการวิเคราะห์
3 ประเด็นทีส่ าคัญ ประกอบด้วย
2.1 ควำมเป็ นมำของบทเพลง (Historical Background)
จากการสัมภาษณ์ทพิ ย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล กล่าวถึงความเป็นมาของเพลงดอกไม้ช่อนี้ เป็ น
เพลงทีป่ ระพันธ์คาร้องและทานองโดย คุณโอฬาร เพียรธรรม ในปี พุทธศักราช 2525 ได้รบั รางวัล
แผ่นเสียงทองคา ประเภทเพลงยอดนิยมและยังได้รบั รางวัลตุ๊กตาทองทีวมี หาชน ในปีเดียวกันด้วย
2.2 ควำมหมำยของบทเพลง (Meaning)
จากการสัมภาษณ์ทพิ ย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล(สัมภาษณ์. 2553)กล่าวถึงเนื้อหาของบทเพลง
ดอกไม้ช่อนี้ ผูป้ ระพันธ์ได้กล่าวถึงเรือ่ งราวของผูห้ ญิงคนหนึ่งซึง่ เธอเคยได้รบั ดอกไม้จากชายคนรัก
ซึง่ เป็ นสัญลักษณ์แทนความรัก ทีช่ ายผู้นนั ้ มีให้แก่เธอตลอดไป ดอกไม้ทม่ี อบให้แด่เธอ ถึงแม้ว่าจะ
เป็ นดอกไม้ท่ปี ระดิษฐ์ขน้ึ แต่ก็มคี วามสวยสดงดงาม จนทาให้ จติ ใจของเธอมีความสุข เหมือนดัง
ความฝนั ในจินตนาการ แต่เมือ่ เวลาผ่านไปนาน... ความรักนัน้ ก็หมดความหวาน ความชุ่มฉ่ า เธอจึง
รูว้ ่าความรักทีผ่ ู้ชายคนนัน้ มอบให้ เป็ นความรักที่หลอกลวง เป็ นการอุปมาอุปมัยเปรียบเปรยเรื่อง
ของความรักที่จอมปลอมกับดอกไม้ท่ปี ลอมๆ สุดท้ายเธอจึงมอบดอกไม้ปลอมๆช่อนัน้ คืนแก่เขา
เพราะเป็นสิง่ ปลอมๆทีเ่ ธอไม่ตอ้ งการ
2.3 โครงสร้ำงและรูปแบบของบทเพลง (Structure and Form)
บทเพลงดอกไม้ช่อนี้ มีโครงสร้างของบทเพลง เป็นลักษณะแบบ Ternary Form คือ
A A’ B A” B A” โดยผูข้ บั ร้องจะร้องท่อน A ตามด้วยท่อน A’ และร้องท่อน B
ตามด้วยท่อน A” แล้วจึงย้อนกลับไปร้องท่อน B ซ้าอีกครัง้ และจบลงด้วยท่อน A” ดังนี้
65
3.1 การบังคับควบคุมลมหายใจ
3.1.1 การแบ่งวรรคลมหายใจ
3.1.2 การลากเสียงยาว
3.1.3 การเอือ้ นเสียง
3.2 การออกอักขระ ( Pronunciation)
3.2.1 การเน้นเสียงการเน้นคา
3.2.2 การผันอักษรตามทานอง
3.2.3 การร้องคาเป็นคาตาย
3.3 การสื่อความหมาย (Interpretation)
3.3.1 การใช้สุนทรียรสในการถ่ายทอดอารมณ์ความรูส้ กึ
3.3.2 การใช้เทคนิคภวารมณียะ
67
คำร้อง เพลงดอกไม้ช่อนี้
ดอกไม้ช่อนี้ นึกดูให้ดคี ุณเคยมอบให้
และบอกว่าแทนความรักในใจ ทีจ่ งรับไป จวบจนนิรนั ดร์
ดอกสวยเรือ่ ยมา เพราะเป็นผกาทีท่ าเทียมนัน่
ประดิษฐ์ได้ดี สดสีลาวัณย์ ยัวใจของฉั
่ นให้ฝนั เฟื่องฟู
*จนผ่านมานาน หมดความฉ่ าหวานชื่นชู
ก็จงึ รู้ รักปลอมคุณอยูข่ า้ งใน
ดอกไม้ช่อนี้ แม้ยงั สดสีเหมือนวันคุณให้
แต่ดอกก็ปลอม เช่นรักในใจ
โปรดจงรับไป ฉันไม่ตอ้ งการ
(ซ้า *)
ในการวิเคราะห์ขอ้ มูลด้านเทคนิควิธกี ารขับร้องของเพลงดอกไม้ช่อนี้ ผูว้ จิ ยั ได้แบ่งหัวข้อ
ในการวิเคราะห์ 3 ประเด็นทีส่ าคัญ ประกอบด้วย
3.1 การบังคับควบคุมลมหายใจ ในการศึกษาวิเคระห์การบังคับควบคุมลมหายใจ ผูว้ จิ ยั
ได้แบ่งหัวข้อย่อยในการวิเคราะห์ 3 หัวข้อ ดังนี้
3.1.1 การแบ่งวรรคลมหายใจ
ในบทเพลงดอกไม้ช่อนี้ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารหายใจเพื่อให้ความหมาย
ของค าร้อ งและท านองเพลงได้ต รงกับ จิน ตนาการของผู้ป ระพัน ธ์ โดยใช้ก ารแบ่ง วลีท่ีมเี นื้อ หา
เดียวกัน ใช้ลมในการขับร้องเดียวกันเพื่อให้เนื้อหามีความต่อเนื่องในแต่ละวลีของบทเพลง ดังนี้
กำรแบ่งวรรคลมหำยใจของเพลงดอกไม้ช่อนี้
การหายใจวลีท่ี 1 ดอกไม้ช่อนี้
การหายใจวลีท2่ี นึกดูให้ดคี ุณเคยมอบให้
การหายใจวลีท่ี 3 และบอกว่าแทนความรักในใจ
การหายใจวลีท่ี 4 ทีจ่ งรับไป จวบจนนิรนั ดร์
การหายใจวลีท่ี 5 ดอกสวยเรือ่ ยมา
การหายใจวลีท่ี 6 เพราะเป็ นผกาทีท่ าเทียมนัน่
การหายใจวลีท่ี 7 ประดิษฐ์ได้ดี สดสีลาวัณย์
การหายใจวลีท่ี 8 ยัวใจของฉั
่ นให้ฝนั เฟื่องฟู
การหายใจวลีท่ี 9 *จนผ่านมานาน
การหายใจวลีท1่ี 0 หมดความฉ่ าหวานชื่นชู
การหายใจวลีท่ี 11 ก็จงึ รู้
การหายใจวลีท่ี 12 รักปลอมคุณอยูข่ า้ งใน
69
การหายใจวลีท่ี 13 ดอกไม้ช่อนี้
การหายใจวลีท่ี 14 แม้ยงั สดสีเหมือนวันคุณให้
การหายใจวลีท่ี 15 แต่ดอกก็ปลอมเช่นรักในใจ
การหายใจวลีท่ี 16 โปรดจงรับไปฉันไม่ตอ้ งการ
(ซ้า * )
สรุป ในบทเพลงดอกไม้ช่อ นี้ ทิพ ย์ว ลั ย์ ปิ่ น ภิบาล ได้ใ ช้ว ิธ ีก ารหายใจเพื่อ ให้
ความหมายของคาร้องและทานองเพลงได้ตรงกับจินตนาการของผู้ประพันธ์ โดยใช้การแบ่งวลีท่มี ี
เนื้อหาเดียวกัน ใช้ลมในการขับร้องเดียวกันเพื่อให้เนื้อหามีความต่อเนื่องในแต่ละวลีของบทเพลง
จานวน 16 วลี
3.1.2 การลากเสียงยาว
ในบทเพลงดอกไม้ช่อ นี้ ทิพย์ว ลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิควิธกี ารบังคับลมเพื่อ
ลากเสียงให้ยาวขึน้ โดยการทาให้เสียงของคาร้องยาวขึน้ เพื่อให้ได้อารมณ์ตามบทเพลง ซึง่ มีทงั ้ การ
ลากเสียงสูงขึน้ และต่าลง ดังตัวอย่างทีจ่ ะวิเคราะห์ ต่อไปนี้
1) ...ช่อ นี้... ผู้ร้องใช้เทคนิค การบังคับลมเพื่อลากเสียงคาร้อง คาว่า “ช่อนี้”
โดยใช้เทคนิค Vibrato คือร้องโน้ต 2 เสียง โดยเริม่ ต้นด้วยโน้ตตัว G# และ A# สลับกันไป
หลังจากนัน้ ใช้เทคนิค Crescendo ในโน้ตตัว G# ลากเสียงให้ยาวขึน้ โดยใช้ลมในการขับร้อง
เดียวกัน จบลงด้วยโน้ตตัว G# โดยมีวธิ บี งั คับควบคุมลมหายใจในการลากเสียงยาวเท่ากับ 4 จังหวะ
12) ...ต้ อ งการ... ผู้ร้อ งใช้เ ทคนิ ค การบัง คับ ลมเพื่อ ลากเสีย งค าร้อ ง ค าว่ า
“ต้องการ” โดยใช้เทคนิค Vibrato คือร้องโน้ต 2 เสียง โดยเริม่ ต้นด้วยโน้ตตัว G# และ A#
สลับกันไปหลังจากนัน้ ใช้เทคนิค Crescendo ในโน้ตตัว G# ลากเสียงให้ยาวขึน้ โดยใช้ลม
ในการขับร้องเดียวกัน จบลงด้วยโน้ตตัว G# โดยมีวธิ บี งั คับควบคุมลมหายใจในการลากเสียงยาว
เท่ากับ 6 จังหวะ
ในบทเพลงดอกไม้ช่ อ นี้ ทิพ ย์ว ัล ย์ ปิ่ น ภิบ าล ได้ ใ ช้ว ิธ ีก ารเน้ น เสีย งเน้ น ค า
ในบทเพลงเพื่อให้ความสาคัญกับเสียงเอื้อนหรือคาร้อง โดยเพิม่ น้ าหนักเสียงหรือเน้นคาให้ชดั เจน
เป็นพิเศษ ดังนี้
ตัวอย่างที่ 1 คาว่า และบอกว่าแทน..ความรักในใจ
ในบทเพลงดอกไม้ช่อ นี้ ทิพย์ว ลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใ ช้ว ิธ ีการร้อ งด้ว ยเทคนิ ค
วิธกี ารผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า ชาน โน้ตตัว C# ซึง่ เป็ นอักษรต่ าคู่กบั
อัก ษรสูงพยัญ ชนะ ฉ ซึ่งต้อ งใช้การผันอักษรและวรรณยุกต์ร่ว มกัน และจบลงด้ว ยการร้อ งด้ว ย
หางเสียงขึน้ นาสิกโน้ตตัว D# ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
2) คาว่า…ดอกสวย...
ในบทเพลงดอกไม้ช่อ นี้ ทิพย์ว ลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใ ช้ว ิธ ีการร้อ งด้ว ยเทคนิ ค
วิธกี ารผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า ซ่วย โน้ตตัว G# ซึง่ เป็ นอักษรต่ าคู่กบั
อัก ษรสูงพยัญ ชนะ น ซึ่งต้อ งใช้ก ารผันอักษรและวรรณยุกต์ร่ว มกันและจบลงด้วยการร้อ งด้ว ย
หางเสียงขึน้ นาสิกโน้ตตัว A# ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
3) คาว่า….ให้ฝนั ...
ในบทเพลงดอกไม้ช่อ นี้ ทิพย์ว ลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใ ช้ว ิธ ีการร้อ งด้ว ยเทคนิ ค
วิธกี ารผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า ฟาน โน้ตตัว A# ซึง่ เป็ นอักษรต่ าคู่กบั
อักษรสูงพยัญชนะ น ซึง่ ต้องใช้การผันอักษรและวรรณยุกต์ร่วมกันและจบลงด้วยการร้ องด้วยหาง
เสียงขึน้ นาสิกโน้ตตัว B ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
77
2) มานาน
78
3) ในใจ
ค าว่ า...ในใจ…เป็ นค าเป็ นที่ผ สมด้ว ยสระเสียงยาว คือ สระ ใอ ทิพย์ว ลั ย์
ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้อ งให้ยาวขึ้น เพื่อ ให้ได้ค วามหมายของคาร้อ งที่ชดั เจน
และถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
4) ต้องการ
คาว่า...ต้องการ…เป็ นคาเป็ นที่ผสมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อา และสะกด
ด้วย ร ซึ่งเป็ นตัวสะกดในแม่ กน ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึ้น
เพื่อให้ได้ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
5) คุณให้
คาว่า...คุณให้…เป็ นคาเป็ นที่ผสมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ ไอ ทิพย์วลั ย์
ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้อ งให้ยาวขึ้น เพื่อ ให้ได้ค วามหมายของคาร้อ งที่ชดั เจน
และถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็น
79
2) ประดิษฐ์
คาว่า...ดิษฐ์...เป็ นคาตายทีผ่ สมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อี และสะกดด้วย ษ
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กด ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสียงคาร้องให้สนั ้ ลง เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาตาย
3) รักปลอม
คาว่า...รัก...เป็ นคาตายทีผ่ สมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อะ และสะกดด้วย ก
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กก ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสียงคาร้องให้สนั ้ ลง เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาตาย
80
4) รับไป
คาว่า...รับ...เป็ นคาตายที่ผสมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อะ และสะกดด้วย
บซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กบ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสียงคาร้องให้สนั ้ ลง เพื่อให้
ได้ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาตาย
2) คาว่า...ยัวใจของ...ฉั
่ น...ให้ฝนั เฟื่องฟู...
น...ให้ฝนั ฟื่องฟู...จากการศึกษาวิเคราะห์บทเพลงดอกไม้ช่อนี้
...ยัวใจของ...ฉั
่
พบว่า วลีน้ีมคี วามหมายที่กล่าวถึงการที่ดอกไม้มคี วามสวยงามทาให้จติ ใจของเธอผู้นัน้ คิดฝนั ไป
ไกล วลีน้ีทพิ ย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ถ่ายทอดอารมณ์โดยใช้สุนทรียรส คือ รสแห่งความรักหรือนารี
ปราโมทย์ในรสของวรรณคดีไทย โดยเฉพาะคาว่า...ฉัน... ทาให้ผฟู้ งั เกิดความรูส้ กึ ว่ายัวยวนจิ ่ ตใจ
ของฉันทาให้เพ้อฝนั ไปไกล ทาให้ผฟู้ งั เกิดความรูส้ กึ เพ้อฝนั คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้อง
82
3.3.2 การใช้เทคนิคภวารมณียะ
ในบทเพลงดอกไม้ช่อนี้ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ คือ การทา
หน่ วยเสียง 2เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆ ที่เรียกกันว่า Trill เขียนเป็ นโน้ตสากล ตอนบนของบรรทัด
5 เส้น มีสญ ั ลักษณะใช้ว่า tr...เป็ นการบอกว่าระหว่างปฏิบตั หิ รือขับร้องต้องเล่นโน้ต 2 ตัวสลับกัน
อย่างเร็ว เสียง2 เสียงหรือโน้ต2 ตัวนี้ ตัวทีท่ าหน้าที่ให้เสียงหลักคือโน้ตตัวล่าง การตกแต่งเสียง
เป็ นหน้าที่ของโน้ตตัวบน หน่ วยเสียงทีเ่ รียบเรียงอย่างสมบูรณ์น้ีแสดงถึงความบันเทิง ความร่าเริง
ความคึกคัก รวมถึงอารมณ์โศกเศร้า วังเวง เรียกว่า ภวารมณียะของบทเพลง ในบทเพลงสุดเหงา
มีลกั ษณะการขับร้องทีก่ ่อให้เกิด ภวารมณียะ ดังนี้
1) คาว่า...ช่อนี้...
คาว่า...ช่อ นี้...ในบทเพลงดอกไม้ช่อนี้ ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือการใช้เ สียงหน่ ว ยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็ว ๆซึ่งมีเสียงโน้ ต ตัว ล่ างเป็ น
เสียงหลัก คือโน้ตตัว G# และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว A#
ลัก ษณะการขับร้อ งเช่นนี้ ทาให้ผู้ฟ งั เกิด อารมณ์ ค ล้อ ยตามไปกับผู้ขบั ร้อ งเรียกอารมณ์ แ บบนี้ ว่ า
“ ภวารมณียะ ”
2) คาว่า...เรือ่ ยมา...
คาว่า...เรื่อยมา...ในบทเพลงดอกไม้ช่อนี้ ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือการใช้เ สียงหน่ ว ยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็ว ๆซึ่งมีเสียงโน้ ต ตัว ล่ างเป็ น
เสียงหลัก คือโน้ตตัว G# และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว A#
84
ลัก ษณะการขับร้อ งเช่ นนี้ ทาให้ผู้ฟ งั เกิด อารมณ์ ค ล้อ ยตามไปกับผู้ขบั ร้อ งเรียกอารมณ์ แ บบนี้ ว่ า
“ ภวารมณียะ ”
3) คาว่า...ลาวัณย์...
คาว่า...ลาวัณย์...ในบทเพลงดอกไม้ช่อนี้ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือการใช้เ สียงหน่ ว ยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็ว ๆซึ่งมีเสียงโน้ ต ตัว ล่ างเป็ น
เสียงหลัก คือโน้ตตัว C# และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว D#
ลัก ษณะการขับร้อ งเช่ นนี้ ทาให้ผู้ฟ งั เกิด อารมณ์ ค ล้อ ยตามไปกับผู้ขบั ร้อ งเรียกอารมณ์ แ บบนี้ ว่ า
“ ภวารมณียะ ”
4) คาว่า...ชื่นชู...
คาว่า...ชื่น ชู...ในบทเพลงดอกไม้ช่อนี้ ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือ การใช้เ สียงหน่ ว ยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็ว ๆซึ่งมีเสียงโน้ ต ตัว ล่ างเป็ น
เสียงหลัก คือโน้ตตัว G# และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว A#
ลัก ษณะการขับร้อ งเช่ นนี้ ทาให้ผู้ฟ งั เกิด อารมณ์ ค ล้อ ยตามไปกับผู้ขบั ร้อ งเรียกอารมณ์ แ บบนี้ว่า
“ ภวารมณียะ ”
5) คาว่า...จึงรู.้ ..
คาว่า...จึง รู้...ในบทเพลงดอกไม้ช่อนี้ ทิพย์ว ลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือการใช้เ สียงหน่ ว ยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็ว ๆซึ่งมีเสียงโน้ ต ตัว ล่ างเป็ น
เสียงหลัก คือโน้ตตัว A# และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว B
85
ลัก ษณะการขับร้อ งเช่ นนี้ ทาให้ผู้ฟ งั เกิด อารมณ์ ค ล้อ ยตามไปกับผู้ขบั ร้อ งเรียกอารมณ์ แ บบนี้ ว่ า
“ ภวารมณียะ ”
6) คาว่า...ต้องการ...
คาว่า...ต้องการ...ในบทเพลงดอกไม้ช่อนี้ ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลัั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก
คือโน้ตตัว G# และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว A# ลักษณะ
การขับร้องเช่นนี้ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ”
คำร้อง เพลงไฟ
ไฟ....ทีแ่ ผดและเผาทุกสิง่ ไฟผูไ้ ม่ประวิงหยุดผลาญทาลาย
ร้อนจนสุดจะทานทน พืชคนและสัตว์ตอ้ งวางวาย
และสิง่ สุดท้าย เหลือเพียงเถ้าธุล ี
ไฟ ทีแ่ ผดและเผาในอก ไฟ... เหมือนดังนรกหมกสุ
่ มชีว ี
ไฟกิเลสในใจคน จุดความหมองหม่นมานานปี
ถ้าดับไฟนี้ โลกคงมีสุขไม
*ร้อนไม่เห็นเย็นไม่ม ี ชื่อว่าไฟหรือปราณีใครเล่า
อาจจะเป็ นน้ าช่วยหยุดแผดเผา แต่ความร้อนเร่าใครหรือจะดับมัน
ไฟ...ผูจ้ ดุ โลกใสสว่าง ไฟผูส้ ร้างชีวติ ให้ทุกชีวนั
แล้วก็จบทีก่ องไฟ ดับความฝนั ใฝ่มลายพลัน
โอ้เปลวไฟนัน้ เหมือนใจไม่หยุดนิ่งเลย
(ซ้า *)
2. วิ เครำะห์ข้อมูลด้ำนบทเพลง
ในการวิเคราะห์ขอ้ มูลด้านบทเพลงของเพลงไฟ ผู้วจิ ยั ได้แบ่งหัวข้อในการวิเคราะห์
3 ประเด็นทีส่ าคัญ ประกอบด้วย
2.1 ควำมเป็ นมำของบทเพลง (Historical Background)
จากการสัม ภาษณ์ ทิพ ย์ว ลั ย์ ปิ่ นภิบาล กล่ าวถึงความเป็ นมาของเพลงไฟ ว่ า ในปี
พุ ท ธศัก ราช 2526 สยามกลการมิว สิค ฟาวเดชัน่ โดย ดร.ถาวร พรประภา ได้จ ดั ประกวด
เพลงไทยสากล ชื่อรายการ ไทยป๊อปปูล่าซองเฟสติวลั THAI POPULAR SONG PESTIVAL 2526
เพลงไฟ ซึ่งแต่งโดยคุณชัยรัตน์ วงศ์เกียรติขจร ทัง้ คาร้องและทานองเรียบเรียงโดยคุณทรงวุฒ ิ
จรูญเรืองฤทธิ ์ ขับร้องโดยทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้รบั รางวัลยอดเยีย่ มรางวัลกรังค์ปรีซแ์ ละทิพย์วลั ย์
ได้ร ับ เชิญ จากกรมประชาสัม พัน ธ์ ให้เ ดิน ทางไปร่ ว มงานมหกรรมอาเซีย นอีก ครัง้ (ครัง้ ที่ 3)
ณ ประเทศสิงคโปร์ ในปีพุทธศักราช 2527
2.2 ควำมหมำยของบทเพลง (Meaning)
จากการสัมภาษณ์ทพิ ย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล (สัมภาษณ์.2553) กล่าวถึง เนื้อหาของบทเพลง
ไฟ ผู้ประพันธ์ได้กล่าวถึง ความร้อ นของเปลวไฟ ที่สามารถทาลายทุกสิง่ ทุกอย่างโดยไม่หยุดยัง้
ซึ่งเปลวไฟนี้มคี วามร้อนจนสุดที่จะทนได้ ทาให้ทงั ้ มนุ ษย์และสัตว์ต้องตายลง เหลือเพียงเถ้าธุ ล ี
เปรียบเหมือนคนทีม่ คี วามรุ่มร้อนและมีตวั กิเลสอยู่ในใจ จะทาให้ใจมีแต่ความเศร้าหมอง ถ้าดับไฟ
ในใจคนได้ จะทาให้โลกมนุ ษย์มแี ต่ค วามสุ ขและสดชื่น ความร้อนก็มองไม่เห็น ความเย็นก็ไม่ม ี
เพราะขึ้นชื่อ ว่าไฟนัน้ ไม่มกี ารปราณีต่ อ ทุ กคน มีเ พีย งน้ าเท่านัน้ ที่จะหยุดยัง้ การเผาผลาญของ
89
คำร้อง เพลงไฟ
กำรแบ่งวรรคลมหำยใจของเพลงไฟในกำรแบ่งวลี
93
เพื่อกำรหำยใจ ใช้สญ
ั ลักษณ์ ลูกศร หลังตัวโน้ ตที่หยุดกำรหำยใจ
3.
การหายใจวลีท่ี 7 เหลือเพียงเถ้าธุล ี
การหายใจวลีท่ี 8 ไฟ.....
การหายใจวลีท่ี 9 ทีแ่ ผดและเผาในอก
การหายใจวลีท1่ี 0 ไฟ.....
การหายใจวลีท่ี 11 เหมือนดังนรกหมกสุ
่ มชีว ี
การหายใจวลีท่ี 12 ไฟกิเลสในใจคน
การหายใจวลีท่ี 13 จุดความหมองหม่นมานานปี
การหายใจวลีท่ี 14 ถ้าดับไฟนี้
การหายใจวลีท่ี 15 โลกคงมีสุขไม่ซบเซา
การหายใจวลีท่ี 16 *ร้อนไม่เห็น
การหายใจวลีท่ี 17 เย็นไม่ม ี
การหายใจวลีท่ี 18 ชื่อว่าไฟหรือปราณี
การหายใจวลีท่ี 19 ใครเล่า
การหายใจวลีท่ี 20 อาจจะเป็ นน้ า
การหายใจวลีท่ี 21 ช่วยหยุดแผดเผา
การหายใจวลีท่ี 22 แต่ความร้อนเร่าใครหรือ
การหายใจวลีท่ี 23 จะดับมัน
การหายใจวลีท่ี 24 ไฟ....
การหายใจวลีท่ี 25 ผูจ้ ดุ โลกใสสว่าง
การหายใจวลีท่ี 26 ไฟ.....
การหายใจวลีท่ี 27 ผูส้ ร้างชีวติ ให้ทุกชีวนั
การหายใจวลีท่ี 28 แล้วก็จบทีก่ องไฟ
การหายใจวลีท่ี 29 ดับความฝนั ใฝ่มลายพลัน
การหายใจวลีท่ี 30 โอ้เปลวไฟนัน้
การหายใจวลีท่ี 31 เหมือนใจไม่หยุดนิ่งเลย
(ซ้า * )
3.1.2 การลากเสียงยาว
95
สรุ ป ในบทเพลงไฟ ทิพ ย์ว ัล ย์ ปิ่ น ภิบ าล ได้ใ ช้เ ทคนิ ค วิธ ีก ารบัง คับ ลมเพื่อ
ลากเสียงให้ยาวขึน้ โดยการทาให้เสียงของคาร้องยาวขึน้ เพื่อให้ได้อารมณ์ตามบทเพลง ซึง่ มีทงั ้ การ
ลากเสียงสูงขึ้นและต่ าลง โดยมีว ลีท่ใี ช้ใ นการบัง คับ ควบคุ ม ลมหายใจ 5 วลี คือ ค าว่า ...ไฟ...
ลากเสียงยาวเท่ากับ 4 จังหวะ คาว่า...ธุล.ี ..ลากเสียงยาวเท่ากับ 4 จังหวะคาว่า...ใครเล่า...ลากเสียง
ยาวเท่ากับ 3 จังหวะ คาว่า...ดับมัน...ลากเสียงยาวเท่ากับ 3 จังหวะ คาว่า...นิ่งเลย...ลากเสียง
ยาวเท่ากับ 4 จังหวะ
3.1.3 การเอือ้ นเสียง
ในบทเพลงไฟ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิควิธกี ารบังคับลมสาหรับการ
เอื้อนเสียง ซึง่ ทาให้การออกเสียงคาหนึ่งคามีเสียงโน้ตมากกว่าหนึ่งตัวโน้ต โดยการปล่อยเสียงให้
ถูกต้องตามโน้ต ตามจังหวะ ซึง่ จะทาให้การเอือ้ นเสียงร้องได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความไพเราะ
น่ าฟงั ดังตัวอย่างทีจ่ ะวิเคราะห์ ต่อไปนี้
โอ้เปลวไฟนัน้ (.........)เหมือนใจไม่หยุดนิ่งเลย
97
เป็นการเน้นคาเพื่อเพื่อแสดงถึงความไม่สนใจทีจ่ ะหยุดเผาผลาญลาลายและคาว่า...ท้าย...โน้ตตัว G
เป็นการเน้นคาเพื่อแสดงถึงการเหลือเพียงเถ้าธุลที าลายทุกสิง่ ให้หมดสิน้ ไป
ตัวอย่างที่ 2 คาว่า ...เผา...ทาลาย...ธุล.ี ..
2) คาว่า…เหลือเพียง...
ในบทเพลงไฟ ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้วยเทคนิควิธกี ารผัน
อักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า เลือ โน้ตตัว A ซึง่ เป็ นการผันอักษรโดยใช้เสียง
ของ ห นา ล ซึ่งต้องใช้การผันอักษรและวรรณยุกต์ร่วมกันและจบลงด้วยการร้องด้วยหางเสียงขึน้
นาสิกโน้ตตัว B ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
3) คาว่า…หมองหม่น...
101
4) คาว่า…เหมือนดัง...่
ในบทเพลงไฟ ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้วยเทคนิควิธกี ารผัน
อักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า เหมืือน โน้ตตัว C ซึง่ เป็ นการผันอักษรโดยใช้
เสียงของ ห นา ล ซึง่ ต้องใช้การผันอักษรและวรรณยุกต์รว่ มกันและจบลงด้วยการร้องด้วยหางเสียง
ขึน้ นาสิกโน้ตตัว D ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
5) คาว่า…ไม่เห็น...
ในบทเพลงไฟ ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้วยเทคนิควิธกี ารผัน
อักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า เฮน โน้ตตัว G ซึง่ เป็ นอักษรต่ าคู่กบั อักษรสูง
พยัญชนะ ห ซึง่ ต้องใช้การผันอักษรและวรรณยุกต์ ร่วมกันและจบลงด้วยการร้องด้วยหางเสียงขึน้
นาสิกโน้ตตัว A ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
2) ไฟ
ค าว่ า ...ไฟ...เป็ น ค าเป็ น ที่ผ สมด้ว ยสระเสีย งยาว คือ สระ ไอ ทิพ ย์ว ัล ย์
ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้อ งให้ยาวขึ้น เพื่อ ให้ได้ค วามหมายของคาร้อ งที่ชดั เจน
และถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็น
103
3) วางวาย
คาว่า...วางวาย...เป็ นคาเป็ นที่ผสมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อา และสะกด
ด้วย ย ซึง่ เป็ นตัวสะกดในแม่ เกย ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้
เพื่อให้ได้ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
4) ชีว ี
ค าว่ า ...ชี ว ี. ..เป็ น ค าเป็ น ที่ผ สมด้ ว ยสระเสีย งยาว คือ สระ อี ทิพ ย์ว ัล ย์
ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้อ งให้ยาวขึ้น เพื่อ ให้ได้ ค วามหมายของคาร้อ งที่ชดั เจน
และถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็น
5) ไฟนี้
คาว่า...นี้...เป็นคาเป็นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อี ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล
ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึ้น เพื่อให้ได้ความหมายของคาร้องที่ชดั เจนและถูกต้อง
ของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็น
2) ทานทน
คาว่า...ทานทน...เป็ นคาตายที่ผสมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ โอะ และสะกด
ด้วย น ซึ่งเป็ นตัวสะกดในแม่ กน ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสียงคาร้องให้สนั ้ ลง
เพื่อให้ได้ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาตาย
3) ดับไฟ
คาว่า...ดับ...เป็ นคาตายทีผ่ สมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อะ และสะกดด้วย บ
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กบ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสียงคาร้องให้สนั ้ ลง เพื่อให้ไ ด้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาตาย
4) มีสุข
คาว่า...สุข...เป็นคาตายทีผ่ สมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อุ และสะกดด้วย ข
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กก ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสีย งคาร้องให้สนั ้ ลง เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาตาย
105
5) ชีวติ
คาว่า...ชีวติ ...เป็ นคาตายทีผ่ สมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อิ และสะกดด้วย ต
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กด ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสีย งคาร้องให้สนั ้ ลง เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาตาย
สรุป ในบทเพลงไฟ ทิพ ย์ว ัล ย์ ปิ่ น ภิบ าล ได้ใ ช้ว ิธ ีก ารร้อ งค าเป็ น ค าตาย คือ
การขับร้องคาเป็นคือคาทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว และมีตวั สะกดในแม่กง กน กลม เกย เกอว ในการ
ขับร้องจะต้องลากคาร้องให้ยาวตามความหมายของคา ส่วนคาตายจะเป็ นคาทีผ่ สมด้วยสระเสียงสัน้
และมีตวั สะกดในแม่กก กด กบ ในการขับร้องจะต้องขับร้องเสียงสัน้ ด้วยวิธหี ยุดหางเสียงเพื่อให้ได้
ความหมายของคาก่อนแล้วจึงปล่อยหางเสียงให้ยาวต่อไปตามจังหวะของเพลง ส่วนในเพลงไฟ
มีคาร้องที่เป็ นคาเป็ นและคาตายหลายคาด้วยกัน ผู้วจิ ยั ขอยกตัวอย่างการร้องคาเป็ นและคาตาย
ทีส่ าคัญๆ ในบทเพลง คือ
คาร้องทีเ่ ป็น คำเป็ น
คาว่า...ร้อน...สระออและสะกดด้วย น ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เป็ น
คาว่า ร้อน
คาว่า...ไฟ...สระ ไอ ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เป็นคาว่า...ไฟ...
ค าว่า...วางวาย...สระ อา และสะกดด้ว ย ย ได้ใ ช้เ ทคนิค การลากเสียงค าร้อ ง
ให้ยาวขึน้ เป็นคาว่า วาย
คาว่า...ชีว.ี ..สระ อี ใ ช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวเป็นคาว่า ชีว ี
คาว่า...ไฟนี้... สระ อี ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เป็นคาว่า ไฟนี้
2) ร้อน...จนสุดจะทานทน...
จากการศึกษาวิเคราะห์บทเพลงไฟ พบว่า วลีน้ีม ีความหมายทีก่ ล่าวถึงความ
ร้อนของเปลวไฟทีร่ อ้ นมากจนแทบทนไม่ไหว วลีน้ีทพิ ย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาลได้ถ่ายทอดอารมณ์โดยใช้
107
3) และสิง่ สุดท้าย...เหลือเพียงเถ้าธุล.ี ..
จากการศึก ษาวิเ คราะห์บ ทเพลงไฟ พบว่ า วลีน้ี ม ีค วามหมายที่ก ล่ า วถึง
การทาลายของเปลวไฟทีท่ าให้เหลือเพียงเถ้าธุล ี วลีน้ที พิ ย์วลั ย์ ปิ่นภิบาลได้ถ่ายทอดอารมณ์โดยใช้
สุนทรียรส คือ รสแห่งความเศร้าโศก โดยการการแผ่วเสียงให้เบาลง รูส้ กึ ถึงการหมดสิน้ เหลือเพียง
เถ้าธุลโี ดยเฉพะคาว่า ...สิง่ สุดท้าย...เถ้าธุล.ี ..ทาให้ผฟู้ งั เกิดความรูส้ กึ คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้อง
4) ไฟ...เหมือนดังนรก...หมกสุ
่ มชีว.ี ..
จากการศึก ษาวิเ คราะห์บทเพลงไฟ พบว่า วลีน้ีมคี วามหมายที่ กล่ าวถึง
เปลวไฟทีเ่ ปรียบเหมือนนรกทีม่ ใี นใจคน วลีน้ีทพิ ย์วลั ย์ ปิ่นภิบาลได้ถ่ายทอดอารมณ์โดยใช้สุนทรยรส
คือ รสค าหรือ รสถ้ อ ย โดยการเน้ น เสีย งให้ด ัง แรงขึ้น เปรีย บเทีย บได้กับ พิโ รธวาทัง ในรสของ
วรรณดีไ ทย เป็ นการเปรียบเทียบไฟเหมือ นนรกที่อ ยู่ใ นใจคน โดยเฉพาะค าว่ านรก ทาให้ผู้ฟ งั
เกิดความรูส้ กึ ว่าเปลวไฟเหมือนนรกในใจคนจริงๆ คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้อง
108
3.3.2 การใช้เทคนิคภวารมณียะ
ในบทเพลงไฟ ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ คือ การทา
หน่ วยเสียง 2เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆ ที่เรียกกันว่า Trill เขียนเป็ นโน้ตสากล ตอนบนของบรรทัด
5 เส้น มีสญ ั ลักษณะใช้ว่า tr...เป็ นการบอกว่าระหว่างปฏิบตั หิ รือขับร้องต้องเล่นโน้ต 2 ตัวสลับกัน
อย่างเร็ว เสียง2 เสียงหรือโน้ต2 ตัวนี้ ตัวทีท่ าหน้าที่ให้เสียงหลักคือโน้ตตัวล่าง การตกแต่งเสียง
เป็ นหน้าที่ของโน้ตตัวบน หน่ วยเสียงทีเ่ รียบเรียงอย่างสมบูรณ์น้ีแสดงถึงความบันเทิง ความร่าเริง
ความคึกคัก รวมถึงอารมณ์โศกเศร้า วังเวง เรียกว่า ภวารมณียะของบทเพลง ในบทเพลงสุดเหงา
มีลกั ษณะการขับร้องทีก่ ่อให้เกิด ภวารมณียะ ดังนี้
1) ไฟ...ผูไ้ ม่ประวิงหยุดผลาญ...ทาลาย
คาว่า…ไฟ...ในบทเพลงไฟ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ คือ
การใช้เสียงหน่วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก คือโน้ตตัว E
และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว F# ลักษณะการขับร้องเช่นนี้
ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
2) และสิง่ สุดท้าย...เหลือเพียงเถ้าธุล.ี ..
คาว่า...สุดท้าย...ในบทเพลงไฟ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ
คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก คือโน้ต
ตัว G และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว A ลักษณะการขับร้อง
เช่นนี้ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
109
3) ถ้าดับไฟนี้...โลกคงมีสุขไม่ซบเซา
ค าว่า...ถ้าดับไฟนี้...ในบทเพลงไฟ ทิพย์ว ลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใ ช้เ ทคนิ ค
ภวารมณียะ คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก
คือโน้ตตัว G และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว A ลักษณะ
การขับร้องเช่นนี้ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
4) โอ้เปลวไฟนัน้ ...เหมือนใจไม่หยุดนิ่ง...เลย
คาว่า...โอ้เปลวไฟนัน้ ...ในบทเพลงไฟ ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือการใช้เ สียงหน่ ว ยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็ว ๆซึ่งมีเสียงโน้ ต ตัว ล่ างเป็ น
เสียงหลัก คือโน้ตตัว G และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว A
ลัก ษณะการขับร้อ งเช่ นนี้ ทาให้ผู้ฟ งั เกิด อารมณ์ ค ล้อ ยตามไปกับผู้ขบั ร้อ งเรียกอารมณ์ แ บบนี้ ว่ า
“ ภวารมณียะ ”
4.
..
112
คำร้อง เพลงในโลกบันเทิ ง
2. วิ เครำะห์ข้อมูลด้ำนบทเพลง
ในการวิเคราะห์ขอ้ มูลด้านบทเพลงของเพลงในโลกบันเทิง ผู้วจิ ยั ได้แบ่งหัวข้อในการ
วิเคราะห์ 3 ประเด็นทีส่ าคัญ ประกอบด้วย
2.1 ควำมเป็ นมำของบทเพลง (Historical Background)
เพลงในโลกบันเทิง ในปีพุทธศักราช 2527 ธนาคารกสิกรไทย ครบรอบ 36 ปี ได้จดั
ประกวดเพลงไทยสากลขึน้ มีผสู้ ่งผลงานเข้าประกวดมากมายและเพลงในโลกบันเทิงทีแ่ ต่งทานอง
โดยอาจารย์ยงยศ แสงไพบูลย์ คาร้องโดยอาจารย์วมิ ล จงวิไล ขับร้องโดยทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล
ได้รบั รางวัลชนะเลิศรางวัลพิณทอง
2.2 ควำมหมำยของบทเพลง (Meaning)
จากการสัมภาษณ์ทพิ ย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล (สัมภาษณ์.2553) กล่าวถึง เนื้อหาของบทเพลง
ในโลกบันเทิง ผูป้ ระพันธ์ได้กล่าวถึงมนุ ษย์ท่เี กิดมาในโลกเดียวกันซึ่งอยู่ในความฝนั ของโลกมายา
ต่างต้องการทีจ่ ะเป็ นดาวดวงเด่น พยายามทีจ่ ะไขว่คว้ามาครองให้ได้ เพื่อความมีเกียรติยศชื่อเสียง
ทีม่ นคงและมี
ั่ ทรัพย์สนิ เงินทองมากมาย แต่เมื่อได้มาแล้วก็ไม่หลงลืมตัวพร้อมทัง้ ทาหน้าที่ของ
ตัว เองด้ว ยความจริงใจ พร้อมทัง้ สร้างความเป็ นมิตรไมตรีแก่ค นทัวไป ่ มีค วามรักในเกียรติและ
ศักดิ ์ศรีตลอดไป เปรียบเหมือนดังเป็
่ นการช่วยผ่อนคลายให้โลกทีร่ อ้ นดังไฟ นาไปสู่ชวี ติ ทีม่ คี วามสดชื่น
สดใสและมุ่งทีจ่ ะสร้างความบันเทิงให้กบั ทุกคนอย่างบริสุทธิ ์ใจพร้อมทัง้ ให้ช่วยกันแข่งขันทาความดี
เพื่อโลกของเราจะมีความเจริญตลอดไป
2.3 โครงสร้ำงและรูปแบบของบทเพลง (Structure and Form)
บทเพลงในโลกบันเทิง มีโครงสร้างของบทเพลง เป็นลักษณะแบบ Binary Form คือ
A B A B โดยผูข้ บั ร้องจะร้องท่อน A ต่อด้วยท่อน B แล้วจึงย้อนกลับมาร้องท่อน A
ซ้าอีกครัง้ หนึ่ง และจบลงทีท่ ่อน B ดังนี้
113
4.
115
คำร้อง เพลงในโลกบันเทิ ง
4.
การหายใจวลีท่ี 1 เกิดมาร่วมฟ้าเดียวกัน
การหายใจวลีท่ี 2 อยูใ่ นโลกฝนั บันเทิงนานา
การหายใจวลีท่ี 3 ใฝป่ องเครือ่ งหมายดารา
การหายใจวลีท่ี 4 ต่างเพียรไขว่คว้ามาครอง
การหายใจวลีท่ี 5 เพื่อเกียรติ ์สรรเสริญจีรงั
การหายใจวลีท่ี 6 พร้อมพรังทรั
่ พย์สนิ เนืองนอง
117
การหายใจวลีท่ี 7 ไม่หลงลืมตัวลาพอง
การหายใจวลีท่ี 8 ตอบสนองมวลชนจริงใจ
การหายใจวลีท่ี 9 *หมันเพี
่ ยรสร้างเสริมไมตรี
การหายใจวลีท1่ี 0 ต่างรักศักดิ ์ศรียนื ยงนานไป
การหายใจวลีท่ี 11 ผ่อนคลายโลกร้อนดังไฟ ่
การหายใจวลีท่ี 12 สู่ความสดใสชีว ี
การหายใจวลีท่ี 13 สร้างสิง่ บันเทิงใดใด
การหายใจวลีท่ี 14 น้อมให้ลว้ นไร้ราคี
การหายใจวลีท่ี 15 **แข่งขันจรรโลงความดี
การหายใจวลีท่ี 16 โลกนี้เจริญยืนนาน
สรุ ป ในบทเพลงในโลกบัน เทิง ทิพ ย์ว ัล ย์ ปิ่ น ภิบ าล ได้ใ ช้ว ิธ ีก ารหายใจเพื่อ ให้
ความหมายของคาร้องและทานองเพลงได้ตรงกับจินตนาการของผู้ประพันธ์ โดยใช้การแบ่งวลีท่มี ี
เนื้อหาเดียวกัน ใช้ลมในการขับร้องเดียวกันเพื่อให้เนื้อหามีความต่อเนื่องในแต่ละวลีของบทเพลง
จานวน 16 วลี
3.1.2 การลากเสียงยาว
ในบทเพลงในโลกบัน เทิง ทิพ ย์ว ัล ย์ ปิ่ น ภิบ าล ได้ใ ช้เ ทคนิ ค วิธ ีก ารบัง คับ ลม
เพื่อลากเสียงให้ยาวขึน้ โดยการทาให้เสียงของคาร้องยาวขึน้ เพื่อให้ได้อารมณ์ตามบทเพลง ซึง่ มีทงั ้
การลากเสียงสูงขึน้ และต่าลง ดังตัวอย่างทีจ่ ะวิเคราะห์ ต่อไปนี้
1) ...นานา... ผู้รอ้ งใช้เทคนิคการบังคับลมเพื่อลากเสียงคาร้อง คาว่า “นานา”
โดยใช้เทคนิค Vibrato คือร้องโน้ต 2 เสียง โดยเริม่ ต้นด้วยโน้ตตัว D และ E สลับกันไป
จบลงด้วยโน้ตตัว D โดยมีวธิ บี งั คับควบคุมลมหายใจในการลากเสียงยาวเท่ากับ 3 จังหวะ
3) ...ไขว่ ค ว้า ... ผู้ ร้อ งใช้เ ทคนิ ค การบัง คับ ลมเพื่อ ลากเสีย งค าร้อ ง ค าว่ า
“ไขว่คว้า” โดยใช้เทคนิค Vibrato คือร้องโน้ต 2 เสียง โดยเริม่ ต้นด้วยโน้ตตัว G และ A
สลับกัน หลังจากนัน้ ใช้เทคนิค Crescendo ในโน้ตตัว G แล้วลากเสียงให้ยาวขึน้ โดยใช้ลมใน
การ ขับร้องเดียวกัน จบลงด้วยโน้ตตัว G โดยมีวธิ บี งั คับควบคุมลมหายใจในการลากเสียงยาว
เท่ากับ 2 จังหวะ
6) ...ตอบสนอง... ผู้ร้อ งใช้เ ทคนิ ค การบัง คับ ลมเพื่อ ลากเสีย งค าร้อ ง ค าว่ า
“ตอบสนอง” โดยใช้เทคนิค Vibrato คือร้องโน้ต 2 เสียง โดยเริม่ ต้นด้วยโน้ตตัว B และ C
สลับกัน หลังจากนัน้ ใช้เทคนิค Crescendo ในโน้ตตัว B แล้วลากเสียงให้ยาวขึน้ โดยใช้ลม
ในการขับร้องเดียวกัน จบลงด้วยโน้ตตัว B โดยมีวธิ บี งั คับควบคุมลมหายใจในการลากเสียงยาว
เท่ากับ 2 จังหวะ
ตอบสนอง(...........)มวลชนจริงใจ
2) คาว่า…เครือ่ งหมาย...
ในบทเพลงในโลกบันเทิง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้ว ยเทคนิค
วิธกี ารผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า มาย โน้ตตัว G ซึง่ ใช้เสียงของอักษร ห
นา ม ไปหาเสียงอัก ษรสูง คือ ห ซึ่งต้อ งใช้การผันอัก ษรและวรรณยุกต์ร่ว มกันและจบลงด้ว ย
การร้องด้วยหางเสียงขึ้นนาสิกโน้ ตตัว A ซึ่งทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคา
และทานองเพลง
3) คาว่า…ทรัพย์สนิ ...
ในบทเพลงในโลกบันเทิง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้วยเทคนิค
วิธกี ารผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า ซิน โน้ตตัว F ซึง่ ใช้เสียงของอักษร ส
นา น ไปหาเสียงอักษรสูง คือ ส ซึง่ ต้องใช้การผันอักษรและวรรณยุกต์ร่วมกันและจบลงด้วยการร้อง
ด้วยหางเสียงขึน้ นาสิกโน้ตตัว G ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
4) คาว่า…ไม่หลง...
ในบทเพลงในโลกบันเทิง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้วยเทคนิค
วิธกี ารผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า ลง โน้ตตัว A ซึง่ ใช้เสียงของอักษร ห
นา ล ไปหาเสียงอักษรสูง คือ ห ซึ่งต้องใช้การผันอักษรและวรรณยุกต์ร่วมกันและจบลงด้วยการ
ร้องด้วยหางเสียงขึน้ นาสิกโน้ตตัว B ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานอง
เพลง
124
5) คาว่า…สร้างเสริม...
ในบทเพลงในโลกบันเทิง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้วยเทคนิค
วิธกี ารผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า เออ โน้ตตัว F ซึง่ ใช้เสียงของอักษร ส
นา ม ไปหาเสีย งอัก ษรสูง คือ ส ซึ่งต้อ งใช้การผัน อักษรและวรรณยุกต์ร่ว มกันและจบลงด้ว ย
การร้องด้วยหางเสียงขึ้นนาสิกโน้ ตตัว G ซึ่งทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคา
และทานองเพลง
6) คาว่า…สนอง...
ในบทเพลงในโลกบันเทิง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้วยเทคนิค
วิธกี ารผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า นอง โน้ตตัว B ซึง่ ใช้เสียงของอักษร ส
นา น ไปหาเสียงอักษรสูง คือ ส ซึ่งต้องใช้การผันอักษรและวรรณยุกต์ร่วมกันและจบลงด้วยการร้อง
ด้วยหางเสียงขึน้ นาสิกโน้ตตัว C ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
7) คาว่า…แข่งขัน...
ในบทเพลงในโลกบันเทิง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้วยเทคนิค
วิธกี ารผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า คัน โน้ตตัว A ซึง่ ใช้เสียงของอักษร
ข นา ไปหาเสียงอักษรสูง คือ ข ซึง่ ต้องใช้การผันอักษรและวรรณยุกต์รว่ มกันและจบลงด้วยการร้อง
ด้วยหางเสียงขึน้ นาสิกโน้ตตัว B ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
125
2) ฟ้า
ค าว่ า ...ฟ้ า...เป็ น ค าเป็ น ที่ผ สมด้ว ยสระเสีย งยาว คือ สระ อา ทิพ ย์ว ัล ย์
ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค การลากเสียงคาร้องให้ยาวขึ้น เพื่อ ให้ได้ความหมายของคาร้อ งที่ชดั เจน
และถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็น
3) โลก
คาว่า...โลก...เป็นคาเป็นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ โอ และสะกดด้วย ก
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กก ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
4) เครือ่ งหมาย
ค าว่ า ...เครื่อ งหมาย...เป็ น ค าเป็ น ที่ผ สมด้ว ยสระเสีย งยาว คือ สระ อา
ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อให้ได้ความหมายของคาร้อง
ทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็น
127
5) บันเทิง
คาว่า...บันเทิง...เป็ นคาเป็ นที่ผสมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ เออ ทิพย์วลั ย์
ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค การลากเสียงคาร้องให้ยาวขึ้น เพื่อ ให้ได้ความหมายของคาร้อ งที่ชดั เจน
และถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็น
6) เจริญ
คาว่า...เจริญ...เป็ นคาเป็ นที่ผสมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ เออ ทิพย์วลั ย์
ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค การลากเสียงคาร้องให้ยาวขึ้น เพื่อ ให้ได้ความหมายของคาร้อ งที่ชดั เจน
และถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็น
2) บันเทิง
คาว่า...บันเทิง...เป็ นคาเป็ นที่ผสมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อะ และสะกด
ด้ว ย น ซึ่งเป็ นตัว สะกดในแม่ กน ทิพย์ว ลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใ ช้เ ทคนิค การหยุดเสียงค าร้อ งให้ส นั ้
เพื่อให้ได้ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
128
3) จีรงั
คาว่า...จีรงั ...เป็นคาเป็นทีผ่ สมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อะ และสะกดด้วย ง
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กง ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสียงคาร้องให้สนั ้ ลง เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
4) ทรัพย์สนิ
คาว่า...ทรัพย์สนิ ...เป็ นคาเป็ นทีผ่ สมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อะ และสะกด
ด้วย พ ซึ่งเป็ นตัวสะกดในแม่ กบ ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสียงคาร้องให้สนั ้ ลง
เพื่อให้ได้ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
5) จริงใจ
คาว่า...จริง ใจ...เป็ นค าเป็ นที่ผ สมด้ว ยสระเสียงสัน้ คือ สระ อิ และสะกด
ด้วย ง ซึ่งเป็ นตัวสะกดในแม่ กง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสียงคาร้องให้สนั ้ ลง
เพื่อให้ได้ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
129
6) หมันเพี
่ ยร
คาว่า...หมันเพี
่ ยร...เป็นคาเป็นทีผ่ สมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อะ และสะกด
ด้วย น ซึ่งเป็ นตัวสะกดในแม่ กน ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสียงคาร้องให้สนั ้ ลง
เพื่อให้ได้ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
7) ศักดิ ์ศรี
คาว่า...ศักดิ ์ศรี...เป็ นคาเป็ นที่ผสมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อะ และสะกด
ด้วย ก ซึ่งเป็ นตัวสะกดในแม่ กก ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสียงคาร้องให้สนั ้ ลง
เพื่อให้ได้ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
3) คาว่า...ต่างเพียร...ไขว่คว้า...มาครอง...จากการศึกษาวิเคราะห์บทเพลงในโลก
บันเทิง พบว่า วลีน้ีมคี วามหมายทีก่ ล่าวถึงทุกคนต่างต้องการที่จะทีจะครอบครองมัน วลีน้ีทพิ ย์วลั ย์
ปิ่นภิบาลได้ถ่ายทอดอารมณ์โดยใช้สุนทรียรส คือ รสแห่งกิเลสความต้องการ โดยการเน้นเสียงและ
มีก ารพลิ้ว เสีย งโดยมีก ารสันของเสี
่ ยง (Vibrato)ทาให้รู้ส ึก ถึงความต้อ งการที่ทุก คนต่ างพยายาม
ครอบครองมันจริงๆ ทาให้ผฟู้ งั เกิดความรูส้ กึ คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้อง
4) โลกนี้...เจริญยืนนาน...จากการศึกษาวิเคราะห์บทเพลงในโลกบันเทิง พบว่า
วลีน้ีมคี วามหมายทีก่ ล่าวถึงความเจริญทีย่ นื นานจริงๆ วลีน้ีทพิ ย์วลั ย์ ปิ่นภิบาลได้ถ่ายทอดอารมณ์
โดยใช้สุนทรียรส คือ รสคาหรือรสถ้อย โดยการทอดเสียงและผ่อนเสียงดังขึน้ ทาให้ผฟู้ งั เกิดความรูส้ กึ
คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้อง
132
3.2.2 การใช้เทคนิคภวารมณียะ
ในบทเพลงในโลกบันเทิง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ คือ การ
ทาหน่วยเสียง 2เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็วๆ ทีเ่ รียกกันว่า Trill เขียนเป็ นโน้ตสากล ตอนบนของบรรทัด
5 เส้น มีสญ ั ลักษณะใช้ว่า tr...เป็ นการบอกว่าระหว่างปฏิบตั หิ รือขับร้องต้องเล่นโน้ต 2 ตัวสลับกัน
อย่างเร็ว เสียง2 เสียงหรือโน้ต2 ตัวนี้ ตัวทีท่ าหน้าทีใ่ ห้เสียงหลักคือโน้ตตัวล่าง การตกแต่งเสียงเป็ น
หน้าทีข่ องโน้ตตัวบน หน่วยเสียงทีเ่ รียบเรียงอย่างสมบูรณ์น้แี สดงถึงความบันเทิง ความร่าเริง ความ
คึกคัก รวมถึงอารมณ์โศกเศร้า วังเวง เรียกว่า ภวารมณียะของบทเพลง ในบทเพลงในโลกบันเทิง
มีลกั ษณะการขับร้องทีก่ ่อให้เกิด ภวารมณียะ ดังนี้
1) คาว่า...ไขว่คว้า...
คาว่า...คว้า...ในบทเพลงในโลกบันเทิง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก
คือโน้ตตัว G และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว A ลักษณะ
การขับร้องเช่นนี้ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
2) คาว่า...หลงลืม...
คาว่า...หลง...ในบทเพลงในโลกบันเทิง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก
คือโน้ตตัว A และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว B ลักษณะ
การขับร้องเช่นนี้ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
133
3) คาว่า...ตอบสนอง...
คาว่า...สนอง...ในบทเพลงในโลกบันเทิง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือการใช้เสียงหน่ ว ยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็ว ๆซึ่งมีเสียงโน้ ต ตัว ล่ างเป็ น
เสียงหลัก คือโน้ตตัว B และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว C
ลัก ษณะการขับร้อ งเช่นนี้ ทาให้ผู้ฟ งั เกิด อารมณ์ ค ล้อ ยตามไปกับผู้ขบั ร้อ งเรียกอารมณ์ แ บบนี้ ว่ า
“ ภวารมณียะ ”
4) คาว่า...สดใส...
คาว่า...ใส...ในบทเพลงในโลกบันเทิง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือการใช้เสียงหน่ ว ยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็ว ๆซึ่งมีเสียงโน้ ต ตัว ล่ างเป็ น
เสียงหลัก คือโน้ตตัว G และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว A
ลัก ษณะการขับร้อ งเช่ นนี้ ทาให้ผู้ฟ งั เกิด อารมณ์ ค ล้อ ยตามไปกับผู้ขบั ร้อ งเรียกอารมณ์ แ บบนี้ ว่ า
“ ภวารมณียะ ”
5) คาว่า...แข่งขัน...
คาว่า...ขัน...ในบทเพลงในโลกบันเทิง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก
คือโน้ตตัว A และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว B ลักษณะ
การขับร้องเช่นนี้ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
134
6) คาว่า...เจริญยืนนาน...
คาว่า...เจริญ...ในบทเพลงในโลกบันเทิง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือการใช้เสียงหน่ ว ยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็ว ๆซึ่งมีเสียงโน้ ต ตัว ล่ างเป็ น
เสียงหลัก คือโน้ตตัว D และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว E
ลัก ษณะการขับร้องเช่ นนี้ ท าให้ผู้ฟ งั เกิด อารมณ์ คล้อยตามไปกับผู้ข ับร้องเรียกอารมณ์ แ บบนี้ ว่ า
“ ภวารมณียะ ”
คำร้อง เพลงน้ำเซำะทรำย
วิง่ หารักมาอ่อนใจ เอื่อยไหลซบทรายกระเซ็น
ชื่นฉ่ าเย็น อยากเป็นน้า เซาะทราย
โลกของฉันมีแต่เธอ เฝ้าฝนั ละเมอไม่วาย
อยากบอกทราย กับสายน้า จานรรจา
*ว่ารัก ฉันสร้างจากทราย อาจสลาย เพียงในพริบตา
คลื่นรัก ทยอยสาดมา เซาะอุรา น้ าตา กระเซ็น
แอ่งน้ านัน้ ปลาใฝป่ อง แต่รกั ของทรายจะเย็น
ไม่วายเว้น ต้องการน้ า เซาะทราย
โลกของฉันมีแต่เธอ เฝ้าฝนั ละเมอไม่วาย
อยากบอกทราย กับสายน้า ในความจริง
( ซ้า )
137
2. วิ เครำะห์ข้อมูลด้ำนบทเพลง
ในการวิเ คราะห์ข้อ มูล ด้า นบทเพลงของเพลงน้ า เซาะทราย ผู้ว ิจ ยั ได้แ บ่ ง หัว ข้อ
ในการวิเคราะห์ 3 ประเด็นทีส่ าคัญ ประกอบด้วย
2.1 ควำมเป็ นมำของบทเพลง (Historical Background)
จากการสัมภาษณ์ทพิ ย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล กล่าวถึงความเป็ นมาของเพลงน้ าเซาะทรายว่า
ในปี พุทธศักราช 2548 ได้รบั รางวัลพระพิฆเนศทองพระราชทาน ประเภทขับร้องหญิงยอดเยีย่ ม
และเพลงอมตะ เพลงนี้แต่ งทานองโดยคุ ณจารัส เศวตาภรณ์ คาร้องโดยครูชาลี อิน ทรวิจติ ร
ศิล ปิ นแห่ ง ชาติ ทิพ ย์ว ลั ย์ไ ด้ขอลิขสิทธิ ์มาบันทึกเสียงใหม่ โดยร่ว มกับมูล นิ ธ ิบางกอกซิมโฟนี
(B.S.O.) จัดทาอัลบัม้ ชื่อ ทะเลจันทร์ โดยนาเพลงที่ตวั เองได้รบั รางวัล เพลงที่ได้รบั ความนิยม
และเพลงทีช่ อบมาเรียบเรียงดนตรีใหม่ โดยใช้ดนตรีประเภทอคูสติค (ACUSTIC) ซึง่ ไม่ใช้เสียงจาก
เครือ่ งไฟฟ้าและขับร้องใหม่ ในอัล้ บัม้ เดียวกันนี้
2.2 ควำมหมำยของบทเพลง (Meaning)
จากการสัมภาษณ์ทพิ ย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล (สัมภาษณ์. 2553) กล่าวถึงเนื้อหาของบทเพลง
น้ าเซาะทราย ผู้ประพันธ์ได้กล่าวถึงเรื่องความรักกับธรรมชาติของหาดทราย คือ ผู้ท่ยี งั ไม่เคยมี
ความรัก มักจะวิง่ หาจนเหนื่อยล้าเปรียบเปรยเหมือนน้ าที่ค่อยๆไหลไปซบกับหาดทราย ทาให้ม ี
ความชุ่มชื่นในจิตใจ อยากเป็ นเหมือนน้ าที่กาลังเซาะทราย โลกนี้มแี ต่เธอคนเดียวเมื่อมีความรัก
จะเพ้อฝนั ถึงเธอผู้เดียว อยากบอกทรายและสายน้ าถึงความจริง ว่าความรักที่สร้างจากผืนทราย
อาจพังลงได้ในพริบตาเพราะคลื่นของความรักทีส่ าดเข้ามา ทาให้จติ ใจมีความเศร้าหมองและเสียใจ
แอ่งน้ านัน้ มักเป็ นที่อยู่ของปลาแต่ความรักนัน้ เหมือนทรายที่เยือกเย็น ไม่ละเว้นต้องการน้ าเซาะทราย
เพราะโลกของฉันมีแต่เธอและเพ้อฝนั ถึงเธอผูเ้ ดียว อยากบอกทรายกับสายน้าถึงความเป็นจริงนี้
2.3 โครงสร้ำงและรูปแบบของบทเพลง (Structure and Form)
บทเพลงน้ าเซาะทราย มีโครงสร้างของบทเพลง เป็ นลักษณะแบบ Round Binary
Form คือ A A’ B A” A’ โดยผูข้ บั ร้องจะร้องท่อน A ต่อด้วยท่อน A’ แล้วร้องท่อน B หลังจากนัน้
จะร้องท่อน A” และร้องซ้าท่อน A’ อีกครัง้ แล้วจึงจบเพลง ดังนี้
138
139
คำร้อง เพลงน้ำเซำะทรำย
วิง่ หารักมาอ่อนใจ เอื่อยไหลซบทรายกระเซ็น
ชื่นฉ่ าเย็น อยากเป็นน้า เซาะทราย
โลกของฉันมีแต่เธอ เฝ้าฝนั ละเมอไม่วาย
อยากบอกทราย กับสายน้า จานรรจา
*ว่ารัก ฉันสร้างจากทราย อาจสลาย เพียงในพริบตา
คลื่นรัก ทยอยสาดมา เซาะอุรา น้ าตา กระเซ็น
แอ่งน้านัน้ ปลาใฝป่ อง แต่รกั ของทรายจะเย็น
ไม่วายเว้น ต้องการน้ า เซาะทราย
โลกของฉันมีแต่เธอ เฝ้าฝนั ละเมอไม่วาย
อยากบอกทราย กับสายน้า ในความจริง
( ซ้า * )
การหายใจวลีท่ี 5 โลกของฉันมีแต่เธอ
การหายใจวลีท่ี 6 เฝ้าฝนั ละเมอไม่วาย
การหายใจวลีท่ี 7 อยากบอกทราย
การหายใจวลีท่ี 8 กับสายน้า
การหายใจวลีท่ี 9 จานรรจา
การหายใจวลีท่ี 10 *ว่ารัก ฉันสร้างจากทราย
การหายใจวลีท่ี 11 อาจสลายเพียงในพริบตา
การหายใจวลีท่ี 12 คลื่นรัก ทยอยสาดมา
การหายใจวลีท่ี 13 เซาะอุราน้าตากระเซ็น
การหายใจวลีท่ี 14 แอ่งน้ านัน้ ปลาใฝป่ อง
การหายใจวลีท่ี 15 แต่รกั ของทรายจะเย็น
การหายใจวลีท่ี 16 ไม่วายเว้น
การหายใจวลีท่ี 17 ต้องการน้ าเซาะทราย
การหายใจวลีท่ี 18 โลกของฉันมีแต่เธอ
การหายใจวลีท่ี 19 เฝ้าฝนั ละเมอไม่วาย
การหายใจวลีท่ี 20 อยากบอกทราย
การหายใจวลีท่ี 21 กับสายน้า
การหายใจวลีท่ี 22 ในความจริง
สรุป ว่ า ในบทเพลงน้ า เซาะทราย ทิพ ย์ว ัล ย์ ปิ่ น ภิบ าล ได้ใ ช้ว ิธ ีก ารหายใจเพื่อ ให้
ความหมายของคาร้องและทานองเพลงได้ตรงกับจินตนาการของผู้ประพันธ์ โดยใช้การแบ่งวลีท่มี ี
เนื้อหาเดียวกัน ใช้ลมในการขับร้องเดียวกันเพื่อให้เนื้อหามีความต่อเนื่องในแต่ละวลีของบทเพลง
จานวน 22 วลี
3.1.2 การลากเสียงยาว
ในบทเพลงน้ า เซาะทราย ทิพ ย์ว ัล ย์ ปิ่ นภิบ าล ได้ใ ช้เ ทคนิ ค วิธ ีก ารบัง คับ ลม
เพื่อลากเสียงให้ยาวขึน้ โดยการทาให้เสียงของคาร้องยาวขึน้ เพื่อให้ได้อารมณ์ตามบทเพลง ซึง่ มีทงั ้
การลากเสียงสูงขึน้ และต่าลง ดังตัวอย่างทีจ่ ะวิเคราะห์ ต่อไปนี้
1) ...อ่อนใจ... ผูร้ อ้ งใช้เทคนิคการบังคับลมเพื่อลากเสียงคาร้อง คาว่า “ใจ” โดย
ใช้เทคนิค Vibrato คือร้องโน้ต 2 เสียง โดยเริม่ ต้นด้วยโน้ตตัว E และ F# สลับกันไป หลังจากนัน้
ใช้เทคนิค Crescendo ในโน้ ตตัว E ลากเสียงให้ยาวขึ้นโดยใช้ลมในการขับร้องเดียวกัน
จบลงด้วยโน้ตตัว E โดยมีวธิ บี งั คับควบคุมลมหายใจในการลากเสียงยาวเท่ากับ 4 จังหวะ
144
ว่ารักฉันสร้าง(...........)จากทราย
2) คาว่า…เอื่อยไหล...
ในบทเพลงน้ าเซาะทราย ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้อ งด้วยเทคนิค
วิธกี ารผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า ไล โน้ตตัว G ซึง่ เป็ นการผันอักษร
โดยใช้เสียง ห นา ล ซึง่ ต้องใช้การผันอักษรและวรรณยุกต์ร่วมกันและจบลงด้วยการร้องด้วยหางเสียง
ขึน้ นาสิกโน้ตตัว A ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
3) คาว่า…ของฉัน...
ในบทเพลงน้ าเซาะทราย ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้อ งด้วยเทคนิค
วิธกี ารผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า คอง โน้ตตัว G ซึง่ เป็ นอักษรต่ าคู่กบั
อัก ษรสูงพยัญชนะ ข ซึ่งต้อ งใช้ การผันอักษรและวรรณยุกต์ร่ว มกันและจบลงด้ว ยการร้อ งด้ว ย
หางเสียงขึน้ นาสิกโน้ตตัว A ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
4) คาว่า…เฝ้าฝนั ...
ในบทเพลงน้ าเซาะทราย ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้อ งด้วยเทคนิค
วิธกี ารผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า ฟนั โน้ตตัว G ซึง่ เป็ นอักษรต่ าคู่กบั อักษร
สูงพยัญชนะ ฝ ซึง่ ต้องใช้การผันอักษรและวรรณยุกต์รว่ มกันและจบลงด้วยการร้องด้วยหางเสียงขึน้
นาสิกโน้ตตัว A ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
151
5) คาว่า…สายน้า...
ในบทเพลงน้ าเซาะทราย ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้อ งด้วยเทคนิค
วิธกี ารผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า ซาย โน้ตตัว C ซึง่ เป็ นอักษรต่ าคู่กบั
อัก ษรสูงพยัญ ชนะ สุ ซึ่งต้อ งใช้ก ารผันอักษรและวรรณยุกต์ร่วมกันและจบลงด้วยการร้อ งด้ว ย
หางเสียงขึน้ นาสิกโน้ตตัว D ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานอง
2) อ่อนใจ
คาว่า...อ่อน…เป็ นคาเป็ นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ ออ และสะกดด้วย น
ซึง่ เป็ นตัวสะกดในแม่ กน ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
3) เอื่อยไหล
คาว่า...เอื่อย…เป็นคาเป็นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อือ และสะกดด้วย ย
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ เกย ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
4) เซาะทราย
คาว่า...ทราย…เป็ นคาเป็ นที่ผสมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อา และสะกด
ด้วย ย ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ เกย ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้
เพื่อให้ได้ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
153
5) ใฝป่ อง
คาว่า...ปอง…เป็ นคาเป็ นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ ออ และสะกดด้วย ง
ซึง่ เป็ นตัวสะกดในแม่ กง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
6) สายน้า
คาว่า...สาย…เป็ นคาเป็ นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อา และสะกดด้วย ย
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ เกย ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
2) พริบตา
คาว่า...พริบ...เป็นคาตายทีผ่ สมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อิ และสะกดด้วย บ
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กบ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสียงคาร้องให้สนั ้ ลง เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาตาย
3) ว่ารัก
คาว่า...รัก...เป็นคาตายทีผ่ สมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อะ และสะกดด้วย ก
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กก ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสียงคาร้องให้สนั ้ ลง เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาตาย
4) จะเย็น
คาว่า...จะ...เป็ นคาตายที่ผสมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ อะ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล
ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสียงคาร้องให้สนั ้ ลง เพื่อให้ได้ค วามหมายของค าร้อ งที่ชดั เจนและถู กต้อ ง
ของลักษณะการเปล่งเสียงคาตาย
5) เซาะทราย
คาว่า...เซาะ...เป็ นคาตายทีผ่ สมด้วยสระเสียงสัน้ คือ สระ เอาะ และสะกด
ด้วย ซ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการหยุดเสียงคาร้องให้สนั ้ ลง เพื่อให้ได้ความหมายของ
คาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาตาย
155
2) คาว่า…ชื่นฉ่ าเย็น...อยากเป็นน้าเซาะทราย...
…ชื่น ฉ่ า เย็น ...อยากเป็ น น้ า เซาะทราย... จากการศึก ษาวิเ คราะห์บ ทเพลง
น้ าเซาะทราย พบว่า วลีน้ีมคี วามหมายที่กล่าวถึงความชุ่มชื่นเยือกเย็นของน้ าซึ่งทาให้อยากเป็ น
น้ าเซาะทราย วลีน้ีทพิ ย์วลั ย์ ปิ่นภิบาลได้ถ่ายทอดอารมณ์โดยใช้สุนทรียรส คือ รสแห่งความรัก หรือ
นารีปราโมทย์ในรสของวรรณคดีไทย โดยการเน้นเสียงและมีการแผ่วเสียง เป็ นการแสดงถึงความชุ่มชื่น
ทาให้อยากเป็ นน้ าที่กาลังจะเซาะทราย เพื่อสื่อถึงความหมายของคาร้อง ทาให้ผู้ฟงั เกิดความรู้สกึ
คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้อง
157
3) คาว่า…ว่ารัก...ฉันสร้างจากทราย...
ว่ารัก...ฉันสร้างจากทราย... จากการศึกษาวิเคราะห์บทเพลงน้ าเซาะทราย
พบว่า วลีน้ีทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาลได้ถ่ายทอดอารมณ์โดยใช้สุนทรียรส คือ รสแห่งความรัก หรือ
นารีปราโมทย์ในรสของวรรณคดีไ ทย โดยการเน้ นเสียงและพลิ้วเสียง คือ เป็ นการเน้ นเสียงและ
พลิว้ เสียงและมีการสันของเสี
่ ยง (Vibrato) ซึ่งแสดงออกถึงความรักทีฉ่ ันสร้างจากผืนทราย เพื่อสื่อถึง
ความหมายของคาร้อง ทาให้ผฟู้ งั เกิดความรูส้ กึ คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้อง
4) คาว่า...แต่รกั ของทราย...จะเย็น...
แต่รกั ของทราย...จะเย็น...จากการศึกษาวิเคราะห์บทเพลงน้ าเซาะทราย พบว่า
วลีน้ีมคี วามหมายที่กล่าวถึงความรักที่เปรียบเหมือนทรายที่เยือกเย็น วลี น้ีทพิ ย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล
ได้ถ่ายทอดอารมณ์โดยใช้สุนทรียรส คือ รสแห่งความรัก หรือนารีปราโมทย์ในรสของวรรณคดีไทย
โดยการเน้ นเสียงแล้วลากเสียง เป็ นการกล่าวถึงความรักของทรายที่มคี วามเยือกเย็นเพื่อสื่อถึง
ความหมายของคาร้อง ทาให้ผฟู้ งั เกิดความรูส้ กึ คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้อง
5) คาว่า...เซาะอุรา...น้าตากระเซ็น...
เซาะอุรา...น้ าตากระเซ็น... จากการศึกษาวิเคราะห์บทเพลงน้ าเซาะทราย
พบว่า วลีน้มี คี วามหมายทีก่ ล่าวถึงคลื่นทีเ่ ซาะจิตใจคนทาให้คนต้องเสียใจ วลีน้ีทพิ ย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล
158
3.3.2 การใช้เทคนิคภวารมณียะ
ในบทเพลงน้ าเซาะทราย ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ คือ
การทาหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็วๆ ที่เรียกกันว่า Trill เขียนเป็ นโน้ ตสากล ตอนบน
ของบรรทัด 5 เส้น มีสญ ั ลักษณะใช้ว่า tr...เป็ นการบอกว่าระหว่างปฏิบตั หิ รือขับร้องต้องเล่นโน้ต
2 ตัวสลับกันอย่างเร็ว เสียง2 เสียงหรือโน้ ต2 ตัวนี้ ตัวที่ทาหน้าที่ให้เสียงหลักคือโน้ตตัวล่าง
การตกแต่ ง เสีย งเป็ น หน้ า ที่ข องโน้ ต ตัว บน หน่ ว ยเสีย งที่เ รีย บเรีย งอย่ า งสมบู ร ณ์ น้ี แ สดงถึง
ความบันเทิง ความร่าเริง ความคึกคัก รวมถึงอารมณ์โศกเศร้า วังเวง เรียกว่า ภวารมณียะของ
บทเพลง ในบทเพลงสุดเหงามีลกั ษณะการขับร้องทีก่ ่อให้เกิด ภวารมณียะ ดังนี้
1) คาว่า...กระเซ็น...
คาว่า...เซ็น...ในบทเพลงน้ าเซาะทราย ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็วๆ ซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก
คือโน้ตตัว C และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว D ลักษณะ
การขับร้องเช่นนี้ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ
”
2) คาว่า...แต่เธอ...
คาว่า...เธอ...ในบทเพลงน้ าเซาะทราย ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก
คือโน้ตตัว E และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว F# ลักษณะ
การขับร้องเช่นนี้ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ
”
159
3) คาว่า...ไม่วาย...
คาว่า...ไม่วาย...ในบทเพลงน้ าเซาะทราย ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณี
ยะ คือการใช้เสียงหน่วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก คือโน้ตตัว
C และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว D ลักษณะการขับร้องเช่นนี้
ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
4) คาว่า...บอกทราย...
คาว่า...บอกทราย...ในบทเพลงน้ าเซาะทราย ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้
เทคนิค ภวารมณียะ คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆซึ่งมีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ น
เสียงหลัก คือโน้ตตัว C และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว D
ลักษณะ การขับร้องเช่ นนี้ทาให้ผู้ฟ งั เกิดอารมณ์ คล้อยตามไปกับผู้ขบั ร้องเรียกอารมณ์ แบบนี้ว่า “
ภวารมณียะ ”
5) คาว่า...จานรรจา...
คาว่า..จานรรจา...ในบทเพลงน้ าเซาะทราย ทิพย์ว ลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใ ช้
เทคนิคภวารมณียะ คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็วๆซึ่งมีเสียงโน้ตตัวล่าง
เป็นเสียงหลัก คือโน้ตตัว G และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว A
ลัก ษณะการขับร้อ งเช่ นนี้ ทาให้ผู้ฟ งั เกิด อารมณ์ ค ล้อ ยตามไปกับผู้ขบั ร้อ งเรียกอารมณ์ แบบนี้ว่า
“ ภวารมณียะ ”
160
6) คาว่า...ว่ารัก...
คาว่า...รัก...ในบทเพลงน้ าเซาะทราย ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก
คือโน้ตตัว B และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว C ลักษณะ
การขับร้องเช่นนี้ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ
”
7) คาว่า...เซาะทราย...
คาว่า…เซาะทราย...ในบทเพลงน้ าเซาะทราย ทิพย์วลั ย์ ปิ่ น ภิบาล ได้ใช้
เทคนิคภวารมณียะ คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั ั ่ บกันเร็วๆซึ่งมีเสียงโน้ตตัวล่าง
เป็นเสียงหลัก คือโน้ตตัว D และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว E
ลัก ษณะการขับร้อ งเช่ นนี้ ทาให้ผู้ฟ งั เกิด อารมณ์ ค ล้อ ยตามไปกับผู้ขบั ร้อ งเรียกอารมณ์ แบบนี้ว่า
“ ภวารมณียะ ”
8) คาว่า...ความจริง...
คาว่า…จริง...ในบทเพลงน้ าเซาะทราย ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิค
ภวารมณียะ คือการใช้เสียงหน่ วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก
161
คำร้อง เพลงอัสดง
นับนานผ่านวันคืนอันอ้างว้าง ดังคนหลงทางอยูก่ ลางสายชล
คลื่นลมสาดซ้าลาเค็ญเจียนทน ว่ายวนสับสนร้าวรานจนเหลือพรรณา
หวังใดไม่เคยเป็นดังวาดหวัง เพียงพอหรือยังทีล่ อยลับตา
อาจมีสกั หนทนทรมาดิน้ รนไขว่คว้า ฟ้ามิอาจสมปองสักวัน
*ชีวติ อื่นหมืน่ พัน สุขสันต์และสมปอง
ดังแสงทองส่องคลุมนภาฟ้าผ่าน กระจ่างเรืองรอง
เหมือนดังตะวันฉานลอยผ่าน จวบจนลับจาง
ชะตาขีดเกณฑ์ให้เป็นเช่นนี้ เลือนรางริบหรี่
ขาดไฟชีท้ าง มืดมนมัวแสง
เงาดาอาพราง บัน้ ปลายอ้างว้าง ชีวติ ดังเหมือนอัสดง
(ซ้า *)
164
2. วิ เครำะห์ข้อมูลด้ำนบทเพลง
ในการวิเคราะห์ขอ้ มูลด้านบทเพลงของเพลงอัสดง ผู้วจิ ยั ได้แบ่งหัวข้อในการวิเคราะห์
3 ประเด็นทีส่ าคัญ ประกอบด้วย
2.1 ควำมเป็ นมำของบทเพลง (Historical Background)
ในปีพุทธศักราช 2548 บทเพลงอัสดงได้รบั รางวัลพระพิฆเนศทอง ประเภทเพลงไทย
สากลหญิงยอดเยีย่ มหญิง แต่งโดยคุณพงษ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ซึ่งเป็ นนักแต่งเพลงและ
นักดนตรี พงศ์พรหม เริม่ อาชีพนักแต่งเพลง และนักดนตรี ตัง้ แต่ปี พ.ศ. 2528 โดยการแต่งดนตรี
ประกอบละครเวที "หัวเราะกับน้ าตา" (กากับการแสดงโดย ภาสุ ร ี ภาวิไล) และเข้าทางานเป็ น
นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักดนตรีบนั ทึกเสียง กับบริษทั บัตเตอร์ฟลาย มีผลงานเพลงเบื้องหลัง
ศิลปินต่างๆ รวมทัง้ แต่งเพลงโฆษณา เพลงประกอบละคร สารคดี และดนตรีประกอบภาพยนตร์
2.2 ควำมหมำยของบทเพลง (Meaning)
จากการสัมภาษณ์ทพิ ย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล (สัมภาษณ์. 2553) กล่าวถึง เนื้อหาของ
บทเพลงอัสดง ผู้ประพันธ์ได้กล่าวถึงเรื่องกาลเวลากับความอ้างว้างซึ่งเปรียบเหมือนคนที่หลงทาง
อยูก่ ลางสายน้า ถูกคลื่นลมพัดกระหน่ าทาให้เกิดความลาเค็ญ เจ็บปวดจนเหลือเกิน และเมื่อหวังสิง่ ใด
ไม่เคยได้สมหวัง ความผิดหวังนี้พอเพียงหรือยัง อาจจะมีสกั ครัง้ ที่ต้องทนทรมาน ดิ้นรนไขว่คว้า
ฟ้าก็ไม่อาจให้ความสมหวังนี้ได้ ในชีวติ คนเป็ นหมื่นเป็ นพันมีแต่ความสุขสมหวังเปรียบดังแสงอาทิ
่ ตย์
คลุมท้องฟ้า มีความกระจ่างสดใส เหมือนดังพระอาทิ
่ ตย์ทฉ่ี ายส่องแสงสว่าง จวบจนเลือนรางหายไป
ชะตาชีวติ ขีดเส้นให้เป็ นเช่นนี้ เลือนรางแทบมองไม่เห็นเพราะขาดไฟที่ จะนาทาง มืดมนแทบมอง
ั้
ไม่เห็น มีแต่เงาดาอาพราง ปนปลายมี แตความอ้างว้างชีวติ เปรียบเหมือนพระอาทิตย์ทก่ี าลังจะตกดิน
2.3 โครงสร้ำงและรูปแบบของบทเพลง (Structure and Form)
บทเพลงอัสดง มีโครงสร้างของบทเพลง เป็นลักษณะแบบ Ternary Form คือ
A A’ B A” B A” โดยผูข้ บั ร้องจะร้องท่อน A ต่อด้วยท่อน B แล้วจึงย้อนกลับมาร้องท่อน A
ซ้าอีกครัง้ หนึ่ง หลังจากนัน้ จะร้องท่อน C และย้อนกลับมาร้องซ้าท่อน A อีกครัง้ ดังนี้
165
คำร้อง เพลงอัสดง
6.
6
6
การหายใจวลีท่ี 1 นับนานผ่านวันคืนอันอ้างว้าง
การหายใจวลีท่ี 2 ดังคนหลงทาง
การหายใจวลีท่ี 3 อยูก่ ลางสายชล
การหายใจวลีท่ี 4 คลื่นลมสาดซ้า
169
การหายใจวลีท่ี 5 ลาเค็ญเจียนทนว่ายวนสับสน
การหายใจวลีท่ี 6 ร้าวรานจนเหลือพรรณนา
การหายใจวลีท่ี 7 หวังใดไม่เคยเป็นดังวาดหวัง
การหายใจวลีท่ี 8 เพียงพอหรือยังทีล่ อยลับตา
การหายใจวลีท่ี 9 อาจมีสกั หน
การหายใจวลีท่ี 10 ทนทรมานดิน้ รนไขว่คว้า
การหายใจวลีท่ี 11 ฟ้ามิอาจสมปองสักวัน
การหายใจวลีท่ี 12 ชีวติ อื่นหมืน่ พันสุขสันต์และสมปอง
การหายใจวลีท่ี 13 ดังแสงทองส่องคลุมนภาฟ้าผ่าน
การหายใจวลีท่ี 14 กระจ่างเรืองรอง
การหายใจวลีท่ี 15 เหมือนดังตะวันฉาน
การหายใจวลีท่ี 16 ลอยผ่านจวบจนลับจาง
การหายใจวลีท่ี 17 ชะตาขีดเกณฑ์ให้เป็นเช่นนี้
การหายใจวลีท่ี 18 เลือนลางริบหรี่
การหายใจวลีท่ี 19 ขาดไฟชีท้ าง
การหายใจวลีท่ี 20 มืดมนมัวแสง
การหายใจวลีท่ี 21 เงาดาอาพรางบัน้ ปลายอ้างว้าง
การหายใจวลีท่ี 22 ชีวติ ดังเหมือนอัสดง
สรุป ในบทเพลงอัส ดง ทิพ ย์ว ัล ย์ ปิ่ น ภิบ าล ได้ใ ช้เ ทคนิค วิธ ีก ารบัง คับ ลมเพื่อ
ลากเสียงให้ยาวขึ้นโดยการทาให้เสียงของค าร้องยาวขึ้นเพื่อให้ได้อารมณ์ตามบทเพลง ซึ่งมีทงั ้
การลากเสียงสูงขึน้ และต่าลง โดยมีวลีทใ่ี ช้ในการบังคับควบคุมลมหายใจ 10 วลี คือ คาว่า...อ้างว้าง
...ลากเสียงยาวเท่ากับ 2 จังหวะคาว่า...หลงทาง...ลากเสียงยาวเท่ากับ 2 จังหวะ คาว่า...สาดซ้า...
ลากเสียงยาวเท่ากับ 2 จังหวะ คาว่า...พรรณนา...การลากเสียงยาวเท่ากับ 2 จังหวะ คาว่า...ลับ
ตา...ลากเสียงยาวเท่ากับ 2 จังหวะ คาว่า...ไขว่คว้า...ลากเสียงยาวเท่ากับ 2 จังหวะ คาว่า...
สมปอง...ลากเสียงยาวเท่ากับ 2 จังหวะ คาว่า...มัวแสง...ลากเสียงยาวเท่ากับ 2 จังหวะคาว่า...
ดังเหมือน...ลากเสียงยาวเท่ากับ 2 จังหวะ คาว่า...อัสดง...ลากเสียงยาวเท่ากับ 4 จังหวะ
3.1.3 การเอือ้ นเสียง
ในบทเพลงอัส ดง ทิพ ย์ว ัล ย์ ปิ่ น ภิบ าล ได้ใ ช้เ ทคนิ ค วิธ ีก ารบัง คับ ลมส าหรับ
การเอื้อนเสียง ซึง่ ทาให้การออกเสียงคาหนึ่งคามีเสียงโน้ตมากกว่าหนึ่งตัวโน้ต โดยการปล่อยเสียง
ให้ถูกต้องตามโน้ต ตามจังหวะ ซึง่ จะทาให้การเอื้อนเสียงร้องได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความไพเราะ
น่ าฟงั ดังตัวอย่างทีจ่ ะวิเคราะห์ ต่อไปนี้
173
2) คาว่า…สายชล...
ในบทเพลงอัส ดง ทิพ ย์ว ัล ย์ ปิ่ น ภิบ าล ได้ ใ ช้ว ิธ ีก ารร้อ งด้ว ยเทคนิ ค วิธ ี
การผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า ซาย โน้ตตัว G ซึง่ เป็ นอักษรต่ าคู่กบั
อัก ษรสูงพยัญ ชนะ ส ซึ่งต้อ งใช้ก ารผันอักษรและวรรณยุกต์ร่ วมกันและจบลงด้วยการร้องด้ว ย
หางเสียงขึน้ นาสิกโน้ตตัว A ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
176
3) คาว่า…หวังใด...
ในบทเพลงอัสดง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้ว ยเทคนิควิธกี าร
ผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า วัง โน้ตตัว F ซึง่ เป็ นการผันอักษรแบบ ห นา ว
ซึง่ ต้องใช้การผันอักษรและวรรณยุกต์ร่วมกันและจบลงด้วยการร้องด้วยหางเสียงขึน้ นาสิกโน้ตตัว G
ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
4) คาว่า…ดังเหมือน...
ในบทเพลงอัสดง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องด้ว ยเทคนิควิธกี าร
ผันอักษรตามทานอง โดยเริม่ ต้นการร้อง ด้วยคาว่า เมือน โน้ตตัว D ซึง่ เป็ นการผันอักษรแบบ ห
นา ม ซึง่ ต้องใช้การผันอักษรและวรรณยุกต์รว่ มกันและจบลงด้วยการร้องด้วยหางเสียงขึน้ นาสิกโน้ต
ตัว E ซึง่ ทาให้การขับร้องได้ตรงกับความหมายของคาและทานองเพลง
3.2.3 การร้องคาเป็นคาตาย
ในบทเพลงอัสดง ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้วธิ กี ารร้องคาเป็ นคาตาย คือ การขับร้อง
คาเป็ นคือคาที่ผสมด้วยสระเสียงยาว และมีตวั สะกดในแม่กง กน กลม เกย เกอว ในการขับร้อง
จะต้องลากคาร้องให้ยาวตามความหมายของคา ส่วนคาตายจะเป็ นคาที่ผสมด้วยสระเสียงสัน้ และ
มีตวั สะกดในแม่กก กด กบ ในการขับร้องจะต้องขับร้องเสียงสัน้ ด้ว ยวิธหี ยุดหางเสียงเพื่อให้ได้
ความหมายของคาก่อนแล้วจึงปล่อยหางเสียงให้ยาวต่อไปตามจังหวะของเพลง ส่วนในเพลงอัสดง
มีคาร้องที่เป็ นคาเป็ นและคาตายหลายคาด้วยกัน ผู้วจิ ยั ขอยกตัวอย่างการร้องคาเป็ นและคาตาย
ทีส่ าคัญๆ ในบทเพลง ดังนี้
ตัวอย่าง คาร้องที่เป็ น คำเป็ น ในเพลงอัสดง มีอยู่ในบทร้องเป็ นจานวนมาก
บางค าผู้วจิ ยั นามาใช้ใ นการวิเคราะห์ใ นหัวข้อการลากเสียงยาว เพื่อให้ก ารยกตัวอย่างไม่ซ้ากัน
จึงได้ยกตัวอย่างบางคาทีส่ าคัญๆ ดังนี้
1) นาน
คาว่า...นาน...เป็ นคาเป็ นที่ผสมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อา และสะกดด้วย น
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กน ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
2) อ้างว้าง
คาว่า...ว้าง...เป็นคาเป็นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อา และสะกดด้วย ง
ซึง่ เป็ นตัวสะกดในแม่ กง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
3) สายชล
ค าว่า...สายชล...เป็ นค าเป็ นที่ผสมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ โอะ และสะกด
ด้วย ล ซึ่งเป็ นตัวสะกดในแม่ กน ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึ้น
เพื่อให้ได้ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
178
4) หลงทาง
คาว่า...ทาง...เป็นคาเป็นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อา และสะกดด้วย ง
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กง ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อ ให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
5) เรืองรอง
คาว่า...เรือง...เป็ นคาเป็ นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อือ และสะกดด้วย ง
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กง ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
6) เลือนราง
คาว่า...เลือน...เป็ นคาเป็ นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อือ และสะกดด้วย น
ซึง่ เป็ นตัวสะกดในแม่ กน ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
179
7) ชีท้ าง
คาว่า...ทาง...เป็ นคาเป็ นที่ผสมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อา และสะกดด้วย ง
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กง ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
8) เงาดา
คาว่า...เงา...เป็นคาเป็นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ เอา ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล
ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึ้น เพื่อให้ได้ความหมายของคาร้องที่ชดั เจนและถูกต้อง
ของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็น
9) อาพราง
คาว่า...พราง...เป็นคาเป็นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อา และสะกดด้วย
ง ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กง ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อให้
ได้ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียง
2) ลับตา
คาว่า...ลับ...เป็นคาเป็นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อะ และสะกดด้วย บ
ซึง่ เป็นตัวสะกดในแม่ กบ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ ยาวขึน้ เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
3) สักวัน
คาว่า...สัก...เป็นคาเป็นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อะ และสะกดด้วย ก
ซึง่ เป็ นตัวสะกดในแม่ กก ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
4) สุขสันต์
คาว่า...สุข...เป็ นคาเป็ นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อุ และสะกดด้วย ข
ซึง่ เป็ นตัวสะกดในแม่ กก ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
181
5) ขีดเกณฑ์
คาว่า...ขีด...เป็ นคาเป็ นทีผ่ สมด้วยสระเสียงยาว คือ สระ อิ และสะกดด้วย ด
ซึง่ เป็ นตัวสะกดในแม่ กด ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคการลากเสียงคาร้องให้ยาวขึน้ เพื่อให้ได้
ความหมายของคาร้องทีช่ ดั เจนและถูกต้องของลักษณะการเปล่งเสียงคาเป็ น
2) คาว่า ว่ายวนสับสน...ร้าวรานจนเหลือ...พรรณนา...
ว่ายวนสับสน...ร้าวรานจนเหลือ...พรรณา...จากการศึกษาวิเคราะห์บทเพลง
อัสดง พบว่า วลีน้มี คี วามหมายทีก่ ล่าวถึงการสับสนในจิตใจของคน ทาให้เกิดความเกิดความลาเค็ญ
วลีน้ีทพิ ย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาลได้ถ่ายทอดอารมณ์ โดยใช้สุนทรียรส คือ รสแห่งความเศร้าโศก หรือ
สัลลาปงั คพิไสยในรสของวรรณคดี โดยการเน้นเสียงและผ่อนเสียง เป็ นกล่าวถึงการสับสนในจิตใจ
ของคน ทาให้เกิดความเกิดความลาเค็ญ เพื่อสื่อถึงความหมายของคาร้อง ทาให้ผฟู้ งั เกิดความรูส้ กึ
คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้อง
3) คาว่า...ดังแสงทองส่องคลุม...นภาฟ้าผ่าน...
ดังแสงทองส่องคลุม...นภาฟ้าผ่าน...จากการศึกษาวิเคราะห์บทเพลงอัสดง
พบว่ า วลีน้ี มคี วามหมายที่ก ล่ าวถึง แสงอาทิตย์ท่สี ่ อ งคลุ มท้องฟ้ าวลีน้ี ทิพ ย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาลได้
ถ่ า ยทอดอารมณ์ โ ดยใช้สุ นทรีย รส คือ รสค าหรือ รสถ้อ ย โดยการเน้ นเสียงและการท าเสียงดัง
เป็ นการกล่ าวถึง แสงทองที่ส่ อ งครอบคลุ มท้อ งฟ้ า เพื่อ สื่อ ถึงความหมายของค าร้อ ง ทาให้ผู้ฟ งั
เกิดความรูส้ กึ คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้อง
3.3.2 การใช้เทคนิคภวารมณียะ
ในบทเพลงอัสดง ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ คือ การทา
หน่ วยเสียง 2เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆ ทีเ่ รียกกันว่า Trill เขียนเป็ นโน้ตสากล ตอนบนของบรรทัด
5 เส้น มีสญ ั ลักษณะใช้ว่า tr...เป็ นการบอกว่าระหว่างปฏิบตั หิ รือขับร้องต้องเล่นโน้ต 2 ตัวสลับกัน
อย่างเร็ว เสียง2 เสียงหรือโน้ต2 ตัวนี้ ตัวที่ทาหน้าทีใ่ ห้เสียงหลักคือ โน้ตตัวล่าง การตกแต่งเสียง
เป็ นหน้าที่ของโน้ตตัวบน หน่ วยเสียงที่เรียบเรียงอย่างสมบูรณ์น้ีแสดงถึงความบันเทิง ความร่าเริง
ความคึกคัก รวมถึงอารมณ์โศกเศร้า วังเวง เรียกว่า ภวารมณียะของบทเพลง ในบทเพลงสุดเหงา
มีลกั ษณะการขับร้องทีก่ ่อให้เกิด ภวารมณียะ ดังนี้
1) คาว่า...อ้างว้าง...
คาว่า...ว้าง...ในบทเพลงอัสดง ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ
คือการใช้เสียงหน่วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลัั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก คือโน้ตตัว A
และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว Bb ลักษณะการขับร้องเช่นนี้
ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
185
2) คาว่า...สาดซ้า
คาว่า...ซ้า...ในบทเพลงอัสดง ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ
คือการใช้เสียงหน่วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก คือโน้ตตัว G
และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว A ลักษณะการขับร้องเช่นนี้
ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณีย ”
3) คาว่า...วาดหวัง…
คาว่า...หวัง...ในบทเพลงอัสดง ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ
คือการใช้เสียงหน่วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก คือโน้ตตัว A
และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว Bb ลักษณะการขับร้องเช่นนี้
ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
4) คาว่า...สักหน…
คาว่า...หน...ในบทเพลงอัสดง ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ
คือการใช้เสียงหน่วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก คือโน้ตตัว G
และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว A ลักษณะการขับร้องเช่นนี้
ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
186
5) คาว่า...เรืองรอง…
คาว่า...รอง...ในบทเพลงอัสดง ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ
คือการใช้เสียงหน่วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก คือโน้ตตัว G
และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว A ลักษณะการขับร้องเช่นนี้
ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
6) คาว่า...มัวแสง…
คาว่า...แสง...ในบทเพลงอัสดง ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ
คือการใช้เสียงหน่วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก คือโน้ตตัว G
และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว A ลักษณะการขับร้องเช่นนี้
ทาให้ผฟู้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
7) คาว่า...ดังเหมือน…
คาว่า...เหมือน...ในบทเพลงอัสดง ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ได้ใช้เทคนิคภวารมณียะ
คือการใช้เสียงหน่วยเสียง 2 เสียง ให้สนสลั
ั ่ บกันเร็วๆซึง่ มีเสียงโน้ตตัวล่างเป็ นเสียงหลัก คือโน้ตตัว D
และมีเสียงโน้ตตัวบนใช้ตกแต่งเสียงให้เกิดความไพเราะ คือโน้ตตัว E ลักษณะการขับร้องเช่นนี้ทาให้
ผูฟ้ งั เกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับผูข้ บั ร้องเรียกอารมณ์แบบนี้ว่า “ ภวารมณียะ ”
187
ความมุ่งหมายของการวิ จยั
1. เพื่อศึกษาชีวประวัตแิ ละผลงานของ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล
2. เพื่อศึกษาเทคนิควิธกี ารขับร้องของ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล
สรุปผลการศึกษาและวิ เคราะห์
จากการศึก ษาวิเ คราะห์เ รื่อ ง ศึกษาวิธ ีการขับร้อ งของ ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ซึ่ง
ประกอบด้วยบทเพลงไทยสากล ทีไ่ ด้รบั รางวัลพระราชทาน จานวน 6 เพลง คือ เพลงสุดเหงา ดอกไม้
ช่อนี้ ในโลกบันเทิง น้าเซาะทราย ไฟ และ อัสดง สรุปผลการศึกษาวิเคราะห์ ได้ดงั นี้
1. ชีวประวัติและผลงาน
1.1 ชีวประวัติ
ทิพ ย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาลเป็ นนักร้อ งเพลงไทยสากลที่มคี วามสามารถ ขับร้อ งเพลง
ไทยสากลและบันทึกเสียงเผยแพร่สู่สาธารณชนไว้เป็ นจานวนมาก ในงานวิจยั ครัง้ นี้ผู้วจิ ยั ขอนาเสนอ
ชีว ประวัติแ ละผลงานของท่ า น โดยใช้ ห ัว ข้อ ในการน าเสนอคือ ชีว ิต ก่ อ นเข้า สู่ อ าชีพ นั ก ร้อ ง
ชีว ิต อาชีพ นัก ร้อ ง ผลงานการขับ ร้อ งและชีว ิต ในป จั จุบ ัน ดัง ต่ อ ไปนี้ ทิพ ย์ว ลั ย์ ปิ่ นภิบ าล
เกิดในอาเภอเมือง จังหวัดจันทบุร ี วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2497 ปจั จุบนั อายุ 57 ปี บิดาชื่อ
ทองอยู่ ปิ่ น ภิบ าล อายุ 85 ปี อดีต ผู้อ านวยการสถานี ท ดลองพืช สวนพลิ้ว จัง หวัด จัน ทบุ ร ี
189
3) เป็นกรรมการสภาสตรีแห่งชาติ
4) ให้ความรูเ้ รือ่ งการร้องเพลงไทยสากล การใช้เสียงแก่ประชาชนและองค์กร
ต่างๆ รวมทัง้ อาสาสมัคร การสอนในฑัณฑสถานร่วมกับกรมราชฑัณฑ์ดว้ ย
นอกจากนี้ทิพย์ว ลั ย์ยงั ได้รบั เชิญเป็ นกรรมการตัดสินการประกวดร้องเพลง
ให้กบั องค์กรต่าง ๆ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ อยูเ่ ป็นนิจ
1.2 ผลงาน
เริม่ มีช่อื เสียงเมื่อ ได้รบั ต าแหน่ ง นักร้อ งสมัค รเล่ นแห่งประเทศไทย (Amateur
singing contest 1976) เมือ่ พ.ศ. 2519 ร่วมกับคุณเกวลิน บุญศิรธิ รรม เมื่อกลับจากการประกวด
ได้เซ็นสัญญากับทางช่อง 3 เป็ นเวลา 4 ปี โดยร้องเพลงให้กบั รายการชื่อ All star Variety Show
ทุกสัปดาห์ โดยมีนกั ร้องอาชีพ นักร้องสมัครเล่นมาร่วมรายการด้วย นักร้องสมัครเล่นของทางช่อง 3
จะได้รบั การฝึ กฝน ให้มคี วามสามารถขับร้องเพลงได้หลายแนว เมื่อได้ออกสื่อบ่อยครัง้ ทาให้ม ี
บริษทั แผ่นเสียงหลายแห่งมาติดต่อ ทิพย์วลั ย์ได้รบั การติดต่อจากบริษทั อโซน่ า โปรโมชัน่ จากัด
ให้มาเซ็นสัญญาร้องเพลง หลังจากหมดสัญญากับไทยทีวสี ี ช่อง 3 แล้ว
ในระหว่างนัน้ ทิพย์วลั ย์ได้ทางานอยู่ฝ่ายจัดรายการของไทยทีวสี ชี ่อง 3 ด้วยและ
มีงานพิเศษ คือ งานเพลงโฆษณา เช่น โอวัลติน บริษัทประกันภัย เพลงประกอบภาพยนตร์
ละครหลายเรื่อ ง เช่ น แสนรัก ภูชิต นริศ รา สายเลือ ดเดียวกัน พิศ วาส ร่มฉัต ร เป็ นต้น
หลังจากหมดสัญญากับไทยทีวสี ชี ่อง 3 ทิพย์วลั ย์หนั มาเป็นนักร้องอาชีพเต็มตัว โดยเซ็นสัญญากับ
บริษทั อโซน่าจากัดและออกอัลบัม้ เป็นของต้นเองเรือ่ ยมา
อัลบัม้ ชุดแรกคือชุด ฉันรักรถเมล์ ทาให้ผู้คนรูจ้ กั ทิพย์วลั ย์มากขึน้ แต่เธอรูว้ ่า
แนวเพลงสไตล์แบบนี้ไม่เป็ นตัวเธอ จึงเปลีย่ นแนวเพลงใหม่และได้ออกอัลบัม้ ชุดใหม่ คือ ชุดสุดเหงา
ซึง่ แต่งโดย วราห์ วรเวช (นายแพทย์ วราวุฒ ิ สุมาวงศ์) เพลงนี้ ได้ รบั รางวัลแผ่นเสี ยงทองคา
พระราชทาน ในปี 2525 หลัง จากได้ร บั รางวัล แผ่ น เสีย งทองค า กรมประชาสัม พัน ธ์ไ ด้เ ชิญ
ทิพย์วลั ย์เป็ นตัวแทนนักร้องไทยไปร่วมงาน มหกรรมอาเซียน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
โดยมีคุณ อ้อ ยทิพย์ ปญั ญาธร เป็ นตัวแทนนัก ร้อ งประเภทเพลงพื้นบ้าน (ลูก ทุ่ง ) ขับร้อ งเพลง
สาวทรานซิสเตอร์
ในปี 2527 ทิพย์วลั ย์ ได้รบั เชิญอีกครัง้ จากกรมประชาสัมพันธ์ ให้เป็ นตัวแทน
นักร้องไทยร่วมงานมหกรรมอาเซียน ครัง้ ที่ 3 ทีป่ ระเทศสิงคโปร์ ในครัง้ นี้เธอได้นาบทเพลง ไฟ ทีไ่ ด้รบั
รางวัลกรังด์ปรีซ์ (Grand Prix) จากการประกวดเพลงไทยป๊อป ของสยามกลการมิวสิคฟาวเดชัน่
ไปขับร้องโชว์ และครัง้ นี้คุณเทียรี่ เมฆวัฒนาและกลุ่มวงดนตรีคาราบาว เป็ นตัวแทนประเภทเพลง
พืน้ บ้านขับร้องเพลงเพื่อชีวติ
ในช่ ว งเวลาที่ ก าลั ง มี ช่ื อ เสี ย ง ทิ พ ย์ ว ั ล ย์ ได้ ร ั บ การติ ด ต่ อ และรั บ เชิ ญ
หลายครัง้ ให้ข บั ร้อ งเพลงในงานกาชาดคอนเสริต์แ ละบัน ทึก เสีย งในบทเพลง พระราชนิ พ นธ์
ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โดย พลเรือตรีปรีชา ศิษยนันท์ เป็ นผูแ้ ต่งทานองเพลงคล้องกับ
บทพระราชนิพนธ์ คือ บทเพลง เดิ นตามรอยเท้าพ่อ ณ โรงละครแห่งชาติ
192
สรุป ได้ว่ า ทิพ ย์ว ัล ย์ ปิ่ น ภิบ าล เป็ น ศิล ปิ น นั ก ร้อ งที่ม ีคุ ณ ภาพคนหนึ่ ง ของ
สังคมไทย มีบทบาทสาคัญยิง่ ต่อวงการเพลง ด้วยผลงานและแนวทางการขับร้อง เพลงลูกกรุงที่
ยังคงอยู่ในสังคมไทย ซึง่ มีเอกลักษณ์ ทัง้ ศาสตร์และศิลป์ ทางอารมณ์และภาษาแห่งศิลปะการขับ
194
อภิ ปรายผล
จากการวิจยั แสดงให้เห็นว่าทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาลเป็ นผูม้ คี วามสามารถในการขับร้องเพลง
ไทยสากล จากความสามารถทีโ่ ดดเด็นทาให้ได้มโี อกาสสร้างผลงานการขับร้องทีไ่ ด้รบั การยอมรับ
สู่สงั คม ซึง่ ผูว้ จิ ยั ได้คดั เลือกบทเพลงทีส่ าคัญซึง่ ได้รบั รางวัลแผ่นเสียงทองคาพระราชทาน คือเพลง
สุดเหงา รางวัลทีวตี ุ๊กตาทองมหาชน คือเพลงดอกไม้ช่อนี้ รางวัลกรังด์ ปรีซ์ สยามกลการมิวสิค
ฟาวเดชัน่ ประเภทเพลงไทยป็ อป รางวัลพิณทอง (ชนะเลิศ) ธนาคารกสิกรไทย คือเพลงในโลก
บันเทิง รางวัลพระพิฆเนศทอง ประเภทเพลงไทยอมตะยอดเยีย่ ม คือเพลงน้าเซาะทรายและรางวัล
พระพิฆเนศทอง ประเภทเพลงไทยสากลหญิงยอดเยี่ยม คือ เพลงอัส ดง ทิพย์ว ลั ย์ ปิ่ นภิบาล
มีเทคนิควิธกี ารขับร้องซึ่งเป็ นเอกลักษณ์เฉพาะตน คือ การใช้เทคนิคการบังคับควบคุมลมหายใจ
เช่น การแบ่งวรรคลมหายใจ การลากเสียงยาว สอดคล้องกับเทคนิควิธขี บั ร้องเพลงของ ดุษฎี
พนมยงค์จากหนังสือ “สานฝนั ด้วยเสียงเพลง” ของดุษฎี พนมยงค์ (2539) การเอื้อนเสียง ใช้การ
แบ่งเป็นวลีทม่ี เี นื้อหาเดียวกันโดยใช้ลมในการขับร้องเดียวกัน ซึง่ สอดคล้องกับ “ เทคนิคการขับร้อง
เพลงไทย ”ของ” กาญจนา อินทรสุนานนท์ (2540) การออกอักขระ เช่น การเน้นเสียงเน้นคา โดยใช้
เทคนิคการเน้นเสียงให้ดงั ขึน้ และเบาลง การทอดเสียงขึน้ และลง การกระโดดเสียง การพลิ้วเสียง
การผ่อนเสียง การผันอักษรตามทานอง โดยเฉพาะคาร้องทีเ่ ป็ นอักษรสูง จะใช้อกั ษรต่ าทีค่ ่กู บั อักษร
สูงผันร่ว มกันกับวรรณยุกต์และจบการผันอักษรด้วยการขึ้นนาสิกเพื่อ ให้คาชัดเจนสอดคล้องกับ
เทคนิควิธกี ารขับร้องเพลงไทยของ กาญจนา อินทรสุนานนท์ (2540) ส่วนการขับร้องคาร้องทีเ่ ป็ น
คาเป็ น จะใช้เทคนิคการลากเสียงให้ยาวขึน้ ตามความหมายของคา แต่คาร้องที่เป็ นตายใช้เทคนิค
การหยุดเสียงให้สนั ้ ลงตามความหมายของคาก่อน แล้วจึงลากเสียงให้ยาวขึน้ ตามทานองของเพลง
ซึง่ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ในการขับร้องเพื่อสื่อความหมายของคา ทิพย์วลั ย์
ปิ่นภิบาล ใช้เทคนิคการถ่ายทอดสุนทรียรสของเพลง ด้วยรสคาหรือรสถ้อย สอดคล้องกับรส ใน
วรรณคดีไทยคือ รสนารีปราโมทย์ดว้ ยการใช้น้ าเสียงออดอ้อนแสดงถึงความรัก ความหวงใย รส
พิโรธวาทัง ด้วยการใช้น้ าเสียงแสดงความรุมร้อน โกรธ เกลียด เจ็บใจ รสสัลลาปงั คพิสยั ด้วยการ
216
ข้อเสนอแนะ
การวิจยั วิธกี ารขับร้องของ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ผูว้ จิ ยั ต้องการนาชีวประวัตแิ ละเทคนิค
วิธกี ารขับร้องบทเพลงไทยสากลตามแบบฉบับของ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล ซึง่ มีลกั ษณะเทคนิคพิเศษ
ต่างๆ ควรนามาเผยแพร่ให้เกิดประโยชน์กบั การศึกษาและผู้สนใจในการขับร้องเพลงไทยสากล
โดยมีขอ้ เสนอแนะ ดังนี้
1. ควรนาเทคนิควิธกี ารขับร้องบทเพลงไทยสากลมาใช้ในการฝึ กปฏิบตั ิขบั ร้องให้กบั
นักเรียนนักศึกษา ในสถานศึกษา และศิลปิ นเพลงไทยสากลรุ่นต่อ ๆ ไป เพื่อเป็ นการสืบสาน
การร้องเพลงไทยสากลต่อไป
2. ควรนาแนวทางการศึกษาวิธกี ารขับร้องของ ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล เป็ นต้นแบบใน
การศึกษาวิธกี ารขับร้องของศิลปินเพลงไทยสากลท่านอื่น ๆ อีก เพื่อจะได้มอี งค์ความรูเ้ ทคนิควิธกี าร
ขับร้องบทเพลงไทยสากลได้อย่างหลากหลาย
3. ควรทาการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างเทคนิควิธกี ารขับร้องบทเพลงไทยสากลของ
ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาลกับศิลปิ นเพลงไทยสากล ที่มชี ่อื เสียงท่านอื่น ๆ เพื่อเป็ นประโยชน์สาหรับ
นักเรียนนักศึกษาในสถานศึกษาและศิลปินรุ่นต่อ ๆ ไป ได้นามาศึกษาและใช้เทคนิคการขับร้อง
ได้เหมาะสมกับตนเอง
บรรณานุกรม
218
บรรณานุกรม
นิ ต ยา อรุ ณ วงศ์ . (2547). ศึก ษาชีว ประวัติแ ละวิธ ีก ารขับ ร้อ งของ รวงทอง ทองลัน่ ธม .
ปริญ ญานิ พ นธ์. ศป.ม. (มานุ ษ ยดุ ร ิย างควิท ยา). กรุ ง เทพฯ: บัณ ฑิต วิท ยาลัย
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร.
นุ ชนาถ ศรีแดนกลาง. (2551). เพลงลูกกรุง. สืบค้นเมื่อ 5 มีนาคม 2553, จาก http://bowmoonoi-
bowdangmusic.blogspot.com/2008/04/blog-post_6843.html.
เอื้อ สุ น ทรสนาน (2545). บ้า นคนรัก สุ น ทราภรณ์ . สืบ ค้น เมื่อ 5 มีน าคม 2553, จาก
http://www.websuntaraporn.com/suntaraporn/home/
ปิติ วาทยกร. (2536). “ดนตรี,” ในคอนเสริตเ์ ดีย๋ วก็ลมื ครัง้ ที ่ 1. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริน้ ติง้ กรุป๊ .
ปิ่นศิร ิ ศิรปิ ิ่น. (2551). ร้องเพลงกับครูปิ่น. พิมพ์ครัง้ ที่ 3. กรุงเทพฯ: อนิศ ดิสทริบวิ ชัน่ จากัด.
ปิ ย พัน ธ์ แสนทวีสุ ข . (2546). การประพัน ธ์เ พลง, (เอกสารประกอบการเรีย น). สาขาวิช า
ดุ ร ิย างคศิล ป์ . มหาวิท ยาลัย มหาสารคาม คณะศิล ปกรรมศาสตร์ มหาวิท ยาลัย
มหาสารคาม.
พิสุทธิ ์ การบุญ. (2551). ศึกษาวิธกี ารขับร้องของ เสรี รุ่งสว่าง. ปริญญานิพนธ์. ศป.ม.
(มานุ ษยดุรยิ างควิทยา) กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ.
ถ่ายเอกสาร.
พูนพิศ อมาตยกุ ล . (2535). ภาพรวมของดนตรีใ นกลุ่ มประเทศเอเชียอาคเนย์ ดนตรีไทย
อุดมศึกษา ครัง้ ที ่ 23. (6 – 8 มกราคม 2535 ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น).
รัฐภูม ิ ช่ างเจรจา. (2546 ). วิเ คราะห์เ พลงร้อ งของไพบูล ย์ บุ ต รขัน . ปริญ ญานิพ นธ์. ศป.ม.
(มานุ ษยดุรยิ างควิทยา) กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
ถ่ายเอกสาร.
วรศักดิ ์ เพียรชอบ. (2533). กิจกรรมเข้าจังหวะ. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์.
สุเทพ วงศ์คาแหง. (2552). วิกิพเี ดีย สารานุ กรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 5 มีนาคม 2553, จาก
http://th.wikipedia.org/wiki.
วิกิพเี ดีย สารานุ ก รมเสรี. (2554). เพลงไทยสากล. สืบค้นเมื่อ 5 มีนาคม 2553, จาก
http://th.wikipedia.org/wiki.
วิสา อัศเวศน์ . (2552). ความงาม, (เอกสารประกอบการสอน). จันทบุร ี: ภาควิชาศิลปกรรม,
มหาวิทยาลัยราชภัฏราไพพรรณี.
ส. จิต รมันคง, ่ นามแฝง. (2512). “รวมเพลงเก่ า – ใหม่ จากนัก ร้อ งคณะสุ น ทราภรณ์ ” .
พิมพ์ครัง้ ที่ 3. กรุงเทพฯ : ทวีกจิ การพิมพ์.
สมชาย รัศมี. (2536). การเรียบเรียงเสียงประสาน. กรุงเทพฯ: วิทยาลัยสารพัดช่าง.
สุกรี เจริญสุข. (2538). จะฟงั ดนตรีอย่างไรให้ไพเราะ. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพฯ: Dr.Sax,
สุวฒั น์ วรดิลก. (2532). สุนทราภรณ์ครึง่ ศตวรรษ. กรุงเทพฯ: ม.ป.ท.
หนังสือทีร่ ะลึก. (2532). สุนทราภรณ์ครึง่ ศตวรรษ. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์เพื่อชีวติ .
220
อรรณพ วรวานิช . (2547 ). ศึกษาชีว ประวัติและวิธ ีก ารขับร้อ งของ ศรีสุ ดา รัช ตะวรรณ.
ปริญญานิพนธ์. ศป.ม. (มานุษยดุรยิ างควิทยา) กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย
ศรีนครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร.
เอกราช เจริญนิตย์. (2537). ความรูท้ วไปทางวรรณกรรมไทย.
ั่ กรุงเทพฯ: โอเดีย้ นสโตร์.
เอกรินทร์ สีมหาศาล และคณะ. (2544). ศิลปะ ป.3. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์.
ภาคผนวก
222
ภาคผนวก ก.
บทสัมภาษณ์
223
บทสัมภาษณ์ ทิ พย์วลั ย์ ปิ่ นภิ บาล วันที่ 31 พฤษภาคม 2553 เวลา 17.20 น.
ณ ทีบ่ า้ น ซอยอุดมเกียรติ ์ ถนนสุทธิสาร กรุงเทพมหานคร
บทสัมภาษณ์ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล
บทสัม ภาษณ์ ค รูช ัย รัต น์ วงษ์ เ กีย รติข จร โดยสรุป เรื่อ งที่ม าของบทเพลงลู ก กรุ ง
ที่ประพันธ์สาหรับ ทิพย์วลั ย์ ปิ่ นภิบาล ได้กล่ าวถึงขัน้ ตอนการประพันธ์เพลงโดยเริม่ จากการ
ดูความเหมาะสมของเสียง ทิพย์วลั ย์ ปินภิบาล เป็ นเสียงทีม่ ี Power มีน้ าหนักและมีพลัง ร้องเสียง
หนัก-เบา เช่น เพลงไฟ ซึง่ เป็ นเพลงทีไ่ ด้รบั รางวัลกังปิดส์ของสยามกลการ ประกอบกับการเรียบเรียง
เสียงประสานทีไ่ พเราะ ซึง่ เป็นเพลงทีส่ ่อื อารมณ์ได้อย่างชัดเจน
ขัน้ ตอนการแต่ ง เพลง โดยการสร้า งเรื่อ งจากสิ่ง ที่พ บเห็น รอบๆตัว ในชีว ิต ประจ าวัน
เหตุการณ์จริง เรือ่ งในภาพยนตร์และจากหนังสือต่างๆ เช่น เพลงไฟ รางวัลกรังปรีซ์ สยามกลการ
มิ วสิ คฟาวเดชัน่ ประเภทเพลงไทยป็ อป นามาคิดสร้างสรรค์ ว่ามีเปลวไฟทีร่ อ้ นแรง จุดประกาย
ออกมารอบๆและใช้จนิ ตนาการในการคิด ให้ออกมาเป็ นบทเพลง โดยการใส่อารมณ์เพลงลงไป
ในบทเพลง
ขัน้ ตอนการแต่บงเพลง แบ่งออกเป็น 3 ขัน้ คือ
1. การแต่งทานองก่อน จึงตามด้วยเนื้อร้อง
2. การแต่งเนื้อร้องก่อน จึงตามด้วยทานอง
3. การแต่งทัง้ เนื้อร้องและทานองควบคู่กนั ไป
การต่อเพลงให้กบั นักร้อง ครูชยั รัตน์ ใช้วธิ กี าร้องอัดเทปไว้และให้นักร้องกลับไปฟงั ทีบ่ า้ น
หรือโดยการต่อตัวต่อตัว คือ ครูรอ้ งให้ฟงั ก่อนและให้ทพิ ย์วลั ย์ ร้องตาม ทีละประโยคเพลง พร้อม
ทัง้ สอดใส่อารมณ์เพลงไปพร้อมกัน โดยครูเพลงเป็นผูแ้ นะนาให้กบั ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล
ขัน้ ตอนในการประพันธ์เพลง
1. การแต่งทานองก่อนและนาประโยคในทานองเพลงมาสัมพันธ์กนั
2. แต่งคาร้องก่อนและใส่ทานองเพลง โดยมีประโยคสัมผัสในแต่ละประโยคเพลง
การแต่งเพลงเกี่ยวกับเรื่องอะไรให้จนิ ตนาการเกี่ยวกับเรื่องนัน้ เช่น เพลงเกี่ยวกับความรัก
การอกหัก สิง่ แวดล้อมรอบ ๆ ตัว เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เช่น เพลงร่มฉัตร ซึง่ เป็ นเพลงจาก
ละครของช่อง 3
การต่อเพลง โดยการดูเสียงของ ทิพย์วลั ย์ ว่าอยู่ในคีย์อะไร มีเสียงสูง - ต่ า มากน้ อย
แค่ ไ หน ครูเ พลงจะร้อ งท านองเป็ นหลัก ก่ อ น โดยวิธ ีก ารร้อ งอัด เสีย งให้ไ ปเปิ ด ฟ งั ก่ อ น และจึง
ให้ ม าต่ อ เพลง โดยครู เ พลงจะขัด เกลาในส่ ว นที่ย ัง ร้อ งไม่ ถู ก ต้ อ งอีก ทีห นึ่ ง ด้ ว ยวิธ ีร้อ งให้ ฟ งั
ทีละประโยคเพลง
ภาคผนวก ข
โน้ ตสากลเพลงของ ทิพย์ วลั ย์ ปิ่ นภิบาล
227
228
229
230
4.
44.
231
232
ภาคผนวก ค.
ประมวลภาพ ทิพย์วลั ย์ ปิ่นภิบาล
อัลบัมเพลงต่
้ างๆ
239
อัลบัม้ ชุดพรหมลิขติ
อัลบัม้ ชุด ทะเลจันทร์ บทเพลงทีท่ พิ ย์วลั ย์ได้รบั รางวัล เช่น เพลงสุดเหงา ,อัสดง ,น้าเซาะทราย ,ไฟ
243
ภาพ คุณทิพย์วลั ย์ ถ่ายคู่กบั คุณรุง่ ฤดี แพ่งผ่องใสและเกวลิน บุญศิรธิ รรม ทีป่ ระเทศฮ่องกง
247
ประวัติย่อผูว้ ิ จยั
ประวัติการศึกษา
พ.ศ. 2529 ประกาศนียบัตรนาฎศิลปชัน้ สูง (ปนส.)
พ.ศ. 2534 ครุศาสตร์บณ
ั ฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏราไพพรรณี (ค.บ.)
พ.ศ. 2554 ศิลปกรรมศาสตรมหาบัณฑิต (ศปม.) มานุษยดุรยิ างควิทยา
คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ