07 - Distributed Constant Circuit

01016331 โครงข่ายสือสารสายส่ง
(Communication Network and Transmission Lines)
Lecture 03: Distributed Constant Circuits
1
Distributed Constant Circuits
Steady state solution สําหรับ parallel two wire
ในสายส่งสัญญาณจะประกอบด้วย
Inductance (L),
Capacitance (C),
Resistance (R) และ
Conductance (G)
ซึงเป็ น Distributed constant circuit
ซึงค่าต่าง ๆ เหล่านีแผงอยูต่ ามความยาวของสาย เมือเกิดกระแสไหลในสาย จึงมีผลต่อค่าเหล่านี

ซึงวงจรเหล่านีเรี ยกว่า Distributed constant circuit
2
Steady state solution สํ าหรับ parallel two wire
วงจรสายส่ ง
3
วงจรสายส่ ง
จากรู ปที พิจารณาช่วงความยาว
โดยที R = resistance/length (/km)

L = inductance/length (H/km)
C = Capacitance/length (F/km)
G = Conductance/length (Siemens (S)/km)
ซึ งเรี ยกรวมกันว่า primary constants
4
ความยาว 1 km มีคา resistance เทากับ R 

ความยาว dx km มีคา resistance เทากับ Rdx 
ความยาว 1 km มีคา inductance เทากับ L Henry

ความยาว dx km มีคา inductance เทากับ Ldx Henry
ความยาว 1 km มีคา capacitance เทากับ C Farad

ความยาว dx km มีคา capacitance เทากับ Cdx Farad
ความยาว 1 km มีคา conductance เทากับ G Siemens

ความยาว dx km มีคา conductance เทากับ Gdx Siemens
5
แทนค่า
v dvx
i dix
R Rdx
L Ldx
ใน time domain จะได้
vR  i(t ) R
Z  R  j และ vAB  iZ
di (t )
vL  L
dt
1
vC   i (t ) dt
6 C
dvx i
  L x  ix R
dx t
dv x
  Z (i x )
dx
โดยที Z  R  j
ix
vL  L
t
เนื องจากตัวแปรมีสองตัวคือ x เป็ นระยะทาง และ vR  ix R
t เป็ นเวลา พิจารณาศักดาตกคร่ อม dx จะได้
vx  (vx  dvx )  dvx
ix
Ldx  ix Rdx   dvx
t
7
พิจารณากระแสทีไหลผ่าน dx จะได้
ix  (ix  dix )  dix
vx
Cdx  vx Gdx   dix
t
dix v
  C x  vx G
dx t
dix
  v xY
ทําการหาอนุพนั ธ์อนั ดับสองของสมการ dx
d  dvx
โดยที Y  G  j C
 d ( Zix )
   dx
dx  dx  v x
iC  C
d 2 vx d ( Zix ) t
 
dx 2 dx iG  vxG
 di 
8  Z   x   Z  Yv x 
 dx 
จากสมการ ซึ งเป็ นสมการอนุ พ ัน ธ์ อ ัน ดับ สอง
สามารถหาคําตอบของสมการอนุพนั ธ์อนั ดับสอง
นีได้
d 2vx d (Zix )
 
dx2 dx
vx  Ae ZY x
 Be ZY x
ทํานองเดียวกัน และจากสมการ ซึ งเป็ นสมการอนุพนั ธ์อนั ดับสอง

d 2ix
 ZYix
สามารถหาคําตอบของสมการอนุพนั ธ์อนั ดับสอง
dx2 นี ได้ 2
d ix
2
 ZYix
dx
ix 
1
Z
 Ae  ZY x
 Be ZY x

9 Y
Z
Y
= Z0
คือ ค่า Characteristic impedance
มีหน่วยเป็ น 
 คือ ค่าคงตัวการลดทอน (Attenuation
constant) ของคลืน มีหน่วยเป็ น dB/km
หรื อ Neper/km
 คือ ค่าคงตัวทางเฟส (phase constant)

โดยที A และ B เป็ นค่าคงทีทีหาได้จากค่าคงทีเริ มต้น มีหน่วยเป็ น Radian/km
ZY =  e ZY x
คือ ค่า Incident wave component หรือ
คือ ค่าคงตัวการเคลือนที (propagation constant) traveling wave component
  j e ZY x
คือ ค่า Reflected wave component
10
vx Ae ZY x  Be ZY x Z
 
ix Z  ZY x
Y
( Ae  Be ZY x
)
Y
vx R  j L Z
Z0   
ix G  jC Y
Z0 และ 
ถ้ าสายส่งยาวอนันต์ จะทําให้ ค่าของ Incident wave
component หายไปจนหมดทีปลายสายส่ง จนไม่มี เป็ นค่าคงตัวทุติยภูมิ (secondary constant)
สัญญาณสะท้ อนกลับ ทําให้ ค่า Reflected wave
component เป็ นศูนย์ด้วย เพราะฉะนันจะได้
11
ยกกําลังสองทังสองข้างของสมการ
(  j  )2  ( R  j L )(G  j C )
 RG  j RC  jGL  j 2 2 LC
 2  2 j  j 2  2  ( RG   2 LC)  j ( RC  GL)

คํานวณหาค่าของ  และ  จะได้ดงั นี
( 2   2 )  j(2 )  ( RG   2 LC )  j ( RC  GL)
    j  ZY
 ( R  j L )(G  j C )
12
ยกกําลังทังสองข้างของสมการ
2
 2  2
แต่     j   ZY
 ( R  j L )(G  j C )
  ( R  j L )(G  jC )
พิจารณาส่วนของค่าจริ ง  ( RG   2 LC )  j ( RC  GL)
( 2   2 )  ( RG  2 LC)  ( RG   2 LC ) 2  ( ( RC  GL )) 2
จาก     j  หาขนาดจะได้  R 2G 2   4 L2C 2   2 R 2C 2   2G 2 L2
  2  2  ( R 2   2 L2 )(G 2   2C 2 )
13
จากสมการที 1 บวกกับสมการที 2ได้
2 2  ( RG   2 LC )  ( R 2   2 L2 )(G 2   2C 2 )
2 
1
2
( RG   2 LC )  ( R 2   2 L2 )(G 2   2C 2 ) 
 
1
2

( RG   2 LC )  ( R 2   2 L2 )(G 2   2C 2 ) 
จากสมการที 1 ลบกับสมการที 2ได้
แต่ 
2
2  2 2 2  ( R 2   2 L2 )(G 2   2C 2 )  ( RG   2 LC )
 ( R 2   2 L2 )(G 2   2C 2 ) (1)
 ( R 2   2 L2 )(G 2   2C 2 )   2 LC  RG
 2   2  RG   2 LC (2)  ( 2 LC  RG )  ( R 2   2 L2 )(G 2   2C 2 )
14 2 
1
2

( 2 LC  RG )  ( R 2   2 L2 )(G 2   2C 2 ) 
(2 )  ( RC  GL)
 ( RC  GL)
 
2
จะสามารถหาค่า  ได้ และแทนลงในสมการ

ที โดยจะสามารถหาค่าต่าง ๆ ได้ดงั นี
 
1
2
( 2 LC  RG )  ( R 2   2 L2 )(G 2   2C 2 ) 
ค่า  ทีได้ไม่ถูกต้องเนืองจากอยูใ่ นรู ปของจํานวน
 
1
2

( RG   2 LC )  ( R 2   2 L2 )(G 2   2C 2 ) 
จิตรภาพต้องใช้วิธีพิจารณาเปรี ยบเทียบจํานวนจิตร  ( RC  GL)
 
2
ภาพจะได้
R  j L
j(2 )  j ( RC  GL) Z0 
G  jC
15
กรณี low frequency (ปกติไม่ใช้ในย่าน 0-60 Hz แต่ใช้ใน
ย่าน 2.5 – 400 Hz)   ( RC  GL)
2
เงือนไขคือ
( RC  GL)
L  R ( R2   2 L2 )  R2 
2 RG
C  G (G2   2C 2 )  G2  RC GL 
  
 2 RG 2 RG 
 2 LC  RG ( RG   2 LC )  RG
C R L G 
 
1
2

( RG   2 LC )  ( R 2   2 L2 )(G 2   2C 2 )    
 2 G

2 R


R  j L

1
2

( RG )  ( R 2G 2 )  1
   RG  RG 
2
Z0 
G  jC
R
1
   2 RG  
16 2   RG G
กรณี Medium frequency หรื อ Audio frequency  ( RC  GL)
 
เงือนไขคือ 2
L  R ( RC  GL)  RC  GL
( R2   2 L2 )  R2  
 RC 2 RC
2
C  G (G   C )   C
2 2 2 2 2 2
 2 LC  RG ( RG   2 LC)  0  RC  RC
 
2 RC 2
 
1
2

( RG   2 LC )  ( R 2   2 L2 )(G 2   2C 2 ) 

1
2

0  ( R 2 )( 2C 2 ) 
 RC

1
2
 R 2 2C 2  
2
17
R  j L R R  j
Z0     
G  jC jC jC  j
jR R
  arg(45)
C C
R
 (cos(45)  j sin(45))
C
R
 (cos(45)  j sin(45))
C
R 1 1
 ( j )
C 2 2
R R
 j
18 2C 2C
กรณี High frequency ซึ งวิธีการหาค่า 
เงือนไขคือ นีไม่สามารถหาค่าได้ตอ้ งใช้วิธีอืน
L  R ( R2   2 L2 )   2 L2     j
C  G (G2   2C 2 )   2C 2
 ( R  j L )(G  j C )
 2 LC  RG ( RG   2 LC)   2 LC
R G
 j L (  1) j C (  1)
 
1
2
( RG   2 LC )  ( R 2   2 L2 )(G 2   2C 2 )  j L j C
R G
 j LC (1  ) (1  )

1
2

( 2 LC )  ( 2 L2 )( 2C 2 )  j L j C
0
19
เขียนในรู ปของอนุกรมจะได้
  j LC (1  R  )(1  G  )
j L j C  G R 
  j LC  1   
 2 j C 2 j L 
R G
 j LC (1  )(1  )
j L j C j G LC j R LC
 j LC  
 G R  R  G  2 j C 2 j L
 j LC  1     
 2 j C j L  2 j L   2 j C  
G L R C
 j LC  
เงือนไขคือ 2 C 2 L
R
L  R 1 G L R C
L    j LC
2 C 2 L
C  G G
1 และ
C
 R  G 
1   
20   L  C 
เพราะฉะนันจะได้
G L R C
 
2 C 2 L
  j LC
R  j L j L L
Z0   
G  jC jC C
สําหรับกรณี lossless transmission line จะได้

 0
R = G = 0,    LC
L
Z0 
21 C
Propagation constant
  ZY
 ( R  j L )(G  j C )
v x  Ae   x  Be  x
1
ix  ( Ae   x  Be  x )
Z0 ถ้าสมการอยูใ่ นรู ปของระยะทางกับเวลาจะได้
โดยที e   x เขียนใหม่ได้เป็ น e  x  j t
e  x คือ incident wave component
e  x เขียนใหม่ได้เป็ น e   x  j t
e  x คือ reflected wave component
 e  (   j  ) x  j t
 e   x e  j  x e j t
22  e  x e j ( t   x )
พิจารณารู ปคลืน
คลืนจะเคลือนทีจากจุด P ไปยังจุด Q ได้ระยะทาง dx และใช้เวลา dt จะได้

ความเร็ วของคลืน  dx
dt
  t   x คือ phase delay
ทีจุด P มีค่า phase delay ดังนี  P

 t   x
ทีจุด Q มีค่า phase delay ดังนี  Q

  ( t  dt )   ( x  dx )
23
  VP 2
P Q 
c 
 t   x   ( t  dt )   ( x  dx )
 t   x   t   dt   x   dx VP คือ phase velocity
 dt   dx  0
 dt   dx c คือ ความเร็ วของแสง
dx 

dt   คือ ความยาวคลืน
 2 f 2 c
VP   
24   
ถ้าในกรณีที phase velocity มีค่าเท่ากับความเร็ วแสงจะได้
VP 2
VP =c 1
c 
2


25
ค่า phase velocity เป็ นคลืนทีเคลือนทีในอากาศ ถ้ าคลืนเคลือนทีใน dielectric ทีมีค่า permittivity ()
จะได้ ว่า
c
VP 
 RR
โดยทีความเร็วของเฟสมีค่าลดลงน้อยกว่าในอากาศ
1
c
 00
0
26 0 คือ intensic impedance of free space มีค่า 377 
Amplitude distortionless condition
ในกรณี รูปคลืนด้านส่งเหมือนรู ปคลืนด้านรับแสดงว่าสัญญาณไม่มีความผิดเพียนด้านขนาดโดยต้องมี
เงือนไขว่า ค่า  จะต้องคงทีตลอดทุกย่านความถี แต่ค่า  จะแปรผันตามความถี ซึ งต้องพิจารณาจากค่า
Z0
R  j L Z
Z0  
G  jC Y
ถ้า Z0 เป็ นค่าคงทีบวก (positive constant) จะได้

arg( Z )  arg(Y )
arg( R  j L)  arg(G  jC )
โดยที arg() เป็ นค่าเฟสหรื อมุม
27
 L  1  C     ( R  j L )(G  j C )
tan 1    tan   ZY
 R   G 
ถอด tan-1() ออกทังสองข้าง R  G 

 L   j  C   j 
L  C 
L C

R G
R  G 
L C  LC   j    j 
 L  C 
R G
R G

ถ้า R  G จะได้
L C L C
  R  R 
เป็ น distortionless condition LC   j    j 
L  L 
R 
 LC   j 
28 L 
G 
หรื อ หรื อ   LC   j 
C 
 G  G 
 LC   j    j  G
C  C   LC  j LC
C
G 
 LC   j 
C  G
 LC
จากสมการข้างบน เปรี ยบเทียบกับค่า     j  C
  R 
LC   j 
   LC
L 
R
 LC  j LC
L
R
 LC
L
29    LC
R
จาก   LC ถ้า R G

L L C
G
 LC
C R L
Z0  
เอามาคูณกัน G C
R  G 
    LC   LC 
L  C  ซึงเป็ นค่า impedance
 RG กรณี เดียวกับสายส่ งในย่านความถีสู ง
  RG
   LC
R 
L   j 
R  j L L 
Z0  
G  jC G 
C   j 
30 C 
กรณี lossless conduction คือ R = G = 0 จะได้ แทนค่า R = G = 0 จะได
 0
   LC  0
   LC
L
Z0 
C L
Z0 
C
โดยพิจารณาจาก Distortionless condition
R
 LC
L
G
 LC
C
  RG
31
Incident wave และ Reflected wave
ค่าศักดาไฟฟ้าและค่ากระแสไฟฟ้าในสายส่ งคือ
v x  Ae   x  Be  x
โดยที v1  vin  Ae   x คือ incident wave voltage หรื อ traveling wave voltage
v2  vre  Be x คือ reflected wave voltage
v x  v1  v 2  v in  v re
1
ix  ( Ae   x  Be  x )
Z0
1
โดยที i1  iin  Ae   x คือ incident wave current หรื อ traveling wave current
Z0
1
i2  ire 
Z0
Be  x คือ reflected wave current
32 i x  i1  i2  iin  ire
Incident wave และ Reflected wave
พิจารณา v1  vin  Ae   x
เมือ x มีค่าเพิมขึนแต่ค่า v1 มีค่าลดลง

โดยรู ปคลืนนีจะเคลือนทีไปยังโหลดเรี ยก
รู ปคลืนนีว่า Incident wave
พิจารณา v2  vre  Be x
เมือ x มีค่าเพิมขึนและค่า v2 มีค่าเพิมขึน

โดยรู ปคลืนนีจะเคลือนทีไปยังโหลดแล้ว
กลับไปยังแหล่งกําเนิดเรี ยกรู ปคลืนนีว่า
Reflected wave
33
Incident wave
ถ้าสายส่ งมีความยาวอันนต์
v x  v1  v 2  v in  v re
i x  i1  i2  iin  ire
v in
จะได้ Z0  คือ characteristic impedance
iin
 A  e  x e  j x 
 (  j  ) x
vin  Ae   x  Ae
v in  A e   x
ทํานองเดียวกัน
Ae   x
iin  i1 
Z0
34
Incident wave
35
Incident wave
ส่ วนค่า Ae  j  x จะได้
E0  , x 0
A
E1  , x  x  Ae j  x1
1
E2  , x  x2
 Ae j  x2
36
Reflected wave
vx  Ae  x  Be x
v2  vre  Be x  Be(  j  ) x
 Be x e j x
vre  Be x
ทํานองเดียวกัน
ire  Be x
เมือ x และ vre มีค่ามาก แต่การสะท้อนกลับ x จะลดลง
37
Reflected wave
is ix iR
Zs vs vx vR ZR
E
Sending x (l-x) = d Receiving

(s) (R)
x= 0, d = l l x= l, d = 0
พิจารณาสมการของสายทีมีค่าความยาวแน่ นอน สามารถเขียนอยูใ่ นรู ป Hyperbolic function

(finite length)
vx  Ae  x  Be x vx  A cosh( x)  B sinh( x)
1 1 1
ix  ( Ae  x  Be x ) ix   B cosh( x)  A sinh( x)
Z0 Z0 Z0
โดยที A  B  A และ B  B  A
38
Reflected wave is ix iR
Zs vs vx vR ZR
E

(s) (R)
x= 0, d = l l x= l, d = 0 is ix
กรณีที 1 กําหนดค่าศักดาไฟฟ้ าและกระแสไฟฟ้ าด้ านส่ง Zs vs

ณ ตําแหน่ง x ใด ๆ ให้ เท่ากับ vS และ iS
vx
E
สามารถหาค่า vx และ ix โดยแทนค่าในสมการทัง 4 ข้ างบน

Sending
(s)
 cosh( x)  Z 0 sinh( x) 
 vx     vS  ix iR
 1
 i    sinh( x) i 
 x  Z cosh(  x ) 
 0   S 
vx vR
(l-x) = d Receiving
39 (R)
Zs vs vx vR ZR
E

(s) (R)
x= 0, d = l l x= l, d = 0
กรณีที 2 กําหนดค่าศักดาไฟฟ้ าและกระแสไฟฟ้ า

ด้ านรับ ณ ตําแหน่ง x ใด ๆ เท่ากับ vR และ iR
 cosh( d ) Z 0 sinh( d ) 
 vx     vR 

 i   1 sinh( d ) cosh( d )   i 
 x  Z   R 
 0
40
Zs vs vx vR ZR
E

(s) (R)
x= 0, d = l l x= l, d = 0
กรณีที 3 กําหนดค่าศักดาไฟฟ้ าด้านรับและด้านส่ง ณ

ตําแหน่ง x ใด ๆ เท่ากับ vS และ vR
 sinh( (l  x )) sinh( x) 
 x
v 1    vS 
 i   sinh( l )  1 cosh( (l  x ))  1 cosh( x )  v 
 x  Z 0 Z0   R 
41
Zs vs vx vR ZR
E

(s) (R)
x= 0, d = l l x= l, d = 0
กรณีที 4 กําหนดค่ากระแสไฟฟ้ าด้านรับและด้านส่ง ณ

ตําแหน่ง x ใด ๆ iS และ iR
 vx  1  Z 0 cosh( (l  x))  Z 0 sinh( x )  iS 

 i   sinh( l )  sinh( (l  x )) sinh( x)  iR 
 x 
42
Reflected wave
e x  e x e jx  e jx
sinh x  sin x 
2 2j
e x  e x
cosh x  e jx  e  jx
2 cos x 
2
e x  e x e jx  e  jx
tanh x  x  x tan x 
e e j  e jx  e  jx 
43
Voltage และ Current Patten
กรณี open circuit line ZR  
is ix iR
Zs vs vx vR ZR
E

(s) (R)
x= 0, d = l l x= l, d = 0
 cosh( (l  x )) Z 0 sinh( (l  x)) 

 vx     vR 

 i   1 sinh( (l  x )) cosh( (l  x ))   i 
 x  Z   R 
 0
 cosh( d ) Z 0 sinh( d ) 
 vx     vR 
 1
 i   sinh( d ) cosh( d )   i 
 x  Z   R 
44
 0
กรณี open circuit line ZR  
is ix iR
1
ix  vR sinh( d )  iR cosh( d )
Zs vs vx vR ZR
Z0
E
1  ZR 
   vR sinh( d )  iR cosh( d )
Sending Receiving
Z0  Z R 
x (l-x) = d
(s) (R)
x= 0, d = l l x= l, d = 0
Z 
 iR  R sinh( d )  cosh( d ) 
vx  vR cosh( d )  Z 0iR sinh( d )  Z0 
vR  Z 
 vR cosh( d )  Z 0 sinh( d )  iR  cosh( d )  R sinh( d ) 
ZR  Z0 
 Z 
 vR  cosh( d )  0 sinh( d ) 
 ZR 
45
sinh( j  d )
กรณี lossless line  =0 โดยที tanh( j  d ) 
cosh( j  d )
is ix iR
cosh( j  d )  cos(  d )
Zs vs vx vR ZR
E
sinh( j  d )  j sin(  d )
(s) (R)
x= 0, d = l l x= l, d = 0  Z 
vx  vR  cos(  d )  0 j sin(  d ) 
 ZR 
 Z0 
vx  vR  cosh( d )  sinh( d )  โดยที ZR  
 Z R 
vx  vR  cos(  d )  (0) j sin( d ) 
    j  j แทนค่าลงในสมการ
 vR cos(  d )
 Z 
 vR  cosh( j  d )  0 sinh( j  d ) 
 ZR 
46
 ZR 
กรณี lossless line  =0 ix  iR  cos(  d )  j sin(  d ) 
 Z 0 
is ix iR
ZR
 iR cos(  d )   iR  j sin(  d )
Zs vs vx vR ZR
Z0
E
vR v  ZR
 cos(  d )   R  j sin(  d )
Sending x (l-x) = d Receiving ZR  ZR  Z0
(s) (R)
x= 0, d = l l x= l, d = 0
โดยที ZR  
 Z 
ix  iR  cosh( d )  R sinh( d ) 
 Z0  ix v 
 0   R  j sin(  d )
 Z0 
v 
ix  j  R  sin(  d )
 Z   Z0 
 iR  cosh( j  d )  R sinh( j  d ) 
 Z0 
47
กรณี lossless line  =0
vx  vR cos(  d )
 
ix  j  vR  sin(  d )
 Z0 
48
 Z0 
กรณี Short circuit line ZR  0 vx  vR  cos(  d )  j sin(  d ) 
 Z R 
is ix iR
Z 
 vR cos(  d )  vR  0  j sin(  d )
 ZR 
Zs vs vx vR ZR
E
Z 
 vR cos(  d )  iR Z R  0  j sin(  d )
Sending
(s)
x (l-x) = d Receiving
(R)
 ZR 
x= 0, d = l l x= l, d = 0
 iR Z R cos(  d )  j (iR Z 0 )sin(  d )
 Z0  โดยที ZR  0
vx  vR  cosh( d )  sinh( d ) 
 Z R 
vx  0  j (iR Z 0 ) sin(  d )
 j (iR Z 0 ) sin(  d )
 Z 
vx  vR  cosh( j  d )  0 sinh( j  d ) 
 ZR 
49
กรณี Short circuit line ZR  0
is ix iR
 Z 
ix  iR  cos(  d )  R j sin(  d ) 
Zs vs vx vR ZR  Z0 
E
ZR
 iR cos(  d )   iR  j sin(  d )
Sending
(s)
(R)
Z0
x= 0, d = l l x= l, d = 0
แทนค่า ZR  0
 Z 
ix  iR  cosh( d )  R sinh( d ) 
 Z0  ix  iR cos(  d )  0
    j  j แทนค่าลงในสมการ  iR cos(  d )
 Z 
ix  iR  cosh( j  d )  R sinh( j  d ) 
 Z0 
50
กรณี Short circuit line ZR  0
ix = iR
vx = jvRz0 sinβd
ix = iR cosβd vx = 0
vx  j (iR Z 0 ) sin(  d )
d=0
ix  iR cos(  d )
Sending Receiving
(s) (R)
51
Terminated by any load impedance
กรณี ที Z R  Z0 จะได้ Z R  Z0 หรือ Z R  Z0
is ix iR ทํานองเดียวกัน
 Z 
Zs ix  iR  cos(  d )  R j sin(  d ) 
vs vx vR ZR
 Z0 
E
ZR
 iR cos(  d )   iR  j sin(  d )
Sending
(s)
(R)
Z0
x= 0, d = l l x= l, d = 0  vR 
 iR cos(  d )  j   sin(  d )
 Z0 
 Z 
vx  vR  cos(  d )  0 j sin(  d )   i1x  i2 x
 ZR 
Z 
 vR cos(  d )  vR  0  j sin(  d )
 ZR 
 v1x  v2 x
52
กรณี ที Z R  Z0 จะได้ Z R  Z0 หรือ Z R  Z0
is ix iR
v 
v2 x max  jZ 0  R  sin(  d )
Zs vs vx vR ZR
 ZR   d 90
E
v 
 jZ 0  R 
Sending
(s)
(R)
 ZR 
x= 0, d = l l x= l, d = 0
v 
 Z0  R 
v1x  vR cos(  d )  ZR 
 
v2 x  jZ 0  vR  sin(  d ) ค่าของ v2 x จะแปรผันตรงกับ Z 0 vR
 ZR 
 vR cos(  d )  d 0 1
v1x max แปรผกผันกับ
ZR
53  vR
Z0 Z0
กรณี ที Z R  Z0 จะได้ 1 หรือ vR  vR
ZR ZR
is ix iR
แต่ถา้ โหลด Z R  Z0
Zs vs vx vR ZR  Z 
E vx  vR  cos(  d )  0 j sin(  d ) 
 ZR 
 vR  cos(  d )  j sin( d ) 
(s) (R)
x= 0, d = l l x= l, d = 0
 vR e j  d
ดังนัน v1x  v2 x
 Z 
ix  iR  cos(  d )  R j sin(  d ) 
ทีผ่านมาเป็ นวงจร lossless transmission line ทีถูก  Z0 
ต่อด้วยเงือนไข Z R  Z 0 และพิจารณาในกรณี  iR  cos(  d )  j sin(  d ) 
Z R  Z0 ด้วย
 iR e j  d
54
Z0 Z0
กรณี ที Z R  Z0 จะได้ 1 หรือ vR  vR
ZR ZR
vR
vx= v1x+ v2x
v1x
v2x
55
Reflection coefficient
คลืนในสายส่ งประกอบด้วย Incident wave และ reflected wave ซึงการสะท้ อนของคลืนจะเกิดขึนใน
กรณีที Z R  Z0
นิยาม
Reflection coefficient  Reflected wave voltage
Incident wave voltage
vre
v ( x) 
vin
Be x B
   x  e x  x
Ae A
B 2 x
 e
A
56
ณ จุด x ใด ๆ บนสายส่ ง ถ้าหากว่า impedance ทีมองจากจุด x ไปยังโหลดเป็ น Z x  Z ( x)  Z 0
is ix iR
Zs
ZR vs vx vR ZR
E
vx
Zx  x
ix Sending x (l-x) = d Receiving
(s) (R)
x= 0, d = l l x= l, d = 0
vx  vR cosh( d )  Z 0iR sinh( d ) vx  v ( x )

v ( x ) v( x ) v ( x ) Z 0 v( x ) Z 0
 vx cosh( (l  x ))  Z 0iR sinh( (l  x))    
2 2 2 Z ( x) 2 Z ( x)
 Ae x  Be x v ( x)  Z 0  v( x)  Z0 
  1     1  
2  Z ( x)  2  Z ( x) 
57
is ix iR
เพราะฉะนันจะได้
v Be x
Zs vs vx vR ZR v ( x)  re   x
vin Ae
E
v( x )  Z0 
Sending Receiving
1 
2  Z ( x) 
x (l-x) = d
(s) (R)
x= 0, d = l l x= l, d = 0 
v( x)  Z0 
1 
vx  v ( x ) 2  Z ( x) 
v ( x)  Z 0  v( x)  Z0   Z ( x)  Z 0 
  1     1  
2  Z ( x)  2  Z ( x)   Z ( x)  Z ( x)  Z 0
  
 Z ( x)  Z 0  Z ( x)  Z 0
 Z ( x) 
v ( x)  Z0   
โดยที Ae  x   1  
2  Z ( x) 
Z x  Z0

v ( x)  Z0  Z x  Z0
Be x   1  
58 2  Z ( x) 
ถ้า x = l (ทีปลายสายส่ง) โดยที Z ( x)  Z (l )  Z R
is ix iR ZR
1
Z0
v ( x) 
x l ZR
Zs vs vx vR ZR 1
Z0
E
Zr 1

Sending x (l-x) = d Receiving Zr  1
(s) (R)
x= 0, d = l l x= l, d = 0
ZR
เมือ Zr 
Z0 = normalized value
Z R  Z0
จะได้ v ( x) 
x l Z R  Z0
Z 0 หารตลอดทังเศษและส่ วน
ZR Z0

Z0 Z0
v ( x) 
x l ZR Z0

59 Z0 Z0
Be x
is ix iR
i ( x )    x
Ae
Zs vs vx vR ZR
vre Be x
E โดยที v ( x )    x
vin Ae
(s)
l
(R)
 i ( x )   v ( x )
x= 0, d = l x= l, d = 0
ทํานองเดียวกันกับ current reflection coefficient  Z  Z0 

  x 
ire Z
 x  Z 0 
i ( x ) 
iin
Z0  Z x
Z 0 หารตลอดทังเศษและส่ วน 
Z0  Z x
Be x
Z0
i ( x )  
Ae  x
60 Z0
is ix iR
ข้อสังเกต
Zs
v ( x) x l
  i ( x ) x l
vs vx vR ZR
E
Z R  Z0

Sending Receiving
Z R  Z0
x (l-x) = d
(s) (R)
x= 0, d = l l x= l, d = 0 ซึงจะพิจารณาเครื องหมาย

ถ้า x = l (ทีปลายสายส่ง) โดยที Z ( x)  Z (l )  Z R Z R  Z0 

Z0  Z x
i ( x ) 
Z0  Z x 0
Z R  Z0 0
2Z 0
i ( x )  iR
x l
ซึงจะ matching กันและจะไม่มีการสะท้อนกลับ
Z0  Z R

Z0  Z R
61
is ix iR
Zs
v ( x) x l
  i ( x ) x l
vs vx vR ZR
E
Z R  Z0

Sending Receiving
Z R  Z0
x (l-x) = d
(s) (R)

ถ้า x = l (ทีปลายสายส่ง) โดยที Z ( x)  Z (l )  Z R Z R  Z0 

Z0  Z x
i ( x ) 
Z0  Z x   Z0 
ZR    1
  Z0 
i ( x )  iR
x l
Z  ZR ซึ งจะสะท้อนกลับหมด 100% โดย voltage

 0
Z0  Z R transmission เท่ากับ 2 เท่าของ traveling voltage
62
is ix iR
Zs
v ( x) x l
  i ( x ) x l
vs vx vR ZR
E
Z R  Z0

Sending Receiving
Z R  Z0
x (l-x) = d
(s) (R)
ถ้า x = l (ทีปลายสายส่ง) โดยที Z ( x)  Z (l )  Z R 0  Z0 Z0

ZR  0   1
Z  Zx 0  Z0 Z0
i ( x )  0
Z0  Z x
i ( x ) x l
 iR ซึ งจะสะท้อนกลับหมด 100% โดย
voltage transmission เท่ากับศูนย์
Z0  Z R

Z0  Z R
63
is ix iR
Zs
v ( x) x l
  i ( x ) x l
vs vx vR ZR
E
Z R  Z0

Sending Receiving
Z R  Z0
x (l-x) = d
(s) (R)
x= 0, d = l l x= l, d = 0

voltage transmission
Z0  Z x
i ( x )  TvR  1   vx
Z0  Z x
i ( x )  iR current transmission

x l
TiR  1  ix
Z  ZR
 0
Z0  Z R  1   vx
64
x2 = l - d2 d2
ZR
x (l-x) = d x1 = l – d1 d1
l l
จากรู ปที ณ จุด d1 ห่างจากโหลด ถ้ามีค่า reflection พิจารณา

coefficient  d แทนค่า d ในเทอมของ x
1 ถ้าค่า d1 เพิมขึน จะทําให้ค่า  d1 จะลดลง
 d1  B e2 d1 ถ้าค่า d1 ลดลง จะทําให้ค่า  d1 จะเพิมขึน

A
  vR e2 d1 
ถ้าค่า d1  ซึ งเป็ นค่าเวกเตอร์ ของ  d1

  vR e2 d1 e j 2  d1 หมุนครบ 1 รอบ
ถ้าเป็ นกรณี ทีเป็ น lossless transmission line
65 จะทําให้  d ไม่เปลียนแปลง
1
x2 = l - d2 d2
ZR
x1 = l – d1 d1
x (l-x) = d
l
l
ณ จุด d2 ห่ างจากโหลด
ถ้ามีค่า reflection coefficient  d2 v ( x)  Z R  Z0 ทําให้สามารถหาค่าของ
Z R  Z0
Z d1  Z 0 และ
 d1   d1  d2 ได้
Z d1  Z 0
Z d2  Z 0
 d2 
Z d2  Z 0
66
x2 = l - d2 d2
ZR
x1 = l – d1 d1
x (l-x) = d
l
l
B 2 d1  d1
 d1   vR e2 d1  e  vR 
A e 2 x1
B 2 l  2 l  2 d1 B 2 l  2 (l d1 )
 e  e   d1 e 2 x1
A A
B 2 l 2 (l  d1 )
 e e
A
  vR e 2 x1
67
Standing wave ratio (SWR)
Incident wave Reflected wave
Source load
x (l-x) = d
ผลรวมของ incident wave หรื อ traveling wave และ reflected wave โดยไม่พิจารณาค่าของเวลา
เรี ยกว่า standing wave (คลืนนิง) เป็ นไปตามสมการ
vx  v( x)  vin  vre
68
ซึ งเท่ากับ v ( x) ทีจุด x จัดเทอมใหม่จะได้
Source load
 v ( x )  B e 2 l  2 l  2 x
x (l-x) = d A
l B 2 l 2 (l  x )
 e e
A
จากรู ป หาค่า voltage reflection coefficient ทีจุด
x เท่ากับ v ( x )   vR e2 (l  x )
โดยที v คือค่า reflection coefficient ทีด้านรับ

R
vre Be x
v ( x)  
vin Ae  x
B 2 x
 e
A
69
แทนค่า x = l – d จะได้
 B 
vx  Ae (l  d ) 1  e2 x 
 A 
Source load
 Ae ( l  d ) 1   v ( x ) 
 
x (l-x) = d
 Ae  ( l  d ) 1   vR e 2 d
l
 Ae l e d 1   vR e 2 d 
vx  v( x)  vin  vre
 x x

 vR e d 1   vR e 2 d 
vx  Ae  Be
โดยที vR  Ae l
 B 
 Ae x 1  e 2 x 
 A 
70
Incident wave Reflected wave 
v x  vR e  d 1   v R e 2  d 

 vR e(  j  ) d 1   vR e2(  j  ) d 
Source load

 vR e j  d 1   vR e 2 j  d 
x (l-x) = d
 
 vR e j  d 1   vR e j e 2 j  d 
 
l
 vR e j  d 1   vR e j  2 j  d
ในกรณี ทีเป็ น lossless line
 vR e j  d 1   vR e j (  2  d )
 vR  vR e j vx
vR e j  d
 
1   vR e j (  2  d )

โดยที  คือ position angle ของ v ( x ) ทีโหลด
71
vx
 1   vR e j ( 2  d )
vR
Source load vx
vR
เมือ e j (  2  d )  1
max
x (l-x) = d
โดยที   2 d  0
l

vx
เมือ e j (  2  d )  1
vx
vR e j d 
 1   vR e j (  2  d )  vR min
หาขนาดของสมการที ส่วนของเฟสจะหมดไป ดังนันจะได้

vx   2 d  n
j (  2  d )
 1   e
vR e j  d
vR
โดยที n = 1, 2, 3, 4, …
72
ถ้า n เป็ นเลขจํานวนคู่ (even number) คือ n = 2, 4,
6, …จะได้ค่าศักดาไฟฟ้ าทีจุด x มีค่าสู งสุ ด เรี ยกว่า
Source load loop voltage
vx
x (l-x) = d  1  vR
vR max
l

ถ้า n เป็ นเลขจํานวนคี (odd number) คือ n = 1, 3,
  2 d  n
5, …จะได้ค่าศักดาไฟฟ้ าทีจุด x มีค่าตําสุ ด
โดยที n = 1, 2, 3, 4, … เรี ยกว่า node voltage
vx
 1   vR
vR min
73
Standing wave ratio (SWR) vx
v( x) max vR 1   vR
Incident wave
  max

Reflected wave v( x) min vx 1   vR
vR min
Source load
จัดรู ปใหม่จะได้
1   vR
x (l-x) = d 
1   vR
l
ในกรณี ทีเป็ น lossless line 

 1  v R
  1  vR
  1  v   v
ถ้าสายส่งไม่มีการลดทอนแล้วค่าศักดาสูงสุดและ R R
ตําสุ ดจะมีค่าคงที ซึ งอัตราส่ วนระหว่างค่าศักดา   1  (1   )  v R
สูงสุ ดและตําสุ ดเรี ยกว่า Voltage standing wave  1

 vR 
ratio (VSWR)  1
74
ตัวอย่ าง ถ้าสายส่ งชนิ ด lossless line หนึงมีค่า characteristic impedance เท่ากับ Z0 ถูกต่อด้วยโหลด
Z R  (0.8  j 0.6) Z 0 จงคํานวณหาค่า  vR และค่า 
วิธีทํา
จาก Z R  Z0 (0.8  j 0.6) Z 0  Z 0 0.8Z 0  j 0.6 Z 0  Z 0
 vR   
Z R  Z0 (0.8  j 0.6) Z 0  Z 0 0.8Z 0  j 0.6 Z 0  Z 0
(0.2  j 0.6) Z 0 (0.2  j 0.6) j
  
(1.8  j 0.6) Z 0 (1.8  j 0.6) 3
 vR = 0.33
1   vR
จาก 
1   vR
1  0.33
  2.01
1  0.33
75
Position Angle
จากรู ปที เมือเอาโหลด (Z R) มาต่อกับสายส่ งทีมีค่า characteristic impedance (Z 0 )

จะพบว่าค่า position angle ทีโหลดจะมีค่า
 ZR 
 R  tanh 1  
Z
 0
 ZR 
โดยที tanh R   
 Z0 
76
Position Angle
ถ้าทําการ open ทีโหลด ZR  

 R  tanh 1  
Z
 0
 tanh 1   
 1
ถ้าทําการ short ทีโหลด ZR  0

ถ้า Z R  Z0 โดยการต่อโหลดทีมีค่าเท่ากับ Z0
 0 
 R  tanh 1  
Z
 0  ZR 
 R  tanh 1  
Z
 0
 tanh 1  0 
 tanh 1 1
 0
 
77
Position Angle
เอา cosh( d ) หารตลอด
vx
ZR Zx 
ix
vx  cosh( d ) Z 0 sinh( d ) 
Zx  x
ix vR   
 cosh(  d ) Z R cosh( d ) 

 cosh( d ) Z R sinh( d ) 
 Z  iR   
vx  vR  cosh( d )  0 sinh( d )   cosh( d ) Z 0 cosh( d ) 
 ZR 
 Z   Z 
ix  iR  cosh( d )  R sinh( d )  vR 1  0 tanh( d ) 
 Z0  ZR
  
 Z   Z 
vR  cosh( d )  0 sinh( d )  iR 1  R tanh( d ) 
v ZR
Zx  x     Z0 
ix  Z 
iR  cosh( d )  R sinh( d ) 
 Z0 
78
Position Angle
  Z0 
 iR Z R  iR Z 0 tanh( d ) 
ZR
 iR Z 0  iR Z R tanh( d ) 
vx
Zx  x   Z0 
 Z R  Z 0 tanh( d ) 
ix
 Z 0  Z R tanh( d ) 
vx  Z R Z0 
Zx   tanh( d )
ix  
Z Z
  Z0   0 0 
 vR   Z0 Z R 
v
 R  Z tanh( d )    tanh( d ) 
0
Z Z
 0 Z 
 
R 0
 iR Z R 
Ri  tanh( d )   ZR 
 Z0    tanh( d ) 
Z
    Z0   0 
iR Z R  ZR 
i
R RZ  Z tanh(  d )  1  tanh( d )

0
ZR   
  Z 0 
 iR Z R 
79 Ri  tanh(  d ) 
 Z 0 
Position Angle
ทําให้ได้วา่ position angle ทีตําแหน่ง d ทีอยูห่ ่ าง
จากโหลดมีค่า
ZR
 Zx 
vx
 d  tanh 1  
Zx  x
Z
 0
ix
 ZR    โดยที  d   d  R
โดยที  R  tanh 1   จะได้ tanh R   Z R 
Z
 0  Z0 
Z x   Z0 
 tanh( R )  tanh( d ) 
1  tanh( R ) tanh( d ) 
 Z 0 tanh( d   R )
 tanh( x)  tanh( ) 
โดยที tanh( x  ) 
1  tanh( x) tanh( ) 
80
Composite line
สายทีมีค่า characteristic impedance ต่าง ๆ กัน มาต่อกันเรี ยกว่า composite line เช่น สายยาว d1
มี characteristic impedance เท่ากับ Z 01 ,  1 ต่อกับ สายยาว d2 มี characteristic impedance เท่ากับ

Z 02 ,  2 ปลายของสายยาว d2 ต่อกับโหลด ZR โดยจะหาค่าของ input impedance Zin
ของ composite line ได้
d1 d2
Z 01 ,  1 Z 02 ,  2 ZR
A B C
B R
A
Zin = ZA ZC
ZB
81
Composite line
d1 d2
Z 01 ,  1 Z 02 ,  2 ZR
A B C
B R
A
Zin = ZA ZC
ZB
พิจารณาค่า position angle ทีจุด C จากด้านโหลดเข้าหาแหล่งจ่าย

 ZR 
 C  tanh 1  
Z
 02 
เมือพิจารณา input impedance ทีจุด B โดยมองไปทางด้านโหลด
Z B  Z 02 tanh( 2 d 2  C )
82
Composite line
d1 d2
Z 01 ,  1 Z 02 ,  2 ZR
A B C
B R
A
Zin = ZA ZC
ZB
พิจารณาค่า position angle ทีจุด B

 ZR 
 B  tanh 1  
Z
 01 
เมือพิจารณา input impedance ทีจุด A
Z A  Z 01 tanh( 1d1  B )
83
More Characteristics of lossless lines
vx  vR cosh( d )  Z 0iR sinh( d )
vR
ix  iR cosh( d )  sinh( d )
Z0
 ZR 
  tanh( d ) 
v cosh( d )  Z 0iR sinh( d ) Z
  Z0   0 
vx
Zx   R
ix v  ZR 
iR cosh( d )  R sinh( d ) 1  tanh( d ) 
Z0  Z 0 
 ZR 
  tanh( d ) 
 Z0   Z0 
  Z0   
 Z 0  1  Z R tanh( d ) 
 
 Z0 
  Z0 
 Z R  Z 0 tanh( d ) 
 Z 0  Z R tanh( d ) 
84
กรณี lossless line
ถ้าทําการ short ทีโหลด ZR  0
Zx 
vx
  Z0 
 0  Z 0 tanh( d ) 
 Z 0 tanh( d )
ix  Z 0  0 tanh( d ) 
 Z 0 tanh((0  j  )d )  Z 0 tanh( j  d )
 jZ 0 tan(  d )
แสดงว่าค่า Zx เป็ น Inductance หรื อ capacitive เนืองจากเป็ นจํานวนจิตรภาพ
85

พิจารณาถ้า d  (2n  1)
4

Z x  jZ 0 tan(  (2n  1) )
4
  j
2
ค่า Impedance มีค่ามาก โดยที  เรี ยกว่า Antiresonance


ถ้า d  (2n)
4

Z x  jZ 0 tan(  (2n) )
4
0
ค่า Impedance มีค่าตํา เรี ยกว่า resonance
86
พิจารณาค่า Impedance ตามความยาวของสายส่ งถือเสมือนว่าทํางานเช่นเดียวกับวงจร series resonance
และ parallel resonance
87
กรณี open circuit ZR  
vx
  Z0 
   Z 0 tanh( d ) 
Zx 
ix  Z 0   tanh( d ) 
  Z0 
   Z0 
1
  tanh( d )  tanh( d )
 Z 0 coth( d )  Z 0 coth((0  j  )d )
 Z 0 coth( j  d )
  jZ 0 cot(  d )
88

พิจารณาถ้า d  (2n  1)
4

Z x   jZ 0 cot(  (2n  1) )
4
0
ค่า Impedance มีค่าตํา เรี ยกว่า resonance

ถ้า d  (2n)
4

Z x   jZ 0 cot(  (2n) )
4
  j
ค่า Impedance มีค่ามาก เรี ยกว่า Antiresonance
89
L1
C1 L1
C1

d  2n 
4 d  (2n  1)
4
load
load
90
ถ้าทําการ open ทีโหลด ZR  
iR  0
vx  vR cosh( d )  Z 0iR sinh( d )  vR cosh( d )  Z 0 (0) sinh( d )

 vR cosh( d )  vR cosh((  j  )d )
 vR cosh((0  j  )d )  vR cosh( j  d )
 vR cos(  d )
vx
vR 
cos(  d )
ถ้า cos(  d )  1 จะได้ vR  vx เรี ยกว่า Ferranti phenomenon

91
ถ้ าโหลด Z R  Z 0
Zx 
vx  Z  Z 0 tanh( d ) 
  Z0  R
ix  Z 0  Z R tanh( d ) 
  Z0 
 Z 0  Z 0 tanh( d ) 
 Z0
 Z 0  Z 0 tanh( d ) 
ถ้ าโหลด ZR  Z
Zx 
vx
  Z0 
 Z R  Z 0 tanh( d ) 
ix  Z 0  Z R tanh( d ) 
92

ถ้า d  ( n) โดยที n เป็ นจํานวนคี และ     j   j
4
  
Z
 R  Z tanh( j  n )
0
 jZ 0  Z 02
  Z0   
4
Zx   Z0  

Z  Z tanh( j  n
 
)
 jZ R  ZR
 0 R
 4 

ถ้า d  ( n) โดยที n เป็ นจํานวนเต็ม
2
  
Z
 R  Z 0 tanh( j  n )
  Z0  
2  ZR
Zx
    Z0   ZR
 Z0
Z
 0  Z R tanh( j  n )
 2 
93

07 - Distributed Constant Circuit

Uploaded by

Document Information

Original Title

Copyright

Available Formats

Share this document

Share or Embed Document

Sharing Options

Did you find this document useful?

Is this content inappropriate?

Copyright:

Available Formats

07 - Distributed Constant Circuit

Uploaded by

Copyright:

Available Formats

01016331 โครงข่ายสือสารสายส่ง

(Communication Network and Transmission Lines)

Lecture 03: Distributed Constant Circuits

ซึงค่าต่าง ๆ เหล่านีแผงอยูต่ ามความยาวของสาย เมือเกิดกระแสไหลในสาย จึงมีผลต่อค่าเหล่านี

โดยที R = resistance/length (/km)

ความยาว 1 km มีคา resistance เทากับ R 

ความยาว 1 km มีคา inductance เทากับ L Henry

ความยาว 1 km มีคา capacitance เทากับ C Farad

ความยาว 1 km มีคา conductance เทากับ G Siemens

vx  (vx  dvx )  dvx

ทํานองเดียวกัน และจากสมการ ซึ งเป็ นสมการอนุพนั ธ์อนั ดับสอง

 คือ ค่าคงตัวทางเฟส (phase constant)

 2  2 j  j 2  2  ( RG   2 LC)  j ( RC  GL)

จาก     j  หาขนาดจะได้  R 2G 2   4 L2C 2   2 R 2C 2   2G 2 L2

จะสามารถหาค่า  ได้ และแทนลงในสมการ

สําหรับกรณี lossless transmission line จะได้

คลืนจะเคลือนทีจากจุด P ไปยังจุด Q ได้ระยะทาง dx และใช้เวลา dt จะได้

ทีจุด P มีค่า phase delay ดังนี  P

ทีจุด Q มีค่า phase delay ดังนี  Q

ถ้าในกรณีที phase velocity มีค่าเท่ากับความเร็ วแสงจะได้

ถ้า Z0 เป็ นค่าคงทีบวก (positive constant) จะได้

โดยที arg() เป็ นค่าเฟสหรื อมุม

ถอด tan-1() ออกทังสองข้าง R  G 

เมือ x มีค่าเพิมขึนแต่ค่า v1 มีค่าลดลง

พิจารณา v2  vre  Be x

เมือ x มีค่าเพิมขึนและค่า v2 มีค่าเพิมขึน

เมือ x และ vre มีค่ามาก แต่การสะท้อนกลับ x จะลดลง

Sending x (l-x) = d Receiving

พิจารณาสมการของสายทีมีค่าความยาวแน่ นอน สามารถเขียนอยูใ่ นรู ป Hyperbolic function

Sending x (l-x) = d Receiving

กรณีที 1 กําหนดค่าศักดาไฟฟ้ าและกระแสไฟฟ้ าด้ านส่ง Zs vs

สามารถหาค่า vx และ ix โดยแทนค่าในสมการทัง 4 ข้ างบน

Sending x (l-x) = d Receiving

กรณีที 2 กําหนดค่าศักดาไฟฟ้ าและกระแสไฟฟ้ า

Sending x (l-x) = d Receiving

กรณีที 3 กําหนดค่าศักดาไฟฟ้ าด้านรับและด้านส่ง ณ

Sending x (l-x) = d Receiving

กรณีที 4 กําหนดค่ากระแสไฟฟ้ าด้านรับและด้านส่ง ณ

 vx  1  Z 0 cosh( (l  x))  Z 0 sinh( x )  iS 

Sending x (l-x) = d Receiving

 cosh( (l  x )) Z 0 sinh( (l  x)) 

vx  vR cosh( d )  Z 0iR sinh( d ) vx  v ( x )

ทํานองเดียวกันกับ current reflection coefficient  Z  Z0 

Z  ZR ซึ งจะสะท้อนกลับหมด 100% โดย voltage

ถ้า x = l (ทีปลายสายส่ง) โดยที Z ( x)  Z (l )  Z R 0  Z0 Z0

ถ้า x = l (ทีปลายสายส่ง) โดยที Z ( x)  Z (l )  Z R

i ( x )  iR current transmission

จากรู ปที ณ จุด d1 ห่างจากโหลด ถ้ามีค่า reflection พิจารณา

 d1  B e2 d1 ถ้าค่า d1 ลดลง จะทําให้ค่า  d1 จะเพิมขึน

โดยที v คือค่า reflection coefficient ทีด้านรับ

ในกรณี ทีเป็ น lossless line

หาขนาดของสมการที ส่วนของเฟสจะหมดไป ดังนันจะได้

ในกรณี ทีเป็ น lossless line

ในกรณี ทีเป็ น lossless line 

ตําสุ ดจะมีค่าคงที ซึ งอัตราส่ วนระหว่างค่าศักดา   1  (1   )  v R

สูงสุ ดและตําสุ ดเรี ยกว่า Voltage standing wave  1

จากรู ปที เมือเอาโหลด (Z R) มาต่อกับสายส่ งทีมีค่า characteristic impedance (Z 0 )

ถ้าทําการ short ทีโหลด ZR  0

มี characteristic impedance เท่ากับ Z 01 ,  1 ต่อกับ สายยาว d2 มี characteristic impedance เท่ากับ

ของ composite line ได้

พิจารณาค่า position angle ทีจุด C จากด้านโหลดเข้าหาแหล่งจ่าย

เมือพิจารณา input impedance ทีจุด B โดยมองไปทางด้านโหลด

พิจารณาค่า position angle ทีจุด B