Professional Documents
Culture Documents
โครงการขยายผลการวิจัยและองค์ความรู ้ฟิ สก ์ ค
ู่ รูและเยาวชน
ิ ส์ไทย - สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
สมาคมพิสก http://www.thaiphysoc.org/exam
ข้อที 1
ตอบ −20 cm
ข้อที 2
−1 sin θ
tan[sin ( )]
μ
ตอบ t [1 − ]
tan θ
จาก ′
Snell s law ณ ตําแหน่งทีแสงพุง่ ออกจากแผ่นแก ้ว
sin θ = μ sin β
และจากเรขาคณิต ;
D
tan θ =
t
d
tan β =
t
D − d = t(tan θ − tan β)
และจากสามเหลียม IOP ;
D − d
tan θ =
δ
ดังนัน
t(tan θ − tan β)
δ =
tan θ
tan β
= t − t
tan θ
−1 sin θ
tan[sin ( )]
μ
= t [1 − ]
tan θ
ข้อที 3
1
( )
1
ตอบ 4 ⋅ sin
−1
( sin θ) − 2θ
μ
่ ยดนํ า จากกฏของ
เมือแสงเดินทางทางจากอากาศสูห ′
Snell s law
1
−1
r = sin ( sin θ)
μ
ϕ = 4r − 2θ
1
−1
ϕ = 4 ⋅ sin ( sin θ) − 2θ
μ
ข้อที 4
ตอบ ≈ 2
จาก ′
Snell s law
sin θ = μ sin α
sin θ = μ sin α
จากรูป
θ = 2α
sin θ ≈ θ
แทนค่าลงใน ′
Snell s law
θ
θ ≈ μ
2
μ ≈ 2
ข้อที 5
5
ตอบ ภาพจริงหัวกลับ 15 cm ทางขวาเลนส์เว ้า ด ้วยกําลังขยาย เท่า
6
เมือแสงจากวัตถุทระยะ
ี 48 cm เคลือนทีผ่านเลนส์นูนความยาวโฟกัส 12 cm สามารถหาระยะภาพได ้จาก
1 1 1
= +
12 48 q1
q1 = 16
นัน คือถ ้าหากไม่มเี ลนส์เว ้า ภาพจริงจะเกิด ณ ตําแหน่ง 16 cm ทางขวาเลนส์นูน และหากนํ าเลนส์เว ้ามาวางที 10 cm ทาง
ขวาเลนส์นูน ภาพจริงจากเลนส์นูนจะทําหน ้าทีเสมือนเป็ นวัตถุ(วัตถุเสมือน)ของเลนส์เว ้า วางอยูท
่ ระยะ
ี −6 cm ดังนั นถ ้า
เลนส์เว ้ามีความยาวโฟกัส −10 cm แล ้ว สามารถหาระยะภาพได ้จาก
1 1 1
1 1 1
= +
−10 −6 q2
q2 = 15
เป็ นภาพจริง
กําลังขยาย m หาจาก ผลคูณระหว่างกําลังขยายจากเลนส์นูนและเลนส์เว ้า
q1 q2
m = (− ) (− )
p1 p2
16 15
= (− ) (− )
48 −6
5
= −
6
ข้อที 6
ตอบ
(1) วางเลนส์เว ้าห่างเลนส์นูนเป็ นระยะ f1 − f2
2
f2
(2) ลําแสงออกมีความเข ้มของแสงเป็ น ( ) เท่าของลําแสงเข ้า
f1
f1 f2
(3) แสงจะตัดกันทีระยะ , ทางซ ้ายของเลนส์นูน
f1 − f2
1 1 1
+ =
p1 q1 f1
q1 = f1
และสําหรับเลนส์เว ้า :
1 1 1
+ =
−(f1 − D) q2 −f2
f1 − D = f2
∴ D = f1 − f2
P P
I = =
2
A πR
2
I2 R2
= ( )
I1 R1
2
f2
= ( )
f1
1 1 1
+ =
P1 q1 f1
q1 = f1
1 1 1
+ =
−f1 q2 −f2
f1 f2
q2 = < 0
f2 − f1
ข้อที 7
ตอบ θ = 30
∘
∘
α = 30 + θ
จากรูป α = 30∘ + θ
่ ากาศ;
จาก Snell′ s law ณ ตําแหน่งทีแสงเคลือนทีจากวัตถุโปร่งใสสูอ
∘
n sin 30 = 1 ⋅ sin α;
∘
α = 60
∘ ∘
∴ θ = α − 30 = 30
ข้อที 8
ตอบ f = 2a − b
จากเงือนไขทีโจทย์ให ้ เราได ้
1 1 1 1 1 1
+ = → + = (1)
P1 q1 f a q1 f
1 1 1 1 1 1
+ = → + = (2)
P2 q2 f b q2 f
f = 2a − b
ข้อที 9
∘
ϕ = 90 + arcsin(n cos 2θ)
ตอบ ϕ = 90
∘
+ arcsin(n cos 2θ)
มุม θ นีจะต ้องมีคา่ เท่ากับ "มุมวิกฤต" พอดี จึงจะทําให ้แสงทีเข ้ามากระทบรอยต่อเกิดการสะท ้อนกลับหมด
จาก Snell′ s law ;
∘
n sin θc = (1) sin 90
1
θc = arcsin
n
∘ ∘
∴ ϕ = 90 + α = 90 + arcsin(n cos 2θ)
ข้อที 10
17
ตอบ 1 + เท่า
f
1 1 1
= +
p f 17
17 + f
=
17f
ระยะภาพ
โดยกําลังขยาย = −
ระยะวัตถุ
(−17) 17
− = 1 + เท่า
p f
ข้อที 11
ตอบ u
2
+ 8uv + 4v
2
= 0
1 1 1 1 1
เนืองจากใช ้เลนส์เดิม: = + = + โดย −δu = 4δv
f u v u + δu v + δv
ได ้
1 1 1 1
+ = +
u v u − 4δv v + δv
v + δv + u − 4δv
2
= ; (δv) ≈ 0
(u − 4δv)(v + δv)
u + v u + v − 3δv
≈
uv uv + (u + 4v)δv
(u + v − 3δv) u + 4v
−1
= (1 + δv)
uv uv
(u + v − 3δv) u + 4v
≈ (1 − δv)
uv uv
3 (u + v)(u + 4v)
− =
2
uv (uv )
2 2
u + 8uv + 4v = 0
ข้อที 12
α α
ตอบ sin ( + β)/ sin( )
2 2
จาก ′
Snell s law เมือลําแสงตกกระทบทีจุด O
sin i = μ sin r
π − α π
= β + ( − i)
2 2
α
i = + β
2
และ
π π − α
− r =
2 2
α
r =
2
sin i
∴ μ =
sin r
α α
= sin ( + β)/ sin( )
2 2
ข้อที 13
–
2√ 3
ตอบ L
3
วางแนวทางเดินของแสงดังรูป
L
แนวทางเดินของแสงจะผ่านระยะทางเท่ากับ 10 เท่าของ EF , ระยะทาง AF =
10
และจากตรีโกณมิต ิ
L
cos ϕ =
10EF
จากนันหามุม ϕ จาก ′
snell s law ทีลําแสงตกกระทบทีจุด E
3
−1
sin(sin ) = (1.5) sin ϕ
4
3 2
sin ϕ = ⋅
4 3
1
−1 ∘
ϕ = sin ( ) = 30
2
ดังนัน จาก
L
∘
cos ϕ = cos 30 =
10EF
–
√3 L
=
2 10EF
L 2
EF = ×
–
10 √3
–
2√ 3
∴ 10EF = L
3
–
2√ 3
∴ ระยะทางทังหมด = L
3
ข้อที 14
ตอบ 2 เท่า
(θ + ϕ + θ) − ϕ = 2θ
∴ แสงเบนจากแนวเดิม 2θ
แสงเบนไปจากแนวเดิม 2 เท่าของมุมทีบิดไป
ข้อที 15
ตอบ 10.1) α = θ2 + θ3
π
10.2) δ = + θ1 − θ4 − α
2
1
−1
10.3) X = n sin[α − sin ( sin θ1 )]
n
พิจารณา Δ ทีมีมม
ุ ภายใน π ;
π π
π = α + ( − θ2 ) + ( − θ3 )
2 2
∴ α = θ2 + θ3
(ตอบคําถามข ้อ 10.1 )
จากเรขาคณิต
π
δ = (θ1 − θ2 ) + [( − θ4 ) − θ3 ]
2
π
δ = + θ1 − θ4 − α
2
(ตอบคําถามข ้อ (10.2)
นันคือ
π
X = sin( − θ4 )
2
ึ
พิจารณาลําแสงทีพุง่ ออกจากปริซม
π
n sin θ3 = sin( − θ4 )
2
จากความสัมพันธ์ในข ้อ 10.1
θ3 = α − θ2
1
−1
θ2 = sin ( sin θ1 )
n
ดังนัน
1
−1
X = n sin[α − sin ( sin θ1 )]
n
ข้อที 16
ตอบ 1) 10 mm
2) 160 mm
40 mm q1
m = = − (1)
S P1
ระยะโฟกัส (f )
1 1 1
= + (2)
f P1 q1
และระยะ
2.5 mm
2.5 mm q2
m = = − (4)
S P2
ระยะโฟกัส (f )
1 1 1
= + (5)
f P2 q2
และระยะ
40 1000 − P1
(1) → = − (7)
S P1
1000S
P1 = (8)
S − 40
2.5 1000 − P2
(4) → = − (9)
S P2
1000S
P2 = (10)
S − 2.5
1 1 1
(2) → = + (11)
f P1 1000 − P1
2
1000P1 − P
1
f = (12)
1000
1 1 1
(5) → = + (13)
f P2 1000 − P2
2
1000P2 − P
2
f = (14)
1000
เนืองจากเป็ นเลนส์อน
ั เดียวกัน ดังนัน สมการที (12) = (14) และแทนค่า P1 และ P2 ลงในสมการทังสอง จะได ้ว่าผล
สุดท ้ายว่า
S = −10 mm
f = +160 mm
ซึงบ่งว่าเป็ นเลนส์นูน
(เป็ นคําตอบข ้อ 16.2 )
ข้อที 17
ตอบ วาง L1 และL2 ห่างกัน 8 cm
1 1 1
+ =
P1 q1 f
1 1 1
+ =
30 q1 −20
∴ q1 = −12 cm
12 + D = P2
1 1 1
+ =
P2 q2 f2
กําหนดให ้
q2 = ∞
1 1 1
+ =
12 + D ∞ 20
D = 8
μ − 1
ตอบ ห่างจากเลนส์ = ( )f
μ + 1
จากสมการช่างทําเลนส์ ได ้ f ของเลนส์
1 1 1
= (μ − 1)( + )
f R1 R2
R2 (รัศมีความโค้งกระจก) = (μ − 1)f
1
∵ f (กระจก) =
′
R2
2
μ − 1
= ( )f
2
1 1 1
+ =
′
−f q2 f
μ − 1
q2 = ( )f
μ + 1
μ − 1
∴ เกิดภาพสุดท ้ายที ( )f หน ้ากระจก
μ + 1
ข้อที 19
(มุมในรูปวาดเกินสเกลจริง ทังนีเพือความชัดเจนในการอธิบาย) เราจะได ้ว่า รังสีสะท ้อนอันใหม่นัน เบนไปจากเดิมเป็ นมุม 2α
ู น์โดยใช ้หลัก มุมตกกระทบ เท่ากับ มุมสะท ้อน)
(พิสจ
จากรูปจะได ้ว่า
0.175 m
tan(2α) =
5.00 m
tan(2α) ≈ 2α
นันคือ
∘
1 0.175 180
∘
α = ( ) rad × ≈ 1.00
2 5.00 π rad