Professional Documents
Culture Documents
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
์ างการเรียนวิชา
ในการวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิท
คณิตศาสตร์ เรื่องสถิติ ของนักเรียนชัน
้ มัธยมศึกษาปี ที่ 3 ที่ได้รับการ
จัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฏี และ
งานวิจัยในเรื่องต่างๆไว้ดังนี ้
1.1 วิสัยทัศน์
1.2 ทำไมต้องเรียนคณิตศาสตร์
1.3 เรียนรู้อะไรในคณิตศาสตร์
1.4 ความสำคัญของคณิตศาสตร์
1.5 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
1.6 สถิติ
1.7 การจัดการเรียนรู้
1.8 การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้
2. เอกสารเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน
์ างการเรียน
3. เอกสารเกี่ยวกับผลสัมฤทธิท
์ างการเรียน
3.1 ความหมายของผลสัมฤทธิท
์ างการเรียน
3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท
4. เอกสารเกี่ยวกับความพึงพอใจ
5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
5.1 งานวิจัยในประเทศ
4.2 งานวิจัยต่างประเทศ
6.กรอบแนวคิดในการวิจัย
7.สมมติฐานการวิจัย
1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน
้ พื้นฐาน (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560) พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
1.1 วิสัยทัศน์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน
้ พื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่ง
เป็ นกำลังของชาติให้เป็ นมนุษย์ที่มีความสมดุลทัง้ ด้านร่างกาย ความรู้
คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็ นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในการ
ปกครองตามระบอบประชาธิบไตยอันมีพระมหากษัตริยืทรงเป็ นประมุข
มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทัง้ เจตคติที่จำเป็ นต้อการศึกษาต่อ การ
ประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผูเ้ รียนเป็ นสำคัญบน
พื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็ม
ศักยภาพ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน
้ พื้นฐาน กระทรวง
ศึกษาธิการ.2551:4)
1.2 ทำไมต้องเรียนคณิตศาสตร์
คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ใน
ศตวรรษที่ 21 เนื่องจากคณิตศาสตร์ช่วยให้มนุษยม์มีความคิดริเริ่ม
สร้างสรรค์คิดอย่างมีเหตุผลเป็ นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์
ปั ญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน ช่วยให้คาดการณ์
วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และสามารถนำไป
ใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมี ประสิทธิภาพ นอกจากนีค
้ ณิตศาสตร์ยังเป็ น
เครื่องมือในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและ ศาสตร์อ่ น
ื ๆ อัน
เป็ นรากฐานในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของชาติให้มีคณ
ุ ภาพและ
พัฒนา เศรษฐกิจของประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติ การศึกษา
คณิตศาสตร์จึงจำเป็ นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันสมัยและ
สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และ
เทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์ ตัวชีว้ ัดและ
สาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรังปรุง
พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน
้ พื้นฐาน พุทธศกัราช
2551 ฉบับนีจ
้ ัดทำขึน
้ โดย คำนึงถึงการส่งเสริมให้ผู้รียนมีทักษะที่จำเป็ น
สำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็ นสำคัญ นั่นคือ การเตรียมผู้เรียน
ให้มีทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การแก้ปัญหา
การคิด สร้างสรรค์ การใช้เทคโนโลยี การสื่อสารและการร่วมมือ ซึ่งจะส่ง
ผลให้ผู้เรียนรู้เท่าทันการ เปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจ สังคม
วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อม สามารถแข่งขันและอยู่ ร่วมกับประชาคม
โลกได้ ทัง้ นี ้ การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จนัน
้ จะ
ต้องเตรียม ผู้เรียนให้มีความพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ พร้อมที่จะ
ประกอบอาชีพเมื่อจบการศึกษา หรือสามารถศึกษาต่อในระดับ ที่สูงขึน
้
ดังนัน
้ สถานศึกษาควรจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมตามศักยภาพของผู้เรียน
(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน
้ พื้นฐาน กระทรวง
ศึกษาธิการ.2560:1)
1.3 เรียนรู้อะไรในคณิตศาสตร์
เรียนรู้เกี่ยวกับระบบจำนวนจริง สมบัติเกี่ยวกับจำนวนจริง
อัตราส่วน ร้อยละ การประมาณค่า การแก้ปัญหาเกี่ยวกับจำนวน การใช้
จำนวนในชีวิตจริง แบบรูป ความสัมพันธ์ ฟั งก์ชัน เซต ตรรกศาสตร์
นิพจน์ เอกนาม พหุนาม สมการ ระบบสมการ อสมการ กราฟ ดอกเบีย
้
และมูลค่า ของเงิน ลำดับและอนุกรม และการนำความรู้เกี่ยวกับจำนวน
และพีชคณิตไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ
1.4 ความสำคัญของคณิตศาสตร์
คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันทุกอย่างล้วนต้อง
อาศัยคณิตศาสตร์ไม่ว่าจะเป็ นทางด้านวิทยาศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมด้าน
การเกษตรด้านเทคโนโลยีทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์
ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่งซึ่งมีนักวิชาการได้กล่าวถึงความสำคัญของ
คณิตศาสตร์ดังนี ้
1) การคิดเกี่ยวกับวัตถุจริงที่สามารถรับรู้และเข้าถึงได้
2) การคิดที่เกี่ยวข้องกับวัตถุจริง แต่ไม่สามารถเข้าถึงสิ่งเหล่านัน
้ ได้
3) การคิดที่อยู่ในจิตนาการ แต่สามารถใช้วัตถุจริงอธิบายได้
4) การคิดสิ่งที่เป็ นนามธรรมและไม่มีการเชื่อมโยงโดยตรงกับโลก
แห่งความเป็ นจริง
จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่าคณิตศาสตร์มีอิทธิพลต่อการดำรง
ชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างกว้างขวางไม่ว่าจะเป็ นในรูปแบบนามธรรม
หรือรูปธรรมล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงความคิดของมนุษย์ในระดับพื้นฐานไป
จนถึงความคิดในระดับสูงเพื่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในยุคที่กำลังพัฒนา
1.5 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 1 จำนวนและพิชคณิต
สาระที่ 2 การวัดและเรขาคณิต
สาระที่ 3 สถิติและความน่าจะเป็ น
จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่าคณิตศาสตร์มี
1.6 สถิติ
1.6.1 ความหมายของคำต่างๆในหัวข้อสถิติ
คือข้อเท็จจริงในสิ่งที่เราต้องการศึกษา โดยการแบ่งประเภทของ
ข้อมูลมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ ขึน
้ อยู่กับว่าเราพิจารณาสิ่งใด
แบ่งตามลักษณะของข้อมูล
ข้อมูลเชิงคุณภาพคือข้อมูลที่บ่งบอกถึงสมบัติหรือลักษณะ ซึ่งไม่
สามารถวัดออกเป็ นตัวเลขได้ เช่น เพศ อาชีพ ความชอบ
ข้อมูลเชิงปริมาณคือข้อมูลที่แสดงถึงปริมาณ โดยสามารถวัดออกมา
เป็ นตัวเลขได้อย่างชัดเจน เช่น อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง
แบ่งตามแหล่งที่มาของข้อมูล
ข้อมูลปฐมภูมิ คือ ข้อมูลที่เกิดจากการลงไปหาข้อมูลด้วยตัวเอง
เช่น ข้อมูลจากการทำแบบทดสอบ หรือ การทดลองด้วยตัวเอง
ส่วนประกอบของตารางแจกแจงความถี่
อันตรภาคชัน
้ คือ ช่วงของข้อมูลที่แบ่งข้อมูล
ความกว้างของอันตรภาคชัน
้ คือ จำนวนข้อมูลที่อยู่ในอันตรภาคชัน
้
นัน
้ คำนวณได้จาก
ความกว้างอันตรภาคชัน
้ = ขอบบน – ขอบล่าง
จุดกึ่งกลางชัน
้ คือ ข้อมูลที่เป็ นเหมือนตัวแทนของอันตรภาคชัน
้ นัน
้
หาได้จาก 2 วิธี คือ
จุดกึ่งกลางชัน
้ = (ขอบบน + ขอบล่าง) /2
จุดกึ่งกลางชัน
้ = (ขีดจำกัดบน + ขีดจำกัดล่าง) /2
ค่ากลางของข้อมูล
3) ฐานนิยม (Mode)
4) ตัวกลางเรขาคณิต (Geometric mean)
5) ตัวกลางฮาโมนิค (Harmonic mean)
6) ตัวกึ่งกลางพิสัย (Mid-Range)
การจัดการเรียนรู้การจัดการเรียนรู้เป็ นกระบวนการสำคัญในการนำ
หลักสูตรสู่การปฏิบัติหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน
้ พื้นฐานเป็ น
หลักสูตรที่มีมาตรฐานการเรียนรู้สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนและ
คุณลักษณะอันพึงประสงค์เป็ นเป้ าหมายสำคัญสำหรับพัฒนาเด็กและ
เยาวชนผู้สอนต้องพยายามคัดสรรกระบวนการเรียนรู้จัดการเรียนรู้เพื่อ
พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ทงั ้ ๘ กลุ่มสาระเรียนรู้
รวมทัง้ ปลูกฝั งเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์พัฒนาทักษะต่างๆอัน
เป็ นสมรรถนะสำคัญที่ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียน Q. หลักการจัดการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการ
เรียนรู้สมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ใน
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน
้ พื้นฐานโดยยึดหลักว่าผู้เรียนมีความ
สำคัญที่สุดเชื่อว่าทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ยึด
ประโยชน์ที่เกิดกับผู้เรียนกระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน
สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพคำนึงถึงความแตกต่าง
ระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมองเน้นให้ความสำคัญทัง้ ความรู้และ
คุณธรรม
๒. กระบวนการเรียนรู้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็ นสำคัญผูเ้ รียนจะ
ต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายเป็ นเครื่องมือที่จะนำพาตนเอง
ไปสูเ่ ป้ าหมายของหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ที่จำเป็ นสำหรับผู้เรียนอาทิ
กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการกระบวนการสร้างความรู้กระบวนการ
คิดกระบวนการทางสังคมกระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา
กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงกระบวนการปฏิบัติลงมือทำจริง
กระบวนการจัดการกระบวนการวิจัยกระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ของ
ตนเองกระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัยกระบวนการเหล่านีเ้ ป็ นแนวทาง
ในการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนควรได้รับการฝึ กฝนพัฒนาเพราะจะสามารถ
ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีบรรลุเป้ าหมายของหลักสูตรดังนัน
้ ผู้สอน
จึงจำเป็ นต้องศึกษาทำความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ต่างๆเพื่อให้
สามารถเลือกใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๓.
การออกแบบการจัดการเรียนรู้ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้
เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้ชว
ี ้ ัดสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์แล้วจึงพิจารณาออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยเลือกใช้วิธี
สอนและเทคนิคการสอนสื่อ / แหล่งเรียนรู้การวัดและประเมินผลเพื่อให้
ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพและบรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ซึ่ง
เป็ นเป้ าหมายที่กำหนด
๔. บทบาทของผู้สอนและผู้เรียนการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณภาพ
ตามเป้ าหมายของหลักสูตรทัง้ ผู้สอนและผู้เรียนควรมีบทบาทดังนี ้ ๔.๑
บทบาทของผู้สอน ๑) ศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียนเป็ นรายบุคคลแล้วนำข้อมูล
มาใช้ในการวางแผนการจัดการเรียนรู้ที่ท้าทายความสามารถของผู้เรียน
๒) กำหนดเป้ าหมายที่ต้องการให้เกิดขึน
้ กับผู้เรียนด้านความรู้และทักษะ
กระบวนการที่เป็ นความคิดรวบยอดหลักการและความสัมพันธ์รวมทัง้
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๓) ๔) ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ที่
ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมองเพื่อนำผู้
เรียนไปสู่เป้ าหมายจัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้และดูแลช่วยเหลือผู้
เรียนให้เกิดการเรียนรู้ ๕) จัดเตรียมและเลือกใช้ส่ อ
ื ให้เหมาะสมกับ
กิจกรรมนำภูมิปัญญาท้องถิ่นเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการ
จัดการเรียนการสอนประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลาก
หลายเหมาะสมกับธรรมชาติของวิชาและระดับพัฒนาการของผู้เรียน ๖)
๗) วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผูเ้ รียนรวม
ทัง้ ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนของตนเอง
การศึกษาของสถานศึกษาตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษา
และการรายงานผลการจัดการศึกษาต่อคณะกรรมการสถานศึกษาขัน
้
พื้นฐานสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสำนักงานคณะกรรมการการ
ศึกษาขัน
้ พื้นฐานผู้ปกครองและชุมชน ๓. การประเมินระดับเขตพื้นที่
การศึกษาเป็ นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับเขตพื้นที่การศึกษา
ตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน
้ พื้นฐาน
เพื่อใช้เป็ นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเขตพื้นที่
การศึกษาตามภาระความรับผิดชอบสามารถดำเนินการโดยประเมิน
คุณภาพผู้เรียนด้วยวิธีการและเครื่องมือที่เป็ นมาตรฐานที่จัดทำและ
ดำเนินการโดยเขตพื้นที่การศึกษาหรือด้วยความร่วมมือกับหน่วยงาน
ต้นสังกัดและหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนอกจากนีย
้ ังได้จากการตรวจ
สอบทบทวนข้อมูลจากการประเมินระดับสถานศึกษาในเขตพื้นที่การ
ศึกษา
๔. การประเมินระดับชาติเป็ นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติ
ตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน
้ พื้นฐาน
สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในชัน
้ ประถมศึกษาปี ที่ ๓ ชัน
้
ประถมศึกษาปี ที่ 5 ชัน
้ มัธยมศึกษาปี ที่และชัน
้ มัธยมศึกษาปี ที่ 5 เข้ารับ
การประเมินผลจากการประเมินใช้เป็ นข้อมูลในการเทียบเคียงคุณภาพ
การศึกษาในระดับต่างๆเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนยกระดับคุณภาพ
การจัดการศึกษาตลอดจนเป็ นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจในระดับ
นโยบายของประเทศข้อมูลการประเมินในระดับต่างๆข้างต้นเป็ น
ประโยชน์ต่อสถานศึกษาในการตรวจสอบทบทวนพัฒนาคุณภาพผู้
เรียนถือเป็ นภาระความรับผิดชอบของสถานศึกษาที่จะต้องจัดระบบ
ดูแลช่วยเหลือปรับปรุงแก้ไขส่งเสริมสนับสนุนเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนา
เต็มตามศักยภาพบนพื้นฐานความแตกต่างระหว่างบุคคลที่จำแนกตาม
สภาพปั ญหาและความต้องการ ได้แก่ กลุ่มผูเ้ รียนทั่วไปกลุ่มผู้เรียนที่มี
์ างการเรียนกลุ่มผู้เรียน
ความสามารถพิเศษกลุ่มผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธิท
ที่มีปัญหาด้านวินัยและพฤติกรรมกลุ่มผู้เรียนที่ปฏิเสธโรงเรียนกลุ่มผู้
เรียนที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มพิการทางร่างกายและสติ
ปั ญญาเป็ นต้นข้อมูลจากการประเมินจึงเป็ นหัวใจของสถานศึกษาใน
การดำเนินการช่วยเหลือผู้เรียนได้ทันท่วงทีเปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับ
การพัฒนาและประสบความสำเร็จในการเรียนสถานศึกษาในฐานะ
ผู้รับผิดชอบจัดการศึกษาจะต้องจัดทำระเบียบว่าด้วยการวัดและ
ประเมินผลการเรียนของสถานศึกษาให้สอดคล้องและเป็ นไปตามหลัก
เกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เป็ นข้อกำหนดของหลักสูตรแกนกลางการ
ศึกษาขัน
้ พื้นฐานเพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ ายถือปฏิบัติร่วมกัน
2. การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน (Problem-Based
Learning)
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของคนในศตวรรษที่ 21 ต่างไปจากอดีต
อย่างมากมาย เมื่อสภาพปั ญหาและสิ่งแวดล้อมเริ่มมีความซับซ้อนมากยิ่ง
ขึน
้ การเรียนการสอนแบบเดิมมาใช้ก็ไม่สามารถใช้ได้อย่างที่เคยเป็ นมา
ซึ่งสิง่ เหล่านีส
้ ะท้อนจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมและ
ธรรมชาติการเรียนรู้ของผู้เรียน การเรียนที่เน้นท่องสอบตอบลืม การหยิบ
ยืมทฤษฎีวิทยาศาสตร์ มาอธิบายและแก้ปัญหาไม่ใช่สูตรสำเร็จ การเรียน
รู้ที่ให้โอกาสผู้เรียนได้เรียนรู้จากปั ญหาและให้เกียรติผู้สอนในการ
ออกแบบการเรียนรู้ที่เปิ ดกว้างทางความคิดย่อมส่งเสริมการเรียนรู้ตาม
สภาพความเป็ นจริงของชีวิต (วิจารณ์ พานิช. 2555. อ้างใน สุฟิตรี ฮิน
นะ. 2559 : 9) การเรียนรู้ที่นำปั ญหามาเป็ นตัวตัง้ กระตุ้นผู้เรียนให้ใช้
กระบวนการคิดและการทำงานกลุ่ม และส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ทำงานร่วม
กัน แก้ไขปั ญหาร่วมกัน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดย อิงจากสภาพปั ญหาที่
เกิดจากชีวิตจริง สามารถอธิบายสิ่งที่ได้เรียนรู้ด้วยกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ การสื่อสารด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีเหมาะสมและมี
ประสิทธิภาพ (ประสาท เนืองเฉลิม. 2557. อ้างใน สุฟิตรี ฮินนะ. 2559 :
9) ปั ญหาจึงเป็ นสิ่งสำคัญที่ผส
ู้ อนต้องคัดสรรและสอดแทรกเข้าสู่ชน
ั ้ เรียน
วิทยาศาสตร์ ซึ่งสภาพบริบท เช่นนีจ
้ ะคล้ายกับการทำงานของนัก
วิทยาศาสตร์ที่ต้องใช้กระบวนการคิด (Mind-on activity) และ การ
ลงมือทำ (Hands-on activity) หล่อหลอมให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะเช่นนัก
วิทยาศาสตร์นำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์โดยใช้นวัตกรรมที่
สามารถแก้ไขปั ญหาได้จริง (Drake and Long, 2009: 1-16. อ้างใน สุ
ฟิ ตรี ฮินนะ. 2559 : 9)
2.2 ความหมายของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้ปัญหาเป็ น
ฐาน
2) ปั ญหาที่ผู้เรียนอาจมีโอกาสเผชิญกับปั ญหานัน
้
3) ปั ญหานัน
้ พบได้บ่อยและมีความสำคัญ
4) ปั ญหาสามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างเพียงพอต่อการค้นคว้า
7) ปั ญหาที่อยู่ในความสนใจแต่ยังไม่รู้
8) ปั ญหาที่มีการยอมรับว่าจริงแต่ผู้เรียนไม่เชื่อว่าเป็ นจริง
9) ปั ญหาที่สามารถหาคำตอบได้หลายแนวทาง
10) ปั ญหานัน
้ เหมาะสมกับพื้นฐานของผู้เรียน
12) ปั ญหาส่งเสริมความรู้ด้านเนื้อหาและทักษะที่สอดคล้องกับ
หลักสูตรการศึกษา
(นรรัชต์ ฝั นเชียร.
https://www.trueplookpanya.com/blog/content/77414/-
teaartamet- )
2.3 ขัน
้ ตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน
ขัน
้ ตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐานนัน
้ ประกอบด้วย 6
ขัน
้ ตอน อันได้แก่
ขัน
้ ที่ 1 กำหนดปั ญหา ผู้สอนสร้างสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อ
กระตุ้นผู้เรียน โดยอาจเป็ นการแนะนำแนวทาง ยกตัวอย่างสถานการณ์
หรือถามคำถามที่ให้คิดต่อ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและมองเห็น
ปั ญหา มีโอกาสเลือกเฟ้ นและเสนอปั ญหาที่หลากหลาย และสามารถแบ่ง
กลุ่มตามความสนใจ ซึ่งก่อนที่จะกำหนดปั ญหานัน
้ ครูผู้สอนควรทดสอบ
ความรู้พ้น
ื ฐานของผู้เรียนเสียก่อน เพื่อใช้เป็ นข้อมูลในการกำหนดปั ญหา
ซึ่งต้องเหมาะสมกับความรู้พ้น
ื ฐานที่ผู้เรียนมี
ขัน
้ ที่ 2 ทำความเข้าใจกับปั ญหา ผู้สอนจะกระตุ้นผูเ้ รียนด้วย
คำถามหรือการเสริมแรง เพื่อให้ผู้เรียนทำความเข้าใจกับปั ญหาที่อยากรู้
โดยเน้นให้เกิดการระดมสมอง เพื่อหาแนวทางและวิธีการในการหาคำ
ตอบ โดยมีครูผู้สอนคอยดูแลตรวจสอบเพื่อให้เกิดความถูกต้อง
ขัน
้ ที่ 3 ดำเนินการศึกษาค้นคว้า ผู้เรียนจะต้องดำเนินการ
ศึกษาค้นคว้าอย่างเป็ นระบบร่วมกัน โดยมีการกำหนดกติกา วางเป้ า
หมาย และดำเนินกิจกรรมตามระยะเวลาที่กำหนด โดยมีครูผส
ู้ อนคอยให้
คำชีแ
้ นะและอำนวยความสะดวก
ขัน
้ ที่ 4 สังเคราะห์ความรู้ ผู้เรียนแต่ละคนสังเคราะห์ความรู้ที่
ได้จากการค้นคว้า โดยมีการนำเสนอกันภายในกลุ่ม เพื่อหาข้อสรุป
ทบทวนและตรวจสอบความถูกต้อง โดยมีครูผู้สอนถามคำถามโดยกระตุ้น
ให้ผู้เรียนมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเกิดความคิดรวบยอด
ขัน
้ ที่ 5 สรุปและประเมินค่าของคำตอบ ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนำ
ข้อสรุปที่ได้มาสร้างเป็ นองค์ความรู้ใหม่ และเลือกวิธีที่จะนำเสนอสู่
ภายนอก โดยผ่านความเห็นชอบจากครูผู้สอนในการตรวจสอบความถูก
ต้อง และความเหมาะสมในการนำเสนอ
ขัน
้ ที่ 6 นำเสนอและประเมินผลงาน ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนำองค์
ความรู้ที่ได้ไปนำเสนอตามวิธีการที่ได้กำหนดไว้ เพื่อเผยแพร่ออกสู่
สาธารณะ โดยครูผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้จากการดำเนินงานของผู้
เรียนตามสภาพจริง
(นรรัชต์ ฝั นเชียร.
https://www.trueplookpanya.com/blog/content/77414/-
teaartamet- )
์ างการเรียน
3. ผลสัมฤทธิท
์ างการเรียน
3.1 ความหมายของผลสัมฤทธิท
์ างการเรียนเป็ นความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ
ผลสัมฤทธิท
ซึ่งเกิดจากนักเรียนได้รับประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของ
ครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและประเมินผล การสร้างเครื่อง
มือวัดให้มีคุณภาพนัน
้
์ างการ
ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ให้คำจำกัดความผลสัมฤทธิท
เรียนว่า คือคุณลักษณะ รวมถึงความรู้ ความสามารถของบุคคลอันเป็ นผล
มาจากการเรียนการสอน หรือ มวลประสบการณ์ทงั ้ ปวงที่บุคคลได้รับ
จากการเรียนการสอน ทำให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้าน
ต่างๆ ของสมรรถภาพทางสมอง ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็ นการตรวจสอบ
ระดับความสามารถสมองของบุคคลว่าเรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมีความ
สามารถด้านใดมากน้อยเท่าไร ตลอดจนผลที่เกิดขึน
้ จากการเรียนการ
ฝึ กฝนหรือประสบการณ์ต่างๆ ทัง้ ในโรงเรียน ที่บ้าน และสิง่ แวดล้อมอื่นๆ
รวมทัง้ ความรู้สึก ค่านิยม จริยธรรมต่างๆ ก็เป็ นผลมาจากการฝึ กฝนด้วย
์ างการเรียนคือ พฤติกรรมที่แสดงออกถึงความสามารถ
ผลสัมฤทธิท
ในการกระทำสิ่งหนึ่งสิง่ ใดจากที่ไม่เคยกระทำหรือกระทำได้น้อยก่อนที่จะ
มีการเรียนรู้ซึ่งเป็ นพฤติกรรมที่สามารถวัดได้ (ภพ เลาหไพบูลย์. 2542:
295. อ้างใน สุฟิตรี ฮินนะ. 2559 : 28)
์ างการเรียน หมายถึง
จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิท
ผลที่เกิดจากกระบวนการเรียนการสอนที่จะทำให้นักเรียนเกิดการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และสามารถวัดได้โดยการแสดงออกมาทัง้ 3 ด้าน
คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย
์ างการเรียน
3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท
พรพรรณ เสาร์คําเมืองดี.2562:55 อ้างใน ศศิธร แม้นสงวน 2556:
์ างการเรียน โดยมีสา
260-261 ได้กล่าวถึงแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท
ระสําคัญสรุปได้ดังนี ้
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิเ์ ป็ นเครื่องมือสําหรับผูส
้ อนที่จะใช้ในการ
ตรวจสอบผล การเรียนรู้รวมถึงพฤติกรรมต่าง ๆ จากการเรียนหรือการ
จัดการเรียนรู้ของครู เพื่อประเมินว่านักเรียน มีความรู้ความสามารถ มีผล
์ างการเรียนรู้ในระดับใด บรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้มากน้อย
สัมฤทธิท
เพียงใด เป็ นไปตามมาตรฐานตัวชีว้ ัดอย่างไร ซึง่ แบบทดสอบจะต้องมี
ประสิทธิภาพ มีคุณภาพ มีความถูกต้องเที่ยงตรง เชื่อถือได้ มี
กระบวนการหลักการสร้างแบบทดสอบตามหลักวิชาการ
์ างการเรียนมี 2
3.2.1 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท
ประเภท ดังนี ้
3.2.1.1 แบบทดสอบที่ครูสร้างขึน
้ มุ่งใช้วัดผลผู้เรียนเฉพาะ
กลุ่มผูส
้ อน มีลักษณะเป็ น
แสดงคําตอบโดยการเขียนแสดงความรู้ ความคิดเจตคติได้อย่างเต็มที่
้ ตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ ์ มีดังนี ้
3.2.2 ขัน
3.2.2.1 วิเคราะห์หลักสูตรและสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร
และคาดหวังจะให้เกิดขึน
้ กับผู้เรียน โดยผูส
้ อนจะกําหนดไว้ล่วงหน้าสําห
รับเป็ นแนวทางในการจัด การเรียนรู้และการสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ ์
3.2.2.3 กําหนดชนิดข้อสอบ
4.3.2.4 เขียนข้อสอบ
3.2.2.5 ตรวจทาน
3.2.2.6 จัดพิมพ์แบบทดสอบ
3.2.2.7 ทดลองสอบเพื่อนําผลมาวิเคราะห์ข้อสอบ
3.2.2.8 แก้ไขปรับปรุงแล้วได้แบบทดสอบฉบับจริง
์ างการ
จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท
เรียนเป็ นเครื่องมือสําหรับผู้สอนที่จะใช้ใน การตรวจสอบผลการเรียนรู้
รวมถึงพฤติกรรมต่าง ๆ จากการเรียนการสอน มีลักษณะเป็ นแบบปรนัย
หรืออัตนัยก็ได้ขน
ึ ้ อยู่กับการวัดผลประเมินผลตามจุดประสงค์การเรียนรู้
และมาตรฐานตัวชีว้ ัดของ การเรียนการสอนเรื่องนัน
้ ๆ โดยมี
กระบวนการสร้างแบบทดสอบอย่างเป็ นระบบ ซึ่งผู้วิจัยได้ตัดสินใจ เลือก
์ างการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หน่วยการ
ใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท
เรียนรู้ เรื่อง สถิติ ระดับชัน
้ มัธยมศึกษาปี ที่ 3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึน
้ จํานวน 1
ฉบับ เป็ นแบบทดสอบหลังเรียน เป็ นแบบทดสอบปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก
และอัตนัย
ความพึงพอใจ
ใช้แรงจูงใจเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันให้เกิดผลสําเร็จตามความมุ่ง
หมายไว้ ดังนัน
้ ความพึงพอใจจึง เกี่ยวข้องกับทฤษฎีต่าง ๆ ดังนี ้
ความพึงพอใจในการเรียนรู้ การทําให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในการ
เรียนรู้หรือการปฏิบัติงาน มีแนวคิดพื้นฐานที่ต่างกัน 2 ลักษณะ คือ
1. ความพึงพอใจนําไปสู่การปฏิบัติงาน การตอบสนองความต้องการผู้
ปฏิบัติงาน จนเกิดความพึงพอใจ จะทําให้เกิดแรงจูงใจในการเพิ่มประ
สิทธิภาพการทํางานที่สูงกว่าผู้ไม่ได้รับ การตอบสนอง
2. ผลของการปฏิบัติงานนําไปสูค
่ วามพึงพอใจ ความสัมพันธ์ระหว่าง
ความพึงพอใจ และผลการปฏิบัติงานจะถูกเชื่อมโยงด้วยปั จจัยอื่น ๆ ผล
การปฏิบัติงานที่ดี จะนําไปสู่ผลตอบแทนที่
Scott (Scott, 1970: 124, อ้างถึงใน ณรัตน์ ลาภมูล, 2546: 23) ได้
เสนอแนวคิดใน เรื่อง การจูงใจให้เกิดความพึงพอใจต่อการทํางานที่จะให้
ผลเชิงปฏิบัติ มีลักษณะดังนี ้
1. งานควรมีส่วนสัมพันธ์กับความปรารถนาส่วนตัวงานนัน
้ จะมีความ
หมายสําหรับผู้ทํา
2. งานนัน
้ ต้องมีการวางแผนและวัดความสําเร็จได้โดยใช้ระบบการทํางาน
และ การควบคุมที่มีประสิทธิภาพ
3.2 ผู้ปฏิบัติได้รับทราบผลสําเร็จในการทํางานโดยตรง
3.3 งานนัน
้ สามารถทําให้สําเร็จได้
เมื่อนําแนวคิดนีม
้ าประยุกต์ใช้กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
นักเรียนมีส่วนใน การเลือกเรียนตามความสนใจและมีโอกาสร่วมกันตัง้ จุด
ประสงค์หรือความมุ่งหมายในการทํากิจกรรม ได้เลือกวิธีแสวงหาความรู้
ด้วยวิธีที่ผู้เรียนถนัดและสามารถค้นหาคําตอบได้
ทฤษฎีความต้องการลําดับขัน
้ ของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchical
Theory of Motivation) (ศุภิสรา โททอง, 2547: 47-49) เขาชีใ้ ห้เห็นว่า
มนุษย์ถูกกระตุ้นจากความปรารถนาที่จะ สนองความต้องการเฉพาะอย่าง
ซึ่งความต้องการนีเ้ ขาได้สมมติฐานเกี่ยวกับความต้องการของมนุษย์ไว้
ดังนี ้
1. บุคคลต้องมีความต้องการอยู่เสมอและไม่มีสน
ิ ้ สุด ขณะที่ความต้องการ
ใดได้รับ การตอบสนองแล้ว ความต้องการอย่างอื่นก็จะเกิดขึน
้ อย่างไม่มี
วันจบสิน
้
นัน
้
3. ความต้องการของคนจะเรียงลําดับขัน
้ ตอนความสําคัญ เมื่อความ
ต้องการระดับต่ํา ได้รับการตอบสนองแล้ว บุคคลก็จะให้ความสนในความ
ต้องการระดับสูงต่อไป
ลําดับขัน
้ ความต้องการของมนุษย์มี 5 ระดับขัน
้ ตามลําดับ ได้แก่
1. ความต้องการทางกายภาพ เป็ นความต้องการขัน
้ พื้นฐานที่สุด เพื่อ
ความมีชีวิตอยู่ รอด ได้แก่ความต้องการอาหาร เพศ เครื่องนุ่งห่ม
3. ความต้องการความรัก ความรู้สึกว่าตนมีส่วนร่วมและการเข้าหมู่พวก
จากการศึกษาทฤษฎีความพึงพอใจที่เกี่ยวข้องกับวิจัยในครัง้ นี ้ สรุปได้ว่า
ทฤษฎี ความพึงพอใจ เป็ นทฤษฎีที่ใช้ในการวิเคราะห์หาความพึงพอใจ
ของบุคคลว่า สิ่งเหล่านัน
้ สามารถ ตอบสนองความต้องการของบุคคลได้
หรือไม่ ตลอดจนสามารถสร้างทัศนคติที่ดีต่อสิ่งใดสิ่งหนึง่ ซึ่งเปลี่ยนแปลง
ไปตามความพอใจต่อสิ่งนัน
้
ส่วนบุคคล
สาํ หรับ ทฤษฎีลาํ ดบั ข้นั ความตอ้ งการของมนุษย์ Maslow (1977 อา้
งถึงใน สุรางค์ โคว้ ตระกูล, 2553)
มาสโลว์ เป็ นผวู้ างรากฐานจิตวทิ ยามนุษยนิยมเขาไดพ้ ฒั นาทฤษฎีแรง
จูงใจ มีอิทธิพลต่อระบบการศึกษาของอเมริกนั เป็ นอนั มากทฤษฎีของ
เขามีพ้นื ฐานอยบู่ นความคิดที่วา่ การตอบสนองแรงขบั เป็ นหลกั การ
เพียงอนั เดียวที่มีความสาํ คญั ที่สุดซ่ึงอยู่ เบ้ืองหลงั พฤติกรรมของ
มนุษย์
มาสโลว์ มีหลกั การท่ีสาํ คญั เก่ียวกบั แรงจูงใจ เนน้ ในเรื่องลาํ ดบั ข้นั
ความตอ้ งการ เขามีความเชื่อวา่ มนุษยม์ ีแนวโนม้ ที่จะมีความตอ้ งกา
รอนั ใหม่ที่สูงข้ึนแรงจูงใจของคนเรามาจาก
จ ิ ร า พ ร ส ุ จ ร ิ ต ( 2 5 4 3 ) ไ ด ส้ ร ุ ป ถ ึ ง ล กั ษ ณ ะ ข อ ง ค
ว า ม พ ึ ง พ อ ใ จ ว า่ ล กั ษ ณ ะ ข อ ง ค ว า ม พ ึ ง พอใจของ
แต่ละคนมีความแตกต่างกนั เนื่องจากองคป์ ระกอบใหญ่ๆคือความตอ้
งการความถนดั และสภาพแวดลอ้ มต่าง ๆ ใน สังคมท่ีแตกต่างกนั นน่ั
คือ การที่จะใหน้ กั เรียนมีความพงึ พอใจในการ เรียน ผสู้ อนจะตอ้ งทาํ
ใหผ้ เู้ รียนมีสมาธิในการเรียน สามารถติดตามเน้ือหาที่เรียนไดต้ ลอด ซ่ึง
จะ ส่งผลต่อผลสัมฤทธ์ิในการเรียนน้นั ดว้ ย
แต่ละ
4.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
4.1 งานวิจัยในประเทศ
นักเรียน เท่ากับ 15.95 คะแนน คิด เป็ นร้อยละ 79.75 ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์
ร้อยละ 70 ที่กําหนด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
พ ร พ ร ร ณ เ ส า ร ์คำ เ ม ือ ง ด ี (2562 : บ ท ค ัด ย ่อ ) ง า น ว ิจ ัย น ม
ี้ ี
์ างการเรีย นวิช าคณิต ศาสตร์
วัต ถุป ระสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิท
เรื่อ ง บทประยุก ต์ก ่อ นและหลัง การจัด การเรีย นรู้แ บบร่ว มมือ เทคนิค
STAD เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่เรียนโดย
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง บทประยุกต์กับเกณฑ์
ร้อยละ 70 และศึกษาความพึงพอใจ กลุ่มเป้ าหมายที่ใช้ในการวิจัยครัง้ นี ้
ได้แ ก่ นัก เรีย นชัน
้ ประถมศึก ษาปี ที่ 6 โรงเรีย นวัด ไผ่ห ูช ้า ง อ.บางเลน
จ.นครปฐม ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2562 ที่ได้มาโดยการเลือกกลุ่ม
ตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling ) จำนวน 24 คน เครื่องมือ
ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD
ั ้ ประถมศึก ษาปี ที่ 6 แบบทดสอบวัด ผลสัม ฤทธิ ์
เรื่อ ง บท ประยุก ต์ช น
ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน
สถิต ิท ี่ใ ช้ใ นการวิเ คราะห์ข ้อ มูล คือ ค่า ร้อ ยละ ค่า เฉลี่ย ค่า เบี่ย งเบน
มาตรฐาน การทดสอบค่า ที(Dependent samples t-test) และการ
์ างการ
ทดสอบค่าที(One sample t-test) ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิท
เรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง บทประยุกต์ของ นักเรียนชัน
้ ประถมศึกษาปี ที่
6 ที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD หลังเรียนสูง
กว่าก่อนเรียน อย่างมีนัย สำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสูงกว่าเกณฑ์ที่
กำหนดร้อยละ 70 อย่างมี นัย สำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความพึง
พอใจที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง บท
ประยุกต์โดยรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด
4.2 งานวิจัยต่างประเทศ
5. กรอบแนวคิดในการวิจัย
ตัวจัดกระทำ
ตัวแปรตาม
6. สมมติฐาน