Professional Documents
Culture Documents
ถาม - ตอบ
ทรัพย์สิน
คานา
(ในการพิมพ์ครั้งที่ ๓)
การพิ ม พ์ค รั้ งนี้ ได้แ กไ้ ขเพิ่ ม เติ มโดยน าค าถามและค าตอบ
พร้อมคาพิพากษาฎีกาจากหนังสือ “ถาม-ตอบ แพ่ง อาญา เล่ม ๗” ของ
ผูแ้ ต่งในส่วนของกฎหมายทรัพย์สินมารวมไว้ในเล่ม นี้ โดยได้เพิ่มเติ ม
ค าพิ พากษาฎี กาจนถึง ค าพิพ ากษาฎีก าเนติ ฯ ปี ๒๕๕๔ ถึ งเล่ม ๑๑
ปี ๒๕๕๕ ถึงเล่ม ๕ และคาพิพากษาฎีกาสานักงานศาลฯ ปี ๒๕๕๔
ถึงเล่ม ๙ ปี ๒๕๕๕ ถึงเล่ม ๑
สมชาย พงษ์พฒั นาศิลป์
สิงหาคม ๒๕๕๖
คานา
(ในการพิมพ์ครั้งที่ ๒)
การพิม พ์ค รั้งนี้ ได้แ กไ้ ขค าตอบที่ มีแ นวค าพิพ ากษาฎี กาใหม่
กลับ หลักเดิ ม และได้เ พิ่ม เติ มโดยน าค าถามจากหนั งสื อ “ถาม-ตอบ
แพ่ง อาญา เล่ม ๔” และ “ถาม-ตอบ แพ่ง อาญา เล่ม ๕” ของผูแ้ ต่ งใน
ส่วนของกฎหมายทรัพย์สินมารวมไว้ในเล่มเดียว
สมชาย พงษ์พฒั นาศิลป์
สิ ง หาค ม ๒๕๕๔
4
คานา
(ในการพิมพ์ครั้งที่ ๑)
สารบาญ
เรื่อง ห น้ า
ทรัพยสิทธิและบุคคลสิทธิ ข้อ ๑ ๑๓
ข้อ ๒ ๒๒
อสังหาริ มทรัพย์และสังหาริ มทรัพย์ ข้อ ๓ ๒๕
ส่วนควบ ข้อ ๔ ๒๙
ข้อ ๕ ๓๐
ข้อ ๖ ๓๗
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๔๔ ๓๙
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๔๖ ๔๑
การคุม้ ครองบุคคลภายนอกผูส้ ุจริ ตและเสียค่าตอบแทน ๔๒
การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริ มทรัพย์
(มาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง) ๔๗
ข้อ ๗ ๔๘
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง ๕๒
การได้อสังหาริ มทรัพย์มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม
(มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง) ๖๑
ข้อ ๘ ๖๒
ข้อ ๙ ๖๗
ข้อ ๑๐ ๗๒
7
เรื่อง ห น้ า
ข้อ ๑๑ ๗๕
ข้อ ๑๒ ๗๙
ข้อ ๑๓ ๘๖
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง
ประเภทของสิทธิที่ได้รับความคุม้ ครอง ๘๙
บุคคลภายนอกที่ได้รับความคุม้ ครอง ๙๓
บุคคลภายนอกไม่สุจริ ต ๙๕
บุคคลผูอ้ ยูใ่ นฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิ ของตนได้อยู่กอ่ น
ตามมาตรา ๑๓๐๐ ๙๙
ข้อ ๑๔ ๑๐๑
ข้อ ๑๕ ๑๐ ๖
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๐๐ ๑๑๐
การคุม้ ครองบุคคลภายนอกตามมาตรา ๑๓๐๓ ข้อ ๑๖ ๑๑๓
ข้อ ๑๗ ๑๒๐
การคุม้ ครองบุคคลภายนอกตามมาตรา ๑๓๒๙ ข้อ ๑๘ ๑๒๓
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๒๙ ๑๒๗
การคุม้ ครองบุคคลภายนอกตามมาตรา ๑๓๓๐ ข้อ ๑๙ ๑๒๙
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๓๐ ๑๓๒
การคุม้ ครองบุคคลภายนอกตามมาตรา ๑๓๓๑ ข้อ ๒๐ ๑๓๗
การคุม้ ครองบุคคลภายนอกตามมาตรา ๑๓๓๒ ข้อ ๒๑ ๑๓๙
ข้อ ๒๒ ๑๔๑
8
เรื่อง ห น้ า
ข้อ ๒๓ ๑๔๔
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๓๒ ๑๔ ๕
สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ข้อ ๒๔ ๑๔ ๘
ข้อ ๒๕ ๑๔๙
ข้อ ๒๖ ๑๕๓
ข้อ ๒๗ ๑๕๘
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๐๔ ๑๖ ๒
การโอนที่ ดิ น ให้เป็ นสาธารณประโยชน์ไม่ต ้องทาตามแบบ ๑๖๔
การยกที่ ดิ น ให้เ ป็ นสาธารณประโยชน์ โ ดยปริ ย าย ๑๖๙
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๐๕ ๑๗๑
กรรมสิทธิ์ ข้อ ๒๘ ๑๗๒
ข้อ ๒๙ ๑๗๕
ข้อ ๓๐ ๑๗๗
ข้อ ๓๑ ๑๘๐
ข้อ ๓๒ ๑๙๐
ข้อ ๓๓ ๑๙๓
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๐๘ ๑๙ ๖
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๑๐ ๑๙๘
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๑๓ ๒๐๑
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๓๖ ๒๐๒
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๓๗ ๒๐๕
9
เรื่อง ห น้ า
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๓๙ ๒๐๗
การปลูกสร้างโรงเรื อนรุ กล้ า ข้อ ๓๔ ๒๐๙
ข้อ ๓๕ ๒๑๑
ข้อ ๓๖ ๒๑ ๖
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๑๒ ๒๒๓
ทางจาเป็ น ข้อ ๓๗ ๒๒๕
ข้อ ๓๘ ๒๓๐
ข้อ ๓๙ ๒๓ ๘
ข้อ ๔๐ ๒๔๐
ข้อ ๔๑ ๒๔ ๓
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๔๙ ๒๔๙
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๕๐ ๒๕๗
การวางท่อน้ า สายไฟฟ้ า
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๕๒ ๒๖๓
กรรมสิทธิ์รวม
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๕๖ ๒๖๔
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๕๗ ๒๖๕
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๕๘ ๒๖๗
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๕๙ ๒๖๘
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๖๐ ๒๖๙
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๖๑ ๒๗๒
10
เรื่อง ห น้ า
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๖๓ ๒๗๔
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๖๔ ๒๗๖
สิทธิครอบครอง ข้อ ๔๒ ๒๘๐
ข้อ ๔๓ ๒๘๙
ข้อ ๔๔ ๒๙๘
ข้อ ๔๕ ๓๐๑
ข้อ ๔๖ ๓๐๕
ข้อ ๔๗ ๓๐๙
ข้อ ๔๘ ๓๑๑
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๖๗ ๓๑๕
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๖๘ ๓๒๕
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๗๓ ๓๒๖
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๗๔ ๓๒๖
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๗๕ ๓๒๗
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๗๗ ๓๓ ๑
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๗๘ ๓๓ ๑
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๘๐ ๓๓๖
ครอบครองปรปั กษ์ ข้อ ๔๙ ๓๓ ๙
ข้อ ๕๐ ๓๔ ๒
ข้อ ๕๑ ๓๔ ๗
ข้อ ๕๒ ๓๔๙
11
เรื่อง ห น้ า
ข้อ ๕๓ ๓๕๓
ข้อ ๕๔ ๓๕๖
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๘๑ ๓๕ ๗
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๘๒ ๓๖๕
ต้องครอบครองทรัพย์ของผูอ้ ื่น ๓๗ ๑
การครอบครองโดยความสงบ ๓๗ ๒
ครอบครองด้วยเจตนาเป็ นเจ้าของ ๓๗๓
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๘๕ ๓๘ ๑
ภาระจายอม ข้อ ๕๕ ๓๘ ๒
ข้อ ๕๖ ๓๘๘
ข้อ ๕๗ ๓๙๑
ข้อ ๕๘ ๓๙๓
ข้อ ๕๙ ๓๙๗
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๘๗ ๓๙๙
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๘๘ ๔๐๔
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๙๐ ๔๐๗
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๙๒ ๔ ๐๘
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๙๙ ๔๑๒
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๔๐๑ ๔๑๒
การใช้โดยสงบ ๔ ๑๓
การใช้โดยเปิ ดเผย ๔๑๔
12
เรื่อง ห น้ า
การใช้โดยปรปั กษ์ ๔๑๕
การใช้โดยได้รับอนุญาตหรื อวิสาสะ
ไม่ได้ภาระจายอมโดยอายุความ ๔ ๑๘
อาศัย ข้อ ๖๐ ๔๒๔
ข้อ ๖๑ ๔๒๗
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๔๐๒ ๔ ๓๒
สิทธิเหนือพื้นดิน ข้อ ๖๒ ๔๓๓
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๔๑๒ ๔๓๔
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๔๑๓ ๔๓๕
สิทธิเก็บกิน ข้อ ๖๓ ๔๓๘
บรรณานุกรม ๔๔๐
13
ถาม - ตอบ
ทรัพย์ สิน
ทรัพยสิ ทธิและบุคคลสิ ทธิ
ทรั พ ยสิ ทธิ ที่ใ ช้ อ้ า งต่ อ บุ ค คลทั่ว ไปได้ ทุก คน การที่ นายโทฟ้ องเรี ย ก
ที่ ดิ น คื น จากนายตรี เมื่ อ วัน ที่ ๒๙ ธั น วาคม ๒๕๕๐ เป็ นกรณี ที่
ผู้ครอบครองซึ่ งถูกแย่ งการครอบครองโดยมิชอบด้ วยกฎหมาย มีสิทธิ
ได้ คืนซึ่งการครอบครองเมื่อได้ ฟ้องภายในปี หนึ่งนับแต่ เวลาถูกแย่ งการ
ครอบครอง นายโทจึ ง ฟ้ องเรี ย กที่ ดิ น คื น จากนายตรี ไ ด้ ตามมาตรา
๑๓๗๕ (๕ คะแนน)
ข. นายเอกทาสัญญาให้นายจัตวาเช่าที่ดินดังกล่าว ๑ ปี โดยทา
สัญญาเช่าเป็ นหนังสื อและนายจัตวาชาระค่าเช่าให้แก่นายเอกครบถ้วน
แล้ว เมื่อนายจัตวายังไม่ ได้ รับมอบการครอบครองที่ดินตามสั ญญาเช่ า
ถือว่ า ยังไม่ ไ ด้ เข้ า ยึด ถื อ ที่ดิ น จึ ง ยังไม่ มี สิ ท ธิ ค รอบครองตามมาตรา
๑๓๖๗ ถือว่ านายจัตวายังไม่ มีทรัพยสิ ทธิเหนือที่ดินตามสั ญญาเช่ า แม้
สั ญญาเช่ าระหว่ างนายเอกและนายจัตวาจะใช้ บังคับกันได้ แต่ ก็มีผล
เป็ นเพียงบุคคลสิ ทธิที่นายจัตวาจะใช้ บังคับแก่ นายเอกซึ่ งเป็ นคู่สัญญา
เท่ านั้น ไม่ อาจใช้ บังคับนายตรี ซึ่งเป็ นบุ คคลภายนอกได้ นายจัตวาจึ ง
ฟ้องเรียกให้ นายตรีส่งมอบทีด่ ินไม่ ได้ (๕ คะแนน)
ข้ อสั งเกต คำถำมข้ อนีเ้ ป็ นคำถำมที่ ะวัดดคัำมเข้ ำใะพืน้ ฐำนเรื่ อบบุคคล
สิ ทธิ แลวทรด พยสิ ทธิ ซึ่บเป็ นเรื่ อบที่ สำคดญมำกในกฎหมำยลดกษณวทรด พย์
กำรตอบคำถำมข้ อนีะ้ วต้ อบรู้ หลดกกฎหมำยแลวอธิ บำยหลดกกฎหมำยทด้บ
ที่ มีตดับทกฎหมำยแลวไม่ มีตดับทกฎหมำย โดยเฉพำวหลดกกฎหมำยที่
ไม่ มี ตด ับทกฎหมำย ซึ่ บ เป็ นหลด ก กฎหมำยที่ ได้ อ ธิ บ ำยไั้ ใ นต ำรำที่
นดกศึกษำต้ อบศึกษำแลวะำไั้ ตอบข้ อสอบด้ ัย
กำรตอบข้ อ สอบไม่ ะ ำเป็ นต้ อ บตอบชื่ อ แลวเลขมำตรำขอบ
15
ส่ วนควบ
ข้ อ ๔ คาถาม นายเอกลักไม้ของนายหนึ่ ง ลักปูนและทรายกับ
เสาปู นของนายสองมาปลู ก เป็ นบ้า นแน่ นหนาถาวรติ ดที่ ดินของตน
ต่อมานายเอกขายบ้านให้นายสามโดยให้นายสามรื้ อเอาไป โดยนายเอก
ได้เงินจากนายสาม ๒๐๐,๐๐๐ บาทแล้ว นายสามรื้ อบ้านของนายเอกได้
ไม้และเสาปูนกองไว้หน้าบ้า นที่ ร้ื อ กาลังจะนากลับไปบ้า นของนาย
สาม นายหนึ่งและนายสองอ้างว่าไม้และเสาปูนเป็ นของตน
ให้วนิ ิจฉัยว่า นายหนึ่ง นายสอง และนายสาม ใครมีสิทธิ ในไม้
และเสาปูนดีกว่ากัน
ข้ อ ๔ ค าตอบ การที่ นายเอกลักไม้ของนายหนึ่ ง ลัก ปูนและ
ทรายกับเสาปูนของนายสองมาปลูกบ้านแน่ นหนาถาวรติดที่ดิน เป็ น
กรณีที่บุค คลใดสร้ างโรงเรื อ นในที่ดินของตนด้ วยสั ม ภาระของผู้ อื่น
ท่ า นว่ า บุ ค คลนั้ น เป็ นเจ้ า ของสั ม ภาระ แต่ ต้ อ งใช้ ค่ า สั ม ภาระตาม
ประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ มาตรา ๑๓๑๕ นายเอกจึ ง เป็ น
เจ้ า ของบ้ า นที่ ปลู ก สร้ า งขึ้น เมื่ อ นายเอกเป็ นเจ้ า ของบ้ า น จึ ง มี สิ ท ธิ
จาหน่ ายบ้ านดังกล่าวได้ ตามมาตรา ๑๓๓๖
การที่นายเอกขายบ้านให้นายสามโดยให้นายสามรื้ อเอาไป แม้
บ้ านจะเป็ นอสั งหาริมทรัพย์ แต่ เมื่อเป็ นการขายโดยให้ รื้อเอาไปแสดงว่ า
คู่ สั ญญาเจตนาขายกั น อย่ า งสั งหาริ ม ทรั พ ย์ สั ญญาซื้ อ ขายระหว่ า ง
นายเอกและนายสามมีผลบังคับได้ ระหว่ างคู่ สัญญา หาตกเป็ นโมฆะ
เพราะไม่ ได้ ทาเป็ นหนังสื อและจดทะเบียนต่ อพนักงานเจ้ าหน้ าที่ไม่
แม้ว่า นายเอกยัง ไม่ ไ ด้ช าระค่ า สั ม ภาระให้ แก่ นายหนึ่ ง และ
30
สองอ้างว่าไม้และเสาปูนเป็ นของตน
ให้วนิ ิจฉัยว่า นายหนึ่ง นายสอง และนายสาม ใครมีสิทธิ ในไม้
และเสาปูนดีกว่ากัน
ข้ อ ๕ คาตอบ แม้โดยสภาพแห่ งทรัพย์ หรือโดยจารีตประเพณี
แห่ งท้ องถิ่นจะถือว่ าบ้ านเป็ นส่ วนควบของที่ดิน ก็ตาม แต่นายเอกปลูก
บ้านบนที่ดินซึ่ งเช่ ามาจากนายโทสองปี แล้วจะรื้ อไป บ้ านดังกล่ าวจึง
เป็ นทรั พย์ ซึ่งติดกับที่ดินเพียงชั่ วคราวและยังเป็ นโรงเรื อนซึ่ งผู้มีสิทธิ
ในทีด่ ินของผู้อนื่ ใช้ สิทธิน้ ันปลูกสร้ างไว้ ในที่ดินนั้นด้ วย บ้ านที่นายเอก
ปลู ก จึ ง ไม่ เ ป็ นส่ วนควบของที่ ดิ น ตามประมวลกฎหมายแพ่ ง และ
พาณิ ชย์ มาตรา ๑๔๖ (๒ คะแนน)
การที่ นายเอกลักไม้ของนายหนึ่ ง ลักปูนและทรายกับเสาปูน
ของนายสองมาปลูกบ้านแน่ นหนาถาวรติดที่ดิน ไม่ ใช่ กรณีที่บุคคลใด
สร้ างโรงเรื อนในที่ดินของตนด้ วยสั มภาระของผู้อื่นตามมาตรา ๑๓๑๕
เพราะตามมาตราดังกล่าวต้ องเป็ นการสร้ างโรงเรือนในที่ดินของตน แต่
นายเอกไม่ได้สร้ างในที่ดินของตน เพียงแต่เป็ นที่ ดินที่ นายเอกเช่ ามา
จากนายโท (๒ คะแนน)
ตามหลักกฎหมายเรื่องส่ วนควบไม่ ต้องการให้ ทรั พย์ ประธาน
และส่ วนควบต้ องแยกออกจากกัน เพราะจะทาให้ เกิดความเสี ยหายทาง
เศรษฐกิจมากกว่ าให้ คงอยู่ร่วมกัน แต่กรณี การปลูกบ้านของนายเอก
นายเอกไม่ได้นาทรัพย์สินของตนมาปลูก จึงไม่ มีทรัพย์ สินของนายเอก
ที่จะเป็ นทรั พย์ ประธานให้ ส่วนควบอื่นมารวมได้ และไม่ มีกฎหมายที่
จะนามาบังคับใช้ ได้ โดยตรง แต่ เมื่อนายเอกนาไม้ ของนายหนึ่ง ปูนและ
32
ทรายกับเสาปูนของนายสองมาปลูกบ้ าน สามารถนาหลักกฎหมายตาม
มาตรา ๑๓๑๖ กรณีที่เอาสั งหาริ มทรั พย์ ของบุคคลหลายคนมารวมเข้ า
กันจนเป็ นส่ วนควบมาใช้ บังคับโดยอนุ โลมได้ นายหนึ่งและนายสอง
จึ ง เป็ นเจ้ า ของรวมแห่ งบ้ า นที่น ายเอกปลู ก สร้ า ง โดยมี ส่ วนตามค่ า
แห่ งทรั พ ย์ ของตนในเวลาที่รวมเข้ า กับ ทรั พ ย์ อื่น ตามมาตรา ๑๓๑๖
(๒ คะแนน)
การที่ นายเอกขายบ้า นให้นายสามโดยให้นายสามรื้ อเอาไป
แม้ บ้า นจะเป็ นอสั งหาริ ม ทรั พ ย์ แต่เมื่ อเป็ นการขายโดยให้ร้ื อเอาไป
แสดงว่ าคู่สัญญาเจตนาซื้อขายกันอย่ างสั งหาริ มทรั พย์ มิได้ ซื้อขายกัน
อย่ า งอสั ง หาริ ม ทรั พ ย์ สั ญ ญาซื้ อ ขายระหว่ า งนายเอกและนายสาม
จึงมีผลใช้ บังคับกันได้ หาตกเป็ นโมฆะเพราะไม่ ได้ ทาเป็ นหนังสื อและ
จดทะเบี ย นต่ อ พนั ก งานเจ้ า หน้ า ที่ ไ ม่ (ค าพิ พ ากษาฎี ก าที่ ๓๗๐๒/
๒๕๓๕) (๑ คะแนน)
เมื่อนายหนึ่งและนายสองเป็ นเจ้ าของบ้ าน นายหนึ่งและนาย
สองเท่ านั้นที่สิทธิขายบ้ านดังกล่ าวได้ ตามมาตรา ๑๓๓๖ นายเอกไม่ มี
สิ ทธินาบ้ านไปขาย แม้นายสามจะชาระเงิ นให้แก่นายเอกไปแล้ว แต่ ก็
ไม่ ปรากฏเหตุหรื อพฤติการณ์ พิเศษที่จะทาให้ นายสามได้ กรรมสิ ทธิ์ไม้
และเสาปูนดังกล่ าวได้ นายหนึ่งและนายสองจึงมีสิทธิในไม้ และเสาปูน
ดีกว่านายสาม (๓ คะแนน)
ข้ อสั งเกต ในประเด็นที่ว่าบ้ ำนเป็ นส่ ันคับหรื อไม่ นด้น ศำสตรำะำรย์
ม.ร.ั. เสนี ย์ ปรำโมช แลวรอบศำสตรำะำรย์ ัิริยว นำมศิ ริพ บศ์ พดนธุ์
เห็ นั่ ำ ไม่ เป็ นส่ ันคับ แต่ ศำสตรำะำรย์ บด ญญดติ สุ ชีัว เห็ นั่ ำ เมื่ อ
33
ไม่ ใ ช่ กรณี มำตรำ ๑๓๑๕ ก็ต กเป็ นส่ ันคับ ซึ่ บ ผู้ แ ต่ บ เห็ น ด้ ั ยกด บ
ศำสตรำะำรย์ ม.ร.ั. เสนี ย์แลวรอบศำสตรำะำรย์ ัิริยว เพรำวกำรที่ ะว
พิะำรณำั่ ำเป็ นส่ ันคับหรื อไม่ ะวต้ อบพิะำรณำะำกเรื่ อบัดตถุแห่ บสิ ทธิ
ซึ่ บบดญญดติไั้ ในบรรพ ๑ ส่ ันบทบดญญดติในบรรพ ๔ เป็ นบทบดญญดติใน
เรื่ อบทรด พยสิ ทธิ เมื่อะวพิ ะำรณำั่ ำบ้ ำนเป็ นส่ ันคับขอบที่ ดินหรื อไม่
ะึ บต้ อบพิะำรณำะำกมำตรำ ๑๔๔ แลวมำตรำ ๑๔๖ ส่ ันมำตรำ ๑๓๑๕
เป็ นเรื่ อบที่ ม ำบดญญดติเสริ มให้ ชด ดเะนั่ ำ เมื่ อเป็ นส่ ันคับแล้ ัมี สิ ทธิ
หน้ ำ ที่ กด น อย่ ำ บไร คื อ ถ้ ำ เป็ นส่ ันคับก็ต้ อ บะ่ ำ ยค่ ำ สด ม ภำรวนด่ น เอบ
ประเด็ น ที่ส อง ข้ อเท็ะ ะริ บตำมปด ญ หำไม่ ใ ช่ กรณี ต ำมมำตรำ ๑๓๑๕
ไม่ น่ำะวมีข้อโต้ เถียบ ประเด็นทีส่ าม ไม่ มีตำรำเล่ มใดฟด นธบั่ ำคัระวใช้
มำตรำใด ตำมธบคำตอบที่ ใช้ มำตรำ ๑๓๑๖ เป็ นคัำมเห็นขอบผู้แต่ บเอบ
หำกนดกศึกษำไม่ เห็นด้ ัย ก็มีสิทธิ ที่ะวเห็นต่ ำบได้ คำถำมข้ อนีต้ ้ อบกำร
ัดดั่ ำนดกศึกษำอ่ ำนหนดบสื อกดนมำเพียบใด แต่ ผ้ ทู ี่ ตอบั่ ำเป็ นกรณี มำตรำ
๑๓๑๕ ผู้ แต่ บก็ ม อบั่ ำมี เ หตุ ผ ลใช้ ได้ ปรวเด็ น ที่ สี่ เรื่ อบกำรซื ้ อ
อสด บหำริ มทรด พย์ โดยเะตนำรื ้ อไป ไม่ ต้อบะดทวเบียน ธบคำตอบตำมคำ
พิพำกษำฎีกำที่ ๓๗๐๒/๒๕๓๕ ประเด็นสุ ดท้ าย ถ้ ำตอบปรวเด็นที่ สำม
มำคนลวทำบ ปรวเด็นสุดท้ ำยก็ต้อบไปอีกทำบ ผิดธบไม่ ศูนย์ ปรวเด็นนี ้
ตั ว อย่ า งค าตอบที่ ๑ ทรั พ ย์ ที่ ติ ด กั บ ที่ ดิ น หรื อโรงเรื อน
เพียงชัว่ คราวไม่ถือว่าเป็ นส่ วนควบกับที่ ดินหรื อโรงเรื อนที่ ทรัพย์น้ นั
ขึ้ นอยู่ ซึ่ ง รวมถึ งผูม้ ี สิ ทธิ ในที่ ดินของผูอ้ ื่ นใช้สิท ธิ น้ ันปลู ก สร้ างด้วย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา ๑๔๖ เมื่อนายเอกมีสิทธิ
ในที่ดินของนายโทตามสัญญาเช่ า ปลูกบ้านอาศัยมีกาหนดสองปี แล้ว
34
แต่ น ายโทเป็ นเจ้ า ของที่ ดิ น ซึ่ ง เป็ นทรั พ ย์ ป ระธาน นายโทย่ อ มได้
กรรมสิ ท ธิ์ บ้ า นซึ่ ง เป็ นส่ วนควบด้ ว ยตามมาตรา ๑๔๔ วรรคสอง
กรรมสิ ท ธิ์ ใ นบ้ า นจึ ง เป็ นของนายโท (ค าพิ พ ากษาฎี ก าที่ ๑๗๒๓/
๒๕๕๑)
นายโทจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นายจัตวาโดยระบุวา่
ขายเฉพาะที่ดินเท่านั้นไม่รวมบ้าน บ้ านจึงไม่ เป็ นส่ วนควบของที่ดินอีก
ต่ อไป กรรมสิ ทธิ์ในบ้ านจึงยังเป็ นของนายโท (เทียบคาพิพากษาฎีกาที่
๕๙๖๒/๒๕๕๑)
นายโทยกบ้ า นให้ แ ก่ น ายเบญจเพื่ อ รื้ อถอนเอาไปปลู ก
สร้างใหม่โดยมิได้ทาสัญญาเป็ นหนังสื อ เป็ นการยกให้ ในลักษณะที่เป็ น
สั ง หาริ ม ทรั พ ย์ ไ ม่ ใช่ อสั งหาริ ม ทรั พ ย์ การยกให้ บ้ า นที่ เ กิ ด เหตุ
จึ ง สมบู ร ณ์ โดยไม่ ต้ อ งทาเป็ นหนั งสื อ และจดทะเบี ย นต่ อ พนั กงาน
เจ้ าหน้ าที่ ต ามมาตรา ๔๕๖ วรรคหนึ่ ง ประกอบมาตรา ๕๒๕
(คาพิพากษาฎีกาที่ ๕๙๖๒/๒๕๕๑)
ขณะที่นายเบญจกาลังรื้ อบ้านอยูน่ ้ นั ถือว่ าการให้ สมบูรณ์ แล้ ว
เพราะนายโทได้ ส่ งมอบบ้ า นให้ แก่ นายเบญจแล้ ว ตามมาตรา ๕๒๓
กรรมสิ ทธิ์ในบ้ านดังกล่าวจึงเป็ นของนายเบญจ
นายดาขับรถบรรทุกน้ ามันโดยประมาทเสี ยหลักพุง่ เข้าชนบ้าน
ที่เป็ นกรรมสิ ทธิ์ ของนายเบญจจนไฟลุกท่วมบ้านดังกล่าวจนหมด นาย
เบญจซึ่ งเป็ นเจ้ าของกรรมสิ ทธิ์บ้านดังกล่ าวจึงมีสิทธิได้ รับค่ าเสี ยหาย
จากนายดา
คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๒๓/๒๕๕๑ ฎ.๑๑๗๘ บ้านพิพาทอยู่ใน
39
ประนีประนอมยอมความกันในศาล ศาลได้พิพากษาตามยอมให้นายตรี
จดทะเบี ย นโอนที่ ดิ น ให้ แ ก่ น ายจัต วาภายในวัน ที่ ๒๐ พฤษภาคม
๒๕๔๙ หากไม่ไปโอนให้ถือเอาคาพิพากษาแทนการแสดงเจตนา เมื่อ
ถึงกาหนดนายตรี ไม่ยอมไปโอนที่ดิน
ต่อมาในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๙ นายโทนาคาสั่งของศาล
แพ่งซึ่ งถึงที่สุดแล้วไปยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอจดทะเบียนสิ ทธิ
ในที่ดินโดยการครอบครองปรปั กษ์ และในวันเดียวกันนั้น นายจัตวาได้
ยืน่ คาขอจดทะเบียนโอนขายที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ที่ทาไว้ต่อศาล โดยถือเอาคาพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของนายตรี
เจ้า พนัก งานที่ ดินพิ จารณาค าขอของนายโทพร้ อมค าสั่ งศาลที่ แสดง
กรรมสิ ทธิ์ โดยการครอบครองปรปั กษ์ และคาขอของนายจัตวาพร้ อม
คาพิพากษาตามยอม แล้วจดทะเบียนสิ ทธิ จากการครอบครองปรปั กษ์
ให้ที่ดินเป็ นกรรมสิ ทธิ์ ของนายโท
ให้วินิจฉัยว่า ก. คาสั่งศาลที่ว่า นายเอกครอบครองที่ดินมา ๕
ปี นายโทครอบครองต่ อมาอี ก ๖ ปี นายโทจึ ง ได้ก รรมสิ ทธิ์ ในที่ ดิน
ดังกล่าวโดยการครอบครองปรปั กษ์ ชอบด้วยกฎหมายหรื อไม่
ข. เจ้าพนัก งานที่ ดินจดทะเบีย นสิ ท ธิ ใ นที่ ดินโดยการครอบ
ครองปรปั ก ษ์ใ ห้ ที่ ดินเป็ นกรรมสิ ท ธิ์ ของนายโท ชอบด้วยกฎหมาย
หรื อไม่
ข้ อ ๗ คาตอบ ก. นายเอกครอบครองที่ดินมีโฉนดของนายตรี
โดยความสงบและโดยเปิ ดเผยด้วยเจตนาเป็ นเจ้าของ แล้วนายเอกขาย
ที่ ดินดัง กล่ า วให้แก่ นายโทโดยส่ ง มอบการครอบครอง เป็ นการโอน
50
นิ ติกรรม (มำตรำ ๑๒๙๙ ัรรคหนึ่ บ) ซึ่ บบริ บูรณ์ เป็ นเพี ยบบุคคลสิ ทธิ
ได้ ด้ัย
คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๘๗๒/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๓๐๓ สัญญา
ประนี ป ระนอมยอมความระหว่างโจทก์กบั ส. เป็ นเพีย งบุ ค คลสิ ท ธิ
ผูกพันเฉพาะคู่กรณี แม้ศาลจะพิพากษาตามสัญญาประนี ประนอมยอม
ความ โจทก์ก็ เพี ย งอยู่ใ นฐานะอัน จะให้จ ดทะเบี ย นสิ ท ธิ ข องตนได้
อยู่ก่อนเท่านั้น แต่สิทธิ ของผูไ้ ด้กรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๓๘๒ เป็ นสิ ทธิ ที่เกิดขึ้นด้วยผลของกฎหมาย เมื่อศาลพิพากษา
ถึงที่สุดยืนยันสิ ทธิ ดงั กล่าว ผลของคาพิพากษาย่อมผูกพัน ส. กับพวก
ซึ่ งถื อกรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินพิพาทร่ วมกันทุกคน และผลของคาพิพากษา
นั้นใช้ยนั โจทก์ซ่ ึ งเป็ นบุคคลภายนอกได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๕ (๒)
คาสั่งของจาเลยทั้งสองที่ให้จดทะเบียนการได้มาซึ่ งกรรมสิ ทธิ์ ในที่ดิน
พิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๒ ก่อนการจดทะเบียนสิ ทธิ แก่โจทก์
จึงถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว
พาณิ ชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ ง เท่านั้น แต่ก็เป็ นบุคคลสิ ทธิ ใช้บงั คับ
กันได้ระหว่างคู่สัญญา และไม่ใช่สิทธิ ที่ตามกฎหมายหรื อว่าโดยสภาพ
แล้วเป็ นการเฉพาะตัวของ น. โดยแท้ เมื่ อ น. ถึ งแก่ ค วามตาย สิ ท ธิ
หน้าที่ และความรั บผิดต่าง ๆ ตามสัญญาภาระจายอมย่อมตกทอดแก่
จาเลยซึ่ งเป็ นทายาทตามมาตรา ๑๕๙๙ และ ๑๖๐๐ โจทก์จึงมีสิทธิ ฟ้อง
บังคับ ให้จาเลยไปดาเนิ นการจดทะเบี ย นภาระจายอมและบังคับให้
จ าเลยรื้ อรั้ ว เสาปู น และลวดหนามที่ ปิ ดกั้ นทางพิ พ าทซึ่ งเป็ น
ภารยทรัพย์ออกได้
ข้ อสั งเกต กรณี ภำรวะำยอมที่ไม่ ได้ ะดทวเบียน หำกเะ้ ำขอบที่ดินยินยอม
ให้ ใช้ ทำบโดยไม่ มีค่ำตอบแทน แล้ ัต่ อมำเปลี่ ยนใะไม่ ยอมให้ ใช้ ทำบ
เะ้ ำขอบที่ ดิ น สำมำรถปิ ดกด้ น ทำบได้ แต่ ถ้ ำ เป็ นกำรใช้ ทำบโดยเสี ย
ค่ ำตอบแทนหรื อแบ่ บ ที่ ดินขำยเหมื อนกดบได้ ค่ำ ตอบแทนโดยรัมใน
รำคำไั้ แล้ ั เะ้ ำขอบที่ดินไม่ สำมำรถปิ ดกด้นทำบได้
แต่ ถ้ ำเป็ นภำรวะ ำยอมที่ ะดทวเบี ย นแล้ ั แม้ ะวไม่ ได้
ค่ ำตอบแทน ก็ะวบอกเลิ กภำรวะำยอมไม่ ได้ คำพิ พำกษำฎีกำที่ ๘๘๙/
๒๕๕๒ ฎ.ส.ล. ๓ น. ๔๖ ภำรวะำยอมเป็ นทรด พยสิ ทธิ ที่ก่อตด้บขึน้ ด้ ัย
อำศด ย อ ำนำะแห่ บกฎหมำยตำมปรวมัลกฎหมำยแพ่ บ แลวพำณิ ชย์
มำตรำ ๑๒๙๘ แลวกำรได้ มำโดยนิติกรรมซึ่ บภำรวะำยอมขอบโะทก์ ได้
ทำเป็ นหนดบ สื อแลวะดทวเบี ย นกำรได้ ม ำกด บ พนดก บำนเะ้ ำหน้ ำที่ ตำม
มำตรำ ๑๒๙๙ ัรรคหนึ่บ แล้ ั ะึ บเป็ นทรด พยสิ ทธิ ที่สมบูรณ์ มีผลทำให้
ที่ ดินโฉนดเลขที่ ๔๔๕๓ ขอบ ค. ตกเป็ นภำรวะำยอมแก่ ที่ดินโฉนด
เลขที่ ๓๓๑๘๔ ขอบโะทก์ ใช้ สำหรด บรถยนต์ เข้ ำออกได้ ทด้บแปลบ เมื่ อ
55
ข้ อ ๙ คาถาม นายดาครอบครองที่ดินมีโฉนดของนายแดงโดย
ความสงบและโดยเปิ ดเผยด้วยเจตนาเป็ นเจ้าของมา ๕ ปี นายดาถึ งแก่
ความตาย นายขาวบุ ตรของนายดาครอบครองที่ ดินดังกล่ าวต่อมาอี ก
๖ ปี ในปี นี้ น ายแดงน าที่ ดิ นที่ น ายด าและนายขาวครอบครองไปจด
ทะเบียนจานองเป็ นประกันเงินกูก้ บั ธนาคารไทย จากัด (มหาชน) ในปี
เดี ยวกันนี้ นายเทาซึ่ งเป็ นปู่ ของนายขาวถึ งแก่ความตาย โดยนายเทาทา
พินยั กรรมยกที่ดินของนายเทาให้แก่นายขาวเพียงผูเ้ ดียว ทั้งที่นายเทามี
บุตร ๒ คน คื อ นายดาและนายเงิ น นายเงิ นไม่พอใจนายเทาและนาย
ขาว นายเงินจึงแอบไปยืน่ คาร้องขอต่อศาลแพ่งขอจัดการมรดกของนาย
เทา โดยอ้างว่านายเทาไม่ได้ทาพินยั กรรมไว้และมีทายาท คือ นายเงิ น
เพียงคนเดียว โดยที่นายขาวซึ่ งเป็ นผูร้ ับมรดกตามพินยั กรรมไม่ทราบ
นายขาวจึงไม่ได้ไปคัดค้านต่อศาล ศาลแพ่งมีคาสั่งแต่งตั้งนายเงิ นให้
เป็ นผูจ้ ดั การมรดกของนายเทา นายเงินนาคาสั่งศาลไปจดทะเบียนโอน
ที่ดินซึ่ งเป็ นทรัพย์มรดกของนายเทามาเป็ นของนายเงินแต่เพียงผูเ้ ดี ยว
และนายเงินได้นาที่ ดินดังกล่ าวไปจดทะเบี ยนจานองเป็ นประกันหนี้
เงินกูก้ บั ธนาคารไทย จากัด (มหาชน)
ให้วินิจฉัย ว่า ก. นายขาวฟ้ องนายแดงเป็ นจาเลย ขอให้ศ าล
พิพากษาให้นายแดงไปจดทะเบียนไถ่ถอนจานองที่ดิน ได้หรื อไม่
ข. นายขาวฟ้ องนายเงิ น และธนาคารไทย จ ากัด (มหาชน)
เป็ นจาเลย ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินให้นาย
เงินและสัญญาจานองระหว่างนายเงินกับธนาคารไทย จากัด (มหาชน)
ได้หรื อไม่
68
ข้ อ ๙ คาตอบ ก. นายดาครอบครองที่ดินมีโฉนดของนายแดง
โดยความสงบและโดยเปิ ดเผยด้วยเจตนาเป็ นเจ้าของมา ๕ ปี นายดาถึง
แก่ความตาย นายขาวบุตรของนายดาครอบครองที่ดินดังกล่าวต่อมาอีก
๖ ปี ถือว่ าเป็ นการโอนการครอบครองแก่ กัน ผู้รับโอนจะนั บเวลาซึ่ ง
ผู้โอนครอบครองอยู่ก่อนนั้ นรวมเข้ ากับเวลาครอบครองของตนก็ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา ๑๓๘๕ นายขาวจึงนับ
ระยะเวลาทีน่ ายดาครอบครองมา ๕ ปี รวมกับเวลาที่ตนครอบครองมา
๖ ปี ได้ รวมเป็ นระยะเวลาในการครอบครองปรปักษ์ ๑๑ ปี เมื่อนายขาว
ครอบครองที่ดินซึ่ งเป็ นอสั งหาริ มทรั พย์ ของนายแดง โดยความสงบ
และโดยเปิ ดเผยด้ วยเจตนาเป็ นเจ้ าของติดต่ อกันเป็ นเวลา ๑๐ ปี นาย
ขาวจึงได้ กรรมสิ ทธิ์ในที่ดินของนายแดงโดยการครอบครองปรปั กษ์
ตามมาตรา ๑๓๘๒
การที่ น ายขาวได้ก รรมสิ ท ธิ์ ในที่ ดิ น ของนายแดงโดยการ
ครอบครองปรปั ก ษ์ก่อนที่ นายแดงจะจดทะเบี ยนจานองเป็ นประกัน
เงินกูก้ บั ธนาคารไทย จากัด (มหาชน) แม้ นายขาวจะได้ อสั งหาริมทรัพย์
มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ซึ่ งบริ บูรณ์ เป็ นทรั พยสิ ทธิตามมาตรา
๑๒๙๙ วรรคสอง แล้ ว แต่ นายขาวยัง ไม่ ไ ด้จดทะเบี ย นการได้ม าต่ อ
พนักงานเจ้าหน้าที่ นายขาวจะฟ้ องขอบังคับให้นายแดงไปจดทะเบียน
ไถ่ถอนจานองที่ดินซึ่งเป็ นการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนอย่ างหนึ่งมิได้
ตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๑๓๐๑ อี กทั้งธนาคาร
ผูร้ ับจานองเป็ นบุ คคลนอกคดี เมื่ อนายขาวไม่ ได้ฟ้องเป็ นจาเลยด้วย
ศาลก็ไม่อาจพิพากษาถึงธนาคารให้จดทะเบียนไถ่จานองได้ตาม ป.วิ.พ.
69
จึงไม่ผกู พันโจทก์
ข้ อสั งเกต คำพิ พำกษำฎีกำนี ผ้ ้ ูแต่ บไม่ เห็นด้ ัยกดบกำรัินิะฉด ย แต่ ะวไม่
อธิ บำยให้ เสี ย เัลำอ่ ำน เพรำวถ้ ำ นำข้ อเท็ะ ะริ บนี ้มำออกข้ อสอบ ธบ
คำตอบคบต้ อบเป็ นไปตำมค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำ กำรสอบเนติ ฯ หรื อสอบ
ผู้ ช่ ัยฯ อำะำรย์ ผ้ ู ต รัะข้ อ สอบมด ก ะวเคร่ บครด ด กด บ ธบค ำตอบ เมื่ อ
นด ก ศึ ก ษำทรำบกติ ก ำขอบกำรตรัะข้ อ สอบแล้ ั ถ้ ำ นด ก ศึ ก ษำพบ
คำพิ พำกษำฎี กำที่ นดกศึ กษำไม่ เห็ นด้ ัย นดกศึ กษำก็ต้อบะำคำพิ พำกษำ
ฎีกำแลวเหตุผลที่ศำลฎีกำตดดสิ นไั้ ไปเขียนตอบข้ อสอบ
ข้ อสั งเกต คำถำมข้ อนี ้มดดข้ อเท็ะะริ บั่ ำ นำยะดนทร์ ครอบครอบปรปด กษ์
ที่ ดินมี โ ฉนดขอบนำยพุ ธ ะนได้ ก รรมสิ ท ธิ์ แล้ ั ในค ำตอบะึ บ ไม่ ต้อ บ
ัินิะฉดยั่ ำ นำยะดนทร์ ครอบครอบอสด บหำริ มทรด พย์ ขอบผู้อื่นไั้ โดยคัำม
สบบแลวโดยเปิ ดเผยด้ ัยเะตนำเป็ นเะ้ ำ ขอบ ติ ดต่ อกด นเป็ นเัลำสิ บปี
ตำมมำตรำ ๑๓๘๒ แต่ ถ้ำเปลี่ ยนคำถำมเป็ นั่ ำ นำยะดนทร์ เข้ ำไปทำนำ
ในที่ ดินมีโฉนดขอบนำยพุธเป็ นเัลำ ๑๒ ปี โดยนำยพุธไม่ ทรำบ แล้ ั
นำยพุธก็นำที่ดินนด้นไปขำยให้ นำยเสำร์ ... กำรตอบคำถำม นดกศึกษำต้ อบ
ตอบั่ ำ นำยะดนทร์ เข้ ำไปทำนำในที่ ดินมีโฉนดขอบนำยพุธ เป็ นกำรเข้ ำ
ครอบครอบอสด บหำริ มทรด พย์ ขอบผู้อื่นไั้ โดยคัำมสบบแลวโดยเปิ ดเผย
ด้ ั ยเะตนำเป็ นเะ้ ำ ขอบ ติ ด ต่ อ กด น เป็ นเัลำกั่ ำ สิ บ ปี แม้ น ำยพุ ธ ะว
ไม่ ท รำบั่ ำ ที่ ดิ น ขอบตนถูก ครอบครอบปรปด ก ษ์ แต่ ก ำรครอบครอบ
ปรปด กษ์ กฎหมำยมิได้ คำนึ บั่ ำเะ้ ำขอบที่ ดินเดิ มะวทรำบั่ ำที่ ดินขอบตน
ถู ก ครอบครอบปรปด ก ษ์ ห รื อไม่ นำยะด น ทร์ ะึ บ ได้ ก รรมสิ ท ธิ์ ใ นที่ ดิ น
ดดบกล่ ำัโดยกำรครอบครอบปรปด กษ์ ตำมมำตรำ ๑๓๘๒
เมื่ อ ัิ นิ ะ ฉด ย ในปรวเด็น ดด บ กล่ ำ ัแล้ ั ะึ บ ัิ นิ ะ ฉด ย ปรวเด็น อื่ น
ต่ อไป กำรตอบข้ อสอบกฎหมำย เป็ นเรื่ อบที่ ต้อบฝึ กฝนแล้ ันดกศึกษำะว
ทรำบั่ ำอวไรต้ อบตอบ อวไรไม่ ต้อบตอบ ถ้ ำตอนนีย้ ดบไม่ ทรำบั่ ำอวไร
ต้ อบตอบ อวไรไม่ ต้อบตอบ ก็ค่อย ๆ ฝึ กเขียนตอบข้ อสอบแลวสด บเกต
ข้ อแนวนำที่ ให้ ไั้ เมื่อฝึ กฝนะนชำนำญแล้ ัะวทรำบแลวเขียนตอบได้
ครบถ้ ันทุกปรวเด็น
คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๘๗-๑๐๙๐/๒๕๐๑ ผูร้ ับโอนที่ดินมีโฉนด
ไว้โดยเสี ยค่าตอบแทนและโดยสุ จริ ตและได้จดทะเบียนสิ ทธิ โดยสุ จริ ต
75
อานาจดังกล่าวว่าโจทก์มอบอานาจให้ ส. มีอานาจจดทะเบียนจานอง
ที่ดินพิพาทได้ เป็ นการกระทาที่เปิ ดโอกาสให้บุคคลอื่นนาหนังสื อมอบ
อานาจไปใช้จดทะเบียนจานองที่ดินพิพาทแก่จาเลย ตามพฤติการณ์ของ
โจทก์ ซ่ ึ งเป็ นเจ้า ของที่ ดิ น พิ พ าทกระท าการดัง กล่ า ว ถื อ ว่ า โจทก์
ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โจทก์จึงไม่อาจอ้างความประมาทเลินเล่อ
ของตนมาเป็ นมูลเหตุฟ้องร้องจาเลยซึ่ งเป็ นบุคคลภายนอกผูร้ ับจานอง
โดยสุ จริ ตและมี ค่าตอบแทนเพื่อให้ตนพ้นความรั บผิด โจทก์จึงไม่ มี
สิ ทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนจานองที่ดินพิพาทได้
ข้ อสั งเกต เกี่ ยักดบกำรปลอมหนดบสื อมอบอำนำะไปโอนที่ ดิน อำะใช้
หลด ก กฎหมำยเรื่ อบตด ั แทนเชิ ด หรื อกำรใช้ หลด ก กฎหมำยทด่ ั ไปั่ ำ
รวหั่ ำบผู้สุะริ ตด้ ัยกดนผู้ปรวมำทเลินเล่ อย่ อมเสี ยเปรี ยบ หำกผู้ปรวมำท
มำฟ้ อบก็ต้อบยกฟ้ อบ แต่ เมื่อศำลฎีกำอ้ ำบเรื่ อบสุ ะริ ตแลวเสี ยค่ ำตอบแทน
ะึบนำคำพิพำกษำฎีกำเหล่ ำนีม้ ำรัมในมำตรำ ๑๒๙๙ ัรรคสอบ
หลดกในกำรคิดเกี่ยักดบเรื่ อบกำรปลอมหนดบสื อมอบอำนำะ หรื อ
ปลอมลำยมือชื่ อ ก็ใช้ หลดกั่ ำถ้ ำเะ้ ำขอบปรวมำทเลิ นเล่ อ เะ้ ำขอบะวมำ
ฟ้ อบขอให้ เพิ ก ถอนกำรโอนหรื อกำระ ำนอบไม่ ไ ด้ เพรำวท ำให้
บุคคลภำยนอกเสี ยหำย ตดัอย่ ำ บเช่ นค ำพิ พำกษำฎี กำนี ้ แต่ ถ้ำเะ้ ำขอบ
ที่ ดินฟ้ อบเรี ยกคื นะำกคนปลอมหนดบสื อมอบอำนำะ แม้ เะ้ ำขอบที่ ดินะว
ปรวมำท ก็ฟ้อบเรี ยกคื นได้ เพรำวไม่ มีบุคคลภำยนอกเสี ยหำย ขอให้ ดู
คำพิพำกษำฎีกำต่ อไป
ค าพิพ ากษาฎีก าที่ ๗๙๐๖/๒๕๔๔ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๘๖ การที่
โจทก์ฟ้ องเพื่ อติ ด ตามเอาคื นซึ่ งทรั พ ย์สิ น ของโจทก์ จากจาเลยที่ ๑
79
ทางเดินของนายแดงและนายจันทร์เลย
ให้วินิจฉัยว่า นายแดงมี สิทธิ ในที่ ดินที่ นายอังคารรั บโอนมา
หรื อไม่เพียงใด
ข้ อ ๑๒ คาตอบ การที่ นายแดงปลู กบ้า นรุ ก ล้ าเข้าไปในที่ ดิน
ของนายดาเนื้ อที่ ๑๐ ตารางวา โดยนายแดงเข้าใจว่าเป็ นที่ ดินที่ อยู่ใน
โฉนดที่ดินของตน เป็ นกรณีที่นายแดงสร้ างโรงเรื อ นรุ กล้าเข้ า ไปใน
ที่ดินของนายดาโดยสุ จริ ต นายแดงจึงเป็ นเจ้ าของโรงเรื อนที่สร้ างขึ้น
แต่ ต้ อ งเสี ย เงิน ให้ แ ก่ นายด าเจ้ า ของที่ดิ น เป็ นค่ า ใช้ ที่ดิ น นั้ น และจด
ทะเบียนสิ ทธิเป็ นภาระจายอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์
มาตรา ๑๓๑๒ วรรคหนึ่ง
นอกจากนี้ การที่ นายแดงปลู กโรงเรื อนรุ กล้ า ดังกล่ าวและอยู่
อาศัย ยังเป็ นกรณีทนี่ ายแดงครอบครองทรั พย์ สินของผู้อื่นไว้ โดยความ
สงบ และโดยเปิ ดเผยด้ วยเจตนาเป็ นเจ้ าของตามมาตรา ๑๓๘๒ อีกด้ วย
การที่นายแดงเดิ นผ่านที่ดินของนายดา เป็ นการใช้ ทางเดินบน
ที่ดินของนายดาโดยความสงบ และโดยเปิ ดเผยด้ วยเจตนาจะเอาเป็ น
ทางภาระจายอม ซึ่ งเป็ นการใช้ ทางเดินโดยปรปั กษ์ ตามมาตรา ๑๔๐๑
ประกอบมาตรา ๑๓๘๒ จึ งเป็ นกรณีที่ที่ดินของนายด าอาจตกอยู่ใ น
ภาระจ ายอม อั น เป็ นเหตุ ใ ห้ น ายด าเจ้ า ของที่ ดิ น ต้ อ งยอมรั บ กรรม
บางอย่ า งซึ่ งกระทบถึงทรั พย์ สินของตน หรื อต้ องงดเว้ นการใช้ สิทธิ
บางอย่ างอันมีอยู่ในกรรมสิ ทธิ์ทรั พย์ สินนั้น เพื่อประโยชน์ แก่ ที่ดินของ
นายแดงตามมาตรา ๑๓๘๗
การที่นายแดงปลูกบ้านรุ กล้ าเข้าไปในที่ดินและเดิ นผ่านที่ดิน
81
แลวตรบปรวเด็น
ส่ ันข้ อเท็ะะริ บที่ ั่ำ นำยสอบขำยที่ ดินกรรมสิ ทธิ์ รัมส่ ันขอบ
ตนให้ แก่ นำยหนึ่ บ โดยไม่ ได้ รวบุให้ ชดดเะนั่ ำนำยหนึ่ บสุ ะริ ตหรื อไม่
เป็ นกำรช่ ัยนด ก ศึ ก ษำอี ก ทำบหนึ่ บ เพรำวหำกนด ก ศึ ก ษำะวตอบั่ ำ
นำยหนึ่บเป็ นบุคคลภำยนอก นดกศึกษำต้ อบมำหำข้ อเท็ะะริ บในคำถำมั่ ำ
ส่ ันใดที่ ะวชี ้ใ ห้ เห็ นั่ ำ นำยหนึ่ บ สุ ะริ ตหรื อไม่ แลวนดก ศึ ก ษำอำะะว
ย้ อนกลดบมำคิดได้ ั่ำนำยหนึ่บไม่ ใช่ บุคคลภำยนอก
คาพิพากษาฎีกาที่ ๓๖๗๐/๒๕๔๗ ฎ.๘๘๗ ย. ย่าของผูร้ ้องซื้ อ
ที่ ดินพิ พ าทอันเป็ นส่ วนหนึ่ ง ของที่ ดินโฉนดตราจองจาก จ. ซึ่ ง เป็ น
เจ้า ของกรรมสิ ท ธิ์ รวม แม้ก ารซื้ อขายจะมิ ไ ด้ท าเป็ นหนัง สื อและจด
ทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยอ่ มตกเป็ นโมฆะตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา ๔๕๖ วรรคหนึ่ง แต่หลังจากตกลงซื้ อขายที่ดิน
กันแล้ว จ. ได้ส่ ง มอบที่ ดินพิ พ าทให้ ย. เข้า ครอบครองปลู ก บ้า นอยู่
อาศัยโดยเปิ ดเผยด้วยเจตนาเป็ นเจ้าของ ต่อมา ย. ยกที่ดินพิพาทให้แก่
ส. บิดาของผูร้ ้ องและสื บทอดต่อมายังผูร้ ้ อง เป็ นเวลากว่า ๑๐ ปี ผูร้ ้อง
จึงได้กรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปั กษ์ตามมาตรา
๑๓๘๒ การที่ฝ่ายผูร้ ้องมิได้โต้แย้งคัดค้านการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลง
สิ ทธิ ในโฉนดตราจอง หรื อผูร้ ้องมิได้ดาเนิ นการทางทะเบียนเมื่อครบ
กาหนดเวลาการได้ก รรมสิ ท ธิ์ ในที่ ดินพิพ าทตามกฎหมาย ไม่ท าให้
ลักษณะการยึดถือที่ดินพิพาทของฝ่ ายผูร้ ้องเปลี่ยนแปลงไป
ผูค้ ดั ค้า นเป็ นเจ้าของรวมในที่ ดินโฉนดตราจอง ผูร้ ้ องครอบ
ครองปรปั ก ษ์ที่ ดิ น พิ พ าทซึ่ งเป็ นส่ ว นหนึ่ งของที่ ดิ น โฉนดตราจอง
89
กรรมสิ ทธิ์ แล้ ั ช. ขำยที่ ดินให้ บิดำโะทก์ ที่ได้ ะดทวเบียนรด บโอนที่ ดิน
โดยสุ ะริ ตแลวเสี ยค่ ำตอบแทน ะำเลยะวยกกำรครอบครอบปรปด กษ์ ขึน้
ต่ อสู้บิดำโะทก์ ไม่ ได้ ตำมมำตรำ ๑๒๙๙ ัรรคสอบ
กำรที่ ะ ำเลยได้ ก รรมสิ ท ธิ์ โ ดยกำรครอบครอบปรปด ก ษ์ ต ำม
มำตรำ ๑๓๘๒ แล้ ัยดบไม่ สำมำรถยกขึน้ ต่ อสู้ บิดำโะทก์ ได้ ตำมมำตรำ
๑๒๙๙ ัรรคสอบ หำกะำเลยครอบครอบที่ ดินเพียบ ๓ ปี ซึ่ บเป็ นสิ ทธิ ที่มี
สิ ทธิ น้อยกั่ ำ ครอบครอบครบ ๑๐ ปี กำรครอบครอบที่ ดินเพี ย บ ๓ ปี
ก็ ไ ม่ ส ำมำรถยกขึ ้น ต่ อ สู้ บิ ด ำโะทก์ ตำมมำตรำ ๑๒๙๙ ัรรคสอบ
เช่ นเดียักดน
คาพิพ ากษาฎีก าที่ ๒๗๒๒/๒๕๔๗ ฎ.๔๗๖ โจทก์มี ชื่ อเป็ น
เจ้าของกรรมสิ ทธิ์ ที่ดินร่ วมกับ ฉ. เมื่อจาเลยมิได้ต่อสู ้ว่าโจทก์ซ้ื อที่ดิน
โดยไม่ สุ จ ริ ต โจทก์ ย่ อ มได้ รั บ ประโยชน์ จ ากข้อ สั น นิ ษ ฐานของ
กฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา ๖ ว่ากระทาการ
โดยสุ จริ ต และเมื่อเป็ นการซื้ อขายจึงย่อมมีค่าตอบแทน แม้จาเลยจะได้
กรรมสิ ทธิ์ ส่ วนหนึ่ งของที่ ดินโดยการครอบครองตามมาตรา ๑๓๘๒
โดยคาสั่งศาล แต่ก็เป็ นการได้มาภายหลังที่โจทก์ได้กรรมสิ ทธิ์ ที่ดินโดย
เสี ยค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิ ทธิ โดยสุ จริ ตแล้ว เมื่อการได้ที่ดิน
ของจาเลยดังกล่าวเป็ นการได้มาทางอื่นนอกจากนิติกรรมและในขณะที่
ได้มาโจทก์จดทะเบียนรับโอนที่ดินจากเจ้าของที่ดินเดิ มแล้ว แต่จาเลย
ยัง มิ ไ ด้จ ดทะเบี ย นการได้ม าต่ อพนัก งานเจ้า หน้า ที่ จาเลยจึ ง ไม่ อาจ
ยกขึ้นเป็ นข้อต่อสู ้โจทก์ตาม มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ได้ แม้จาเลยจะ
ครอบครองที่ดินต่อมา ก็ตอ้ งเริ่ มนับระยะเวลาครอบครองใหม่นบั แต่
91
ทางสาธารณะจะยอมให้เจ้าของที่ดินดังกล่าวใช้ถนนที่ โจทก์ที่ ๑ ทา
ออกสู่ ทางสาธารณะด้วย ต่อมาเมื่ อโจทก์ที่ ๑ รั บโอนกรรมสิ ทธิ์ ที่ดิน
แล้วแบ่งแยกที่ดินเป็ นแปลงย่อยให้โจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๔ แม้โจทก์ท้ งั สี่ จะ
ไม่มีภูมิลาเนาหรื อบ้านอยูใ่ นเขตที่ดินพิพาทก็ตาม การที่โจทก์ท้ งั สี่ ใช้
ถนนที่โจทก์ที่ ๑ ทาขึ้นเข้าไปดูแลที่ดินที่ตนเป็ นเจ้าของ ก็ถือว่าโจทก์
ทั้งสี่ ได้ใช้ทางพิพาทเป็ นทางเข้าออกในขณะที่ไปดูแลที่ดินของตนโดย
ความสงบและโดยเปิ ดเผยด้ว ยเจตนาเป็ นเจ้า ของมาตั้ง แต่ ว นั ที่ จ ด
ทะเบียนรับโอนกรรมสิ ทธิ์ ที่ ดิน การที่ โจทก์ที่ ๑ ทาถนนและไม่ห้าม
เจ้าของที่ดินแปลงอื่นใช้ทางพิพาทร่ วมกันได้ จึงไม่เป็ นการใช้ทางโดย
วิสาสะหรื อโดยใช้ทางของผูอ้ ื่นที่ให้ความยินยอม แต่เป็ นลักษณะการ
ตกลงให้ที่ดินในส่ วนของทางพิพาทเป็ นภาระจายอมที่ใช้ซ่ ึ งกันและกัน
เมื่อโจทก์ท้ งั สี่ ใช้ทางพิพาทจนมีระยะเวลาติดต่อกันเป็ นเวลาสิ บปี แล้ว
ย่อมได้ภาระจายอมโดยอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๐๑
ทรั พ ยสิ ท ธิ อ ัน เกี่ ย วกับ อสั ง หาริ ม ทรั พ ย์ที่ ไ ด้ม าโดยทางอื่ น
นอกจากนิ ติกรรมและยังมิ ได้จดทะเบี ยนนั้น มิ ให้ย กขึ้ นเป็ นข้อต่อสู ้
บุคคลภายนอกผูไ้ ด้สิทธิในอสังหาริ มทรัพย์มาโดยเสี ยค่าตอบแทนและ
โดยสุ จริ ตตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง นั้น จะต้องเป็ นทรั พ ยสิ ท ธิ
ประเภทเดี ย วกัน จึ ง จะยกขึ้ นเป็ นข้ อ ต่ อ สู ้ สิ ทธิ ก ารได้ ม าเกี่ ย วกั บ
อสังหาริ มทรัพย์ได้ การที่จาเลยที่ ๑ อ้างว่าซื้ อที่ ดินมาจากจาเลยที่ ๒
โดยสุ จริ ตและเสี ยค่าตอบแทนที่จะยกขึ้นเป็ นข้อต่อสู ้สิทธิ ที่โจทก์ท้ งั สี่
ได้มาซึ่ งภาระจายอมนั้น สิ ทธิ ที่ โจทก์ท้ งั สี่ ได้ม าซึ่ งภาระจายอมมิ ใ ช่
ได้มาซึ่ งกรรมสิ ทธิ์ ในอสังหาริ มทรัพย์ เป็ นสิ ทธิ เกี่ ยวกับทรัพย์สินคน
93
บุคคลภายนอกทีไ่ ด้ รับความคุ้มครอง
คาพิพ ากษาฎีก าที่ ๒๐๖๘/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล. ๕ น. ๙๒ บุ คคล
ภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง หมายถึ งบุคคลใด ๆ
ก็ได้ที่มิใช่ เจ้าของที่ ดินเดิ มซึ่ งได้สิทธิ มาโดยเสี ยค่าตอบแทนและโดย
สุ จริ ตและได้จดทะเบีย นสิ ทธิ โดยสุ จริ ตแล้ว เมื่อ ธนาคาร ก. เป็ นทั้ง
ผูร้ ับจานองที่ดินพิพาทจากเจ้าของที่ดินเดิมและยังเป็ นผูซ้ ้ื อที่ดินพิพาท
จากการขายทอดตลาดโดยเสี ย ค่ า ตอบแทนและโดยสุ จ ริ ต และได้
จดทะเบี ย นสิ ท ธิ โ ดยสุ จ ริ ต แล้ว ธนาคาร ก. จึ ง เป็ นบุ ค คลภายนอก
ย่อมได้รับความคุม้ ครองตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง
เมื่อธนาคาร ก. ซื้ อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาล
โดยไม่ ป รากฏว่า ซื้ อมาโดยสุ จริ ต หรื อไม่ อย่า งไร ก็ ย่อมเป็ นไปตาม
ข้อสันนิ ษฐานอันเป็ นคุ ณแก่ผซู ้ ้ื อว่า บุคคลทุกคนกระทาการโดยสุ จริ ต
ตามมาตรา ๖ ถื อว่า ธนาคาร ก. ซื้ อ ที่ ดินพิ พ าทโดยสุ จริ ต และได้จ ด
ทะเบียนสิ ทธิ โดยสุ จริ ตแล้ว ผูร้ ้ องไม่อาจอ้างสิ ทธิ ครอบครองปรปั กษ์
ขึ้นใช้ยนั ธนาคาร ก. ได้ตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง แม้เมื่อผูค้ ดั ค้านที่
๑ ได้รับโอนที่ดินพิพาทจากธนาคาร ก. ภายใน ๑๐ ปี นับแต่วนั รับโอน
จากธนาคาร ก. และรั บ โอนโดยไม่ สุ จริ ตก็ ต าม ผู้ร้ อ งซึ่ งเป็ น
ผูค้ รอบครองปรปั กษ์ก็ ไ ม่อาจยกสิ ท ธิ ข องตนขึ้ นใช้ย นั ผูค้ ดั ค้านที่ ๑
94
ดัง นั้น แม้ผูร้ ้ อ งจะมิ ไ ด้จ ดทะเบี ย นการได้ม าซึ่ งกรรมสิ ท ธิ์ โดยการ
ครอบครองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ยกขึ้นต่อสู ้โจทก์ได้ โจทก์ไม่มีสิทธิ
ยึดที่ดินพิพาทเพื่อชาระหนี้ตามคาพิพากษา
ข้ อสั งเกต เะ้ ำหนี ้ตำมคำพิ พำกษำ แม้ ะวเป็ นบุคคลภำยนอก แต่ ไม่ ใช่
ผู้ ไ ด้ ท รด พย์ เพี ย บแต่ ขอให้ เะ้ ำพนด ก บำนบด บ คด บ คดี ยึ ด ทรด พย์ ไ ั้ ข ำย
ทอดตลำดเอำเบิ น มำชำรวหนี ้เ ท่ ำ นด้ น หำกมี ก ำรขำยทอดตลำดแล้ ั
มีผ้ ูซื้อทรด พย์ ได้ ผู้ซื้อทรด พย์ เป็ นบุคคลภำยนอกผู้ได้ ทรด พย์ มำ ะึ บต้ อบมำ
พิะำรณำมำตรำ ๑๒๙๙ ัรรคสอบ หรื อมำตรำ ๑๓๓๐ แล้ ัแต่ กรณี
บุคคลภายนอกไม่ สุจริต
คาพิพากษาฎีกาที่ ๓๘๖๖/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๔๑ จาเลยและ
ส. เป็ นผูป้ ลูกสร้างบ้านบนที่ดินพิพาทเพื่อใช้เป็ นที่อยูอ่ าศัยของจาเลย
และบุคคลในครอบครัว เพราะได้รับการยกให้ซ่ ึ งที่ดินพิพาทจาก ม.
น้อ งสาวของจ าเลยเจ้า ของที่ ดิ นพิ พ าท เมื่ อจ าเลยกับ ส. พร้ อ มด้ว ย
ครอบครัวได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิ ดเผยด้วย
เจตนาเป็ นเจ้าของติดต่อกันตั้งแต่ได้รับการยกให้เมื่อปี ๒๕๒๖ ตลอด
มาเป็ นเวลาเกิ นกว่า ๑๐ ปี จาเลยย่อมได้กรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินพิพาทโดย
การครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๒ แล้ว ป.พ.พ. มาตรา
๑๓๘๒ หาได้บ ัญ ญัติ ว่ า ผู ้ที่ จ ะได้ก รรมสิ ท ธิ์ ในทรั พ ย์สิ น โดยการ
ครอบครองปรปั กษ์จะต้องรู ้วา่ ทรัพย์สินที่ตนครอบครองเป็ นทรัพย์สิน
ของบุ ค คลอื่ นด้วยไม่ หากจาเลยครอบครองที่ ดินพิพาทโดยลักษณะ
เป็ นการครอบครองเพื่อตน แม้จะเข้าใจว่าที่ดินดังกล่าวเป็ นของจาเลย
96
ไม่ไ ด้จดทะเบี ย นโอนที่ ดินพิ พาทให้แก่ ผูร้ ้ อง โจทก์ท้ งั สองก็ ไม่ อาจ
บังคับคดีให้กระทบกระทัง่ สิ ทธิ ของผูร้ ้องได้
คาพิพากษาฎีกาที่ ๗๙๗/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล. ๓ น. ๓๖ ตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๖ ให้สันนิ ษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทาการโดยสุ จริ ต
ดังนั้น การที่ โจทก์ท้ งั สองอ้างว่า ผูร้ ้ องและจาเลยสมคบกันทาสัญญา
ประนี ประนอมยอมความขึ้นโดยเจตนาไม่สุจริ ต เพื่อให้ทรัพย์สินพ้น
จากการบังคับคดี และทาให้เจ้าหนี้ เสี ยเปรี ยบ โจทก์จึงต้องมีภาระการ
พิ สู จ น์ เ พื่ อ หั ก ล้ า งข้อ สั น นิ ษ ฐานดัง กล่ า ว เมื่ อ จ าเลยได้ ท าสั ญ ญา
ประนี ป ระนอมยอมความโอนที่ ดินพิพ าททั้งสองแปลงให้ผูร้ ้ องตาม
มูลหนี้ สัญญาจะซื้ อจะขาย และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมจนคดี ถึง
ที่สุดแล้ว สิ ทธิ ของผูร้ ้องตามคาพิพากษาที่จะเรี ยกร้องให้จาเลยปฏิบตั ิ
ตามคาพิพากษาหรื อไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่
ตนย่อมเกิดขึ้นทันทีแม้ผรู ้ ้องจะต้องชาระเงิ นที่เหลื อจานวนหนึ่ งให้แก่
จาเลยตามข้อตกลงในสัญญาประนี ประนอมยอมความด้วยก็ตาม การที่
ผูร้ ้องยังไม่ชาระเงินที่เหลือจานวนดังกล่าวให้แก่จาเลย มีผลเพียงทาให้
ผูร้ ้ องยังไม่อาจจะเรี ยกร้องให้จาเลยชาระหนี้ ตอบแทนเท่านั้น หามีผล
ทาให้สิทธิ ของผูร้ ้องที่จะเรี ยกให้จาเลยปฏิบตั ิตามคาพิพากษาหมดไป
ไม่ ผูร้ ้องจึงอยูใ่ นฐานะที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิ ทธิ ของตนเหนื อที่ดิน
พิพาททั้งสองแปลงได้อยูก่ ่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๐ โจทก์ท้ งั สอง
หามีสิทธิ ขอให้บงั คับยึดที่ดินพิพาททั้งสองเพื่อนาออกขายทอดตลาด
ชาระหนี้อนั เป็ นการกระทบถึงสิ ทธิของผูร้ ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๘๗
ได้ไม่
113
การคุ้มครองบุคคลภายนอกตามมาตรา ๑๓๐๓
ข้ อ ๑๖ คาถาม นายเอกลักไม้ราคา ๕๐๐ บาท และลักนาฬิกา
เรื อนละ ๕,๐๐๐ บาท ของนายโท แล้วนายเอกนาไม้ที่ลกั มาแกะสลัก
เป็ นเทวรู ป ไม้ที่ ส วยงามมาก นายตรี ม าเห็ น เทวรู ป ไม้แ ละนาฬิ ก า
ดังกล่ าวแล้วอยากได้ จึ งขอซื้ อเทวรู ปไม้ราคา ๒๐,๐๐๐ บาท นาฬิ กา
๕,๐๐๐ บาท โดยนายตรี ไม่ทราบว่าทรัพย์ดงั กล่าวนายเอกลักมา นายตรี
ชาระเงินแล้วนาเทวรู ปไม้และนาฬิกากลับบ้านไป ต่อมานายโททราบ
เรื่ อง นายโทต้องการเทวรู ปไม้และนาฬิกาคืนมาเป็ นของตน
ให้วินิจฉัยว่า นายโทและนายตรี ใครมีสิทธิ ในเทวรู ปไม้และ
นาฬิกาดีกว่ากัน
ข้ อ ๑๖ คาตอบ การที่นายเอกลักไม้ราคา ๕๐๐ บาทของนายโท
แล้วนายเอกนาไม้ที่ลกั มาแกะสลักเป็ นเทวรู ปไม้ราคา ๒๐,๐๐๐ บาท
นั้น แม้ กฎหมายจะกาหนดให้ บุคคลใดใช้ สัมภาระของบุคคลอืน่ ทาสิ่ งใด
ขึน้ ใหม่ เจ้ าของสั มภาระเป็ นเจ้ าของสิ่ ง นั้นโดยมิต้องคานึงว่ าสั มภาระ
นั้นจะกลับคืนตามเดิมได้ หรื อไม่ โดยต้ องใช้ ค่าแรงงานตามประมวล
กฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ มาตรา ๑๓๑๗ วรรคหนึ่ ง แต่ ใ นกรณี ที่
ค่ าแรงงานเกินกว่ าค่ าสั มภาระที่ใช้ น้ ันมาก ผู้ทาเป็ นเจ้ าของทรั พย์ ที่ทา
ขึน้ แต่ ต้องใช้ ค่าสั มภาระตามมาตรา ๑๓๑๗ วรรคสอง กรณี น้ ีค่าไม้ของ
นายโทราคา ๕๐๐ บาท ส่ วนค่าแรงงานของนายเอกราคา ๑๙,๕๐๐ บาท
เป็ นกรณีที่ค่าแรงงานเกินกว่ าค่ าสั มภาระที่ใช้ น้ ันมาก นายเอกผู้ทาเป็ น
เจ้ า ของทรั พ ย์ ที่ทาขึ้น แต่ ต้ อ งใช้ ค่ า สั ม ภาระให้ แก่ นายโท เทวรู ปไม้
ดั ง กล่ า วจึ ง เป็ นของนายเอก (๓ คะแนน) เมื่ อ นายเอกเป็ นเจ้ า ของ
114
ยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพือ่ ตน นายขาจึงมีสิทธิครอบครอง
ตามมาตรา ๑๓๖๗ เมื่อจะต้ องส่ งคืนการครอบครอง มาตรา ๑๓๗๖ ให้
นาหลักเรื่ องลาภมิควรได้ มาใช้ บังคับ กล่ าวคือ บุคคลผู้ได้ รับทรั พย์ สิน
ไว้ โดยสุ จ ริ ต ย่ อ มจะได้ ด อกผลอันเกิด แต่ ทรั พ ย์ สิ นนั้ นตลอดเวลาที่
ยังคงสุ จริ ตอยู่ เมื่อสุ นขั ตัวดังกล่าวคลอดลูกสุ นขั มาอีก ๑ ตัว โดยนาย
ขาเข้าใจว่าตนเป็ นเจ้าของสุ นขั เนื่องจากซื้ อมาเพราะถูกนายเขียวหลอก
ต้ องถือว่ านายขาครอบครองสุ นัขโดยสุ จริ ต ย่ อมจะได้ ดอกผลอันเกิด
แต่ ทรัพย์ สินนั้นตลอดเวลาที่ยังคงสุ จริ ตอยู่ นายขาจึงมีสิทธิในลูกสุ นัข
ซึ่งเป็ นดอกผลดีกว่านายขาว
ข้ อ สั ง เกต ค ำถำมไม่ ไ ด้ ถ ำมั่ ำ นำยขำัมี สิ ท ธิ อ ย่ ำ บไรต่ อ นำยเขี ย ั
นดกศึ กษำไม่ ะำเป็ นต้ อบตอบในเรื่ อบนี ้ แลวข้ อเท็ะะริ บที่ ั่ำ เช่ ำสุ นดขเพื่ อ
ไปเฝ้ ำบ้ ำนเนื่อบะำกนำยเขียักำลดบซ่ อมแซมปรวตูบ้ำน เป็ นข้ อเท็ะะริ บ
ที่ ไม่ คัรมีในคำตอบ เพรำวไม่ ใช่ ข้อเท็ะะริ บที่ ต้อบนำไปปรด บเข้ ำกดบข้ อ
กฎหมำย
คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๔/๒๔๙๔ เช่าเครื่ องมือในการตัดผมและ
เครื่ องอุปกรณ์ อื่นในร้านตัดผมของเขาไว้ เปิ ดทาการตัดผม คิ ดค่าเช่ า
เป็ นรายเดื อน และชาระค่าเช่ าเรื่ อยมาภายหลังกลับ เอาเครื่ องมื อและ
เครื่ อ งอุ ป กรณ์ เ หล่ า นั้น ไปโอนขายแก่ ผูอ้ ื่ น เสี ย ดัง นี้ ผูร้ ั บ ซื้ อ ไม่ ไ ด้
กรรมสิ ท ธิ์ และไม่ ใ ช่ ก รณี ต ามประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์
มาตรา ๑๓๐๓ และไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา ๑๓๓๒ เจ้าของยังคง
มีสิทธิติดตามเอาคืนได้
ข้ อสั งเกต คำพิ พำกษำฎี กำนี ร้ อบศำสตรำะำรย์ ัิริยว นำมศิ ริพบศ์ พดนธุ์
123
เห็ นั่ ำ เป็ นกำรตี ค ัำมมำตรำ ๑๓๐๓ ัรรคสอบ กั้ ำบเกิ นไป ทำให้
โอกำสที่ ะวนำหลดกคุ้มครอบบุคคลภำยนอกตำมมำตรำ ๑๓๐๓ ัรรค
หนึ่ บ มำใช้ ไ ด้ น้อยมำก อด นไม่ ส อดคล้ อบกด บ สด บ คมปด ะะุ บดน หำกออก
ข้ อสอบ กำรตอบตำมคำพิ พำกษำฎีกำน่ ำะวปลอดภดยแลวได้ ควแนนดี
ที่ สุด แต่ ปดญหำนี ้ผ้ ูแต่ บเห็นั่ ำน่ ำะวต้ อบติ ดตำมดูคำพิ พำกษำฎีกำใหม่
ด้ ัยั่ ำ ศำลฎีกำยดบะวเดินตำมแนัเดิ มหรื อไม่ ขอให้ ศึกษำเพิ่ มเติ มะำก
กอบทุนศำสตรำะำรย์ ะิตติ ติ บศภดทิย์ , คาอธิบายประมวลกฎหมายแพ่ ง
และพาณิชย์ เรี ยงมาตรา ว่ าด้ วยทรั พย์ สิน , ัิ ริยว นำมศิ ริพบศ์ พดนธุ์ ,
กดนยำยน ๒๕๔๕, หน้ ำ ๒๒
การคุ้มครองบุคคลภายนอกตามมาตรา ๑๓๒๙
ข้ อ ๑๘ คาถาม เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ เด็กชายเอกอายุ
๑๔ ปี ขายสุ นขั ตัวผูใ้ ห้แก่นายโท และขายสุ นขั ตัวเมียให้แก่นายตรี ราคา
ตัวละ ๕,๐๐๐ บาท เพื่อจะเอาเงินไปซื้ อคอมพิวเตอร์ โดยไม่ได้บอกบิดา
มารดาก่อน ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๑ นายโทขายสุ นขั ตัวผู้
ให้แก่นายสองราคา ๑๐,๐๐๐ บาท แล้วเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๑
บิดามารดาของเด็กชายเอกทราบเรื่ องการขายสุ นขั จึงเรี ยกสุ นขั คืนจาก
นายโทและนายตรี ทนั ทีโดยยินดีจะคืนเงินให้ นายโทแจ้งว่าได้ขายสุ นขั
ตัวผูใ้ ห้แก่นายสองไปแล้ว ส่ วนนายตรี ยงั ไม่ยอมคืนสุ นขั ตัวเมียให้แล้ว
ในวันรุ่ งขึ้นนายสามมาขอซื้ อสุ นขั ตัวเมียจากนายตรี นายตรี จึงขายสุ นขั
ตัวเมียให้แก่นายสามราคา ๒๐,๐๐๐ บาท โดยส่ งมอบสุ นขั ให้ไป
124
ที่ ๒๐๓๖/๒๕๑๘)
การที่นายโทขายสุ นขั ตัวผูใ้ ห้แก่นายสองเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม
๒๕๕๑ และบอกล้างเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๑ ถือว่ านายสองได้
ทรั พย์ สินมาในระหว่ างที่ยังไม่ มีการบอกล้ างโมฆียะกรรม สิ ทธิของ
นายสองมิเสี ยไป บิดามารดาของเด็กชายเอกจึงเรี ยกสุ นัขคืนจากนาย
สองไม่ ได้
ส่ วนนายตรี ขายสุ นขั ตัวเมียให้แก่นายสามหลังจากบิดามารดา
ของเด็กชายเอก บอกล้างนิ ติกรรมระหว่างเด็กชายเอกและนายตรี ไป
แล้วนั้น ถือว่ านายสามได้ ทรั พย์ สินมาภายหลังบอกล้ างโมฆียะกรรม
แล้ ว นายสามย่ อมไม่ ได้ รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๓๒๙ เด็กชาย
เอกจึงยังเป็ นเจ้ าของกรรมสิ ทธิ์ในสุ นัขอยู่ บิดามารดาของเด็กชายเอก
จึ งเรี ยกสุ นัขคื นจากนายสามได้ โดยอาศั ยอานาจแห่ งกรรมสิ ทธิ์ ตาม
มาตรา ๑๓๓๖
ข้ อ สั ง เกต ค ำถำมข้ อ นี ้ไ ม่ ไ ด้ ถ ำมั่ ำ บิ ด ำมำรดำขอบเด็ก ชำยเอกะว
เรี ยกร้ อบค่ ำเสี ยหำยะำกนำยโทได้ เท่ ำใด หรื อะวต้ อบะ่ ำยเบิ นให้ แก่ นำย
สำมเท่ ำใด ะึบไม่ ต้อบตอบมำ
หำกคำถำมข้ อนี ้เป็ นข้ อสอบัิชำกฎหมำยลดกษณวทรด พย์ ขอบ
รวดดบปริ ญญำตรี ปรวเด็นเรื่ อบผู้เยำั์ ท ำนิ ติกรรมโดยไม่ ไ ด้ รดบคัำม
ยินยอม ะึ บเป็ นโมฆียวกรรม แลวเรื่ อบกำรบอกล้ ำบกดบผลขอบกำรบอก
ล้ ำบคบไม่ ต้อบอธิ บำยลวเอี ยดอย่ ำบในธบคำตอบ โดยอำะะวกล่ ำัถึบไั้
เพี ย บสด้ น ๆ แล้ ั ตอบในปรวเด็น เรื่ อบทรด พ ย์ แต่ ถ้ ำ เป็ นข้ อ สอบเนติ
บดณฑิ ต อดยกำรผู้ช่ัย หรื อผู้ช่ัยผู้พิพำกษำ คบต้ อบตอบให้ สมบูรณ์ ทุก
126
การคุ้มครองบุคคลภายนอกตามมาตรา ๑๓๓๐
ข้ อ ๑๙ ค าถาม นายดานาที่ ดินพร้ อมบ้านไม้เลขที่ ๑๓ ไป
จดทะเบี ยนจานองประกันหนี้ กูย้ ืมเงิ น ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท กับนายแดง
เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านเลขที่
๑๓ ดังกล่าวของนายดาเพื่อนาออกขายทอดตลาดชาระหนี้ ให้แก่เจ้าหนี้
ตามคาพิพากษาของนายดาโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี ไม่ทราบว่าบ้าน
ดังกล่าวนายดานาไปจดทะเบียนจานองไว้กบั นายแดง ต่อมาเมื่อวันที่
๑๐ มกราคม ๒๕๕๖ เจ้า พนัก งานบัง คับ คดี ไ ด้ข ายทอดตลาดบ้า น
ดัง กล่ า วโดยประกาศขายทอดตลาดแจ้ง ว่า เป็ นการขายปลอดภาระ
ผูกพันใด ๆ และได้รับอนุ ญาตจากศาลแล้ว นายม่วงเป็ นผูซ้ ้ื อบ้านหลัง
ดัง กล่ าวได้ใ นราคา ๕๐๐,๐๐๐ บาท และได้จดทะเบีย นรั บโอนบ้าน
ดัง กล่ า วในวัน เดี ย วกัน ในคื น นั้น นายเมาขับ รถบรรทุ ก น้ า มัน โดย
ประมาทชนบ้านดังกล่าวจนไฟไหม้บา้ นไม้เสี ยหายทั้งหลัง
ให้วนิ ิจฉัยว่า ใครมีสิทธิ ได้รับค่าสิ นไหมทดแทนจากนายเมา
ข้ อ ๑๙ คาตอบ นายดานาที่ดินพร้ อมบ้านไม้เลขที่ ๑๓ ไปจด
ทะเบี ยนจานองกับนายแดง จานองย่ อมครอบไปถึงทรั พย์ ท้ังปวงอัน
ติดพันอยู่กบั ทรัพย์ สินซึ่งจานองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์
มาตรา ๗๑๘ เมื่ อบ้า นดัง กล่ า วมี อยู่ในขณะที่ จดทะเบี ยนจานอง การ
จ านองย่ อ มครอบคลุ ม ไปถึ ง บ้ า นด้ ว ย แม้น ายม่ ว งไม่ ท ราบว่ า บ้า น
ดังกล่าวนายดานาไปจดทะเบียนจานองไว้กบั นายแดง ซึ่งถือว่านายม่ วง
ซื้อบ้ านจากการขายทอดตลาดตามคาสั่ งศาลโดยสุ จริต แต่สิทธิ ของนาย
ม่วงได้มาภายหลังจากที่ นายแดงรับจานองบ้านโดยชอบด้วยกฎหมาย
130
เงิ น ในส่ วนที่ เ กี่ ย วกับ บ้า นพิ พ าทให้ แก่ โ จทก์ และเมื่ อเป็ นหนี้ เ งิ น ที่
จาเลยต้องคืนให้แก่ โจทก์ โจทก์จึงมี สิทธิ เรี ยกดอกเบี้ ยได้ตามมาตรา
๒๒๔ ในอัตราร้ อยละเจ็ดครึ่ งต่อปี นับแต่วนั ที่ร้ื อถอนบ้านพิพาทเป็ น
ต้นไป
ปล่อยที่ดินพิพาทที่ถูกยึดได้
ข้ อสั งเกต หลดกคุ้มครอบบุคคลภำยนอกตำมปรวมัลกฎหมำยแพ่ บแลว
พำณิ ช ย์ มำตรำ ๑๓๓๐ ะวคุ้ ม ครอบบุ ค คลภำยนอกผู้สุ ะ ริ ตแลวเสี ย
ค่ ำตอบแทนที่ซื้อทรด พย์ สินดดบกล่ ำัะำกกำรขำยทอดตลำดตำมคำสด่ บศำล
ถึบแม้ ภำยหลดบพิสูะน์ ได้ ั่ำทรด พย์ สินนด้นไม่ ใช่ ขอบะำเลยหรื อลูกหนีต้ ำม
คำพิ พำกษำ คดีนีท้ รด พย์ ที่ขำยทอดตลำดเป็ นขอบะำเลยหรื อลูกหนี ต้ ำม
คำพิ พำกษำ ผู้ร้อบะึ บไม่ ได้ รดบคัำมคุ้ มครอบมำตรำ ๑๓๓๐ หรื อกล่ ำั
ให้ บ่ำยขึน้ ก็คือ กำรที่ ะวใช้ หลดกคุ้มครอบบุคคลภำยนอกผู้สุะริ ตแลวเสี ย
ค่ ำตอบแทนได้ นด้น ะวต้ อบเป็ นกรณี ที่บุคคลภำยนอกได้ รดบโอนทรด พย์
มำะำกผู้ที่ไม่ ใช่ เะ้ ำขอบ แล้ ักฎหมำยคุ้มครอบให้ แต่ คดีนีผ้ ้ รู ้ อบซื ้อที่ ดิน
ะำกกำรขำยทอดตลำดตำมคำสด่ บศำล โดยที่ ดินดดบกล่ ำัเป็ นขอบะำเลย
ผู้ร้อบะึ บได้ กรรมสิ ทธิ์ โดยไม่ ต้อบอำศดยหลดกคุ้มครอบบุคคลภำยนอก แต่
กรรมสิ ทธิ์ ใ นที่ ดิ น ที่ ผ้ ู ร้ อบได้ ม ำนด้ น มี โ ะทก์ เ ป็ นผู้ รด บะ ำนอบที่ ะ ด
ทวเบี ยนโดยชอบแล้ ั สิ ทธิ ะำนอบดดบกล่ ำัเป็ นทรด พยสิ ทธิ ย่อมติ ดตำม
ตดัทรด พย์ ไป ะนกั่ ำะวมีเหตุให้ สิทธิ ะำนอบรวบดบไปตำมกฎหมำย เช่ น
ช ำรวหนี ้ไ ถ่ ถ อนะ ำนอบ เป็ นต้ น แม้ ะ วมี ก ำรออกโฉนดที่ ดิ น แทน
น.ส.๓ โดยไม่ มีกำรรวบุถึบสิ ทธิ ะำนอบไั้ หลดบโฉนด ก็ไม่ ใช่ เหตุที่ะว
ทำให้ สิทธิ ะำนอบรวบดบสิ ้นไป สิ ทธิ ะำนอบขอบโะทก์ ะึบยดบมีอยู่โดยชอบ
เมื่อโะทก์ บดบคดบะำนอบ ผู้ร้อบะึ บมำร้ อบขอให้ ปล่ อยที่ ดินไม่ ได้ อย่ ำบไร
ก็ตำม ผู้ร้อบคบมีสิทธิ ฟ้อบกรมที่ ดินเรี ยกค่ ำเสี ยหำยได้ ภำยในอำยุคัำม
เพรำวเป็ นกำรกรวทำโดยปรวมำทเลินเล่ อขอบเะ้ ำพนดกบำนที่ ดิน ซึ่ บเป็ น
กำรกรวทำโดยลวเมิด
134
การคุ้มครองบุคคลภายนอกตามมาตรา ๑๓๓๑
ข้ อ ๒๐ คาถาม นางจิ้มลิ้มลักกระเป๋ าถื อของนางสุ ภาวดีได้เงิ น
สด ๖,๐๐๐ บาท และสร้อยข้อมือทองคา ๑ เส้น ราคา ๒,๕๐๐ บาท นาง
จิ้มลิ้มนาเงิ นที่ลกั ไปซื้ อนาฬิ กาข้อมือ ๑ เรื อน ราคา ๕,๐๐๐ บาท และ
ให้เงินที่เหลือ ๑,๐๐๐ บาท แก่นายจาเนี ยรซึ่ งเป็ นคนยากจนนายจาเนี ยร
รับไว้โดยสุ จริ ตและใช้จนหมด วันรุ่ งขึ้นนางจิ้มลิ้มขายนาฬิกาข้อมือใน
ราคา ๔,๐๐๐ บาท และสร้อยข้อมือทองคาในราคา ๒,๐๐๐ บาท ให้แก่
นางสุ รียซ์ ่ ึ งรับซื้ อไว้โดยสุ จริ ต แต่มิได้เป็ นการซื้ อในท้องตลาด สัปดาห์
ต่อมานางสุ รีย ์ให้สร้ อยข้อมื อทองคาเป็ นของขวัญในการเดิ นทางไป
ศึ ก ษาต่อต่ า งประเทศแก่ นางกิ ติภาซึ่ ง เป็ นเพื่ อนสนิ ท หลัง จากนั้น ๑
เดื อน นางสุ ภาวดี ทราบเรื่ องจึงเรี ยกร้ องให้นายจาเนี ยรใช้เงิ น ๑,๐๐๐
บาท คื น และเรี ย กร้ องให้น างสุ รีย ์คื นนาฬิ ก าข้อ มื อ กับ สร้ อ ยข้อ มื อ
ทองค าแก่ ตน หากคื นไม่ ไ ด้ก็ ใ ห้ใ ช้ราคา ๕,๐๐๐ บาท และ ๒,๕๐๐
บาท ตามลาดับแทน
ให้วินิจฉัยว่า นายจาเนี ยรและนางสุ รียจ์ ะต้องรับผิดตามที่นาง
สุ ภาวดี เรี ยกร้ องหรื อไม่ (ข้อสอบเนติ บณ ั ฑิต สมัยที่ ๕๓ ปี การศึกษา
๒๕๔๓)
ข้ อ ๒๐ ค าตอบ แม้นายจาเนี ย รได้เงิ น ๑,๐๐๐ บาท จากนาง
จิ้มลิ้มโดยเสน่หา แต่เมื่อนายจาเนี ยรรับเงินไว้โดยสุ จริ ต สิ ทธิของนาย
จาเนี ยรผู้ได้ เงินตรามาโดยสุ จริ ต มิเสี ยไปตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิ ชย์ มาตรา ๑๓๓๑ นายจาเนียรจึงไม่ ต้องรั บผิดใช้ เงิน ๑,๐๐๐
บาท คืนแก่ นางสุ ภาวดี
138
การคุ้มครองบุคคลภายนอกตามมาตรา ๑๓๓๒
ข้ อ ๒๑ คาถาม นายเอกเป็ นเจ้าของรถยนต์ซ่ ึ งจอดอยู่ในบ้าน
ของนายเอก คืนหนึ่งนายเอกไม่อยูบ่ า้ น นายโทเข้ามาลักรถยนต์ในบ้าน
นายเอก และได้ลกั คู่มือจดทะเบียนรถยนต์ดงั กล่าวและบัตรประจาตัว
ประชาชนกับทะเบียนบ้านที่นายเอกใส่ ไว้ในตูน้ ิ รภัยไปด้วย นายโทนา
รถยนต์ไปขายให้นายตรี ซ่ ึ งเป็ นพ่อค้าที่ซ้ื อขายรถยนต์โดยมอบคู่มือจด
ทะเบียนรถยนต์และสาเนาบัตรประจาตัวประชาชนกับสาเนาทะเบียน
บ้านและชุ ดโอนรถยนต์ซ่ ึ งนายโทปลอมลายมือชื่ อนายเอก ต่อมานาย
จัตวามาซื้ อรถยนต์คนั ดังกล่าวจากนายตรี โดยต้องการจะเช่าซื้ อรถยนต์
นายตรี จึงไปติดต่อบริ ษทั ซื่ อตรง จากัด ซึ่ งรับจัดไฟแนนซ์ให้แก่ลูกค้า
ของนายตรี เป็ นประจา บริ ษทั ซื่ อตรง จากัด ตรวจสอบแล้วรับที่จะทา
สัญญาเช่ าซื้ อรถยนต์ก ับ นายจัตวา นายตรี จึง ขายรถยนต์คนั ดังกล่ า ว
ให้แก่บริ ษทั ซื่ อตรง จากัด ราคา ๔๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อให้บริ ษทั ซื่ อตรง
จากัด นาไปให้นายจัตวาเช่าซื้ อ โดยบริ ษทั ซื่ อตรง จากัด สุ จริ ตและเสี ย
ค่าตอบแทน หลังจากบริ ษทั ซื่ อตรง จากัด ทาสัญญาเช่าซื้ อกับนายจัตวา
นายเอกนาเจ้าพนักงานตารวจมายึดรถยนต์คืนจากนายจัตวา และนาย
เอกรับรถยนต์คืนจากเจ้าพนักงานตารวจแล้ว บริ ษทั ซื่ อตรง จากัด และ
นายจัตวาจึงเลิกสัญญาเช่าซื้ อกัน
ให้วินิจฉัยว่า บริ ษทั ซื่ อตรง จากัด มีสิทธิ เรี ยกร้ องต่อนายเอก
หรื อไม่อย่างไร
ข้ อ ๒๑ คาตอบ การที่บริ ษทั ซื่ อตรง จากัด ซื้ อรถยนต์จากนาย
ตรี แม้ จะเป็ นกรณีทบี่ ุคคลหลายคนเรี ยกเอาสั งหาริ มทรั พย์ เดียวกันโดย
140
กันนั้นแต่ ผ้ ูเดียว แต่ ต้องใช้ ค่าแห่ งทรั พย์ อื่นให้ แก่ เจ้ าของทรั พย์ น้ัน ๆ
ตามมาตรา ๑๓๑๖ วรรคสอง ดังนั้น นายสี จึงมีสิทธิเรียกให้ นายแสงใช้
ค่ าต่ อตัวถังรถได้ (คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๙๕/๒๕๒๕ ฎ. ๙๖๗)
คาพิพากษาฎีกาที่ ๒๖๘๑/๒๕๑๙ แม้ร้านค้าของจาเลยที่ ๓ อยู่
ในชุ มนุ มการค้า แต่การที่จาเลยที่ ๓ ซื้ อรถยนต์พิพาทของโจทก์ที่ให้
จาเลยที่ ๑ เช่ าซื้ อไปจาก ศ. ซึ่ งเอามาขายให้ที่ที่ร้านค้าของจาเลยที่ ๓
นั้น จาเลยที่ ๓ มิได้ซ้ื อจากร้ านค้าใดร้ านค้าหนึ่ งที่ อยู่ในชุ มนุ มการค้า
แต่เป็ นการซื้ อจากบุคคลที่เอามาขายให้ที่ร้านค้าของจาเลยที่ ๓ เอง จึง
ไม่เป็ นการซื้ อในท้องตลาด ดังนั้น จาเลยที่ ๓ จะสุ จริ ตหรื อไม่ ก็ไม่เป็ น
เหตุ ใ ห้ไ ด้รั บ ความคุ ้ม ครองตามประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์
มาตรา ๑๓๓๒
ค าพิพ ากษาฎี ก าที่ ๑๓๙๕/๒๕๒๕ จ าเลยที่ ๑ เป็ นเจ้า ของ
รถยนต์ บ รรทุ ก ซึ่ งไม่ มี ต ัว ถัง แต่ โ จทก์ เ ป็ นผู ้ว่า จ้า งให้ ต่ อ ตัว ถัง ขึ้ น
ตัวรถยนต์บรรทุกถือได้วา่ เป็ นทรัพย์ประธาน จาเลยที่ ๑ จึงเป็ นเจ้าของ
ทรั พ ย์ที่ รวมเข้า กันนั้นแต่ ผูเ้ ดี ย ว เมื่ อโจทก์ฟ้ องให้จาเลยชดใช้ราคา
รถยนต์บรรทุกทั้งคันอันเป็ นการฟ้ องเรี ยกทรัพย์เป็ นของตนทั้งหมด แต่
ทางพิ จารณาได้ค วามว่า โจทก์ค วรได้แต่ส่ วนแบ่ ง ศาลย่อมมี อานาจ
พิพากษาให้โจทก์ได้รับแต่ส่วนแบ่งคือค่าต่อตัวถังได้
144
พนักงานตารวจประจาศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมที่ไป
ยึดรถยนต์ของกลางจากโจทก์จึงเป็ นการปฏิบตั ิหน้าที่ตามกฎหมายโดย
ชอบ ไม่ ถื อ เป็ นการกระท าละเมิ ด ต่ อ โจทก์ กรมต ารวจจ าเลยที่ ๗
หน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าพนักงานตารวจดังกล่าวจึงไม่ตอ้ งรับผิดใน
ความเสี ยหายต่อโจทก์ แม้โจทก์จะรั บซื้ อรถยนต์พิพาทมาโดยสุ จริ ต
จากพ่อค้าซึ่ งประกอบธุ รกิจซื้ อขายรถยนต์ แต่เมื่อรถยนต์พิพาทต้องถูก
ยึดไปดาเนินคดีตามพระราชบัญญัติศุลกากร โจทก์ยอ่ มไม่ได้รับความ
คุ ม้ ครอง เพราะไม่ใช่ เป็ นกรณี ที่เจ้าของที่แท้จริ งติ ดตามเอาทรั พย์คืน
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๒
148
สาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ข้ อ ๒๔ คาถาม เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐ นายแดงนาเรื อบรรทุกที่ใช้
รับจ้างส่ งสิ นค้ามาจอดเกยตื้นอยู่ที่ปากแม่น้ าท่าจี นหน้าที่ดินมี โฉนด
ของนายดา ซึ่ งเป็ นที่ชายตลิ่งที่น้ าท่วมถึงอยูใ่ กล้ตลาดสะดวกที่นายแดง
และภริ ย าจะไปค้าขาย และใช้เรื อบรรทุ กนั้นเป็ นที่ อยู่อาศัย ตลอดมา
ไม่ ไ ด้ย า้ ยไปไหนเลยเป็ นเวลา ๑๒ ปี ในระยะเวลาดัง กล่ า วสายน้ า
เปลี่ยนทางเดินพอขึ้นปี ที่ ๑๓ ชายตลิ่งที่จอดเรื อบรรทุกก็ต้ืนเขินติดต่อ
มาจากที่ดินของนายดาเป็ นเนื้ อที่ ๑๐ ตารางวา นายแดงจึงปลูกบ้านใน
ที่ดินดังกล่ าวอยู่อาศัยแทนเรื อบรรทุกที่ผุพงั แล้ว นายดารู ้ เรื่ องก็ไม่ว่า
กล่าวอะไร ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๔๐ นายดาจะสร้างบ้านในที่ดิน ของนาย
ดา จึงบอกให้นายแดงออกจากที่ดินนั้น นายแดงไม่ยอมออก นายดาจึง
ฟ้ องขับ ไล่ นายแดงให้การต่ อสู ้ ว่า ได้เข้า ครอบครองมาตั้งแต่ปี พ.ศ.
๒๕๒๐ ได้กรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินดังกล่าวแล้ว
ให้วินิจฉัยว่า นายดาหรื อนายแดงเป็ นผูม้ ี ก รรมสิ ทธิ์ ในที่ดิน
ส่ วนดังกล่าว (ข้อสอบเนติบณั ฑิต สมัยที่ ๕๖ ปี การศึกษา ๒๕๔๖)
ข้ อ ๒๔ คาตอบ เดิ มที่ดินตามปั ญหาเป็ นที่ชายตลิ่ งซึ่ งน้ าท่วม
ถึง จึงเป็ นสาธารณสมบัติของแผ่ นดินสาหรั บพลเมืองใช้ ร่วมกัน ตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา ๑๓๐๔ (๒) นายแดงมีสิทธิ
นาเรื อบรรทุกไปจอดใช้ เป็ นที่อยู่อาศั ยในที่ชายตลิ่งดังกล่ าวเท่ านั้น แต่
ต่อมาเมื่ อที่ จอดเรื อบรรทุ ก ของนายแดงตื้ นเขิ นกลายเป็ นที่ งอกเชื่ อม
ต่อมาจากที่ดินมีโฉนดของนายดา ที่ดินส่ วนดังกล่ าวย่ อมเป็ นทรัพย์ สิน
ของนายดาตามมาตรา ๑๓๐๘
149
ทางสาธารณะโดยระบุในหนังสื อแสดงความจานงว่าจะจดทะเบียนยก
ให้เมื่อแบ่งแยกโฉนดเสร็ จแล้ว ขณะเดียวกันก็เปิ ดให้ประชาชนใช้ถนน
ดังกล่าวได้ต้ งั แต่น้ นั มา ต่อมาองค์การบริ หารส่ วนตาบลได้เข้าปรับปรุ ง
เป็ นถนนคอนกรี ตและวางท่อระบายน้ า หลังจากแบ่งแยกโฉนดแล้ว
นายหนึ่ งจดทะเบียนยกที่ดินส่ วนที่เป็ นถนนให้เป็ นทางสาธารณะเพียง
โฉนดเดี ยวเนื่ องจากโครงการประสบภาวะขาดทุน นายสองฟ้ องนาย
หนึ่ งเรี ย กคื น เงิ น กู้ยื ม และน ายึ ด ที่ ดิ น โฉนดที่ น ายหนึ่ งยัง ไม่ ไ ด้จ ด
ทะเบียนยกให้แก่องค์การบริ หารส่ วนตาบลเพื่อขายทอดตลาด นายสาม
ประมูลซื้ อได้จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี แล้วโอน
ขายต่อให้นายสี่ ซ่ ึ งรับซื้ อไว้โดยสุ จริ ต นายสี่ สร้ างตึกบนที่ดินที่ซ้ื อมา
และล้อมรั้วบริ เวณที่ดินนั้นโดยสุ จริ ต องค์การบริ หารส่ วนตาบลทราบ
เรื่ องจึ งมี หนัง สื อแจ้ง ให้นายสี่ ร้ื อตึ ก และรั้ วออกแล้วส่ ง มอบที่ ดินให้
องค์การบริ หารส่ วนตาบล
ให้วนิ ิจฉัยว่า นายสี่ จะต้องรื้ อตึกและรั้วหรื อไม่ และจะเรี ยกค่า
แห่ งที่ดินที่เพิ่มขึ้ นจากองค์การบริ หารส่ วนตาบลได้หรื อไม่ (ข้อสอบ
คัดเลือกฯ ผูช้ ่วยผูพ้ ิพากษา ข้อ ๕ เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๑)
ข้ อ ๒๕ คาตอบ นายหนึ่งทาหนังสื อแสดงความจานงยกที่ดินที่
ทาเป็ นถนนทั้งสองสายให้เป็ นทางสาธารณะแล้ว จึงตกเป็ นสาธารณ
สมบั ติ ข องแผ่ น ดิ น โดยสมบู ร ณ์ ต ามกฎหมายทั น ที ต ามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา ๑๓๐๔ (๒) โดยไม่ จาต้ องจดทะเบียน
โอนสิ ทธิการให้ ตามมาตรา ๕๒๕
แม้นายสามซื้ อที่ ดินดังกล่ า วจากการขายทอดตลาด แต่ สิทธิ
151
ของแผ่นดินโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายทันทีที่จาเลยที่ ๑ ได้แสดงเจตนา
อุทิศให้เป็ นทางสาธารณประโยชน์โดยไม่จาต้องจดทะเบียนโอนสิ ทธิ
การให้ทางโฉนดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิ ชย์ มาตรา ๕๒๕ แม้ขอ้ ความในตอนท้ายของหนังสื ออุทิศที่ดินให้
เป็ นทางสาธารณประโยชน์ได้ระบุว่าจาเลยที่ ๑ จะไปจดทะเบียนโอน
กรรมสิ ท ธิ์ ที่ ดิ น ดัง กล่ า ว ณ ส านั ก งานที่ ดิ น ต่ อ ไป ก็ ห ามี ผ ลท าให้
กรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินที่อุทิศยังไม่โอนไปไม่ เมื่อที่ดินพิพาทเป็ นสาธารณ
สมบัติข องแผ่นดิ น การออกโฉนดส าหรั บ ที่ ดินพิ พาทหลัง จากที่ ดิน
พิพาทตกเป็ นทางสาธารณประโยชน์ จึงเป็ นการมิชอบ ดังนั้น จาเลยที่
๒ ซึ่ งซื้ อที่ ดินพิพาทมาตามโฉนดที่ออกโดยมิ ชอบ แม้จะซื้ อขายจาก
การขายทอดตลาดของศาลตามมาตรา ๑๓๓๐ ก็ตาม จาเลยที่ ๒ ก็ไม่ได้
รับความคุม้ ครองตามมาตรา ๑๓๓๐ จาเลยที่ ๒ จึงไม่ได้กรรมสิ ทธิ์ ใน
ที่ดินพิพาทและไม่มีอานาจโอนที่ดินพิพาทให้แก่จาเลยที่ ๓ จาเลยที่ ๓
ผูร้ ับโอนไว้ยอ่ มไม่ได้กรรมสิ ทธิ์ เช่นเดียวกันในที่ดินพิพาทซึ่ งเป็ นที่สา
ธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์มาตรา
๑๓๐๕
153
ของแผ่นดิน ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๔ ซึ่ งจาเลยไม่มีกรรมสิ ทธิ์ หรื อสิ ทธิ
ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย จาเลยจะอ้างการครอบครองที่ เกิ ด
เหตุข้ ึนยันต่อแผ่นดินมิได้ ทั้งปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ป่าชายเลนได้ห้ามและ
เตื อนจาเลยแล้วไม่ใ ห้บุ กรุ ก ป่ าชายเลนโดยการปลู ก ต้นมะพร้ า ว แต่
จาเลยไม่เชื่ อฟั งยังคงบุกรุ กไปเรื่ อย ๆ แสดงถึ งเจตนาของจาเลยที่เข้า
ยึดถือหรื อครอบครองป่ าที่เกิดเหตุเพื่อตนเอง
คาพิพากษาฎีกาที่ ๖๓๐๐/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๓๓ ที่ดินกรม
ชลประทานส่ วนที่จาเลยบุกรุ กตามฟ้ องเป็ นที่ดินซึ่ งกรมชลประทานกัน
ไว้ใ ช้ทาประโยชน์เพื่ อการชลประทานโดยท าเป็ นอ่ า งเก็ บ น้ า ที่ ดิ น
พิพาทจึงตกเป็ นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ใช้เพื่อประโยชน์
ของแผ่นดินโดยเฉพาะตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๔ (๓)
คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๓๗๘/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๔๒๔ โจทก์
และจาเลยซื้ อขายที่ ดินและบ้านพิพาทโดยส่ งมอบการครอบครองแก่
กัน ซึ่ งที่ดินดังกล่าวอยูบ่ นเกาะล้านอันเป็ นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๔ ที่ดินและบ้านพิพาทจาเลยยึดถือใช้สอยอยู่
ในสถานะเช่นเดียวกับเจ้าของ เมื่อจาเลยขายโอนสิ ทธิ ในที่ดินและบ้าน
พิพาทให้โจทก์โดยทาหนังสื อโอนสิ ทธิ และยังได้ทาหนังสื อสัญญาเช่า
บ้านพิพาทกับโจทก์ จึงเป็ นการยอมรับสิ ทธิ ความเป็ นเจ้าของที่ดินและ
บ้า นพิ พ าทของโจทก์ ซึ่ งหลัง จากนั้น จ าเลยได้อ ยู่ใ นที่ ดิ น และบ้า น
พิพาทโดยอาศัยสิ ทธิ ของโจทก์ตามสัญญาเช่ า จาเลยจึงจะอ้างว่าโจทก์
ไม่ใช่เจ้าของที่ดินและบ้านพิพาทและไม่มีอานาจฟ้ องหาได้ไม่ ดังนั้น
เมื่ อครบกาหนดระยะเวลาเช่ าตามข้อตกลงในสัญญา และโจทก์บอก
164
กรรมสิ ทธิ์
ข้ อ ๒๘ คาถาม นายเอกเป็ นเจ้าของที่ดินมีโฉนดซึ่ งอยู่ติดกับ
แม่น้ า ๒ แปลงติดกัน แปลงที่หนึ่ งนายเอกปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ ส่ วน
แปลงที่สองใช้ปลูกผักสวนครัว โดยด้านหลังของที่ดินทั้งสองแปลงติด
กับที่ดินมีโฉนดแปลงที่สามของนายโท ต่อมาน้ าเซาะที่ดินของนายเอก
พังหมดโดยน้ าท่วมถึงทั้งสองแปลงตลอดเวลาจนถึ งที่ดินแปลงที่สาม
ของนายโท แต่ที่ดินแปลงที่หนึ่ งที่ ปลู กบ้านอยู่นายเอกปลู กบ้านโดย
ตอกเสาเข็มไว้อย่างดี บา้ นจึงยังคงอยู่ได้เหนื อพื้นน้ าและนายเอกยังพัก
อาศัยอยูต่ ่อไป ส่ วนที่ดินแปลงที่สองกลายเป็ นแม่น้ าไป หลังจากนั้นอีก
๓ ปี น้ าเปลี่ ยนทางเดิ นเป็ นเหตุ ให้เกิ ดที่ งอกออกไปจากที่ ดินแปลงที่
สามของนายโทจนเต็มพื้นที่ เดิ มตามโฉนดของนายเอกทั้งสองแปลง
นายเอกจึ งถมดิ นต่อจากที่ ดินแปลงที่ สองที่งอกขึ้ นมาใหม่ออกไปอี ก
๒๐๐ ตารางวาและเข้าไปปลูกผักสวนครัวเป็ นเวลา ๒ ปี
ให้วินิจฉัยว่า ที่ ดินแปลงที่ หนึ่ ง แปลงที่สอง และที่ ดิน ๒๐๐
ตารางวา ที่ถมออกไป เป็ นกรรมสิ ทธิ์ ของนายเอกหรื อนายโทหรื อไม่
ข้ อ ๒๘ คาตอบ แม้นายเอกเป็ นเจ้าของกรรมสิ ทธิ์ ที่ดินมีโฉนด
แต่ เมื่อ วัตถุ แห่ งสิ ทธิ คือที่ดิ นแปลงที่สองสู ญสิ้ นไปเพราะถู กน้าเซาะ
ที่ดินแปลงที่สองกลายเป็ นแม่ น้าไป กรรมสิ ทธิ์ในที่ดินแปลงที่สองของ
นายเอกจึงหมดสิ้ นไป และกลายเป็ นส่ วนหนึ่งของแม่ น้า ดังนั้น ต่อมา
เมื่ อเกิ ดที่ ง อกออกไปจากที่ ดินของนายโทจนเต็ม ตามโฉนดเดิ มของ
ที่ดินแปลงที่สอง การจะได้กรรมสิ ทธิ์ ในที่งอกต้องเป็ นไปตามกฎหมาย
ว่าด้วยการได้กรรมสิ ทธิ์ ที่ดินที่งอกออกมาจากที่ดินแปลงที่สองนั้น แม้
173
สำมมำใส่ เก้ ำอีน้ ัดไฟฟ้ ำ นดกศึกษำไม่ ต้อบตอบั่ ำเป็ นกำรลดกทรด พย์ ขอบ
นำยสำม เพรำวไม่ เป็ นปรวเด็นที่ะวต้ อบตอบ
คำถำมข้ อนีห้ ำกเปลี่ยนข้ อเท็ะะริ บเป็ นั่ ำ นำยหนึ่บนำเก้ ำอี ้นัด
ไฟฟ้ ำไปให้ นำยสอบซ่ อมที่ ร้ำนรด บ ซ่ อมเก้ ำ อี ้นัดไฟฟ้ ำ นำยสอบเอำ
มอเตอร์ ขอบนำยสำมมำใส่ แล้ ัขำยเก้ ำ อี ้นัดไฟฟ้ ำให้ นำยสี่ ผละว
เปลี่ ย นไปเป็ นั่ ำ นำยหนึ่ บ เป็ นเะ้ ำ ขอบเก้ ำ อี ้น ัดไฟฟ้ ำแลวมอเตอร์
เพรำวเป็ นเะ้ ำขอบทรด พย์ ปรวธำน แต่ ต้อบใช้ ค่ำมอเตอร์ แก่ นำยสำม แม้่
นำยสี่ ซื้อเก้ ำอี ้นัดไฟฟ้ ำะำกนำยสอบโดยสุ ะริ ต ร้ ำนค้ ำขอบนำยสอบ
เป็ นเพียบร้ ำนรด บซ่ อมเก้ ำอีน้ ัดไฟฟ้ ำ นำยสอบไม่ ใช่ พ่อค้ ำขำยเก้ ำอี น้ ัด
ไฟฟ้ ำ ะึ บไม่ ใช่ กำรซื ้อทรด พย์ ะำกพ่ อค้ ำที่ ขำยขอบชนิ ดนด้น นำยสี่ ไม่ ได้
รด บ คัำมคุ้ มครอบตำมมำตรำ ๑๓๓๒ แลวนำยสี่ ก็ ไ ม่ ไ ด้ รด บคัำม
คุ้มครอบตำมมำตรำ ๑๓๐๓ ด้ ัย เพรำวนำยสอบรด บเก้ ำอี น้ ัดไฟฟ้ ำะำก
นำยหนึ่บไั้ ซ่อม แม้ ะวได้ ปรวโยชน์ ะำกค่ ำซ่ อม แต่ กเ็ ป็ นปรวโยชน์ ตำม
สด ญญำรด บะ้ ำบซ่ อม ไม่ ได้ ปรวโยชน์ ะำกกำรใช้ ทรด พย์ นำยสอบเพี ยบแต่
ยึดถือทรด พย์ ไั้ แทนนำยหนึ่ บโดยนำยสอบไม่ ได้ ยึดถือเพื่อตน นำยสอบ
ะึ บไม่ มีสิทธิ ครอบครอบเก้ ำอี ้นัดไฟฟ้ ำ เมื่อไม่ มีสิทธิ ครอบครอบแล้ ั
เอำไป ก็เป็ นคัำมผิดฐำนลดกทรด พย์ เก้ ำอี น้ ัดไฟฟ้ ำะึ บเป็ นทรด พย์ ที่นำย
สอบได้ มำโดยกำรกรวทำคัำมผิด นำยสี่ ะึบไม่ ได้ รดบคัำมคุ้มครอบตำม
มำตรำ ๑๓๐๓ ด้ ัย
ขอให้ นดกศึ ก ษำลอบคิ ดั่ ำข้ อเท็ะะริ บตำมคำถำม หำกเปลี่ ย น
ข้ อเท็ะะริ บไปบ้ ำบ แล้ ัผละวเปลี่ ยนไปอย่ ำบไร นดกศึ กษำะวได้ คำถำม
แลวคำตอบลอบทำเพิ่มขึน้
180
ครอบครองตั้งแต่เข้ายึดถือทรัพย์สินดังที่วินิจฉัยมาแล้ว เมื่อนายดาเป็ น
ผู้มีสิทธิ ครอบครองที่ดินอย่ างเป็ นเจ้ าของซึ่ งเป็ นทรั พย์ ประธานและ
เป็ นเจ้ า ของต้ น มะม่ ว งซึ่ ง เป็ นไม้ ยืน ต้ น ที่เ ป็ นส่ วนควบตามมาตรา
๑๔๔, ๑๔๕ นายดาย่ อมมีสิทธิได้ ดอกผลจากต้ นมะม่ วงตามมาตรา
๑๓๓๖ ผลมะม่ วงที่เก็บออกมาแล้ ว ย่ อมเป็ นดอกผลธรรมดาของต้ น
มะม่ วงตามมาตรา ๑๔๘ วรรคสอง นายดาจึงมีสิทธิในผลมะม่ วงจาก
ทีด่ ินแปลงแรกดีกว่านายแดง (๕ คะแนน)
นายขาวเป็ นเจ้าของที่ดินมีโฉนด นายขาวมีกรรมสิ ทธิ์ในที่ดิน
จะสิ้ นกรรมสิ ทธิ์ไปต่ อเมื่อโอนหรื อบุคคลอื่นได้ กรรมสิ ทธิ์ไปโดยการ
ครอบครองปรปั กษ์ ตามมาตรา ๑๓๘๒ แม้ จะเลิกครอบครองที่ดินก็ไม่
ทาให้ กรรมสิ ทธิ์ของนายขาวหมดไป เมื่อนายดาครอบครองที่ดินแปลง
หลังเพียง ๖ เดือนหลังจากนายขาวละทิ้งไป นายดายังไม่ ได้ กรรมสิ ทธิ์
โดยการครอบครองปรปั ก ษ์ ตามมาตรา ๑๓๘๒ นายด ายั ง ไม่ มี
กรรมสิ ท ธิ์ แม้ จ ะครอบครองก็มี เ พีย งสิ ท ธิ ค รอบครองตามมาตรา
๑๓๖๗ ซึ่ งไม่ อาจใช้ ต่อสู้ เจ้ าของกรรมสิ ทธิ์ซึ่งเป็ นสิ ทธิที่ดีกว่ าได้ ตาม
มาตรา ๑๓๗๕ เมื่อนายขาวยังเป็ นเจ้ าของที่ดินแปลงหลัง นายขาวจึง
ยังเป็ นเจ้ าของต้ นมะม่ วงซึ่ งเป็ นส่ วนควบของที่ดิน ตามมาตรา ๑๔๔,
๑๔๕ และนายขาวเป็ นเจ้ าของย่ อมเป็ นผู้มีสิทธิได้ รับดอกผล แม้ นายดา
จะอ้ างว่ าผู้มีสิทธิครอบครองมีสิทธิได้ รับดอกผลในกรณีสุจริ ต แต่ นาย
ขาวเก็บ ผลมะม่ ว งของตนโดยชอบแล้ ว นายด าจึ งไม่ ใช่ ผ้ ู สุ จริ ต ที่จ ะ
ได้ รับดอกผล นายขาวจึงมีสิทธิในผลมะม่ วงจากที่ดินแปลงหลังดีกว่ า
นายดา (๕ คะแนน)
182
แปลงนี้เหนือกว่านายดาไปได้
ที่ดินแปลงหลังเป็ นที่ดินมีโฉนดของนายขาวซึ่ งละทิ้งเพื่อย้าย
ไปอยู่ก ับ บุ ต รที่ จงั หวัดอื่ น เมื่ อ วัน ที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๐ ข้อ เท็จจริ ง
ปรากฏว่า ที่ดินแปลงหลังนี้ นายขาวเป็ นเจ้าของซึ่ งถือกรรมสิ ทธิ์ อยู่ แต่
แม้เป็ นผูถ้ ือกรรมสิ ทธิ์ เมื่อนายขาวได้ละทิ้งที่ดินเพื่อย้ายไปอยูก่ บั บุตร
ที่ จงั หวัดอื่ น จึ งต้องถื อว่า นายขาวได้ส ละเจตนาครอบครองในที่ ดิน
แปลงหลังนี้ สิ ทธิ ครอบครองของนายขาวในที่ดินแปลงหลังนี้ ยอ่ มหมด
ไป เมื่อนายดาเข้ามาครอบครองแทน จึงถื อได้ว่านายดาได้ยึดถื อที่ดิน
แปลงนี้ โดยเจตนายึดถือเพื่อตน นายดาจึงได้สิทธิ ครอบครองในที่ดิน
แปลงหลังนี้
แต่เมื่ อเป็ นที่ ดินที่ มี กรรมสิ ทธ์ โดยนายขาวเป็ นเจ้าของผูถ้ ื อ
กรรมสิ ทธิ์ อยู่ ทั้งนายดาพึ่งเข้าครอบครองเพียง ๒ วัน นับจากนายขาว
ย้ายออกไป จนนายขาวกลับมา แม้นายดาจะเข้าครอบครองที่ดิน โดย
สงบและเปิ ดเผยด้วยเจตนาเป็ นเจ้าของ แต่นายดาย่อมไม่ได้กรรมสิ ทธิ์
จากการครอบครองปรปั ก ษ์ เพราะกฎหมายก าหนดให้ บุ ค คลต้อ ง
ครอบครองทรัพย์สินของผูอ้ ื่นไว้โดยความสงบและเปิ ดเผยด้วยเจตนา
เป็ นเจ้าของสิ บปี สาหรับอสังหาริ มทรัพย์จึงจะได้กรรมสิ ทธิ์ กรรมสิ ทธิ์
ในที่ดินจึงยังเป็ นของนายขาว นายขาวมีสิทธิที่จะติดตามเอาคืนซึ่ งที่ดิน
แปลงนี้ของตนได้ นายขาวจึงย่อมมีสิทธิ ในที่ดินดีกว่านายดา
ที่ ดินทั้ง สองแปลงดัง กล่ า วที่ นายดาครอบครองมี ตน้ มะม่ วง
ขึ้นอยู่ในที่ดิน เมื่ อต้นมะม่วงเป็ นไม้ยืนต้น ทั้งติดอยู่กบั ที่ ดินเป็ นการ
ถาวร ต้นมะม่วงจึงเป็ นส่ วนควบของที่ดิน ผูม้ ีสิทธิ ในที่ดินย่อมมีสิทธิ
186
นายขาวมีสิทธิ ในผลมะม่วงที่เก็บจากที่ดินแปลงหลังดีกว่านาย
ดา
นายดามีสิทธิ ในผลมะม่วงที่เก็บมาจากที่ดินแปลงแรกดีกว่า
นายแดง (ลาดับในการตอบวกวนไม่ เป็ นลาดับเท่าทีค่ วร ให้ ๗ คะแนน)
ตัวอย่า งค าตอบที่ ๔ ในกรณี ข องที่ ดินแปลงแรกที่ เป็ นที่ ดิน
ของนายแดงนั้ นเป็ นที่ ดิ น มื อ เปล่ า จึ ง มี แ ต่ สิ ทธิ ค รอบครองหามี
กรรมสิ ทธิ์ ไม่ เมื่อนายแดงได้สละเจตนาครอบครองที่ดินดังกล่าวย้าย
ไปอยู่ที่อื่น สิ ทธิ ครอบครองที่ดินมือเปล่ าจึงหมดลง (ทันที) ตามหลัก
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา ๑๓๗๗ วรรคหนึ่ง เมื่อนาย
ดาเข้ามายึดถือที่ดินแปลงนี้ เพื่อตนนายดาจึงมีสิทธิ ครอบครองในที่ดิน
มือเปล่าแปลงนี้ตามหลักกฎหมายมาตรา ๑๓๖๗
เมื่ อต้นมะม่วง (เป็ นไม้ ยืนต้ น) ถื อว่า เป็ นส่ วนควบของที่ ดิน
ตามหลักกฎหมายมาตรา ๑๔๕ นายดาจึงเป็ นเจ้าของต้นมะม่วงด้วย ผล
มะม่วงซึ่ งถือเป็ นดอกผลธรรมดาของต้นมะม่วงจึงย่อมเป็ นของนายดา
ด้วย เมื่ อนายแดงมาเก็บเอาไป นายดาจึ งมี สิทธิ ติดตามเอาคื นได้ตาม
มาตรา ๑๓๓๖
ในกรณี ที่ดินแปลงที่สองซึ่ งเป็ นที่ดินของนายขาวเป็ นที่ดินมี
โฉนดจึงเป็ นที่ดินซึ่ งมีกรรมสิ ทธิ์ ได้ แม้ต่อมานายขาวจะย้ายไปอยูท่ ี่อื่น
แต่วา่ กรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินยังเป็ นของนายขาวอยู่ (ไม่ ได้ ตอบว่ ากรรมสิ ทธิ์
จะหมดไปด้ วยการโอนหรื อสิ้ นสิ ทธิโดยถูกครอบครองปรปั กษ์ ) ถึงแม้
นายด าจะเข้า ครอบครองที่ ดิ นแปลงนี้ แ ต่ ย งั ไม่ ส ามารถอ้า งอายุก าร
ครอบครองปรปั กษ์ตามมาตรา ๑๓๘๒ ขึ้นยันนายขาวได้ เนื่ องจากยัง
188
สิ ทธิในที่ดินตามสั ญญาเช่ าใช้ สิทธิ ปลูกไว้ ไม่ ถือว่ าเป็ นส่ วนควบของ
ทีด่ ินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา ๑๔๖ ต้ นสั กจึงเป็ น
กรรมสิ ท ธิ์ ข องนาย ก. ผู้ เช่ าที่ ดิ น (เที ย บค าพิ พ ากษาฎี ก าที่ ๗๑๙๓/
๒๕๔๗) ไม่ ใช่ ของนาย ข. เจ้ าของทีด่ ิน
การที่นาย ข. เลื่ อยไม้สักต้นแรกเป็ นไม้สักแปรรู ป ๑๐ แผ่น
เป็ นการใช้ ไม้ สักซึ่งเป็ นสั มภาระของบุคคลอืน่ ทาไม้ สักแปรรู ป ๑๐ แผ่ น
ขึน้ ใหม่ นาย ก. เจ้ าของไม้ สักซึ่ งเป็ นสั มภาระเป็ นเจ้ าของไม้ สักแปรรู ป
๑๐ แผ่นทีท่ าขึน้ ใหม่ โดยมิต้องคานึงว่ าสั มภาระนั้นจะกลับคืนตามเดิม
ได้ หรือไม่ แต่ ต้องใช้ ค่าแรงงานตามมาตรา ๑๓๑๗ วรรคหนึ่ง เมื่อราคา
ไม้สักต้นละ ๑๐,๐๐๐ บาท ราคาไม้สักแปรรู ป ๑๐ แผ่นราคา ๑๕,๐๐๐
บาท ราคาแรงงานไม่ เกินกว่ าสั มภาระที่ใช้ มาก นาย ก. จึงเป็ นเจ้ าของ
กรรมสิ ทธิ์ไม้ สักแปรรู ป ๑๐ แผ่ น โดยต้ องชาระค่ าแรงงานให้ แก่ นาย ข.
จานวน ๕,๐๐๐ บาท
การที่นาย ข. ได้นาไม้สักต้นที่สองมาแกะสลักเป็ นเทวรู ปไม้
สักราคา ๑๐๐,๐๐๐ บาท เป็ นการใช้ สัมภาระของบุคคลอื่นทาสิ่ งใดขึ้น
ใหม่ โดยค่ าแรงงานเกินกว่ าสั มภาระทีใ่ ช้ น้ ันมาก ผู้ทาเป็ นเจ้ าของทรั พย์
ที่ทาขึน้ แต่ ต้องใช้ ค่าสั มภาระตามมาตรา ๑๓๑๗ วรรคสอง นาย ข. จึง
เป็ นเจ้ าของกรรมสิ ทธิ์เทวรู ปไม้ สัก แต่ นาย ข. ต้ องใช้ ค่าไม้ สักให้ แก่ นาย
ก. ๑๐,๐๐๐ บาท เมื่อนาย ข. เป็ นเจ้ าของกรรมสิ ทธิ์เทวรู ปไม้ สัก นาย ข.
จึงมีสิทธิจาหน่ ายทรัพย์ ของตนได้ ตามมาตรา ๑๓๓๖ แม้นาย ค. ทราบ
ว่าเทวรู ปดังกล่าวนาย ข. ใช้ไม้สักที่ นาย ก. เป็ นผูป้ ลู กโดยอาศัยสิ ทธิ
ตามสัญญาเช่ า แล้วนาย ข. แอบตัดมา แต่ นาย ค. ซื้อเทวรู ปไม้ สักจาก
192
นาย ข. ซึ่ ง เป็ นเจ้ า ของกรรมสิ ท ธิ์ ก็ ไ ม่ ต้ อ งพิ จ ารณาหลั ก คุ้ ม ครอง
บุคคลภายนอกผู้สุจริ ตและเสี ยค่ าตอบแทน นาย ค. ย่ อมได้ กรรมสิ ทธิ์
เมื่อได้ ทาสั ญญาซื้อขายกันตามมาตรา ๔๕๘
ข้ อสั งเกต หำกเพิ่มข้ อเท็ะะริ บั่ ำ ข. เป็ นพ่ อค้ ำขำยไม้ แปรรู ป ขำยไม้ สดก
แปรรู ปให้ แก่ บ. แม้ บ. ะวซื ้อะำก ข. ที่ ไม่ ใช่ เะ้ ำขอบทรด พย์ แต่ ถ้ำซื ้อะำก
พ่ อค้ ำที่ขำยขอบชนิดนด้นโดยสุะริ ต บ. ะวได้ รดบคัำมคุ้มครอบตำมมำตรำ
๑๓๓๒
คาพิพากษาฎีกาที่ ๗๑๙๓/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๙๖ การที่ผถู้ ือ
ประทานบัตรเหมืองแร่ ปลูกต้นยางพาราลงในที่ดินซึ่ งอยู่ในเขตเหมือง
แร่ ซ่ ึ งเป็ นป่ าสงวนแห่ งชาติ เป็ นการใช้สิทธิ ในฐานะผูถ้ ือประทานบัตร
ตาม พ.ร.บ. เหมืองแร่ ฯ มาตรา ๗๓ ไม่ทาให้ตน้ ยางพาราที่ปลูกไว้เป็ น
ส่ ว นควบของที่ ดิ น ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๖ ยางพารายัง คงเป็ น
ทรัพย์สินของโจทก์ผถู ้ ื อประทานบัตร การที่จาเลยกรี ดเอาน้ ายางพารา
จากต้นยางพาราของโจทก์ไปจึงเป็ นความผิดฐานลักทรัพย์
คาพิพากษาฎีกาที่ ๕๒๙๙/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๙ น.๑๗๘ เมื่อที่ดิน
พิพ าทอยู่ในเขตที่ ดินจาเลย ต้นมะม่ วงและต้นยูค าลิ ปตัส ซึ่ ง เป็ นไม้
ยืนต้นที่ ปลู กอยู่ในที่ ดินพิพาทย่อมเป็ นส่ วนควบของที่ ดินจาเลยตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๕ และคู ค ลองในที่ ดิ น พิ พ าทก็ เ ป็ นทรั พ ย์อ ัน
ประกอบเป็ นอันเดี ยวกับที่ดินจาเลยตามมาตรา ๑๓๙ การที่โจทก์ฟ้อง
อ้างว่าจาเลยตัดฟันต้นไม้ที่โจทก์ปลูกและถมคูคลองที่โจทก์ขุดในที่ดิน
พิพาทดังกล่าว จึงไม่เป็ นการละเมิดต่อโจทก์
193
ที่ดินมาเมื่อปี ๒๕๓๗ ซึ่ งมี เนื้ อที่ ค รอบคลุ ม รั้ วคอนกรี ตทั้ง หมด ใน
กรณี ร้ ัวคอนกรี ตที่ได้มีการก่อสร้างไว้แล้วเดิม ไม่มีบทกฎหมายมาตรา
ใดที่จะยกขึ้ นมาปรับแก่ คดี ได้โดยตรง ในการวินิจฉัยคดี จึงต้องอาศัย
เทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิง่ ตามมาตรา ๔ แห่ ง ป.พ.พ. และบท
กฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งที่จะปรับกับข้อเท็จจริ งในคดี น้ ี คือ ป.พ.พ.
มาตรา ๑๓๑๐ ประกอบมาตรา ๑๓๑๔ ซึ่ งบัญญัติให้โจทก์เจ้าของที่ดิน
เป็ นเจ้าของสิ่ งก่อสร้ างคือรั้วคอนกรี ต โจทก์จึงเป็ นเจ้าของรั้วคอนกรี ต
เดิ ม ส่ ว นรั้ วคอนกรี ต ที่ ต่ อ เติ ม ให้ สู ง ขึ้ น และสิ่ ง ปลู ก สร้ า งด้า นหลัง
อาคารพาณิ ชย์ของจาเลยที่ ๔ และที่ ๕ ที่ต่อเติมขึ้นภายหลัง ไม่ใช่ การ
สร้ างโรงเรื อนรุ กล้ าเข้า ไปในที่ ดินของผูอ้ ื่ น หรื อสร้ างโรงเรื อนหรื อ
สิ่ งก่ อสร้ างอื่ นในที่ดินของผูอ้ ื่ น แม้จาเลยที่ ๔ และที่ ๕ จะกระทาไป
โดยสุ จริ ต จาเลยที่ ๔ และที่ ๕ ก็ไม่มีสิทธิ ใช้ที่ดินของโจทก์ได้ ไม่ตอ้ ง
ด้วย ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๑๒ และมาตรา ๑๓๑๐ ประกอบมาตรา ๑๓๑๔
จาเลยที่ ๔ และที่ ๕ จึงต้องรื้ อออกไป
เดชซึ่งเป็ นเจ้ าของทีด่ ินเป็ นค่ าเช่ าทีด่ ินนั้น และนายเดชต้ องจดทะเบียน
สิ ทธิเป็ นภาระจายอมแก่ นายวันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์
มาตรา ๑๓๑๒ วรรคหนึ่ง
ส่ วนแท็งก์เก็บน้ าและรั้วบ้านมิใช่ โรงเรือนตามความหมายของ
มาตรา ๑๓๑๒ และไม่ ถือว่ าเป็ นส่ วนหนึ่งส่ วนใดของโรงเรือน แม้ นาย
วันจะสร้ างโดยสุ จริตก็ไม่ ได้ รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๓๑๒ วรรค
หนึ่ ง นายวันจึ งต้ องรื้ อถอนแท็งก์ เก็บน้าและรั้ วบ้ านส่ วนที่รุกล้าออก
จากทีด่ ินของนายเดช (คาพิพากษาฎีกาที่ ๙๕๑-๙๕๒/๒๕๔๒, ๑๕๑๑/
๒๕๔๒)
สาหรับบ้านหลังที่สอง แม้ขณะลงมือก่อสร้างนายวันจะกระทา
โดยสุ จริ ตก็ตาม แต่เมื่อนายวันก่อสร้ างไปถึ งขั้นทาคานชั้นบนแล้วจึ ง
ทราบว่า บ้า นได้ส ร้ า งอยู่ใ นที่ ดินของนายเดช แต่ นายวันยัง ขื นสร้ า ง
ต่อไปจนเสร็ จ ถือได้ ว่านายวันสร้ างบ้ านหลังที่สองในที่ดินของนายเดช
โดยไม่ สุจริ ตตามมาตรา ๑๓๑๑ เพราะกรณีการปลูกสร้ างโรงเรื อนใน
ที่ดิ นของผู้ อื่นซึ่ งจะถื อว่ าเป็ นการสร้ า งโดยสุ จริ ตตามมาตรา ๑๓๑๐
จะต้ องเป็ นการกระทาโดยสุ จริ ตตั้งแต่ ลงมือก่ อสร้ างจนกระทั่งสร้ าง
เสร็จสมบูรณ์ ดังนี้ เมื่อนายเดชต้ องการให้ รื้อถอนบ้ านดังกล่ าว นายวัน
จึงต้ องรื้อถอนออกไป (คาพิพากษาฎีกาที่ ๒๓๑๓/๒๕๓๗)
ค าพิพ ากษาฎีก าที่ ๙๕๑-๙๕๒/๒๕๔๒ ตาม ป.พ.พ.มาตรา
๑๓๑๒ ได้ร ะบุ ไ ว้ชัด แจ้ง ว่ า สร้ า งโรงเรื อ นย่อ มหมายถึ ง สร้ า งบ้า น
สาหรับอยูอ่ าศัยเท่านั้น ดังนั้น โรงรถ ท่อน้ าประปา ปั๊ มน้ าและแท็งก์น้ า
จึงมิ ใช่ โรงเรื อนตามความหมายของบทบัญญัติมาตรานี้ และไม่ถือว่า
211
ที่ ๑ ออกไปได้
การที่นายรวยปลูกบ้านหลังที่สองบนที่ดินแปลงที่ ๒ ซึ่ งเดิ ม
เป็ นของนายรวยแล้วต่อมามีการแบ่งแยกที่ดินนั้น ทาให้บางส่ วนของ
บ้านหลังที่สองของนายรวยรุ กล้ าเข้าไปในที่ดินแปลงที่ ๓ ที่แบ่งแยก
ออกจากที่ดินแปลงที่ ๒ ซึ่ งต่อมามีการโอนขายที่ดินแปลงที่ ๓ ให้แก่
นายอุดม เป็ นกรณีไม่ มีบทกฎหมายปรั บแก่ คดีได้ โดยตรง จึงต้ องอาศัย
เทียบบทกฎหมายที่ใกล้ เคียงอย่ างยิ่งตามมาตรา ๔ และบทกฎหมายที่
ใกล้ เคียงอย่ างยิ่งที่จะปรั บกับข้ อเท็จจริ งนี้ได้ คือ กรณีที่บุคคลใดสร้ าง
โรงเรื อนรุ กลา้ เข้ าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุ จริ ต บุคคลนั้นเป็ นเจ้ าของ
โรงเรือนที่สร้ างขึน้ แต่ ต้องเสี ยเงินให้ แก่ เจ้ าของที่ดินเป็ นค่ าใช้ ที่ดินนั้น
และจดทะเบียนสิ ทธิเป็ นภาระจายอมตามมาตรา ๑๓๑๒ เมื่อกรณีถือได้
ว่ าการรุ กลา้ ดังกล่ าวเป็ นไปโดยสุ จริต นายรวยจึงเป็ นเจ้ าของบ้ านหลังที่
สองส่ วนที่รุกล้าตามมาตรา ๑๓๑๒ วรรคหนึ่ ง นายอุ ดมจึ งไม่ มีสิทธิ
ขอให้ นายรวยรื้อถอนบ้ านหลังทีส่ องออกจากทีด่ ินแปลงที่ ๓ คงมีเพียง
สิ ทธิเรี ยกร้ องให้ นายรวยใช้ ค่าที่ดินส่ วนที่นายรวยปลูกสร้ างบ้ านรุ กลา้
(คาพิพากษาฎีกาที่ ๓๘๑/๒๕๕๑, ที่ ๖๕๙๓/๒๕๕๐)
ค าพิ พ ากษาฎี ก าที่ ๙๗๘๕/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล. ๘ น. ๒๐๘
บ้านเลขที่ ๖/๑ ตั้งอยู่บนที่ ดินซึ่ งเป็ นของเจ้าของคนเดี ยวกันคือจาเลย
ต่ อมาเมื่ อมี ก ารแบ่ ง แยกขายที่ ดิน เฉพาะโฉนดเลขที่ ๑๓๗๔๒ จึ ง มี
โรงเรื อนบางส่ วนรุ กล้ าเข้าไปในที่ดินของโจทก์ผซู ้ ้ื อ การที่จาเลยปลูก
สร้ า งบ้า นลงบนที่ ดิ น พิ พ าทและบนที่ ดิ น ของจ าเลยอี ก แปลงที่ อ ยู่
ติดต่อกัน โดยจาเลยเป็ นเจ้าของที่ดินทั้งสองแปลง จาเลยจึงมีสิทธิ ปลูก
219
บัง คับ โดยอาศัย เที ย บบทกฎหมายที่ ใ กล้เ คี ย งอย่ า งยิ่ ง ได้แ ก่ ม าตรา
๑๓๑๒ วรรคหนึ่ ง จาเลยจึงมีสิทธิ ใช้ส่วนแห่ งแดนกรรมสิ ทธิ์ ที่ดินของ
โจทก์ที่อยูใ่ ต้แนวกันสาดที่รุดล้ าเข้าไปนั้นได้ โดยถือว่ากันสาดที่รุกล้ า
นั้น เป็ นมาโดยสุ จ ริ ต แต่ จาเลยต้องเสี ย ค่ า ใช้ที่ ดิน นั้น แก่ โ จทก์ โดย
โจทก์ตอ้ งจดทะเบียนสิ ทธิ ภาระจายอมให้จาเลย โจทก์จึงไม่มีอานาจ
ฟ้ องจาเลยรื้ อกันสาดอันเป็ นสิ่ งปลู กสร้ างออกไปจากที่ ดินของโจทก์
จนกว่าจาเลยจะไม่ใช้ค่าใช้ที่ดินนั้น
ทางจาเป็ น
ข้ อ ๓๗ คาถาม นาย ก. เป็ นเจ้าของที่ดินแปลงที่ ๑ ซึ่ งติดทาง
สาธารณะด้านหนึ่ งอยู่แล้ว แต่นาย ก. ใช้สิทธิ เดิ นผ่านที่ดินแปลงที่ ๒
ซึ่ งเป็ นของนาย ข. ผ่านออกสู่ ทางสาธารณะอีกด้านหนึ่ ง โดยสงบโดย
เปิ ดเผยมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ ที่ดินอีกส่ วนหนึ่ งของนาย ก. แปลงดังกล่าว
ติดกับที่ดินแปลงที่ ๓ ของนาย ค. ซึ่งนาย ค. ใช้สิทธิเดินผ่านที่ดินแปลง
ที่ ๔ ของนาย ง. ผ่านออกสู่ ทางสาธารณะอีกด้านหนึ่ งอย่างทางจาเป็ น
ตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ เพราะที่ดินของนาย ค. ไม่มีทางออกสู่ ทางสาธารณะ
โดยนาย ง. ยินยอม ต่อมาปี ๒๕๔๙ นาย ค. ขายที่ดินแปลงที่ ๓ ให้แก่
นาย ก. นาย ก. รับซื้ อไว้โดยทราบว่า นาย ค. เดิ นผ่านที่ดินแปลงที่ ๔
ของนาย ง. อย่างทางจาเป็ น และในปี เดียวกันนาย ข. ขายที่ดินแปลงที่
๒ ให้แก่นาย จ. ตามราคาตลาดโดยนาย จ. ไม่ทราบว่าที่ดินแปลงที่ ๒
ถูกนาย ก. เจ้าของที่ดินแปลงที่ ๑ เดินผ่านตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ หลังจากจด
ทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองแปลงแล้วนาย ก. มีปากเสี ยงกับนาย จ. และ
นาย ง. นาย จ. และนาย ง. จึงปิ ดทางไม่ให้นาย ก. เดินผ่านที่ดินแปลงที่
๒ และแปลงที่ ๔ ออกสู่ ทางสาธารณะ
ให้วินิจฉัย ว่า นาย ก. มี สิ ท ธิ ใ ช้ท างเดิ นผ่า นที่ ดินแปลงที่ ๒
ของนาย จ. และที่ดินแปลงที่ ๔ ของนาย ง. หรื อไม่ อย่างไร
226
๒๕๔๖ (ประชุมใหญ่))
ข้ อสั งเกต คำถำมข้ อนี ้นดกศึ กษำอำะะวหลบไปตอบคำพิ พำกษำฎี กำที่
๕๑๐๓/๒๕๔๗ ทำบะำเป็ นมิได้ กำหนดเบื่อนไขั่ ำผู้เป็ นเะ้ ำขอบที่ ดินที่
ถูกล้ อมะวต้ อบได้ ที่ดินมำโดยสุะริ ต แม้ ะวฟด บได้ ั่ำโะทก์ ซื้อที่ ดินมำโดย
รู้ อยู่แล้ ัั่ ำมีที่ดินแปลบอื่ นล้ อมอยู่ะนไม่ มีทำบออกสู่ ทำบสำธำรณวได้
ก็ต ำม ก็ไ ม่ ท ำให้ สิ ท ธิ ข อบโะทก์ ที่ ะ วผ่ ำ นที่ ดิ น ที่ ล้ อ มอยู่อ อกสู่ ทำบ
สำธำรณวหมดไป ซึ่ บข้ อเท็ะะริ บแลวคำัินิะฉดยแตกต่ ำบกดน
คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๖๔/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๗ โจทก์ที่ ๑ ใช้
ทางพิพาทเป็ นทางเข้าออกสู่ ทางสาธารณประโยชน์โดยใช้ทางตั้งแต่
ที่ดินของโจทก์ที่ ๑ เป็ นกรรมสิ ทธิ์ ของ ม. และ ก. จนกระทัง่ ต่อมาที่ดิน
ตกเป็ นกรรมสิ ทธิ์ ของโจทก์ที่ ๑ เป็ นการใช้ทางพิพาทสื บเนื่องต่อกันมา
ด้วยความสงบโดยเปิ ดเผย โดยเจตนาใช้ทางพิพาทเป็ นทางเข้าออกเกิน
กว่า ๑๐ ปี เมื่ อ คดี ไ ม่ ไ ด้ค วามว่ า เคยมี ก ารขออนุ ญ าตหรื อ มี ก ารให้
ค่ า ตอบแทนแก่ จ าเลยทั้ง หกเพื่ อ ใช้ ท างพิ พ าทเป็ นทางเข้า ออกทั้ง
พฤติการณ์ ไม่อาจถื อได้ว่าโจทก์ที่ ๑ ใช้ทางพิพาทโดยการถื อวิสาสะ
แสดงว่ามีการใช้ทางพิพาทอย่างประสงค์จะให้ได้สิทธิ ทางภาระจายอม
โดยมิได้อาศัยสิ ทธิ ของผูใ้ ด จึงนับได้วา่ มีลกั ษณะเป็ นการใช้สิทธิ ที่เป็ น
ปรปั กษ์ต่อจาเลยทั้งหกผูเ้ ป็ นเจ้าของทางพิพาท โจทก์ที่ ๑ ย่อมได้สิทธิ
ในทางพิพ าทเป็ นทางภาระจายอมโดยอายุค วามตาม ป.พ.พ. มาตรา
๑๔๐๑ ประกอบด้วยมาตรา ๑๓๘๒
คาพิพากษาฎีกาที่ ๓๒๖๒/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๕๕ คดี ก่อน
ศาลฎี กาพิพากษาว่าทางพิพาทตกเป็ นภาระจายอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่
229
ถึงแม้ตน้ มะม่วงนั้นจะงอกจากเมล็ดมะม่วงที่ตกมาจากต้นมะม่วงของ
นายมี ก็ตาม แต่ ต้นมะม่ วงเป็ นส่ วนควบของที่ดินแปลงที่นายสมโชค
ซื้อมาตามมาตรา ๑๔๕ วรรคหนึ่ ง เมื่ อนายสมโชคเป็ นเจ้ า ของที่ดิ น
แปลงนี้ จึ งเป็ นผู้ มี ก รรมสิ ท ธิ์ ใ นต้ นมะม่ ว งดั ง กล่ า วด้ ว ยตามมาตรา
๑๔๔ วรรคสอง
ตึ กแถวและสิ่ ง ปลู กสร้ างอย่า งอื่ นปิ ดกั้นอยู่ก่ อนแล้ว ที่ ดินโจทก์จึง มี
ที่ดินแปลงอื่นล้อมอยูจ่ นไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะตามสภาพที่เป็ น
จริ ง โจทก์มีอานาจฟ้ องเรี ยกร้ องเอาทางเดิ นผ่านที่ดินของจาเลยไปสู่
ทางสาธารณะได้โดยไม่ตอ้ งเสี ยค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิ ชย์ มาตรา ๑๓๕๐
คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๑๗๖/๒๕๓๕ เดิมที่ดิน น.ส.๓ เลขที่ ๔๐๒
เป็ นของจาเลย ต่อมาโจทก์ได้ซ้ื อที่ดินดังกล่าวบางส่ วนเนื้อที่ ๓ งาน ซึ่ ง
อยู่ดา้ นหลังก่อนแบ่งแยกหรื อแบ่งโอน จาเลยได้ทาสัญญากับโจทก์ว่า
จะเปิ ดทางเดินกว้าง ๒.๕ เมตร ให้โจทก์เดิ นออกสู่ ทางสาธารณะแต่
ต่อมาจาเลยล้อมรั้วปิ ดกั้นในที่ดินของจาเลยทาให้โจทก์ไม่สามารถออก
สู่ ทางสาธารณะได้ ที่ ดินของโจทก์ที่แบ่งแยกจากที่ ดิน น.ส.๓ เลขที่
๔๐๒ อยู่ในที่ลอ้ ม จึงมีสิทธิ ผ่านที่ดินของจาเลยที่แบ่งแยกที่แบ่งหรื อ
แบ่งโอนไปสู่ ทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์
มาตรา ๑๓๕๐ การยกเลิ กสัญญาที่ จาเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ทางผ่า น
กว้าง ๒.๕ เมตร เป็ นข้อจากัดสิ ทธิ แห่ งเจ้าของอสังหาริ มทรัพย์ตอ้ งทา
นิ ติกรรมเป็ นหนังสื อและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา
๑๓๓๘ วรรคสอง เพียงแต่ตกลงยกเลิกกันด้วยปากเปล่าไม่มีผลผูกพัน
สิ ทธิ ของโจทก์ที่จะเดิ นผ่านในที่ดินของจาเลยเกิ ดขึ้ นโดยผล
ของกฎหมาย โจทก์ยอ่ มจะฟ้ องให้จาเลยเปิ ดทางได้โดยไม่มีอายุความ
243
แทนโจทก์ มี ค วามจ าเป็ นที่ จ ะต้อ งใช้ ท างพิ พ าทเป็ นทางเข้ า ออก
เช่นเดียวกัน โจทก์จึงมีสิทธิ ฟ้องขอให้จาเลยเปิ ดทางจาเป็ นในที่ดินของ
จาเลย
ข้ อสั งเกต ฎีกำนีเ้ ะ้ ำขอบที่ดินเป็ นโะทก์ ฟ้อบโดยมีผ้ เู ช่ ำเป็ นผู้ใช้ ทำบแทน
โะทก์ มีอำนำะฟ้ อบ แม้ สิทธิ ในทำบะำเป็ นมำตรำ ๑๓๔๙ ให้ เะ้ ำขอบที่ ดิน
มีสิทธิ ใช้ ทำบะำเป็ น เะ้ ำขอบที่ ดินก็ให้ คนอื่ นใช้ สิทธิ ในทำบะำเป็ นแทน
ได้ แต่ ถ้ำเะ้ ำขอบที่ ดินไม่ ได้ เป็ นโะทก์ ฟ้ อบ โดยมีผ้ เู ช่ ำหรื อผู้อำศดยสิ ทธิ
ในที่ ดินเป็ นโะทก์ ฟ้อบคดี ศำลฎีกำัินิะฉด ยั่ ำผู้เช่ ำหรื อผู้อำศดยสิ ทธิ ใน
ที่ดินไม่ มีอำนำะฟ้ อบ (คำพิพำกษำฎีกำที่ ๕๗๔๐/๒๕๕๑)
คาพิพากษาฎีกาที่ ๒๙๐๐/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล. ๓ น. ๑๕๐ อ. ฟ้ อง
จาเลยขอให้เ ปิ ดทางจาเป็ น เป็ นเรื่ องเฉพาะตัว ไม่ มี ผ ลผูก พัน โจทก์
ทั้งสาม แต่ อ. เป็ นเจ้าของกรรมสิ ทธิ์ ที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนด
เลขที่ ๓๑๙ แปลงใหญ่ และมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยูจ่ นไม่มีทางออกถึ ง
ทางสาธารณะได้เช่นเดียวกับที่ดินโจทก์ท้ งั สาม เมื่อ อ. ผ่านที่ดินจาเลย
ซึ่ งล้อมอยู่ออกไปสู่ ทางสาธารณะและถนนได้ การที่ ที่ดินของโจทก์
ทั้ง สามแบ่ ง แยกจากที่ ดิ น โฉนดเลขที่ ๓๑๙ ซึ่ งเป็ นแปลงใหญ่ น้ ัน
ปรากฏว่าที่ดินที่แบ่งทุกแปลงมีทางออกผ่านที่ดินของจาเลยออกสู่ ทาง
สาธารณะเป็ นทางจาเป็ นอยู่แล้ว ดังนั้น โจทก์ท้ งั สามย่อมมี สิทธิ ผ่าน
ที่ดินของจาเลยซึ่ งเป็ นทางจาเป็ นได้เช่ นเดี ยวกับ อ. เพราะจาเลยไม่มี
สิ ทธิ ปิ ดกั้ น ทางจ าเป็ นได้ อี ก ต่ อ ไป ถื อ ได้ ว่ า ที่ ดิ น โจทก์ ท้ ั ง สาม
มี ท างออกถึ ง ทางสาธารณะได้ โจทก์ ท้ งั สามจึ ง ไม่ มี สิ ท ธิ เ รี ย กร้ อ ง
ให้จาเลยเปิ ดทางพิพาทในที่ดินจาเลยเป็ นทางจาเป็ นได้อีก
251
การวางท่อนา้ สายไฟฟ้า
คาพิพากษาฎีกาน่ าสนใจมาตรา ๑๓๕๒
คาพิพากษาฎีกาที่ ๗๗๗๕/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล. ๑๑ น. ๑๒๓ การ
วางท่อน้ า สายไฟฟ้ า ท่อประปา สายโทรศัพท์ หรื อสิ่ งอื่นซึ่ งคล้ายกัน
ในที่ ดินติ ดต่ อ หาใช่ เป็ นเรื่ องทางจาเป็ นตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๔๙
และ ๑๓๕๐ ไม่ แต่เป็ นเรื่ องที่เจ้าของที่ดินจาต้องยอมให้เจ้าของที่ดิน
ติดต่อวางท่อน้ า ท่อระบายน้ า สายไฟฟ้ า หรื อสิ่ งอื่นซึ่ งคล้ายกันผ่าน
ที่ ดินของตนตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๕๒ การใช้สิ ท ธิ วางท่ อน้ า ท่ อ
ระบายน้ า ฯลฯ ในที่ ดินของผูอ้ ื่น ผูท้ ี่ จะวางท่อน้ า ท่อระบายน้ า ฯลฯ
จะต้องยอมจ่ายค่าทดแทนตามสมควรให้แก่เจ้าของที่ดินเสี ยก่อน หากผู ้
ที่ จะวางท่อน้ า ท่ อระบายน้ า ฯลฯ ไม่จ่ายค่าทดแทนตามสมควรแล้ว
เจ้าของที่ ดินย่อมมีสิทธิ ที่จะปฏิ เสธไม่ยอมให้วางท่อน้ า ท่อระบายน้ า
ฯลฯ ในที่ ดิน ของตนได้ จึ ง เป็ นหน้า ที่ ข องโจทก์ ซ่ ึ ง เป็ นผูว้ างท่ อน้ า
สายไฟฟ้ า ฯลฯ ที่จะต้องบอกกล่าวเสนอจานวนค่าทดแทนให้แก่จาเลย
ซึ่ ง เป็ นเจ้า ของที่ ดินทราบก่ อน มิ ฉ ะนั้นโจทก์ไ ม่ มี อานาจฟ้ องขอให้
บังคับจาเลยยอมให้โจทก์วางท่อน้ า สายไฟฟ้ า ฯลฯ ในที่ดินของจาเลย
264
เมื่อทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เสนอค่าทดแทนแก่จาเลย โจทก์
จึ ง ไม่ มี อ านาจฟ้ องขอให้ บ ัง คับ จ าเลยยิ น ยอมให้ โ จทก์ ว างท่ อ น้ า
สายไฟฟ้ า ฯลฯ ในที่ดินของจาเลยได้
โจทก์มีสิทธิ ใช้ทางเดินและทางรถยนต์ในที่ดินเป็ นทางจาเป็ น
ด้วยอานาจแห่ งกฎหมาย แม้มีการโอนที่ดินแปลงดังกล่าวไปเป็ นของ
ผูอ้ ื่น โจทก์ก็ยงั คงมีสิทธิ ใช้ทางจาเป็ นในที่ดินดังกล่าวอยูน่ นั่ เอง จึงไม่
จาเป็ นต้องกาหนดให้จาเลยไปจดทะเบียนสิ ทธิ ทางจาเป็ น
กรรมสิ ทธิ์รวม
คาพิพากษาฎีกาน่ าสนใจมาตรา ๑๓๕๖
คาพิพากษาฎีกาที่ ๖๔๐๕/๒๕๕๔ ฎ.๑๔๓๑ ก่อนโจทก์อยู่กิน
ฉันสามีภริ ยากับจาเลย โจทก์ประกอบอาชี พมีรายได้เป็ นของตนเองมา
ก่อน ต่อมาเมื่ออยูก่ ินกับจาเลยซึ่ งประกอบอาชี พรับเหมาก่อสร้างโจทก์
จึงลาออกจากงานและมาทางานกับจาเลย โดยหลังจากจาเลยแยกทาง
กับ ภริ ย าเดิ ม โจทก์ ม าอยู่กิ น กับ จาเลยโดยไปเช่ า ห้ องพัก อยู่ด้ว ยกัน
ขณะที่มาอยูก่ ินกันจาเลยมีเพียงรถยนต์ ๑ คัน ระยะเริ่ มต้นการประกอบ
อาชี พมีรายได้ไม่พอจ่าย แสดงว่าระยะเริ่ มต้นที่โจทก์กบั จาเลยอยู่กิน
ฉันสามีภริ ยากันจาเลยไม่มีทรั พย์สินอื่ น หลังจากทามาหากิ นร่ วมกับ
โจทก์ได้ระยะหนึ่ งจึงมีเงินพอซื้ อที่ดินแปลงหนึ่ ง ต่อมาขายที่ดินแปลง
ดังกล่ าวแล้วนาเงิ นที่ ได้มาสมทบกับเงิ นที่ ได้จากการประกอบอาชี พ
รับเหมาก่อสร้ างมาซื้ อที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๖๗๔ และ ๑๓๖๗๕ ในปี
๒๕๔๕ และปลู กสร้ า งบ้านเลขที่ ๒๔๘/๓๒ บนที่ ดินทั้ง สองแปลง
265
ซึ่ งเจ้าของรวมคนหนึ่ งมีสิทธิ จดั การได้เสมอ แต่ตอ้ งไม่ขดั ต่อสิ ทธิ แห่ ง
เจ้า ของรวมคนอื่ น ตามประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ มาตรา
๑๓๕๘ วรรคสอง และ ๑๓๖๐ วรรคหนึ่ ง การที่ จาเลยท าสั ญญาเช่ า
ฉบับใหม่กบั ส. ซึ่ งเป็ นเจ้าของรวมในที่ดินที่จาเลยเช่ า โดยเสี ยค่าเช่ า
เพียงเดือนละ ๒,๕๐๐ บาท น้อยกว่าเดิมที่เคยเสี ยค่าเช่าเดือนละ ๓,๐๐๐
บาท ย่อมทาให้เจ้า ของรวมคนอื่ นซึ่ งได้มอบหมายให้โจทก์เป็ นผูท้ า
สัญญาเช่ากับจาเลยได้รับความเสี ยหาย ส. จึงไม่มีอานาจที่จะทาสัญญา
เช่ ากับจาเลย สัญญาเช่ าที่ดินจึ งไม่ผูกพันโจทก์ซ่ ึ งเป็ นเจ้าของรวมคน
หนึ่ ง เมื่อโจทก์บอกเลิ กสัญญาเช่ ากับจาเลยแล้ว จาเลยยังอยู่ในที่ดินที่
เช่ าจึ งเป็ นการอยู่โดยละเมิ ด โจทก์มีอานาจฟ้ องขับไล่ จาเลยออกจาก
ที่ดินที่เช่าได้
คาพิพ ากษาฎีก าที่ ๑๖๖๙/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๖๓ ป.พ.พ.
มาตรา ๑๓๖๐ วรรคหนึ่ ง บัญญัติว่า "เจ้าของรวมคนหนึ่ ง ๆ มีสิทธิ ใช้
ทรัพย์สินได้ แต่การใช้น้ นั ต้องไม่ขดั ต่อสิ ทธิ แห่ งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ"
ดังนั้น เมื่อที่ดินกรรมสิ ทธิ์ รวมระหว่างโจทก์กบั จาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ยัง
ไม่ มี ก ารแบ่ ง แยกการครอบครองออกเป็ นส่ วนสั ด การใช้ท รั พ ย์สิ น
กรรมสิ ทธิ์ รวมของจาเลยที่ ๑ จึ ง ต้องเป็ นการใช้ที่ ไม่ขดั ต่อสิ ทธิ แห่ ง
เจ้าของรวมคนอื่น ๆ ที่จาเลยที่ ๑ ปลูกสร้างอาคาร โดยเลือกบริ เวณติด
ถนนสุ ขุมวิท โดยไม่ได้รับความยินยอมของเจ้าของรวมคนอื่น จึงไม่มี
สิ ทธิ ที่จะทาได้ โจทก์มีสิทธิ ฟ้องขอให้ร้ื อถอนสิ่ งปลูกสร้างของจาเลย
ที่ ๑ ออกจากที่ดินพิพาทได้
คาพิพ ากษาฎีก าที่ ๔๙๒๐/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๕๘ โจทก์
271
ที่ ดิ น กัน เป็ นส่ ว นสั ด การที่ ผู ้มี ชื่ อ ถื อ กรรมสิ ท ธิ์ คนหนึ่ งคนใดเข้า
ครอบครองส่ วนหนึ่งส่ วนใดของที่ดิน ก็ตอ้ งถือว่าครอบครองที่ดินส่ วน
นั้น ๆ ในฐานะเจ้าของรวมคนหนึ่ งเท่านั้น หาก่ อให้เริ่ มเกิ ดสิ ทธิ ที่จะ
อ้างว่าตนครอบครองทรัพย์สินของผูอ้ ื่นไว้ดว้ ยเจตนาเป็ นเจ้าของเสี ยแต่
คนเดี ยวไม่ ดังนั้น การที่ จาเลยที่ ๑ และจาเลยที่ ๒ ถึ งที่ ๕ ผูส้ ื บสิ ทธิ
จาก พ. ได้เข้าครอบครองทาประโยชน์ในที่ดินพิพาท หาทาให้จาเลยทั้ง
ห้าได้ก รรมสิ ทธิ์ ทางปรปั กษ์ไม่ เว้นเสี ยแต่จะได้เปลี่ ยนลักษณะแห่ ง
การยึดถื อโดยบอกกล่ าวไปยัง ก. เจ้าของรวมว่า ไม่มีเจตนาจะยึดถื อ
ทรัพย์แทน ก. อีกต่อไปตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๑ เมื่อจาเลยทั้งห้ามิได้
บอกกล่ า ว จึ ง ไม่ มี ผ ลเปลี่ ย นแปลงฐานะยึ ด ถื อ แทน ก. ผู ้มี สิ ทธิ
ครอบครองได้และไม่อาจถือได้วา่ มีการแย่งการครอบครอง
ค าพิ พ ากษาฎี ก าที่ ๓๒๙๔/๒๕๔๕ ฎ.ส.ล.๘ น.๓๐ การที่
เจ้าของรวมคนหนึ่ งใช้สิทธิ ขดั ต่อสิ ทธิ ของเจ้าของรวมคนอื่น เจ้าของ
รวมคนอื่น ๆ ย่อมมีสิทธิ ที่จะฟ้ องร้ องบังคับคดี ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา
๑๓๖๐ วรรคหนึ่ง
โจทก์จาเลยแบ่งทรัพย์สินกันเองก่อน เมื่อไม่สามารถแบ่งได้ให้ประมูล
ราคาระหว่างกันเอง ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้นาทรัพย์สินดังกล่าวออกขาย
ทอดตลาด ได้เงินสุ ทธิ เท่าใดให้แบ่งกันคนละครึ่ ง
280
สิ ทธิครอบครอง
ข้ อ ๔๒ คาถาม นายเอกบุกรุ กเข้าครอบครองและทาประโยชน์
ในที่ ดิ น ผู ้อื่ น อย่ า งเปิ ดเผยและโดยสงบสามแปลง ดัง นี้ เมื่ อ เดื อ น
มกราคม ๒๕๓๘ ครอบครองที่ดินแปลงแรกซึ่ งเป็ นที่ดินมีโฉนดของ
นายหนึ่ง เดือนมกราคม ๒๕๔๘ เข้าครอบครองที่ดินแปลงที่ ๒ ซึ่ งเป็ น
ที่ดินมี น.ส. ๓ ของนายสอง และเดือนมกราคม ๒๕๕๑ เข้าครอบครอง
ที่ ดิ น แปลงที่ ๓ ซึ่ งเป็ นที่ ดิ น มี น.ส. ๓ ของนายสาม ต่ อ มาวัน ที่ ๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ นายหนึ่งและนายสองได้บุกรุ กเข้าไปแย่งที่ดินคืน
จากนายเอกโดยพลการ และนายสี่ ได้บุกรุ กเข้าไปแย่งที่ ดินแปลงที่ ๓
มาจากนายเอก ต่อมาวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๑ นายเอกฟ้ องคดี ต่อศาล
เพื่อเรี ยกที่ดินคืนจากนายหนึ่ง นายสอง และนายสี่
ให้วนิ ิจฉัยว่า นายเอกจะเรี ยกที่ดินทั้งสามแปลงคืนได้หรื อไม่
ข้ อ ๔๒ ค าตอบ กรณี ที่ ดิ น แปลงแรก นายเอกบุ ก รุ กเข้า
ครอบครองและทาประโยชน์ในที่ ดินมีโฉนดของนายหนึ่ งเมื่อเดื อน
มกราคม ๒๕๓๘ จนถึ ง วัน ที่ ๑ กุ ม ภาพัน ธ์ ๒๕๕๑ เป็ นการเข้ า
ครอบครองอสั งหาริ มทรั พย์ ของผู้อื่นไว้ โดยความสงบและโดยเปิ ดเผย
ด้ วยเจตนาเป็ นเจ้ าของติดต่ อกันเป็ นเวลาสิ บปี ขึ้ นไป นายเอกย่ อมได้
กรรมสิ ทธิ์ในที่ดินแปลงแรกของนายหนึ่งโดยการครอบครองปรปั กษ์
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา ๑๓๘๒ เมื่อนายเอกได้
กรรมสิ ทธิ์ในที่ดินดังกล่ าวโดยผลของกฎหมาย กรรมสิ ทธิ์ของนายเอก
ดังกล่ าวย่ อมบริ บูรณ์ เป็ นทรั พยสิ ทธิตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ซึ่ ง
สามารถใช้ อ้างต่ อบุคคลทัว่ ไปได้ ทนั ที เมื่อนายเอกได้ กรรมสิ ทธิ์ในที่ดิน
281
การยึดถื อ ทรั พย์ และยึด ถือ เพื่อ ตน ก็ไ ด้ สิ ทธิ ครอบครองทันที หากมี
สิ ทธิครอบครองแล้ว มีคนอืน่ มาแย่งการครอบครองก็มีสิทธิฟ้องเอาคืน
การครอบครองภายใน ๑ ปี เว้ น แต่ ผ้ ู แ ย่ ง มี สิ ท ธิ ดี ก ว่ า ตามมาตรา
๑๓๗๕)
ตั ว อย่ า งค าตอบที่ ๒ นายเอกบุ ก รุ ก เข้า ครอบครองและท า
ประโยชน์ในที่ดินผูอ้ ื่นอย่างเปิ ดเผยสามแปลง จึงเป็ นกรณี ที่นายเอกเข้า
ยึดถือทรัพย์สินเพื่อตน นายเอกเข้าครอบครองที่ดินแปลงแรกเมื่อเดือน
มกราคม ๒๕๓๘ โดยเป็ นที่ดินมี โฉนดของนายหนึ่ ง จึงเป็ นการเข้า
ยึดถืออสังหาริ มทรัพย์ของผูอ้ ื่น (ขาดโดยสงบ โดยเปิ ดเผย เป็ นเวลา ๑๐
ปี ) และมีเจตนาเป็ นเจ้าของ จึงเป็ นการครอบครองปรปักษ์
นายเอกเข้าครอบครองที่ดินที่มี นส.๓ ของนายสองเมื่อเดือน
มกราคม ๒๕๔๘ และเข้าครอบครองที่ ดินแปลงที่ ๓ ซึ่ งมี นส.๓ ของ
นายสาม เป็ นการเข้าแย่งการครอบครองที่ดินมือเปล่าจากนายสองและ
นายสาม นายเอกจึงได้สิทธิ ครอบครองในที่ดินทั้งสองแปลงนั้นแล้ว
ต่อมาเมื่ อวันที่ ๑ กุม ภาพันธ์ ๒๕๕๑ นายหนึ่ งและนายสอง
(น่ าจะแยกตอบทีละประเด็น) ได้บุกรุ กเข้าไปแย่งที่ดินคืนจากนายเอก
โดยพลการ สาหรับนายหนึ่งแม้เป็ นการติดตามเอาทรัพย์สินของตนคืน
แต่เป็ นการติดตามเอาคืนหลังจากที่นายเอกเข้าครอบครองปรปั กษ์ได้
๑๓ ปี แล้ว นายหนึ่ ง จึ ง ไม่ มี สิ ท ธิ ใ นที่ ดิ น นั้น เพราะนายเอกย่อ มได้
กรรมสิ ท ธิ์ ในที่ ดิ น นั้น เมื่ อ ได้ค รอบครองโดยเจตนาเป็ นเจ้า ของมา
มากกว่า ๑๐ ปี และสาหรับนายสองเป็ นการเข้าแย่งคืนการครอบครอง
แต่นายเอกได้เข้าแย่งครอบครองมาก่อน ๓ ปี นายสองจึงหมดสิ ทธิ ใน
287
ดัง กล่ า วซึ่ งเป็ นวัน ที่ มี ก ารแย่ ง การครอบครอง หาใช่ นับ แต่ ว นั ที่ 1
สิ งหาคม 2551 ซึ่ งเป็ นวันที่นายเอกรู ้ ถึงการแย่งการครอบครอง การที่
นายเอกมาฟ้ องคดีเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2551 จึงเป็ นระยะเวลาเกิ นกว่า 1
ปี นับ แต่ เวลาที่ นายเอกถู กแย่ง การครอบครองแล้วตามมาตรา 1375
ดัง นั้ น นายจัต วาจึ ง มี สิ ทธิ ใ นที่ ดิ น แปลงหลัง นี้ ดี ก ว่ า นายเอก (๕
คะแนน) รวมได้ ๘ คะแนน
ตัวอย่ างคาตอบที่ ๒ ตามปพพ.มาตรา 1381 วางหลักว่า บุคคล
ซึ่ งยึดถือทรัพย์ไว้แทนผูค้ รอบครอง จะเปลี่ยนลักษณะการยึดถือได้ก็แต่
โดยบอกกล่าวไปยังผูค้ รอบครองว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทน
ผูค้ รอบครองต่อไป การโอนสิ ทธิ ครอบครองย่อมกระทาได้โดยการที่
ผูค้ รอบครองแสดงเจตนาสละเจตนาครอบครองและส่ งมอบทรัพย์สิน
ที่ครอบครองตามมาตรา 1377 ,1378 และตามมาตรา 1375 วรรคสอง
วางหลักว่า การฟ้ องคดี เพื่อเอาคื นซึ่ งการครอบครองนั้น ท่านว่าต้อง
ฟ้ องภายในปี หนึ่ งนับแต่เวลาถู กแย่งการครอบครอง (การตอบโดยยก
หลักกฎหมาย ควรย่ อหน้ าทุกหลักกฎหมาย เมื่อมีการอ้ างหลักกฎหมาย
หลายหลักกฎหมาย)
การที่นายโทซึ่ งเข้ายึดถือที่ดินไว้แทนนายเอกบอกชาวบ้านว่า
ที่ ดิ นดัง กล่ า วเป็ นของตนเองนั้น ไม่ ถื อเป็ นการเปลี่ ย นลัก ษณะการ
ยึดถือ เพราะมิใช่การแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะการยึดถือต่อนายเอกผู ้
ครอบครอง นายโทจึงเป็ นเพียงผูย้ ึดถือที่ดินไว้แทนนายเอก การที่นาย
โทขายที่ ดินแปลงแรกให้แก่ นายตรี โดยทาสัญญาเป็ นหนังสื อและส่ ง
มอบที่ดินกันเองนั้น เมื่ อนายโทเป็ นเพียงผูย้ ึดถื อที่ดินไว้แทนนายเอก
295
คะแนน
ตัวอย่ างคาตอบที่ ๓ การที่นายโทเข้าทากินและดูแลที่ดินแทน
นายเอกเป็ นการครอบครองแทน แม้นายโทจะบอกชาวบ้านว่า ที่ ดิน
ดัง กล่ า วเป็ นของตนก็ ไ ม่ ถื อว่า เป็ นการแย่ง การครอบครองโดยการ
เปลี่ยนลักษณะการยึดถื อ เพราะนายโทไม่ได้บอกกล่าวไปยังนายเอก
เจ้าของที่ดินว่าไม่มีเจตนาจะยึดถื อที่ดินแทนนายเอกต่อไป และแม้ว่า
จะครอบครองมาเกิ น 1 ปี นายโทก็ ไ ม่ ไ ด้สิ ท ธิ ค รอบครองในที่ ดิ น
ดังกล่าวจึงเป็ นเพียงผูค้ รอบครองแทนนายเอกเท่านั้น
การซื้ อขายที่ ดิน นส.3 แปลงแรก ระหว่างนายโทกับนายตรี
โดยทาเป็ นหนังสื อและส่ งมอบกันเองแม้จะตกเป็ นโมฆะเพราะไม่ได้
ทาเป็ นหนังสื อและจดทะเบี ยนต่อพนัก งานเจ้า หน้าที่ แต่เมื่ อนายโท
ผูข้ ายได้ส่งมอบที่ดินให้นายตรี เข้าครอบครองแล้วนายตรี ก็ยอ่ มได้สิทธิ
ครอบครองในที่ ดินนั้น อย่างไรก็ตาม การซื้ อขายที่ ดินมื อเปล่ าจากผู้
ครอบครองแทน ผูซ้ ้ื อได้สิทธิ เพียงเป็ นผูค้ รอบครองแทนเจ้าของเท่านั้น
แม้วา่ จะซื้ อมาโดยสุ จริ ตเพราะเข้าใจว่านายโทเป็ นเจ้าของก็ตาม ดังนั้น
นายเอกในฐานะเจ้าของที่ดินจึงมีสิทธิ ดีกว่านายตรี และมีสิทธิ ฟ้องขับ
ไล่นายตรี ออกจากที่ดินแปลงแรกได้ (ไม่ มีเรื่ องเปลี่ยนเจตนาแห่ งการ
ยึดถือเมื่อใดให้ เพียง ๓ คะแนน)
การที่ น ายจัต วาเข้า ท ากิ นและล้อมรั้ วที่ ดิ นแปลงหลัง เมื่ อ 1
มกราคม 2550 เป็ นการแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายนาย
เอกเจ้าของที่ดินมีสิทธิฟ้องเรี ยกคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่
เวลาที่ ถู กแย่งการครอบครอง เมื่ อนายเอกมาฟ้ องขับไล่ นายจัตวาใน
297
จึ ง ไม่ มี สิ ท ธิ ที่ จ ะขายฝากที่ ดิน ดัง กล่ า วให้ แ ก่ โจทก์ แม้ก ารขายฝาก
ระหว่า งโจทก์ก ับ อ. จะท าเป็ นหนัง สื อและจดทะเบี ย นต่ อพนัก งาน
เจ้าหน้าที่ ก็ไม่ทาให้โจทก์ได้สิทธิ ครอบครองที่ดินดังกล่าวแต่อย่างใด
ท ากิ นอยู่ด้วยไว้แก่ โ จทก์ แต่ จาเลยคงท ากิ นอยู่ใ นที่ ดินพิ พ าทต่ อมา
ภายหลังจาเลยทราบด้วยว่า ท.ไม่ไถ่คืน กรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินพิพาทจึงตก
เป็ นของโจทก์ จาเลยก็ยงั ทากินอยู่ในที่ดินพิพาทตลอดมา จึงต้องถือว่า
จาเลยครอบครองที่ ดินพิ พ าทแทนโจทก์ ตราบใดที่ จาเลยมิ ไ ด้แสดง
เจตนาเปลี่ ย นแปลงการยึดถื อ โดยบอกกล่ า วต่ อโจทก์ว่า จาเลยไม่ มี
เจตนาจะยึด ถื อ ที่ ดิ น พิ พ าทแทนโจทก์ อี ก ต่ อ ไป ดัง ที่ บ ญ
ั ญัติ ไ ว้ต าม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๑ ฐานะการครอบครองที่ดินพิพาทของจาเลยก็คง
มีตามเดิม ไม่อาจจะถือได้วา่ จาเลยครอบครองเพื่อตนอันจะเป็ นเหตุให้
จาเลยได้กรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปั กษ์ จนเมื่อ
โจทก์ น าเจ้า พนัก งานที่ ดิ น ไปรั ง วัด สอบเขตที่ ดิ น พิ พ าทและจ าเลย
คัดค้านการรังวัด อ้างว่าเป็ นเจ้าของกรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินพิพาทเมื่อวันที่
๑๙ กั น ยายน ๒๕๓๗ จึ ง จะพอถื อ ได้ ว่ า จ าเลยได้ แ สดงเจตนา
เปลี่ยนแปลงการยึดถือที่ดินพิพาทนั้นแล้ว แต่เมื่อคานวณถึ งวันฟ้ องยัง
ไม่ครบ ๑๐ ปี จาเลยจึงยังไม่ได้กรรมสิ ทธิ์ ในที่ ดินพิพาทตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๓๘๒
309
ที่ดินดังกล่าวไปขายให้แก่นายสามโดยส่ งมอบการครอบครองให้นาย
สามไปและชาระเงิ นครบถ้วนแล้ว โดยนายสามเข้าใจว่านายสองเป็ น
เจ้าของที่ครอบครองที่ดิน
นายหนึ่ ง น าที่ ดินแปลงหลัง ที่ มี น.ส.๓ จดทะเบี ย นขายฝาก
ให้แก่นายสี่ ๔๐๐,๐๐๐ บาท โดยกาหนดสิ นไถ่ ๔๑๐,๐๐๐ บาท ภายใน
๑ ปี นายสี่ ยินยอมให้นายหนึ่ งทากิ นในที่ดินต่อไปได้ เมื่อครบกาหนด
ไถ่ นายหนึ่ งไม่ได้ไถ่ที่ดินแปลงหลังเพราะคิดว่าอย่างไรเสี ยตนก็ยงั ทา
กินในที่ดินอยู่
หลัง ครบกาหนดไถ่ เกิ น ๑ ปี แล้ว นายหนึ่ ง ถู ก สลากกิ นแบ่ ง
รัฐบาล ต้องการที่ดินคืนจึงเสนอจ่ายเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยทั้งหมดให้แก่
นายสามและเรี ยกที่ดินแปลงแรกคืนจากนายสาม และจะจ่ายเงินสิ นไถ่
ให้แก่นายสี่ นายสามไม่ยอมคืนที่ดิน และนายสี่ ไม่ยอมให้ไถ่และฟ้ อง
ขับไล่นายหนึ่ง
ให้วินิจฉัยว่า ๑. นายหนึ่ งฟ้ องเรี ยกที่ดินแปลงแรกคืนจากนาย
สามได้หรื อไม่
๒. นายสี่ ฟ้ องขับ ไล่ น ายหนึ่ งออกจากที่ ดิ น แปลงหลัง ได้
หรื อไม่
ข้ อ ๔๘ คาตอบ ๑. สัญญาขายฝากที่ดินแปลงแรกระหว่างนาย
หนึ่ งและนายสองไม่ ได้ จดทะเบียนต่ อพนักงานเจ้ าหน้ าที่ สั ญญาขาย
ฝากดั งกล่ า วจึ งตกเป็ นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิ ช ย์
มาตรา ๔๙๑ ประกอบมาตรา ๔๕๖ ถือเสมือนว่ ามิได้ มีนิติกรรมการ
ขายฝากเกิดขึน้ เลย เมื่อสัญญาขายฝากนี้ เป็ นโมฆะแล้ว นายสองจะอ้ าง
313
ทีด่ ินแปลงหลังได้
คาพิพากษาฎีกาที่ ๘๐๙๓/๒๕๕๑ ฎ. ๒๒๖๐ โจทก์ร่วมทั้งสอง
กับจาเลยทาสัญญาขายฝากที่พิพาทโดยไม่ได้จดทะเบี ยนต่อพนักงาน
เจ้าหน้าที่ ตกเป็ นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา
๔๙๑ ประกอบมาตรา ๔๕๖ ถื อเสมื อนว่ามิ ได้มีนิติกรรมการขายฝาก
เกิ ด ขึ้ นเลย โจทก์ ร่ วมทั้ ง สองย่ อ มจะอ้ า งสิ ทธิ ก ารได้ ม าซึ่ งการ
ครอบครองโดยนิ ติกรรมการขายฝากนั้นไม่ได้ เพราะการขายฝากมิใช่
ว่าผูข้ ายฝากสละเจตนาครอบครองโดยเด็ดขาดให้แก่ผซู ้ ้ื อฝาก แต่ผขู ้ าย
ฝากมอบที่ดินโดยมีเงื่อนไขว่าวันหลังจะเอาคืน การที่โจทก์ร่วมทั้งสอง
ครอบครองที่ ดิ น พิ พ าทหลัง จากครบก าหนดการไถ่ ถ อน เป็ นการ
ครอบครองโดยอาศัยอานาจของจาเลยเพื่อทาการตัดไม้โกงกางไปเป็ น
ประโยชน์ เ ท่ า นั้น โจทก์ ร่ วมทั้ง สองจึ ง ไม่ ไ ด้สิ ท ธิ ค รอบครองที่ ดิ น
พิพาท
ข้ อสั งเกต เมื่ อกำรทำสด ญญำขำยฝำกไม่ เป็ นกำรโอนสิ ทธิ ครอบครอบ
ตำมมำตรำ ๑๓๗๘ ะำเลยะึ บเป็ นผู้มีสิทธิ ครอบครอบโดยโะทก์ ร่ัมเป็ น
ผู้ยึ ดถื อแทนตำมมำตรำ ๑๓๖๘ หำกโะทก์ ร่ัมต้ อบกำรเป็ นผู้มี สิ ทธิ
ครอบครอบ โะทก์ ร่ัมต้ อบเปลี่ ยนลดกษณวแห่ บกำรยึดถือด้ ัยกำรบอก
กล่ ำัไปยดบะำเลยตำมมำตรำ ๑๓๘๑ เมื่อะำเลยได้ รดบคำบอกกล่ ำัแล้ ั
ไม่ ฟ้อบคดี ภำยใน ๑ ปี ก็ะวหมดสิ ทธิ ฟ้อบเรี ยกคื นซึ่ บกำรครอบครอบ
ตำมมำตรำ ๑๓๗๕
คาพิพากษาฎีกาที่ ๓๓๑๕/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล. ๔ น. ๑๒๙ ค. บิดา
โจทก์จดทะเบี ย นขายฝากที่ ดินตามหนัง สื อรั บรองการท าประโยชน์
315
ข้ อสั งเกต กำรที่ โะทก์ แะ้ บ ให้ ไ ปะดทวเบี ย นโอน เป็ นกำรยอมรด บั่ ำ
โะทก์ ครอบครอบแทนะำเลยที่ ๓ ถึบที่ ๖ แต่ ถ้ำเปลี่ยนข้ อเท็ะะริ บเป็ นั่ ำ
ะำเลยที่ ๓ ถึ บ ที่ ๖ บอกให้ โะทก์ ออกะำกที่ พิ พ ำท โะทก์ บอกั่ ำเป็ น
ที่ดินขอบโะทก์ ะวถือั่ ำเป็ นกำรเปลี่ยนเะตนำแห่ บกำรยึดถือแล้ ั
พิพาทต่อไป เมื่อโจทก์เข้าครอบครองทาประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว
โจทก์ยอ่ มได้สิทธิ ครอบครองตามมาตรา ๑๓๗๗ และ ๑๓๗๘ อันเป็ น
การได้สิทธิ ครอบครองด้วยการครอบครองตามกฎหมาย มิใช่ได้มาตาม
สัญญายกให้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิ ที่จะฟ้ องบังคับให้จาเลยไปจดทะเบียน
โอนที่ดินพิพาทเป็ นชื่อโจทก์
ข้ อสั งเกต คำพิ พำกษำฎี กำนี ศ้ ำลฎีกำฟด บข้ อเท็ะะริ บั่ ำคดี นีม้ ีกำรตกลบ
โอนที่ ดิ น ตี ใ ช้ หนี ้กด น ที่ ศ ำลฎี ก ำัิ นิ ะฉด ย ั่ ำ โะทก์ ไ ม่ มี สิ ท ธิ ที่ ะวฟ้ อบ
บดบคดบให้ ะำเลยไปะดทวเบี ยนโอนที่ ดินพิ พำทเป็ นชื่ อโะทก์ น่ ำะวมำ
ะำกเหตุผลที่ ั่ำ คู่ ก รณี ตกลบโอนที่ ดินตี ใ ช้ หนี ้โดยไม่ ป รวสบค์ ะวะด
ทวเบียนโอนกดน ะึ บบดบคดบ ให้ ะดทวเบียนไม่ ได้ ซึ่ บข้ อเท็ะะริ บในคดี ไม่
ปรำกฏั่ ำคู่กรณี มีเะตนำะวไปะดทวเบียนกดนหรื อไม่ แต่ ถ้ำคู่กรณี ตกลบ
โอนที่ ดิ น ตี ใ ช้ หนี ้โ ดยมี เ ะตนำะวไปะดทวเบี ย นกด น ก็บด บ คด บ ให้ ะด
ทวเบียนได้
คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๐๙๙/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๘ น.๒๑๒ การที่เจ้า
พนักงานบังคับคดี ได้รังวัดยึด ที่ดินเกิ นกว่าเนื้ อที่ดินที่ ระบุในหนังสื อ
รับรองการทาประโยชน์ (น.ส.๓) ที่โจทก์นายึดเช่ นนี้ ที่ดินส่ วนที่เกิ น
จาก น.ส.๓ จึ งไม่อยู่ในการบังคับคดี เมื่อผูซ้ ้ื อทรั พย์ซ้ื อที่ดินจากการ
ขายทอดตลาดตาม น.ส.๓ ที่ประกาศขายทอดตลาดระบุเนื้ อที่ไว้ชดั เจน
ว่ามีเนื้อที่ ๕ ไร่ ๑๐ ตารางวา ผูซ้ ้ื อทรัพย์ยอ่ มได้ที่ดินมีเนื้อที่ตาม น.ส.๓
ดังกล่าว ผูซ้ ้ื อทรัพย์จะอ้างเอาเนื้ อที่ของที่ดินตามที่เจ้าพนักงานบังคับ
คดีรังวัดยึดไว้ที่เกินกว่าเนื้ อที่ใน น.ส.๓ หาได้ไม่ และเมื่อพิจารณาตาม
แผนที่วิวาทปรากฏว่าที่ดินพิพาทอยู่ทางทิศใต้ของที่ดิน น.ส.๓ ที่ผซู ้ ้ื อ
335
ครอบครองปรปักษ์
ข้ อ ๔๙ ค าถาม นายลิ ง และนายไก่ เป็ นเพื่ อ นกัน จึ ง ซื้ อที่ ดิ น
ติดกันตามโฉนดที่ดินคนละแปลง แปลงละ ๒ ไร่ ๑๐๐ ตารางวา รวม
เนื้ อที่ที่ดิน ๒ แปลง ๔ ไร่ ๒๐๐ ตารางวา แต่เจ้าของเดิ มล้อมรั้วไว้ใน
ที่ดินแปลงของนายลิ ง ๒ ไร่ ๒๐๐ ตารางวา และล้อมรั้ วไว้ใ นที่ ดิน
แปลงของนายไก่เพียง ๒ ไร่ นายลิงและนายไก่ครอบครองที่ดินตามที่
เจ้าของเดิมล้อมรั้วอย่างเป็ นเจ้าของตลอดมาเป็ นเวลา ๑๒ ปี ต่อมาเมื่อ
วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๐ นายไก่ ต้องการขายที่ ดิน นายไก่ จึง เรี ย ก
เจ้าหน้าที่มารังวัดที่ดิน ทั้งคู่จึงทราบว่านายลิงครอบครองที่ดินส่ วนของ
นายไก่ ๑๐๐ ตารางวา ทั้ง นายลิ ง และนายไก่ ต่า งฝ่ ายต่ า งชี้ ตามแนว
โฉนดที่แท้จริ งของตน และลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตในบันทึกการ
รังวัดไว้ โดยนายลิงไม่ได้โต้แย้งว่าที่ดิน ๑๐๐ ตารางวาเป็ นของตน ทั้ง
ยังยอมรั บว่าที่ดิน ๑๐๐ ตารางวา ไม่ได้อยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของ
นายลิง แต่อยูใ่ นโฉนดที่ดินของนายไก่ ซึ่ งต่อมานายไก่ทาเป็ นหนังสื อ
และจดทะเบียนขายที่ดินตามโฉนดทั้งแปลงให้แก่นายเป็ ด โดยนายเป็ ด
สุ จริ ตและเสี ยค่าตอบแทน
ให้วนิ ิจฉัยว่า นายลิงและนายเป็ ดมีสิทธิ ในที่ดินเพียงใด
ข้ อ ๔๙ คาตอบ นายลิงครอบครองที่ดินตามที่ลอ้ มรั้วไว้ ๒ ไร่
๒๐๐ ตารางวา ทั้งที่ที่ดินตามโฉนดมีเนื้ อที่ เพียง ๒ ไร่ ๑๐๐ ตารางวา
เป็ นเวลา ๑๒ ปี ถือว่ านายลิงได้ ครอบครองที่ดินซึ่งเป็ นทรัพย์ สินของ
ผู้อนื่ แม้ จะไม่ ทราบว่ าเป็ นที่ดินของผู้อื่นก็ตาม หากแต่ นายลิงได้ ยึดถือ
ครอบครองด้ วยเจตนาเป็ นเจ้ าของอย่างแท้จริงแล้ว ก็ไม่ จาเป็ นที่นายลิง
340
จะต้ องรู้ มาก่ อนว่ าทีด่ ินนั้นเป็ นของผู้อนื่ แล้ วแย่ งการครอบครองมาเป็ น
เวลา ๑๐ ปี จึงจะได้ กรรมสิ ทธิ์ นายลิงได้ ครอบครองอสั งหาริ มทรั พย์
ของนายไก่ โดยความสงบและโดยเปิ ดเผยด้ ว ยเจตนาเป็ นเจ้ า ของ
ติดต่ อกันเป็ นเวลา ๑๐ ปี นายลิงย่ อมได้ กรรมสิ ทธิ์ในที่ดิน ๑๐๐ ตาราง
วา ตามโฉนดทีด่ ินของนายไก่โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวล
กฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ มาตรา ๑๓๘๒ (เที ย บค าพิ พ ากษาฎี ก าที่
๕๕๙๖/๒๕๕๒)
ต่ อ มาเจ้ า หน้ า ที่ ม ารั ง วั ด ที่ ดิ น ทั้ งคู่ จึ ง ทราบว่ า นายลิ ง
ครอบครองที่ดินส่ วนของนายไก่ ๑๐๐ ตารางวา ทั้งนายลิ งและนายไก่
ต่างฝ่ ายต่างชี้ ตามแนวโฉนดที่แท้จริ งของตน และลงลายมือชื่ อรับรอง
แนวเขตในบันทึ ก การรั ง วัดไว้ โดยนายลิ งไม่ได้โต้แย้ง ว่าที่ ดิน ๑๐๐
ตารางวาเป็ นของตน ทั้งยังยอมรั บว่าที่ดิน ๑๐๐ ตารางวา ไม่ได้อยู่ใน
เขตที่ดินตามโฉนดของนายลิง แต่อยูใ่ นโฉนดที่ดินของนายไก่ จึงถือได้
ว่ านายลิงได้ สละเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทแล้ ว แม้นายลิ งจะเคย
ครอบครองที่ดินจนได้กรรมสิ ทธิ์ ตามมาตรา ๑๓๘๒ แล้วก็ตาม แต่ ก็ถือ
ว่ านายลิงได้ สละกรรมสิ ทธิ์ที่ได้ มาให้ แก่ นายไก่ การครอบครองที่มีมา
ก่ อ นย่ อ มสิ้ นสุ ด ลงตามมาตรา ๑๓๗๗ (ค าพิ พ ากษาฎี ก าที่ ๗๓๘๒/
๒๕๔๘, ที่ ๑๖๔๖/๒๕๕๑) นายไก่ จึงมีกรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินของตน
ตามเดิม เมื่อนายไก่ เป็ นเจ้ าของที่ดินย่ อมมีอานาจจาหน่ ายตามมาตรา
๑๓๓๖ การที่ น ายไก่ ไ ด้ ข ายที่ ดิ น ให้ แ ก่ น ายเป็ ด นายเป็ ดย่ อ มได้
กรรมสิ ทธิ์ในทีด่ ินตามโฉนดทีด่ ินทีไ่ ด้ รับโอนมาทั้งแปลง
ข้ อสั งเกต คำถำมข้ อนี ้ ข้ อเท็ะะริ บที่ ั่ำ นำยไก่ ท ำเป็ นหนดบสื อแลวะด
341
๑๓๖๗
นายเพชรเข้าครอบครองทานาในที่ดินแปลงดังกล่าวติดต่อกัน
มาจนถึงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๕ นายเพชรหยุดทานาเพราะถูกจาคุก
ข้อหาเสพยาบ้า ๖ เดื อน ถือว่ านายเพชรผู้ค รอบครองขาดการยึดถื อ
ทรั พย์ สินโดยไม่ สมัครใจและได้ การครอบครองกลับคืนมาภายใน ๑ ปี
นับแต่ วันขาดการยึดถือ การครอบครองจึงไม่ สะดุดหยุดลงตามมาตรา
๑๓๘๔ นายเพชรจึ งนับ ระยะเวลาครอบครองติดต่ อกันได้ ต ลอดมา
เมื่ อ นายเพชรเข้า ท านาตามปกติ ห ลัง จากพ้น โทษและได้
ครอบครองทานาในที่ดินดังกล่าวจนถึงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๐ เป็ น
การครอบครองอสั ง หาริ ม ทรั พ ย์ ข องผู้ อื่ นไว้ โดยความสงบและโดย
เปิ ดเผยด้ วยเจตนาเป็ นเจ้ าของติดต่ อกันเป็ นเวลาสิ บปี นายเพชรจึงได้
กรรมสิ ทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่ าวโดยการครอบครองปรปั กษ์ ตามมาตรา
๑๓๘๒
นายเพชรได้ ก รรมสิ ทธิ์ โดยการครอบครองปรปั ก ษ์ แ ล้ ว
กรรมสิ ทธิ์ ของนายทองย่อมหมดลง นายทองไม่ มีอานาจจาหน่ ายที่ดิน
แปลงดังกล่ าวอีกต่ อไปตามมาตรา ๑๓๓๖ แต่การได้กรรมสิ ทธิ์ ที่ ดิน
โดยการครอบครองปรปั กษ์ ข องนายเพชร เป็ นการได้ มาซึ่ ง
อสั งหาริมทรัพย์โดยทางอืน่ นอกจากนิติกรรมทีย่ งั มิได้ จดทะเบียน ห้ าม
มิให้ ยกขึน้ เป็ นข้ อต่ อสู้ บุคคลภายนอกผู้ได้ สิทธิมาโดยเสี ยค่ าตอบแทน
และโดยสุ จริต และได้ จดทะเบียนสิ ทธิโดยสุ จริ ตแล้ วตามมาตรา ๑๒๙๙
วรรคสอง เมื่อนายทองขายที่ ดินให้แก่ นายพลอย โดยนายทองหลอก
นายพลอยว่านายเพชรอาศัยที่ดินดังกล่าวทานา นายพลอยหลงเชื่ อจึงจด
349
พิ พ ำกษำฎี ก ำที่ อ้ ำ บแตกต่ ำ บกด น หำกมี ก ำรน ำข้ อ เท็ะ ะริ บที่ ั่ ำ มี ก ำร
ครอบครอบปรปด กษ์ ที่ดินมี โฉนดแล้ ัขำดกำรยึดถือเกิ นหนึ่ บปี มำออก
ข้ อ สอบอี ก ผู้ แ ต่ บเห็ น ั่ ำ นด ก ศึ ก ษำน่ ำะวตอบตำมคัำมเห็ น ขอบ
ศำสตรำะำรย์ บดญญดติั่ำไม่ อำะนดบรวยวเัลำกำรครอบครอบติดต่ อกดนได้
ตำมมำตรำ ๑๓๘๔ ซึ่ บคบต้ อบรอดูั่ำหำกมีกำรครอบครอบปรปด กษ์ ที่ดิน
มีโฉนดแล้ ัขำดกำรยึดถือเกินหนึ่บปี ศำลฎีกำะวพิ พำกษำคดีอย่ ำบไร
คาพิพากษาฎีกาที่ ๖๐๗/๒๕๐๖ (ประชุ มใหญ่) ที่พิพาทเนื้ อที่
๑๒ ไร่ เศษ ไม่มีโฉนด เดิ มเป็ นของมารดาจาเลย มารดาจาเลยได้ยกที่
พิ พ าทตี ใ ช้ห นี้ เ งิ น กู้ใ ห้โ จทก์ใ น พ.ศ.๒๔๙๔ โจทก์จึ ง จ้า งคนถางที่
พิพาทจนเตียนหมด แล้วใน พ.ศ.๒๔๙๕ และ ๒๔๙๖ โจทก์ก็ทานา
และปลู กถัว่ ในที่พิพาท โดยทานา ๒ ไร่ ปลูกถัว่ ๒ ไร่ นอกนั้นเป็ นที่
ดอนน้ าไม่ถึงปลู กอะไรไม่ได้ ดังนี้ ถื อได้ว่าเป็ นการยึดถื อโดยเจตนา
เป็ นเจ้าของ โจทก์ย่อมได้สิทธิ ครอบครองที่ พิพาทหมดทั้งแปลงตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา ๑๓๖๗ ในปี ต่อ ๆ มาจนถึ ง
พ.ศ.๒๕๐๑ โจทก์และผูด้ ูแลที่พิพาทแทนโจทก์ได้ปล่อยที่พิพาทว่างไว้
เนื่ อ งจากขาดน้ า ท าผลประโยชน์ ไ ม่ ไ ด้ จะถื อ ว่ า โจทก์ ส ละเจตนา
ครอบครองหรื อไม่ยึดถือที่พิพาทตามมาตรา ๑๓๗๗ วรรคหนึ่ง หาได้
ไม่ ต้องถือว่ามีเหตุชวั่ คราวมาขัดขวางมิให้โจทก์เข้ายึดถือทาประโยชน์
อันเข้า ข้อยกเว้นตามมาตรา ๑๓๗๗ วรรคสอง การครอบครองของ
โจทก์จึงไม่สุดสิ้ นลง
คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๖๙ - ๑๐๗๐/๒๕๒๒ โจทก์ได้กรรมสิ ทธิ์
ที่ ดิ น มาโดยการรั บ มรดกต้อ งรั บ ไปทั้ง สิ ท ธิ ห น้า ที่ แ ละความรั บ ผิ ด
353
ข้ อ ๕๓ คาถาม นายเกิดทาสัญญาขายที่ดินมีโฉนดให้แก่นายดี
โดยมีการชาระราคาบางส่ วนแล้ว เงินส่ วนที่เหลือตกลงจะชาระภายใน
๑ ปี แล้วจะไปโอนที่ดินกัน นายเกิดมอบที่ดินให้นายดีครอบครอง นาย
ดีได้เข้าไปปลูกบ้านอยูแ่ ละต่อมาได้ชาระราคาที่ดินให้นายเกิดครบถ้วน
แล้ว แต่ยงั ไม่มีการจดทะเบียนโอนที่ดิน หลังจากนั้นนายเกิดตาย นายกู้
ทายาทผูร้ ั บมรดกของนายเกิ ดได้มีหนังสื อแจ้งให้นายดี ออกจากที่ดิน
อ้า งว่านายดี ผิดสั ญญาไม่ ช าระเงิ นราคาที่ ดินส่ วนที่ เหลื อ นายดี ไ ด้มี
หนังสื อแจ้งให้นายกูท้ ราบว่าได้ชาระเงินครบถ้วนแล้วที่ดินนั้นจึงเป็ น
ของตน แต่นายกู้ก็มิได้ดาเนิ นการอย่างใด นายดี ครอบครองที่ดินนั้น
ต่อมาอีก ๑๑ ปี นายกูไ้ ด้ยกที่ดินนั้นให้นายก่อโดยจดทะเบียนโอนกัน
ถูกต้อง นายก่ อฟ้ องขับไล่ นายดี ออกจากที่ ดินนั้น นายดี ต่อสู ้ ว่าตนได้
กรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินโดยการครอบครอง เมื่อนายก่อรับโอนที่ดินจากนาย
กูโ้ ดยไม่เสี ยค่าตอบแทนจึงไม่มีสิทธิ ดีกว่าตน
ให้ วินิ จฉัย ว่า ข้อ ต่ อ สู ้ ข องนายดี ฟั ง ขึ้ น หรื อไม่ (ข้อ สอบเนติ
บัณฑิต สมัยที่ ๔๕ ปี การศึกษา ๒๕๓๕)
354
ข้ อ ๕๓ คาตอบ การที่นายเกิดขายที่ดินมีโฉนดให้นายดีโดยมี
การชาระราคาบางส่ วน และนัดโอนกันเมื่อชาระราคาภายใน ๑ ปี เป็ น
สั ญญาจะซื้อขาย เพราะคู่กรณีเจตนาจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิ ทธิ์
กันภายหลัง แม้นายเกิดจะมอบที่ดินให้นายดีครอบครอง แต่ ก็ถือไม่ ได้
ว่ าผู้จะขายมีเจตนาสละการครอบครองที่ดินให้ แก่ ผ้ ูจะซื้อ ต้ องถือว่ า
นายเกิ ด ยั ง มี สิ ท ธิ ค รอบครองโดยนายดี ยึ ด ถื อ ไว้ ใ ห้ ตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา ๑๓๖๘ (คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๗๖/
๒๕๓๒) แต่เมื่อนายเกิ ดตายและนายกู้ทายาทผูร้ ั บมรดกของนายเกิ ด
แจ้งให้นายดีออกจากที่ดิน การที่นายดีมีหนังสื อแจ้งให้นายกูท้ ราบว่า
ได้ชาระราคาครบถ้วนที่ดินนั้นจึงเป็ นของตน เป็ นกรณีที่บุคคลผู้ยึดถือ
ทรัพย์ สินอยู่ในฐานะเป็ นผู้แทนผู้ครอบครอง บอกกล่ าวเปลี่ยนลักษณะ
แห่ งการยึดถือไปยังผู้ครอบครองว่ าไม่ เจตนาจะยึดถือทรั พย์ สินแทนผู้
ครอบครองต่ อไปตามมาตรา ๑๓๘๑ นับแต่ น้ ันถือได้ ว่านายดีได้ ยึดถือ
ที่ดิ นโดยเจตนาจะยึด ถื อ เพื่อ ตนอย่ า งเป็ นเจ้ า ของ นายดี จึ ง ได้ สิ ท ธิ
ครอบครองตามมาตรา ๑๓๖๗ เมื่อนายดีครอบครองที่ดินต่อมาอีก ๑๑
ปี เป็ นการครอบครองอสั งหาริ มทรั พย์ ของผู้อื่นไว้ โดยความสงบและ
โดยเปิ ดเผยด้ วยเจตนาเป็ นเจ้ าของ ติดต่ อกันเป็ นเวลาสิ บปี นายดีย่อม
ได้ กรรมสิ ทธิ์ทดี่ ินโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามมาตรา ๑๓๘๒
นายดีได้กรรมสิ ทธิ์ โดยการครอบครองปรปั กษ์แล้ว กรรมสิ ทธิ์
ของนายกูย้ ่อมหมดลง นายกู้ไม่ มีอานาจยกที่ดินแปลงดังกล่ าวให้ ผ้ ูอื่น
อี ก ต่ อ ไปตามมาตรา ๑๓๓๖ แม้ ก ารได้ ก รรมสิ ทธิ์ ที่ ดิ น โดยการ
ครอบครองปรปักษ์ของนายดี เป็ นการได้ มาซึ่งอสั งหาริมทรัพย์ โดยทาง
355
ข้ อ ๕๔ คาถาม นายสามารถเข้าปลูกบ้านและทาประโยชน์ใน
ที่ดินพิพาทซึ่ งอยูต่ ิดคลองชลประทานมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๕ โดยเข้าใจ
ว่าเป็ นที่ดินซึ่ งสงวนไว้เพื่อประโยชน์ในการสร้างถนนสาธารณะเลียบ
คลองดังกล่าวและรับรองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ ยวข้องว่าหากทาง
ราชการต้องการใช้ที่ดินพิพาทเมื่อใดนายสามารถจะออกไปทันที ต่อมา
พ.ศ. ๒๕๓๙ นายสมชายดาเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินมีโฉนดของตน
กลับปรากฏว่าที่ดินพิพาทเป็ นส่ วนหนึ่ งของที่ดินของนายสมชาย นาย
สมชายจึงแจ้งให้นายสามารถออกไปจากที่ดินพิพาท แต่นายสามารถไม่
ยอมออกไปโดยอ้ า งว่ า ตนได้ ก รรมสิ ทธิ์ ในที่ ดิ น พิ พ าทโดยการ
ครอบครองปรปั ก ษ์ต ามประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ มาตรา
๑๓๘๒ แล้ว
ดัง นี้ ข้อ ต่ อ สู ้ ข องนายสามารถฟั ง ขึ้ น หรื อ ไม่ (ข้อ สอบเนติ
บัณฑิต สมัยที่ ๕๐ ปี การศึกษา ๒๕๔๐)
ข้ อ ๕๔ ค าตอบ การได้ ก รรมสิ ท ธิ์ ใ นที่ ดิ น มี โ ฉนดซึ่ ง เป็ น
อสั งหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิ ชย์ มาตรา ๑๓๘๒ นั้น นอกจากต้ องมีการครอบครองที่ดิน
ของผู้อื่นไว้ โดยความสงบและโดยเปิ ดเผยติดต่ อกันเป็ นเวลา ๑๐ ปี แล้ ว
ยังต้ องเป็ นการครอบครองด้ วยเจตนาเป็ นเจ้ าของอีกด้ วย การที่นาย
สามารถรั บ รองต่อพนัก งานเจ้า หน้าที่ ที่ เกี่ ย วข้องว่าหากทางราชการ
ต้องการใช้ที่ดินพิพาทเมื่อใด นายสามารถจะออกไปทันที แสดงว่ า นาย
สามารถมิได้ ครอบครองทีด่ ินพิพาทด้ วยเจตนาเป็ นเจ้ าของมาตั้งแต่ แรก
แต่ เป็ นเพียงการครอบครองชั่วคราวในระหว่างทีท่ างราชการยังไม่ ได้ ใช้
357
ปลู ก ต้น ยูค าลิ ป ตัส และฝ่ ายโจทก์ บ อกฝ่ ายจ าเลยให้ ร้ื อถอนต้น ยูค า
ลิ ปตัสกับ รั้ วลวดหนามออก ไม่ ใช่ ก ารบอกกล่ าวเปลี่ ยนลักษณะการ
ยึดถื อไปยังโจทก์ จึงไม่เป็ นการแย่งการครอบครอง แต่เมื่ อประมาณ
กลางเดือนมกราคม ๒๕๔๑ จาเลยทั้งสองได้ทารั้วลวดหนามอ้างว่าทา
ขึ้ นทดแทนรั้ วเดิ มซึ่ ง ทรุ ดโทรมไปแล้ว และโจทก์เห็ นว่ารั้ วดัง กล่ า ว
สร้ างรุ กล้ าเข้ามาในที่ดินของโจทก์ จึงมีการเจรจากับจาเลยทั้งสองให้
รื้ อรั้ วออกไป แต่จาเลยทั้งสองไม่ยินยอม ต่อมาโจทก์ไปร้ องทุ กข์ต่อ
พนัก งานสอบสวน ถื อ ได้ว่า จาเลยทั้ง สองได้บ อกกล่ า วไปยัง โจทก์
ตั้งแต่ประมาณกลางเดื อนมกราคม ๒๕๔๑ แล้วว่าได้เปลี่ ยนลักษณะ
แห่งการยึดถือจากการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ เป็ นการ
ยึดถื อครอบครองเพื่ อตนเองซึ่ ง เข้า ลัก ษณะแย่ง การครอบครอง เมื่ อ
โจทก์ได้ฟ้องคดี น้ ี เพื่ อเอาคื น ซึ่ ง การครอบครองที่ ดินพิพ าทเมื่ อวันที่
๑๒ มกราคม ๒๕๔๒ จึงเป็ นการฟ้ องภายใน ๑ ปี นับแต่เวลาถูกแย่ง
การครอบครองแล้ว จาเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิ ครอบครองที่ดินพิพาท
ของโจทก์และต้องรับผิดชาระค่าเสี ยหายให้แก่โจทก์
ค าพิพ ากษาฎีก าที่ ๖๒๒๖/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล. ๑๐ น. ๑๔๐ การ
ครอบครองที่ดินพิพาทของจาเลยเป็ นการครอบครองแทนโจทก์ การที่
โจทก์ได้บอกกล่าวเลิ กสัญญาเช่ าให้จาเลยออกไปจากที่ดินพิพาทแล้ว
จาเลยไม่ยอมออกไป ไม่อาจถือว่าการกระทาของจาเลยดังกล่าวเป็ นการ
บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการครอบครองที่ดินพิพาทเป็ นยึดถือเพื่อตน
ไปยังโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๑ แล้วได้ และจาเลยก็ไม่อาจยก
เอาเรื่ องการครอบครองของตนหลังจากนั้นขึ้นอ้างว่าเป็ นการแย่งสิ ทธิ
361
ต้ องครอบครองทรัพย์ ของผู้อนื่
คาพิพากษาฎีกาที่ ๓๕๓๔/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๘ น.๖๕ เมื่อโจทก์
ช าระเงิ น ค่ า จองห้ อ งพัก ให้ แ ก่ จ าเลยแล้ว เงิ น ดัง กล่ า วย่อ มตกเป็ น
กรรมสิ ทธิ์ แก่จาเลยทันทีเพราะเงินเป็ นสังกมทรัพย์ แต่หลังจากที่โจทก์
ใช้สิทธิ บอกเลิกสัญญา จาเลยมีหน้าที่และความรับผิดเกิดขึ้นใหม่ในอัน
ที่จะต้องคืนค่าห้องพักที่รับไว้ให้แก่โจทก์ แต่ไม่จาต้องคืนเป็ นเงิ นอัน
เดี ยวกับ ที่ โจทก์ชาระไว้ คงคื นตามจานวนที่ จะต้องคื น จาเลยจะอ้าง
เรื่ องการครอบครองปรปั กษ์เงินค่าห้องพักที่รับไว้ เพื่อปั ดความรับผิดที่
ตนมีหน้าที่ตอ้ งชาระคืนหาได้ไม่
คาพิพากษาฎีกาที่ ๕๗๐๒/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๙๓ ที่ดินของ
โจทก์และของจาเลยมีอาณาเขตติดต่อกันและต่างได้รับการจัดรู ปที่ดิน
ตาม พ.ร.บ.จัดรู ปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ จาเลยครอบครองที่ดินพิพาท
ซึ่ งอยู่ในเขตที่ ดินของโจทก์ ตั้งแต่มีการออกโฉนดที่ดินให้โจทก์ตาม
การจัดรู ปที่ดิน เมื่อที่ดินของโจทก์เป็ นที่ดินในเขตโครงการจัดรู ปที่ดิน
สิ ทธิ ในที่ดินของโจทก์ตอ้ งเป็ นไปตามมาตรา ๔๔ แห่ ง พ.ร.บ.ดังกล่าว
372
การครอบครองโดยความสงบ
คาพิพ ากษาฎีก าที่ ๒๐๓๙/๒๕๕๑ ฎ.๑๐๔๒ การที่ ผูร้ ้ องกับ
ผูค้ ดั ค้านพิพาทกันเกี่ยวกับที่ดินภายหลังจากที่ผรู ้ ้องได้ครอบครองที่ดิน
พิพาทครบ ๑๐ ปี แล้ว ไม่ถือว่าเป็ นการครอบครองโดยไม่สงบ
ค าพิพ ากษาฎี ก าที่ ๓๘๖๔/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๕๔ การ
ครอบครองทรั พย์สิ นของผูอ้ ื่นไว้โดยความสงบตาม ป.พ.พ. มาตรา
๑๓๘๒ นั้น จะต้องหมายความว่า ครอบครองอยูไ่ ด้โดยไม่ได้ถูกกาจัด
ให้ อ อกไป การที่ เ พี ย งแต่ โ ต้เ ถี ย งสิ ท ธิ ก ัน นั้ น ยัง ไม่ ถื อ ว่ า เป็ นการ
ครอบครองโดยไม่สงบ การที่ผคู ้ ดั ค้านยื่นคาร้ องคัดค้านคาร้องขอของ
ผูร้ ้ อ งเมื่ อ วัน ที่ ๒๗ สิ ง หาคม ๒๕๔๑ จึ ง เป็ นเพี ย งโต้เ ถี ย งสิ ท ธิ ก ัน
เท่านั้น อีกทั้งเมื่อศาลมีคาสั่งจาหน่ายคดีในคดีเดิ มแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่า
ผูค้ ดั ค้านได้ฟ้องขับไล่ ผรู ้ ้ องแต่อย่างใด คงปล่อยให้ผรู ้ ้ องครอบครอง
ที่ดินพิพาทต่อมา สิ ทธิ ครอบครองของผูร้ ้ องหาได้ถูกกาจัดให้ออกไป
373
จาเลยและบิดามารดาของจาเลยบุกรุ กเข้ามาปลูกอาศัยในที่ดินพิพาท
ของโจทก์ พฤติกรรมของจาเลยที่ปิดบังอาพรางให้บุคคลอื่นเข้าใจว่า
บ้านของจาเลยที่ปลูกอยูใ่ นที่ดินพิพาทมีบา้ นเลขที่ ๘๐๙ ทั้งที่บา้ นของ
จาเลยไม่มีเลขที่ประจาบ้าน ทาให้เจ้าหน้าที่การประปานครหลวงและ
เจ้าหน้าที่การไฟฟ้ านครหลวงหลงเชื่ อมาติดตั้งประปาและไฟฟ้ าให้แก่
บ้านจาเลย ประกอบกับจาเลยไม่เคยอ้างสิ ทธิ ในที่ดินพิพาทเพื่อเสี ยภาษี
บารุ งท้องที่หรื อภาษีโรงเรื อนและจาเลยไม่ได้ร้องขอต่อศาลขอแสดง
กรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปั กษ์ ทั้งที่จาเลยอ้างว่า
ครอบครองที่ ดินพิพาทของโจทก์มาตั้งแต่ปี ๒๕๑๔ แต่จาเลยเพิ่งมา
ฟ้ องแย้งขอแสดงกรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปั กษ์
เมื่ อ ถู ก ฟ้ องขับ ไล่ ค ดี น้ ี จึ ง ยัง ไม่ แ น่ ชัด ว่า ก่ อ นหน้า นี้ จ าเลยมี เ จตนา
ครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์อย่างเป็ นเจ้าของ พฤติการณ์ฟังไม่ได้
ว่าจาเลยครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็ นเจ้าของ จาเลยจึงไม่ได้
กรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินพิพาทพิพาทโดยการครอบครองปรปั กษ์ตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๓๘๒ ย่อมไม่ อาจยกข้ออ้า งว่า โจทก์ซ้ื อที่ ดินพิ พ าทและจด
ทะเบี ย นรั บ โอนมาโดยไม่ สุ จริ ต จึ ง ไม่ มี อานาจฟ้ องขับ ไล่ และเรี ย ก
ค่าเสี ยหายจากจาเลยได้
คาพิพากษาฎีกาที่ ๓๒๗๖/๒๕๔๘ ฎ.๑๐๐๑ สัญญาซื้ อขายระบุ
ว่า ผูร้ ้ องขอซื้ อที่ ดินพิพาทจาก ส. ทาถนนเข้าบ้านกว้าง ๕ เมตร ยาว
ตลอดแนว ในราคา ๓๕,๐๐๐ บาท ไม่ได้ระบุว่าผูร้ ้ องกับ ส. จะไปจด
ทะเบี ยนโอนกรรมสิ ทธิ์ ที่ดินพิพาท ประกอบกับผูร้ ้ องได้ชาระเงิ นค่า
ที่ดินให้แก่ ส. รับไปครบถ้วนแล้วในวันทาสัญญา หลังจากนั้น ส. วัด
377
จาเลยมิได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่ งการยึดถือไปยังเจ้าของที่ดินว่า
ไม่ มี เ จตนาจะยึ ด ถื อ ทรั พ ย์สิ น แทนผูค้ รอบครองต่ อ ไปตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๓๘๑ จาเลยย่อมไม่มีสิทธิ ครอบครอง แม้จาเลยครอบครอง
ที่ดินพิพาทมาเกินกว่า ๑๐ ปี จาเลยก็ไม่ได้กรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินพิพาทโดย
การครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมาย
ข้ อสั งเกต แต่ ถ้ำเป็ นเรื่ อบทำบภำรวะำยอมะวัินิะฉด ยแตกต่ ำบกดน ขอให้ ดู
คำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ ๓๐๕๙/๒๕๔๕ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๔๒ กำรได้ ภ ำรว
ะำยอมโดยอำยุคัำมนด้น ป.พ.พ. มำตรำ ๑๔๐๑ ให้ นำบทบดญญดติั่ำด้ ัย
อำยุคัำมได้ สิทธิ ในลดกษณว ๓ แห่ บบรรพ ๔ มำบดบคดบใช้ โดยอนุโลม
ซึ่ บต้ อบเป็ นกรณี ที่ เ ะ้ ำขอบสำมยทรด พย์ ได้ ใช้ ปรวโยชน์ ในที่ ดิ น
ภำรยทรด พย์ นด้นโดยคัำมสบบแลวโดยเปิ ดเผย แลวด้ ัยเะตนำะวได้ สิทธิ
ภำรวะำยอมในที่ ดินดดบกล่ ำัตำม ป.พ.พ. มำตรำ ๑๔๐๑ ปรวกอบด้ ัย
มำตรำ ๑๓๘๒ ซึ่ บกฎหมำยมุ่บปรวสบค์ ให้ ถือเอำกำรใช้ ปรวโยชน์ ขอบ
เะ้ ำขอบสำมยทรด พย์ เป็ นสำคดญ โดยไม่ คำนึ บั่ ำภำรยทรด พย์ นด้นะวเป็ น
ขอบผู้ใดหรื อเะ้ ำขอบสำมยทรด พย์ ะวต้ อบรู้ ั่ ำใครเป็ นเะ้ ำขอบภำรยทรด พย์
นด้น ดดบนด้น แม้ โะทก์ ที่ ๑ ะวใช้ ปรวโยชน์ ในทำบพิพำทกั้ ำบ ๒ เมตร ซึ่ บ
เป็ นส่ ันหนึ่บขอบที่ดินมีโฉนดขอบะำเลยรัมไปกดบทำบสำธำรณวกั้ ำบ
๒ เมตร โดยเข้ ำใะั่ ำเป็ นทำบสำธำรณวทด้บหมดก็ ต้อบถื อั่ ำโะทก์ ที่ ๑
ได้ ใช้ ทำบพิ พำทในลดกษณวะวให้ ได้ สิทธิ ภำรวะำยอมในที่ ดินดดบกล่ ำั
แล้ ั เมื่อโะทก์ ที่ ๑ ใช้ ทำบพิ พำทติดต่ อกดนเป็ นเัลำเกิ นกั่ ำ ๑๐ ปี โดย
คัำมสบบแลวโดยเปิ ดเผย โะทก์ ที่ ๑ ะึบได้ ภำรวะำยอมในทำบพิพำท
381
ภาระจายอม
ข้ อ ๕๕ คาถาม นายรวยทาสัญญาเป็ นหนังสื อยอมให้นายจน
เดินผ่านที่ดินมีโฉนดของนายรวย เข้าสู่ ที่ดินของนายจนซึ่ งอยูต่ ิดกันได้
ตลอดไป โดยจ่ ายเงิ น ๑,๐๐๐ บาท แต่ไ ม่ได้จดทะเบี ยนต่อพนัก งาน
เจ้า หน้า ที่ นายแย่มี ที่ ดินติ ดกันกับ ที่ ดินของนายรวย นายแย่เดิ นผ่า น
ที่ดินของนายรวยโดยสงบโดยเปิ ดเผย นายจนและนายแย่เดินผ่านที่ดิน
ของนายรวยติดต่อกันเป็ นเวลา ๑๑ ปี ต่อมานายรวยขายที่ดินดังกล่าว
ให้แก่ นายมัง่ คัง่ ขณะจดทะเบี ยนโอนที่ ดินกันนายมัง่ คัง่ ทราบว่านาย
รวยยอมให้นายจนเดิ นผ่านที่ ดิน แต่นายมัง่ คัง่ ไม่ทราบว่านายแย่เดิ น
ผ่านที่ดินของนายรวยมา ๑๑ ปี แล้ว
ให้วินิจฉัยว่า นายมัง่ คัง่ จะไม่ ยอมให้นายจนและนายแย่เดิ น
ผ่านที่ดินได้หรื อไม่
ข้ อ ๕๕ คาตอบ นายรวยทาสัญญาเป็ นหนังสื อยอมให้น ายจน
เดินผ่านที่ดินมีโฉนดของนายรวย เข้าสู่ ที่ดินของนายจนซึ่ งอยูต่ ิดกันได้
ตลอดไปโดยจ่ายเงิ น ๑,๐๐๐ บาท เป็ นการได้ มาโดยทางนิติกรรมซึ่ ง
ทรั พ ยสิ ท ธิ ใ นอสั ง หาริ ม ทรั พ ย์ เมื่ อ ไม่ ไ ด้ จ ดทะเบี ย นการได้ ม ากั บ
พนั ก งานเจ้ า หน้ า ที่ จึ ง ไม่ บ ริ บู ร ณ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่ ง และ
พาณิ ชย์มาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ ง การได้ สิทธิในทางเดินของนายจน
บริบูรณ์ เป็ นเพียงบุคคลสิ ทธิใช้ บังคับกันได้ ระหว่ างคู่สัญญาเท่ านั้น แต่
ไม่ บริ บูรณ์ เป็ นทรั พยสิ ทธิ กล่ าวคือ ไม่ เป็ นภาระจายอมที่จะใช้ ยันกับ
บุคคลทั่วไป เมื่อนายรวยขายที่ดินให้แก่นายมัง่ คัง่ แม้ขณะจดทะเบียน
โอนที่ดินกันนายมัง่ คัง่ จะทราบว่านายรวยยอมให้นายจนเดินผ่านที่ดิน
383
คั่ ง หาอาจอ้ า งว่ า ตนได้ ก รรมสิ ท ธิ์ ใ นที่ดิ น ที่เ ป็ นภารยทรั พ ย์ โดยเสี ย
ค่ าตอบแทนและโดยสุ จริ ต จึงมีสิทธิ ดีกว่ านายแย่ ตามมาตรา ๑๒๙๙
วรรคสอง ได้ ไม่ เพราะสิ ทธิทจี่ ะได้ รับความคุ้มครองตามความหมายใน
บทบัญญัติดังกล่ าว ต้ องเป็ นสิ ทธิในประเภทเดียวกัน แต่ ภาระจายอม
เป็ นสิ ทธิในประเภทรอนสิ ทธิ ส่ วนกรรมสิ ทธิ์เป็ นสิ ทธิในประเภทได้
สิ ทธิ เป็ นสิ ทธิคนละประเภทกัน นายมั่งคั่งไม่ ได้ รับความคุ้มครองตาม
มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง นายมั่งคั่งจึงต้ องยอมให้ นายแย่ เดินผ่ านที่ดิน
(คาพิพากษาฎีกาที่ ๓๒๖๒/๒๕๔๘)
คาพิพากษาฎีกาที่ ๗๐๑๑/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๗๓ แม้จาเลยที่
๒ ในขณะเป็ นเจ้าของถนนพิพาทจะทาหนังสื อยินยอมให้โจทก์ที่ ๑
และที่ ๒ ใช้ถนนพิพาทเป็ นทางเข้าออก ต่อมาเมื่อถนนพิพาทตกเป็ น
ของจาเลยที่ ๓ จาเลยที่ ๓ ก็ทาหนังสื ออนุ ญาตให้โจทก์ท้ งั สี่ ใช้ถนน
พิพาทเป็ นทางเข้าออกได้ อันทาให้โจทก์ท้ งั สี่ มีสิทธิ ใช้ถนนพิพาทก็
ตาม แต่เมื่อข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึง
ไม่เป็ นทรัพยสิ ทธิ ไม่เป็ นภาระจายอมตามกฎหมายและการที่โจทก์ท้ งั
สี่ มีสิทธิ ใช้ถนนพิพาทได้ก็เพราะจาเลยที่ ๒ และจาเลยที่ ๓ ยินยอมและ
อนุ ญาตให้ใช้ จึงเป็ นการใช้โดยอาศัยสิ ทธิ ของเจ้าของที่ดิน แม้จะใช้
ถนนพิพาทมานานเกิ นกว่า ๑๐ ปี โจทก์ท้ งั สี่ ก็ไม่ได้ภาระจายอมโดย
อายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๐๑ ประกอบมาตรา ๑๓๘๒ และแม้
จาเลยที่ ๒ และที่ ๓ จะทาข้อตกลงกับโจทก์ท้ งั สี่ วา่ ถ้ามีการเปลี่ยนมือ
กรรมสิ ท ธิ์ ที่ ดิน ผูร้ ั บโอนต้องยินยอมให้ผูร้ ับ ความยินยอมมีสิ ทธิ ใ ช้
ถนนและลานคอนกรี ตได้ต ลอดไป ข้อ ตกลงเช่ น นี้ ไม่ อ าจบัง คับ
385
บุคคลภายนอกไว้ล่วงหน้า โดยที่บุคคลภายนอกนั้นมิได้ยินยอมด้วยได้
ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่มีผลบังคับถึ งจาเลยที่ ๑ ซึ่ งเป็ นบุคคลภายนอก
ผูร้ ับโอนกรรมสิ ทธิ์ ที่ดินจากจาเลยที่ ๓ ซึ่ งมีถนนพิพาทรวมอยูด่ ว้ ย คง
มีผลเฉพาะจาเลยที่ ๓ ผูท้ าหนังสื ออนุ ญาตที่จะต้องจัดการให้เป็ นไป
ตามข้อตกลงเท่านั้น แม้จาเลยที่ ๓ จะเป็ นภริ ยาของจาเลยที่ ๒ ซึ่ งเป็ น
กรรมการของจาเลยที่ ๑ และจาเลยที่ ๓ โอนกรรมสิ ทธิ์ ที่ดินซึ่ งมีถนน
พิพาทรวมอยูด่ ว้ ยให้แก่จาเลยที่ ๑ จาเลยที่ ๑ ก็หาผูกพันต้องปฏิบตั ิตาม
หนังสื ออนุญาตให้ใช้ทางที่จาเลยที่ ๓ ทาไว้กบั โจทก์ท้ งั สี่ ไม่
ข้ อ สั ง เกต เรื่ อบนี ้มี ก ำรโอนที่ ดิ น ภำรยทรด พ ย์ ใ ห้ บุ ค คลภำยนอกไป
ข้ อตกลบะึ บไม่ ผูกพดนบุคคลภำยนอก เพรำวข้ อตกลบที่ ไม่ ะดทวเบี ยน
เป็ นเพี ยบบุคคลสิ ทธิ ไม่ บริ บูรณ์ เป็ นภำรวะำยอมซึ่ บเป็ นทรด พยสิ ทธิ ใช้
ยดนบุคคลภำยนอกไม่ ได้ โดยไม่ ต้อบพิ ะำรณำั่ ำบุคคลภำยนอกสุ ะริ ต
เสี ยค่ ำตอบแทนหรื อไม่
แต่ ถ้ำผู้รดบโอนตกลบกดบผู้โอนั่ ำ ยอมให้ ใช้ ทำบเช่ นเดิม ก็ถือั่ ำ
เป็ นสด ญญำเพื่อปรวโยชน์ บุคคลภำยนอกตำมมำตรำ ๓๗๔ แม้ ะวไม่ ได้
ท ำเป็ นหนด บ สื อ แลวะดทวเบี ย นฯ ก็ บด บ คด บ กด น ได้ ถ้ ำ ได้ เ ข้ ำ ถื อ เอำ
ปรวโยชน์ ตำมมำตรำ ๓๗๕ แล้ ั
คาพิพากษาฎีกาที่ ๔๐๐๐/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๘๑ การใช้ทาง
ที่จะเป็ นทางภาระจายอมโดยอายุความนั้น โจทก์ตอ้ งได้ใช้ทางพิพาท
ในลัก ษณะปรปั ก ษ์ต่ อเจ้า ของอสั ง หาริ ม ทรั พ ย์ต าม ป.พ.พ. มาตรา
๑๓๘๒ เมื่ อโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทเข้าออกสู่ ทางสาธารณะโดยได้รับ
ความยินยอมจาก พ. เจ้าของเดิม การที่โจทก์เอาหิ นกรวดมาทาถนนบน
386
เมื่อต่อมานายใหญ่ห้ามมิให้นายเล็กเดินผ่าน นายเล็กเถียงว่าเขามีสิทธิ
เดิ น ผ่า นได้ไ ม่ ว่า นายใหญ่ จ ะยอมหรื อไม่ เท่ า กับ เป็ นการบอกกล่ า ว
เปลี่ยนลัก ษณะแห่ งการเดินผ่ านว่ านับ ตั้งแต่ น้ ันตนมิไ ด้ เดิ นผ่ า นโดย
อาศัยสิ ทธิของนายใหญ่อกี ต่ อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์
มาตรา ๑๓๘๑ ประกอบด้วยมาตรา ๑๔๐๑ ฉะนั้น จึงถือว่ านับตั้งแต่ น้ัน
นายเล็กได้ ใช้ ทางเดินนั้นโดยความสงบและเปิ ดเผยด้ วยเจตนาโดยให้ ได้
ภาระจ ายอม เมื่ อ นายเล็ ก เดิ น ผ่า นทางเดิ ม ได้ ๘ ปี แล้ว ต้อ งเปลี่ ย น
ทางเดินใหม่ในที่ดินแปลงเดียวกันเพราะนายใหญ่ปลูกบ้านทับทางนั้น
เป็ นกรณีทภี่ าระจายอมแตะต้ องเพียงส่ วนหนึ่งแห่ งภารยทรัพย์ เจ้ าของ
ทรัพย์อาจเรียกให้ ย้ายไปยังส่ วนอืน่ ก็ได้ ถือว่ าเป็ นไปเพื่อประโยชน์ ของ
นายใหญ่ตามมาตรา ๑๓๙๒ นายเล็กจึงนับระยะเวลา ๘ ปี นั้นมารวมกับ
ระยะเวลา ๓ ปี ที่นายเล็กย้ ายมาเดินทางใหม่ ได้ รวมเป็ นเวลาที่นายเล็ก
เดินผ่านทีด่ ินของนายใหญ่ ๑๑ ปี นายเล็กจึงได้ ภาระจายอมเป็ นทางเดิน
เหนื อ ที่ดินของนายใหญ่ โดยอายุ ค วามตามมาตรา ๑๓๘๒ ประกอบ
มาตรา ๑๔๐๑ (คาพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๓๔/๒๕๑๖)
การที่นายน้อยซื้ อที่ดินนั้นจากนายใหญ่ แม้นายน้อยจะสุ จริ ต
เสี ยค่าตอบแทนและจดทะเบี ยนสิ ทธิ โดยสุ จริ ต และแม้นายเล็กจะยัง
มิได้จดทะเบียนการได้มาซึ่ งภาระจายอมโดยอายุความก็ตาม แต่ นาย
น้ อยก็จะอ้ างมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง มายันนายเล็กมิได้ เพราะมาตรา
๑๒๙๙ วรรคสอง หมายถึงการได้ ทรั พยสิ ทธิประเภทเดียวกันเท่ านั้น
เมื่ อ ภาระจ ายอมเป็ นการรอนสิ ท ธิ ส่ วนกรรมสิ ท ธิ์ เ ป็ นการได้ สิ ท ธิ
จึงเป็ นทรั พ ยสิ ทธิ ต่า งประเภทกัน ไม่ อยู่ ในบังคับ ของมาตรา ๑๒๙๙
390
ข้ อ ๕๘ ค าถาม นายวี ร ะศั ก ดิ์ มี ที่ ดิ น ซึ่ งด้ า นข้ า งติ ด ซอย
สาธารณะ ด้า นหน้า ติ ด ที่ ดิ น น.ส.๓ ของนายสุ มิ ต รซึ่ งอยู่ติ ด ถนน
สาธารณะ นายวีระศักดิ์ ใช้ที่ดินของนายสุ มิตรเป็ นทางเดินออกสู่ ถนน
โดยพลการ หลัง จากนั้น ๒ ปี ทางราชการได้ออกโฉนดที่ ดินให้แก่
ที่ดินของนายสุ มิตร และนายวีระศักดิ์ ยงั คงใช้เป็ นทางเดิ นโดยพลการ
เช่ นเดิ ม ต่อมาอีก ๙ ปี นายสุ มิตรทารั้วกั้นไม่ให้นายวีระศักดิ์ เดิ นผ่าน
ดังนี้
(ก) นายวีระศักดิ์ จะฟ้ องนายสุ มิตรให้เปิ ดรั้ วและจดทะเบียน
ภาระจายอมให้แก่ตนได้หรื อไม่
(ข) หากนายวีระศักดิ์ไม่ได้ฟ้องนายสุ มิตร แต่ได้ขอร้องนายสุ
มิตรให้เปิ ดรั้วเพื่อใช้เป็ นทางเดินเช่นเดิมเป็ นเวลาอีก ๑๕ ปี นายสุ มิตร
อนุ ญาตและได้ทาข้อตกลงเป็ นหนังสื อไว้ ครั้น ๑๑ ปี ต่อมา นายสุ มิตร
394
จดทะเบียนยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้โดยเสน่หาแก่นายวรนารถซึ่ งเป็ น
บุตร นายวรนารถปิ ดรั้วไม่ให้นายวีระศักดิ์เดินผ่านที่ดินนายวีระศักดิ์จะ
ฟ้ องนายวรนารถให้เปิ ดรั้ วเพื่ อใช้ที่ดินเป็ นทางเดิ นต่อไปได้หรื อไม่
(ข้อ สอบคัด เลื อ กฯ ผู ้ช่ ว ยผู ้พิ พ ากษา ข้อ ๕ เมื่ อ วัน ที่ ๑ มิ ถุ น ายน
๒๕๔๕)
ข้ อ ๕๘ ค าตอบ (ก) ทางภาระจ ายอมมี ไ ด้ ท้ั ง ในที่ ดิ น ที่ มี
กรรมสิ ทธิ์และที่ดินที่ไม่ มีกรรมสิ ทธิ์ ซึ่ งแตกต่ างจากการครอบครอง
ปรปั กษ์ ซึ่งจะมีได้ เฉพาะในที่ดินที่มีกรรมสิ ทธิ์เท่ านั้น ดังนั้น แม้นายวี
ระศักดิ์ จะใช้ที่ดินของนายสุ มิตรขณะที่ที่ดินของนายสุ มิตรเป็ นที่ดินมี
น.ส.๓ ๒ ปี และเป็ นที่ ดินมีโฉนด ๙ ปี แต่ นายวีระศักดิ์ก็สามารถนับ
ระยะเวลารวมกันได้ เป็ น ๑๑ ปี จึงเป็ นการใช้ ทางภาระจายอมโดยสงบ
โดยเปิ ดเผย ติดต่ อกันเป็ นเวลาเกิน ๑๐ ปี แล้ว นายวีระศักดิ์จึงได้ ภาระจา
ยอมเหนือที่ดินของนายสุ มิตร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์
มาตรา ๑๔๐๑ ประกอบมาตรา ๑๓๘๒ (เที ย บค าพิ พ ากษาฎี ก าที่
๘๓๙๓/๒๕๔๐) กับมีสิทธิให้ จดทะเบียนภาระจายอมด้ วย เพราะเป็ น
การรั ก ษาภาระจ ายอมตามมาตรา ๑๓๙๑ (ค าพิ พ ากษาศาลฎี ก าที่
๒๕๒๖/๒๕๓๖) นายวี ร ะศั ก ดิ์ จึ งฟ้ องนายสุ มิ ต รให้ เ ปิ ดรั้ ว และจด
ทะเบียนภาระจายอมได้
(ข) แม้ นายวีระศั ก ดิ์จะได้ ภาระจายอมโดยอายุค วามมาก่ อ น
แล้ ว แต่เมื่อนายสุ มิตรทารั้วปิ ดมิ ให้เดิ น นายวีระศักดิ์ ก็มิได้โต้แย้งแต่
กลับขอร้องนายสุ มิตรขอให้เปิ ดรั้วเพื่อใช้เป็ นทางเดินเช่นเดิมเป็ นเวลา
อีก ๑๕ ปี เมื่อนายสุ มิตรอนุ ญาตก็ได้ทาข้อตกลงเป็ นหนังสื อไว้ เท่ ากับ
395
ข้ อ ๕๙ คาถาม นายเดชเช่าบ้านและที่ดินมีโฉนดของนายดีซ่ ึ ง
อยู่ติดกับที่ดินมีโฉนดของนายโชค นายเดชเดิ นผ่านที่ดินของนายโชค
โดยเจตนาใช้เป็ นทางออกไปสู่ ถนนสาธารณะได้ ๓ ปี
ก. หากนายเดชเดิ นผ่า นทางต่ อ มาอี ก ๘ ปี นายเดชจะฟ้ อง
ขอให้นายโชคไปจดทะเบียนภาระจายอมได้หรื อไม่
ข. หากนายเดชซื้ อบ้านและที่ดินจากนายดี และเดินต่อมาอีก ๘
ปี นายเดชมีสิทธิ ในทางเดินดังกล่าวอย่างไร
398
การใช้ โดยสงบ
คาพิพากษาฎีกาที่ ๒๖๐๗/๒๕๕๔ ฎ.๔๘๔ การได้มาซึ่ งภาระ
จ ายอมโดยอายุ ค วาม ผูเ้ ป็ นเจ้า ของทรั พ ย์ต้อ งใช้สิ ท ธิ ใ นทางภาระ
จายอมโดยความสงบและโดยเปิ ดเผยด้วยเจตนาให้เป็ นทางภาระจายอม
เป็ นเวลาสิ บปี ติดต่อกัน เมื่อโจทก์เริ่ มถือสิ ทธิ ใช้ทางเดินพิพาทมาตั้งแต่
ปี ๒๕๒๘ แต่จาเลยที่ ๔ ได้ปิดทางพิพาทเมื่อปลายปี ๒๕๓๑ จนโจทก์
ต้องฟ้ องคดี ขอให้เปิ ดทางและจาเลยที่ ๔ ยอมเปิ ดทางให้โจทก์ในปี
๒๕๓๓ จะถื อว่าโจทก์ไ ด้ใ ช้ท างเดิ นพิ พาทมาตั้งแต่ปี ๒๕๒๘ ถึ งปี
๒๕๔๐ โดยความสงบหาได้ไ ม่ ทางเดิ นพิพ าทจึ ง ยังไม่ตกเป็ นภาระ
จายอมแก่ที่ดินโจทก์
414
การใช้ โดยปรปักษ์
คาพิพากษาฎีกาที่ ๓๐๕๙/๒๕๔๕ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๔๒ การได้
ภาระจายอมโดยอายุความนั้น ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๐๑ ให้นาบทบัญญัติ
ว่าด้วยอายุความได้สิทธิ ในลักษณะ ๓ แห่ งบรรพ ๔ มาบังคับใช้โดย
อนุ โลม ซึ่ งต้องเป็ นกรณี ที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน
ภารยทรัพย์น้ นั โดยความสงบและโดยเปิ ดเผย และด้วยเจตนาจะได้สิทธิ
ภาระจายอมในที่ดินดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๐๑ ประกอบด้วย
มาตรา ๑๓๘๒ ซึ่ งกฎหมายมุ่งประสงค์ให้ถือเอาการใช้ประโยชน์ของ
เจ้าของสามยทรั พย์เป็ นสาคัญ โดยไม่ คานึ งว่าภารยทรั พย์น้ นั จะเป็ น
ของผูใ้ ดหรื อเจ้าของสามยทรัพย์จะต้องรู ้ วา่ ใครเป็ นเจ้าของภารยทรัพย์
นั้น ดังนั้น แม้โจทก์ที่ ๑ จะใช้ประโยชน์ในทางพิพาทกว้าง ๒ เมตร ซึ่ ง
เป็ นส่ วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนดของจาเลยรวมไปกับทางสาธารณะกว้าง
๒ เมตร โดยเข้าใจว่าเป็ นทางสาธารณะทั้งหมด ก็ตอ้ งถือว่าโจทก์ที่ ๑
ได้ใช้ทางพิพาทในลักษณะจะให้ได้สิทธิ ภาระจายอมในที่ดิ นดังกล่าว
แล้ว เมื่อโจทก์ที่ ๑ ใช้ทางพิพาทติดต่อกันเป็ นเวลาเกิ นกว่า ๑๐ ปี โดย
ความสงบและโดยเปิ ดเผย โจทก์ที่ ๑ จึงได้ภาระจายอมในทางพิพาท
ข้ อ สั ง เกต ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำนี ้น่ ำ ะวกลด บ หลด ก ตำมค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่
๑๙๓๔/๒๕๔๔ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๔๙ ซึ่ บัินิะฉด ยั่ ำ โะทก์ ใช้ ทำบพิพำทโดย
เข้ ำใะั่ ำทำบดดบกล่ ำัเป็ นทำบสำธำรณว ยดบถือไม่ ได้ ั่ำเป็ นกำรใช้ สิทธิ
ผ่ ำนทำบพิ พำทโดยกำรครอบครอบปรปด กษ์ ดดบที่ บดญญดติไั้ ใน ป.พ.พ.
มำตรำ ๑๔๐๑ ปรวกอบด้ ัยมำตรำ ๑๓๘๒ แม้ โะทก์ ะวใช้ ทำบพิ พำท
เกินกั่ ำ ๑๐ ปี ทำบพิพำทก็ไม่ เป็ นภำรวะำยอมเพื่อที่ดินขอบโะทก์
416
อาศัย
ข้ อ ๖๐ คาถาม นายสี มีที่ดินซึ่งมีเพียง ส.ค. ๑ อยู่ ๑ แปลง และมี
บ้านซึ่ งปลูกอยูบ่ นที่ดินนั้น ๑ หลัง นายสี ได้ทาหนังสื อสัญญาให้นายมา
อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นมีกาหนด ๕ ปี เมื่อนายมาเข้าไปอยูใ่ นบ้านนั้น
แล้ว ได้ต่อเติมบ้านออกไปอีก ๑ ห้อง โดยมิได้แจ้งให้นายสี ทราบ นาย
มาอยูบ่ า้ นนั้นมาได้ ๓ ปี นายสี ก็ขายที่ดินนั้นให้นายชอบโดยนายชอบก็
รู้ถึงข้อตกลงที่นายสี ให้นายมาอาศัยเป็ นเวลา ๕ ปี ด้วย นายสี ได้มอบ
ที่ดินนั้นให้นายชอบแล้ว ในการขายนี้ ไม่มีการพูดถึ งบ้านบนที่ดินนั้น
เลย เมื่อนายชอบได้รับมอบที่ดินแล้วก็บอกให้นายมาออกไปจากบ้าน
หลังนั้น นายมาอ้างว่านายชอบทราบข้อตกลงระหว่า งตนและนายสี
แล้ว นายชอบจึงต้องรับไปทั้งสิ ทธิ และหน้าที่ของนายสี คือต้องยอมให้
ตนอยูใ่ นบ้านนั้นจนครบ ๕ ปี และต้องชดใช้ราคาห้องที่ตนต่อเติมให้
ด้วย ส่ วนนายสี ก็อา้ งกับนายชอบว่าตนขายเฉพาะที่ดินเท่านั้นมิได้ขาย
บ้านให้ด้วย ทั้งการขายบ้านก็มิได้ทาเป็ นหนังสื อและจดทะเบี ยนต่อ
พนักงานเจ้าหน้าที่ จึงเป็ นโมฆะ จะขอรื้ อบ้านไป ให้วินิจฉัยว่าข้ออ้าง
ของนายมาทั้ง ๒ ข้อ และข้อ อ้า งของนายสี ฟั ง ได้ห รื อ ไม่ เ พี ย งใด
(ข้อสอบเนติบณั ฑิต สมัยที่ ๔๐ ปี การศึกษา ๒๕๓๐)
ข้ อ ๖๐ ค าตอบ ส าหรับ ข้ออ้างข้อแรกการที่นายสี ให้นายมา
อาศัย อยู่ใ นบ้า น ๕ ปี นั้น เป็ นการก่ อ ตั้ ง สิ ท ธิ อ าศั ย เมื่ อ มิ ไ ด้ ท าเป็ น
หนั งสื อและจดทะเบียนต่ อพนักงานเจ้ าหน้ าที่จึงไม่ บริ บูรณ์ เป็ นสิ ทธิ
อาศัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ ง
คงใช้ บังคับกันได้ ระหว่ างนายสี และนายมาคู่สัญญาในฐานะเป็ นบุคคล
425
ได้หรื อไม่เพียงใด
ข้ อ ๖๑ ค าตอบ ก. นายประมุ ข ยิน ยอมเป็ นหนัง สื อ ให้น าย
สุ มิตรอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ ๓๐ ตลอดชี วิตของนายสุ มิตรโดยไม่ตอ้ ง
เสี ยเงิน แม้ ไม่ ได้ จดทะเบียนต่ อพนักงานเจ้ าหน้ าที่ซึ่งจะไม่ บริ บูรณ์ เป็ น
สิ ทธิอาศัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรค
หนึ่ง แต่ ก็เป็ นบุคคลสิ ทธิใช้ ยันนายประมุขได้ เมื่อนายสมบัติเป็ นผู้สืบ
สิ ทธิของนายประมุข การอยู่อาศั ยที่นายประมุขได้ ให้ ไว้ แก่ นายสุ มิตร
เป็ นบุ ค คลสิ ทธิ ใช้ ยันนายสมบัติซึ่ งเป็ นผู้ สืบสิ ทธิ ของนายประมุ ขให้
ปฏิบัติตามได้ เช่ นเดียวกัน นายสมบัติจึงไม่ มีสิทธิฟ้องขับไล่ นายสุ มิตร
ออกจากบ้ านเลขที่ ๓๐
ข. แม้ก ารอยู่อาศัย ที่ น ายประมุ ข ได้ใ ห้ ไ ว้แก่ น ายสุ มิ ตรเป็ น
บุคคลสิ ทธิ ใช้ยนั นายสมบัติซ่ ึ งเป็ นผูส้ ื บสิ ทธิ ของนายประมุขให้ปฏิบตั ิ
ตามได้ก็ ต าม แต่ ม าตรา ๑๔๐๒ บุ ค คลใดได้ รั บ สิ ท ธิ อ าศั ย โรงเรื อ น
บุคคลนั้นย่ อมมีสิทธิอยู่ในโรงเรือนนั้นโดยไม่ ต้องเสี ยค่ าเช่ า และมาตรา
๑๔๐๘ เมื่อสิ ทธิ อาศั ยสิ้ นลงผู้อาศั ยต้ องส่ งทรั พย์ สินคืนแก่ ผ้ ูให้ อาศั ย
เมื่อบ้านเลขที่ ๓๐ (เดิม) ซึ่ งเป็ นโรงเรื อนได้ถูกรื้ อถอนไปแล้วโดยนาย
สุ มิตรเช่ นนี้ สิ ทธิอาศั ยที่นายสุ มิตรได้ ทาไว้ กับนายประมุขย่ อมสิ้ นลง
จึงไม่ มีโรงเรื อนอันจะมีสิทธิอาศัยตามบทกฎหมายข้ างต้ น การที่นาย
สุ มิตรปลูกบ้านเลขที่ ๓๐ (ใหม่) ขึ้นแทนภายหลังจากที่นายประมุขถึ ง
แก่ ความตายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายสมบัติ ก็หาก่ อให้ เกิด
สิ ทธิอาศัยขึน้ มาใหม่ แต่ อย่ างใดไม่ และการที่นายสุ มิตรปลูกบ้านเลขที่
๓๐ (ใหม่ ) ในที่ ดินพิ พ าทโดยไม่ ไ ด้รับ ความยินยอม บ้ า นเลขที่ ๓๐
429
สิ ทธิเหนือพืน้ ดิน
ข้ อ ๖๒ คาถาม นายจอนเป็ นเจ้าของที่ดินมีโฉนดพร้อมเรื อนที่
ปลูกในที่ดินดังกล่าว นายจอนได้ขายฝากเรื อนที่ปลูกอยูใ่ นที่ดินให้นาย
เจิมในราคา ๓๐,๐๐๐ บาท มี กาหนดเวลาไถ่ ถอนคื นภายใน ๑ ปี การ
ขายฝากได้ท าหนัง สื อ และจดทะเบี ย น ณ ที่ ว่า การอ าเภอแล้ว ครบ
กาหนด ๑ ปี นายจอนไม่ ไ ด้ไ ถ่ ถ อนเรี ย กคื น ต่ อมานายจอนนาที่ ดิน
พร้ อ มเรื อนดัง กล่ า วไปขายให้น ายจิ นราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาท โดยจด
ทะเบี ย นการซื้ อขายต่ อพนักงานเจ้า หน้าที่ ณ สานักงานที่ ดินจัง หวัด
โดยนายจินรั บซื้ อไว้โดยสุ จริ ต ให้ท่านวินิจฉัยว่า ระหว่างนายเจิมกับ
นายจินใครจะมีสิทธิ ในเรื อนพิพาทดีกว่ากัน
ข้ อ ๖๒ ค าตอบ แม้น ายจอนไม่ ไ ถ่ ถ อนเรื อ นพิ พ าทภายใน
กาหนด ๑ ปี เรื อนพิพาทตกเป็ นกรรมสิ ทธิ์ ของนายเจิมก็ตาม แต่ตราบ
ใดที่เรื อนยังปลูกอยูบ่ นที่ดินที่นายจินซื้ อมา เรือนย่ อมเป็ นส่ วนควบกับ
ทีด่ ินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา ๑๔๔ การจะก่ อตั้ง
กรรมสิ ทธิ์ในเรื อนพิพาทแยกออกต่ างหากจากที่ดินจะทาได้ โดยการ
ก่ อตั้งสิ ทธิเหนือพืน้ ดิน ตามมาตรา ๑๔๑๐ นายเจิมเพียงแต่จดทะเบียน
การขายฝากเรื อนพิพาท หาได้ จดทะเบียนสิ ทธิเหนือพืน้ ดินโดยให้ นาย
เจิมเป็ นเจ้ าของเรื อนพิพาทอันเป็ นสิ่ งปลูกสร้ างบนที่ดินไม่ เมื่อนายจิน
ซื้ อที่ ดินพร้ อมเรื อนพิ พาทอันเป็ นส่ วนควบกับ ที่ ดินและจดทะเบี ย น
สิ ทธิ โดยสุ จริ ตแล้ว ฉะนั้น นายจินจึงมีสิทธิในเรื อนพิพาทดีกว่ านาย
เจิ ม เพราะเรื อ นเป็ นส่ วนควบของที่ดิ น (ค าพิ พ ากษาฎี ก าที่ ๖๘๘/
๒๕๑๑)
434
บุคคลภายนอกที่จะได้รับความคุม้ ครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิ ชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง
บันทึกข้อตกลงระบุให้ ช. และบริ วารอยูอ่ าศัยในห้องแถวทั้งสี่
ห้ อ งจนกว่ า จะทรุ ด โทรมจนอยู่อ าศัย ไม่ ไ ด้ อัน เป็ นข้อ ตกลงที่ ร ะบุ
เงื่อนไขไว้ชดั แจ้งว่า ช. และบริ วารสามารถอยู่อาศัยในห้องแถวพิพาท
ซึ่ งปลู ก อยู่ บ นที่ ดิ น ของโจทก์ ไ ด้จ นกว่ า ห้ อ งแถวนั้น จะทรุ ด โทรม
ประการหนึ่งและการทรุ ดโทรมนั้นต้องทาให้ไม่สามารถอยูใ่ นห้องแถว
ได้อีกประการหนึ่ ง เมื่อครบทั้งสองประการดังกล่าว ช. และบริ วารจึง
จะอยู่อาศัย ในที่ ดิน ของโจทก์ต่อ ไปไม่ ไ ด้ต้องออกไปจากที่ ดิ นของ
โจทก์ ซึ่ งเงื่ อนไขทั้งสองประการเป็ นที่เห็ นได้ว่าการทรุ ดโทรมจนอยู่
อาศัยไม่ได้น้ นั ไม่อาจกาหนดเวลาได้ว่าจะทรุ ดโทรมเมื่อใดและเมื่ อ
ทรุ ด โทรมแล้ว เมื่ อ ใดจึ ง จะถื อ ว่า อยู่อ าศัย ไม่ ไ ด้ก รณี จึ ง ถื อ ไม่ ไ ด้ว่ า
บันทึกข้อตกลงเป็ นการก่อให้เกิ ดสิ ทธิ เหนื อพื้นดิ นโดยมีกาหนดเวลา
อันจะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา ๑๔๑๒
วรรคสอง ประกอบมาตรา ๑๔๐๓ วรรคสาม
สิ ทธิเก็บกิน
ข้ อ ๖๓ คาถาม พี่ช ายจดทะเบี ย นโอนกรรมสิ ท ธิ์ ที่ ดินพร้ อม
ด้วยบ้านซึ่ งปลูกอยูใ่ นที่ดินนั้นให้แก่นอ้ งสาวที่อาศัยอยูก่ บั ตน แต่ได้จด
ทะเบียนสงวนสิ ทธิ เก็บกิ นในที่ดินแปลงนั้นไว้ดว้ ยจนตลอดชี วิตของ
พี่ชาย จดทะเบี ยนเช่ นนั้นแล้วล่ วงมาได้ ๒-๓ เดื อน น้องสาวจะโอน
ขายที่ดินพร้อมด้วยบ้านหลังนั้นให้แก่ผอู ้ ื่น พี่ชายคัดค้านไม่ยอมให้ขาย
และพี่ชายจะเอาที่ดินพร้อมด้วยบ้านให้คนอื่นเช่ าในนามของพี่ชายเอง
น้องสาวก็คดั ค้านบ้างว่าจะให้ใครเช่าไม่ได้ตอ้ งอยูเ่ องไปตลอดชีวิต เมื่อ
ไม่อยูเ่ องจะให้ใครเช่าก็ตอ้ งให้เช่าในนามของน้องสาว และต้องแบ่งค่า
เช่ า ให้ น้อ งสาวครึ่ งหนึ่ ง ด้ว ย มี ข ้อ พิ พ าทกัน ดัง นี้ ให้ ท่ า นอธิ บ ายข้อ
กฎหมายว่าเป็ นประการใด
ข้ อ ๖๓ ค าตอบ ตามกฎหมายผู้ ท รงสิ ทธิ เ ก็ บ กิ น มี สิ ทธิ
ครอบครองใช้ และถือเอาซึ่ งประโยชน์ แห่ งทรั พย์ สินที่ตกอยู่ในบังคับ
สิ ท ธิ เ ก็ บ กิ น กั บ มี อ านาจจั ด การทรั พ ย์ สิ น นั้ น ฝ่ ายเดี ย วเจ้ าของ
กรรมสิ ทธิ์หามีสิทธิเช่ นว่ านี้ด้วยไม่ ในระหว่ างที่สิทธิเก็บกินยังไม่ สิ้น
ไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา ๑๔๑๗ แต่ สิทธิที่จะ
จาหน่ ายกรรมสิ ทธิ์ในทรั พย์ สินยังคงมีอยู่แก่ เจ้ าของกรรมสิ ทธิ์ ผู้ทรง
สิ ทธิเก็บกินหาได้ ไปซึ่ งสิ ทธินี้ด้วยไม่ และในกรณี ที่เจ้าของกรรมสิ ทธิ์
ในทรัพย์สินโอนขายกรรมสิ ทธิ์ ให้แก่ผอู ้ ื่น สิ ทธิเก็บกินที่มีอยู่แล้ วเช่ น
ไรก็จะตามติดไปด้ วยนั้น ดังนี้ น้ องสาวผู้เป็ นเจ้ าของกรรมสิ ทธิ์ จึงมี
สิ ทธิจะโอนขายที่ดินพร้ อมด้ วยบ้ านหลังนั้ นให้ แก่ ผ้ ูอื่น พี่ชายซึ่ งเป็ นผู้
ทรงสิ ทธิเก็บกินจะคัดค้ านไม่ ยอมให้ ขายไม่ ได้
439
________________
440
บรรณานุกรม
ถาม – ตอบ
แพ่ง อาญา
เล่ม ๗
สมชาย พงษ์ พฒ
ั นาศิลป์
ผู้พพิ ากษา
๒๕๕๖
3
คานา
หนังสื อเล่ มนี้ ผูแ้ ต่งได้นาํ คําพิพากษาฎี กาล่าสุ ดที่ออก
หลังจากหนังสื อ “ถาม – ตอบ แพ่ง” “ถาม – ตอบ อาญา” ที่
พิมพ์เมื่อปี ๒๕๕๕ และ “ถาม – ตอบ ทรัพย์สิน” ที่พิมพ์เมื่อปี
๒๕๕๔ มารวมไว้ในหนังสื อเล่มนี้ โดยได้นาํ คําพิพากษาฎีกา
เนติฯ ปี ๒๕๕๔ ถึงเล่ม ๑๑ ปี ๒๕๕๕ ถึงเล่ม ๕ และคํา
พิพากษาฎีกาสํานักงานศาลฯ ปี ๒๕๕๔ ถึงเล่ม ๙ ปี ๒๕๕๕
ถึงเล่ม ๑ ที่น่าสนใจมาแต่งเป็ นข้อสอบ เพื่อใช้เป็ นตัวอย่างใน
การฝึ กเขียนตอบข้อสอบ โดยทําคําตอบแยกส่ วนไว้ให้เห็นได้
ชัดเจนว่าส่ วนใดเป็ นข้อเท็จจริ งจากคําถาม ข้อกฎหมาย และ
เหตุผลประกอบ พร้อมสรุ ป โดยส่ วนของ "ข้อเท็จจริ งจาก
คําถาม" ใช้ตวั อักษรขีดเส้นใต้ "ข้ อกฎหมาย" ใช้ ตัวอักษรเอน
หนา และ"เหตุผลประกอบพร้ อมสรุ ป" ใช้ ตัวอักษรเอนหนา
ขีดเส้ น โดยนําคําพิพากษาฎีกาที่วนิ ิจฉัยตามคําถามและคําตอบ
มารวมไว้ต่ อ จากคํา ตอบ เพื่ อ ความสะดวกในการศึ ก ษา
นอกจากนี้ ได้นาํ คําพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจในเรื่ องเดียวกันมา
รวมไว้ทา้ ยเรื่ องที่มีคาํ ถามและคําตอบด้วย
5
สารบาญ
เรื่อง หน้ า
ถาม – ตอบ แพ่ง เล่ม ๗
ทรัพย์สิน ข้ อ ๑ ................................................ ๑๕
ข้ อ ๒ ............................................... ๑๙
ข้ อ ๓ .............................................. ๒๒
คําพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง ............ ๒๘
คําพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ............ ๓๐
คําพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๐๐ ............................. ๓๖
คําพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๐๔ ............................. ๓๘
คําพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๐๕ ............................. ๔๔
คําพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๐๘ ............................. ๔๕
คําพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๑๐ ............................. ๔๗
คําพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๑๒ ............................. ๔๘
คําพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๑๓ ............................. ๔๙
คําพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๓๐ ............................. ๕๐
คําพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๓๒ ............................. ๕๒
6
ถาม – ตอบ
แพ่ง เล่ ม ๗
ทรัพย์ สิน
ข้ อ ๑ คาถาม นายดํานําที่ดินพร้อมบ้านไม้เลขที่ ๑๓ ไป
จดทะเบียนจํานองประกันหนี้ กูย้ ืมเงิ น ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท กับ
นายแดงเมื่ อ วัน ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ต่ อ มาเจ้า พนัก งาน
บังคับคดียึดบ้านเลขที่ ๑๓ ดังกล่าวของนายดําเพื่อนําออกขาย
ทอดตลาดชําระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาของนายดําโดย
เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ทราบว่าบ้านดังกล่าวนายดํานําไปจด
ทะเบี ย นจํา นองไว้ก ับ นายแดง ต่ อ มาเมื่ อ วัน ที่ ๑๐ มกราคม
๒๕๕๖ เจ้าพนักงานบังคับคดี ได้ขายทอดตลาดบ้านดังกล่าว
โดยประกาศขายทอดตลาดแจ้ง ว่ า เป็ นการขายปลอดภาระ
ผู ก พัน ใด ๆ และได้รั บ อนุ ญ าตจากศาลแล้ว นายม่ ว งเป็ น
ผู ้ซ้ื อบ้า นหลัง ดั ง กล่ า วได้ ใ นราคา ๕๐๐,๐๐๐ บาท และ
ได้จดทะเบี ยนรั บโอนบ้านดัง กล่ าวในวันเดี ยวกัน ในคื นนั้น
นายเมาขับ รถบรรทุ ก นํ้ามัน โดยประมาทชนบ้า นดัง กล่ า ว
จนไฟไหม้บา้ นไม้เสี ยหายทั้งหลัง
ให้วินิจฉัยว่า ใครมี สิทธิ ได้รับค่าสิ นไหมทดแทนจาก
นายเมา
16
การที่นายเมาขับรถบรรทุกนํ้ามันโดยประมาทชนบ้าน
ดัง กล่ า วจนไฟไหม้บ ้า นไม้เ สี ย หายทั้ง หลัง แม้ จ ะเป็ นการ
กระทาโดยละเมิดต่ อนายม่ วงซึ่งเป็ นเจ้ าของกรรมสิ ทธิ์ในบ้ าน
ดังกล่ าว แต่ เมื่อบ้ านเป็ นทรัพย์ จานองซึ่งยังมีผลอยู่ดังที่วินิจฉัย
มาแล้ ว สิ ทธิจานองย่ อมครอบไปถึงสิ ทธิ ที่จะเรี ยกร้ องเอาแก่
ผู้ก ระท าละเมิ ด ที่ต้ อ งใช้ ค่ า เสี ย หายอั น ควรจะได้ แ ก่ เ จ้ า ของ
ทรั พย์ สินเพราะเหตุทรั พย์ สินถู กทาลายและเสี ยหายด้ วยโดย
หลั ก กฎหมายเรื่ อ งช่ วงทรั พ ย์ ตามมาตรา ๒๓๑ นายแดง
จึงมีสิทธิได้ รับค่ าสิ นไหมทดแทนจากนายเมาโดยหลักกฎหมาย
ช่ วงทรัพย์ ตามมาตรา ๒๓๑
ข้ อสั งเกต คาพิ พากษาฎี กาที่ นามาแต่ งคาถามตัดสิ นตามหลัก
กฎหมายช่ วงทรั พย์ แต่ เป็ นกรณี ไม่ มี ก ฎหมายบั ญ ญั ติ ไ ว้
โดยตรง ผู้แต่ งจึ งเพิ่ มข้ อเท็จจริ งว่ านายเมาทาให้ ทรั พย์ เสี ยหาย
เพื่ อให้ นักศึ กษาตอบมาตรา ๒๓๑ ด้ วย ถ้ ามี การนาข้ อเท็จจริ ง
ตามคาพิพากษาฎีกามาออกข้ อสอบ นักศึกษาควรตอบฎีกาโดย
ไม่ จาเป็ นต้ องอ้ างมาตรา ๒๓๑
ค าพิพ ากษาฎีกาที่ ๑๕๘๗/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๓๐
โจทก์รับจํานองที่ดินพร้อมสิ่ งปลูกสร้าง คือ บ้านซึ่ งตั้งอยู่บน
ที่ดินดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา ๗๑๘ จํานองย่อมครอบไปถึง
18
นายจัตวา และนายเอกรับรถยนต์คืนจากเจ้าพนักงานตํารวจแล้ว
บริ ษทั ซื่อตรง จํากัด และนายจัตวาจึงเลิกสัญญาเช่าซื้อกัน
ให้วินิจฉัยว่า บริ ษทั ซื่ อตรง จํากัด มี สิทธิ เรี ยกร้ องต่ อ
นายเอกหรื อไม่อย่างไร
ข้ อ ๒ คาตอบ การที่บริ ษทั ซื่ อตรง จํากัด ซื้ อรถยนต์จาก
นายตรี แม้ จะเป็ นกรณีทบี่ ุคคลหลายคนเรี ยกเอาสั งหาริ มทรั พย์
เดียวกันโดยอาศั ยหลักกรรมสิ ทธิ์ต่างกัน โดยได้ รับมอบการ
ครอบครองมาโดยสุ จริ ตและเสี ยค่ าตอบแทน แต่ บริ ษทั ซื่อตรง
จากัด ก็ไม่ ได้ รับความคุ้มครองให้ ได้ กรรมสิ ทธิ์ ตามประมวล
กฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ มาตรา ๑๓๐๓ วรรคหนึ่ ง เพราะ
รถยนต์ พิพาทเป็ นทรั พย์ ที่ได้ มาจากการกระทาความผิด ตาม
มาตรา ๑๓๐๓ วรรคสอง
สํา หรั บ การคุ ้ม ครองตามมาตรา ๑๓๓๒ นั้น บริ ษ ัท
ซื่ อ ตรง จํา กัด ซื้ อ รถยนต์จ ากนายตรี ซึ่ง เป็ นพ่ อ ค้ า ที่ ซื้อ ขาย
รถยนต์ โ ดยบริ ษัท ซื่ อตรง จ ากัด สุ จ ริ ตและเสี ย ค่ า ตอบแทน
บริ ษัทซื่ อตรง จากัด ได้ รั บความคุ้มครองไม่ ต้ องคืน รถยนต์
ให้ แก่ เจ้ าของที่แท้ จริ งเว้ นแต่ เจ้ าของจะชดใช้ ราคาที่ซื้อมาตาม
มาตรา ๑๓๓๒ เมื่ อ นายเอกได้รั บ รถยนต์คื น ไปแล้ว นาย
เอกต้ องใช้ ราคารถยนต์ ๔๐๐,๐๐๐ บาท แก่บริษทั ซื่อตรง จากัด
21
(คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๙๘/๒๕๕๔)
ข้ อสั ง เกต ค าถามข้ อ นี ้ผ้ ูแ ต่ ง เห็ น ว่ า ศึ กษาต้ อ งตอบว่ า บริ ษั ท
ซื่ อตรง จากัด ไม่ ได้ รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๓๐๓ ด้ วย
แล้ วจึ ง ตอบมาตรา ๑๓๓๒ ตามค าพิ พ ากษาฎี ก า เพราะ
ข้ อเท็จจริ งเรื่ องลักทรั พย์ ก็ถือว่ ามีประเด็นเรื่ องไม่ ได้ รับความ
คุ้มครองตามมาตรา ๑๓๐๓ แต่ ถ้าในธงคาตอบมี เพี ยงมาตรา
๑๓๓๒ ตามคาพิพากษาฎีกา การตอบว่ าไม่ ได้ รับความคุ้มครอง
ตามมาตรา ๑๓๐๓ ก็ไม่ ถือว่ าตอบผิด
ค าพิพ ากษาฎี กาที่ ๑๔๙๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๓ น. ๖๗
โจทก์ ซ้ื อรถยนต์ จ ากจํา เลยที่ ๑ ในลั ก ษณะเดี ย วกั น มา
ตลอดเวลาทั้ง ก่ อ นและหลัง คดี น้ ี โจทก์ ย่ อ มมี เ หตุ ผ ลตาม
สมควรที่จะเชื่อได้ว่าจําเลยที่ ๑ เป็ นพ่อค้าที่ซ้ื อขายรถยนต์โดย
ถูกต้อง โจทก์ซ้ื อรถยนต์พิพาทจากจําเลยที่ ๑ แล้วมาให้ผูอ้ ื่ น
เช่ าซื้ อตามวัตถุประสงค์ของโจทก์เหมือนอย่างที่เคยปฏิบตั ิมา
โดยจําเลยที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็ นเจ้าของรถยนต์พิพาทไม่อาจสื บ
โต้แย้งให้เห็นว่าการซื้ อครั้งนี้ โจทก์ไม่สุจริ ตอย่างไร ย่อมต้อง
ถื อ ว่ า โจทก์ก ระทํา การโดยสุ จ ริ ต ทํา ให้ โ จทก์ไ ด้รั บ ความ
คุ ้ม ครองตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๒ เมื่ อ จํา เลยที่ ๓ ได้รั บ
รถยนต์พิพาทคืนไป จําเลยที่ ๓ และที่ ๔ จึงต้องร่ วมกันใช้ราคา
รถยนต์พิพาทแก่โจทก์
22
เงินค่าธรรมเนียมในการโอนที่ดินตลอดมา จึงยังถือไม่ได้ว่าได้
มีการร้องขอให้บงั คับคดี ตามคําพิพากษาแล้ว เมื่อผูร้ ้องไม่ได้
ดําเนินการบังคับคดีแก่ที่ดินพิพาทซึ่ งเป็ นทรัพย์สินของลูกหนี้
จนเกิ น กํา หนด ๑๐ ปี นับแต่ ว นั ที่ ค าํ พิ พ ากษาถึ ง ที่ สุ ด ผูร้ ้ อ ง
จึงสิ้ นสิ ทธิ ที่จะบังคับคดีเอาแก่ที่ดินพิพาทและไม่มีสิทธิ เรี ยก
ให้จาํ เลยที่ ๒ ปฏิบตั ิตามคําพิพากษาได้อีกต่อไป ผูร้ ้องจึงไม่อยู่
ในฐานะอัน จะให้ จ ดทะเบี ย นสิ ท ธิ ข องตนได้อ ยู่ ก่ อ นตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๐ และไม่ใช่ ผทู ้ ี่อาจร้องขอให้บงั คับเหนื อ
ทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมายตามที่บญั ญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา
๒๘๗ จึงไม่ มีสิทธิ ยื่นคําร้องเพื่อขอกันส่ วนเงิ นที่ได้จากการ
ขายทอดตลาดที่ดินพิพาทได้
คาพิพากษาฎีกาที่ ๗๘๘๐/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๗๒
การที่ศาลมีคาํ พิพากษาตามยอมให้จาํ เลยจดทะเบียนโอนที่ดิน
พิพาทให้ผูร้ ้ องแต่ ยงั มิ ได้มีการดําเนิ นการ ระหว่างนั้นโจทก์
ทั้งสองซึ่ งเป็ นเจ้าหนี้ ตามคําพิ พากษาของจําเลยในอี กคดี น ํา
เจ้าพนักงานบังคับคดี ยึดที่ดินพิพาท ถื อว่าผูร้ ้ องมี สิทธิ เหนื อ
ที่ ดิ น พิ พ าทอัน จะขอให้จ ดทะเบี ย นที่ ดิ น พิ พ าทเป็ นของตน
ได้ก่อนบุคคลอื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๐ แม้จาํ เลยยังไม่ได้
จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่ผูร้ ้อง โจทก์ท้ งั สองก็ไม่อาจ
บังคับคดีให้กระทบกระทัง่ สิ ทธิของผูร้ ้องได้
38
ก่อสร้างอาคารสํานักงานหลังใหม่แล้ว การแสดงเจตนาหวงกัน
ที่ ดิ น ของจํา เลยที่ ๑ เป็ นเวลาหลัง จากจํา เลยที่ ๑ ได้ย อมให้
ประชาชนใช้ทางพิพาทโดยไม่มีการหวงกันจนจําเลยที่ ๑ เข้าใจ
ว่าได้ดาํ เนิ นการยกให้เป็ นทางสาธารณะ จึงถือได้ว่าจําเลยที่ ๑
ได้มอบทางพิพาทให้เป็ นทางสาธารณะโดยปริ ยาย การย้อน
กลับ มาหวงกัน อ้า งสิ ทธิ เ หนื อ ทางพิ พ าทที่ ไ ด้ก ลายเป็ นทาง
สาธารณะไปโดยปริ ยายแล้วไม่มีผลแต่อย่างใด ทางพิพาทจึง
เป็ นทางสาธารณะ
คาพิพ ากษาฎีกาที่ ๗๔๖๑/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๕๗
โฉนดที่ ดิ น เลขที่ ๑๒๐ และ ๑๒๑ เป็ นโฉนดที่ ดิ น ที่ ออกให้
ตั้งแต่รัชสมัยของรัชกาลที่ ๕ เมื่อปี ร.ศ.๑๒๕ โดยระบุอาณา
เขตของที่ดินทั้งสองแปลงว่าด้านทิศใต้จดลํากระโดงและตาม
รู ปแผนที่ ใ นโฉนดที่ ดิ น ก็ปรากฏว่า ด้า นทิ ศ ใต้ข องที่ ดิ น เป็ น
ลํากระโดง แสดงให้เห็นว่าลํากระโดงมีมาไม่นอ้ ยกว่า ๑๐๐ ปี
แล้ว โดยไม่ ป รากฏหลัก ฐานว่ า เป็ นลํา กระโดงที่ มี อ ยู่ต าม
ธรรมชาติหรื อมีผูใ้ ดขุดให้เป็ นลํากระโดงและขุดตั้งแต่เมื่อใด
ประชาชนในละแวกนั้น ได้ใช้ล าํ กระโดงสายนี้ เป็ นเส้น ทาง
สั ญ จรไปมาเป็ นเวลานานหลายสิ บปี แล้ ว หากจะฟั ง ว่ า
ลํา กระโดงสายนี้ เกิ ด จากการขุ ด สร้ า งขึ้ นเองของชาวบ้า น
ทั้งสองฝั่ งในที่ดินของตนเพื่อประโยชน์ในการใช้น้ าํ และการ
41
สัญจรไปมาก็ถือได้ว่าเจ้าของที่ดินแต่เดิมได้ยกที่ดินส่ วนที่เป็ น
ลํากระโดงพิพาทให้เป็ นสาธารณสมบัติของแผ่นดิ นสําหรั บ
พลเมืองใช้ร่วมกันตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๓๐๔ แล้วโดยปริ ยาย
หาจําต้องแสดงเจตนาอุ ทิศให้หรื อจดทะเบี ยนยกให้เป็ นทาง
สาธารณะต่ อ พนั ก งานเจ้า หน้ า ที่ แ ต่ อ ย่ า งใดไม่ เมื่ อ ฟั ง ว่ า
ลํา กระโดงพิ พ าทเป็ นสาธารณสมบัติ ข องแผ่ น ดิ น สํ า หรั บ
พลเมื อ งใช้ร่ ว มกัน มาเป็ นเวลาเนิ่ น นานก่ อ นที่ โ จทก์ท้ งั สอง
จะรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๐ และ ๑๒๑ จากเจ้าของเดิ ม
แม้ลาํ กระโดงพิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ท้ งั สอง
และโจทก์ ท้ ั งสองได้ ก ลั บ เข้ า หวงกั น หรื อประชาชนใช้
ประโยชน์จ ากลํา กระโดงพิ พ าทน้ อ ยลงจากเดิ ม ก็ไ ม่ ท าํ ให้
ลํากระโดงพิพาทหมดสภาพจากการเป็ นสาธารณสมบัติของ
แผ่นดินกลับไปเป็ นกรรมสิ ทธิ์ ของเจ้าของที่ดินที่ได้กรรมสิ ทธิ์
ในโฉนดที่ดินดังกล่าวอีก โจทก์ท้ งั สองไม่มีสิทธิ ที่จะยึดถือเอา
ลํากระโดงพิพาทเป็ นของโจทก์ท้ งั สอง
คาพิพากษาฎีกาที่ ๓๖๓๒/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๗๓
การที่โจทก์ท้ งั สองและผูถ้ ือกรรมสิ ทธิ์ รวมแสดงเจตนายกที่ดิน
พิพาทอันเป็ นที่ดินเอกชนเป็ นเจ้าของกรรมสิ ทธิ์ ให้แก่ศาลเจ้า
ผูร้ ้ อ งสอดแล้ว แต่ ยงั ไม่ ไ ด้มี การจดทะเบี ย นโอนกรรมสิ ทธิ์
ให้แก่กนั การอุทิศที่ดินของโจทก์ท้ งั สองและผูถ้ ือกรรมสิ ทธิ์
42
ของรั ฐมี หน้าที่ ดูแ ลรั กษาที่ ดิน สาธารณประโยชน์ซ่ ึ งเป็ นสา
ธารณสมบัติของแผ่นดิ นไม่ ได้ตามมาตรา ๑๓๐๖ จําเลยต้อง
รื้ อถอนอาคารและสิ่ งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท
สิ้ น ไปก็ต่ อ เมื่ อ มี เ หตุ ต ามมาตรา ๗๔๔ เท่ า นั้น การที่ จ าํ เลย
รื้ อถอนบ้านพิพาทไปไม่ทาํ ให้สิทธิ ของโจทก์ที่มีอยู่ในทรัพย์
จํานองระงับสิ้ นไปได้ โจทก์จึงคงมีสิทธิ บงั คับจํานองเอาแก่
บ้านพิพาทที่จาํ เลยซื้ อได้ตามมาตรา ๗๔๔ และมาตรา ๗๐๒
วรรคสอง การที่จาํ เลยได้กรรมสิ ทธิ์ ในบ้านพิพาทภายหลังจาก
ที่โจทก์รับจํานองไว้แล้ว แม้จะได้มาโดยสุ จริ ตและได้รับความ
คุม้ ครองตามมาตรา ๑๓๓๐ ก็หาทําให้สิทธิ ของโจทก์ที่มีอยูเ่ ดิม
เสี ยไป จําเลยไม่มีสิทธิในบ้านพิพาทดีกว่าโจทก์
จํา เลยเป็ นแต่ เ พี ย งผู ้ซ้ื อ บ้า นพิ พ าทได้ จ ากการขาย
ทอดตลาดตามคํา สั่ ง ศาล มิ ใ ช่ เ ป็ นผูจ้ าํ นองหรื อ คู่ สั ญ ญากับ
โจทก์ผรู ้ ับจํานอง จําเลยจึงไม่ตอ้ งรับผิดในฐานะเป็ นผูจ้ าํ นอง
ต่อโจทก์ การที่จาํ เลยรื้ อถอนบ้านพิพาทขายให้บุคคลอื่นไปแม้
กระทําการโดยสุ จริ ต ก็ตอ้ งคืนเงินในส่ วนที่เกี่ยวกับบ้านพิพาท
ให้แ ก่ โจทก์ และเมื่ อเป็ นหนี้ เ งิ นที่ จาํ เลยต้อ งคื น ให้แก่ โ จทก์
โจทก์จึงมีสิทธิ เรี ยกดอกเบี้ยได้ตามมาตรา ๒๒๔ ในอัตราร้อย
ละเจ็ดครึ่ งต่อปี นับแต่วนั ที่ร้ื อถอนบ้านพิพาทเป็ นต้นไป
ค าพิ พ ากษาฎี ก าที่ ๑๓๘๔๖/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล. ๑๒
น. ๒๑๐ ธนาคาร ก. ผูซ้ ้ื อ ที่ ดิ น พิ พ าทโดยสุ จ ริ ต ในการขาย
ทอดตลาดตามคําสั่งศาล ย่อมได้รับความคุม้ ครองสิ ทธิ มิให้เสี ย
ไป แม้ที่ดินพิพาทมิใช่ ของจําเลยหรื อลูกหนี้ โดยคําพิพากษา
52
หลี ก เลี่ ย งการเสี ย ค่ า ภาษี ศุล กากร เจ้า พนัก งานตํา รวจย่อ มมี
อํานาจยึดรถยนต์พิพาทมาไว้เป็ นของกลางเพื่อดําเนิ นคดีตาม
พระราชบัญญัติศุลกากร ไม่ว่ารถยนต์ของกลางจะอยู่ในความ
ครอบครองของผูใ้ ด การกระทําของเจ้าพนักงานตํารวจประจํา
ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมที่ไปยึดรถยนต์ของ
กลางจากโจทก์จึงเป็ นการปฏิบตั ิหน้าที่ตามกฎหมายโดยชอบ
ไม่ ถื อเป็ นการกระทํา ละเมิ ดต่ อโจทก์ กรมตํา รวจจําเลยที่ ๗
หน่ วยงานต้นสังกัดของเจ้าพนักงานตํารวจดังกล่าวจึงไม่ตอ้ ง
รั บ ผิ ด ในความเสี ย หายต่ อ โจทก์ แม้โ จทก์จ ะรั บ ซื้ อ รถยนต์
พิพาทมาโดยสุ จริ ตจากพ่อค้าซึ่ งประกอบธุ รกิจซื้ อขายรถยนต์
แต่ เ มื่ อ รถยนต์พิ พ าทต้อ งถู ก ยึ ด ไปดํา เนิ น คดี ต ามพระราช
บัญญัติศุลกากร โจทก์ยอ่ มไม่ได้รับความคุม้ ครอง เพราะไม่ใช่
เป็ นกรณี ที่เ จ้าของที่ แท้จริ งติ ดตามเอาทรั พย์คื นตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๓๓๒
การทําประโยชน์และจําเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตลอด
มา โดย ส. มารดาโจทก์ผขู ้ ายซึ่ งเป็ นผูค้ รอบครองทําประโยชน์
ในที่ดินพิพาทมี เจตนาสละการครอบครองที่ ดินพิพาทให้แก่
จําเลยเป็ นผูค้ รอบครองตั้ง แต่ ก่ อนที่ ดิ นพิ พาทจะเปลี่ ยนเป็ น
โฉนดที่ ดิ น แล้ว แม้ก ารซื้ อ ขายที่ ดิ น พิ พ าทจะมิ ไ ด้ท ํา เป็ น
หนังสื อและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อนั จะทําให้ตก
เป็ นโมฆะก็ตาม แต่เมื่อที่ดินพิพาทเป็ นที่ดินมีหนังสื อรับรอง
การทําประโยชน์ยอ่ มโอนการครอบครองและส่ งมอบทรัพย์สิน
ที่ ค รอบครอง จํา เลยจึ ง เป็ นผูม้ ี สิ ท ธิ ค รอบครองที่ ดิ น พิ พ าท
โจทก์ฟ้องขับไล่ไม่ได้ เมื่อ ส. ได้สละเจตนาครอบครองที่ดิน
พิพาทและโอนการครอบครองโดยส่ งมอบที่ดินพิพาทแก่จาํ เลย
และจําเลยได้เข้าครอบครองตั้งแต่วนั ที่ซ้ื อขายแล้ว จําเลยย่อม
ได้สิทธิ ครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๗๗, ๑๓๗๘ การ
ครอบครองที่ดินพิพาทของ ส. หรื อโจทก์ซ่ ึ งเป็ นทายาทย่อม
สิ้ นสุ ดลง ส. หรื อโจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทอีกต่อไป การที่
มี การไปขอออกโฉนดที่ ดิ นพิพาทแล้ว ใส่ ชื่อ ส. เป็ นเจ้าของ
กรรมสิ ทธิ์จึงเป็ นการออกโฉนดที่คลาดเคลื่อนกับความเป็ นจริ ง
และอาจถูกเพิกถอนได้โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ผมู ้ ีอาํ นาจตาม ป.
ที่ดิน มาตรา ๖๑ และไม่เป็ นเหตุให้สิทธิ ของจําเลยเหนื อที่ดิน
พิพาทที่มีอยูแ่ ล้วโดยสมบูรณ์เสี ยไป และเมื่อโฉนดที่ดินพิพาท
67
ให้เจ้าหน้าที่การประปานครหลวงและเจ้าหน้าที่การไฟฟ้ านคร
หลวงหลงเชื่ อ มาติ ด ตั้ง ประปาและไฟฟ้ าให้ แ ก่ บ้า นจํา เลย
ประกอบกับจําเลยไม่ เคยอ้างสิ ทธิ ในที่ ดินพิพาทเพื่อเสี ยภาษี
บํารุ งท้องที่หรื อภาษีโรงเรื อนและจําเลยไม่ได้ร้องขอต่อศาลขอ
แสดงกรรมสิ ทธิ์ ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปั กษ์ ทั้ง
ที่ จ าํ เลยอ้า งว่ า ครอบครองที่ ดิ น พิ พ าทของโจทก์ม าตั้ง แต่ ปี
๒๕๑๔ แต่ จาํ เลยเพิ่งมาฟ้ องแย้งขอแสดงกรรมสิ ทธิ์ ในที่ ดิน
พิพาทโดยการครอบครองปรปั กษ์เมื่อถูกฟ้ องขับไล่คดีน้ ี จึงยัง
ไม่ แน่ ชัดว่าก่อนหน้านี้ จาํ เลยมีเจตนาครอบครองที่ดินพิพาท
ของโจทก์ อ ย่ า งเป็ นเจ้า ของ พฤติ ก ารณ์ ฟั ง ไม่ ไ ด้ว่ า จํา เลย
ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็ นเจ้าของ จําเลยจึงไม่ได้
กรรมสิ ทธิ์ในที่ดินพิพาทพิพาทโดยการครอบครองปรปั กษ์ตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๒ ย่อมไม่อาจยกข้ออ้างว่าโจทก์ซ้ื อที่ดิน
พิพาทและจดทะเบียนรับโอนมาโดยไม่ สุจริ ต จึงไม่มีอาํ นาจ
ฟ้ องขับไล่และเรี ยกค่าเสี ยหายจากจําเลยได้
ค าพิพ ากษาฎี ก าที่ ๓๘๗๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๙ น.๖๗
หนังสื อสัญญาซื้ อขายอาคารพาณิ ชย์และที่ดิน ข้อ ๓. ระบุว่า
ผูซ้ ้ื อต้องชําระราคาแก่ผขู ้ ายในวันทําสัญญาจํานวน ๖๐๐,๐๐๐
บาท และข้อ ๕. สําหรับราคาอาคารพาณิ ชย์และที่ ดินส่ วนที่
เหลืออีกจํานวน ๒,๑๐๐,๐๐๐ บาท ผูซ้ ้ื อต้องชําระในวันรับโอน
79
ของจําเลยต้องไม่ทาํ ให้การใช้เส้นทางในที่ดินพิพาทของโจทก์
เสื่ อมความสะดวกหรื อทําให้ประโยชน์ในการใช้ที่ดินพิพาท
ของโจทก์ล ดลง การที่ โ จทก์ก่ อ สร้ า งเพิ ง เก็บสิ น ค้า ในที่ ดิ น
พิพาท อัน เป็ นการครอบครองที่ ดิน พิพาทเนื้ อ ที่ ๔ ตารางวา
เพื่ อ ประโยชน์ ข องโจทก์แ ต่ เ พี ย งผู ้เ ดี ย ว โดยจํา เลยซึ่ งเป็ น
เจ้าของที่ดินไม่อาจใช้ประโยชน์จากที่ดินพิพาทในส่ วนนั้นได้
ย่อมทําให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ที่ดินพิพาทอันเป็ นภารยทรัพย์ ทํา
ให้ เ จ้า ของภารยทรั พ ย์ไ ด้รั บ ความเสี ย หาย แม้โ จทก์จ ะได้
ก่อสร้างเพิงเก็บสิ นค้าในที่ดินพิพาทมาก่อนที่ดินพิพาทตกเป็ น
ของจําเลย เมื่ อจําเลยซึ่ งเป็ นเจ้าของภารยทรั พย์บอกกล่ าวให้
โจทก์ร้ื อถอนเพิงเก็บสิ นค้าแต่ โจทก์เพิกเฉย ย่อมเป็ นการทํา
ละเมิด โจทก์จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสิ นไหมทดแทนแก่ จาํ เลย
ตามฟ้ องแย้ง
แม้จ าํ เลยจะมิ ไ ด้เ ป็ นผูก้ ่ อ สร้ า งรั้ วคอนกรี ต แต่ ก ารที่
จําเลยเป็ นเจ้าของที่ดินพิพาทซึ่งเป็ นภารยทรัพย์มาตั้งแต่ก่อน อ.
ได้รับโอนมาซึ่ ง อ. ย่อมไม่มีสิทธิ ที่จะก่อสร้างรั้วคอนกรี ตอัน
ทําให้โจทก์หรื อบุคคลอื่นซึ่งเป็ นเจ้าของสามยทรัพย์เสื่ อมความ
สะดวกหรื อใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ลดลง เมื่อจําเลยได้รับ
โอนกรรมสิ ท ธิ์ ที่ ดิน พิ พ าทมาจาก อ. จํา เลยจึ ง รั บโอนมาทั้ง
หน้าที่เจ้าของภารยทรัพย์ที่ไม่อาจทําให้ประโยชน์ของเจ้าของ
88
เมื่อจําเลยทั้งเจ็ดขอให้โจทก์ท้ งั เจ็ดย้ายทางภาระจํายอม
เดิ มมายังถนนคอนกรี ตที่จาํ เลยทั้งเจ็ดสร้ างขึ้นใหม่แล้วถนน
คอนกรี ตย่อมตกเป็ นทางภาระจํายอมแทนทางภาระจํายอมซึ่ ง
เป็ นสะพานไม้ เ ดิ ม จํา เลยทั้ งเจ็ ด จึ ง ต้อ งจดทะเบี ย นถนน
คอนกรี ตให้เป็ นทางภาระจํายอมแทนทางภาระจํายอมเดิมด้วย
โดยจําเลยทั้งเจ็ดไม่ตอ้ งสร้างสะพานไม้ข้ ึนมาบนทางภาระจํา
ยอมนี้อีก
ถาม – ตอบ
แพ่ง อาญา
เล่ม ๘
สมชาย พงษ์ พฒ
ั นาศิลป์
ผู้พิพากษา
๒๕๕๗
3
คานา
สารบาญ
เรื่อง หน้ า
ถาม – ตอบ
แพ่ ง เล่ม ๘
ทรัพย์สิน ข้ อ ๑ ................................................ ๑๕
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๙ .............................. ๒๑
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๔๔ .............................. ๒๑
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง ............ ๒๒
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ............ ๒๔
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๐๐ ............................. ๒๗
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๐๓ ............................. ๒๙
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๐๔ ............................. ๓๑
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๓๗ ............................. ๓๕
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๔๙ ............................. ๓๖
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๕๐ ............................. ๓๗
คาพิพากษาฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๓๕๙ ............................. ๓๙
6
ถาม – ตอบ
แพ่ง เล่ม ๘
ทรัพย์ สิน
ข้ อ ๑ คาถาม นายดาซื้ อที่ดินมีโฉนดแปลงที่ ๑ จากนาย
เอ และแปลงที่ ๒ จากนายบี โดย
ที่ดินแปลงที่ ๑ เดิมเป็ นของนายอ่ างซึ่ งถึ งแก่ความตาย
โดยไม่ มี ท ายาทโดยธรรมหรื อ ผูร้ ั บพิ นัย กรรม นายเอปลอม
พิ นัย กรรมว่ า นายอ่ า งยกที่ ดิ น แปลงที่ ๑ ให้ น ายเอ และน า
พินยั กรรมไปยื่นคาร้องขอให้ศาลมีคาสั่งตั้ง นายเอเป็ นผูจ้ ัดการ
มรดกของนายอ่าง ศาลประกาศนัดไต่สวนแล้วไม่มีผใู้ ดคัดค้าน
จึงไต่สวนและมีคาสั่งตั้งนายเอเป็ นผูจ้ ัดการมรดกของนายอ่ าง
เมื่อคดีถึงที่สุดนายเอนาคาสั่งศาลไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลง
ที่ ๑ มาเป็ นชื่ อของนายเอ หลังจากนั้นนายเอจดทะเบี ยนขาย
ที่ดินแปลงที่ ๑ ให้นายดาเมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๕ นายดา
ครอบครองและทาประโยชน์ใ นที่ ดิน ตลอดมาโดยไม่ มี ผใู้ ด
โต้แย้งคัดค้านจนถึ งปี ๒๕๕๗ พนักงานอัยการแจ้งนายดาว่า
ที่ดินแปลงที่ ๑ เป็ นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ที่ดินแปลงที่ ๒ เดิมเป็ นของนายบัวมีบุตรต่างมารดากัน
๒ คนคือนายบานและนายเบิ้ม หลังจากนายบัวถึ งแก่ความตาย
16
ดาเนินโครงการสร้างอาคารชุดและทาวน์เฮาส์รวมทั้งที่ ดินขาย
ให้แก่บุคคลทัว่ ไป จาเลยที่ ๒ ย่อมทราบดี ว่าจะต้องมี บุคคลที่
สนใจเข้าทาสัญญาจะซื้ อจะขายกับ จาเลยที่ ๑ การที่ จาเลยที่ ๒
จะดาเนินการให้จาเลยที่ ๑ ชาระหนี้ย่อมกระทาได้โดยการฟ้ อง
ให้จาเลยที่ ๑ ชาระหนี้ และไถ่ ถอนจานอง ซึ่ งจาเลยที่ ๒ ก็ได้
กระท าการดั ง กล่ า วแล้ ว แต่ จ าเลยที่ ๒ ก็มิ ไ ด้ ท าสั ญ ญา
ประนี ประนอมยอมความกับจาเลยที่ ๑ ในคดี ดัง กล่ าว กลับ
เจรจาตกลงทาสัญญาประนีประนอมยอมความกันนอกคดี และ
ให้จาเลยที่ ๑ จดทะเบี ยนกรรมสิ ทธิ์ ห้องชุ ด ๒๔ ห้อง รวมทั้ง
ห้อ งชุ ด พิ พ าทให้แ ก่จ าเลยที่ ๒ ส่ ว นคดี ย ัง คงปล่ อ ยให้ศ าล
ดาเนินกระบวนการพิจารณาพิพากษาต่อไป จึงเป็ นข้อพิรุธของ
จาเลยที่ ๒ นอกจากนี้ ก ารที่ จ าเลยที่ ๒ จะนาทรั พย์ที่ จานอง
หลุ ด เป็ นของตนเองจะต้อ งเข้า เงื่ อนไขตาม ป.พ.พ. มาตรา
๗๒๙ กล่ าวคื อ จะต้องได้ความว่า จาเลยที่ ๑ ขาดส่ งดอกเบี้ ย
มาแล้วเป็ นเวลาถึง ๕ ปี จาเลยที่ ๑ มิได้แสดงให้เป็ นที่ พอใจแก่
ศาลว่าราคาทรัพย์สินนั้นท่วมจานวนเงินอันค้างชาระ ซึ่ งจาเลย
ที่ ๒ และจาเลยที่ ๑ มิ ไ ด้แ จ้ง แก่ศ าลในคดี ที่ ฟ้ องร้ อ งกัน ถึ ง
เงื่อนไขดังกล่าว การที่จาเลยที่ ๑ ตกลงเจรจากับจาเลยที่ ๒ แล้ว
ให้จาเลยที่ ๑ โอนกรรมสิ ทธิ์ ในห้องชุดรวมทั้งห้องชุดพิพาทซึ่ ง
ติดภาระจานองอยู่กบั จาเลยที่ ๒ ให้แก่จาเลยที่ ๒ อันเป็ นการ
29