You are on page 1of 5

โหราศาสตร์ไทยระบบเรือนชะตาสัมพันธ์

เหลือง 09-8922300
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
----

สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านโหราเวสม์ทุกท่าน ชื่ อของผมอาจจะดูแปลกตาสักหน่อย เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ผม


ลองเขียนบทความมาลงในนิตยสารฉบับนี้ ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งรักในวิชาโหราศาสตร์จนเข้ากระดูกดาไปแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาโหราศาสตร์ไทย เป็นวิชาที่ผมรักมากที่สุด ถึงกับลืมกินลืมนอนทีเดียวเวลาได้อยู่กับสิ่ งที่
ผมชอบสิ่งนี้ วิชาที่ใช้ก็ไม่ได้พิเศษพิสดารพันลึกจนยากที่จะเข้าใจได้ ผมจั่วหัวไว้ว่า โหราศาสตร์ไทยระบบ
เรือนชะตาสัมพันธ์ ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า อะไรคือระบบเรือนชะตาสัมพันธ์ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรในกอไผ่
หรอกครับ เป็นวิชาที่ว่าด้วยเรื่องของการอ่านภพอ่านดาวนั่นเอง หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า ดวงอีแปะ ก็ไม่ผิดนัก ผู้
ที่ศึกษาโหราศาสตร์หลายต่อหลายท่าน หรือเกือบจะทุกท่านด้วยซ้าไปคงจะเคยผ่านดวงอีแปะกันมาแล้วทั้งนั้น
หลายคนก็ประสบความสาเร็จ และอีกหลายคนก็ผิดหวังจนหันไปศึกษาโหราศาสตร์ในระบบอื่น เช่น
โหราศาสตร์ระบบสิบลัคนา โหราศาสตร์ระบบพาราณสี โหราศาสตร์ภารตะ โหราศาสตร์ยูเรเนียน ฯลฯ แต่
สาหรับผมเองแล้ว ผมมองว่าวิชาโหราศาสตร์ไทยในระบบการอ่านภพอ่านดาว หรือที่เรียกกันว่า ดวงอีแปะ เป็น
วิชาที่สามารถให้รายละเอียดได้มากจนแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่หลักวิชาหนึ่งๆ จะพึงบอกได้ ใน
อดีตและที่ผ่านมาในรอบห้าสิบปีนี้ก็มีอาจารย์หลายๆ ท่านก็ได้ใช้จนมีชื่อเสียงเป็นที่โด่งดัง อาทิเช่น อ .ประทีป
อัครา อ .อรุณ ลาเพ็ญ อ.พายัพ วชิโร อ .สถิตย์ สถิตยืนยง อ.เชียร บางบอน เป็นต้น ซึ่งต่างคนก็ต่างมี
หลักการอ่านคล้ายคลึงกัน ต่างกันที่เทคนิคและความละเอียดบางส่วนเท่านั้น มีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็คือ
ระบบการอ่านภาคพยากรณ์จรเท่านั้น ที่ต่างคนต่างมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่ง อ .ประทีป และ อ.พายัพ ใช้การ
ทายจรในระบบชะตาจร อ .อรุณ ใช้ระบบชันษาจร อ .เชียร ใช้ระบบวัยจร ๑๒ ปี อ.สถิตย์ ใช้ระบบทักษาคู่
สมพลและจุดอิทธิพลประจาปี สาหรับผมเองนั้นแนวทางการอ่านในปัจจุบันจะเป็นไปในรูปแบบของ อ .พายัพ
หรือนายพายัพ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทและซี้ที่สุดตั้ งแต่ผมเริ่มก้าวเข้าสู่ถนนสายโหราศาสตร์จนถึงบัดนี้ สาหรับใน
ส่วนที่ว่าแรกเริ่มเดิมทีนั้นผมศึกษาจากใครและมีผู้ใดสอนสั่งมาบ้าง ผมขออุบไว้ก่อน แล้วจะค่อยๆ นามาเล่าสู่
กันฟังในภายหลัง หากว่าข้อเขียนของผมเป็นที่ถูกใจคอโหราศาสตร์ทุกท่าน จะอย่างไรอย่าลืมปรบมือเชียร์ก็
แล้วกันล่ะครับ
กฎเกณฑ์ในการอ่านดวงในระบบเรือนชะตาสัมพันธ์นั้นก็เหมือนกับกฎเกณฑ์การอ่านดวงอีแปะทั่วๆ ไปที่
อ่านๆกัน ต่างกันก็ตรงที่ว่าให้ความสาคัญกับดาวมากๆ จากเหตุที่ว่า ภพบอกเรื่อง ดาวบอกการดาเนินไปของ
เรื่อง ค่าความหมายของภพบอกเรื่องได้ไม่มาก แต่ค่าความหมายของดาวสามารถขยายรายละเอียดได้มากมาย
และในระบบนี้ยังเน้นเรื่องธาตุอีกด้วยตั้งแต่ธาตุดาวและธาตุราศีที่ดาวไปอยู่ เพื่อขยายรายละเอียดเพิ่มขึ้นไปอีก
ฟังดูง่ายๆ นะครับ แต่ใช้จริงๆ ไม่ง่ายเลย แต่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด หลายคนท้อใจและหันไปเล่นศาสตร์วิชาอื่นที่มี
การอธิบายอย่างชัดเจนเป็นรูปแบบสาเร็จเหมือนอาหารสาเร็จรูปที่พร้อมจะนาไปรับประทานได้เลย แต่หลักวิชา
โหราศาสตร์ไทยของเราไม่ใช่แบบนั้น ของไทยเราเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ศาสตร์หมายถึง ตัวระบบวิชาความรู้ที่
เป็นแบบฉบับอย่างชัดเจน และศิลป์หมายถึงศิลปะในการพยากรณ์ เทคนิคต่ างๆ ลูกล่อลูกชน ลูกเล่นต่างๆ ใน
การออกคาพยากรณ์ หากจะเปรียบก็เหมือนกับการประดิดประดอยอาหารให้แลดูสวยงามและน่ารับประทาน
ไปพร้อมๆ กันนั่นเอง อารัมภบทมายืดยาวพอสมควรแล้ว เข้ามาสู่การอ่านดวงกันเลยดีกว่าครับ อ่านตามได้
เลยครับ เป็นการตามภพ 3 จังหวะปกติธรรมดาๆ เท่านั้น ซึ่งมีอาจารย์หลายๆ ท่านเคยเขียนมาแล้ว
ดวงนี้เป็นดวงหญิง เกิดเมื่อวันอังคารที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เวลา ๐๓.๑๗ น. ในการอ่านดวง
ตามปกตินั้น เราจะเน้นอ่านภพหลักๆ 4 ภพ คือ ภพตนุ เพื่อทราบวิถีชีวิตความเป็นไปของเจ้าชะตา ภพกดุมภะ
เพื่อดูการเงินของเจ้าชะตา ภพปัตนิเพื่อดูคู่ครองหรือการครองเรือนข องเจ้าชะตา ภพกัมมะ เพื่อดูอาชีพการ
งานของเจ้าชะตา วิธีอ่านก็เรียงตามลาดับขั้นตอนสั้นๆ ดังนี้
1. นาเอาดาวเจ้าเรือนเรื่องที่ต้องการทราบขึ้นมาเป็นดาวประธาน จังหวะนี้เป็นเหตุของเรื่อง
2. ตามดาวประธานนั้นว่าไปอยู่ในราศีธาตุใด เรือนดาวอะไร มีตาแหน่งดาวมาตรฐานหรือไม่ เรือนนั้นเป็น
ภพอะไร อ่านความหมายให้ละเอียด จังหวะนี้ถือว่าเป็นจังหวะตัดผล
3. ตามดาวต่อไปในจังหวะที่สาม ดูเช่นเดิมว่า ไปอยู่ในราศีธาตุอะไร เรือนดาวอะไร มีตาแหน่งดาวมาตรฐาน
หรือไม่ และเรือนนั้นเป็นภพอะไร อ่านขยายเรื่องทีไ่ ด้จากจังหวะที่หนึ่งและที่สอง
ขั้นตอนทั้ง 3 ขั้นตอนนี้เป็นแม่บทสาคัญที่สุดในการอ่านดวงในระบบนี้ และอันที่จริงก็เป็นแม่บทในการ
อ่านดวงอีแปะนั่นแหละ หลายต่อหลายคนตัดผลผิดก็ที่ตรงนี้ ทาให้การพยากรณ์ผิดไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
ก็มี ตรงนี้มีหลักการ ง่ายๆ คือ อ่านดวงให้มาก อ่านดวงให้บ่อย ทักษะความชานาญเท่านั้นที่จะทาให้เรา
สามารถพัฒนาการอ่านจนถึงระดับที่น่าพอใจ ฟังดูเหมือนง่ายใช่ไหมครับ แต่กว่าจะได้แค่การอ่านสามจังหวะนี้
ไม่ใช่หมูเลยครับ ขอบอก เอาล่ะครับ เราจะเข้าไปสู่การอ่านแล้ว ล้อมวงกันเข้ามาเลยครับ

1. ภพตนุ ตนุ ๗ มหาจักร + ปุตตะ ๖ ประ + พันธุ ๓ เกษตร


การอ่านภพตนุนั้นจะเป็นการอ่านถึงวิถีชีวิตของเจ้าชะตาที่จะดาเนินไปเป็นส่วนใหญ่ หลายคนไปให้
ความหมายภพตนุเป็นเรื่องวาสนาของชีวิตที่เจ้าชะตาจะได้รับ เป็นเรื่องของชื่อเสียง ซึ่ งไม่ใช่เลย ชื่อเสียงเป็น
เรื่องของดาว ดาวที่บอกเรื่องชื่อเสียงจะเป็นดาวอาทิตย์ ไม่มีภพหรือเรือนชะตาใดเลยที่บอกความหมายเรื่อง
ชื่อเสียงเลย เอาล่ะ กลับมาที่การอ่านตนุของดวงชะตานี้ ในชะตานี้ตนุเป็นดาว ๗ เป็นดาวธาตุไฟชนิดไฟสุม
ขอน สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นกับเจ้ าชะตาก็คือ มักเป็นคนที่มีความร้อนรุ่มอยู่ในใจเสมอๆ มักเก็บเรื่องราวต่างๆ ไว้ใน
ใจ ทาให้เกิดความกลัดกลุ้มและเกิดความเครียดขึ้นกับตัวเอง การแสดงออกจึงมักปรากฏในรูปของคนอมทุกข์
ไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าใด แต่ความดีของเสาร์ก็จะทาให้เป็นคนที่สุขุมรอบคอบ มีความอดทนสูง ตนุ ๗ ไปอยู่
ราศีพฤษภ ธาตุดิน เรือนดาว ๖ ภพปุตตะ ปกติในการอ่านวิถีชีวิต ภพปุตตะจะถูกอ่านเป็นชีวิตในวัยเด็ก ดังนั้น
ในความหมายดาว ๗ ที่ให้ไปเมื่อครู่ จะดูหนักไปสาหรับวัยเด็ก จึงอ่านได้แต่เพียงว่า ตัวเจ้าชะตามักจะไม่ค่อย
ความสุขมากนักในวัยเด็ก (ดาว ๗ เป็นดาวแห่งความเครียดและคิดมาก เมื่อไปอยู่ในราศีธาตุดินซึ่งเป็นธาตุ
แห่งการสั่งสม ทาให้ยิ่งนานเข้าความเครียดและความทุกข์ก็ยิ่งสะสมมากขึ้น ดาว ๗ ในราศีพฤษภได้ตาแหน่ง
มหาจักร ยิ่งนานเจ้าชะตายิ่งเครียดและคานึงถึงแต่ตัวเองมากขึ้น ดาว ๗ ไปอยู่ในเรือนดาว ๖ ทาให้อึดอัดใจ
ไม่มีความสุข เมื่อเป็นภพปุตตะก็เท่ากับ เขาอึดอัดใจไม่มีความสุขตั้งแต่วัยเด็กเป็นต้นมา นั่นเอง) ตามดาวไป
จังหวะที่สาม ดาว ๖ เจ้าเรือนปุตตะ ไปอยู่ราศีเมษ เรือนดาว ๓ ภพพันธุ ซึ่งดาว ๖ ได้ตาแหน่งประในราศีนี้
ดาว ๖ มีความหมายของความสุข เป็นดาวธาตุน้าไปอยู่ในราศีธาตุไฟ สภาวะแห่งธาตุน้าของดาว ๖ เมื่อไปอยู่
เรือนธาตุไฟ จะก่อให้เกิดสภาวะที่ร้อนรุ่มเปรียบได้กับน้าเดือด เมื่อเป็นดาว ๖ ปุตตะ ทาให้สภาวะชีวิตในวัยเด็ก
มักไม่ค่อยมีความสุขมากนัก ดาว ๖ เป็นประ ทาให้ได้รับความรักความอบอุ่นที่ไม่เพียงพอ เรือนราศีเมษเป็น
ภพพันธุ ก็เท่ากับว่าไม่ได้รับจากผู้ใหญ่หรือคนที่อยู่ร่วมในครอบครัวของเจ้าชะตานั่นเอง ตัวดาว ๓ เจ้าเรือน
พันธุได้ตาแหน่งเกษตร ดาว ๓ มีค่าความหมายของโทสะ ความรุนแรง เท่ากับว่า ในครอบครัวมักจะมีอารมณ์ใส่
กันเสมอๆ หรือถ้าจะอ่านพันธุเป็นแม่ เท่ ากับว่าแม่ของเจ้าชะตามักเป็นคนเจ้าโทสะแรง หากเจ้าชะตากระทา
ผิดหรือไม่ถูกต้องก็มักจะใช้การเฆี่ยนตีในเรื่องที่เกิดขึ้น สาเหตุนี้เองที่ทาให้เจ้าชะตาไม่มีความสุขในวัยเด็ก
อาจจะมีคนสงสัยว่า แล้วความเป็นคู่มิตรล่ะ ไม่เอามาอ่านด้วยหรือ ความเป็นคู่มิตรจะเอามาอ่านแค่ว่า ถึงแม้ไม่
มีความสุขมากนัก แม่หรือผู้ใหญ่ในครอบครัวมักจะใช้อารมณ์ มีโทสะ ชอบตี แต่ก็ยังมีการเกื้อกูลช่วยเหลือกัน
อยู่ดี (ฐานแห่งคู่มิตร) และเวลาเกื้อกูลช่วยเหลือก็จะกระทาอย่างเต็มที่จริงจัง (ความหมายของดาว ๓)

2. มาอ่านเรื่องการเงิน กดุมภะ ๘ มหาจักร - ตนุ ๗ มหาจักร - ปุตตะ ๖ ประ


ในเรื่องการเงินของเจ้าชะตานั้น ดาวกดุมภะเป็นดาว ๘ ความหมายของดาวราหู ๘ หมายถึง
ปฏิภาณ การรู้จักพลิกแพลง เมื่อเป็นเจ้าเรือนภพการเงินจึงทาให้รู้จักหาวิถีทางต่างๆ นานาที่จะให้ได้มาซึ่งเงิน
ทองทรัพย์สิน ดาว ๘ เป็นดาวธาตุลมไปอยู่ราศีมังกรธาตุดินทาให้สภาวะความคล่องตัวความรวดเร็วในการ
ตัดสินใจของราหูช้าลง ไปอยู่ในเรือนเสาร์ ทาให้นิ่งคิดมากขึ้นมีความสุขุมรอบคอบมากขึ้นรู้จักที่จะอดทนรอเวลา
หรือโอกาสที่จะเปิดให้แก่ตน แต่ในราศีมังกรนั้นดาวราหู ๘ ได้ตาแหน่งมหาจักร เมื่อมีเวลานิ่งคิดยิ่งทาให้ราหู
เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ปฏิภาณและความเจนจัดรอบตัวมากขึ้น ราศีมังกรเป็นเรือนตนุอ่านได้ว่าเจ้าชะตา
ต้องการที่จะหาเงินหาทองสร้างฐานะด้วยความสามารถของตัวเอง ตามดาวไปจังหวะที่สาม ดาว ๗ ไปอยู่ภพ
ปุตตะเรือน ๖ ราศีพฤษภธาตุดิน สภา วะดาวตนุ ๗ เมื่อไปอยู่ธาตุดิน ทาให้ตัวเองไม่มีการผ่อนคลาย ทาให้
ความเครียดเกิดการสะสมขึ้นตามความหมายธาตุดิน ไปอยู่เรือน ๖ ซึ่งดาว ๖ มีตาแหน่งประด้วย ทาให้ขาด
ความสบายที่พึงมีไป ภพเป็นภพปุตตะ ซึ่งเป็นเรือนแห่งดาว ๖ ปุตตะจึงควรแปลเป็นความสุขความร่าเริง
แจ่มใสในชีวิต ทาให้เจ้าชะตาขาดความร่าเริงแจ่มใสที่พึงมีไปเพราะเหตุแห่งการที่อยากจะสร้างฐานะเงินทองให้
มีมากมายในชืวิตของตนนั่นเอง
3. คราวนี้มาถึงเรื่องยอดนิยม ภพปัตนิ ปัตนิ ๒ - กดุมภะ ๘ มหาจักร - ตนุ ๗ มหาจักร
เรื่องเกี่ยวกับปัตนินั้น เ ราสามารถแยกอ่านได้หลายแบบไม่ว่าจะเป็นสภาวะเรื่องความรักของเจ้าชะตา
หรือการคบหา หรือเรื่องเกี่ยวกับตัวคู่ ตลอดจนถึงชีวิตหลังการครองเรือน จะอ่านในแบบไหนก็ให้ตามจังหวะ
และหาความหมายให้สอดคล้องกับเรื่องที่อ่านอยู่ เข้าเรื่องเลยดีกว่า ชะตานี้มีปัตนิเป็นดาว ๒ ซึ่งมีความหมาย
ของการเกื้อกูลช่วยเหลือ อารมณ์อันอ่อนหวานอ่อนไหว จิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จันทร์เป็นดาวธาตุดินประเภท
ดินเลน ทาให้คู่ของเจ้าชะตาเป็นคนช่างเอาอกเอาใจ ชอบช่วยเหลือคนรอบข้าง ดาว ๒ เป็นดาวธาตุดินเลนไป
อยู่ราศีกุมภ์ธาตุลม ทาให้จันทร์ซึ่งเป็นดาวที่หวั่นไหวง่ายอยู่แล้ว ยิ่งหวั่นไหวมากขึ้นไปอีก ไปอยู่ในเรือนราหูก็
หลงเชื่อหลงลมได้ง่ายๆ เป็นภพกดุมภะของเจ้าชะตาก็เท่ากับจะได้คู่ที่ช่างเอาอกเอาใจและจะให้การเกื้อกูลเจ้า
ชะตาอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังโดยเฉพาะในเรื่องการเงิน ไม่สนใจว่าเจ้าชะตาจะเอาไปทาอะไรด้วยซ้า ขอเพียงแต่
เอ่ยปากเป็นไม่มีการปฏิเสธ (ด้วยฐานแห่งดาว ๒ ที่ไปอยู่ในเรือนราหู ทาให้เกิดการหลงเชื่อหลงใหล ได้ปลื้ม)
ตามจังหวะสาม กดุมภะ ๘ ไป ตนุ ๗ ดาว ๘ ได้ตาแหน่งมหาจักร ยิ่งทาให้เขาหลงใหลได้มากเท่าใดก็จะยิ่งได้
มากขึ้นเท่านั้น ดาว ๘ มาอยู่ภพตนุ มาย้าว่าจะอย่างไรเรื่องเงินเรื่องทองนี้มาถึงตัวเจ้าชะตาแน่นอน ตามที่เจ้า
ชะตาอยากจะได้หรือเคยคิดไว้ว่าอยากจะได้มากๆ (ดาว ๗ จะเป็นดาวที่อยากมีอยากได้เหมือนกัน แต่เป็นการ
อยากมีอยากได้ในสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน)

4. ภพกัมมะ กัมมะ ๖ ประ - พันธุ ๓ เกษตร


มาถึงภพกัมมะ ซึ่งเป็นสภาวะในเรื่องงานของเจ้าชะตา ดาวเจ้าเรือนกัมมะเป็นดาว ๖ เป็นดาวธาตุน้า
กล่าวได้ว่าอันที่จริงแล้วเจ้าชะตาเองชอบที่จะทางานที่สบายๆ แต่ดาวเจ้าเรือนกัมมะ ๖ ไปอยู่ราศีเมษธาตุไฟ
เป็นประ ดาว ๖ เป็นประ ความหมายของดาว ๖ ก็ลดลง เมื่อดาว ๖ หมายถึง ความสุข ความสบาย เมื่อเป็น
ประ ทาให้สภาวะเรื่องงานของเจ้าชะตาไม่สบายตามที่ตัวเองต้องการ เมื่อดาว ๖ ไปอยู่ในราศีธาตุไฟ ทาให้ใน
เรื่องงานของเจ้าชะตาต้องมีความกระตือรือร้นต้องคอยผลักดันตัวเองอยู่ตลอดเวลาอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ อยู่ในเรือน
ดาว ๓ ภพพันธุ เป็ นเกษตร ต้องมีการแข่งขัน ต้องมีการต่อสู้ช่วงชิงสูง (ความหมายดาว ๓ และได้ตาแหน่ง
เกษตร) กับคนรอบข้างในสถานที่ทางาน (ความหมายพันธุ ซึ่งหมายถึง คนในครอบครัว เมื่ออ่านเรื่องงาน จึง
อ่านเป็น คนในสถานที่ทางาน) ซึ่งคนเหล่านี้ต่างก็เป็นคนที่มีความเอาจริงเอาจัง เป็นคนที่มีความขยันขันแข็งสูง
เช่นกัน (พันธุ ๓ เป็นเกษตร)

เป็นอย่างไรครับ หวังว่าคงจะไม่มึนน่ะ การอ่านดวงแบบนี้จะทาให้เราสามารถดึงรายละเอียดมาได้มาก


เพื่อประกอบการพิจารณาและพยากรณ์ออกไป หลักการก็มีไม่มาก เพียงดึงความหมายดาว ความหมายธาตุ
และความหมายภพ ออกมาใช้ให้มากที่สุด และผสมความหมายให้กลมกลืนกัน ในการใช้ครั้งแรกๆ จะติดขัด
อยู่บ้าง นานเข้าเมื่อทักษะความชานาญสูงขึ้นการติดขัดก็จะหมดไปเอง หลักการอ่านพื้นดวงตรงนี้เป็นพื้นฐาน
สาคัญที่สุด เมื่อก้าวไปสู่ภาคพยากรณ์จรก็ยังต้องใช้หลักการอ่านตรงนี้อยู่ เป็นการอ่านโครงสร้างเดิมด้วยภพจร
และผสมการอ่านดาวจร เพื่อออกผลการพยากรณ์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ไปด้วยรายละเอียดออกไป

สุดท้ายนี้หวังว่าข้อเขียนของผมคงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากมีข้อสงสัยหรือ
ต้องการทราบอะไรเพิ่มเติม ก็ฝากมาทางโหราเวสม์หรือทางเขษมบรรณกิจหรือที่คุณวิชิต เตชะเกษม ก็ได้ หาก
ข้อเขียนคราวนี้เป็นที่ชื่นชอบแก่ท่านผู้อ่าน ผมก็จะทยอยเขียนมาให้ท่านผู้อ่านได้อ่านอีก อาจจะเป็นเรื่องการ
พยากรณ์จร เรื่องทักษา เรื่องเลขเจ็ดตัว เรื่องเกี่ยวกับทิศชัยภูมิ หรือเรื่องฤกษ์ ฯลฯ ก็แ ล้วแต่ช่วงโอกาสที่
เหมาะสมแล้วกันน่ะครับ ... สวัสดีครับ

You might also like