Professional Documents
Culture Documents
โดย
นายสมชาติ ปิติสุทธิ
การค้นคว้าอิสระนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร
บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปีการศึกษา 2561
ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โดย
นายสมชาติ ปิติสุทธิ
การค้นคว้าอิสระนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร
บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปีการศึกษา 2561
ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
BY
บทคัดย่อ
งานวิ จั ย ชิ้ น นี้ ศึ ก ษาการใช้ สื่ อ โซเชี ย ลมี เ ดี ย ในการต่ อ ยอดธุ ร กิ จ ร้ า นอาหารริ ม ทาง
โดยทําศึกษาเกี่ยวกับการปรับตัวของผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง การยอมรับและตัดสินใจใช้สื่อ
โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาด รวมไปถึงกลยุทธ์และแนวทางการดําเนินธุรกิจใน
ปัจจุบัน ทั้งนี้จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการสื่อสารที่ก้าวหน้า ส่งผลให้สื่อโซเชียลมีเดียเข้ามามี
อิทธิพลต่อธุรกิจร้านอาหารริมทาง (Street Food) รูปแบบการดําเนินธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางต่างปรับตัวตามยุคสมัย โดยใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็น เครื่องมือทาง
การตลาดเพื่อนํามาใช้เป็นช่องทางการสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้า เป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจและเพิ่ม
ประสิทธิภาพการดําเนินธุรกิจให้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ ในขณะที่ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง
บางกลุ่ ม ก็ ยั ง คงดํ า เนิ น ธุ ร กิจ รู ป แบบเดิ มไม่ เ ปลี่ ย นแปลง โดยใช้ แ นวคิ ด แบบจํ า ลองการยอมรั บ
เทคโนโลยี Technology Acceptance Model (TAM) เป็นกรอบการวิจัย รูปแบบการวิจัยเป็นการ
วิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ การสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา
คือ ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครจํานวน 7 ราย
ผลวิ จั ย พบว่ า การยอมรั บและตั ดสิ นใจใช้ สื่ อ โซเชีย ลมี เดีย เป็ นช่อ งทางการสื่ อ สาร
ทางการตลาดของร้านอาหารริมทางเป็นผลมาจากตัวแปรการรับรู้หรือการเชื่อว่าการใช้สื่อโซเชียล
มีเดีย ทําให้ เกิดประโยชน์ ได้แก่ ประโยชน์จากการขยายฐานลู กค้า ประโยชน์จากยอดขาย และ
ประโยชน์จากการสื่อสารหรือสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และอีกตัวแปรหนึ่งคือการรับรู้ความง่ายต่อ
การเรียนรู้และการใช้งาน โดยสามารถแบ่งผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางจากการใช้สื่อโซเชียล
มีเดีย ลักษณะบุคลิกภาพ และเป้าหมายในการดําเนินธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ประกอบการยุค
ดั้งเดิม ผู้ประกอบการยุคใหม่แบบตามกระแส และผู้ประกอบการยุคใหม่แบบนํากระแส ซึ่งแต่ละกลุ่ม
มีการกําหนดกลยุทธ์ในการดําเนินธุรกิจที่แตกต่างกันออกไป
ABSTRACT
กิตติกรรมประกาศ
งานวิ จั ย เล่ ม นี้ ไ ม่ อ าจสํ า เร็ จ ลุ ล่ ว งด้ ว ยดี หากผู้ วิ จั ย ไม่ ไ ด้ ค วามกรุ ณ าจากท่ า น
รองศาสตราจารย์ ดร. เนตรนภา ยาบุชิตะ อาจารย์ที่ปรึกษาที่ได้มอบคําปรึกษาที่ดีและคําแนะนํา
อั น มี ค่ า พร้ อ มให้ ค วามรู้ ที่ ส ามารถนํ า มาประยุ ก ต์ ใ ช้ พร้ อ มทั้ ง ชี้ จุ ด ที่ บ กพร่ อ งระหว่ า งการจั ด
ทําการค้นคว้าอิสระในครั้งนี้ และขอขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัฒน์ธนะ บุญชู ที่กรุณา
เป็นประธานกรรมการสอบการค้นคว้าอิสระฉบับนี้ พร้อมทั้งให้คําแนะนําเพิ่มเติมในการปรับปรุง
เนื้ อหา โดยคําแนะนําจากอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน มีความสํ าคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จนทําให้
งานวิจัยเล่มนี้สําเร็จได้ด้วยดี
งานวิจั ยชิ้นนี้จ ะสํ าเร็จไม่ได้เลย หากไม่ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้ให้สั มภาษณ์
ทุกท่านที่เสียสละเวลาและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการให้สัมภาษณ์เชิงลึก ซึ่งข้อมูลที่ได้มานั้น
เป็นส่วนสําคัญที่ทําให้งานวิจัยนี้เสร็จสมบูรณ์ ขอขอบพระคุณครอบครัวและเพื่อนๆ ทุกคนที่เป็น
กําลังใจอันมีค่าให้เสมอ เป็นเสมือนแรงผลักดันให้การศึกษาในครั้งนี้สําเร็จลุล่วง และก้าวสู่อีกขั้นหนึ่ง
ของชีวิต
สุดท้ายนี้ หากงานวิจัยชิ้นนี้มีข้อผิดพลาดประการใด ผู้วิจัยพร้อมน้อมรับคําติชม และ
ขออภัยมา ณ ที่นี้
นายสมชาติ ปิติสุทธิ
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อภาษาไทย (1)
บทคัดย่ออังกฤษ (2)
กิตติกรรมประกาศ (3)
สารบัญตาราง (7)
สารบัญภาพ (8)
บทที่ 1 บทนํา 1
1.1 ที่มาและความสําคัญของปัญหา 1
1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 6
1.3 ขอบเขตของการวิจัย 6
1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 7
1.5 นิยามคําศัพท์ 7
บทที่ 2 วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 9
2.6 แนวคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพเชิงรุก 22
2.7 แนวคิดเกี่ยวกับโมเดลธุรกิจ (Business Model) 24
2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 26
บทที่ 3 วิธีการวิจัย 34
3.1 กรอบแนวคิดการวิจัย 34
3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 35
3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 36
3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 38
3.5 การวิเคราะห์และนําเสนอข้อมูล 38
บทที่ 4 ผลการวิจัยและอภิปรายผล 39
4.1 ข้อมูลทั่วไปของร้านอาหารริมทาง 39
4.2 การใช้สื่อโซเชียลมีเดียของร้านอาหารริมทาง 43
4.2.1 ที่มาและจุดเริ่มต้นของการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย 43
4.2.2 วัตถุประสงค์ในการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย 44
4.2.3 พฤติกรรมการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย 46
4.2.3.1 ประเภทสื่อโซเชียลมีเดียที่ใช้งาน 46
4.2.3.2 รูปแบบการใช้งาน 46
4.2.3.3 ความถี่ในการใช้งาน 47
4.2.3.4 การตอบสนองต่อความคิดเห็นของผู้บริโภค 48
4.2.4 การยอมรับและการตัดสินใจใช้ 50
4.2.4.1 การรับรู้ประโยชน์ 50
4.2.4.2 การรับรู้การใช้งานง่าย 53
4.2.4.3 การตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดีย 54
4.2.5 การแบ่งกลุ่มผู้ประกอบการตามลักษณะบุคลิกภาพ 55
4.3 ข้อดีและข้อเสีย ของการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย 57
4.3.1 ข้อดีของการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย 58
4.3.1.1 การสื่อสาร หรือ การสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า 58
บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ 75
5.1 สรุปผลการวิจัย 75
5.2 ประโยชน์ของการวิจัย 79
5.3 ข้อจํากัดการวิจัย 80
5.4 ข้อแนะนําสําหรับการวิจัยต่อเนื่อง 80
รายการอ้างอิง 81
ภาคผนวก 84
ประวัติผู้เขียน 86
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
2.1 ข้อดีและข้อเสียของสื่อโซเชียลมีเดีย 13
2.2 เปรียบเทียบการโฆษณาแบบดั้งเดิมและการโฆษณาผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ 15
4.1 ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง 40
4.2 ข้อดีและข้อเสียของการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย 57
4.3 การตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์หลักในการต่อยอดธุรกิจ 66
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้า
1.1 มูลค่าตลาดของร้านอาหารริมทางปี ค.ศ. 2012 – 2017 3
1.2 จํานวนร้านอาหารริมทางในปี ค.ศ. 2012 – 2017 3
2.1 แสดงตัวอย่างการใช้ Social Media ในการประชาสัมพันธ์ผ่าน Facebook page 16
2.2 แสดงตัวอย่างการใช้ Social Media ในการประชาสัมพันธ์ผ่าน Facebook page 16
2.3 แสดงตัวอย่างการใช้ Social Media ในการประชาสัมพันธ์ผ่าน www.wongnai.com 17
2.4 แสดงตัวอย่างการแสดงความคิดเห็นหรือรีวิวผ่าน Social Media 17
2.5 แบบจําลองการยอมรับเทคโนโลยี (Technology Acceptance Model: TAM) 20
2.6 รูปแบบของการเป็นฝ่ายถูกกระทํา 23
2.7 รูปแบบของการเป็นฝ่ายเริ่มต้น 23
3.1 แสดงกรอบการวิจัย 35
4.1 กระบวนการการใช้สื่อโซเชียลมีเดียของร้านอาหารริมทาง 71
บทที่ 1
บทนา
1.1 ที่มาและความสาคัญของปัญหา
เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการสื่อสารและดิจิทัลที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เครือข่าย
สัญญาณอินเตอร์เน็ตมีความเร็วสูง ครอบคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ สามารถ
ทํ า ได้ อ ย่ า งรวดเร็ ว มี ค วามสะดวก และง่ า ยต่ อ การใช้ ง านมากยิ่ ง ขึ้ น รวมถึ ง อุ ป กรณ์ สื่ อ สาร
อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ อย่างสมาร์ทโฟน สามารถใช้งานได้หลากหลายและเข้าถึงกลุ่มคนทุกเพศทุกวัย
อีกทั้งวิธีการชําระเงินที่เปลี่ยนไปเป็นธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Internet Banking) เปลี่ยน
วิธีชําระเงินจากรูปแบบเดิมๆ สู่ธุรกรรมการชําระเงินยุคใหม่ที่ทั้งสะดวกและปลอดภัยส่งผลให้รูปแบบ
การซื้อขายสินค้าและบริการเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
โซเซี ย ลมี เ ดี ย 1 มี บ ทบาทมากขึ้ น เรื่ อ ยๆ ในชี วิ ต ประจํ า วั น ของคนไทย ในปี 2560
ประเทศไทยมีประชากรทั้งหมด 69 ล้านคน มีผู้ใช้งานเครือข่ายอินเตอร์เน็ต 57 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี
2559 ถึง 24% และมีผู้ใช้สื่อโซเซียลมีเดีย เพิ่มขึ้นถึง 11% (Hootsuite และ Wearesocial, 2561)
การเข้าถึงกันระหว่างผู้ประกอบการและผู้บริโภคทําได้ง่ายยิ่งขึ้น ปัจจุบันโซเซียลมีเดียกลายเป็น
เครื่องมือทางการตลาดที่สําคัญอย่างหนึ่ง เพื่อนํามาใช้เป็นช่องทางการสื่อสาร (Communication
Channel) ไปยังกลุ่มเป้าหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนําเสนอข้อมูลสินค้าและบริการให้ผู้บริโภคเกิด
การรับรู้ การยอมรับ และการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปจากเดิม สังเกตได้จากรูปแบบ
การโฆษณาในอดีตนั้น ผู้ประกอบการและนักการตลาดมักจะใช้สื่อโฆษณาแบบดั้งเดิมหรือสื่อโฆษณา
แบบออฟไลน์ เช่ น วิ ท ยุ โทรทั ศ น์ และสื่ อ สิ่ ง พิ ม พ์ ต่ า งๆ แต่ ใ นปั จ จุ บั น พฤติ ก รรมของผู้ บ ริ โ ภค
เปลี่ยนแปลงไป ตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทําให้ผู้บริโภคหันมาใช้อินเตอร์เน็ต
มากยิ่งขึ้น สื่อโซเซียลมีเดียเข้ามามีบทบาทกับผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสาเหตุให้ผู้ประกอบการ
และนักการตลาดต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันต่อผู้บริโภค ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดโดยใช้การ
สื่ อ สารผ่ า นสื่ อ โฆษณาแบบออนไลน์ เ พิ่ ม มากขึ้ น ในขณะที่ ผู้ ป ระกอบการธุ ร กิ จ ร้ า นอาหารทั้ ง
ร้านอาหารขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดย่อม (SMEs) ก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการโฆษณาและ
การประชาสัมพันธ์ จากเดิมในอดีตใช้ช่องทางการสื่อสารแบบออฟไลน์ เช่น รายการอาหาร
1
โซเซียลมีเดีย ในที่นี้หมายถึง เครือข่ายสังคมออนไลน์หรือสื่อสังคมอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็น
สื่อกลางที่ให้บุคคลทั่วไปมีส่วนร่วมสร้าง หรือแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ความคิดเห็น ประสบการณ์
และพูดคุยผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตกับบุคคลที่อยู่ในสังคมเดียวกัน
2
ร้านอาหารริมทาง หรือ Street Food ในที่นี้หมายถึง ร้านขายอาหารและเครื่องดื่มที่พร้อม
ต่อการบริโภคได้ทันที ขายเพื่อการบริโภคในพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่ที่สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายจาก
ท้องถนน เน้นออกแบบตกแต่งแบบง่าย เน้นอาหารจานเดียว สามารถปรุงได้ง่ายและรวดเร็ว
ต่างๆ ที่ได้รับความนิยม เช่น Facebook, Line, Instagram หรือ Wongnai เป็นต้น ผ่านรูปแบบการ
สร้างเนื้อหาและเรื่องราวต่างๆ ทั้งที่ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางสร้างขึ้นเองและกลุ่มผู้บริโภคเป็น
ผู้สร้างขึ้น เช่น การนําเสนอข้อมูลรูปภาพเมนูอาหาร รูปภาพอาหารที่ได้รับความนิยม รวมไปถึง
รู ป ภาพร้ านอาหารและบรรยากาศโดยรอบ อีกทั้งยังมีเนื้อหาอื่น ๆ เช่น สถานที่ตั้ง ราคาอาหาร
ที่จอดรถ เวลาเปิด-ปิดร้าน รวมไปถึงโปรโมชั่นและส่วนลดพิเศษ และเปิดช่องทางให้ผู้บริโภคได้แสดง
ความคิดเห็นหรือบทวิจารณ์ เพื่อให้ผู้ประกอบการเองได้รับรู้ทัศคติของกลุ่มผู้บริโภคที่มีต่อร้านของ
ตนเอง
ด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคเองก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลต่อ
กลยุทธ์ทางการตลาดของผู้ประกอบการธุรกิจ จากการเปิดเผยข้อมูลของ บริษัท ฟู้ดแพนด้า (ไทยแลนด์)
จํากัด ผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่นสั่งอาหารออนไลน์ เปิดเผยข้อมูลของผู้บริโภคเกี่ยวกับพฤติกรรมและ
ทัศนคติ ต่อการสั่ งอาหารออนไลน์ ใ นประเทศไทย พบว่ า อาหารไทยเป็นที่ นิยมมากที่สุ ด ทั้งกลุ่ ม
ผู้บริโภคชาวไทยและต่างประเทศ กลุ่มผู้บริโภคที่สั่งอาหารออนไลน์ในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นคน
รุ่นใหม่สนใจเทคโนโลยี ชื่นชอบการใช้โทรศัพท์มือถือ ถูกใจคุณภาพ ความรวดเร็ว และโปรโมชั่นของ
การสั่งซื้ออาหารออนไลน์ นอกจากนี้ยังเผยข้อมูลเชิงสถิติที่น่าสนใจ คือ คุณภาพของอาหาร ความเร็ว
ในการจัดส่ง และโปรโมชั่น เป็น 3 ปัจจัยหลักที่ทําให้ผู้บริโภคสั่งอาหารทางออนไลน์ และมากกว่าครึ่ง
ของการสั่งอาหารออนไลน์ เป็นการสั่งผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือ แสดงให้เห็นถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค
ที่มีการเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ตลอดเวลา (ไทยรัฐออนไลน์, 2557) จากในอดีตผู้บริโภคจะบอกเล่า
แบบปากต่อปากหรือเป็นการสื่อสารกันระหว่างบุคคลโดยการบอกต่อ (Word of Mouth; WOM) จาก
การเล่าประสบการณ์โดยตรงของตนหรือสอบถามข้อมูลจากบุคคลรอบข้าง หรือต้องขับรถเดินทางไป
ถึงร้านอาหารด้วยตนเองจึงจะทราบข้อมูลต่างๆ ที่ต้องการ แต่ในปัจจุบันผู้บริโภคสามารถค้นหาข้อมูล
ข่าวสารของร้านอาหารได้หลากหลายช่องทางผ่านโซเชียลมีเดีย สามารถดูรีวิวต่างๆ ที่มีทั้งคําเชิญชวน
ชื่นชม หรือบทวิจารณ์ ทั้งรูปภาพอาหาร เมนูอาหาร ราคา และข้อมูลอื่นๆ จากเนื้อหาที่ผู้ประกอบการ
หรือผู้บริโภคบุคคลอื่นๆ ที่เคยมาใช้บริการก่อนหน้าสร้างไว้ เพื่อประกอบการตัดสินใจ อีกทั้งผู้บริโภค
เองสามารถแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ หรือบทวิจารณ์ เพื่อสื่อสารบอกต่อไปยังผู้บริโภคคนอื่นๆ
ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียหรือที่เรียกว่า Electronic Word of Mouth (eWOM) นอกจากนี้เดิมกลุ่มผู้บริโภค
ที่เคยทําหน้าที่เป็นผู้รับสาร (Receiver) ต่อมาเมื่อมีความสามารถในการนําเสนอข้อมูล (Expertise)
พวกเขาจึงผันตัวเองมาเป็นผู้ส่งสาร (Sender) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และแสดง
ความคิดเห็นผ่านการแนะนําเมนูอาหารและร้านอาหารในเว็บไซต์ออนไลน์ที่มีเนื้อหาที่ผู้บริโภคสร้าง
ขึ้นเอง (นัสนันท์ ร่มโพธิ์, 2555) ซึ่งผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางเองจะต้องเรียนรู้และเข้าใจทันต่อ
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการสื่อสารและดิจิทัล รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค
พร้อมทั้งต้องเปลี่ยนแปลงรูปและกลยุทธ์ทางการตลาดของตนเองอยู่ตลอดเพื่อให้ทันต่อยุคที่โซเชียล
มีเดียมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตประจําวัน เพื่อสร้างโอกาสและต่อยอดให้ร้านอาหารริมทางของตนเอง
เติบโตมีรายได้และผลกําไรเพิ่มขึ้น กลายเป็นร้านอาหารยอดนิยมเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายทั้งกลุ่ม
ผู้บริโภคชาวไทยและต่างประเทศ และเพื่อพัฒนาธุรกิจร้านอาหารริมทางขนาดเล็ก (Micro Business)
ของตนให้เติบโตเป็นธุรกิจร้านอาหารเต็มรูปแบบขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ได้
นอกจากประเด็นปัญหาเรื่องพฤติกรรมของผู้โภคที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยที่ส่งผล
ต่อรูปแบบและกลยุทธ์การทําธุรกิจร้านอาหารริมทางแล้ว ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางยังต้องเผชิญ
กับปัญหาในด้านอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการดําเนินธุรกิจในระยะยาว ทั้งด้านภาพลักษณ์ของร้านอาหารริมทาง
ในแง่ล บในเรื่ องของสุ ขาภิบ าลและคุณภาพของสิ นค้า ความสะอาดถูกสุ ขอนามัย ด้านกฎหมาย
กฎระเบียบและข้อบังคับ ทั้งการใช้พื้นที่สาธารณะ การกีดขวางทางสัญจรทั้งถนนและทางเท้า การถูก
ร้องเรียนโดยประชาชนผู้สัญจรและผู้อยู่อาศัย ภาพพจน์ของเมืองทําให้เมืองดูไม่เป็นระเบียบ รวมถึง
การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมกระทบต่อผู้ประกอบการร้านอาหารในระบบในเรื่องของภาษี รวมถึงปัญหา
ด้านเงินลงทุนที่เป็นข้อจํากัดของผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางในการลงทุน เพื่อต่อยอดธุรกิจหรือ
ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ อีกทั้งผู้ประกอบการเองต้องมีความรู้และความเข้าใจ
เกี่ยวกับกฎระเบียบและข้อปฏิบัติที่ผู้ประกอบการร้านอาหารในระบบต้องมี พร้อมทั้งต้องถือปฏิบัติ
อย่ า งเคร่ ง คั ด ทั้ ง กฎหมายเกี่ ย วกั บ การจดทะเบี ย นเพื่ อ การจั ด ตั้ ง ธุ ร กิ จ หรื อ จดทะเบี ย นการค้ า
กฎหมายเกี่ยวกับภาษีสําหรับธุรกิจ กฎหมายเกี่ยวกับการจ้างแรงงาน กฎหมายเกี่ยวกับภาษีป้ายการ
โฆษณาและประชาสัมพันธ์ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจําหน่ายอาหาร ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นปัญหา
อื่นๆ ที่ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางเองจะต้องทําการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อเป็นประโยชน์
ในการวางแผนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
ด้ ว ยเทคโนโลยี และนวั ตกรรมด้ านการสื่ อสารและดิ จิ ทั ล ที่ พั ฒ นาอย่ างรวดเร็ ว และ
พฤติ ก รรมของผู้ บ ริ โ ภคเองก็ เปลี่ ย นแปลงไปจากเดิ ม ส่ ง ผลให้ รู ปแบบการทํ า ธุ รกิ จ ร้ า นอาหาร
เปลี่ยนแปลงไป ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางจําเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่
ตลอดเวลา อีกทั้งต้องเตรียมความพร้อมต่อการเผชิญปัญหาในหลายๆ ด้าน โดยการค้นคว้าอิสระนี้มี
จุดมุ่งหมายหลักเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางที่ต้องการพัฒนาธุรกิจของ
ตนเองให้เติบโตกลายเป็นธุรกิจร้านอาหารแบบเต็มรูป หรือต้องการสร้างรายได้และผลกําไรเพิ่มขึ้นและ
กลายเป็นร้านอาหารยอดนิยมเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยมุ่งเน้นศึกษาการปรับตัวของผู้ประกอบการ
ร้านอาหารริมทางในยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างมากในปัจจุบัน รวมถึงการตัดสินใจใช้สื่อโซเชียล
มีเดียเป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภคเพื่อการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ให้
เกิดการรับรู้และยอมรับ ของผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางที่ใช้ช่องทางดังกล่าวในปัจจุบัน หรือที่
เคยใช้มาก่อนในอดีตและตัดสินใจเลิกใช้ในภายหลัง หรือที่ปฏิเสธการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม
ดังกล่าวตั้งแต่แรก อีกทั้งศึกษาปัญหาและอุปสรรคของผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางที่ขาดความรู้
และความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการสื่อสารและดิจิทัลสมัยใหม่ให้เกิดประโยชน์
ขาดความรู้ ด้ า นการตลาด รวมถึ งการบริ ห ารและระบบการจั ดการภายในหรื อ ปั ญหาอื่ นๆ เช่ น
การบริหารทรัพยากรบุคคลหรือการจัดหาวัตถุดิบ การควบคุมคุณภาพอาหารและการบริการ การบริหาร
การเงินและลงทุน การร่วมมือกับพาร์ตเนอร์หรือตัวกลางผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่นและเว็บไซต์ออนไลน์
รวมถึงเรื่องของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ
จากเหตุผลข้างต้นนี้ ผู้วิจัยจึงมองเห็นความสําคัญและมีความสนใจที่จะทําการศึกษา
เกี่ยวกับการปรับตัวของร้านอาหารริมทางในยุคสื่อโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลในชีวิตประจําวัน และ
การตั ด สิ น ใจใช้ สื่ อ โซเชี ย ลมี เ ดี ย เป็ น ช่ อ งทางการสื่ อ สารทางการตลาดไปยั ง กลุ่ ม ผู้ บ ริ โ ภคของ
ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง และการตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์หลักของกิจการ
พร้อมทั้งศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์แบบจําลองการ
ยอมรับเทคโนโลยี (Technology Acceptance Model: TAM) และแนวคิดเกี่ยวกับการยอมรับ
นวัตกรรม เนื่องจากองค์ประกอบในแต่ละด้านของแนวคิดดังกล่าวมีความสําคัญที่สามารถอธิบาย
กระบวนการตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการต่อยอดธุรกิจของผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางได้
เพื่อนําผลที่ได้มาเป็นแนวทางในการนําข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุง พัฒนา และต่อยอดให้กับธุรกิจ
ร้านอาหารริมทางรายอื่นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสเชิงธุรกิจ ให้ธุรกิจร้านอาหารริมทางเติบโตและประสบ
ความสําเร็จในระยะยาวประสบความสําเร็จในระยะยาว
1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาแนวทางการปรับตัวของร้านอาหารริมทางในยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพล
อย่างมากในปัจจุบัน
2. เพื่อศึกษาปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยีที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็น
ช่องทางการสื่อสารทางการตลาดของร้านอาหารริมทาง
3. เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการสื่อสาร
ทางการตลาดของร้านอาหารริมทาง
1.3 ขอบเขตของการวิจัย
ผลที่ได้จากการศึกษาการปรับตัวของร้านอาหารริมทาง และการใช้สื่อโซเชียลมีเดียใน
การต่อยอดธุรกิจของร้านอาหารริมทางในเขตกรุงเทพมหานคร ดังนี้
1. เพื่อทราบแนวทางการปรับตัว และปัจจัยการยอมรับและตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
เป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาดของร้านอาหารริมทาง
2. การใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาดไปยังกลุ่ม
ผู้บริโภคของร้านอาหารริมทางที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน
3. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการศึกษาสําหรับกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางที่ยัง
ปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน หรือขาดความรู้ ความเข้าใจ ในการใช้เทคโนโลยีและ
นวัตกรรมสมัยใหม่ให้เกิดประโยชน์ ได้ศึกษาและทดลองใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจให้เติบโตและประสบ
ความสําเร็จในระยะยาว
1.5 นิยามคาศัพท์
บทที่ 2
วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ความหมายของ Social Media มาจากคํา 2 คํา ได้แก่ “Social” หมายถึง สังคม ซึ่งใน
ที่นี้จะ หมายถึง สังคมออนไลน์ ซึ่งมีขนาดใหญ่และกว้างขวางในปัจจุบัน และ “Media” หมายถึง สื่อ
ซึ่งก็คือ เนื้อหา เรื่องราว บทความ วีดีโอ เพลง รูปภาพ เป็นต้น ดังนั้นคําว่า Social Media จึงหมายถึง
สื่อสังคมออนไลน์ที่มีการตอบสนองทางสังคมได้หลายทิศทาง โดยผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต หรือก็คือ
เว็บไซต์ที่บุคคลบนโลกนี้สามารถมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้
ราชบัณฑิตยสถาน (2554) ได้บัญญัติคําว่า “Social Media” ไว้ว่า “สื่อสังคม”
หมายถึง สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสื่อกลางที่ให้บุคคลทั่วไปมีส่วนร่วมสร้าง และแลกเปลี่ยนความ
คิดเห็นต่าง ๆ ผ่านอินเตอร์เน็ตได้ สื่อเหล่านี้เป็นของบริษัทต่าง ๆ ให้บริการผ่านเว็บไซต์ของตน
สํานักงานราชบัณฑิตยสภา (2556) ปัจจุบันการสื่อสารของมนุษย์ได้รับการพัฒนาให้
สื่อสารถึงกันอย่างรวดเร็ ว อันเป็นผลมาจากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ได้เข้ามามี
บทบาทในชี วิ ต ประจํ า วั น ของมนุ ษ ย์ ม ากขึ้ น สื่ อ ชนิ ด หนึ่ ง ที่ ผู้ ใ ช้ ส ามารถมี ส่ ว นร่ ว มสร้ า ง และ
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ คือ Social Media คํานี้คณะกรรมการจัดทํา
พจนานุ ก รมศั พ ท์ ค อมพิ ว เตอร์ แ ละเทคโนโลยี ส ารสนเทศราชบั ณ ฑิ ต ยสถาน บั ญ ญั ติ ศั พ ท์ ว่ า
“สื่อสังคม” หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “สื่อออนไลน์” หรือ “สื่อสังคมออนไลน์” ในทางเทคนิคสื่อสังคม
จะ หมายถึง โปรแกรมกลุ่มหนึ่งที่ทํางานโดยใช้พื้นฐานและเทคโนโลยีของเว็บตั้งแต่รุ่น 2.0 เช่น บีโบ
มายสเปซ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ วิกิพิเดีย ไฮไฟฟ์ และบล็อกต่างๆ ในทางธุรกิจเรียกสื่อสังคมว่า สื่อที่
ผู้บริโภคสร้างขึ้น (Consumer Generated Media หรือ CGM) สําหรับกลุ่มบุคคลผู้ติดต่อสื่อสารกัน
โดยผ่านสื่อสังคม ซึ่งนอกจากจะส่งข่าวสารข้อมูลแลกเปลี่ยนกันแล้ว ยังอาจทํากิจกรรมที่สนใจร่วมกัน
ด้วย กลุ่มบุคคลที่ติดต่อสื่อสารกันโดยผ่านสื่อสังคมดังกล่าว คือ Social Network ซึ่งคณะกรรมการ
จัดทําพจนานุกรมศัพท์คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ บัญญัติศัพท์ Social Network ว่า
เครือข่ายสังคม
ข้อดีและข้อเสียของสื่อโซเชียลมีเดีย
ตารางที่ 2.1
ข้อดีและข้อเสียของสื่อโซเชียลมีเดีย
ข้อดีและข้อเสียของสื่อโซเชียลมีเดีย
ข้อดี ข้อเสีย
- สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือเนื้อหาต่างๆ ได้อย่าง - สื่ อ โซเชี ย ลมี เ ดี ย เป็ น สื่ อ ที่ อ ยู่ น อกเหนื อ การ
รวดเร็ว สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลองค์ความรู้ ควบคุมของผู้ใช้งาน ควบคุมได้ยาก เนื่องจาก
ในสิ่งที่ให้ความสนใจร่วมกันได้ ผู้ใช้งานทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลหรือเนื้อหา
- เป็ น คลั ง ข้ อ มู ล ความรู้ แ หล่ ง ใหม่ สามารถให้ ต่างๆ ได้
ความเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยน - ข้อมูลหรือเนื้อหาเรื่องที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เป็น
ความรู้ หรือสอบถามเรื่องต่างๆ เพื่อให้บุคคล ที่พอใจต่อผู้ใช้งานสามารถแพร่กระจายได้อย่าง
อื่นที่มีความรู้ความเข้าใจตอบข้อสงสัย รวดเร็ วและส่ง ผ่า นไปยัง กลุ่ม ผู้ใช้ ง านจํ า นวน
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับบุคคล มากเช่นกัน
อื่น และมีความสะดวกรวดเร็ว - เป็นสังคมออนไลน์ที่มีขนาดใหญ่ หากผู้ใช้งาน
- ใช้เป็นสื่อในการนําเสนอข้อมู ล เรื่องราว หรือ รู้เท่ า ไม่ ถึง การณ์ หรื อ ขาดวิจารณญาณในการ
แสดงผลงาน เพื่ อ ให้ผู้อื่ นได้ เข้ า มารั บชมและ นําเสนอข้อมูล เนื้อหา หรือความคิดเห็นต่างๆ
แสดงความคิดเห็นได้ หากเป็นที่ประทับใจจะ อาจส่งผลกระทบที่รุนแรงเกิดกว่าที่คาดการณ์
ได้รับความนิยมและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว - ยากต่อการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงของ
- ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ สําหรับ ผู้ใช้งาน ผู้ใช้งานบางรายอาจไม่ใช้แสดงตัวตน
บริษัทและองค์กรต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ จริงโดยแอบอ้างบุคคลอื่นหรืออาจไม่มีตัวตนอยู่
ในการดําเนินธุรกิจให้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้ง - การเปิ ด เผยข้ อ มู ล ส่ ว นตั ว หากผู้ ใ ช้ ง านไม่
ไว้ ระมัดระวังในการกรอกหรือแสดงข้อมูลส่วนตัว
- เป็ น สื่ อ กลางในการสร้ า งความสั ม พั น ธ์ ห รื อ ข้อมูลดังกล่าวอาจถูกนําไปเผยแพร่ ใช้ในทาง
ปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งานที่มีอยู่จํานวนมาก และ เสียหาย หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้
กระจายทุกพื้นที่ - เป็ น ช่ อ งทางในการถู ก ละเมิ ด ลิ ข สิ ท ธิ์ ขโมย
ผลงาน หรื อ ถู ก แอบอ้ า งได้ เนื่ อ งจากเป็น สื่ อ
สาธารณะการเผยแพร่ข้อมูลหรือเนื้อหาต่างๆ
ทําให้บุคคลอื่นสามารถเข้าถึงได้
ที่มา: จัดทําโดยผู้เขียน อ้างอิงจาก www.marketingoops.com
ได้เปรียบเทียบการโฆษณาแบบดั้งเดิมและการโฆษณาผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ไว้ว่าทั้งสองวิธีมี
ความแตกต่างกัน ดังตารางที่แสดงนี้
ตารางที่ 2.2
เปรียบเทียบการโฆษณาแบบดั้งเดิมและการโฆษณาผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์
โฆษณาแบบดั้งเดิม โฆษณาผ่านเครือข่ายสังคม
ออนไลน์
ด้านทัศนคติการตลาด สื่อสารแบบทางเดียว (One-Way สื่อสารแบบสองทาง (Two-Way
Communication) เพื่อให้ข้อมูล Communication) เน้นการมี
เกี่ยวกับตราสินค้า ปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภค เพื่อสร้าง
ความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ
มูลค่าของตราสินค้า เน้นให้ผู้บริโภคจดจาตราสินค้า เน้นความสนใจของผู้บริโภคว่า
ผู้บริโภคมีการแบ่งปันหรือมีความ
คิดเห็นอย่างไรต่อสินค้าหรือบริการ
การแบ่งส่วนตลาดและ เน้นข้อมูลเชิงประชากร เน้นด้านพฤติกรรม ทัศนคติและ
กลุ่มเป้าหมาย ความสนใจของผู้บริโภค
การสื่อสาร เน้นการถ่ายทอดฝ่ายเดียว เน้นการโต้ตอบ แลกเปลี่ยนความ
คิดเห็นหรือคําแนะนา
เนื้อหา เนื้อหาที่เป็นทางการจากแต่ละ เนื้อหาที่มีการผสมผสานระหว่าง
ธุรกิจ เนื้อหาที่เป็นทางการกับเนื้อหาจาก
ผู้ที่มีส่วนร่วมในเครือข่ายสังคม
ออนไลน์
ที่มา: จัดทําโดยผู้เขียน อ้างอิงจาก ทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อร้านอาหารที่ทําการสื่อสารผ่านทาง
เครือข่ายสังคมออนไลน์ โดย วรัฏฐา หวังศิริเวช, 2559.
สําหรับรูปแบบการโฆษณาของธุรกิจร้านอาหารในปัจจุบัน มีรูปแบบการโฆษณาผ่าน
เครือข่ายสังคมออนไลน์มากยิ่งขึ้น ผ่านผู้ให้บริการ Application และเว็บไซด์ออนไลน์ต่างๆ ที่ได้รับ
ความนิยมและมีผู้ใช้จํานวนมาก อาทิ Facebook, Line, Instagram หรือ Wongnai เป็นต้น ผ่านรูปแบบ
การสร้างเนื้อหาและเรื่องราวต่างๆ ทั้งที่ผู้ประกอบการร้านอาหารสร้างขึ้นเองและกลุ่มผู้บริโภคเป็น
ผู้สร้างขึ้น โดยมีเนื้อหาและองค์ประกอบ ได้แก่ สถานที่ตั้ง ข้อมูลการติดต่อ เบอร์โทรศัพท์ ช่วงเวลา
เปิด-ปิดร้าน เมนูและราคาอาหาร ที่จอดรถ รูปแบบวิธีการชําระเงิน กลุ่มลูกค้าที่เหมาะสม บริการรับ
2.5 แนวคิดแบบจาลองการยอมรับเทคโนโลยี
รับรู้ว่าใช้ง่ายเป็นเพียงตัวแปรที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการรับรู้ว่ามีประโยชน์ และยิ่งผู้ใช้มีการรับรู้ว่า
มีประโยชน์มาก จะทําให้ความสําคัญของการรับรู้ว่าใช้ง่ายลดน้อยลง จนเมื่อเวลาผ่านไปการรับรู้ว่าใช้
ง่ายอาจไม่มีความสําคัญต่อความตั้งใจในการใช้เทคโนโลยีเลยก็เป็นได้
หากเปรียบเทียบระหว่างแบบจําลองการยอมรับเทคโนโลยีของ Davis กับแนวคิดการ
ยอมรับนวัตกรรมและยอมรับในตัวผลิตภัณฑ์ของ Roger and Shoemaker จะเห็นได้ว่าการรับรู้ว่ามี
ประโยชน์ (Perceived Usefulness) ของเทคโนโลยี สามารถเปรียบเทียบได้กับประโยชน์เชิงเปรียบเทียบ
(Relative advantage) ของคุณลักษณะของนวัตกรรมที่มีผลต่อการยอมรับ เพราะหากเทคโนโลยี
หรือนวัตกรรมใหม่นั้นช่วยให้การดําเนินงานของผู้ใช้งานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จะสร้างการยอมรับ
ในเทคโนโลยีใหม่ได้เร็วมากยิ่งขึ้น และการรับรู้ว่าใช้งานง่าย (Perceived Ease of Use) สามารถ
เปรียบเทียบได้กับความยุ่งยากซับซ้อน (Complexity) ในการใช้งาน ที่ส่งผลต่อการยอมการยอมรับ
ในเทคโนโลยีนั้นๆ
2.6 แนวคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพเชิงรุก
เป็นจริงของสถานการณ์ขณะนั้นและสิ่งที่กําลังจะเกิดขึ้นข้างหน้า เพราะบุคคลมีลักษณะความเป็น
มนุษย์โดยธรรมชาติคนเราจึงมีความสามารถในการควบคุมตนเองทั้งในด้านอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด
และพฤติกรรม ซึ่งถูกผลักดันด้วยการคิดอย่างรอบคอบ คัดสรร และคุณค่าต่อสิ่งที่ตัดสินใจ
บุคลิกภาพเชิงรับ (Reactive) หมายถึง การที่บุคคลเป็นฝ่ายถูกกระทําที่ได้รับอิทธิพล
จากเงื่อนไขทางสภาพแวดล้อม เช่น สภาพสังคม สภาพแวดล้อม การกระทําของคนอื่น บรรยากาศ
รอบตัว และมีสภาวะอารมณ์และพฤติกรรมที่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคนอื่นจนกลายเป็นคนอ่อนแอ
ในการตัดสินใจทําให้คนอื่นสามารถควบคุมได้ง่าย เพราะถูกผลักดันด้วยความรู้สึกและเงื่อนไขต่างๆ
โดยผู้วิจัยได้นําแนวคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพเชิงรุก มาใช้อธิบายลักษณะบุคลิกภาพของ
ผู้ป ระกอบการร้ านอาหารริ มทาง เพื่อแสดงถึงความเชื่อมโยงและความเกี่ยวข้องกันของลั กษณะ
บุคลิกภาพของผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มที่มีความเหมือนกันและแตกต่างกันออกไป
2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ยงยุ ทธ ทองชั ย (2559) ได้ ศึ ก ษาเกี่ ย วกั บปั จ จั ย ที่ ส่ ง ผลต่ อ การยอมรั บ เทคโนโลยี
กรณีศึกษาการจองคิวร้านอาหารผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่นําไปสู่
การยอมรับเทคโนโลยี ของการจองคิวร้านอาหารผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น และเพื่อเสนอแนะแนว
ทางการพัฒนาเทคโนโลยี ที่ช่วยเพิ่มประสิ ทธิภาพให้ กับองค์กรประเภทร้านอาหาร ผลวิจัยพบว่า
ปัจจั ยที่ส่งผลทางตรงต่อการยอมรับการใช้โมบายแอพพลิเคชั่นจองคิวร้านอาหารได้แก่ การรับรู้
ประโยชน์ คือ ประหยัดเวลาในการเดินทาง สามารถจองได้ทุกที่ ประหยัดค่าใช้จ่าย รวมทั้งสามารถ
ทํากิจธุระอื่นๆ ควบคู่ได้ และการรับรู้การใช้งานง่าย คือ ไม่ยุ่งยาก สะดวก สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
ด้านปัจจัยที่ส่งผลต่อความสําเร็จการถ่ายทอดเทคโนโลยี ประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) คุณภาพของ
ข้ อมู ล ซึ่ งเป็ น ปั จ จั ย ที่ สํ าคั ญที่ สุ ด โดยมี การให้ ความสํ าคั ญในเรื่ องของความรู้ พื้ นฐานและความ
เสถียรภาพของข้อมูลการใช้งาน 2) คุณภาพของระบบ มีการให้ความสําคัญกับรูปแบบการใช้งาน
และ 3) ส่วนประสมการตลาด มีการให้ความสําคัญด้านการตลาดเป็นสําคัญ ประกอบไปด้วย มุมมอง
ด้านลูกค้า มุมมองด้านต้นทุน มุมมองด้านความสะดวกสบาย และมุมมองด้านช่องทางการสื่อสาร ซึ่งผล
จากการวิจัยสามารถนําไปใช้เป็นแนวทางในการวางแผนกลยุทธ์การตลาดเพื่อยกระดับแอพพลิเคชั่น
ให้มีความน่าสนใจเป็นที่รู้จัก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการร้านอาหาได้
มาลัยทิพย์ ปรักมะวงศ์ (2544) ได้ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับนวัตกรรม
ส่งอาหารถึงที่ (Delivery) ศึกษาเฉพาะธุรกิจอาหารที่ใช้เบอร์โทรศัพท์หมายเลขเดียวส่งทั่วกรุงเทพมหานคร
โดยมี วั ต ถุ ป ระสงค์ เ พื่ อ ศึ ก ษาปั จ จั ย ด้ า นลั ก ษณะทางกายภาพ รู ป แบบการดํ า เนิ น ชี วิ ต ด้ า นการ
รับประทานอาหารที่บ้า นและที่ทํางาน และลักษณะความเป็นผู้ยอมรับนวัตกรรม พฤติกรรมการ
เปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับบริการส่งอาหารถึงที่ (Delivery) และปัจจัยส่วนผสมทางการตลาดที่มีผลต่อการ
ยอมรับนวัตกรรมบริการส่งอาหารถึงที่ (Delivery) ผลวิจัยในส่วนขั้นตอนการยอมรับนวัตกรรมการใช้
บริการส่งอาหารถึงที่ (Delivery) พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่รู้จักขั้นตอนการใช้บริการและมีความเห็นที่ดี
มากต่อการบริการรับส่งอาหารถึงที่ (Delivery) 3 ปัจจัยแรก ได้แก่ 1) ขั้นตอนการใช้บริการส่งอาหาร
ถึงที่ง่ายและมีความสะดวก 2) การให้บริการส่งอาหารถึงที่ทําให้ไม่เสียเวลาทําหารเอง 3) เวลาในการ
ให้บริการ โดยมีข้อเสนอแนะควรขยายเวลาการบริการในช่วงดึกถึงเที่ยงคืน ด้านพฤติกรรมการใช้
บริการพบว่าเหตุผลหลักที่เลือกใช้บริการนั้น คือ ไม่ต้องเดินทางออกนอกบ้าน สามารถโทรศัพท์สั่งได้
ง่าย และบริการส่งอาหารที่รวดเร็ว ในส่วนพฤติกรรมการเปิดรับสื่อนั้น พบว่าสื่อบุคคลที่มีบทบาท
สําคัญด้านการจูงใจให้เปลี่ยนแปลงทัศนคติและเกิดการยอมรับนวัตกรรม เช่น สื่อวิทยุ ที่มีผลต่อการ
รู้จักขั้นตอนการใช้บริการแต่ไม่มีผลต่อความคิดเห็นและพฤติกรรมการใช้ ในขณะที่สื่อบุคคล เช่น
เพื่อน/เพื่อนร่วมงาน คนในครอบครัว พนักงานส่งอาหาร มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ
แต่ด้อยประสิทธิภาพในการเพิ่มความรู้ ทําให้การเปิดรับข่าวสารผ่านสื่อบุคคลไม่มีความสัมพันธ์กับ
ความรู้เกี่ยวกับการให้บริการแต่มีผลต่อความคิดเห็นและทัศนคติในการใช้บริการ
3
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) ในที่นี้หมายถึง การดําเนินธุรกิจโดยการใช้สื่อ
อิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้ โดยมีวัตถุประสงค์เพิ่มประสิทธิ์ภาพของธุรกิจ
บทที่ 3
วิธีการวิจัย
3.1 กรอบแนวคิดการวิจัย
ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม
แบบจําลองการยอมรับเทคโนโลยี
(Technology Acceptance Model: TAM)
การใช้สื่อ Social Media
- การรับรู้ว่ามีประโยชน์
ในการต่อยอดธุรกิจร้านอาหาร
- การรับรู้ว่าใช้งานง่าย
Street Food
- พฤติกรรมของผู้ใช้งาน
- การใช้งานจริง
3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
และข้อคําถามในการสัมภาษณ์มีโครงสร้างแบบหลวม ไม่มีกําหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับคําถามและลําดับ
ในการสัมภาษณ์อย่างชัดเจน แต่มีการจัดเตรียมประเด็นและแนวคําถามที่สอดคล้องกับเรื่องที่จะ
ศึกษา โดยจะใช้วิธีการพูดคุยสนทนาตามธรรมชาติ (Naturalistic Inquiry) เพื่อให้บรรยากาศในการ
สัมภาษณ์ไม่ตึงเครียดและกดดัน อย่างไรก็ตามผู้สัมภาษณ์ต้องพยายามถามคําถามเพื่อให้ได้คําตอบ
อย่างครบถ้วน โดยเจาะลึกประเด็นใดประเด็นหนึ่งที่สนใจเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกและครบถ้วนสมบูรณ์
มากยิ่งขึ้น
สําหรับแบบสัมภาษณ์ ผู้วิจัยจะกําหนดประเด็นคําถามไว้สาหรับเป็นแนวทางในการ
สัมภาษณ์ เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลได้ครบถ้วนและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยในครั้งนี้
โดยแนวคําถามแบ่งเป็น 4 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 คําถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของผู้ ให้ สัมภาษณ์และร้านอาหารริมทาง โดย
คําถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์มีรายละเอียดดังนี้ ประวัติส่วนตัวของผู้ให้สัมภาษณ์ ความเกี่ยวข้องหรือ
ความสั มพัน ธ์กับร้ าน ประวัติและความเป็นมาของกิจการ ลักษณะการดําเนินธุรกิจ การกําหนด
เป้าหมายของกิจการ กลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน และยอดขายของกิจการ
ส่วนที่ 2 คําถามเกี่ยวกับแนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางใน
ยุคที่สื่อโซเชียลมี เดียมีอิทธิพลในชีวิตประจําวัน โดยคําถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์มีรายละเอียดดังนี้
การประกอบธุรกิจในอดีตและปัจจุบันความแตกต่างและการเปลี่ยนแปลง ส่วนตัวของผู้ให้สัมภาษณ์
ใช้สื่อโซเชียลมีเดียหรื อไม่และใช้อะไรบ้าง ร้านอาหารริมทางใช้สื่ อโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการ
สื่อสารทางการตลาดหรือไม่และใช้อะไรบ้าง ที่มาและจุดเริ่มต้นของการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย วัตถุประสงค์
ของการใช้งาน รูปแบบและลักษณะการใช้งาน ความสัมพันธ์และบทบาทของผู้ให้บริการเว็บไซต์และ
บล็อกเกอร์รีวิวอาหาร และความคิดเห็นเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นหรือการรีวิวของผู้บริโภค
ส่วนที่ 3 คํ า ถามเกี่ ย วกั บ การยอมรั บ และการตั ด สิ น ใจใช้ สื่ อ โซเชี ล มี เ ดี ย เป็ น ช่ อ ง
ทางการสื่อสารทางการตลาดของร้านอาหารริมทาง โดยคําถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์มีรายละเอียดดังนี้
ความคิดเห็นต่อการใช้สื่อโซเชี ยลมีเดีย ใช้สื่อโซเชียมีเดียแล้วแล้วส่งผลกระทบต่อร้านด้านไหนบ้าง
การรับรู้ประโยชน์ของการใช้งาน ความคิดเห็นเกี่ยวกับขั้นตอนและการเรียนรู้การใช้งาน การรับรู้การ
ใช้งานง่าย ทัศนคติที่มีต่อการใช้งานสื่อโซเชียลมีเดีย และการวัดผลตัวชี้วัดหรือผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้
สื่อโซเชียลมีเดีย การวางกลยุทธ์และเป้าหมายในอนาคต
ส่วนที่ 4 คําถามเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคในการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการ
สื่อสารทางการตลาดของร้านอาหารริมทาง โดยคําถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์มีรายละเอียดดังนี้ ที่ผ่าน
มาการใช้ งานสื่ อโซเชีย ลมีเดี ย ส่ งผลกระทบเชิง ลบกับร้านอาหารริ มทางอย่า งไรบ้าง ปัญหาและ
อุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการใช้งานสื่อโซเชียลมีเดีย
3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล
3.5 การวิเคราะห์และนาเสนอข้อมูล
การศึกษาในครั้งนี้ มีการรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกผู้ประกอบการ
ร้านอาหารริมทางและทําการประมวลผลร่วมกับข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยนําข้อมูลที่ได้จากการ
สัมภาษณ์แบบเจาะลึกมาวิเคราะห์เทียบกับแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง และนําเสนอข้อมูลที่ได้ด้วย
วิธีการเขียนพรรณนาวิเคราะห์ (Descriptive Analysis) พร้อมยกตัวอย่างข้อมูลจากการสัมภาษณ์ที่
เกี่ยวข้องในประเด็นที่ต้องการศึกษาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัยในครั้งนี้
บทที่ 4
ผลการวิจัยและอภิปรายผล
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาการปรับตัวของผู้ประกอบการร้านอาหาร
ริ ม ทางในยุ ค ที่ สื่ อ โซเชี ย ลมี เ ดี ย มี อิ ท ธิ พ ลอย่ า งมากในปั จ จุ บั น และเพื่ อ ศึ ก ษาปั จ จั ย การยอมรั บ
เทคโนโลยีที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาด รวมถึงศึกษา
ปัญหาและอุปสรรคในการใช้งาน จากการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth
Interview) แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-Structured) จากกลุ่มตัวอย่างร้านอาหารริมทาง ที่ใช้วิธีการสุ่ม
กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จํานวน 7 ร้าน ซึ่งผู้วิจัยสามารถแบ่งการนําเสนอ
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ของงานวิจัยครั้งนี้ ออกเป็น 5 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของร้านอาหารริมทาง
ส่วนที่ 2 การใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
ส่วนที่ 3 ข้อดีและข้อเสียของการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
ส่วนที่ 4 การตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์หลักในการต่อยอดธุรกิจ
ส่วนที่ 5 ข้อเสนอแนะ
4.1 ข้อมูลทั่วไปของร้านอาหารริมทาง
ผู้วิจัยได้ส่งหนังสือขอความอนุเคราะห์ด้านข้อมูลเพื่อใช้ประกอบศึกษางานค้นคว้าวิจัย
เรื่อง “การใช้สื่อ Social Media ในการต่อยอดธุรกิจร้านอาหาร Street Food” ไปยังผู้ประกอบการ
ร้านอาหารริมทางในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร จํานวน 19 ร้าน
โดยมีเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ ประกอบการร้านอาหารริมทางจากร้านอาหารริมทาง
ยอดนิยมในสื่อโซเชียลมีเดียที่มีการพูดถึงอย่างกว้างขวาง มีการแชร์เนื้อหาและเรื่องราว ยอดผู้เข้าชม
หรือมีจํานวนการแสดงความคิดเห็นหรือการรีวิว หรือร้านอาหารริมทางที่ถูกคัดเลือกให้เป็นร้านยอด
นิยมประจําปีบนเว็บไซต์ออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับอาหารที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับจาก
ผู้ประกอบการและผู้บริโภค ทั้งนี้เกณฑ์ในการเลือกที่สําคัญอีกประการหนึ่ง คือ การให้ความร่วมมือ
ด้านข้อมูลและการเข้าสัมภาษณ์ของร้านอาหารริมทาง ซึ่งมีผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางที่ให้
ความอนุเ คราะห์ตอบรับ หนัง สือดัง กล่า ว จํานวน 7 ร้าน จากการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัว อย่า ง
ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางที่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาดไปยังกลุ่ม
ผู้บริโภคเพื่อการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ให้เกิดการรับรู้และยอมรับ ผู้วิจัยสามารถเก็บรวบรวม
ตารางที่ 4.1
ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง
ลาดับ ข้อมูลทั่วไป
ร้านอาหารริมทาง ผู้ให้สัมภาษณ์: คุณเอ (นามสมมติ) อายุ 56 ปี
ร้านที่ 1 ความเกี่ยวข้อง: เจ้าของกิจการ รุ่นที่ 1
ประเภทอาหาร: หมูทอด และข้าวราดแกง
ดําเนินกิจการมาเป็นระยะเวลา: 16 ปี
จํานวนสาขา: 9 สาขา
ตั้งอยู่บริเวณ: ถ.พระราม 4 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร
(สาขา 1)
ร้านอาหารริมทาง ผู้ให้สัมภาษณ์: คุณบี (นามสมมติ) อายุ 24 ปี
ร้านที่ 2 ความเกี่ยวข้อง: เจ้าของกิจการ รุ่นที่ 3
ประเภทอาหาร: ขนมปังปิ้ง
ดําเนินกิจการมาเป็นระยะเวลา: 40 ปี
จํานวนสาขา: 7 สาขา
ตั้งอยู่บริเวณ: ถ. เยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์
กรุงเทพมหานคร (สาขา 1)
ร้านอาหารริมทาง ผู้ให้สัมภาษณ์: คุณซี (นามสมมติ) อายุ 37 ปี
ร้านที่ 3 ความเกี่ยวข้อง: เจ้าของกิจการ รุ่นที่ 1
ประเภทอาหาร: อาหารตามสั่ง
ดําเนินกิจการมาเป็นระยะเวลา: 7 ปี
จํานวนสาขา: 7 สาขา
ตั้งอยู่บริเวณ: ถ.ประชาธิปก แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร
(สาขา 1)
ตารางที่ 4.1
ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง (ต่อ)
ลาดับ ข้อมูลทั่วไป
ร้านอาหารริมทาง ผู้ให้สัมภาษณ์: คุณดี (นามสมมติ) อายุ 28 ปี
ร้านที่ 4 ความเกี่ยวข้อง: เจ้าของกิจการ รุ่นที่ 3
ประเภทอาหาร: อาหารว่างและขนมหวาน (เครื่องดื่ม ขนมปัง และขนมหวาน)
ดําเนินกิจการมาเป็นระยะเวลา: 55 ปี
จํานวนสาขา: 2 สาขา
ตั้งอยู่บริเวณ: ถ. เพชรบุรี แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร
(สาขา 1)
ร้านอาหารริมทาง ผู้ให้สัมภาษณ์: คุณอี (นามสมมติ) อายุ 32 ปี
ร้านที่ 5 ความเกี่ยวข้อง: เจ้าของกิจการ รุ่นที่ 2
ประเภทอาหาร: เปาะเปี๊ยะสด
ดําเนินกิจการมาเป็นระยะเวลา: 60 ปี
จํานวนสาขา: 1 สาขา
ตั้งอยู่บริเวณ: ถ.รัชดาภิเษก แขวงตลาดพลู เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร
ร้านอาหารริมทาง ผู้ให้สัมภาษณ์: คุณเอฟ (นามสมมติ) อายุ 26 ปี
ร้านที่ 6 ความเกี่ยวข้อง: เจ้าของกิจการ รุ่นที่ 2
ประเภทอาหาร: อาหารทะเล (ซีฟู๊ด)
ดําเนินกิจการมาเป็นระยะเวลา: 30 ปี
จํานวนสาขา: 3 สาขา
ตั้งอยู่บริเวณ: ถ. เจริญรัก แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร
(สาขา 3)
ร้านอาหารริมทาง ผู้ให้สัมภาษณ์: คุณจี (นามสมมติ) อายุ 36 ปี
ร้านที่ 7 ความเกี่ยวข้อง: เจ้าของกิจการ รุ่นที่ 1
ประเภทอาหาร: ผัดไท
ดําเนินกิจการมาเป็นระยะเวลา: 6 ปี
จํานวนสาขา: 1 สาขา
ตั้งอยู่บริเวณ: ถ.ลาดหญ้า แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร
4.2 การใช้สื่อโซเชียลมีเดียของร้านอาหารริมทาง
4.2.1 ที่มาและจุดเริ่มต้นของการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
ที่มาและจุดเริ่ มต้นของการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นใช้ช่องทางการสื่อสารทาง
การตลาดของกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางแต่ละรายมีที่มาและจุดเริ่มต้นที่เหมือนกัน
และแตกต่างกันออกไป ค่อนข้างหลากหลาย จากการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่างร้านอาหารริมทาง
ทั้ง 7 ร้าน พบว่า ที่มาหรือจุดเริ่มต้นของการใช้สื่อโซเชียลมีเดียของกลุ่มตัวอย่างร้านอาหารริมทาง
ส่วนใหญ่มาจากบุคคลอื่นหรือบุคคลภายนอกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับกิจการเป็นผู้สร้างสื่อโซเชียล
มีเดียที่เกี่ยวข้องกับร้านก่อนหน้าที่ร้านจะตัดสินใช้ เช่น เว็บไซต์ออนไลน์ บล็อกเกอร์ นักศึกษา เป็น
ต้น ต่อมาผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการจึงศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและสร้างสื่อโซเชียลมีเดียเป็น
ของร้านเองในภายหลัง เนื่องจากสามารถติดตาม หรือสามารถจัดการให้อยู่ในความดูแลของตนเองได้
ดังกลุ่มตัวอย่างร้านที่ 1, 2, 5 และ 7 ที่มาหรือจุดเริ่มต้นของการใช้สื่อโซเชียลมีเดียของกลุ่มตัวอย่าง
อันดับถัดมา คือ ทายาทกิจการหรือเจ้าของกิจการรุ่น เนื่องจากผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการใน
รุ่นแรกหรือรุ่นก่อนหน้าไม่มีความเชี่ยวชาญ ไม่มีความรู้ และไม่สนใจ ในเทคโนโลยีหรือนวัตกรรม
รวมถึ ง ไม่ มี เ วลาในการศึ ก ษาข้ อ มู ล ในขณะที่ รุ่ น ทายาทกิ จ การนั้ น มี ค วามรู้ แ ละความเข้ า ใจใน
เทคโนโลยี ห รื อ นวั ต กรรมมากกว่ า เนื่ อ งจากส่ ว นตั ว มี ค วามสนใจหรื อ ใช้ สื่ อ โซเชี ย ลมี เ ดี ย ใน
ชีวิตประจําวันอยู่แล้ว จึงได้สร้างสื่อโซเชียลมีเดียของร้านขึ้นมาเพื่อใช้เป็นช่องทางการสื่อสารทางการ
ตลาด ดังกลุ่มตัวอย่างร้านที่ 3, 4 และ 6
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางกล่าวว่า
“ส่วนตัวเจ๊แต่ก่อนไม่เคยเล่นอะไรพวกนี้เลย เราขายของของเรา ไม่มีเวลา จนมี
นักศึกษากลุ่มหนึ่งอย่างหนูเนี่ยมาขอสัมภาษณ์ ขอข้อมูลไปทารายงาน แล้วมาขอทาเพจร้าน เจ๊ก็ตอบ
4.2.3 พฤติกรรมการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
4.2.3.1 ประเภทสื่อโซเชียลมีเดียที่ใช้งาน
จากการสั ม ภาษณ์ ก ลุ่ ม ตั ว อย่ า งผู้ ป ระกอบการร้ า นอาหารริ ม ทางถึ ง
ประเภทสื่อโซเชียลมีเดียที่ใช้งานในปัจจุบัน พบว่า ประเภทของสื่อโซเชียลมีเดียที่แต่ละร้านเลือกใช้
งานมากที่สุด คือ Facebook ซึ่งกลุ่มตัวอย่างทุกร้านมี Facebook Page เป็นของร้านเอง เนื่องจาก
Facebook เป็นสื่อโซเชียลมีเดียที่กลุ่มผู้บริโภคใช้งานมากที่สุด ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง
สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทุกเพศทุกวัย สื่อโซเชียลมีเดียที่กลุ่มตัวอย่างเลือกใช้งานรองลงมา คือ
Line และ Instagram ตามลําดับ นอกจากนี้ยังมีสื่อโซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่กลุ่มตัวอย่างใช้งาน เช่น
Twitter, Google My Business เป็นต้น โดยส่วนใหญ่กลุ่มตัวอย่างเริ่มใช้งานสื่อโซเชียลมีเดียมาเป็น
ระยะเวลาประมาณ 5-6 ปี รวมถึงมีผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางบางรายเริ่มใช้แพลตฟอร์มรูปแบบอี
คอมเมิร์ซ เข้ามารดําเนินธุรกิจร้านอาหารริมทางของตนเองทั้งแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์และแพลต
ฟอร์ตให้บริการส่งอาหารถึงที่หรือเดลิเวอรี่ เช่น Shopee, Line Man, Foodpanda เป็นต้น
นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางยังมีพาร์ทเนอร์ที่ช่วยเป็นช่อง
ทางการสื่อสารทางการตลาด คือ ผู้ให้บริการเว็บไซด์อาหารและบล็อกเกอร์ ผู้ให้บริการรีวิวอาหาร
ผ่านสื่ อออนไลน์ ลั กษณะการใช้บ ริการของกลุ่ มตัวอย่างจะเหมือนกัน คือ ใช้เป็นช่องทางในการ
สื่ อ สารทางการตลาดในการประชาสั ม พั น ธ์ แ ละการโฆษณา โดยที่ ไ ม่ มี ค่ า ใช้ จ่ า ยหรื อ ค่ า บริ ก าร
เนื่องจากการใช้บริการระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ให้บริการเว็บไซด์อาหารและบล็อกเกอร์มีลักษณะ
แบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
4.2.3.2 รูปแบบการใช้งาน
จากการสั ม ภาษณ์ ก ลุ่ ม ตั ว อย่ า งผู้ ป ระกอบการร้ า นอาหารริ ม ทางถึ ง
รูปแบบหรือลักษณะการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย พบว่า กลุ่มตัวอย่างแต่ละร้านต่างมีรูปแบบการใช้งานและ
การสื่อสารที่เหมือนกันและมีความแตกต่างกันในแง่ของการนําเสนอรูปแบบและเนื้อหาที่ใช้ในการ
สื่อสาร โดยรูปแบบการสื่อสารที่กลุ่มตัวอย่างใช้มากที่สุด คือ บทความหรือข้อความ เพื่อใช้สื่อสาร
เรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การแจ้งข่าวสารของร้าน วันหยุด โปรโมชั่น แจ้งออเดอร์ใหญ่ ชี้แจง
ปัญหา เป็นต้น รูปแบบการสื่อสารที่กลุ่มตัวอย่างใช้รองลงมา คือ รูปภาพ โดยมีการนําเสนอรูปภาพ
ในลั กษณะต่างๆ เช่น รู ปอาหาร เมนูอาหาร ภาพบรรยากาศภายในร้าน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี
รูปแบบการใช้แบบอื่น คือ การจัดกิจกรรม โดยการเชิญชวนกลุ่มลูกค้ามาร่วมกิจกรรมกัน เช่น การจัด
ปาร์ตี้พบปะสังสรรค์ การจัดกิจกรรมลดแลกแจกแถม เป็นต้น
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางกล่าวว่า
“เริ่มจากเมื่อก่อนเจ๊ถ่ายรูปอาหารลงว่าเมนูที่มีว่าวันนี้มีอะไรบ้าง แล้ว
เดี๋ยวก็มีคนโทรมาสั่ งว่าเอาอันนี้ ถาดนี้ด้านล่างจองอันนี้ถาดบน... เจ๊จัดปาร์ตี้หมูทอดเชิญเพื่อนๆ
ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางกลุ่มนี้ค่อนข้างให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการร้านเป็นหลักและ
ไม่ค่อยมีเวลา ดังกลุ่มตัวอย่างร้านที่ 5, 6 และ 7
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางกล่าวว่า
“ถ่ายรูปลงทุกวัน จนบางวันเจ๊ไม่ได้ลงก็จะมีคนมาถามแล้วว่าเจ๊หายไป
ไหน” (คุณเอ ร้านอาหารริมทางร้านที่ 1, สัมภาษณ์, 24 พฤศจิกายน 2561)
“ไม่ได้ลงทุกวัน โปรโมทเป็นบางโอกาสแต่จะลงรูปลงคลิปทุกครั้งเวลามี
อะไรใหม่... มีความเคลื่อนไหวทุกอาทิตย์ ” (คุณบี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 2, สัมภาษณ์, 24
พฤศจิกายน 2561)
“ใน Facebook พี่อัพเดทเรื่อยๆ มียิงเข้าไปตลอดก็เกือบทุกวัน “ (คุณซี
ร้านอาหารริมทางร้านที่ 3, สัมภาษณ์, 25 พฤศจิกายน 2561)
“มีอัพตลอดเลยนะ ถ้ามีอะไรใหม่เราจะอัพตลอด และก็จะบอกพวก
น้องๆ ให้คอยลงตลอด” (คุณดี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 4, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2561)
“ไม่บ่อยครับ บางครั้ง จะเป็นการอัพเดทเฉพาะวันหยุด หรือจะโพสต์ออ
เดอร์ที่เป็นออเดอร์ใหญ่ๆ” (คุณอี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 5, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2561)
“ช่วงก่อนหน้านี้บ่อย แต่ตอนนี้ไม่แล้วค่ะ คือ เราไม่ได้ตั้งใจที่จะโฆษณา
แต่ เ ราอ่ ะ ตั้ง ใจจะให้ ลู ก ค้ า รู้ ม ากกว่ า ว่ า วั น นี้เ ราหยุ ด เราตั้ ง ใจจะบอกข่ า วสารมากกว่า อย่ า งใน
Facebook กับ Line@ เราก็บอกเลยว่า มีอะไรลูกค้าพิมทิ้งไว้เหอะ มีอะไรทิ้งไว้ ถ้ามีเวลาจริงๆ จะ
มาตอบ” (คุณเอฟ ร้านอาหารริมทางร้านที่ 6, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2561)
“พี่ไม่ค่อยมีเวลาเข้าไปตอบ ส่วนตัวคือพี่ว่างจริงๆ ตื่นเช้ามาวันไหนว่างก็
จะเปิดดู แล้วก็ตอบๆ ๆ ๆ ย้อนกลับไป วันนึงไม่ถึงชั่วโมง แล้วพี่ก็ต้องไปทาธุระ” (คุณจี ร้านอาหาร
ริมทางร้านที่ 7, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2561)
4.2.3.4 การตอบสนองต่อความคิดเห็นของผู้บริโภค
จากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง พบว่า มี
ประเด็นสําคัญที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย โดยกลุ่มตัวอย่างทุกร้านให้ความสําคัญกับการ
แสดงความคิดเห็นของกลุ่มผู้บริโภคหรือการรีวิวและการตอบสนองต่อความเห็น โดยกลุ่มตัวอย่างแต่
ละร้านให้ความสําคัญกับการเข้าไปดูหรือติดตามการแสดงความคิดเห็นหรือการรีวิวของกลุ่มผู้บริโภค
แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ กลุ่มที่เข้าไปดูและติดตามความคิดเห็น
ของผู้บริโภคอย่างสม่ําเสมอ กล่าวคือ กลุ่มนี้ให้ความสําคัญกับการแสดงความคิดเห็นของผู้บริโภค
อย่างมากทั้งความคิดเชิงบวกและเชิงลบ เนื่องจากต้องการรู้มุมมองของผู้บริโภคเพื่อนํามาพัฒนา
ปรับปรุง และแก้ไขในส่วนที่ผิดพลาด ดังกลุ่มตัวอย่างร้านที่ 1, 2, 3 และ 4 กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มที่เข้า
4.2.4 การยอมรับและการตัดสินใจใช้
การยอมรับและการตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการสื่อสารทางการ
ตลาดของกลุ่มตัวอย่างแต่ละร้านนั้น ผู้วิจัยสามารถสรุปผลการวิจัยออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
4.2.4.1 การรับรู้ประโยชน์
จากการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง
พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความเห็นที่เหมือนกันและแตกต่างกันออกไปเกี่ยวกับการรับรู้หรือการเชื่อว่าการ
ใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการสื่อสารไปยังกลุ่มผู้บริโภคจะทําให้เกิดประโยชน์ จากข้อมูลที่ได้
ในการสัมภาษณ์ผู้วิจัยสามารถสรุปผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ป ระโยชน์ของการใช้สื่อโซเชียล
มีเดียออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 ประโยชน์จากการขยายฐานลูกค้า กล่าวคือ การใช้สื่อโซเชียล
มีเดียเป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาดทําให้ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางสามารถขยายฐาน
ลูกค้าที่มีอยู่เดิมได้ ทําให้ได้พบกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ ที่มีความแตกต่างไปจากเดิม อีกทั้งผู้ประกอบการ
ร้านอาหารริมทางเองยังสามารถกําหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้หากต้องการที่จะใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
ประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เป็นเป้าหมาย และทําให้ร้านเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายใน
กลุ่ม
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางกล่าวว่า
“เจ๊ ว่าส่ว นใหญ่มันเป็นประโยชน์เลยแหละ... มีคนรู้จักเจ๊ รู้จักตัว ตน
ของเจ๊มากขึ้น เจ๊ก็ไปรู้จักคนอื่นด้วย ซึ่งมันก็เป็นผลดีกับร้านเจ๊เอง” (คุณเอ ร้านอาหารริมทางร้านที่
1, สัมภาษณ์, 24 พฤศจิกายน 2561)
“ลูกค้ามีความหลากหลายมากขึ้นค่ะ แต่ว่าก็ยังเจอคนรุ่นเก่าๆ ที่เขากิน
มานานตั้งแต่แรกๆ ก็ยังอยู่ แต่จะเป็นเด็กรุ่นใหม่ นักท่องเที่ยว เยอะกว่าค่ะ” (คุณบี ร้านอาหารริม
ทางร้านที่ 2, สัมภาษณ์, 24 พฤศจิกายน 2561)
“มันก็ทาให้เรารู้จัก ได้รู้จักกลุ่มคนที่มันเป็น Gen Y อ่ะ พวกผู้บริโภครุ่น
ใหม่ เพราะกลุ่ม Gen X อายุไปกันแล้ว เขาไม่ค่อยมาเล่นกัน” (คุณซี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 3,
สัมภาษณ์, 25 พฤศจิกายน 2561)
“คือ สื่อพวกนี้อ่ะ มันจะทาให้ลูกค้ารู้จักเรา เข้าใจเรามากขึ้น แล้วก็ทา
ให้เราเข้าถึงลูกค้าที่เป็น Target ของเราได้” (คุณดี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 4, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม
2561)
“กลุ่มลูกค้าหน้าใหม่มีมาเรื่อยๆ ... ถ้าเป็นรุ่นแม่ก็จะเป็นรุ่นเก่าๆ อายุ
ประมาณ 40 ขึ้นไป เป็นคนแถวนี้และก็ลูกค้าประจา... ตอนนี้ก็มีกลุ่มวัยรุ่นตั้งแต่ 20 ขึ้นไป บางคนมา
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางกล่าวว่า
“เจ๊ว่าส่วนใหญ่มันเป็นประโยชน์เลยแหละ ยอดขายเจ๊ขึ้นชัดเลย ชัดเจน
... เจ๊จัดปาร์ตี้หมูทอดส่วนใหญ่เป็นลูกค้า พวกบล็อกเกอร์กับเจ้าของกิจการที่มา... พวกเจ้าของบริษัท
เขาก็มาสั่งออเดอร์เจ๊ อันนี้เป็นที่มาของออเดอร์ใหญ่ครั้งแรกของเจ๊ ออเดอร์ใหญ่หนึ่งแสน จนทุกวันนี้
ก็ยังสั่งออเดอร์ไปส่งที่บริษัทกันเรื่อยๆ” (คุณเอ ร้านอาหารริมทางร้านที่ 1, สัมภาษณ์, 24
พฤศจิกายน 2561)
“เรารู้ สึ ก ว่ า มั น ได้ ผ ลมากที่ สุ ด แล้ ว ค่ ะ เลยตั ด สิ น ใจท า ยอดขายมั น ก็
เพิ่มขึ้นตามที่เราอยากให้มันเป็น” (คุณบี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 2, สัมภาษณ์, 24 พฤศจิกายน 2561)
“ยอดขายเพิ่มขึ้น หลังๆ มาเนี่ยยิ่งเห็นชัด” (คุณซี ร้านอาหารริมทางร้าน
ที่ 3, สัมภาษณ์, 25 พฤศจิกายน 2561)
“ยอดขายเราชัดเจนนะตั้งแต่ใช้พวกนี้ ” (คุณดี ร้านอาหารริมทางร้านที่
4, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2561)
“การสั่งจอง การออเดอร์ เพิ่มจากเมื่อก่อน” (คุณอี ร้านอาหารริมทาง
ร้านที่ 5, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2561)
“คือ ส าหรั บเอฟแต่ ก่ อนมองว่ าเป็น ประโยชน์ ล้ ว นๆ เลยค่ ะ ไม่ ว่า จะ
กระตุ้น Sales...” (คุณเอฟ ร้านอาหารริมทางร้านที่ 6, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2561)
นอกจากนี้ ผู้วิจัยได้สอบถามถึงตัวชี้วัดหรือผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นว่าการ
ใช้สื่อโซเชียลมีเดียนั้นทําให้กลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางแต่ละร้านได้รับประโยชน์
จากการใช้ สื่อดังกล่าวจริงโดยเป็นตัวชี้วัดหรือผลลัพธ์ที่กลุ่มตัวอย่างแต่ละรายรับรู้ได้ชัดเจน จาก
ข้อมูลที่ได้ผู้วิจัย พบว่า ตัวชี้วัดหรือผลลัพธ์ที่กลุ่มตัวอย่างทั้ง 7 ร้าน มีความคิดเห็นเหมือนกัน คือ
กลุ่มผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นชัดเจน โดยเป็นทั้งกลุ่มผู้บริโภคหน้าใหม่ที่ไม่เคยมารับประทานอาหารที่ร้านซึ่ง
ส่วนใหญ่จะมาตามสื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งกลุ่มผู้บริโภคหน้าใหม่นี้มักจะเดินทางมาจากสถานที่อื่นที่ไม่ใช่
บริเวณใกล้เคียงกับสถานที่ตั้งของร้าน และมีความแตกต่างออกไปจากกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มเดิม เช่น ช่วง
อายุ พฤติกรรมการรับประทานและการสั่งอาหาร นอกจากนี้ตัวชี้วัดหรือผลลัพธ์ที่กลุ่มตัวอย่างมี
ความเห็นเหมือนกันอันดับถัดมา คือ ยอดขาย จากการใช้สื่อโซเชียลมีเดียส่งผลให้ยอดขายของกลุ่ม
ตัวอย่างเพิ่มขึ้นชัดเจน ทั้งจากการขายหน้าร้าน การสั่งจอง หรือการออร์เดอร์ทเี่ พิ่มขึ้น
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางกล่าวว่า
“เจ๊ก็ขายดีขายได้มากกว่าเดิม... อันนี้เป็นที่มาของออเดอร์ใหญ่ครั้งแรก
ของเจ๊ ออร์เดอร์ใหญ่หนึ่งแสน จนทุกวันนี้ก็ยังสั่งออเดอร์ไปส่งที่บริษัทกันเรื่อยๆ” (คุณเอ ร้านอาหาร
ริมทางร้านที่ 1, สัมภาษณ์, 24 พฤศจิกายน 2561)
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางกล่าวว่า
“พอลูกสอนได้แปบเดียว เจ๊ก็หัดเล่นเองเลย แล้วมันก็ไม่ได้ใช้ยากแถม
สนุกด้วย” (คุณเอ ร้านอาหารริมทางร้านที่ 1, สัมภาษณ์, 24 พฤศจิกายน 2561)
“มันง่ายค่ะ จริงคือคนที่ไม่ได้เล่นมันจะดูแบบยุ่งยากวุ่นวาย แต่ถ้าเรา
ตั้งใจลองสาธิตจริงๆ มันไม่ได้อยากเลยค่ะ” (คุณบี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 2, สัมภาษณ์, 24
พฤศจิกายน 2561)
“ความยากหรอ ไม่นะ ส่วนตัวพี่พี่ศึกษาด้านนี้อยู่แล้ว คือ เราโทรศัพท์
อยู่แล้วมันไม่ยากหรอก เล่นเกมส์ยากกว่าเยอะ” (คุณซี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 3, สัมภาษณ์, 25
พฤศจิกายน 2561)
“เราว่าพวกนี้มันง่ายนะ เข้าถึงง่าย ไว แล้วมันก็ไม่มีอุปสรรคอะไรมาก
เลย” (คุณดี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 4, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2561)
“มันสะดวก อย่าง Facebook เนี่ยเข้าไปใช้ได้เลยทุกที่ ง่ายๆ” (คุณอี
ร้านอาหารริมทางร้านที่ 5, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2561)
“ง่ายค่ะ ของเอฟใช้มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่กับที่
บ้านคือต้องเข้าใจว่าบางทีก็ไม่เก็ตเรื่องนี้ค่ะ ” (คุณเอฟ ร้านอาหารริมทางร้านที่ 6, สัมภาษณ์, 1
ธันวาคม 2561)
“ส่วนตัวพี่เล่นมาก่อนแล้ว สมัยนี้ใครๆ ก็เล่นเป็น ไม่มียากหรอก” (คุณจี
ร้านอาหารริมทางร้านที่ 7, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2561)
4.2.4.3 การตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
จากการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง
เกี่ยวกับทัศนคติที่มีต่อการใช้งานและความตั้งใจในการใช้งานซึ่งนําไปสู่การยอมรับและใช้งานจริง
พบว่า กลุ่ มตัวอย่างทั้งหมด 7 ร้าน มีทัศนคติที่มีต่อการใช้และความตั้งใจที่จะใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
เหมือนกัน ซึ่งเป็นผลมาจากตัวแปรการรับรู้หรือการเชื่อว่าการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการ
สื่อสารการตลาดทําให้เกิดประโยชน์ ทั้งในด้านประโยชน์จากการขยายฐานลูกค้า ประโยชน์จากการ
สื่อสารหรือสร้างความสัมพันธ์ ประโยชน์จากยอดขายและสื่อโซเชียลมีเดียยังง่ายต่อการเรียนรู้ และ
การใช้งาน ซึ่งมีอิทธิพลโดยตรงต่อทัศนคติที่มีต่อการใช้และความตั้งใจที่จะใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ดังข้อความ
ที่ได้ยกตัวอย่างไว้แล้วในหัวข้อก่อนหน้า จากการรับรู้ถึงประโยชน์ ความง่ายในการใช้งาน ซึ่งนํามาสู่
ทัศนคติที่มีต่อการใช้และความตั้งใจที่จะใช้สื่อโซเชียลมีเ ดียนั้นได้นําไปสู่การยอมรับและใช้งานจริง
ของกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง
ประโยชน์จากการสื่อสารหรือสร้างความสัมพันธ์ ประโยชน์จากยอดขายและสื่อโซเชียลมีเดียยังง่ายต่อ
การเรี ย นรู้ และการใช้งาน ซึ่งมีอิทธิพลโดยตรงต่อทัศนคติที่มีต่อการใช้และความตั้งใจที่จะใช้สื่ อ
โซเชียลมีเดียนั้น
ผู้ วิ จั ย ได้ วิ เ คราะห์ ถึ ง ความเชื่ อ มโยงและความเกี่ ย วข้ อ งกั บ ลั ก ษณะ
บุคลิกภาพของกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางแต่ละร้านต่างมีความเหมือนกันและ
แตกต่างกันออกไปตามสถานการณ์ที่พบเจอ โดยผู้วิจัยได้แบ่งกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหาร
ริมทางออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ประกอบการเชิงรุก (Proactive) และ กลุ่มผู้ประกอบการเชิงรับ
(Reactive) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1) กลุ่มผู้ประกอบการเชิงรุก (Proactive) กล่าวคือ ผู้ประกอบการ
ร้านอาหารริมทางที่มีลักษณะบุคลิกภาพเชิงรุก จะมีลักษณะที่เล็งเห็นคุณค่าและประโยชน์จากการใช้
นวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ร่วมกับธุรกิจร้านอาหารริมทางของตนเอง พฤติกรรมการใช้งานสื่อ
โซเชียลมีเดียมาจากการตัดสินใจและการยอมรับการใช้งานด้วยตนเอง มีความสนใจ ความทุ่มเท และ
พยายามค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม พร้อมที่จะทดลองเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่รอที่จะทําตามกระแส หรือให้
บุคคลภายนอกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับร้านของตนเองมานําเสนอให้ใช้งาน หรือลอกเลียนแบบผู้อื่น มี
ความคิดสร้างสรรค์และสามารถทําความคิดนั้นให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งกลุ่ มผู้ประกอบการเชิงรุก ได้แก่
ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางร้านที่ 3 และ 4 ที่มีลักษณะบุคลิกภาพที่แสดงถึงความกระตือรือร้น
ต่อการเปลี่ยนแปลง ที่มาและการตัดใจใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาจากตนเอง ให้ความสําคัญอย่างมากต่อ
การปรับตัวให้ทันยุคสมัย มีการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย รวมไปถึงนวัตกรรม
และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่สามารถเพิ่มคุณค่าและสร้างประโยชน์ให้กับร้านอาหารริมทางของตนเองได้
2) กลุ่มผู้ประกอบการเชิงรับ (Reactive) กล่าวคือ ผู้ประกอบการ
ร้านอาหารริมทางที่มีลักษณะบุคลิกภาพเชิงรับ จะมีลักษณะเล็งเห็นคุณค่าและประโยชน์จากการใช้
นวัตกรรมและเทคโนโลยี มาใช้ร่ วมกับธุรกิจร้านอาหารริมทางจากผู้อื่น พฤติกรรมการใช้งานสื่ อ
โซเชียลมีเดียมาจากการยอมรับและการตัดสินใจใช้งานที่ได้รับการกระตุ้นจากอิทธิพลภายนอก ได้แก่
สภาพสังคม สภาพแวดล้อม หรือการกระทําของบุคคลอื่น ที่เป็นแรงกระตุ้นและแรงผลักดันที่ส่งผล
ต่อการตั ดสิ น ใจและการยอมรั บ การใช้ง านสื่ อโซเชีย ลมีเ ดีย ซึ่ง กลุ่ ม ผู้ ประกอบการเชิงรั บ ได้แ ก่
ร้านอาหารริมทางร้านที่ 1, 2, 5, 6 และ 7 ที่มีลักษณะบุคลิกภาพที่แสดงถึงการเป็นผู้ถูกกระทํา คือ
ได้รับแรงกระตุ้นหรือแรงผลักดันจากบุคคลอื่นหรือบุคคลภายนอกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับกิจการเป็น
ผู้สร้างหรือผู้ใช้สื่อโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวข้องกับร้านก่อนหน้าที่ตนเองจะตัดสินใช้ เช่น เว็บไซต์ออนไลน์
บล็อกเกอร์ นักศึกษา เป็นต้น ต่อมาตัว ผู้ประกอบการจึงสร้างสื่อโซเชียลมีเดียเป็นของร้านเองใน
ภายหลัง
จากการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการใช้สื่อโซเชียลมีเดียลของกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการ
ร้านอาหารริมทางทั้ง 7 ร้าน ผู้วิจัยได้สรุปข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกถึงข้อดีและข้อเสียของการใช้
สื่อโซเชียลมีเดียในการเป็นช่องทางการสื่อสารทางตลาด ที่กลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริม
ทางทั้ง 7 ร้าน ต่างให้ความสําคัญอย่างมาก โดยมีรายละเอียดตามตารางที่ 4.2 ดังนี้
ตารางที่ 4.2
ข้อดีและข้อเสียของการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
การใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการเป็นช่องทางการสื่อสารทางตลาด
ข้อดี ข้อเสีย
1) การสื่อสารหรือการสร้างปฏิสัมพันธ์กับ 1) ความเฟ้อของข้อมูลและการขาดความ
ลูกค้า น่าเชื่อถือ
- ช่องทางการติดต่อ สื่อสาร กับลูกค้า - การแสดงความคิดเห็นของกลุ่มผู้บริโภค
- ชี้แจงและอธิบายปัญหาข้อสงสัยต่างๆ - ไม่สามารถควบคุมได้
- ได้รับความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะจาก - การแพร่กระจายของข้อมูลรวดเร็ว
ลูกค้า
2) กลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ หรือ กลุ่มลูกค้ารีวิว 2) การโต้ตอบกับผู้บริโภค
- ความหลากหลายของลูกค้า - อยู่บนพื้นที่สาธารณะ
- การกระจายตัวของลูกค้า - เป็นที่จับตาของผู้ใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
3) พาร์ทเนอร์ (บล็อกเกอร์และเว็บไซด์ 3) ความพร้อมของผู้ประกอบการและ
ออนไลน์) ร้านอาหารริมทาง
- ช่วยประชาสัมพันธ์และโฆษณา - ด้านบุคลากร
- ไม่มีค่าใช้จ่าย - ขนาดพื้นที่ในการให้บริการ
- การบริหารจัดการคิว
- ด้านความรู้และความสามารถของ
ผู้ประกอบการ
ที่มา: จัดทําโดยผู้เขียน
4.3.1 ข้อดีของการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
4.3.1.1 การสื่อสาร หรือ การสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า
จากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง พบว่า
นอกจากการใช้สื่ อโซเชีย ลมีเดีย เพื่อวัตถุป ระสงค์ใ นการประชาสั มพั นธ์ห รือการโฆษณาเพื่อเพิ่ ม
ยอดขายหรือกระตุ้นยอดขายให้กับกิจการแล้วนั้น กลุ่มตัวอย่างยังใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เพื่อการสื่อสาร
และการสร้างปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้า โดยใช้เป็นช่องทางการสื่อสารหรือการติดต่อระหว่างกัน เช่น
เป็ นช่องทางในการสนทนากับลู กค้าเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันทําให้ผู้ บริโภคมีความรู้สึ ก
ใกล้ชิดและเป็นกันเองมากขึ้น ใช้ตอบคําถามหรือชี้แจงข้อสงสัยต่า งๆ หรือเพื่ออธิบายปัญหาที่เกิดขึ้น
ใช้ในการแจ้งข่าวสารหรือเหตุการณ์สําคัญให้ลูกค้าทราบ ในขณะเดียวกันสื่อโซเชียลมีเดียยังเป็น
ช่องทางให้ผู้ป ระกอบการได้รับ ความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะจากลูกค้าที่มาใช้บริการ เพื่อนํามา
ปรับปรุง แก้ไข และพัฒนาธุรกิจของตนเอง นอกจากนี้ยังสามารถใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการจัดกิจกรรม
ร่วมกับลูกค้า เช่น การพบปะสังสรรค์หรือการจัดปาร์ตี้ในโลกออนไลน์ การจัดเกมส์การแข่งขันชิง
รางวัล เป็นต้น ดังตัวอย่างข้อความต่อไปนี้
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางกล่าวว่า
“เจ๊ก็มีเพื่อนใหม่เยอะเลย บางคนมาเป็นเพื่อนในชีวิตจริงตอนนี้... เจ๊จัด
ปาร์ตี้หมูทอดส่วนใหญ่เป็นลูกค้า พวกบล็อกเกอร์ กับเจ้าของกิจการที่มากัน” (คุณเอ ร้านอาหารริม
ทางร้านที่ 1, สัมภาษณ์, 24 พฤศจิกายน 2561)
“เป็น Feedback ค่ะ ดีค่ะมันเป็นประโยชน์ดี แบบเอามาพัฒนาและ
ปรับปรุ เช่น ขนมปังแข็ง” (คุณบี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 2, สัมภาษณ์, 24 พฤศจิกายน 2561)
“คือ มันสร้างปฏิสัมพันธ์ของลูกค้ากับเรา และเราจะตอบสนองลูกค้าได้
ถูก” (คุณดี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 4, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2561)
“ช่วงแรกๆ จัดเกมส์ใน Facebook แจกปู แจกกุ้ง ให้ลูกค้ามาช่วยแชร์
ให้มากดไลค์กดติดตามแฟนเพจเรา ” (คุณเอฟ ร้านอาหารริมทางร้านที่ 6, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม
2561)
“คือสาหรับเอฟแต่ก่อนมองว่าเป็นประโยชน์ล้วนๆ เลยค่ะ... ใช้สร้าง
Relations กับลูกค้า” (คุณเอฟ ร้านอาหารริมทางร้านที่ 6, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2561)
4.3.1.2 กลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ หรือ กลุ่มลูกค้ารีวิว
สื่ อโซเชียลมีเดี ยทําให้ กลุ่ ม ตัว อย่างผู้ ประกอบการร้า นอาหารริ มทาง
สามารถขยายฐานลูกค้าหรือเข้าถึงกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ที่มีความแตกต่างไปจากเดิม กล่าวคือ เดิมลูกค้า
ส่วนใหญ่ของร้านอาหารริมทางจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่อาศั ยอยู่บริเวณใกล้เคียงหรือในพื้นที่ละแวกนั้น
หรื อเป็ น กลุ่ มลู กค้าประจํ าที่รู้ จักและตั้งใจเดินทางมาซื้อ แต่ห ลั งจากกลุ่ มตัวอย่างผู้ ประกอบการ
ร้านอาหารริมทางตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการสื่อสารการตลาด ทําให้กลุ่มลูกค้า
ที่มาใช้บริการเปลี่ยนแปลงไปจากกลุ่มเดิม ซึ่งกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ที่มาใช้บริการส่วนใหญ่จะมาตามการ
รีวิวบนสื่อโซเชียลมีเดียที่มีแพร่กระจายไปทั่ว ทําให้กลุ่มลูกค้ารีวิวนี้มีลักษณะที่หลากหลายไปจาก
กลุ่มลูกค้ากลุ่มเดิม ทั้งช่วงอายุ ที่พักอาศัย หรืออาชีพที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางกล่าวว่า
“ลูกค้ามีความหลากหลายมากขึ้นค่ะ แต่ว่าก็ยังเจอคนรุ่นเก่าๆ ที่เขากิน
มานานตั้งแต่แรกๆ ก็ยังอยู่ แต่จะเป็นเด็กรุ่นใหม่ นักท่องเที่ยว เยอะกว่าค่ะ” (คุณบี ร้านอาหารริม
ทางร้านที่ 2, สัมภาษณ์, 24 พฤศจิกายน 2561)
“มันก็ทาให้เรารู้จัก ได้รู้จักกลุ่มคนที่มันเป็น Gen Y อ่ะ พวกผู้บริโภครุ่น
ใหม่ เพราะกลุ่ม Gen X อายุไปกันแล้ว เขาไม่ค่อยมาเล่นกัน” (คุณซี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 3,
สัมภาษณ์, 25 พฤศจิกายน 2561)
“คือ สื่อพวกนี้อ่ะ มันจะทาให้ลูกค้ารู้จักเรา เข้าใจเรามากขึ้น แล้วก็ทา
ให้เราเข้าถึงลูกค้าที่เป็น Target ของเราได้” (คุณดี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 4, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม
2561)
“กลุ่มลูกค้าหน้าใหม่มีมาเรื่อยๆ ... ถ้าเป็นรุ่นแม่ก็จะเป็นรุ่นเก่าๆ อายุ
ประมาณ 40 ขึ้นไป เป็นคนแถวนี้และก็ลูกค้าประจา... ตอนนี้ก็มีกลุ่มวัยรุ่นตั้งแต่ 20 ขึ้นไป บางคนมา
จากไกลๆ ไม่คุ้นหน้า ตามๆ คนอื่นมา” (คุณอี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 5, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม
2561)
“มีลูกค้าหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมา น่าจะเกินครึ่งหนึ่งเลยของทั้งหมด อย่าง
สมมติว่ามี 22 โต๊ะ เป็นลูกค้าแถวนี้จริงๆ มีแค่ 2 โต๊ะ ที่เหลือเป็นคนที่ตั้งใจเดินทางมากิน เป็นลูกค้า
ใหม่” (คุณเอฟ ร้านอาหารริมทางร้านที่ 6, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2561)
4.3.1.3 บล็อกเกอร์และผู้ให้บริการเว็บไซด์ออนไลน์ หรือ พาร์ทเนอร์
นอกจากนี้ข้อดีด้านสื่อสารการสร้างปฏิสัมพันธ์และกลุ่มลูกค้ารีวิวแล้ว
กลุ่มตัวอย่ างผู้ป ระกอบการร้านอาหารริมทางยังมีพาร์ทเนอร์ธุรกิจที่ช่วยเป็นช่องทางการสื่ อสาร
ทางการตลาดไปยังกลุ่ม ผู้บ ริโ ภคในการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ โดยพาร์ทเนอร์ธุร กิจ ในที่นี้
คือ ผู ้ให้ บ ริ การเว็บ ไซด์อาหารและบล็ อ กเกอร์ ผู้ ใ ห้ บริก ารรีวิ ว อาหารผ่ า นสื่ อออนไลน์ จากการ
สัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง พบว่า ผู้ให้บริการเว็บไซด์อาหารและบล็อก
เกอร์เข้ามามีอิทธิพลต่อการสื่อสารทางการตลาดอย่างมาก เนื่องจากสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่
หลากหลายและมีความเชี่ยวชาญในการทําสื่อการประชาสัมพันธ์และโฆษณา จากการสัมภาษณ์กลุ่ม
ตัวอย่างทุกร้านเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับผู้ให้บริการเว็บไซด์อาหารและบล็อกเกอร์ โดยมีลักษณะการใช้
บริการที่เหมือนกัน คือ ใช้เป็นช่องทางในการสื่ อสารทางการตลาดในการประชาสัมพันธ์และการ
โฆษณา ด้านค่าใช้จ่ายหรือค่าบริการกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ เนื่องจาก
การใช้บริการระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ให้บริการเว็บไซด์อาหารและบล็อกเกอร์มีลักษณะแบบพึ่งพา
อาศัยซึ่งกันและกัน โดยกลุ่มตัวอย่างทุกร้านให้ความสําคัญกับค่าใช้จ่ายเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างผู้
ให้ บ ริ ก ารเว็ บ ไซด์ อ อนไลน์ ห รื อ บล็ อ กเกอร์ ร ายหนึ่ ง มี ก ารเรี ย กเก็ บ ค่ า บริ ก ารกั บ ผู้ ป ระกอบการ
ร้านอาหารริมทางในสัดส่วน 25% ของราคาอาหาร และต้องมีการลงนามในสัญญาร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย
ซึ่งผลตอบรับผู้ให้บริการรีวิวอาหารรายนี้ถูกปฏิเสธการใช้งานหรืออยู่ระหว่างการตัดสินใจยกเลิก
สัญญา เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างเห็นว่าปัจจุบันมีผู้ให้บริการให้ลักษณะเดียวกันอยู่และไม่มีการเรียกเก็บ
ค่าบริการใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งไม่ต้องทําสัญญาระหว่างกัน แสดงให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายและการไม่มีสัญญาที่
เป็นภาระผูกพันระหว่างกันเป็นปัจจัยสําคัญในการตัดสินใจเลือกใช้ผู้ให้บริการเว็บไซด์อาหารและ
บล็อกเกอร์รีวิวอาหารที่จะมาเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกัน
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางกล่าวว่า
“พวกเขาจัดโปรฯกันเอง งบก็ของเขา เจ๊ไม่มีค่าใช้จ่าย และเจ๊ก็ขายดี
ขายได้มากกว่าเดิม... เจ๊บอกเด็กหน้าร้านนะถ้ามีใครมาถามหาให้ถามไปเลยเสียตังไหม ถ้าเสียบอกเจ๊
ไม่อยู่ ไม่เอา” (คุณเอ ร้านอาหารริมทางร้านที่ 1, สัมภาษณ์, 24 พฤศจิกายน 2561)
“ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ เขามาขอความร่วมมือ ร้านเรามีชื่ออยู่แล้วเขามาดึง
ร้านเราเพื่อโปรโมทเขา เหมือนพึ่งพากันน่ะค่ะ เราเลยไม่มีค่าใช้จ่ายตรงนี้ ” (คุณบี ร้านอาหารริมทาง
ร้านที่ 2, สัมภาษณ์, 24 พฤศจิกายน 2561)
“ส่วนมากเราไม่มีค่าใช้จ่ายนะ เราโชคดี คือ ของพี่อ่ะถ้าเสียตังพี่ไม่ทา
มันไม่คุ้ม... ส่วนตัวร้านพี่ถ้ามีโปรโมชั่นเข้ามานะ ถามเลยคุณรับผิดชอบส่วนลดนี้ไหม ถ้ารับเราเอาเลย
ถ้าไม่เราไม่เอาเลย เราจะไม่เสียตังเพิ่ม” (คุณซี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 3, สัมภาษณ์, 25 พฤศจิกายน
2561)
“ตรงนี้มันเกิดจากพ่อแม่เราทาร้านมานานจนค่อนข้างมีชื่อ พวกเพจพวก
บล็อกเกอร์พวกนี้ก็จะมาคอยติดตามเราเอง โทรมาถามความเคลื่อนไหวเราตลอด ไม่เสียค่าใช้จ่าย...
มันก็มีความสาคัญนะ เป็นความสัมพันธ์แบบเขาก็ได้ เราก็ได้ มันก็ Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย” (คุณดี
ร้านอาหารริมทางร้านที่ 4, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2561)
”มีรายหนึ่งเข้ามาเจรจาอยู่แต่จะขอหัก 25% จากเรา อยู่ดีๆ มาขอหัก
เรา 25% เราอยู่แบบนี้เราก็ขายได้ เราว่ามันไม่จาเป็นต้องไปเสีย 25% ให้ใคร คือตอนนี้มันก็มีคนอื่น
ทาอยู่ไง ไม่ต้องเสียอะไรเลย” (คุณดี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 4, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2561)
เพิ่ ม เติ ม ในประเด็ น ดั ง กล่ า วบนพื้ น ที่ ส่ ว นตั ว ที่ ผู้ ใ ช้ สื่ อ โซเชี ย ลมี เ ดี ย ทั่ ว ไปไม่ ส ามารถมองเห็ น ได้
เนื่องจากต้องระมัดระวังบุคคลภายนอกที่อาจให้ความสนใจจนทําให้ประเด็นดังกล่าวแพร่กระจายและ
ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของร้านมากยิ่งขึ้น
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางกล่าวว่า
“เคยมีคนไปแชร์ในพันทิปวันเดียวแชร์ไปทั่วเลย แต่เจ๊โชคดีพวกลูกค้าเจ๊
เข้าไปแก้ตัวกันแทนเจ๊... เจ๊เคยนะทักไปคุยส่วนเลย ส่วนตัวดีกว่าไม่มีใครมาแจม” (คุณเอ ร้านอาหาร
ริมทางร้านที่ 1, สัมภาษณ์, 24 พฤศจิกายน 2561)
“มีเข้าไปเรื่อยๆ ส่วนมากเป็น Feedback ค่ะ... ดีค่ะมันเป็นประโยชน์ดี
แบบเอามาพัฒนาและปรับปรุง... เช่น ขนมปังแข็ง เราเองก็ไปแนะนาค่ะว่าถ้าซื้อไปอย่าให้ไปโดน
อากาศ หรื อ มี ม าแจ้ ง พฤติ ก รรมของพนั ก งานที่ บ างที ท าพฤติ ก รรมไม่ เ หมาะสม เราก็ จ ะถาม
รายละเอียดเพิ่มเติม ดีค่ะเป็นช่องทางช่วยบีสอดส่อง” (คุณบี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 2, สัมภาษณ์,
24 พฤศจิกายน 2561)
“ทางลบก็มี ต้องมีดิ แต่ต้องระมัดระวังเวลาตอบอะไรไป หรือไม่ก็ไม่
ตอบเลย” (คุณซี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 3, สัมภาษณ์, 25 พฤศจิกายน 2561)
“เราเช็คตลอด คอมเม้นไหนดีเราก็เข้าไปขอบคุณทุกอัน คอมเม้นไหนไม่
ดีเราก็เข้าไปขอโทษนะ ไปอธิบาย แต่บางครั้งก็โดนโต้กลับมาอีกเราก็จะหยุดทันที บางทีตอบแรงไปก็
จะมีประเด็นอะไรใหม่ๆ มาอีก... ยกตัวอย่างนะ เช่น รอคิวนาน ไม่มีพนักงานเคลียโต๊ะ พนักงานไม่มี
Mindset แต่เราก็ทาอะไรได้ไม่มาก ก็พยายามเข้าไปขอโทษและก็อธิบาย แล้วกลับมาแก้ไขในส่วน
ของเรา มาเตือนพนักงาน แต่ถ้ามันแรงๆ หน่อยเราจะทักส่วนตัวไป” (คุณดี ร้านอาหารริมทางร้านที่
4, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2561)
“ความเห็นทางลบมีเยอะแยะเลยค่ะ ส่วนมากจะตอบกลับในลักษณะ
อธิบายมากกว่า แต่คือเราไม่รู้ว่าลูกค้าจะมาแนวไหน บางคนก็โต้ตอบกับมาเอาสนุกปาก... คือเราแค่
อยากจะอธิบายให้ เขารู้ให้เข้าใจในระบบทางานของเรามันเป็นแบบนี้ บางทีก็ไม่ฟัง” (คุณเอฟ
ร้านอาหารริมทางร้านที่ 6, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2561)
“เยอะมากทั้งเรื่องอาหาร ทั้งเรื่องส่ วนตัว ...ก็มีบ้างนานๆ ครั้ง บางที
เมื่อก่อนต้องมีสอนมวยกันในเน็ตเลยต้องเอาให้ลูกค้ามันยอม... แต่ก็พยายามอยู่เฉยๆ ไม่อยากสนใจ”
(คุณจี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 7, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2561)
4.3.2.3 ความพร้อมของผู้ประกอบการและร้านอาหารริมทาง
ความพร้อมของผู้ประกอบการหรือร้านอาหารริมทางในที่นี้ หมายถึง
ปัจจัยด้านการบริหารจัดการภายในของตัวผู้ประกอบการและร้านอาหารริมทางที่มีความพร้อมต่อการ
ใช้ สื่ อ โซเชี ย ลมี เ ดี ย ในการต่ อ ยอดธุ ร กิ จ ร้ า นของตนเอง จากการสั ม ภาษณ์ เ ชิ ง ลึ ก กลุ่ ม ตั ว อย่ า ง
ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง พบว่า กลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการบางรายที่ตัดสินใจยอมรับการใช้
สื่อโซเชียลเดียในการต่อยอดธุรกิจมีประสบการณ์และความคิดเห็นต่อการใช้สื่อโซเชียลมีเดียกับความ
พร้อมของผู้ประกอบการหรือร้านอาหารริมทางเอง ยกตัวอย่างเช่น ความพร้อมในการรองรับหรือดูแล
กลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ เช่น
ความพร้อมด้านบุคลากรในการให้บริการ เช่น พนักงานผู้ให้บริการ พ่อ
ครัวหรือแม่ครัวที่ทําอาหาร ที่ต้องรองรับกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งมี
ผลกระทบต่อคุณภาพการบริการเนื่องจากพนังงานบริหารไม่เพียงพอ หรือบางครั้งส่งผลไปถึงคุณภาพ
อาหารที่เกิดจากความเร่งรีบในการทําอาหารให้ทัน
ความพร้อมของขนาดของร้านที่รองรับลูกค้าในปัจจุบัน เช่น ขนาดพื้นที่
ที่ให้บริการลูกค้า จํานวนโต๊ะ จํานวนเก้าอี้ ที่มีเพียงพอต่อการรองรับกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น โดย
ส่วนใหญ่แล้วนั้นร้านอาหารริมทางจะมีพื้นที่ในการให้บริการค่อนข้างจํากัด จํานวนลูกค้าที่มากขึ้น
ส่งผลต่อความหนาแน่ซึ่งพื้นที่ในปัจจุบันไม่สามารถรองรับได้
ความพร้อมในการบริหารจัดการการต่อคิวหรือการจัดอันดับก่อนหลังใน
การให้บริการ กลุ่มตัวอย่างหลายร้านเผชิญปัญหาการบริหารกลุ่มลูกค้าที่มารอการบริการที่มีจํานวน
มาก ทั้งการลัดคิว แซงคิว หรือแจ้งพนักงานว่ากําลังต่อคิวอยู่แต่ตัวไม่อยู่ไปรอสถานที่อื่นไม่ยอมยืนรอ
คิว
ความพร้อมด้านความรู้และความสามารถของผู้ประกอบการ เป็นปัจจัย
ส่วนตัวของผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางเองที่ไม่สามารถบริหารจัดการหรือพัฒนาธุรกิจของตนเอง
ให้ก้าวผ่านข้อจํากัดต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น การวางแผนการบริหารจัดการการให้บริการ การ
ขยับขยายกิจการ การขยายสาขา เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
ประชาสัมพันธ์และโฆษณา กลุ่มตัวอย่างบางรายมีประสบการณ์ที่เหมือนกัน คือ ไม่สามารถบริหาร
จัดการกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มขึ้นได้ ทําให้เกิดปัญหาและผลกระทบตามมาในภายหลัง ในขณะเดียวกันก็มี
กลุ่มตัว อย่างบางรายที่สามารถก้าวผ่านข้อจํากัดต่างๆ นี้ได้ด้วยการบริหารจัดการที่มีระบบทําให้
สามารถรองรับลูกค้ากลุ่มใหม่นี้ได้
จากประเด็นข้อเสียของการใช้งานสื่อโซเชียลมีเดียในด้านความพร้อม
ของผู้ประกอบการและร้านอาหาร ทั้งด้านบุคลากรในการให้บริการ ด้านพื้นที่การรองรับลูกค้า ด้าน
บริหารจัดการคิว และด้านความรู้ความสามารถของผู้ประกอบการเอง ที่เป็นข้อจํากัดในการใช้สื่อ
โซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์และโฆษณาร้าน กลุ่มตัวอย่างหลายร้านมีประสบการณ์จากการที่
กลุ่มลูกค้าหน้าใหม่หรือกลุ่มลูกค้ารีวิวที่เดินทางมาใช้บริการตามกระแสในสื่อโซเชียมีเดียจํานวนมาก
จนไม่ ส ามารถให้ บ ริ ก ารหรื อ จั ด การกั บ สถานการณ์ ดั ง กล่ า วได้ จึ ง เกิ ด เป็ น ปั ญ หาต่ า งๆ ตามมา
ตัวอย่างเช่น กลุ่มลูกค้าหน้าใหม่หรือกลุ่มลูกค้ารีวิวเกิดความไม่พอใจที่ต้องรอคิวเป็นระยะเวลานาน
ไม่พอใจการให้บริการ ไม่พอใจกับรสชาติอาหาร อาหารไม่ถูกปากไม่เป็นไปตามที่มีการรีวิวกัน ไม่
คุ้มค่าการรอคอย เป็นต้น และนําความรู้สึกเหล่านี้ไปวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นบนสื่อโซเชียล
มีเดียทําให้ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของร้านตามมา ดังตัวอย่างความคิดเห็นกลุ่มตัวอย่างดังนี้
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางกล่าวว่า
“ก่อนหน้านี้ช่วงแรกๆ การใช้สื่อพวกนี้สนุกมากเลยนะ... เราคิดว่าถ้าเรา
จะใช้โปรโมทร้านอ่ะก็ต่อเมื่อเราต้องพร้อมที่จะโปรโมท อะไรก็แล้วแต่ถ้ายังมีข้อจากัดอยู่เราก็ไม่ควร
ทา อย่างเช่น ตอนนี้คนเยอะมากๆ ค่ะ เราดูแลลูกค้าเพิ่มไม่ได้อยู่แล้วใช่ไหมค่ะ คือ ถ้าเราไม่ปรับปรุง
ให้รองรับคนได้มากกว่านี้ ไวกว่านี้ ดูแลอะไรได้มากกว่านี้ เราก็อยู่แค่นี้ไป คือแค่นี้ลูกค้าก็รอชั่วโมง
ครึ่ง สองชั่วโมงอยู่แล้วถ้าจะโปรโมทหรือจะทาอะไรให้ลูกค้าเพิ่มขึ้นเราก็ดูแลได้ไม่ดีพอ แล้วก็ไปบ่น
กัน” (คุณเอฟ ร้านอาหารริมทางร้านที่ 6, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2561)
“พวกนี้ปัญหาเยอะ เราขายอย่างงี้เป็นแบบนี้มานานแล้ว คนอื่นเขาก็ยืน
รอกันได้ มาแค่รอบเดียวแล้วไปวิจารณ์ บางคนเคยมาจริงหรือป่าวก็ไม่รู้ ไม่พอใจอะไรเดินมาบอก
ตรงๆ สิ... พี่ผัดแค่นี้ทุกวันพี่พอใจแล้ว มีคนชวนทาสาขาเยอะ มาขอสูตรก็เยอะ แต่แค่นี้ก็วุ่นวายอยู่
แล้วดูเด็กพี่สิแค่นี้ก็เดินกันวุ่นทั้งคืน” (คุณจี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 7, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2561)
4.4 การตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์หลักในการต่อยอดธุรกิจ
4.4.1 ปัจจัยเชิงสาเหตุในการตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์ในการต่อยอด
ธุรกิจ
จากการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง
ทั้งหมด 7 ร้ าน ผู้วิจั ย ได้ทราบถึงการตัดสิ นใจยอมรับและการใช้สื่ อโซเชียลมีเดียในการเป็นช่อง
ทางการสื่อสารทางการตลาดของกลุ่มตัวอย่างแต่ละร้านเนื่องมาจาการรับรู้ถึงประโยชน์และความง่าย
ในการใช้งานนั้น นอกจากนี้ผู้วิจัยได้สอบถามถึงแนวทางการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการใช้เป็นกลยุทธ์
เพื่อต่อยอดธุรกิจร้ านอาหารริมทางแต่ล ะร้าน จากข้อมูลที่ได้ในการสั มภาษณ์ผู้วิจัยสามารถสรุป
ผลการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางที่ใช้สื่อโซเชียลมี เดีย
เป็นกลยุ ทธ์หลักในการต่อยอดธุรกิจหรือกลุ่มผู้ประกอบการยุคใหม่ และกลุ่มที่ 2 ผู้ประกอบการ
ร้านอาหารริมทางที่ไม่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์หลักในการต่อยอดธุรกิจหรือกลุ่มผู้ประกอบการ
ยุคดั้งเดิม โดยทั้ง 2 กลุ่ม มีลักษณะดังนี้
ตารางที่ 4.3
การตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์หลักในการต่อยอดธุรกิจ
รายละเอียด การตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์หลักในการต่อยอดธุรกิจ
ใช้: กลุ่มผู้ประกอบการยุคใหม่ ไม่ใช้: กลุ่มผู้ประกอบการยุคดั้งเดิม
กลยุทธ์หลัก การตลาดแบบเกาะกระแส การตลาดแบบปากต่อปาก
ผู้ประกอบการ ร้านที่ 1, 2, 3 และ 4 ร้านที่ 5, 6 และ 7
ที่มา: จัดทําโดยผู้เขียน
กลุ่มที่ 1 ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางที่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์
หลักในการต่อยอดธุรกิจ หรือกลุ่มผู้ประกอบการยุคใหม่ กล่าวคือ กลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้ตัดสินใจใช้สื่อ
โซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์หลักในการดําเนินธุรกิจให้บรรลุไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งการขยายกลุ่ม
ลูกค้าไปยั งกลุ่ มลูกค้าหน้ าใหม่ที่แตกต่างจากกลุ่ มเดิม การประชาสัมพันธ์ให้ ร้านเป็นที่รู้จักอย่าง
กว้างขวาง รวมไปถึงการรักษายอดขายและเพิ่มยอดขายของร้าน เรียกได้ว่าเป็น ผู้ประกอบการยุค
ใหม่ ที่สามารถปรับตัวและตามกระแสสังคมได้ทัน ดังกลุ่มตัวอย่างร้านที่ 1, 2, 3 และ 4 ดังข้อความ
ต่อไปนี้
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางกล่าวว่า
“ใช้ เจ๊ก็พยายามอัพบ่อยๆ พยายามไม่หาย เพราะถ้าหายลูกค้ าก็มาถามหา...
ความเป็นตัวตน ความจริงใจ ที่เราได้สื่ออกไปให้ทุกคนรับรู้... ” (คุณเอ ร้านอาหารริมทางร้านที่ 1,
สัมภาษณ์, 24 พฤศจิกายน 2561)
“สมัยก่อนก็ใช้ปากต่อปากค่ะ คือ คนก็เยอะค่ะ แต่มันไม่ได้เยอะเหมือนปัจจุบัน
คือพวกนี้นี่แหละจะเป็นตัวดึงคนภายนอกที่ไม่ใช่คนแถวนี้มาที่เรา... เป็นกลยุทธ์หลักเลยค่ะตอนนี้ ”
(คุณบี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 2, สัมภาษณ์, 24 พฤศจิกายน 2561)
“เราต้องเกาะอยู่กับโซเชียล ต้องเอาให้ได้ ตอนนี้เราก็มีลงขายออนไลน์เพิ่มขึ้น
รายได้ก็ดี เพราะถ้าวันหนึ่งลูกค้าลดลงหรือเราไม่มีหน้าร้านขึ้นมาเนี่ย ยอดขายเราก็ยังอยู่ ” (คุณซี
ร้านอาหารริมทางร้านที่ 3, สัมภาษณ์, 25 พฤศจิกายน 2561)
“เราว่าก็โซเชียลนี่แหละ ที่จะเป็นสื่อที่ใช้ประชาสัมพันธ์หลักของร้าน เราตั้งใจว่า
ทุกไตรมาสจะเพิ่มเมนูใหม่ๆ เข้ามา อยากให้มันเป็นแบบ Festival เป็นกระแส แล้วเมนูเก่าก็ Leave
ออกไป” (คุณดี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 4, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2561)
จากความเห็นของกลุ่มตัวอย่างข้างต้นที่จัดเป็นกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารริม
ทางที่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์หลักในการต่อยอดธุรกิจ เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้รับรู้ถึง
ประโยชน์และความง่ายในการใช้งานสื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งหากพิจารณาวัตถุประสงค์และพฤติกรรมการ
ใช้สื่อโซเชียลมีเดียของกลุ่มนี้แล้วนั้นจะพบว่า กลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้มีวัตถุประสงค์หลักที่เหมือนกัน คือ
การใช้สื่อโซเชียมีเดียในการประชาสัมพันธ์หรือโฆษณาไปยังกลุ่มผู้บริโภคเพื่อสร้างการรับรู้ในสิ่งที่
ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางต้องการจะสื่อสารออกไปและเพื่อเพิ่มยอดขายหรือกระตุ้นยอดขาย
ให้ กับ กิจการ เช่น ประกาศโปรโมชั่นหรือส่ วนลด แจ้งการจัดกิจกรรมของทางร้าน หรือการแจ้ง
เมนูอาหารใหม่ของร้าน ด้านความถี่ในการใช้งานกลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้มีลักษณะการใช้งานสื่อโซเชียล
มี เ ดี ย อยู่ ใ นกลุ่ ม ที่ มี ค วามเคลื่ อ นไหวทุ ก วั น และกลุ่ ม ที่ มี ค วามเคลื่ อ นไหวค่ อ นข้ า งบ่ อ ย คื อ
ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางให้ความสําคัญอย่างมากกับจากอัพเดทข้อมูลต่างๆ ในสื่อโซเชียล
มีเดีย รวมถึงหากพิจ ารณาการให้ความสําคัญกับความคิดเห็นของผู้บริโภคแล้ว นั้นจะพบว่า กลุ่ ม
ตัวอย่างนี้ให้ความสําคัญกับการเข้าไปดูหรือติดตามความคิดเห็นหรือการรีวิวของกลุ่มผู้บริโภคอย่าง
สม่ําเสมอทั้ งความคิด เห็ น ในดีแ ละไม่ดี เนื่ องจากต้อ งการรู้มุม มองของผู้ บ ริโ ภคเพื่อ นํามาพัฒ นา
ปรับปรุง และแก้ไขในส่วนที่ผิดพลาด
กลุ่มที่ 2 ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางที่ไม่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์
หลักในการต่อยอดธุรกิจ หรือกลุ่มผู้ประกอบการยุคดั้งเดิม กล่าวคือ กลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้ตัดสินใจใช้
สื่อโซเชียลมีเดียแต่ไม่ใช้เป็นกลยุทธ์หลักในการดําเนินธุรกิจ โดยกลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้มีความเห็นว่าสื่อ
โซเชียลมีเดียสร้างผลกระทบทางลบหรือผลเสียให้กับตนเองมากกว่าการสร้างประโยชน์ อีกทั้งยังมอง
ว่าการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นการตลาดแบบฉาบฉวยและตามกระแส หากวันหนึ่งมีกระแสใหม่เข้ามา
กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงและตามกระแสใหม่ในทันที จึงลดบทบาทของการใช้สื่อ
โซเชียลมีเดียลง โดยมุ่งเน้นไปที่การใช้วิธีการตลาดแบบดั้งเดิม คือ ปากต่อปาก ดังกลุ่มตัวอย่างร้านที่
5, 6 และ 7 ดังข้อความต่อไปนี้
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางกล่าวว่า
“จะใช้เป็นสื่อหลักไหม คงไม่ครับ ปากต่อปากดีกว่า ใช้ปากต่อปากเหมือนเดิม...
คือลูกค้าที่ร้านส่วนมากจะเป็นการซื้อฝาก ไม่ได้ซื้อกิน เพราะฉะนั้นเขาจะเป็นลูกค้าที่ชอบอยู่แล้วหรือ
ลูกค้าประจา ซึ่งสมัยก่อ นกับ ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม คือคนกลุ่ มนี้ต่างหากที่จะช่วยเรา” (คุณอี
ร้านอาหารริมทางร้านที่ 5, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2561)
“คือก็ยังใช้อยู่แหละค่ะ ก่อนหน้านี้ช่วงแรกๆ การใช้สื่อพวกนี้สนุกมากเลยนะ...
แต่ว่าตอนนี้ ไม่มีเวลาว่างมาโฆษณาแล้วอ่ะ ตรงนั้นเลยเบาลงมา คือ เราแค่อยากมีไว้บอกให้รู้ว่า โอเค
วันนี้หยุด คือ ใช้เพื่อแจ้งข่าวสารอ่ะ เราไม่อยากให้ลูกค้ามาเสียเที่ยว ไม่ได้อยากมาโปรโมทร้านอะไร
... เราคิดว่าถ้าเราจะใช้โ ปรโมทร้ านอ่ะก็ต่อเมื่อเราต้องพร้อมที่จะโปรโมท อะไรก็แล้ วแต่ถ้ายังมี
ข้อจากัดอยู่เราก็ไม่ควรทา...อย่างเช่ น ตอนนี้คนเยอะมากๆ ค่ะ เราดูแลลูกค้าเพิ่มไม่ได้อยู่แล้วใช่ไหม
ค่ะ คือ ถ้าเราไม่ปรับปรุงให้รองรับคนได้มากกว่านี้ ไวกว่านี้ ดูแลอะไรได้มากกว่านี้ เราก็อยู่แค่นี้ไป
คือแค่นี้ลูกค้าก็รอชั่วโมงครึ่ง สองชั่วโมงอยู่แล้วถ้าจะโปรโมทหรือจะทาอะไรให้ลูกค้าเพิ่มขึ้นเราก็ดูแล
ได้ไม่ดีพอ แล้วก็ไปบ่นกัน” (คุณเอฟ ร้านอาหารริมทางร้านที่ 6, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2561)
“คื อ มั น เป็ น แค่ ส่ ว นหนึ่ ง แต่ อ ย่ า งหนึ่ ง ที่ เ ราจ าเป็ น ต้ อ งมี คื อ ความช านาญ
ผลิตภัณฑ์ที่ดี อันนี้คือสิ่งแรกที่สาคัญ ถ้าสิ่งที่คุณทาไม่สามารถทาให้คุณเองหรือลูกน้องยอมรับได้ก็
อย่าทาเลย อย่างที่สอง คือ จรรยาบรรณ ผัดไทของพี่ทุกอย่างมาจากสถานที่ดีๆ วัตถุดิบคุณภาพ ไม่
เอาเปรียบลูกค้าอีกอย่างสมัยนี้ถ้าจะเอาใจลูกน้องมันใช้เงินไม่ได้ครับ ต้องใช้ใจอย่างเดียว... พี่มองว่า
ปากต่อปากดีที่สุดแล้ว การสร้าง Relations กับลูกค้ามันต้องใช้เวลา ต้องใส่ใจ ทามันให้มีคุณภาพ
ออกมาจากข้างใน...สาหรับพี่พี่ไม่ขออะไรมากมาย พี่ขอโอกาสรู้จักแล้วขอแค่มาลองกินสักครั้งเดียว
พอ” (คุณจี ร้านอาหารริมทางร้านที่ 7, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2561)
จากความเห็นของกลุ่มตัวอย่างข้างต้นที่จัดเป็นกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารริม
ทางที่ไม่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์หลักในการต่อยอดธุรกิจนั้น เห็นว่ามีกลยุทธ์อื่นที่ได้ผลลัพธ์ที่
ดีกว่าการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย คือ กลยุทธ์แบบปากต่อปาก เนื่องจากมองว่ากลยุทธ์แบบปากต่อปาก
เป็นการสื่อสารจากกลุ่มลูกค้าที่มีความชอบหรือมีความรู้สึกในแง่ดีกับทางร้าน ทําให้ข้อความหรือ
ความคิดเห็ น ที่ถู กสื่ อออกไปจะเป็ นมุม มองในแง่ ดีที่ส่ ง ผลทางกระทบในแง่ ดีต่อร้ านถึ งแม้ต้ องใช้
เวลานานกว่าการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ดังกลุ่มตัวอย่างร้านที่ 5 และ 7 รวมถึงให้ความสําคัญกับปัจจัย
ภายในร้านของตนเอง เช่น ความพร้อมในการให้บริการ ดังกลุ่มตัวอย่างร้านที่ 6 และ 7 ซึ่งหาก
พิจารณาวัตถุประสงค์และพฤติกรรมการใช้สื่อโซเชียลมีเดียของกลุ่มนี้แล้วนั้นจะพบว่ากลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มนี้มีวัตถุประสงค์หลักที่เหมือนกัน คือ เน้นการใช้เพื่อสื่อสารและการสร้างปฏิสัมพันธ์กับกลุ่ ม
ผู้บริโภคและเป็นช่องทางการสื่อสารหรือการติดต่อกับผู้บริโภค เช่น ตอบคําถามหรือข้อสงสัย การ
อธิบายหรือชี้แจงปัญหาต่างๆ การประกาศหรือบอกข่าวสารของร้าน เป็นต้น ด้านความถี่ในการใช้
งานกลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้มีลักษณะการใช้งานสื่อโซเชียลมีเดียอยู่ในกลุ่มที่ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหว คือ
จะมีการอัพเดทหรือแจ้งเรื่ องราวข่าวสารต่างๆ เฉพาะเวลาที่จําเป็นเท่านั้น หากพิจารณาการให้
ความสําคัญกับความคิดเห็นของผู้บริโภคแล้วนั้นจะพบว่า กลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเข้าไปดูและ
ติดตามความคิดเห็นของผู้บริโภคเป็นบางครั้งไม่ค่อยให้ความสําคัญ เนื่องจากมองว่าส่วนใหญ่เป็น
ความคิ ด เห็ น เดิ ม ๆ เป็ น ความคิ ด เห็ น และไม่ ค่ อ ยมี เ วลาเข้ า ไปดู และกลุ่ ม ตั ว อย่ า งกลุ่ ม นี้ มี
ประสบการณ์และมีความคิดเห็นว่าข้อเสียหรือโทษของการใช้สื่อโซเชียลมีเดียนั้นมีมาก จึงเลือกที่จะ
ให้ความสําคัญกับปัจจัยภายในเพื่อใช้เป็นการกําหนดกลยุทธ์
ผู้วิจั ยได้สรุ ป ผลการวิจัยถึงปัจจัยที่เป็นสาเหตุสําคัญในการแบ่งกลุ่มตัวอย่าง
ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางที่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์หลัก
ในการต่อยอดธุรกิจ หรือกลุ่มผู้ประกอบการยุคใหม่ และกลุ่มที่ 2 ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางที่
ไม่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์หลักในการต่อยอดธุรกิจ ออกมี 2 ปัจจัย ได้แก่ ทายาทกิจการหรือ
รุ่นของผู้ประกอบการ และความสามารถของผู้ประกอบการ รายละเอียดดังนี้
4.4.1.1 ทายาทกิจการหรือรุ่นของผู้ประกอบการ
จากการค้นคว้าวิจัย พบว่า ทายาทกิจการหรือรุ่นของผู้ ประกอบการ
เป็นปัจจัยสําคัญอย่างหนึ่งของการตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์หลักในการต่อยอดธุรกิจ ดัง
กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มของผู้ ประกอบการยุคใหม่ที่เลื อกใช้สื่อโซเชียลมี เดียเป็นกลยุทธ์ห ลัก ในกลุ่มนี้
ประกอบไปด้วยร้านอาหารริมทางร้านที่ 1, 2, 3 และ 4 จะเห็นได้ว่ากลุ่มผู้ประกอบการในกลุ่มนี้
ปัจจุบันมีทายาทธุรกิจเข้ามาบริหารเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการร้าน โดยร้านที่ 1 ปัจจุบันผู้ดูแล
และใช้สื่อโซเชียมีเดีย คือ คุณเอรุ่นบุกเบิกกิจการและมีลูกสาวเป็นที่ปรึกษาและให้คําแนะนํา , ร้านที่
2 คือ คุณบี ทายาทกิจ การรุ่ น ที่ 3 และร้านที่ 4 คือคุณดีทายาทกิจการรุ่นที่ 3 เช่นกัน เนื่องจาก
ผู้ประกอบการรุ่น บุกเบิกหรือรุ่นแรกนั้นไม่มีความเชี่ยวชาญ ไม่มีความรู้ และไม่ส นใจในเรื่องของ
เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมรวมถึงไม่มีเวลาในการศึกษา ในขณะที่รุ่นทายาทกิจการมีความรู้และความ
เข้าในเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมมากกว่า อีกทั้งยังเติบโตมาในยุคของสื่อโซเชียลมีเดียทําให้มองเห็น
โอกาสและศึกษาวิธีการใช้ประโยชน์เพื่อต่อยอดธุรกิจให้กับร้านอาหารริมทาง เว้นแต่ผู้ประกอบการใน
ร้านที่ 3 คุณซี ซึ่งเป็นรุ่นแรกหรือรุ่นบุกเบิกที่เพิ่งก่อตั้งกิจการมาเป็นระยะเวลา 7 ปี เป็นผู้ที่มีความรู้
และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาก่อนหน้าที่จะก่อตั้งกิจการ
4.4.1.2 ความสามารถของผู้ประกอบการ
ความสามารถของผู้ประกอบการ หมายถึง ความรู้และความสามารถ
ส่วนตัวในการบริหารจัดการร้านอาหารริ มทางให้ก้าวผ่านข้อจํากัดและอุปสรรคต่างๆ ในการใช้สื่อ
โซเชี ย ลมี เ ดี ย เพื่ อ ต่ อ ยอดธุ ร กิ จ ร้ า นอาหารริ ม ทางของตนเอง ดั ง ผู้ ป ระกอบการในกลุ่ ม ที่ 1
ผู้ประกอบการยุคใหม่ คือ ร้านที่ 1, 2, 3 และ 4 ที่มีความสามรถในการบริหารจัดการและสามารถ
ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงได้ สามารถจัดการกับปัญหาอุปสรรคและข้อเสียของการใช้สื่อโซเชียล
มีเดีย ทั้งการจัดการกับการแสดงความคิดเห็นในแง่ลบหรือการรีวิว การจัดการกับโต้ตอบกับกลุ่ม
ผู้บริโภคบนสื่อโซเชียลมีเดีย รวมถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้ารีวิวที่เพิ่ม ขึ้นจากการ
ประชาสัมพันธ์และโฆษณา ทั้งการบริหารจัดการบุคลากรที่ให้บริการ ด้านพื้นที่การรองรับลูกค้า การ
ขยายสาขา ด้านบริหารจัดการคิว ต่างไปจากผู้ประกอบการในกลุ่มที่ 2 ผู้ประกอบการแบบดั้งเดิม คือ
ร้านที่ 4, 5 และ 6 ที่ต่างประสบปัญหาและอุปสรรคเช่นเดียวกัน แต่ตัดสินใจเลือกทางเลือกแบบที่
หลีกเลี่ยงการประสบปัญหานั้นๆ โดยไม่สามารถก้าวผ่านข้อจํากัดนี้ได้
4.4.2 กระบวนการการใช้สื่อโซเชียลมีเดียของร้านอาหารริมทาง
ผู้วิจัยได้วิเคราะห์กระบวนการการยอมรับและการตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
เป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาด ประกอบกับกระบวนการตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกล
ยุทธ์หลักในการต่อยอดธุรกิจของกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง สามารถนําเสนอและ
อธิบายถึงกระบวนการการใช้สื่อโซเชียลมีเดียของร้านอาหารริมทางได้ ตามภาพที่ 4.1 โดยได้แบ่ง
ร้านอาหารริมทาง ทั้งความสามารถของผู้ประกอบการในการบริหารจัดการร้านอาหารริมทางให้ก้าว
ผ่านข้อจํากัด ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เป็นผลกระทบที่เกิดจากการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย และการ
เตรียมความพร้อมของร้านอาหารริมทางเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง
4.5 ข้อเสนอแนะ
จากการศึกษาค้นคว้าวิจัย ผู้วิจัยได้ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคของการใช้สื่อโซเชียล
มีเดียเป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาดของกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง ซึ่งมีทั้ง
ปัญหาและอุปสรรคที่กลุ่มตัวอย่างทุกร้านต่างให้ความสําคัญเหมือนกันและที่แตกต่างกันออกไป โดย
ผู้วิจัยได้จัดทําข้อเสนอแนะสําหรับผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางที่มีความตั้งใจจะใช้สื่อโซเชียล
มีเดียในการต่อยอดธุรกิจ ดังนี้
1) การสร้างการรับรู้ประโยชน์
ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางที่ปัจจุบันไม่ได้ใช้สื่อโซเชียลมีเดียควรหาโอกาสใน
การศึกษาและค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ที่กลุ่มผู้ประกอบการยุคใหม่ได้รับจากการใช้งาน
และศึกษาแนวทางการปฏิบัติพร้อมทั้งทดลองใช้งาน โดนนํามาปรับให้สอดคล้องกับร้านของตนเอง
2) ควบคุมและการบริหารจัดการหน้าเว็บไซด์หรือเว็บเพจของร้าน
ผู้ประกอบการควรศึกษากฎเกณฑ์ วิธีการใช้ และทําความเข้าอย่างละเอียด ก่อน
การสร้างเว็บไซด์ออนไลน์และเว็บเพจของร้าน พร้อมทั้งคัดกรองและตรวจสอบกลุ่มลูกค้าที่มาติดตาม
ความเคลื่อนไหวของร้านอย่างเสมอ ต้องสละเวลาหรือให้พนักงานประจําร้านคอยช่วยสอดส่องบุคคล
ที่มีแนวโน้มแสดงความคิดเห็นหรือวิจารณ์ในเชิงลบอยู่บ่อยครั้ง ที่มีเนื้อหาเกินความเป็นจริง และ
ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ร้าน โดยการจัดการปิดกั้นหรือบล็อกบัญชีผู้ใช้ดังกล่าว เพื่อไม่ให้บุคคลนั้น
สามารถเข้ามาเห็นเนื้อหาหรือแสดงความคิดเห็นได้อีกต่อไป
3) สอดส่องและดูความเคลื่อนไหวบทวิจารณ์จากบนสื่อโซเชียลมีเดีย
นอกเหนือจากการบริหารจัดการกับสื่อโซเชียลมีเดียภายในร้านที่ผู้ประกอบการ
ร้านอาหารริมทางสามารถควบคุมบริหารจัดการเองได้ ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางเองยังต้อง
คอยสอดส่องและดูความเคลื่อนไหวของเนื้อหาและบทความการแสดงความคิดเห็นหรือวิจารณ์ในเชิง
ลบที่อยู่บนพื้นที่ออนไลน์อื่นๆ ทั้งตามเว็บไซด์ออนไลน์และเว็บเพจของเหล่าบล็อกเกอร์ เพื่อคอยแจ้ง
และรายงานชื่อบัญชีผู้ใช้ที่มีแนวโน้มไม่มีตัวตน ที่มักวิจารณ์ร้านอาหารบ่อยครั้ง จ้องทําลายชื่อเสียง
และภาพลักษณ์ของร้านอาหาร เพื่อให้เจ้าของเว็บไซด์และบล็อกเกอร์ดําเนินการลบเนื้อหาเหล่านั้น
และบล็อกบัญชีผู้ใช้
4) การเลือกพาร์ทเนอร์ที่มีความน่าเชื่อถือ
พาร์ทเนอร์ในที่นี้ หมายถึง เว็บไซด์ออนไลน์และบล็อกเกอร์ผู้ให้ บริการรีวิวอาหาร
เนื่องจากปัจจุบันผู้ให้บริการธุรกิจลักษณะดังกล่าวมีจํานวนมาก ซึ่งเหล่าบล็อกเกอร์ส่วนใหญ่มักจะ
เป็นผู้เข้ามาติดต่อเพื่อขอถ่ายทํารีวิวกับผู้ประกอบการร้านอาหารอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตามยังมี
บล็อกเกอร์บางส่วนที่เข้ามาถ่ายทําโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางร้าน ทําให้ผู้ประกอบการร้านอาหารไม่
ทราบวัตถุประสงค์ในการรีวิว ซึ่งอาจมีเนื้อหาในเชิงลบ และอาจเป็นกลุ่มบล็อกเกอร์นักรีวิวในรูปแบบ
นักวิจารณ์มากกว่าช่วยโฆษณาหรือทําการประชาสัมพันธ์
5) การเตรียมความพร้อมของร้านอาหารริมทาง
การใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการเป็นช่องทางการสื่ อสารทางการตลาดจะช่วยทําให้
ร้านอาหารริมทางเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย มีกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อยอดขาย
ของกิจการ อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการเองควรประเมินความพร้อมในการให้บริการของทางร้าน และ
ต้องมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านบุคลากรผู้ให้บริการ ด้านสถานที่ ด้านบริหารจัดการ เพื่อ
รองรับกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น
6) เพิ่มรูปแบบการจาหน่ายออนไลน์
นอกจากการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการเป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาดในการ
ประชาสัมพันธ์และโฆษณาแล้ว ผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางต้องศึกษาและเรียนรู้การขายอาหาร
บนสื่อโซเชียลมีเดียเพิ่มเติมเพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการจัดจําหน่าย เพื่อเพิ่มยอดขายหรือหากวัน
หนึ่งยอดขายหน้าร้านลดลง ร้านอาหารริมทางเองจะยังคงมียอดขายออนไลน์อยู่อีกทางหนึ่ง เป็นการ
พัฒนาร้านค้าจากออฟไลน์ ไปสู่ออนไลน์
บทที่ 5
สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ
5.1 สรุปผลการวิจัย
ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของร้านอาหารริมทาง
กลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางทั้ง 7 ร้าน ผู้ให้สัมภาษณ์มีทั้งผู้ก่อตั้งกิจการ
หรือรุ่นบุกเบิกและรุ่นทายาทกิจการ ระยะเวลาในการดําเนินธุรกิจร้านอาหารริมทางตั้งแต่ 6-60 ปี
ตลอดระยะเวลาที่เปิดให้บริการกลุ่มตัวอย่างบางร้ านเติบโตขยายกิจการจนมีสาขาที่เปิดให้บริการ
จํานวน 9 สาขา และบางร้านยังคงให้บริการเพียง 1 สาขาเหมือนเดิม ประเภทของอาหารที่ให้บริการ
ได้แก่ ข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง ผัดไท อาหารทะเล อาหารว่าง และขนมหวาน
ส่วนที่ 2 การใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
1. ที่มาและจุดเริ่ มต้นของการใช้สื่ อโซเชียลมีเดียของกลุ่มตัว อย่างส่ ว นใหญ่มาจาก
บุคคลอื่นหรือบุคคลภายนอกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับร้านเป็นผู้สร้างสื่อโซเชียลมีเดียของร้านก่อน
หน้าที่ร้านจะตัดสินใช้ สาเหตุถัดมา คือ ทายาทกิจการ เนื่องจากผู้ประกอบการรุ่นก่อนหน้าไม่มี ความ
เชี่ยวชาญและไม่พยายามที่จะเรียนรู้และความเข้าใจในเทคโนโลยีหรือนวัตกรรม ในขณะที่รุ่นทายาท
กิจการมีความรู้และความเข้าใจพร้อมทั้งเติบโตมาในยุคที่สื่อโซเชียลมีเดียมีอิทธพลในชีวิตประจําวัน
2. วัต ถุ ป ระสงค์ข องการใช้สื่ อ โซเชี ย ลมีเ ดี ย คื อ ใช้ ใ นการประชาสั มพั น ธ์ ห รื อ การ
โฆษณาไปยังกลุ่มผู้บริโภคเพื่อสร้างการรับรู้และการยอมรับและเพิ่มยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่
กําหนดไว้ วัตถุประสงค์ลําดับถัดมา คือ ใช้ในการสื่อสารและการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภค โดยใช้
เป็นช่องทางการติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภคในการแจ้งข่าวสารให้ทราบ
3. สื่อโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมและกลุ่มทุกอย่างเลือกใช้ คือ Facebook Page
เนื่ องจาก Facebook เป็ นสื่ อโซเชียลมีเดียที่กลุ่มผู้บริโ ภคใช้งานมากที่สุดทําให้ส ามารถเข้าถึง
กลุ่มเป้าหมายได้ทุกเพศทุกวัย ลําดับถัดมา คือ Line และ Instagram ใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาแล้วเป็ น
บุ คลิ ก ภาพเชิงรุ กเล็ งเห็ น คุณค่ าและประโยชน์ จากการใช้นวั ตกรรมและเทคโนโลยี ยอมรั บและ
ตัดสินใจงานด้วยตนเอง มีความสนใจ ความทุ่มเท และพยายามค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม พร้อมที่จะ
ทดลองเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่รอที่จะทําตามกระแสหรือให้บุคคลภายนอกมานําเสนอ มีความคิดสร้างสรรค์
และสามารถทําความคิดนั้นให้เกิดขึ้นจริง และกลุ่มผู้ประกอบการเชิงรับ (Reactive) มีลักษณะ
บุคลิกภาพเชิงรับ เล็งเห็นคุณค่าและประโยชน์จากการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีจากผู้อื่น ยอมรับ
และตัดสินใจใช้งานได้รับการกระตุ้นจากอิทธิพลภายนอก เช่น สภาพแวดล้อม หรือการกระทําของบุคคล
อื่น เป็นแรงกระตุ้นและแรงผลักดันที่ส่งผลต่อการตัดสินใจแสดงถึงการเป็นผู้ถูกกระทํา ซึ่งสอดคล้องกับ
แนวคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพเชิงรุกของ Stephen R. Covey (1989) ที่ได้อธิบายถึงรูปแบบของการเป็น
ฝ่ายเริ่มต้นและรูปแบบของการเป็นฝ่ายถูกกระทําผ่านลักษณะบุคลิกภาพเชิงรุกและเชิงรับของแต่ ละ
บุคคล
3. การใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการสื่อสารทางตลาดนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่
ส่งผลต่อธุรกิจร้านอาหารริมทาง โดยข้อดีนอกเหนือจากใช้เพื่อประชาสัมพันธ์หรือโฆษณาเพื่อเพิ่ม
ยอดขายแล้ ว นั้ น คือ การสร้ างปฏิสั มพันธ์กับลู กค้าโดยใช้เป็นช่องทางในการสร้างความสั มพันธ์
ระหว่างกันเพื่อความรู้สึกใกล้ชิดและเป็นกันเองมากขึ้น การขยายฐานลูกค้าหน้าใหม่หรือลูกค้ารีวิว ที่
มีความแตกต่างไปจากลูกค้าเดิม โดยกลุ่มลูกค้ารีวิวนั้นส่วนใหญ่จะมาตามกระแสในสื่อโซเชียลมีเดีย
ทําให้กลุ่มลูกค้ารีวิวนี้มีลักษณะที่หลากหลายทั้งช่วงอายุ ที่อยู่อาศัย หรืออาชีพมากยิ่งขึ้น ข้อดีอีก
ประการหนึ่ง คือ กลุ่มผู้ให้บริการเว็บไซด์อาหารและบล็อกเกอร์รีวิวอาหารผ่านสื่อออนไลน์ ที่มาช่วย
เป็นสื่อเป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์หรือโฆษณาให้กับร้านอาหารริมทางโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ข้อเสียที่กลุ่มตัว อย่างให้ความสําคัญ คือ ความเฟ้อ ของข้อมูล จากความคิดเห็นหรือ
การรีวิวของกลุ่มผู้บริโภคบนสื่อโซเชียลมีเดียซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่ทุกคนสามารถเข้าถึงหรือแสดง
ความคิดเห็นหรือส่งต่อหรือแชร์ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด มีการแพร่กระจายของข้อมูลอย่างรวดเร็ว ทําให้
ความคิดเห็นต่างๆ มีจํานวนมากและไม่สามารถควบคุมได้ รวมถึงบางครั้งบุคคลที่แสดงความคิดเห็น
ต่างๆ ไม่สามารถตรวจสอบหรืออาจไม่มีตัวตน ซึ่งอาจจะมุ่งหวังทําลายชื่อเสียง หรือภาพลักษณ์ของ
ร้านอาหารริมทาง การตอบสนองหรือโต้ตอบกับกลุ่มผู้บริโภคบนสื่อโซเชียลมีเดียเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องให้
ความสําคัญและความระมัดระวังอย่างมาก ความไม่พร้อมของผู้ประกอบการและร้านอาหารริมทางก็
เป็นข้อเสียที่สําคัญ ทั้งความไม่พร้อมด้านบุคลากร พื้นที่ให้บริการ ด้านบริหารจัดการ และด้านความรู้
ความสามารถของผู้ประกอบการเอง ที่เป็นข้อจํากัดในการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์
และโฆษณาร้านหากต้องรองรับกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่หรือกลุ่มลูกค้ารีวิวที่มาใช้บริการจํานวนมากจนไม่
สามารถให้บริการหรือจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา ซึ่งสอดคล้อง
กับแนวคิดข้อดีและข้อเสียของสื่อโซเชียลมีเดีย
5.2 ประโยชน์ของการวิจัย
ข้อเสียจะได้เตรียมความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นจากการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
เป็นกลยุทธ์ในการต่อยอดธุรกิจร้านอาหารริมทาง
5.3 ข้อจากัดการวิจัย
1. การวิจัยในครั้งนี้เป็นการศึกษาเฉพาะกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการร้านอาหารริมทาง
ที่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาดในปัจจุบัน ไม่รวมไปถึงกลุ่มผู้ประกอบการ
ร้านอาหารริมทางที่ไม่ได้ใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ดังนั้นผลการวิจัยครั้งนี้จึงไม่ครอบคลุมไปถึงความคิดเห็น
ของกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางที่ไม่ตัดสินใจสื่อโซเชียลมีเดีย
2. การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษามุมมองและความคิดเห็นของผู้ประกอบการในการใช้สื่อ
โซเชียลมีเดียที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งในอนาคตสื่อโซเชียลมีเดียอาจมีการเปลี่ยนแปลง การพัฒนา และ
การเข้ามาแทนที่ซึ่งไปตามยุคสมัย ดังนั้นการปรับตัวของผู้ประกอบการในอนาคตอาจมีลักษณะและ
รูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันไป
3. จากผลการวิจัยในครั้งนี้ ตัวแปรในการตัดสินใจใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นกลยุทธ์หลัก
ในการต่อยอดธุรกิจ คือ ทายาทกิจการหรือรุ่นของผู้ประกอบการและความสามารถของผู้ประกอบการ
ซึ่งผลวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นศึกษาธุรกิจร้านอาหารประเภทร้านอาหารริมทาง จึงไม่สามารถนําไปประยุกต์
หรืออธิบายกลุ่มธุรกิจร้านอาหารประเภทอื่นได้ทั้งหมด
5.4 ข้อแนะนาสาหรับการวิจัยต่อเนื่อง
1. ควรขยายขอบเขตงานวิจัยให้กว้างขึ้นโดยการเพิ่มกลุ่มตัวอย่างให้มีความหลากหลาย
มากขึ้น จากงานวิจัยในครั้งนี้มีเฉพาะร้านอาหารริมทางยอดนิยมและเป็นกระแสนิยมในสื่อโซเชียล
มีเดีย ซึ่งอาจได้มุมมองความคิดเห็นหรือรูปแบบในการดําเนินธุรกิจที่แตกต่างกันออกไปได้
2. ควรศึกษาเพิ่ มเติมกลุ่ มผู้ ป ระกอบการร้ านอาหารริม ทางที่ปัจจุบัน ยังไม่ได้ใช้สื่ อ
โซเชียลมีเดียเป็น ช่องทางการสื่ อสารทางการตลาด หรือกลุ่ มที่เคยใช้มาก่อนในอดีตแล้ วปัจจุบัน
ตัดสินใจเลิกใช้
3. ควรศึ ก ษาเพิ่ ม เติ ม ประเด็ น เรื่ อ ง ความพร้ อ มหรื อ การเตรี ย มความพร้ อ มของ
ร้านอาหารริมทางในการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการต่อยอดธุรกิจ และการปรับปรุงร้านเพื่อรองรับลูกค้า
ที่เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมและเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการร้านอาหารริม
ทางต่อไป
รายการอ้างอิง
หนังสือ
วิทยานิพนธ์
สื่ออิเล็กทรอนิกส์
ยงวุฒิ เสาวพฤกษ์. (18 มกราคม 2561). Thai Street Food 4.0 ฝันให้ไกล ไปให้ถึง. สืบค้นจาก
https://www.prachachat.net/economy/news-108211
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย. (9 มีนาคม 2561). คาดมูลค่าตลาดร้านอาหารปี 2561. สืบค้นจาก
https://portal.settrade.com/brokerpage/IPO/Research/upload/2000000337676/
2904_p.pdf
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย. (กรกฎาคม 2560). ปรับกลยุทธ์ร้านอาหาร รวยไว รุ่งนาน. สืบค้นจาก
https://www.kasikornbank.com/th/business/sme/KSMEKnowledge/article/KSM
EAnalysis/Documents/Restuarant-Strategies-2017.pdf
ส่วนส่งเสริมพัฒนาธุรกิจบริการ สํานักส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ. (กันยายน 2552). ธุรกิจอาหารและ
ภัตตาคาร. สืบค้นจาก www.dbd.go.th/download/data_srevice/2sep.doc
สํานักงานราชบัณฑิตยสภา. (4 ตุลาคม 2556). สื่อสังคม หรือ social media. สืบค้นจาก
http://www.royin.go.th/?knowledges=สื่อสังคม-๔-ตุลาคม-๒๕๕๖
Forbes Thailand staff. (27 พฤศจิกายน 2557). อาหารออนไลน์พุ่ง เติบโตพร้อมเทรนด์โมบาย.
สืบค้นจาก http://www.forbesthailand.com/news-
detail.php?did=217https://www.thairath.co.th/content/466143
Articles
Gu, B., & Ye, Q. (2014). First step in social media: Measuring the influence of online
management responses on customer satisfaction. Production and Operations
Management, 23 (4), 570-582.
Lee, H. H. M., Van Dolen, W., & Kolk, A. (2013). On the role of social media in the
‘responsible’ food business: Blogger buzz on health and obesity issues.
Journal of business ethics, 118 (4), 695-707.
Krommuang, A., Suwunnamek, O., & Hothonhcum, K. (2017). Does the marketing mix
affect street food consumption in Thailand?. International Journal of
Business, Marketing, & Decision Science, 10 (1).
Ros, M. (2017. Responsive Website vs. Mobile Application: Street Food in Phnom
Penh. The International Journal of Technology Knowledge and Society, 13(2),
1-13.
Electronic Media
ภาคผนวก
แนวคาถามการวิจัย
ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ให้สัมภาษณ์และร้านอาหารริมทาง
(1) ประวัติส่วนตัวของผู้ให้สัมภาษณ์
(2) ความเกี่ยวข้องหรือความสัมพันธ์กับร้าน
(3) ประวัติและความเป็นมาของกิจการ
(4) ลักษณะการดําเนินธุรกิจ ประเภทอาหารที่ให้บริการ
(5) การกําหนดเป้าหมายของกิจการ
(6) กลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน
(7) ยอดขายของกิจการ (ยอดขายต่อวัน)
ส่วนที่ 3 การยอมรับและการตัดสินใจใช้สื่อโซเชีลมีเดียเป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาด
ของร้านอาหารริมทาง
(1) ความคิดเห็นต่อการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาด
(2) ใช้สื่อโซเชียมีเดียแล้วแล้วส่งผลกระทบต่อร้านอาหารริมทางด้านใดบ้าง
(3) การสื่อโซเชียมีเดียท่านรับรู้ประโยชน์จากการใช้งานด้านใดบ้าง
(4) ความคิดเห็นเกี่ยวกับขั้นตอนและการเรียนรู้การใช้งานสื่อโซเชียมีเดีย
(5) ท่านสามารถเรียนรู้และเข้าใจการใช้สื่อโซเชียลมีเดียด้วยตนเองได้หรือไม่
(6) การวัดผลตัวชี้วัดหรือผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ของร้านอาหารริมทาง
ของท่าน
(7) ทัศนคติที่มีต่อการใช้งานสื่ อโซเชียลมีเดีย และมีแนวโน้มจะใช้งานอย่างต่อเนื่อง
หรือไม่
(8) การวางกลยุทธ์และเป้าหมายในการดําเนินธุรกิจในอนาคต
ส่วนที่ 4 ปัญหาและอุปสรรคในการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการสื่อสารทางการตลาดของ
ร้านอาหารริมทาง
(1) ที่ผ่านมาการใช้งานสื่อโซเชียลมีเดียส่งผลกระทบเชิงลบอย่างไรบ้าง
(2) ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการใช้งานสื่อโซเชียลมีเดีย
(3) วิธีการรับมือหรือการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคดังกล่าว
ประวัติผู้เขียน