Professional Documents
Culture Documents
Untitled
Untitled
จดหมายฉบับที่ ๑ บ้านกาญจนรัชต์
นครราชสีมา
พิชญา ศิษย์รกั
นี้ เป็ นจดหมายฉบับแรก ที่ อาจารย์เขียนถึ งเธอตามที่ อาจารย์ได้สัญญาไว้
ก่อนอื่น อาจารย์ขอแสดงความชื่นชมยินดี กับเธอที่ สามารถสอบเข้าเรียนที่ คณะ
พุ ทธศาสตร์ ที่ มหาวิทยาลัยมหาจุ ฬาลงกรณราชวิทยาลั ยได้ โดยตั้งใจจะเรี ยน
วิชาเอกภาษาบาลีพุทธศาสตร์ ซึ่งน้อยคนที่จะเลือกเรียนทางด้านนี้ ยิ่งเป็ นหญิงสาว
ด้วยแล้ว หายากมาก ที่เป็ นเช่นนี้ ก็อย่าเข้าใจว่าเราไม่เหมือนคนอื่น หรือคนอื่นไม่
เหมือนเรา เพราะทุ กคนมีทางเลือกเฉพาะตน การที่จะเลือกทางใดก็แล้วแต่ว่าคน
คนนั้นมีพื้นฐานชีวิต มีความโน้มเอียง ความสนใจในทางใด การที่เธอตัดสินใจเลือก
เรียนทางด้านนี้ ก็ เป็ นความสมัครใจ ความสนใจ ประกอบกับพื้ นฐานครอบครัวก็
เป็ นผู ้สนใจในพระพุ ทธศาสนา นอกจากนี้ ชี วิตครอบครัวของเธอเองก็ ไม่ ต ้อง
เดือดร้อนอะไรมาก เพราะมีธุรกิจที่ จะต้องดูแลมากมาย ชีวิตไม่ตอ้ งขวนขวายเพื่อ
หางานที่มนั ่ คงทา เมื่อไม่ตอ้ งกังวลเรื่องงานที่จะต้องไปหาหลังจากเรียนจบแล้ว การ
มาเรียนก็เพื่อหาความรูใ้ นสิ่งที่เราอยากรู ้ ซึ่งอาจารย์ทราบมาว่า ทางครอบครัวของ
เธอก็ ไม่ว่าอะไร จะเรียนอะไร ที่ ไหน ก็ ตามสะดวก ไม่คัดค้าน ขอเพียงให้อยู่กับ
ครอบครัว ไม่ตอ้ งไปอยูท่ ี่ไกลหู ไกลตาให้เป็ นห่วง
การเรียนที่ มหาจุ ฬา ฯ ในชั้นปี ที่ ๑-๒ ทุ กคณะจะต้องเรียนวิชาพื้ นฐาน
ทัว่ ไป และวิชาแกนพระพุทธศาสนา เมื่อเรียนจบ ๒ ปี แล้ว ปี ๓ กับ ๔ จึงเรียนใน
ส่วนของวิชาเอก นิ สิตบางคนพอขึ้ นปี ๓ ก็ขอเปลี่ยนเอกก็มี กรณีของเธอ หากเรียน
ไป ๒ ปี แล้ว อยากจะเปลี่ยนเอกก็สามารถทาได้ ยกเว้นคณะครุศาสตร์ ในฐานะที่
อาจารย์สอนอยูท่ ี่ มหาจุฬา ฯ ก็ขอกล่าวต้อนรับเธอในฐานะนิ สิตใหม่ดว้ ยคนหนึ่ ง
อาจารย์เคยสัญญากับเธอไว้วา่ จะเขียนเรื่องพระพุทธศาสนาให้เธอได้อ่าน
นั บว่าเป็ นโอกาสเหมาะเมื่ อเธอได้มาเรี ยนที่ มหาจุ ฬา ฯ ซึ่ งจะต้องเรี ยนเรื่ อง
พระพุทธศาสนา เนื่ องจากอาจารย์สอนที่มหาจุฬา ฯ ในส่วนวิทยาเขต จึงไม่มีโอกาส
ได้พบกับเธอ อาจารย์จึงเขียนแล้วก็ ส่ งให้อ่านในรูปของจดหมายไฟฟ้ า (E-mail)
๒
๑. ไม่มีเรื่องการอ้อนวอน
พระพุทธศาสนาไม่มีพระผูเ้ ป็ นเจ้าและไม่มี การบังคับศรัทธา บางคนไม่
เข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้ เอาแต่ออ้ นวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ศาสนาพุทธ เป็ น
ศาสนาที่ เกิ ดในยุคที่ สังคมอิ นเดี ยมีสภาพการณ์หลายอย่างที่ วุ่นวาย เช่น มีการ
แบ่งแยกกดขี่ทางชนชั้นวรรณะของศาสนาพราหมณ์ -ฮินดู มีความเหลื่อมล้าทาง
สังคมที่ ชัดเจน ถื อชั้น วรรณะอย่างเข้มงวด มี ความแตกต่ างกันทางฐานะอย่าง
มากมาย (มีท้ังเศรษฐีมหาศาลและคนยากขาดแคลน) และลัทธิ ความเชื่อ ศาสดา
อาจารย์เกิ ดขึ้ นมากมาย ที่ สอนหลักการยึดถื อปฏิบัติอย่างผิดพลาด หรือสุ ดโต่ง
เช่น การใช้สัตว์เป็ นจานวนมากเพื่อบวงสรวงบูชายัญ การบาเพ็ญทุ กรกิ ริยาของ
นักบวชบางพวก การปล่อยชีวติ ให้เป็ นไปโดยไม่แก้ไขถือว่าเป็ นพระประสงค์ของพระ
เจ้า รวมถึงการกีดกันไม่ให้คนบางพวก บางกลุ่มเข้าถึงหลักการ หลักคาสอนของตน
ได้ เนื่ องจากข้อจากัดของชาติกาเนิ ด ฐานะ เพศ เป็ นต้น แต่พุทธศาสนาเปิ ดโอกาส
ให้ทุกคนเข้าถึงเป้ าหมายสูงสุดได้เสมอกัน โดยไม่แบ่งแยกตามชั้นวรรณะ จึงเสมือน
น้ าทิ พย์ชโลมสังคมอิ นเดี ยโบราณให้ขาวสะอาดมากกว่าเดิ ม ค าสอนของพุ ทธ
ศาสนาทาให้สงั คมโดยทัว่ ไปสงบร่มเย็น
๒. เป็ นศาสนาแห่งเหตุผล
พุ ท ธศาสนาเป็ นศาสนาแห่ งความรู ้ เพราะเป็ นศาสนาที่ เกิ ดจากพระ
อัจฉริ ยะภาพของพระพุ ทธองค์เอง จากปั ญ ญาของพระองค์ ให้เสรี ภาพในการ
พิจารณา ให้ใช้ปัญญาเหนื อศรัทธา ในขณะที่ บางศาสนาสอนว่าศาสนิ กชนต้องมี
ศรัทธามาก่อนปั ญญาเสมอ และต้องมีความภักดีต่อพระผูเ้ ป็ นเจ้าสูงสุด ผูน้ ั บถือจะ
สงสัยในพระเจ้าไม่ได้ ศาสนาพุทธเป็ นศาสนาแห่งการศึกษา และการแสวงหาความ
จริง และส่งเสริมท้าทายให้ศาสนิ ก พิสูจน์ หลักธรรมนั้ นด้วยปั ญญาของตนเอง ไม่
สอนให้เชื่อง่ายโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน เช่น หลักกาลามสูตร
๓. เป็ นศาสนาแห่งอิสรภาพและเสรีภาพ
พระพุทธศาสนาเป็ นศาสนาแห่งอิสรภาพและเสรีภาพไม่มีการบังคับ ให้คน
ศรัทธา หรือเชื่ อ แต่ ท ้าทายให้เข้ามาเรี ยนรู ้ และพิ สู จน์ หลักธรรม ด้วยตนเอง
ศาสนาของพระพุทธเจ้าคือคาสอน ซึ่งทรงสอนให้ผูฟ้ ั งใช้ปัญญาพิจารณาอย่างถ่อง
๕
อิ น โดนี เซี ย มาเลเซี ยส่ วนมากเป็ นชาวจี น เนปาล บรู ไนส่ วนมากเป็ นชาวจี น
ฟิ ลิ ปปิ นส์ส่ วนมากเป็ นชาวจี น อุ ซเบกิ สถาน และ ทาจิ กิ ส ถาน วัชรยาน หรื อ
มหายานพิเศษ ปั จจุบันมีใน อินเดี ยบริเวณลาดักในรัฐชัมมูและกัษมีร์ และในรัฐ
สิกขิม ประเทศเนปาล ภูฏาน ปากีสถาน มองโกเลีย
ในจดหมายนี้ จะกล่าวประเด็นเฉพาะพระพุทธศาสนานิ กายเถรวาทเท่านั้ น
ซึ่งประเด็ นสาคัญของพระพุ ทธศาสนาเถรวาทก็ คือสภาพสังคมของอิ นเดี ยในยุค
ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะอุบตั ิขึ้น ช่วงพระพุทธศาสนาอุบัติขึ้น หลังพุทธกาล รวม
ไปถึงการที่พระพุทธศาสนาแผ่ไปยังประเทศต่าง ๆ ทั้งทางซีกโลกตะวันตกและซี ก
โลกตะวันออก ซึ่งจะกล่าวถึงในฉบับต่อ ๆ ไป ฉบับนี้ ขอจบเพียงเท่านี้
ขอให้พระรัตนตรัยคุม้ ครอง
อาจารย์
๘
จดหมายฉบับที่ ๒ บ้านกาญจนรัชต์
นครราชสีมา
พิชญา ศิษย์รกั
ฉบับนี้ อาจารย์จะได้กล่าวถึงสภาพสังคมอินเดียยุคก่อนที่พระพุทธศาสนา
จะอุ บั ติ ขึ้ น โดยมี ป ระเด็ น ส าคั ญ ใหญ่ ๆ ๒ ประเด็ น คื อ ๑) ภู มิ ห ลั ง ทาง
ประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์อินเดีย และ ๒) กาเนิ ดและพัฒนาการทางความ
เชื่อของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งอาจารย์จะได้กล่าวโดยลาดับ ดังนี้
๑. ภูมิหลังทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์อินเดีย
อินเดียเป็ นประเทศสาคัญในภูมิภาคเอเชีย ที่ มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน
หลายพันปี ที่สาคัญอินเดียเป็ นแหล่งกาเนิ ดอารยธรรมที่เก่าแก่และเจริญรุง่ เรืองมา
แต่ครั้งโบราณกาล เมื่ อกล่ าวถึ งอิ นเดี ย มิ ใช่เฉพาะประเทศในซีกโลกตะวันออก
เท่านั้ นที่รูจ้ กั โดยทัว่ กัน แม้แต่ประเทศในซีกโลกตะวันตก ต่างก็รูจ้ กั ดินแดนแห่งนี้
เป็ นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากเรื่องราวของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (๓๕๖-
๓๒๓ B.C.) แห่งมาซิโดเนี ย ครั้งหนึ่ งพระองค์ได้เคยยาตราทัพมายังดินแดนแถบนี้
โดยมุ่งหมายจะยึดครองอินเดียให้จงได้ ตามข้อสันนิ ษฐานของนั กโบราณคดี ส่วน
ใหญ่ลงความเห็นว่า ภาคเหนื อของอินเดียได้เคยมีการติดต่อกับอารยธรรมเมโสโป
เตเมียในลุ่มแม่น้ าไทกริสและยูเฟรติสมาก่อนแล้ว
๑.๑ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของอินเดีย
อินเดียในยุคโบราณมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล ครอบคลุม ๕ ประเทศ
ในปั จจุบัน คือ ประเทศอินเดี ย ปากีสถาน เนปาล บังกลาเทศ และอัฟกานิ สถาน
อิ นเดี ยเป็ นอนุ ทวีป (Subcontinent) ที่ อยู่ทางใต้ของทวีปเอเชี ย เป็ นดิ นเเดนรูป
สามเหลี่ยมหัวกลับขนาดใหญ่ มีเนื้ อที่ใหญ่พอๆ กับทวีปยุโรปและมีพรมแดนที่ถูก
ปิ ดทุ กด้าน โดยปลายยอดอยู่ทางด้านใต้ยื่นไปในมหาสมุทรอินเดีย แผ่นดินส่วน
ใหญ่จึงแวดล้อมด้วยทะเล ส่วนแผ่นดินที่เหลือทั้งหมดจะแวดล้อมไปด้วยเทื อกเขา
สูงทั้งสิ้ น โดยฝั ่งตะวันออกติ ดเทื อกเขาของพม่ า ฝั ่งตะวันตกติดเทื อกเขาฮินดูกู ช
๙
๑) อารยธรรมดราวิเดียนแท้
๒) อารยธรรมอารยัน
๓) อารยธรรมผสมระหว่างดราวิเดียนกับอารยัน
นั กประวัติศาสตร์ศาสนาชี้ ว่า อารยธรรมที่ เจริญรุ่งเรืองและคงอยู่ต่อมาก็
คืออารยธรรมสายที่ ๓ ที่ มีการผสมผสานกันระหว่างอารยธรรมดราวิเวียนแท้กับ
อารยธรรมใหม่ในอัตราส่วนที่เหมาะสม
๒. กาเนิดและพัฒนาการทางความเชื่อของศาสนาพราหมณ์
ในประวัติศาสตร์ของอินเดีย ถือว่าศาสนาพราหมณ์เป็ นแหล่งกาเนิ ดลัทธิ
ประเพณี ของตน วัฒนธรรมพราหมณ์รวมทั้งขนบธรรมเนี ยมประเพณี และปรัชญา
พราหมณ์ น้ั น เชื่อว่าเกิ ดจากการผสมผสานวัฒนธรรมอารยันเข้ากับวัฒนธรรม
ทราวิฑที่สูงกว่า การผสมผสานนี้ เกิดขึ้ นเป็ นระยะๆ ตามการบุกรุกของพวกอารยัน
ดังจะกล่าวต่อไปนี้
๒.๑ ยุคพระเวท (Vedic Period)
ประมาณ ๘๐๐ - ๓๐๐ ปี ก่อนพุทธศักราช ที่มาของการแบ่งวรรณะในระบบ
สังคมดั้งเดิม เมื่อชาวอารยันเข้ามาสู่อินเดียแล้ว ก็ได้มาตั้งถิ่นฐานอยูท่ างตะวันตก
เฉียงเหนื อบริเวณเหนื อแม่น้ าสินธุขึ้นไป ชาวอารยันนั้ นไม่ใช่พวกป่ าเถื่อน แต่จดั ว่า
มีวฒ
ั นธรรมในระดับหนึ่ งแล้ว แม้ความเจริญยังไม่ถึงขนาดสามารถสร้างบ้านสร้าง
เมือง และยังไม่มีการรวมตัวกันภายใต้ระบอบกษัตริยเ์ ป็ นใหญ่เหมือนอย่างพวกทรา
วิฑที่เป็ นเจ้าของอารยธรรมลุ่มแม่น้ าสินธุ แต่ถึงกระนั้ นก็มีการรวมตัวกันเป็ นกลุ่ม
และปกครองกันในระดับเผ่า (tribe) โดยมีหัวหน้าควบคุมดูแลเรียกว่าราชา (raja)
และมักสืบต่อกันตามตระกูล แต่ราชาของเผ่าอารยันมิใช่กษัตริยท์ ี่มีอานาจสิทธิ์ขาด
เพราะอานาจการปกครองส่วนใหญ่ขึ้นอยูก่ บั สภาของเผ่า
ก่อนที่พวกอารยันจะเข้ามาในอินเดีย พวกอารยันคงมีการแบ่งระดับชั้นของ
คนในเผ่าด้วยกันเองอยู่แล้ว อย่างน้อยที่ สุดก็ระหว่างคนชั้นสูงที่เป็ นผูป้ กครองกับ
คนธรรมดาสามัญซึ่งอยู่ภายใต้การปกครอง และที่ ขาดมิ ได้คื อกลุ่มนั กบวชที่ ท า
หน้าที่ ประกอบพิธีกรรมบูชา เพราะชาวอารยันนั บถือธรรมชาติบูชาเทพเจ้าลมฟ้ า
อากาศมากมาย
๑๕
ต่อเมื่อพวกอารยันแผ่อานาจไปทางตะวันออกเฉียงใต้แถบเเคว้นอัมพาล กุรุ
เกษตร ตลอดจนแคว้น ปั ญจาบในลุ่ มน้ าคงคาและยมุ น าตอนบน ระหว่างนั้ น
พราหมณ์ก็ได้คดั เอามนตร์โศลกในคัมภีรฤ์ คเวทมาดัดแปลงเรียบเรียงด้วยร้อยแก้ว
และจัดเข้าคู่ไว้เป็ นชุดๆ เพื่อสะดวกในการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา จึงเกิดเป็ น
คัมภีรย์ ชุรเวท (Yajurveda) ใช้อธิบายการประกอบพิธีบวงสรวงบูชา
คัมภีรพ์ ระเวททั้ง ๓ คัมภีรค์ ือ ฤคเวท สามเวท ยชุรเวท รวมเรียกว่า "ไตร
เวท" หรือไตรเพท ในยุคที่ พราหมณ์เรืองอานาจอยู่ คัมภีรไ์ ตรเพทถื อเป็ นเสมือน
อาญาสิทธิ์ของพราหมณ์ที่ทุกคนต้องเคารพ ใครจะได้ชื่อว่าเป็ นนั กปราชญ์ก็จะต้อง
เจนจบไตรเพททั้งสิ้ น ดังนั้ นไตรเพทจึงเป็ นทั้งคัมภีรอ์ นั ศักดิ์สิทธิ์และเป็ นหลักสูตร
การศึกษาของเหล่า พราหมณาจารย์ท้งั หลายอีกด้วย
ครั้นมาถึ งสมัยมหาภารตยุทธ์ในปลายยุ คพระเวท ศาสนาพราหมณ์ ถู ก
สัน่ คลอนด้วยลัทธิ ความเชื่ ออื่ นที่ เริ่มต้นเกิ ดขึ้ นติ ดตามมา พวกพราหมณ์ จึงได้
รวบรวมไสยศาสตร์ต่างๆ เข้าไว้ เพื่อเรียกศรัทธาให้ศาสนาพราหมณ์กลับมาเป็ นที่
ยึดเหนี่ ยวเหมือนเดิม กลายเป็ นพระเวทที่ ๔ ของพราหมณ์ที่เรียกว่า อาถรรพเวท
(Atharveda) ประกอบด้วยมนตร์โศลกของเก่ าซึ่ งโดยมากเป็ นมนตร์เสกเป่ าเพื่ อ
ทาลายสิ่งอัปมงคลต่างๆ แก้ความเจ็บป่ วย อยู่ยงคงกระพัน ไล่ผี สักยันต์ ฝั งรูปฝั ง
รอย ท าเสน่ ห์ ยาแฝด สะเดาะเคราะห์ แก้เสนี ยดจัญ ไร และภยัน ตรายต่ างๆ
นอกจากนี้ ยังมีความรูท้ ี่เกี่ยวข้องกับเมถุนศาสตร์อีกด้วย
คัมภีรพ์ ระเวทเป็ นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ และสาคัญสูงสุด ที่ เป็ นทั้งหลักศาสนา
และหลักการดาเนิ นชีวิตที่ เคร่งครัดของชาวอารยัน แม้ว่าในสมัยนั้ นจะมีการขี ด
เขี ยนตั วหนั งสื อเป็ นลายลั ก ษณ์ อั ก ษรแล้วก็ ต าม แต่ พ วกพราหมณ์ ก็ ยังนิ ยม
การศึกษาและท่องจาด้วยวิธีที่เรียกว่ามุขปาฐะอยูด่ ี ทั้งนี้ เพื่อให้ความเคารพนั บถือ
ในความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีรพ์ ระเวท และในการสวดสาธยายพระเวทนั้น จะต้องสวด
ให้ถูกต้องอักขระ พยัญชนะ ให้ถูกวรรคตอนและชัดเจน เพราะหากสวดผิดพลาด
คลาดเคลื่ อนไป ก็ ถือว่าเป็ นข้อเสี ยหายที่ จะมี ผลต่อผูท้ าพิธีกรรมหรืออาจท าให้
ไม่ได้รบั ผลตามที่ปรารถนา
๑๙
การเกิ ดขึ้ นของทั้ งสองนิ ก ายนี้ ท าให้พ ระเป็ นเจ้าทั้ งสองโดดเด่ นและมี
ความหมายในฐานะเทพเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว และในขณะเดียวกันฐานะของพระ
พรหมก็ค่อยๆ เสื่อมความนิ ยมลง ในปั จจุบนั เทวาลัยในอินเดียที่ประดิษฐานรูปปั้ น
พระพรหมนั้ นแทบจะหาไม่ได้เลย บางเทวาลัยมีแต่รูปปั้ นของพระศิวะและพระวิษณุ
ประดิษฐานโดดเด่นเป็ นสง่า แต่ในคูหาหรือช่องเล็กๆ ของผนั งเทวาลัยกลับมีรูปปั้ น
พระพรหมองค์เล็กๆ ประดิษฐานรวมอยูด่ ว้ ยเท่านั้นเอง
เราจะเห็ น ว่า การสร้างเทพเจ้าขึ้ นมาเรื่ อยๆ ไม่ หยุ ดหย่ อนเช่ นนี้ เป็ น
ลักษณะสาคัญของศาสนาพราหมณ์ที่ต่างจากศาสนาอื่นๆ สมัยพราหมณะจึงเป็ น
สมัยที่มนุ ษย์สร้างพระเจ้า มิใช่พระเจ้าสร้างมนุ ษย์อย่างที่เคยเชื่อถือมาแต่เดิม ใน
ยุคนี้ ทั้งผูน้ าทางศาสนาพราหมณ์และผูเ้ คารพบูชาต่างก็มุ่งเน้นไปที่ความฉาบฉวย
ของเปลือกนอกแห่งศาสนา จนละเลยคาสอนในคัมภีรไ์ ตรเพท กลับเน้นหนั กไปกับ
เรื่องราวอิ ทธิ ปาฏิ หาริย์และเวทมนตร์มายาคุ ณไสยต่างๆ ที่ เก็ บไว้ในคัมภี ร์ที่ ๔
หรืออาถรรพเวทเป็ นหลัก
แม้แต่แนวคิดเรื่องตรีมูรติก็เป็ นเช่นนั้ น คือเกิดขึ้ นด้วยความต้องการให้เกิด
การรวมปาฏิหาริยอ์ ันยิ่งใหญ่แห่งองค์เทพทั้งสามเข้าไว้ดว้ ยกัน ซึ่งเท่ากับองค์เทพ
องค์เดียวกันนี้ มีพลังอานาจ ทั้งการสร้างโลกโดยพระพรหม บารุงรักษาโลกโดยพระ
วิ ษ ณุ และท าลายโลกโดยพระศิ วะ จะเห็ นว่ า แนวทางนี้ ก็ ยั ง มุ่ ง เน้ นไปที่
อิทธิปาฏิหาริยแ์ ห่งองค์เทพเป็ นหลัก แทนที่จะมุ่งศึกษา คาสอนดั้งเดิมในคัมภีร์
พระเวท สิ่งเหล่านี้ ก็คือสัญญาณแห่งความเสื่อมของศาสนาพราหมณ์ ในช่วงเวลา
ต่อมาและเป็ นเหตุให้ตอ้ งมีการปรับเปลี่ยนคาสอนเสียใหม่ กระทัง่ กลายเป็ นศาสนา
ฮินดูที่พยายามในทุกวิถีทางที่จะเรียกศรัทธากลับคืนมาให้ได้มากที่สุด
พัฒนาการของระบบวรรณะ ๔ สู่ระบบชนชั้น
ในยุคพระเวท แม้จะมีการแบ่งเป็ นวรรณะแล้ว แต่ยงั ไม่เด่นชัดนั ก ระบบ
วรรณะเริ่มก่อตัวเป็ นรูปร่างขึ้ นเมื่อสงครามระหว่างอารยันกับดราวิเดียนสิ้ นสุดลง
การตีความความหมายของวรรณะตามคัมภีรพ์ ระเวทเป็ นสิ่งที่เกิดจากความจาเป็ น
ทางสังคมหรือความต้องการของผูม้ ีอานาจในสังคมเป็ นหลัก เช่นในระยะแรกของ
การมีระบบวรรณะ วรรณะจะถูกตีความไปตามความต้องการของผูช้ นะสงครามคือ
อารยัน ซึ่งเป็ นกลุ่มผูม้ ีอานาจในสังคมที่ ตอ้ งการจะแบ่งแยกกลุ่มชนที่ มีชาติพันธุ์
๒๒
ต่างกันออกจากกันอย่างชัดเจนระหว่างอารยันกับดราวิเดียน เพื่อความบริสุทธิ์ของ
เชื้ อชาติ และเผ่ าพันธุ์ของตน กล่ าวคื อ พราหมณ์ กษั ตริย์ ไวศยะ ถื อเป็ นอารย
วรรณะซึ่งมีผิวขาว เป็ นนายเหนื อชนพื้ นเมืองเดิมซึ่งผิวคล้ากว่า เรียกว่า ทาสวรรณะ
หรือศูทร มีหน้าที่รบั ใช้ผเู ้ ป็ นนายคือพวกอารยัน
สมัยต่อมาวรรณะได้ถูกตี ความไปตามความจาเป็ นทางสังคม ที่ ต อ้ งการ
แรงงานและความเชี่ยวชาญในวิชาชีพต่างๆ ซึ่งเป็ นแต่เพียงการแบ่งหน้าที่และอาชีพ
ให้แก่คนในสังคมเท่านั้ น ได้แก่ พราหมณ์มีหน้าที่สงั ่ สอนเยีย่ งครูอาจารย์ กษัตริยม์ ี
หน้ าที่ เป็ นนั กรบป้ องกัน ชาติ บ ้านเมื อง แพศย์หรื อไวศยะมี อาชี พค้าขายสร้าง
เศรษฐกิจให้สงั คม และศูทรมีหน้าที่ทาไร่ไถนาและใช้แรงงาน
ต่อมาภายหลัง เมื่อมีความเจริญทางสังคมและเศรษฐกิจอันเป็ นมูลเหตุให้
สังคมมีความสลับซับซ้อนและแสวงหาความเชี่ยวชาญในวิชาชีพแขนงต่างๆ มากขึ้ น
จึ งมี ก ารแบ่ งแยกออกเป็ นชนชั้น ใหม่ ๆ ซึ่ งเป็ นกลุ่ มชนที่ มี อาชี พ การงานและ
กฎเกณฑ์ทางวรรณะคล้ายกัน กลายเป็ นวรรณะย่อยๆ ไป โดยวรรณะที่ สู งกว่า
เหยียดหยามและเอาเปรียบวรรณะตา่ ด้วยเหตุทางผลประโยชน์ เป็ นสาคัญ กล่าวคือ
ในยุคแรกทาสซึ่งเป็ นวรรณะตา่ ที่ยงั มีฐานะดีและเป็ นที่ยอมรับของสังคม สามารถ
แต่งงานกับวรรณะอื่นได้ แต่ภายหลังเมื่อระบบวรรณะขมวดเกลียวแน่ นขึ้ น ฐานะ
ของทาสก็ ลดตา่ ลงตามลาดับ กลายเป็ นพวกเลวทราม (Untouchable) และห้าม
พวกทาสทาพิธีต่างๆ เช่น การเผาศพอย่างที่ พวกอารยันทา ห้ามอ่านห้ามจับพระ
เวท ถ้าฝ่ าฝื นจะถูกตัดมือตัดหู
ความรุนแรงของการแบ่งชั้นวรรณะดังกล่าวปรากฏชัดในช่วงปลายยุคพระ
เวท โดยพวกพราหมณ์ได้อา้ งคัมภีรศ์ กั ดิ์สิทธิ์คือบทสวดฤคเวทตอนท้ายที่มีใจความ
ว่า พระพรหมสร้างมนุ ษย์ให้เกิดขึ้ นมาบนโลกด้วยฐานะที่ ต่างกัน และมนุ ษย์ก็ถือ
กาเนิ ดมาจากอวัยวะที่ต่างกันของพระพรหมด้วย คนในวรรณะพราหมณ์ถือกาเนิ ด
มาจากพระเศียรของพระพรหม คนวรรณะกษัตริยถ์ ือกาเนิ ดมาจากพระอังสา (บ่า)
คนในวรรณะแพศย์ถือก าเนิ ดมาจากพระอุ ทร (ท้อง) ส่วนคนในวรรณะศู ทรถื อ
กาเนิ ดมาจากพระบาท (เท้า) บางแห่ งกล่าวต่างไปจากนี้ ว่า วรรณะพราหมณ์มา
จากปากของพระพรหม วรรณะกษัตริยม์ าจากแขน วรรณะแพศย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่อง
๒๓
ประเพณี ของพราหมณ์ ซึ่ งหลักๆ ก็ ได้แก่ ลั ทธิ ของครู ท้ั ง ๖ ศาสนาเชน และ
พระพุทธศาสนา ซึ่งหากจะแยกให้ชดั เจน ก็แบ่งได้เป็ น ๒ กลุ่มคือ
๑) กลุ่มเหตุผลนิ ยม (Rationalist) ที่ เน้นการแสวงหาความรู ้ โดยการใช้
เหตุผลและการตั้งข้อสมมุติฐาน ซึ่งถือว่าเป็ นการเก็งความจริง นั กคิดกลุ่มนี้ ยืนยัน
ว่าความรูท้ ี่ ได้มานั้ นเกิ ดจากการใช้เหตุ ผลของมนุ ษย์ลว้ นๆ ไม่อ า้ งอานาจวิเศษ
เหนื อธรรมชาติใดๆ ทั้งมิได้อา้ งว่าเป็ นความรูท้ ี่เกิดจากญาณหยัง่ รูพ้ ิเศษอันเกิดมา
จากการบ าเพ็ ญ เพี ยงทางจิ ตจนบรรลุ แต่ เป็ นความคิ ดความเห็ นที่ เกิ ดจากการ
คาดคะเนและทานายตามหลักเหตุผลล้วนๆ นั กคิดกลุ่มนี้ ประกอบด้วยนั กปรัชญา
อุปนิ ษัทยุคแรก นักปรัชญาสายอาชีวกะ และปริพาชกะ
๒) กลุ่มประสบการณ์นิยมหรือปฏิ บัตินิยม (Experientialist) ที่ ยืนยัน
ว่าความรูท้ ี่ แท้จริง ย่อมเป็ นผลที่ เกิดมาจากการปฏิบัติ การทดลองพิสูจน์ จนได้รู ้
แจ้งเองด้วยประสบการณ์ของตน นั กคิดกลุ่มนี้ ประกอบด้วย นั กปรัชญาอุปนิ ษัทยุค
ปลาย นั กปรัชญาเชน เป็ นต้น ในแง่มุ มการแสวงหาความรู ้ นั กปฏิ บัติ กลุ่ มนี้ มี
แนวทางใกล้เคียงกับพระพุทธศาสนา
๒.พวกไวทิกวาทะ (Vaidika) หรืออาสติกะ (Astika) คือพวกที่ยงั คงนั บถือ
พระเวทเป็ นปทั ฏ ฐาน คื อยอมรับ ประเพณี ของพราหมณ์ และไม่ ปฏิ เสธความ
ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ของพระเวท พวกไวทิ กวาทะนี้ จึ ง จั ด อยู่ ใ นประเภทจารี ต นิ ยม
(Traditionalist) เพราะเชื่ อว่าความรู ท้ ุ กชนิ ดเกิ ดมาจากแหล่ งเดี ยวกัน โดยการ
เปิ ดเผยของเทพเจ้า เรียกว่า "พระเวท" (Vedas) ซึ่งพราหมณ์ยึดถือกันว่าเป็ นคัมภีร์
หลักที่สาคัญและศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็ นโองการของสวรรค์ เป็ นขุมทรัพย์ทางปั ญญา
อันยิ่งใหญ่และสูงส่งของมวลมนุ ษย์ ดังนั้นเมื่อมีการศึกษาและสืบทอดก็ตอ้ งยึดตาม
แบบแผนและปฏิบตั ิตามประเพณี ธรรมเนี ยมเก่า ต้องอนุ รกั ษ์และอนุ วตั รตามสิ่งที่
กล่าวในคัมภีรพ์ ระเวท โดยไม่มีขอ้ โต้แย้ง วิจารณ์ หรือแสวงหาเหตุผลใดๆ
พวกไวทิ กวาทะนี้ ต่ อมาภายหลังก่ อเกิ ดเป็ น ๖ ลัทธิ ใหญ่ เรียกว่า หลัก
ทรรศนะ ๖ (Six Darshanas) ประกอบด้วยลัทธิเวทานตะ นยายะ ไวเศษิ กะ สางขยะ
โยคะ และ มิมางสา ทรรศนะเหล่านี้ มีรายละเอียดคาสอนต่างกันดังนี้
๑) ลัทธิเวทานตะ (Vedanta) ก่อตั้งโดยฤาษีพาทรายณะ
๒๙
ขอให้พระรัตนตรัยคุม้ ครอง
อาจารย์
๓๓
จดหมายฉบับที่ ๓ บ้านกาญจนรัชต์
นครราชสีมา
พิชญา ศิษย์รกั
จดหมายฉบับที่ แล้ว อาจารย์ได้กล่าวถึ งสังคมอินเดียยุคก่อนพุทธกาล ซึ่ง
เป็ นยุคก่อนที่ พระพุทธศาสนาจะอุ บัติขึ้ น จดหมายฉบับนี้ จะได้กล่าวต่อเนื่ องถึ ง
สังคมอิ นเดี ยยุ คพุ ทธกาล ซึ่ งมี ประเด็ นส าคัญในเรื่ องสภาพเศรษฐกิ จและการ
ปกครอง ลัทธิของครูท้ัง ๖ ร่วมสมัยยุคพุทธกาล เรื่องราวของพระพุทธเจ้า รวมถึง
การเกิ ดขึ้ นของพระพุ ทธศาสนากับการเปลี่ ยนแปลงความเชื่อและวัฒนธรรมใน
สังคมอินเดีย ซึ่งจะกล่าวไปโดยลาดับ ดังนี้
๑. สภาพเศรษฐกิจและการปกครอง
การที่เราจะเข้าใจประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาได้อย่างลึกซึ้ ง จาเป็ นอย่าง
ยิ่งที่จะต้องศึกษาสิ่งแวดล้อมในถิ่นกาเนิ ดของพระพุทธศาสนาเสียก่อน ทั้งนี้ เพราะ
สิ่งแวดล้อมมีความสาคัญอย่างยิง่ ต่อการกาหนดท่าที บทบาท ลักษณะ รูปแบบของ
องค์กรพระพุทธศาสนาจะทาให้เราทราบที่มาที่ไปว่า เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ที่
เรียงร้อยกันเป็ นประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนานั้ น เกิดขึ้ นเพราะอะไร สิ่งแวดล้อม
ที่ สาคัญที่ จะต้องศึ กษานอกจากพื้ นฐานความเชื่อในสังคมอิ นเดี ยแล้ว ในที่ นี้ จะ
กล่ าวถึ งสภาพเศรษฐกิ จและการเมื องการปกครองในสมัยพุ ทธกาลด้วย เพราะ
สิ่งแวดล้อมทั้งสองนี้ ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผูค้ นโดยตรง ซึ่งต้องคานึ งถึงอยูท่ ุกวัน
๑.๑ การเมืองการปกครอง
ประเทศอิ น เดี ยในยุ คพุ ท ธกาลสามารถแบ่ งพื้ นที่ ออกเป็ น ๒ ส่ วน คื อ
ส่วนกลางหรือเขตชั้นใน เรียกว่า "มัชฌิ มประเทศ" และส่วนรอบนอกหรือหัวเมือง
ชายแดน เรียกว่า "ปั จจันตประเทศ" มัชฌิมประเทศเป็ นเขตที่มีประชาชนอาศัยอยู่
มาก มี ความเจริญ เป็ นศู นย์กลางธุ รกิ จการค้าและการศึ กษา มี นั กปราชญ์ ราช
บัณฑิตมาก แบ่งการปกครองออกเป็ น ๑๖ แคว้นใหญ่ๆ ดังที่ปรากฏในอุโปสถสูตร
ฉบับบาลี คื อ "อังคะ มคธ กาสี โกสล วัชชี มัลละ เจตี วังสะ กุ รุ ปั ญจาละ มัจฉะ
๓๔
๑.๒ สภาพเศรษฐกิจในสมัยพุทธกาล
สภาพเศรษฐกิ จ ในอิ น เดี ย สมั ย พุ ท ธกาลตามที่ ป รากฏหลั ก ฐานใน
พระไตรปิ ฎกและอรรถกถานั้ น กล่ าวว่า มี เศรษฐกิ จดี มาก การผลิ ตและการค้า
เจริญรุ่งเรือง มีกองเกวียนเดินทางขนสินค้าไปขายระหว่างเมืองจานวนมาก มีมหา
เศรษฐี ที่ มีสมบัติมากมหาศาลหลายท่ าน เช่น โชติ กเศรษฐี ชฎิลเศรษฐี เมณฑก
เศรษฐี อนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาอุบาสิกาวิสาขา เป็ นต้น
การประกอบอาชีพ
อาชีพของคนอินเดียในสมัยพุทธกาลขึ้ นอยู่กับวรรณะที่ ตนเกิด ผูท้ ี่ เกิดใน
วรรณะใดก็จะมีอาชีพประจาวรรณะนั้นดังนี้
๑) วรรณะกษั ต ริ ย์ เป็ นชนชั้ น สู งมี ห น้ าที่ ในการปกครองบ้ านเมื อ ง
ปราบปรามโจรผูร้ า้ ยและทาการรบพุ่งกับข้าศึ กภายนอก ประกอบด้วยพระราชา
มหากษัตริย์ เชื้ อพระวงศ์ต่างๆ รวมถึ งพวกที่ รับราชการในระดับสูง เช่น ปุโรหิต
เสนาบดี เป็ นต้น
๒) วรรณะพราหมณ์ เป็ นผูท้ ี่มีอาชีพสัง่ สอนคนในสังคมและทาพิธีตามลัทธิ
ศาสนา มีท้งั ที่เป็ นนักบวชและคฤหัสถ์ เช่น ครูท้งั ๖ ก็จดั เป็ นชนชั้นสูงเช่นกัน
๓) วรรณะแพทย์ เป็ นพลเมื องทั ่วไป มี อาชี พ ท าการเกษตร เลี้ ยงสั ต ว์
ช่างฝี มือ ค้าขาย ซึ่งจัดเป็ นชนชั้นสามัญ
๔) วรรณะศูทร เป็ นพวกกรรมกรหรือคนใช้ซึ่งทางานหนัก ได้แก่พวกทาส ๔
จาพวก คือ ทาสที่เกิดภายในเรือน ทาสที่ซอมาด้ ื้ วยทรัพย์ ผูท้ ี่สมัครเข้ามาเป็ นทาส
เชลยที่ เข้าถึ งความเป็ นทาส พวกนี้ จัดเป็ นชนชั้นตา่ มีอาชีพในการรับจ้างด้วยแรง
ตลอดถึงทาการงานอื่นๆ ที่ชนชั้นสูง รังเกียจว่าเป็ นการงานชั้นตา่
๒. ครูท้งั ๖ ลัทธิร่วมสมัยยุคพุทธกาล
ในสมัยพุทธกาลมีสมณพราหมณ์เจ้าลัทธิต่างๆ จานวนมาก แต่ที่มีชื่อเสียง
เป็ นที่ ยอมรับของมหาชนมีอยู่ ๖ ท่ าน คื อ ปูรณกัสสปะ มักขลิ โคสาล อชิตเกส-
กัมพล ปกุ ธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุ ตร และนิ ครนถนาฏบุ ตร เจ้าลัทธิ เหล่านี้
แม้แต่พระราชามหากษัตริย์ เช่น พระเจ้าอชาตศัตรู พระเจ้าปเสนทิ โกศล ก็ยงั หา
โอกาสไปสนทนาสอบถามปั ญหาทางปรัชญาด้วย ครูแต่ละท่านมีบริษัทบริวารคน
๓๖
๒.๖ นิครนถนาฏบุตร
นิ ครนถนาฏบุตร หรือศาสดามหาวีระ เกิดที่กุณฑคาม เมืองไวสาลี แคว้น
วัชชีของพวกเจ้าลิจฉวี มหาวีระเป็ นศิษย์ของท่านปาร์ศวา ซึ่งเป็ นศาสดาองค์ที่ ๒๓
ในศาสนาเชนผูม้ ีอายุห่างจากท่านมหาวีระถึง ๒๕๐ ปี ท่านมหาวีระเป็ นศาสดาองค์
ที่ ๒๔ ได้สงั ่ สอนอยู่ ๓๐ ปี จึงมรณภาพ ภายหลังเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น
สาวกของนิ ครนถนาฏบุตรจานวนมากได้เปลี่ยนมาเป็ นพุทธสาวก
ลัทธิ ของนิ ครนถนาฏบุ ตรปั จจุ บันเรี ยกว่า ศาสนาเชน ลัทธิ นี้ จัดอยู่ใน
ประเภท "อัตตกิ ลมถานุ โยค" คื อ เป็ นลัทธิ ที่ถือว่าการทรมานตนเองเป็ นการเผา
กิ เลส เป็ นทางน าไปสู่ การบรรลุ ธรรมที่ เรียกว่า โมกษะ ผูท้ ี่ ฝึ กฝนดี แล้ว ย่อมไม่
หวัน่ ไหวต่อทุ กสิ่งทุ กอย่างที่ เกิดทางกาย วาจา ใจ ศาสนาเชนสอนว่า แก้ว ๓ ดวง
คือ มีความเห็นชอบ มีความรูช้ อบ มีความประพฤติชอบ จะนาไปสู่โมกษะได้ พระ
เจ้าเป็ นเรื่องเหลวไหล พระเจ้าไม่สามารถบันดาลทุกข์สุขให้ใครได้ ทุกข์สุขเป็ นผล
มาจากกรรม การอ้อนวอนเป็ นสิ่งไร้ประโยชน์ไม่มีสาระ
นั กบวชเชนต้องรักษาศีล ๕ อย่างเคร่งครัด คือ เว้นจากการฆ่าสิ่งที่ มีชีวิต
รวมทั้งพืชด้วย เว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เว้น
จากการประพฤติ ผิดในกาม และไม่ยินดีในกามวัตถุ ส่วนศาสนิ กชนเชนต้องรักษา
ศีล ๑๒ อย่างเคร่งครัดคือ เว้นจากการทาลายสิ่งที่มีชีวิต เว้นจากการประพฤติผิด
ในกาม เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ มีความพอใจในสิ่งที่ตนมี เว้น
จากอารมณ์ ที่ ก่ อให้เกิ ดความชัว่ เช่น การเที่ ยวเตร่ รูจ้ ักประมาณในการใช้สอย
เครื่องอุปโภคบริโภค เว้นจากทางที่ก่อให้เกิดอาชญาให้รา้ ย ไม่ออกพ้นเขตไม่วา่ ทิศ
ใดทิศหนึ่ งยามบาเพ็ญพรต บาเพ็ญพรตทุกเทศกาล อยูจ่ าอุโบสถศีล ให้ทานแก่พระ
และต้อนรับแขกผูม้ าเยือน
เชนนั บเป็ นศาสนาที่ถือหลักการไม่เบียดเบียนหรืออหิงสาอย่างเอกอุ เป็ น
ศาสนาที่มีแนวคิดใกล้เคียงกันกับพระพุทธศาสนา แม้แต่การสร้างพระพุทธรูป ถ้า
ดู อ ย่ างผิ วเผิ น ก็ ไม่ เห็ น ความแตกต่ างกั น มากนั ก ยกเว้น จะเปลื อยกายและมี
ดอกจันทน์ ที่หน้าอกเท่านั้น ปั จจุบนั มีเชนศาสนิ กชนประมาณ ๖ ล้านคนทัว่ อินเดีย
โดยมากจะมีฐานะดี เพราะเป็ นพ่อค้าเสียส่วนใหญ่ เนื่ องจากทาการเกษตรไม่ได้จะ
เป็ นการผิ ดศี ล เพราะเชนถื อว่าพื ชก็ มีชีวิต การเกี่ ยวข้าวตัดหญ้าเป็ นบาปทั้งสิ้ น
๔๑
จากนั้นพระองค์เสด็จไปยังสานักอาฬารดาบสและอุทกดาบส ทรงศึกษาวิชา
ความรูจ้ นเจนจบทุกอย่างเท่าที่อาจารย์ท้งั สองสามารถสอนได้ แต่พระองค์ทรงเห็น
ว่าความรูเ้ ท่านี้ ไม่สามารถตรัสรูไ้ ด้ จึงปลีกตัวไปบาเพ็ญเพียรตามลาพังด้วยวิธีการ
ต่างๆ ที่ เชื่อกันในยุคนั้ นว่าจะเป็ นทางแห่งการตรัสรู ้ เช่น การทรมานพระวรกาย
เป็ นต้น แม้ปฏิบตั ิอยูถ่ ึง ๖ ปี ด้วยความวิริยอุตสาหะอย่างยิ่งยวด เมื่อทาจนถึงที่สุด
แล้วแต่ก็ไม่นาไปสู่การตรัสรูธ้ รรม พระองค์จึงหันมาบาเพ็ญเพียรด้วยการทาสมาธิ
ดาเนิ นจิตไปตามหนทางสายกลาง ในที่สุดก็ได้บรรลุพระธรรมกาย ตรัสรูเ้ ป็ นพระ
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี
เมื่ อตรัสรู แ้ ล้ว พระสัมมาสัมพุ ทธเจ้าทรงสัง่ สอนเวไนยสัตว์ท้ั งกษั ตริ ย์
พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ตลอดจนพวกนอกวรรณะให้ตรัสรูธ้ รรมตามพระองค์และเข้า
มาขออุปสมบทเป็ นพุทธสาวกมากมาย บางพวกก็ประกาศตนเป็ นพุทธมามกะขอถึง
พระรัตนตรัยว่าเป็ นที่พึ่งกันจานวนมาก พุทธวิธีการสอนของพระองค์มีหลากหลาย
ทั้งนี้ เพื่อให้เหมาะสมกับฐานะและอุปนิ สัยของแต่ละบุคคล จึงทาให้ผูฟ้ ั งมีความรู ้
ความเข้าใจและตรัสรูต้ ามได้โดยง่าย พระองค์ทรงใช้เวลา ๔๕ ปี เผยแผ่พุทธธรรม
ปั กหลักพระศาสนาในชมพูทวีป ละเสด็จขันธปรินิพพานในวันเพ็ญเดื อน ๖ เมื่อ
พระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา
๔. การเกิ ดขึ้ นของพระพุทธศาสนากับการเปลี่ยนแปลงความเชื่ อ
และวัฒนธรรมในสังคมอินเดีย
การบั งเกิ ดขึ้ นของพระสัมมาสั มพุ ทธเจ้าเป็ นเหตุ การณ์ อันยิ่ งใหญ่ ซึ่ ง
เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ความเชื่อและวัฒนธรรมของชาวอินเดียในยุคนั้ นอย่าง
ใหญ่หลวง จากที่กล่าวแล้วในบทที่ ๒ ว่า สังคมอินเดียก่อนยุคพุทธกาลและในยุค
พุทธกาลตกอยูใ่ นอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งหยัง่ รากฝั งลึกลงในสังคมและสืบ
ทอดกั น มากหลายพั น ปี โดยเฉพาะการแบ่ งคนออกเป็ น ๔ วรรณะนั้ น เป็ น
วัฒนธรรมที่เหนี ยวแน่ นมาก พราหมณ์ท้งั หลายเชื่อว่า วรรณะพราหมณ์เท่านั้นเป็ น
วรรณะที่ ประเสริฐที่ สุด วรรณะอื่นเลวทรามและทุ กๆ คนจะต้องเคารพพราหมณ์
ดังที่ปรากฏในอัคคัญสูตร พราหมณ์ท้งั หลายได้ด่าบริภาษวาเสฏฐะและภารทวาชะ
ผูอ้ อกจากตระกูลพราหมณ์ไปบวชเป็ นสามเณรในพระพุทธศาสนาว่า
๔๔
เมื่อไปถึงแล้วก็ได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางพวกก็บรรลุธรรม
และได้ขอถึ ง พระรัตนตรัยเป็ นที่ พึ่งที่ ระลึกกันจานวนมาก ในการแสดงธรรมของ
พระสัมมาสัมพุ ทธเจ้าแต่ ละครั้งจะมี ผู ต้ รัสรูธ้ รรมกันมากมาย ซึ่งจะยกตัวอย่าง
กษั ตริย์ พราหมณ์ผูป้ กครองเมืองและพราหมณ์เจ้าลัทธิ ต่างๆ ในยุคนั้ นที่ หันมา
เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
นอกจากนี้ ยังมีเศรษฐีมหาเศรษฐีจานวนมากที่เลื่อมใสและเป็ นกาลังสาคัญ
ในพระพุทธศาสนา เช่น โชติกเศรษฐี เมณฑกเศรษฐี ชฎิลเศรษฐี อนาถบิณฑิก -
เศรษฐี มหาอุบาสิกาวิสาขา เป็ นต้น และยังมีประชาชนพลเมืองทัว่ ไปอีกมากมาย
เฉพาะในแคว้นมคธเพียงแคว้นเดียวก็มีราษฎรจานวนมากใน ๘๐,๐๐๐ ตาบล ที่
เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา โดยครั้งหนึ่ งพระเจ้าพิมพิสารเรียกประชุ มราษฎรทั้ง
๘๐,๐๐๐ ตาบล ซึ่งอยูภ่ ายใต้การปกครองของพระองค์ จากนั้ นก็ให้ราษฎรทั้งหมด
ไปฟั งธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งนั้นมีผไู ้ ด้ตรัสรูธ้ รรมกันจานวนมาก
จากตั วอย่ างที่ ยกมานี้ จึ งกล่ าวได้ว่าเวลาเพี ยง ๔๕ ปี แห่ งการประกาศ
พระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเชื่อและวัฒนธรรมในสังคมอินเดีย
ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย ศาสนาพราหมณ์ได้เสื่อมความนั บถือลงและต้อง
ปรับตัวขนานใหญ่จนกลายเป็ นศาสนาฮินดูในเวลาต่อมา
ทั้งนี้ เพราะแคว้นใหญ่ๆ ในอินเดียสมัยพุทธกาลมีท้งั หมด ๑๖ แคว้น ตามที่
ปรากฏในพระไตรปิ ฎก ดังตารางที่ กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่า มีกษั ตริย์พราหมณ์
ผูป้ กครองและพราหมณ์เจ้าลัทธิ รวมทั้งมหาเศรษฐี ในแคว้นต่างๆ จานวนมากที่
เลื่ อมใสในพระพุ ทธศาสนา เมื่อชนชั้นผูป้ กครองศรัทธาในพระพุทธศาสนาแล้ว
ประชาชนทัว่ ไปก็จะศรัทธาตามด้วย
สาเหตุแห่งความเปลี่ยนแปลงความเชื่อและวัฒนธรรมในสังคมอินเดียอย่าง
รวดเร็วใน ครั้งนั้ นมีสาเหตุหลายประการที่สาคัญที่สุดคือ คาสอนของพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้าเป็ นสัจธรรมอันจริงแท้แน่ นอนที่ผูป้ ฏิบัติสามารถพิสูจน์ ได้ดว้ ยตนเอง
และมีผปู ้ ฏิบตั ิจนเข้าถึงธรรม บรรลุธรรมเป็ นพระอรหันต์ พระอริยบุคคลเป็ นพยาน
ให้พระพุ ทธศาสนามากมาย เขาเหล่านั้ นมีท้ังพระราชามหากษั ตริย์ มหาเศรษฐี
เสนาบดี มหาอามาตย์ แม้แต่เจ้าลัทธิใหญ่ที่มีศิษย์จานวนมากก็หันมานั บถือและ
เป็ นพยานให้พระพุทธศาสนาด้วย
๔๗
ขอให้พระรัตนตรัยคุม้ ครอง
อาจารย์
๕๐
จดหมายฉบับที่ ๔ บ้านกาญจนรัชต์
นครราชสีมา
พิชญา ศิษย์รกั
ฉบับที่แล้ว อาจารย์ได้กล่าวถึงประวัติพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล ซึ่ง
เป็ นสมั ย ที่ พระพุ ท ธเจ้า ยั ง ทรงพระชนม์ อ ยู่ ในฉบั บ นี้ จะได้ ก ล่ า วประวั ติ
พระพุ ทธศาสนามนช่วงหลังพุทธปรินิ พพาน ๕๐๐ ปี ซึ่งจะมี เรื่องการสังคายนา
หรือร้อยกรองพระธรรมวนั ยไว้จดั ไว้เป็ นหมวดหมู่ ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา
ในยุ ค ๕๐๐ ถึ ง ๑,๐๐๐ ปี รวมถึ งยุคสมัยที่ พระพุ ทธศาสนาเสื่ อมไปจากอิ นเดี ย
รายละเอียดทั้ง ๓ ประเด็น อาจารย์จะได้กล่าวเป็ นลาดับไป
๑. พระพุทธศาสนาหลังพุทธปรินิพพาน ๕๐๐ ปี
ในมหาปรินิพพานสูตร มีขอ้ ความตอนหนึ่ งกล่าวถึ งโอวาทที่ พระพุทธเจ้า
ตรัสกับพระอานนท์ว่า "อานนท์บางที พวกเธออาจจะคิ ดว่า ปาพจน์ มีพระศาสดา
ล่วงลับไปแล้ว พวกเราไม่มีพระศาสดา ข้อนี้ พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้ น ธรรมและ
วินั ยที่ เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย หลังจากเราล่วงลับไป ก็ จะเป็ น
ศาสดาของเธอทั้งหลาย"
พระพุ ท ธด ารัส นี้ เป็ นสิ่ งยื น ยัน อย่ างชั ด เจนว่ า พระผู ้มี พ ระภาคทรงให้
ความส าคัญกับธรรมและวินั ยที่ พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ดีแล้วอย่างสู งยิ่ง ทรงยก
ธรรมและวินัยนั้ นไว้ในฐานะศาสดาแทนพระองค์เอง นั น่ หมายความว่า เมื่อพระผูม้ ี
พระภาคเจ้าเสด็ จดับขันธปรินิ พพานไปแล้ว ธรรมและวินั ยถื อเป็ นสิ่ งแทนพระ
ศาสดาและเป็ นตัวพระศาสนาที่แท้จริงที่พุทธบริษัทจะต้องช่วยกันรักษาให้ดารงคง
อยูส่ ืบไป
การปรารภที่ จะสั งคายนาพระธรรมวิ นั ย นั้ น เริ่ ม มี ม าแล้วตั้ งแต่ ส มั ย
พุทธกาล ในปาสาทิ กสูตร กล่าวว่า ภายหลังจากที่ นิครนถนาฏบุตรผูเ้ ป็ นศาสดา
ของศาสนาเชนได้สิ้นชีวิต สานุ ศิษย์ได้ทะเลาะกันขนานใหญ่จนแตกแยกนิ กายกัน
พระพุทธองค์ทรงปรารภเหตุนี้ ตรัสแนะนาให้พระสงฆ์ท้งั ปวงร่วมกันสังคายนาพระ
๕๑
๑.๑ การสังคายนาครั้งที่ ๑
ปฐมสังคายนา : หลังจากพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน
ประธานสงฆ์ : พระมหากัสสปเถระ มีพระอุบาลีเป็ นผู ้
เรียบเรียงสวดพระวินัย พระอานนท์เป็ นผู ้
เรียบเรียงสวดพระสูตร
ผูเ้ ข้าร่วมประชุมสังคายนา : พระอรหันตขีณาสพจานวน ๕๐๐ รูป
องค์อุปถัมภ์ : พระเจ้าอชาตศัตรู
เหตุในการทาสังคายนา : พระสุภทั ทะกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย
สถานที่ประชุมทาสังคายนา : ถ้าสัตตบรรณคูหา ข้างภูเขาเวภาร
บรรพต เมืองราชคฤห์
ระยะเวลาในการประชุม : กระทาอยู่ ๗ เดือนจึงสาเร็จ
บันทึกเหตุการณ์สาคัญ :
หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วได้เพียง ๗ วัน
เหล่าพระสาวกที่ ยงั ไม่ได้บรรลุพระอรหันต์ ต่างมีความเศร้าโศกเสียใจเป็ นอันมาก
แต่มีพระภิกษุ รูปหนึ่ งชื่อว่า สุภทั ทะ กลับดีใจพูดว่า "พระพุทธเจ้านิ พพานเสียแล้วก็
ดี ต่อไปจะได้ไม่มีใครมาคอยกล่าวว่า สิ่งนี้ ควรทา สิ่งนี้ ไม่ควรทา"
พระมหากั ส สปะได้ฟั งดั งนั้ น ก็ บั งเกิ ด ความสลดใจว่ า "พระพุ ท ธเจ้า
ปรินิพพานเพียงไม่กี่วนั ยังมีผูก้ ล่าวถ้อยคาที่ไม่สมควรเช่นนี้ ถ้าไม่จดั การอะไรลง
ไป ปล่อยไว้ให้เนิ่ นนานเสียก็จะนาความเสื่อมเสียมาสู่พระพุทธศาสนา สิ่งที่ ไม่ใช่
ธรรมไม่ใช่วินัยจักเจริญ สิ่งที่ เป็ นธรรมเป็ นวินัยจะเสื่อมกาลัง พวกอธรรมวาที จัก
เจริญ พวกธรรมวาทีจกั เสื่อมถอย" ดังนั้ นเมื่อถวาย พระเพลิงพระพุทธสรีระเสร็จ
แล้ว ท่านจึงชักชวนภิกษุ ท้งั หลายให้มาร่วมทาสังคายนา
ในระหว่างสังคายนา พระอานนท์ ได้แจ้งให้ที่ ประชุ มสงฆ์ทราบว่า พระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุ ญาตว่า ถ้าสงฆ์เห็นสมควรก็สามารถเพิกถอนสิกขาบท
เล็กน้อยได้ แต่ที่ประชุ มมีความเห็ นไม่ตรงกันว่าสิกขาบทเล็กน้อยหมายความถึ ง
สิกขาบทใดบ้าง พระมหากัสสปะจึงสรุปว่าจะไม่เพิกถอนสิกขาบทที่ พระสัมมาสัม
พุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว และจะไม่บญ ั ญัติสิกขาบทที่พระองค์ไม่ได้บญั ญัติไว้ ซึ่งที่
๕๓
๒.๑.๒ สาเหตุภายนอกพระพุทธศาสนา
ในสมัยพุทธกาลนั้ น การประกาศศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รับ
การต่อต้านจากพวกคณาจารย์เจ้าลัทธิ ต่างๆ เช่น ลัทธิ ครูท้ัง ๖ เป็ นต้น มีหลาย
ครั้งที่เกิดการประวาทะของพระพุทธองค์กบั เจ้าลัทธิหรือเหล่าสานุ ศิษย์ลัทธิต่างๆ
โดยเฉพาะจากศาสนาพราหมณ์ เพราะในสมัยนั้ นประชาชนนั บถือศาสนาพราหมณ์
กันเป็ นส่วนใหญ่ ทาให้พระพุทธศาสนากลายเป็ นที่สนใจของประชาชน และมีผูห้ นั
มายอมรับนั บถื อพระพุทธศาสนากันมากมายและขยายศรัทธาออกไปในวงกว้าง
สร้างความสัน่ สะเทือนจนถึงขั้นรากฐานกับศาสนาพราหมณ์และเจ้าลัทธิท้ังหลาย
พระพุ ทธศาสนาจึ งถู กต่ อต้านโจมตี และบ่ อนท าลายอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุ ผล
สาคัญที่เป็ นแรงจูงใจ ดังนี้
๑. พระพุทธศาสนาไม่ยอมรับคัมภีรพ์ ระเวท (อไวทิกวาทะ)
๒. พระพุทธศาสนามีคาสอนและแนวทางปฎิบตั ิที่เน้นศีล สมาธิ ปั ญญา ทา
ให้ผูป้ ฏิบัติสามารถเข้าถึ งสัจธรรมความจริงได้ดว้ ยตนเอง แตกต่างไปจากที่ พวก
พราหมณ์และคณาจารย์ท้งั หลายสอนกันอยูใ่ นสมัยนั้น
๓. พระพุทธเจ้าปฏิเสธระบบวรรณะที่ พวกพราหมณ์บัญญัติขึ้น ไม่ยอมรับ
ฐานะของพวกพราหมณ์ที่ใครๆ ต่างยกย่องว่าสูงส่ง
๔. การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของพระพุทธศาสนา
ดั ง นั้ น พวกพราหมณ์ ได้ พ ยายามทุ กวิ ถี ทางในการบ่ อนท าลาย
พระพุ ท ธศาสนาเพื่ อ หาทางดึ งศาสนิ กกลั บ คื น แต่ ผ ลปรากฏว่ าไม่ ป ระสบ
ความสาเร็จ เนื่ องจากพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ไปอย่างกว้างขวางเป็ นที่ยอมรับของ
ประชาชน และได้รบั การอุปถัมภ์จากกษัตริยอ์ ย่างดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยของ
พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชวงศ์เมารยะหรือโมริยะ
แต่ครั้นเมื่อราชวงศ์เมารยะดับสูญ อามาตย์ปุษยมิตรแห่งราชวงศ์ศุงคะก็ได้
ปกครองอินเดียสืบต่อมา กษัตริยพ์ ระองค์นี้ทรงเลื่อมใสในศาสนาฮินดูมากเพราะ
ทรงเป็ นพราหมณ์มาก่อน ดังนั้ นคนในวรรณะพราหมณ์จึงมีโอกาสได้ขึ้นเป็ นใหญ่
ศาสนาพราหมณ์ซึ่งรอจังหวะที่จะทาลายพระพุทธศาสนาอยูแ่ ล้ว จึงถือโอกาสอาศัย
อานาจทางการเมืองทาลายพระพุทธศาสนาและฟื้ นฟูลัทธิ ศาสนาของตนเป็ นการ
ใหญ่ แม้แต่พระเจ้าปุษยมิตรเองก็แสดงพระองค์วา่ เป็ นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนา
๖๔
๓. แนวคิดเรื่อง "ตรีกาย"
หลักตรีกายเป็ นหลักสาคัญของมหายานที่อธิบายว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามี
๓ กายเป็ นหลักร่วมกันของทุ กนิ กาย พระสู ตรต่ างๆ ก็ จะพูดถึ งตรีกายอยู่เสมอ
ก่อนอื่นควรทาความเข้าใจว่า แรกเริ่มพุทธศาสนามหายานดั้งเดิมมีหลักคาสอน
เรื่ องกายของพระสัมมาสัมพุ ทธเจ้าไม่ ต่ างจากเถรวาท กล่ าวคื อ ถื อกันว่าพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้ามีเพียง ๒ กาย คือ
๑) นิ รมาณกาย หรื อที่ ฝ่ ายเถรวาท เรี ยกอี กอย่างหนึ่ งว่า รู ปกาย อั น
หมายถึงทั้งกายหยาบและละเอียดเหมือนสัตวโลกทัว่ ไป
๒) ธรรมกาย คาว่า ธรรมกายในวรรณกรรมมหายานดั้งเดิม มีความหมาย
๒ ประการ คือ ประการแรก ธรรมกายเป็ นกายแห่งธรรม ประมวลข้อปฏิบัติ คาสัง่
สอน ซึ่งช่วยเสริมพระบารมี อยู่ในฐานะพุ ทธคุ ณอย่างหนึ่ ง และอี กประการหนึ่ ง
ธรรมกายเป็ นตถาคตกาย ความเป็ นอย่างนั้ น หลักความจริงอันเป็ นรากฐานแห่ง
จักรวาล
ต่อมาในยุคของท่านอสังคะและวสุพนั ธุ คณาจารย์ของนิ กายโยคาจาร จึงมี
การเพิ่มกายเข้ามาอีกหนึ่ งกาย คือ สัมโภคกาย ทาให้เกิดเป็ นแนวคิดตรีกายขึ้ นมา
และธรรมกายก็ มี ความหมายค่อนข้างไปทางเทวนิ ยม ดังนั้ นพระกายทั้ง ๓ จึงมี
ความหมายดังนี้
๑) ธรรมกาย หมายถึง สภาวะอันเป็ นอมตะ เป็ นสิ่งที่ไร้รูป ไม่อาจรับรูไ้ ด้
ด้วยประสาทสัมผัส ไม่มีเบื้ องต้นและที่สุด ทั้งไม่มีจุดกาเนิ ดและผูส้ ร้าง ดารงอยู่ได้
ด้วยตนเอง แม้จักรวาลจะว่างเปล่าปราศจากทุ กสิ่ง แต่ธรรมกายจะยังคงดารงอยู่
โดยไม่มี ที่ สิ้นสุ ด และมหายาน ยังมี ความเชื่อว่า พระธรรมกายนี้ เอง ที่ แสดงตน
ออกมาในรูปของสัมโภคกายบนภาคพื้ นสวรรค์ และจากสัมโภคกายนี้ ก็จะเเสดงตน
ออกมาในรูปนิ รมาณกาย ทาหน้าที่สงั ่ สอนสรรพสัตว์ในโลกมนุ ษย์
๒) สัมโภคกาย หมายถึง พระกายที่แท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กาย
นี้ จะไม่ มี ก ารแตกดั บ อยู่ในสภาวะอั น เป็ นทิ พย์อยู่ชัว่ นิ รัน ดร์ และนอกจากนี้
มหายานยังมี ความเชื่ อว่า สัมโภคกายสามารถที่ จะแสดงตนให้ปรากฏแก่ พระ
โพธิสัตว์ได้ สามารถที่จะรับทราบคาสวดสรรเสริญและอ้อนวอนจากผูท้ ี่เลื่อมใสได้
และสัมโภคกายนี้ เองที่เนรมิตตนลงมาเป็ นนิ รมาณกาย คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใน
๖๙
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในความเชื่อของมหายานจึงสามารถอุบตั ิขึ้นในจักรวาลพร้อม
กันได้มากกว่าหนึ่ งพระองค์ เมื่อเป็ นดังนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ อุบัติขึ้นเพื่อทา
หน้ าที่ โปรดเวไนยสัตว์ในแต่ ละจักรวาลทั้งในอดี ต ปั จจุ บัน อนาคตจึงมี จานวน
มากมายมหาศาลนับประมาณมิได้ดุจเมล็ดทรายในคงคานที
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ในแต่ละพุทธเกษตร ไม่วา่ จะอยูใ่ นภาค
สัมโภคกายหรื อนิ รมาณกาย ทั้ งหมดล้วนแตกขยายออกมาจากธรรมกายอั น
เดียวกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในแต่ละพุทธเกษตรอาจมีลกั ษณะและคุณสมบัติที่
ผิดแผกกันตามความเหมาะสม ในการโปรดสัตว์ในพุทธเกษตรนั้ นๆ แต่นั่นเป็ น
เพียงความแตกต่างภายนอกเท่านั้ น โดยเนื้ อแท้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าล้วนมาจาก
ธรรมกายเดียวกัน ดุจน้ าแม้จะอยู่คนละสถานที่ก็ลว้ นเป็ นน้ า ที่ มีเนื้ อแท้เป็ นชนิ ด
เดียวฉันนั้น
พุ ทธเกษตรแต่ ละแห่ง แตกต่ างกันตามบารมี ของพระสัมมาสัมพุ ทธเจ้า
ประจาพุทธเกษตรนั้ น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดสมัยที่เป็ นพระโพธิสัตว์ได้
บ าเพ็ ญ บารมี ไว้มาก อ านาจพระบารมี น้ั นจะส่ งผลให้พุ ทธเกษตรของพระองค์
รุ่งเรืองมากกว่าพุทธเกษตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บาเพ็ญบารมีธรรมมาน้อย
กว่าและพุทธเกษตรที่กล่าวกันว่าเป็ นพุทธเกษตรที่รุ่งเรืองที่สุด และเป็ นที่นิยมมาก
ที่สุดในบรรดาพุทธเกษตรทั้งหมด ก็คือสุขาวดีพุทธเกษตรอันเป็ นที่อยู่ของพระอมิ
ตาภะ
คนทั ่ว ไปมั ก จะเข้า ใจว่ า สุ ข าวดี เป็ นชื่ อ หนึ่ งของพระนิ พพาน แต่ ใน
ความหมายของมหายาน สุ ขาวดี น้ั นยังไม่ใช่นิ พพาน เป็ นเพี ยงพุ ทธเกษตรหนึ่ ง
เท่ านั้ น แต่ สุ ขาวดี พุ ทธเกษตรต่ างจากพุ ทธเกษตรที่ เราอาศัยอยู่นี้ เพราะเป็ น
สถานที่ที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ไม่มีแม้แต่อบายภูมิ จึงสมบูรณ์ดว้ ยสิ่งอานวยความสุข
นานาประการ อีกทั้งอายุของผูท้ ี่เกิดในดินแดนแห่งนี้ ก็ยาวนานมาก ฉะนั้ นจึงคล้าย
กับว่าเป็ นสถานที่อยูอ่ นั ถาวรไป
แนวคิดเรื่องพุทธเกษตรนี้ เชื่อว่ามาจากทัศนะของฝ่ ายมหายานที่ มองว่า
นิ พพานไม่ใช่สิ่งที่คนเราจะบรรลุได้งา่ ยๆ เป็ นสิ่งที่อยูไ่ กลเกินกว่าคนธรรมดาทัว่ ไป
จะเอื้ อมถึ ง นิ พพานที่ ตอ้ งบรรลุ ถึงด้วยการปฏิบัติศีล สมาธิ ปั ญญาอย่างยิ่งยวด
และต้องใช้เวลานาน จึงถูกปรับมาให้กลายเป็ นสิ่งที่สามารถเข้าถึงได้ดว้ ยการทาบุญ
๗๑
ขอให้พระรัตนตรัยคุม้ ครอง
อาจารย์
๙๒
จดหมายฉบับที่ ๕ บ้านกาญจนรัชต์
นครราชสีมา
พิชญา ศิษย์รกั
จดหมายฉบับนี้ อาจารย์จะได้กล่าวถึ งประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาใน
ทวีปเอเชี ย ซึ่ งถื อว่าเป็ นทวี ปที่ ใหญ่ มาก เมื่ อศึ ก ษาโดยละเอี ยดแล้ว จะท าให้
มองเห็นภาพของพระพุทธศาสนาที่เข้าสู่ทวีปเอเชีย ที่แบ่งออกเป็ นเอเชียใต้ เอเชีย
ตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ และเอเชียกลาง
เมื่อมองโดยภาพรวมของพระพุทธศาสนาในเอเชียแล้ว จะเห็นได้ว่า ทวีป
เอเชียเป็ นถิ่ นก าเนิ ดของศาสนาใหญ่ ทุ กศาสนา ไม่ว่าจะเป็ นศาสนาพุ ทธ คริสต์
อิสลามและฮินดู ปั จจุบนั ศาสนาคริสต์มีศาสนิ กมากที่สุดคือ ๒,๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ คน
ทัว่ โลก อันดับสองคือ ศาสนาอิสลาม มี ๑,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ คน อันดับสามคือ กลุ่ม
ที่ไม่มีศาสนาบ้าง ผูไ้ ม่เชื่อในพระเจ้าบ้าง (Atheist) หรือผูท้ ี่คิดว่าเป็ นไปไม่ได้ที่จะรู ้
เรื่องพระเจ้าบ้าง (Agnostic) ในกลุ่มนี้ มีประมาณ ๑,๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ คน ศาสนา
ฮินดูเป็ นลาดับที่ สี่ มีศาสนิ ก ๙๐๐,๐๐๐,๐๐๐ คน ซึ่งเกือบทั้งหมดอยู่ในประเทศ
อินเดีย อันดับที่หา้ เป็ นศาสนาในประเทศจีน ได้แก่ เต๋า ขงจื้ อ และศาสนาพื้ นเมือง
มี ป ระมาณ ๓๙๔,๐๐๐,๐๐๐ คน ส่ ว นพระพุ ท ธศาสนาอยู่ ในล าดั บ ที่ ห ก มี
พุทธศาสนิ กชนประมาณ ๓๗๖,๐๐๐,๐๐๐ คนทัว่ โลก
พระพุ ทธศาสนายังแบ่งออกเป็ นนิ กายเถรวาทประมาณ ๑๒๔,๐๐๐,๐๐๐
คน มหายานประมาณ ๒๐๕,๐๐๐,๐๐๐ คน และอื่นๆ อีกประมาณ ๔๗,๐๐๐,๐๐๐
คน ในนิ กายมหายานเฉพาะพระพุ ทธศาสนาแบบทิ เบตหรือวัชรยาน มี ศาสนิ ก
ประมาณ ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ คนทัว่ โลก
สาหรับพระพุทธศาสนาในเอเชียปั จจุบนั เจริญรุ่งเรืองอยูใ่ นเอเชียตะวันออก
เฉี ยงใต้และเอเชียตะวันออก ซึ่งเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้ประกอบด้วยประเทศไทย
พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม เป็ นต้น ส่วนเอเชียตะวันออกประกอบด้วยประเทศจีน
มาเก๊า เกาหลีใต้ ไต้หวัน ทิเบต เป็ นต้น ในเอเชียใต้ก็ยงั มีอยูพ่ อสมควรโดยเฉพาะ
ในศรีลังกา และภูฏาน ส่วนในอินเดียมีพุทธศาสนิ กชนอยู่ ๗,๐๐๐,๐๐๐ คน ถือว่า
น้อยมากเมื่อเทียบกับศาสนาฮินดูซึ่งมีถึง ๙๐๐,๐๐๐,๐๐๐ คน
๙๓
หากพิจารณาสัดส่วนของประชากรทั้งหมดกับผูน้ ั บถือพระพุทธศาสนาแล้ว
ประเทศไทยมีสัดส่วนของประชากรนั บถือพระพุทธศาสนาสูงที่สุดในโลกคือ ๙๕%
รองลงมาคือ กัมพูชา ๙๐% พม่า ๘๘% ภูฏาน ๗๕% ศรีลังกา ๗๐% ทิเบต ๖๕%
เป็ นต้น แต่ถ า้ ถื อเอาจานวนผูท้ ี่ นั บถื อพระพุ ทธศาสนามากที่ สุดโดยไม่คานึ งถึ ง
สั ด ส่ ว นประชากรแล้ ว ประเทศจี น มี พุ ท ธศาสนิ กชนมากที่ สุ ด ในโลกคื อ
๑๐๒,๐๐๐,๐๐๐ คน รองลงมาคือญี่ ปุ่น ๘๙,๖๕๐,๐๐๐ คน ส่วนประเทศไทย เป็ น
อันดับที่สามคือ ๕๕,๔๘๐,๐๐๐ คน
หากกล่ า วถึ งประวั ติ ศาสตร์ พ ระพุ ทธศาสนาในเอเชี ย จะพบว่ า
พระพุทธศาสนามีจุดกาเนิ ดที่ประเทศอินเดียทางตอนเหนื อและเผยแผ่ไปยังนานา
ประเทศโดยรอบ บางประเทศนั้ นพระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปถึงตั้งแต่สมัยพุทธกาล
โดยเฉพาะประเทศที่ มี พรมแดนติ ดกับอิ นเดี ย เช่น ประเทศเนปาล เป็ นต้ น แต่
ส่วนมากได้รบั พระพุทธศาสนา ครั้งแรกในยุคพระเจ้าอโศกมหาราช จากสมณทูต ๙
สาย ดังกล่าวแล้วในบทที่ ๒ ประเทศต่างๆ ในเอเชียเปิ ดรับเอาพระพุทธศาสนาเข้า
มาประสมประสานกับอารยธรรมเดิมของตน จนกลายเป็ นวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์
เฉพาะของดินแดนนั้นๆ
ทวีปเอเชียมีประชากรราว ๖๐% ของประชากรโลก มีเขตแดนติดต่อกับ ๒
ทวีป คือ ทวีปแอฟริกา และทวีปยุโรป นอกจากนี้ ทวีปเอเชียยังรวมถึ งเกาะต่างๆ
ในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกด้วย แบ่งภูมิภาคออกเป็ นส่วนตามทิ ศ
ต่างๆ ดังนี้ คือ เอเชียเหนื อ เอเชียกลาง เอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงเหนื อ
เอเชียใต้ และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ (หรือตะวันออกกลาง)
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคก่อนนั้ น พระภิ กษุ ผูเ้ ป็ นธรรมทู ตมักจะ
เดิ นทางไปบนเส้นทางการค้าขายที่ เรียกว่า เส้นทางสายไหม (Silk Road) ซึ่งเป็ น
เส้นทางของขบวนคาราวานในภูมิภาคเอเชียใต้ที่เชื่อมเมืองต่างๆ ระหว่างเอเชียไม
เนอร์ไปถึ งประเทศจีนเป็ นเส้นทางขนส่งสิ นค้าสาคัญ อันได้แก่ เส้นไหม ผ้าไหม
และเครื่องเทศ เป็ นต้น
ในช่วง ๓,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ปี มาแล้ว เส้นทางสายไหมเป็ นปั จจัยสาคัญในการ
เติบโตของแหล่งอารยธรรมโบราณหลายแห่ง คือ อียิปต์โบราณ เมโสโปเตเมีย จีน
๙๔
๑) ประเทศเนปาล
ประเทศเนปาลมี ชื่อเป็ นทางการว่า ราชอาณาจักรเนปาล (Kingdom of
Nepal) ตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย มีพรมแดนติดกับทิเบต และอินเดีย มีเมืองหลวง
ชื่อ กาฐมาณฑุ และเป็ นเมืองที่ ใหญ่ ที่สุดของประเทศ เนปาลมีประชากรประมาณ
๒๗,๑๓๓,๐๐๐ คน (พ.ศ.๒๕๔๘) The ๒๐๐๑ census (พ.ศ.๒๕๔๔) ระบุ ว่า ชาว
เนปาล ๘๐.๖% นั บถือศาสนาฮินดู ๑๐.๗% (ประมาณ ๒,๙๐๓,๒๓๑ คน) นั บถื อ
ศาสนาพุทธ ๔.๒% เป็ นมุ สลิม ๓.๖% นั บถื อคิ รทั (Kirat) ซึ่งเป็ นศาสนาพื้ นเมือง
๐.๕% นับถือศาสนาคริสต์ และ ๐.๔% นับถือศาสนาอื่นๆ
พระพุทธศาสนาเข้าสู่เนปาลตั้งแต่สมัยพุทธกาล ทั้งนี้ เพราะกรุงกบิลพัสดุ์
อันเป็ นเมืองประสูติของพระโพธิสตั ว์ ซึ่งในอดีตอยูใ่ นรัฐอุตตระของอินเดีย ปั จจุบัน
อยูใ่ นเขตเนปาลขณะที่องั กฤษปกครองอินเดีย ได้แบ่งกรุงกบิลพัสดุใ์ ห้เป็ นส่วนของ
เนปาล ในสมัยพุทธกาลพระพุทธองค์เคยเสด็ จไปโปรดพระญาติ ที่ กรุงกบิ ลพัสดุ์
นอกจากนี้ หลังพุทธปรินิพพานแล้วพระอานนท์ก็ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปใน
บริเวณนี้ ชาวเนปาลส่วนหนึ่ งจึงนับถือพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ยุคพุทธกาล
ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ทรงพระราชทานพระราชธิ ดาพระ
นามว่า จารุมตี แก่ขุนนางใหญ่ชาวเนปาล พระเจ้าอโศกมหาราชและเจ้าหญิงจารุม
ตีทรงสร้างวัดและเจดียห์ ลายแห่งในเนปาล ซึ่งยังคงปรากฏอยู่ที่กรุงกาฐมาณฑุใน
ปั จจุบนั
พระพุทธศาสนาในยุคแรกเป็ นนิ กายเถรวาท ต่อมาเมื่อเสื่อมสูญไป เนปาล
กลายเป็ นศูนย์กลางของมหายานนิ กายตันตระ ซึ่งใช้คาถาอาคมและพิธีกรรมทาง
ไสยศาสตร์ นอกจากนี้ ยังมีพุทธปรัชญาสานักใหญ่ๆ เกิดขึ้ นอีก ๔ นิ กาย คือ สวาภา
วิภะ ไอศวริกะ การมิกะและยาตริกะ ซึ่งแต่ละนิ กายยังแยกย่อยออกไปอี ก นิ กาย
ต่างๆ เหล่านี้ แสดงให้เห็ นถึ งการผสมผสานเข้าด้วยกันของความคิ ดทางปรัชญา
หลายๆ อย่าง ชาวเนปาลได้รกั ษาสืบทอดพุทธปรัชญาเหล่านี้ มาจนถึง ปั จจุบนั ใน
แต่ละนิ กายมีคาสอน ดังนี้
๑. นิ กายสวาภาวิภะ นิ กายนี้ สอนว่า สิ่งทั้งหลายในโลกมีลกั ษณะแท้จริงใน
ตัวของมันเอง ซึ่งแสดงออกเป็ น ๒ ทาง คือ ความเจริญ (ปรวฤตติ) และความเสื่อม
(นิ วฤตติ)
๙๖
ในปี พ.ศ.๒๒๙๔ สามเณรสรณั งกรทู ลขอให้ พระเจ้ากิ รติ ศรี ราชสิ งหะ
กษั ต ริ ย์ ลั ง กาในขณะนั้ น ส่ ง ทู ต มานิ มนต์ พ ระสงฆ์ จ ากเมื อ งไทยไปฟื้ นฟู
พระพุ ทธศาสนา สมัยนั้ นตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าบรมโกศแห่งกรุ งศรีอยุธยา
พระองค์ทรงส่งพระสมณทูตไทยไปจานวน ๑๐ รูป มีพระอุบาลีเป็ นหัวหน้า ทาการ
บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรชาวลังกาถึง ๓,๐๐๐ คน ณ เมืองแคนดี สามเณรสรณัง
กรซึ่งได้รับการอุ ปสมบทในครั้งนี้ ได้รับการสถาปนาให้เป็ นสมเด็ จพระสังฆราช
ตั้งแต่ น้ั นมาจึงเกิ ดนิ กายสยามวงศ์หรืออุ บาลี วงศ์ขึ้ น ต่ อมาพระอุ บาลี เถระเกิ ด
อาพาธและได้มรณภาพในลังกานัน่ เอง
ในสมัยเดียวกันนี้ มีสามเณรลังกาคณะหนึ่ งเดินทางไปขอรับการอุปสมบท
ในประเทศพม่า แล้วกลับมาตั้งนิ กายอมรปุรนิ กายขึ้ น อีกคณะหนึ่ งเดินทางไปขอ
อุปสมบทจากคณะสงฆ์มอญแล้วกลับมาตั้งนิ กายรามัญนิ กายขึ้ น ในสมัยนั้ นจึงมี
นิ กายเกิดขึ้ น ๓ นิ กาย คือ นิ กายสยามวงศ์ นิ กายอมรปุรนิ กาย และนิ กายรามัญ ซึ่ง
ยังคงสืบทอดมาจนถึงปั จจุบนั
ในปี พ.ศ.๒๓๔๕ อังกฤษเข้าครองอานาจแทนฮอลันดา ได้ทาสนธิ สัญญา
กับกษัตริยล์ งั กาเพื่อรับประกันสิทธิของฝ่ ายลังกาและเพื่อคุม้ ครองพระศาสนา ครั้น
ต่อมาเกิดกบฏขึ้ นเมื่ออังกฤษปราบกบฏได้สาเร็จจึงดัดแปลงสนธิ สัญญาเสียใหม่
ทาให้ระบบกษัตริยล์ งั กาสูญสิ้ นตั้งแต่บดั นั้น
ในช่วงแรกของการปกครองโดยรัฐบาลอังกฤษ พระพุทธศาสนาได้รบั ความ
เป็ นอิสระมากขึ้ น ด้วยสนธิ สัญญาดังกล่าว แต่ภายหลังถูกกีดกันและต่อต้านจาก
ศาสนาคริสต์อีก รัฐบาลถูกบีบให้ยกเลิกสัญญาที่คุม้ ครองพระพุทธศาสนา องค์การ
คริสต์เตียนผูกขาดการศึกษาทัว่ ประเทศ โรงเรียนชาวพุทธเหลืออยู่เพียงแห่งเดียว
คื อ ที ทโดดันดุ วา นอกจากนี้ บาทหลวงยังโจมตี คาสอนในพระพุทธศาสนาอย่าง
รุ น แรงและต่ อเนื่ อง แต่ ไม่ มี ใครสามารถแก้ไขสถานการณ์ ได้ จนกระทั ่งท่ าน
คุณานั นทเถระได้ถือกาเนิ ดขึ้ นใน พ.ศ.๒๓๖๖ ต่อมาได้ออกบวชและศึกษาพระธรรม
วินัยจนแตกฉาน ท่านได้อาสาเป็ นทนายแก้ต่างให้พระศาสนา ด้วยการโต้วาทะกับ
นั กบวชที่ มาจาบจ้วงศาสนาพุทธจนได้รบั ชัยชนะ ฟื้ นฟูพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง
อีกครั้ง
๑๐๓
๒. พระพุทธศาสนาในเอเชียตะวันออก
ประเทศในเอเชี ยตะวันออก ได้แก่ จีน ไต้หวัน มองโกเลี ย เกาหลี เหนื อ
เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น พระพุทธศาสนาในเอเชียตะวันออกเป็ นนิ กายมหายาน โดยเริ่มต้น
เผยแผ่จากอินเดียสู่จีน จากจีนสู่เกาหลีและจากเกาหลีสู่ญี่ปุ่น เป็ นต้น ส่วนประเทศ
ทิเบตนั้ นบางตารากล่าวว่า ได้รบั พระพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งจะได้ขยาย
ความในรายละเอียดดังต่อไปนี้
๑) ประเทศจีน
สาธารณรัฐประชาชนจีน (Peoples Republic of China ) มี เมื องหลวงชื่ อ
ปั กกิ่ง เมืองที่ใหญ่ที่สุดคือ เซี่ยงไฮ้ ปั จจุบันจีนปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิ สต์ มี
ประชากรมากที่ สุดในโลก คื อ ประมาณ ๑,๓๑๕,๘๔๔,๐๐๐ คน (พ.ศ.๒๕๔๘)
จานวนพุ ทธศาสนิ กชนในจีนนั้ นยากที่ จะประเมินว่ามี อยู่เท่ าไร จากข้อมูลในวิกิ
พี เดี ยระบุ ว่ า มี อยู่ ป ระม าณ ๒ ๘ ๐ -๓ ๕ ๐ ล้ า น ค น ใน ขณ ะที่ เว็ บ ไซต์
www.adherents.com ระบุ ว่ามี ๑๐๒ ล้านคน อย่างไรก็ตามจีนก็ เป็ นประเทศที่ มี
พุ ทธศาสนิ กชนมากที่ สุ ดในโลก จี นมี ประวัติ ศาสตร์ยาวนานกว่า ๔,๐๐๐ ปี มี
ราชวงศ์ต่างๆ ผลัดเปลี่ยนกันปกครองสืบต่อกันมาหลายราชวงศ์ เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์
เซี่ย ซาง โจว จิ๋น ฮัน่ จิ้ น เหลียง ซุย ถัง สมัย ๕ ราชวงศ์ ได้แก่ ซ้อง เหลียว หยวน
หมิง และราชวงศ์ชิง นอกจากนี้ ยังมีราชวงศ์ย่อยๆ อี กมากในที่ นี้ จะกล่าวเฉพาะ
ราชวงศ์ที่มีความสาคัญต่อพระพุทธศาสนาเท่านั้น
พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศจีนประมาณพุทธศักราช ๖๐๘ ในสมัยของ
พระเจ้าฮัน่ มิ่งตี่แห่งราชวงศ์ฮนั ่ ตานานกล่าวว่าคืนหนึ่ งพระจักรพรรดิทรงพระสุบิน
ไปว่ามีบุรุษทองคาเหาะไปทางทิศตะวันตก พระองค์จึงสอบถามขุนนางว่า ฝั นเช่นนี้
มี ความหมายว่าอย่างไร ขุ นนางผู ห้ นึ่ งตอบว่าทางทิ ศตะวันตกมี ย อดคน (พระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า) ถือกาเนิ ดขึ้ น เมื่อได้ยินเช่นนั้ นพระองค์จึงรับสัง่ ให้ขุนนาง ๑๘
คน ออกเดินทางเพื่อเสาะหายอดคนผูน้ ้ั น ในที่สุดก็เดินทางมาถึงเมืองโขตาน ได้พบ
พระภิ กษุ ๒ รูป คือ พระกาศยปะมาตังคะกับพระธรรมรักษ์ ขุนนางจีนจึงนิ มนต์
พระทั้งสองรูปนี้ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ประเทศจีน
๑๐๕
ไม่ เคยได้สดับค าสอนอัน วิเศษเช่ นนี้ มาก่ อน ตั้ งแต่ น้ั นชาวญี่ ปุ่ นจึ งเริ่ มนั บถื อ
พระพุทธศาสนา แต่ยงั ไม่แพร่หลาย เพราะศาสนาเดิมคือชินโต ยังมีอิทธิพลอยูม่ าก
จนกระทัง่ ถึงสมัยที่จกั รพรรดินีซูอิโกะ (Suiko) ครองราชย์ ประมาณปี พ.ศ.
๑๑๓๕-๑๑๗๑ พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก พระนางทรงสละราชสมบัติออก
ผนวชเป็ นภิ ก ษุ ณี โดยมอบภาระให้พ ระราชนั ดดาพระนามว่ า อุ ม ายาโดะ
(Umayado) ทาหน้ าที่ สาเร็จราชการแทน เจ้าชายอุ มายาโดะนี้ ต่อมาได้รับการ
ขนานพระนามว่า โชโตกุ ไทชิ
เจ้าชายโชโตกุทรงยกพระพุทธศาสนาเป็ นศาสนาประจาชาติ ทรงสร้างวัด
ประมาณ ๔๐๐ วัด ทรงรอบรูพ้ ระไตรปิ ฎก ทรงนิ พนธ์อรรกถาพระสูตรสาคัญของ
มหายาน ๓ สูตร คือ สัทธรรมปุณฑริกสูตร วิมลเกียรตินิเทศสูตร ศรีมาลาเทวีสิง
หนาทสูตร ต้นฉบับลายพระหัตถ์ยงั คงรักษาอยูจ่ นถึงปั จจุบนั ทรงบัญญัติกฎหมาย
แห่งรัฐโดยยึดหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เพราะผลงานทางพระพุทธศาสนาที่
ทรงทาไว้มากมาย เจ้าชายโชโตกุจึงได้รบั ฉายาว่า เป็ นพระเจ้าอโศกแห่งญี่ปุ่น
พระพุทธศาสนาที่เจ้าชายโชโตกุทรงศรัทธาชื่อว่า เอกยาน มีธรรมกายเป็ น
จุดหมายมีคาสอนประสานกันระหว่างมหายานและเถรวาท ไม่แบ่งแยกกันระหว่าง
พระสงฆ์กบั คฤหัสถ์ ทุกคนสามารถปฏิบตั ิธรรมในชีวิตประจาวันได้โดยไม่ตอ้ งออก
บวชหรือปลีกวิเวก เมื่อเจ้าชายโชโตกุ สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ.๑๑๖๕ พสกนิ กรต่าง
เศร้าโศกเสี ยใจอย่างสุ ดซึ้ ง เหล่ าพุ ทธบริษั ทจึงสร้างพระพุ ทธรูปขนาดเท่ าพระ
วรกายพระองค์ขึ้น เพื่อเป็ นอนุ สรณ์แห่งคุณความดีของพระองค์
ยุคนารา ตั้งแต่ยุคเจ้าชายโชโตกุเป็ นต้นมา พระพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรือง
มาตามลาดับ กลายเป็ นส่ วนหนึ่ งของวัฒนธรรมญี่ ปุ่ นสื บมา เมื่อถึ งสมัยนารา
(Nara) ประมาณปี พ.ศ.๑๒๕๓ - ๑๓๒๗ พระพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองยิง่ ขึ้ น นารา
อันเป็ นราชธานี ของญี่ปุ่นยุคนั้นถึงกับได้ ชื่อว่า นครแห่งอารามหนึ่ งพัน เพราะถนน
ทุ ก สายในเมื อ งนี้ มี วัด พระพุ ท ธศาสนา ยุ ค นั้ นมี นั กปราชญ์ ญี่ ปุ่ นไปศึ ก ษา
พระพุทธศาสนาที่ ประเทศจีนเพิ่มมากขึ้ นและได้นานิ กายต่างๆ มาเผยแผ่ในญี่ปุ่น
ซึ่งสมัยนั้นมี ๖ นิ กายด้วยกัน
ในปี พ.ศ.๑๒๘๔ พระเจ้าจักรพรรดิโชมุทรงประกาศจักรพรรดิราชโองการ
ให้สร้างวัดของราชการประจาจังหวัดทัว่ ประเทศ ยุคนี้ ลาภสักการะเกิดขึ้ นกับคณะ
๑๑๘
คนเล่นเกมจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน จนมีข่าวเด็กช็อกตายหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ได้
ยินอยู่บ่ อยๆ แล้วเยาวชนยุ คนี้ จะเอาเวลาที่ ไหนมาสนใจพระพุ ทธศาสนาเพราะ
แม้แต่เวลานอนยังไม่มี
ปั จจุ บันชาวญี่ ปุ่ นยังนั บถื อพระพุ ทธศาสนาควบคู่ กับศาสนาชิ นโต โดย
พระพุทธศาสนา แบ่งออกเป็ นหลายนิ กาย นิ กายที่สาคัญมี ๕ นิ กาย คือ
๑. นิกายเทนได หรือเทียนไท้ หรือสัทธรรมปุณฑริก พระไซโจเป็ นผูต้ ้งั โดย
ตั้งชื่อนิ กายตามชื่อภูเขาเทียนไท้ในประเทศจีน ซึ่งเป็ นสานักที่ท่านไปศึกษา
๒. นิ กายชินงอน หรือตันตระ พระคูไคเป็ นผูต้ ้งั ในเวลาใกล้เคียงกับนิ กาย
เทนได นิ กายนี้ ยึดคัมภี ร์มหาไวโรจนสูตรเป็ นหลัก ถื อว่าพระไวโรจนพุทธเจ้า
เป็ นที่เคารพสูงสุด นอกจากนี้ นิ กายนี้ ยังประสานคาสอนเข้ากับลัทธิชินโต สามารถ
ยุบวัดชินโตเป็ นวัดชินงอนได้หลายวัด
๓. นิกายโจโด หรือสุขาวดี โฮเน็ นเป็ นผูต้ ้งั นิ กายนี้ สอนว่าสุขาวดีเป็ นแดน
อมตสุข จะไปถึงได้ดว้ ยการออกพระนามพระอมิตาภพุทธะ โจโดยังมีนิกายย่อยอีก
มาก เช่น โจโดชิน หมายถึง สุขาวดีแท้ ตั้งโดยชินแรน มีคติวา่ "ฮิ โชฮิโชกุ ไม่มีพระ
ไม่ มี ฆราวาส" ท าให้พระในนิ กายนี้ มี ภรรยาได้ ฉันเนื้ อได้ มี ความเป็ นอยู่คล้าย
ฆราวาส
๔. นิกายเซน หรือฌาน นิ กายเซนเน้นการปฏิบตั ิสมาธิและวิปัสสนาเพื่อให้
เข้าถึ งฌานที่ เรี ยกว่า ซาเซน นิ กายนี้ คนชั้นสู งและพวกนั กรบนิ ยมมาก เซนมี
นั กวิชาการคนสาคัญคือ ดร.ดี ที ซูสุกิ (พ.ศ.๒๔๓๓-๒๕๐๙) เป็ นผูบ้ ุกเบิกเผยแผ่
เซนให้เป็ นที่รจู ้ กั ในตะวันตก ด้วยการแต่งตาราและแปลคัมภีรเ์ ป็ นภาษาอังกฤษ
๕. นิ กายนิ ชิเร็น พระนิ ชิเร็นเป็ นผูต้ ้งั นิ กายนี้ นั บถือสัทธรรมปุณฑริกสูตร
อย่างเดียว โดยภาวนาว่า นะมุ เมียวโฮ เรงเง เคียว (นโม สทธมมปุณฑริก สุตตสส
แปลว่า ขอนอบน้อมแด่ สัทธรรมปุณฑริกสูตร) เมื่อเปล่งคานี้ ออกมาด้วยความรูส้ ึก
ว่ามีธาตุพุทธะอยูใ่ นใจ ก็บรรลุ โพธิญาณได้
โซกะ กัคไค (Soka Gakkai) เป็ นนิ กายที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดใน
สายนิ ชิเร็น ปั จจุบันมีสมาชิกกว่า ๑๒ ล้านคนใน ๑๙๐ ประเทศทัว่ โลก โดยมี ได
ซาขุ อิเคดะ เป็ นผูน้ าองค์กร โซกะ กัคไค แปลว่า สมาคมสร้างสรรค์คุณค่า
๑๒๔
วัดโจคัง เป็ นวัดแรกในทิ เบต เป็ นสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวทิ เบตใฝ่ ฝั นที่ จะ
จาริกไปแสวงบุญให้ได้สักครั้งในชีวิต พระเจ้าซองเซน กัมโปทรงสร้างวัดโจคังขึ้ น
เพื่อเป็ นที่ประดิษฐานองค์พระประธานโจโวศากยมุนี พระพุทธรูปที่สาคัญที่สุดใน
ทิ เบต ได้รับการอัญ เชิ ญ มาโดยมเหสี ชาวเนปาลของพระองค์ ปั จจุ บั นวัดโจคั ง
เจริญรุ่งเรืองมาก จะมีนักแสวงบุญนั บ ๑,๐๐๐ คนกระทาประทักษิ ณและสวดมนต์
ทุกวันทุกเวลา
ผูจ้ าริกแสวงบุญ แต่ละปี มีผูแ้ สวงบุญจานวนมากไปเยือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ต่างๆ ในทิเบตโดยเฉพาะพระราชวังโปตาลา และวัดโจคัง สาหรับชาวทิเบตแล้วการ
จาริกแสวงบุ ญไปยังวัดโจคังถื อเป็ นความปรารถนาสูงสุ ดและต้องเดิมพันกันด้วย
ชีวิตที เดียว เพราะชาวทิเบตจานวนมากใช้วิธีเดินทางไปด้วยเท้า และมีจานวนไม่
น้อยที่ตอ้ งจบชีวิตลงก่อนจะถึงวัดโจคัง เพราะไม่อาจทนต่อสภาพอากาศที่โหดร้าย
ได้ โดยเฉพาะอากาศอันหนาวเย็นตา่ กว่าจุดเยือกแข็ง บางครั้งติดลบถึง ๔๐ องศา
เส้นทางแห่งการหยัง่ รู ้ ดันจู เป็ นหนึ่ งในนั กเดินทางแสวงบุญนี้ จุดมุ่งหมาย
ของเขานอกจากสร้างบุ ญให้กับตนเองแล้ว ดันจูออกจาริกเพื่ อไถ่บาปให้พ่อที่ ทิ้ ง
ครอบครัวไปตั้งแต่เขายังเด็ก เส้นทางกว่า ๒,๐๐๐ กิโลเมตร ระหว่างชิงไฮ (Qinghai)
บ้านของเขาและวัดโจคังคือ สิ่งท้าทายอันยิง่ ใหญ่ โจมาและใบมา คือแม่กบั น้องสาว
ผูค้ อยดูแลเขาตลอดการเดินทาง ดันจูท่องบทสวดมนต์ยา่ งเท้าไปข้างหน้าและนอน
กราบเหยียดยาวบนหิน กรวด น้ าแข็ง และหิมะตลอดการเดินทาง มีเพียงศรัทธา
เท่ านั้ นที่ ผ ลั ก ดั น เขาไปข้างหน้ า ดั งจู ไม่ ได้คิ ด ถึ งจุ ด หมายเลย เขานึ กถึ งแต่
วัตถุประสงค์และความหมายของแต่ละครั้งที่กม้ กราบลงบนถนน อันเปรียบประดุจ
เส้นทางแห่งการหยัง่ รู ้ ระดับความสูงกว่า ๔,๐๐๐ เมตร และอุณหภูมิที่ตา่ กว่าจุด
เยือกแข็งได้ทาให้ทุกคนอ่อนล้า แต่ในที่สุดพวกเขาก็ทาสาเร็จหลังจากเดินทางมาก
ว่า ๒ ปี โจมาได้แต่นั่งน้ าตาไหลด้วยความปี ติเมื่อเห็นยอดพระราชวังโปตาลาแห่ง
นครลาซา ดันจูใช้เวลาทั้งวัน สวดมนต์และกราบพระพุทธรูปทุ กองค์ในวัดโจคัง
การกราบแต่ละครั้งหมายถึงจุดสิ้ นสุดแห่งการเดินทางอันยิ่งใหญ่ หลังจากพวกเขา
กลับไปถึงหมู่บา้ นแล้ว คนทั้งหมู่บา้ นออกมาต้อนรับด้วยความปี ติ พระผูใ้ หญ่แห่ง
วิหารซีในชิงไฮรับดันจูเป็ นลามะ ซึ่งสิ่งนี้ เป็ นความหวังอันสูงสุดในชีวติ เขา
๑๓๑
๓. พระพุทธศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้ได้แก่ประเทศไทย พม่า ลาว กัมพูชา
เวียดนาม มาเลเซีย รวมทั้งประเทศที่ เป็ นเกาะในทะเล ได้แก่ ฟิ ลิปปิ นส์ สิงคโปร์
อินโดนี เซีย บรูไนและติมอร์ตะวันออก ประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนา
พุทธในปั จจุบันคื อ ไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชาและพม่า ส่วนประเทศมาเลเซี ย
อินโดนี เซียและบรูไน จะนับถือศาสนาอิสลามเป็ นหลัก ประเทศฟิ ลิปปิ นส์และติมอร์
ตะวันออก ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา
ในเอเชี ยตะวัน ออกเฉี ยงใต้จะกล่ าวถึ งประเทศที่ ส าคั ญ ๆ ๖ ประเทศ คื อ ไทย
กัมพูชา อินโดนี เซีย ลาว พม่า และเวียดนาม ดังต่อไปนี้
๑. ประเทศไทย
ประเทศไทยมี ชื่ อ เป็ นทางการว่ า ราชอาณาจั ก รไทย (Kingdom of
Thailand) ปกครองในระบอบประชาธิ ปไตย อันมี พระมหากษั ตริย์ทรงเป็ นพระ
ประมุข ไทยมีประชากรประมาณ ๖๒,๔๑๘,๐๕๔ คน (พ.ศ.๒๕๔๘) โดย ๙๕% นั บ
ถือพระพุทธศาสนาเถรวาท ๓% นั บถือศาสนาอิสลาม และอีก ๒% นั บถือศาสนา
คริสต์
พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ไทยในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชประมาณปี พ.ศ.
๒๓๖ โดยพระโสณเถระและพระอุตตรเถระเป็ นผูน้ ามาเผยแผ่ยงั สุ วรรณภูมิ ซึ่งใน
ขณะนั้ นอาณาจัก รไทยรวมอยู่ ในดิ น แดนสุ วรรณภู มิ ด ้วย สุ วรรณภู มิ แปลว่า
แผ่นดินทองคา ปั จจุบนั ยังชี้ ชัดไม่ได้วา่ สุวรรณภูมิอยูต่ รงไหน นั กโบราณคดีมีทัศนะ
แตกต่างกัน ๔ กลุ่มใหญ่ดงั นี้
๑. นั กโบราณคดี กลุ่มอิ นเดี ย ๙๐% เชื่อว่า สุ วรรณภู มิ คื อ แหลมมลายู
ประกอบด้วยดิ น แดนส่ วนใต้สุ ด ของพม่ า ภาคใต้ของไทยทั้ งหมด คาบสมุ ท ร
มาเลเซี ย และประเทศสิ งคโปร์ ประวัติ พื้ นเมื องกล่ าวไว้ว่า สมัยโบราณย่านนี้ มี
ทองคามาก เล่นพนั นกันโดยเอาทองออกประกัน เวลาชนไก่ก็เอาทองเท่าตัวไก่เป็ น
เดิมพัน
๒. กลุ่มอิ นเดี ย ๑๐% เชื่อว่า สุ วรรณภู มิ คื อ ริมทะเลด้านตะวันออกของ
อินเดียใต้
๓. กลุ่มพม่าเชื่อว่า สุวรรณภูมิ ได้แก่ตอนกลางและตอนใต้ของประเทศพม่า
๑๓๒
นครของตนแล้วบรรจุ พ ระเกศธาตุ ไว้ที่ ป ระตู อสิ ตั ญ ชนนคร แต่ ท้ั งนี้ ยังไม่ พ บ
หลักฐานว่า อุกกลชนบทและอสิตญ ั ชนนคร อยูใ่ นพม่าหรือไม่
พงศาวดารมอญบันทึ กไว้ว่า เมื่อปี ๒๕๐ ก่อนคริสต์ศักราช (พ.ศ.๒๙๓)
พระโสณเถระและพระอุตตรเถระเดินทางมาประกาศพระศาสนา ณ ดินแดนสะเทิม
แห่งอาณาจักรสุวรรณภูมิแล้วสวดพระปริตรเพื่อขับไล่เหล่ายักษ์น้ าหรือผีเสื้ อสมุทร
มิให้มาเป็ นอันตรายแก่ชาวมอญ จึงสันนิ ษฐานได้ว่าพวกยักษ์ในตานานมอญนั้ น
น่ าจะหมายถึงชนเผ่ากัปปะลีนัน่ เอง ในอรรถกถาก็กล่าวไว้วา่ เมื่อพระโสณเถระและ
พระอุตตรเถระไปถึงสุวรรณภูมิ นางรากษสหรือยักษ์ตนหนึ่ งพร้อมด้วยบริวารขึ้ นมา
จากสมุ ทร มนุ ษย์เห็ นนางรากษสตนนั้ นแล้วก็ กลัวร้องเสี ยงดัง พระเถระนิ รมิ ต
อัตภาพให้มากกว่าพวกรากษสแล้วขับให้หนี ไป
ชาวพยูเข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนประเทศพม่าตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๔
และได้สถาปนานครรัฐขึ้ นหลายแห่ง เช่น ศรีเกษตร (Sri Ksetra) เป็ นต้น ในช่วง
เวลาดังกล่าว ดินแดน พม่าเป็ นส่วนหนึ่ งในเส้นทางการค้าระหว่างจีนและอินเดีย
จากเอกสารของจีนพบว่า มีเมืองอยู่ภายใต้อานาจปกครองของชาวพยู ๑๘ เมือง
ชาวพยูนับถือพระพุทธศาสนานิ กายเถรวาทเด็กๆ ได้รบั การศึกษาที่วดั ตั้งแต่อายุ ๗
ขวบจนถึง ๒๐ ปี
พระพุทธศาสนาเถรวาทเจริญรุ่งเรืองในพม่าในราวพุทธศตวรรษที่ ๖ ต่อมา
มีพระสงฆ์ ฝ่ ายมหายานซึ่งเป็ นศิษย์ของพระวสุ พันธุ ได้นาลัทธิ ตันตระไปเผยแผ่
จนพระพุทธศาสนาทั้งสองนิ กายเจริญรุ่งเรืองเป็ นเวลาหลายร้อยปี และรุ่งเรืองมาก
ในพุทธศตวรรษที่ ๑๑
ชาวพม่าเป็ นชนเผ่าอพยพมาจากทางตอนเหนื อทีละน้อย ได้ขยายอานาจลง
มาทางใต้เข้ารุกรานพวกมอญ มอญจึงต้องถอยไปสร้างเมืองหลวงใหม่ที่หงสาวดี ใน
ปี พ.ศ.๑๓๖๘ พม่าได้ต้ังอาณาจักรขึ้ น มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองพุกาม(Pagan) ในปี
พ.ศ.๑๓๙๒ ซึ่งเป็ นช่วงที่ อาณาจักรพยูเสื่อมสลายแล้ว อาณาจักรพุกามแต่แรกนั้ น
มิได้เป็ นอันหนึ่ งอันเดียวกัน กระทัง่ ในรัชสมัยของพระเจ้าอโนรธา (พ.ศ.๑๕๘๗ -
๑๖๒๐) พระองค์สามารถรวบรวมแผ่นดินพม่าให้เป็ นอันหนึ่ งอันเดียวกันสาเร็จ
ในปี พ.ศ.๑๖๐๐ พระเจ้าอโนรธายกทั พตี เมื องสะเทิ มของมอญ น าเอา
พระไตรปิ ฎกและประเพณี พระพุทธศาสนามา ทรงทาให้นิกายเถรวาทแพร่หลาย
๑๔๙
ความดี ความชอบได้รับแต่ งตั้ งเป็ นเจ้าเมื องสี เรี ยม จึ งถื อโอกาสเผยแพร่ ลัท ธิ
โรมันคาทอลิก และเบียดเบียนพระพุทธศาสนา เช่น ริบทรัพย์สมบัติของวัด ห้าม
ประชาชนใส่บาตร พระสงฆ์ตอ้ งลี้ ภัยไปกรุง อังวะเพื่อร้องทุ กข์ ในที่ สุดพม่ากับ
มอญได้รว่ มมือกันกาจัดพวกโปรตุเกส จับตรึงไม้กางเขนตายหลายคน
หลังยุคพระเจ้าธรรมเจดียแ์ ล้ว ในปี พ.ศ.๒๐๙๔ หงสาวดีก็เสียแก่พระเจ้า
ตะเบงชเวตี้ กษัตริยพ์ ม่า อาณาจักรพม่ารุง่ เรืองถึงขีดสุดในสมัยบุเรงนอง ทรงขยาย
อาณาจักรออกไปกว้างขวางจนได้ชื่อว่าผูช้ นะสิบทิศ มีประเทศราชทัว่ สุวรรณภูมิ คือ
อังวะ แปร เชี ยงใหม่ อยุ ธยา ยะไข่ ล้านช้าง และหัวเมื องไทยใหญ่ ท้ั งปวง ทรง
ครองราชย์อยูไ่ ด้ ๓๐ ปี สวรรคตเมื่อปี พ.ศ.๒๑๒๔
เมื่ อพระเจ้าบุ เรงนองสวรรคตแล้ว พระโอรสขึ้ นเสวยราชย์แทน แต่ ไม่ มี
อานาจเหมือนพระบิดา เมืองขึ้ นต่างๆ จึงประกาศตัวเป็ นอิสรภาพรวมทั้งไทยด้วย
พวกมอญได้นิมนต์ พระภิ กษุ ชาวกะเหรี่ยงรูปหนึ่ งชื่อว่า พระสะล่า เป็ นผูม้ ีความ
เชี่ยวชาญทางเวทมนตร์คาถา เชิญให้สึกออกมาคิดแผนการไล่พม่าจนสาเร็จ และได้
ทาพิธีราชาภิเษกเป็ นกษัตริยค์ รองนครหงสาวดีในปี พ.ศ. ๒๒๘๓ มีพระนามว่า พระ
เจ้าสทิ งทอพุทธเกติ ทรงแผ่อิทธิ พลตี เมืองตองอูและเมืองแปรได้สาเร็จ แต่เรือง
อานาจอยู่เพียง ๗ ปี เท่านั้ น ในปี พ.ศ.๒๓๐๐ ก็ได้สูญสิ้ นอานาจให้แก่พม่าอีก และ
ตั้งแต่น้ันมอญก็ไม่มีโอกาสกอบกูเ้ อกราชอีกเลยตราบกระทัง่ ปั จจุบนั
ในพุทธศตวรรษที่ ๒๔ อังกฤษทาสงครามกับพม่าและได้ชัยชนะ จากนั้ น
พยายามตักตวงทรัพยากรต่างๆ โดยที่กษัตริยพ์ ม่าไม่อาจจะแก้ปัญหาได้ พระเจ้ามิ
นดงจึงก่อการปฏิวตั ิยึดอานาจจากพระเจ้าปะกันในปี พ.ศ.๒๓๙๖ ในสมัยพระองค์มี
การสังคายนาพระไตรปิ ฎกนิ กายเถรวาทครั้งที่ ๕ ขึ้ น ณ เมืองมัณฑะเลย์ในปี พ.ศ.
๒๔๑๔ ได้จารึกพระไตรปิ ฎกลงในหินอ่อน ๗๒๙ แผ่น โดยได้รบั การสนั บสนุ นจาก
คณะสงฆ์หลายชาติ คือ ศรีลงั กา ไทย กัมพูชา และลาว
ต่ อมาพระเจ้าธี บอว์พระโอรสของพระเจ้ามิ น ดงขึ้ นครองราชย์ใน พ.ศ.
๒๔๒๑ พระองค์ถู กอังกฤษเนรเทศไปอยู่อิ นเดี ย ในช่วงนี้ ศาสนาคริ สต์ได้โจมตี
พระพุทธศาสนา พระสงฆ์แสดงธรรมต่อต้านอังกฤษและเดินขบวนอย่างเปิ ดเผย
พระบางรูปถูกจับไปขังคุกก็มี
๑๕๒
ส่ วนล่ างทั้ งหมด อาณาจักรอานั มมี อายุ เกื อบ ๓ พันปี แต่ ไม่ มี หลักฐานชัดเจน
จนกระทัง่ ปี พ.ศ.๔๓๓ ได้ตกเป็ นเมืองขึ้ นของจีนและถูกปกครองอยูน่ านกว่า ๑,๐๐๐
ปี จึงทาให้ได้รบั อิทธิพลทางวัฒนธรรมจากจีนมาก ในระยะนี้ เองเวียดนามมีชื่อว่า
อานัม
พระพุทธศาสนาเข้าสู่อาณาจักรอานั มประมาณพุทธศตวรรษที่ ๗ ซึ่งอยู่
ระหว่างที่อานัมยังตกเป็ นเมืองขึ้ นของจีน สันนิ ษฐานว่าท่านเมียวโป (Meou-Po) ได้
นานิ กายมหายานจากจีนเข้ามาเผยแผ่ และยังสันนิ ษฐานว่า พระชาวอินเดีย ๓ รูป
คือ พระมหาชีวก พระกัลยาณรุจิ และพระถังเซงโฮย เดินทางมาเผยแผ่ในยุคนี้ ด้วย
แต่ ไม่ เจริ ญ รุ่งเรื องเท่ าที่ ควร เพราะกษั ตริ ย์จี น นั บถื อศาสนาขงจื๊ อ ทรงไม่ พอ
พระทัยที่มีคนนับถือพระพุทธศาสนา
ต่อมาปี พ.ศ.๑๔๘๒ ชาวเวียดนามกอบกูเ้ อกราชได้สาเร็จ พระพุทธศาสนา
ได้รับการฟื้ นฟู อย่างจริงจัง ครั้งนั้ นพระภิ กษุ ชาวอิ นเดี ยชื่อ วินี ตรุ จิ เดิ นทางมา
ศึกษาพระพุทธศาสนานิ กายเซนในจีน แล้วเดินทางต่อเพื่อมาเผยแผ่ในเวียดนาม
ต่ อมาในปี พ.ศ.๑๕๑๑ - ๑๕๒๒ รัฐบาลจัด ตั้ งองค์ ก ารปกครองคณะสงฆ์ ขึ้ น
โดยรวมเอานั ก บวชเต๋ ากั บ พระสงฆ์ เข้าในระบบฐานั น ดรศั ก ดิ์ เดี ย วกั น พระ
จักรพรรดิทรงสถาปนาพระภิกษุ งอ่ ฉัน่ หลู เป็ นประมุขสงฆ์และแต่งตั้งเป็ นที่ปรึกษา
ของพระองค์ดว้ ย
พระพุ ทธศาสนามีความเจริญรุ่ งเรืองสู งสุ ดในสมัยราชวงศ์ไล เพราะเป็ น
ศาสนาเดียวที่ได้รบั การอุปถัมภ์จากกษัตริย์ รัชสมัยพระเจ้าไลไทต๋อง (พ.ศ.๑๕๗๑
- ๑๕๘๘) โปรดให้สร้างวิหาร ๙๕ แห่ง รัชสมัยพระเจ้าไลทันต๋อง (พ.ศ.๑๕๙๗ -
๑๖๑๕) ทรงเป็ นพระมหากษั ตริย์ที่ ทรงเอาใจใส่ กิจการบ้านเมืองและทะนุ บารุ ง
พระพุทธศาสนา โดยเจริญรอยตามพระเจ้าอโศกมหาราช
เวียดนามตกเป็ นเมืองขึ้ นของจีนอีกครั้งในปี พ.ศ.๑๙๕๗ - ๑๙๗๔ จึงทาให้
พระพุทธศาสนาเสื่ อมโทรมไปมาก เพราะกษั ตริยร์ าชวงศ์หมิงของจีนส่งเสริมแต่
ลัทธิขงจื๊อและเต๋า จีนได้ทาลายวัดเก็บเอาทรัพย์สินและคัมภีรพ์ ุทธศาสนาไปหมด
หลังจากได้รบั เอกราชแล้วสถานการณ์พระพุทธศาสนายังไม่ดีขึ้น เพราะกษัตริย์
ราชวงศ์ใหม่ก็ไม่ส่งเสริมพระพุทธศาสนา
๑๕๖
จนกระทัง่ ปี พ.ศ.๒๓๕๗ เซอร์ โทมัส แรฟึ ล (Sir Thomas Raffles) ได้คน้ พบบรมพุท
โธอี กครั้งและท าการปฏิ สังขรณ์ จนอยู่ในสภาพดี ต่อมาปี พ.ศ.๒๕๑๕ - ๒๕๒๕
รัฐบาลอินโดนี เซียร่วมกับองค์การยูเนสโกได้ปฏิสงั ขรณ์บรมพุทโธครั้งใหญ่ และจัด
ให้เป็ นหนึ่ งในมรดกโลกอีกด้วย
ตั้ ง แต่ ศ ตวรรษที่ ๑๔ เป็ นต้ น มาซึ่ ง เป็ นช่ ว งที่ อิ ส ลามเจริ ญ รุ่ ง เรื อ ง
พุทธศาสนิ กชนชาวอินโดนี เซียอันน้อยนิ ดได้พิทักษ์รกั ษาพระพุทธศาสนาไว้มิให้
สูญสิ้ นไป มีชาวพุทธจากประเทศต่างๆเข้าไปฟื้ นฟูพระพุทธศาสนาอยู่เป็ นระยะๆ
ในปี พ.ศ.๒๕๑๒ คณะสงฆ์ไทยจัดส่งพระธรรมทูตเข้าไป ได้ต้ังสานั กงานพระพุทธ
เมตตาขึ้ นที่กรุงจาการ์ตา เพื่อเป็ นศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ปั จจุบนั
อินโดนี เซียมีวดั พระพุทธศาสนาอยู่ประมาณ ๑๕๐ วัด เป็ นวัดฝ่ ายมหายาน ๑๐๐
วัด วัดนิ กายเถรวาท ๕๐ วัด วัดเหล่ านี้ ส่ วนใหญ่ อยู่ในความดู แลของฆราวาส
เนื่ องจากพระภิกษุ มีอยูน่ ้อย
๔. พระพุทธศาสนาในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้
เอเชี ยตะวันตกเฉี ยงใต้ หรื อตะวันออกกลาง ประกอบด้วยอะนาโตเลี ย
(Anatolia) หมายถึ ง เอเชียไมเนอร์ (Asia Minor) เป็ นพื้ นที่ ส่วนที่ เป็ นเอเชียของ
ประเทศตุรกี ประเทศที่ เป็ นเกาะคือ ไซปรัส ในทะเลเมดิเตอร์เรเนี ยน ดินแดนใน
ตะวันออกใกล้ ได้แก่ ประเทศซีเรีย อิสราเอล จอร์แดน เลบานอน และอิรกั ดินแดน
ในคาบสมุทรอาหรับ ได้แก่ ประเทศซาอุดิอารเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน
กาตาร์ โอมาน เยเมน อาจรวมถึ งคู เวต อิ ห ร่ านและอั ฟ กานิ สถาน ปั จจุ บั น
ตะวันออกกลางเป็ นถิ่ นมุ สลิม สาหรับประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ในดิ นแดน
แห่งนี้ จะกล่าวถึงประเทศอัฟกานิ สถานเพียงประเทศเดียว เพราะมีหลักฐานเด่นชัด
ว่าพระพุทธศาสนาเคยรุง่ เรืองมาก่อน
ประเทศอัฟกานิสถาน
ประเทศอั ฟ กานิ สถานมี ชื่ อ อย่ างเป็ นทางการว่ า สาธารณรัฐอิ ส ลาม
อัฟกานิ สถาน (Islamic Republic of Afghanistan) มีเมืองหลวงชื่อ คาบูล และเป็ น
เมื องที่ ใหญ่ ที่ สุ ด มี ประชากรประมาณ ๓๑,๐๕๖,๙๙๗ คน (พ.ศ.๒๕๔๙) ชาว
อัฟกานิ สถานในปั จจุบันส่วนมากนั บถื อศาสนาอิสลามคือ ๙๘% เป็ นนิ กายสุ หนี่
๑๖๐
ขอให้พระรัตนตรัยคุม้ ครอง
อาจารย์
๑๖๕
จดหมายฉบับที่ ๖ บ้านกาญจนรัชต์
นครราชสีมา
พิชญา ศิษย์รกั
จดหมายฉบั บ นี้ อาจารย์ ต้ั ง ใจจะให้ เป็ นฉบั บ สุ ดท้ า ย ที่ จะพู ด ถึ ง
ประวัติ ศาสตร์พระพุ ทธศาสนา จากจดหมายฉบับแรกถึ งฉบับที่ ๕ ได้กล่ าวถึ ง
ประวัติ ศาสตร์พระพุ ทธศาสนาตั้งแต่ สมัยพุ ทธกาล หลังพุ ทธกาล ซึ่ งเป็ นช่วงที่
พระพุ ทธศาสนาเข้าสู่ ประเทศต่ าง ๆ ในทวีปเอเชี ย จดหมายฉบับนี้ จะกล่ าวถึ ง
ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในโลกตะวันตก เมื่อมองภาพรวมพระพุทธศาสนาใน
ตะวันตก
สถานการณ์ พระพุ ท ธศาสนาในตะวันตกยุ คปั จจุ บั นมี ความตื่ นตั วและ
เจริญเติบโตรวดเร็วมาก จากการศึกษาของเฮนรี ซี.ฟิ นนี่ (Henry C. Finney) พบว่า
ในประเทศเยอรมนี มี อัตราการเพิ่ มขึ้ นของศู นย์ นั่งสมาธิ ทางพระพุ ทธศาสนา
ประมาณ ๑๐ เท่าตัวภายในระยะเวลา ๒๒ ปี โดยในปี พ.ศ.๒๕๑๘ มีศูนย์นัง่ สมาธิ
อยู่ประมาณ ๔๐ ศูนย์ แต่ในปี พ.ศ.๒๕๔๐ มีจานวนเพิ่มขึ้ นมากกว่า ๔๐๐ ศูนย์
ในสหราชอาณาจักรหรือประเทศอังกฤษมีอตั ราการเติบโตประมาณ ๔.๕ เท่าภายใน
ระเวลา ๑๘ ปี กล่าวคือ ในปี พ.ศ.๒๕๒๒ มีศูนย์นัง่ สมาธิอยูป่ ระมาณ ๗๔ ศูนย์ แต่
ในปี พ.ศ.๒๕๔๐ มีจานวนเพิ่มขึ้ นเป็ น ๓๔๐ ศูนย์
ในประเทศฝรัง่ เศสมีการสารวจความเห็นของเยาวชนใน พ.ศ.๒๕๔๐ พบว่า
มีเยาวชน ถึ ง ๕,๐๐๐,๐๐๐ คนที่ มีความพึงพอใจต่อคาสอนของพระพุ ทธศาสนา
ส่ วนประเทศสหรัฐ อเมริ ก า ในปี พ.ศ.๒๕๐๓ มี พุ ท ธศาสนิ กชนอยู่ ป ระมาณ
๒๐๐,๐๐๐ คน แต่ในปี พ.ศ.๒๕๔๗ มี จานวนเพิ่ มขึ้ นเป็ น ๓,๐๐๐,๐๐๐ คน หรือ
เพิ่มขึ้ น ๑๕ เท่าตัวภายในระยะเวลา ๔๔ ปี นอกจากในตะวันตกแล้ว ประเทศใน
แถบโอเชียเนี ย เช่น ออสเตรเลีย เป็ นต้น เฮนรี ซี.ฟิ นนี่ พบว่ามีอตั ราการเติบโตของ
พระพุทธศาสนาสูงเช่นกัน คือ ในปี พ.ศ.๒๕๒๔ มีพุทธศาสนิ กชนอยู่ ๓๕,๐๐๐ คน
แต่ ในปี พ.ศ.๒๕๓๔ เพิ่ มขึ้ นเป็ น ๔ เท่ าตัวคื อประมาณ ๑๔๐,๐๐๐ คน และจาก
ผลการวิจยั อัตราการเติบโตของศาสนาต่างๆ ในประเทศออสเตรเลียระหว่างปี พ.ศ.
๑๖๖
ประเทศที่ ไม่ ได้นั บถื อพระพุ ทธศาสนา ท่ านเขี ยนหนั งสื อเผยแพร่กว่า ๕๐ เล่ ม
ได้รบั รางวัลเกียรติยศกว่า ๕๗ รางวัล รวมทั้งรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี พ.ศ.
๒๕๓๒ ด้วยเหตุ นี้ พระพุ ท ธศาสนาทิ เบตจึ งได้รับความสนใจชาวชาวโลกมาก
โดยเฉพาะชาวตะวันตก
จาก จ าน วน ศู น ย์ (Center) พ ระพุ ท ธศ าสน าทั ่ ว โลก ใน เว็ บ ไซต์
www.buddhanet.net แสดงให้เห็นว่าอย่างชัดเจนว่า มหายานแบบทิเบตและเซน
ได้รบั ความนิ ยมสูงมากดังตารางที่แสดงในหน้าถัดไป จานวนศูนย์พระพุทธศาสนา
เหล่านี้ หมายถึ งวัดบ้าง ศูนย์นั่งสมาธิ บา้ ง เป็ นองค์กรทางพุทธศาสนาอื่ นๆ บ้าง
ข้อ มู ล ที่ ย กมานี้ เป็ นเพี ย งส่ ว นหนึ่ งซึ่ งผู ้จั ด ท าเว็ บ ไซต์ www.buddhanet.net
รวบรวมได้ ในความเป็ นจริงมีศูนย์พระพุทธศาสนาอีกจานวนไม่น้อยที่ ไม่ได้แจ้ง
ข้อ มู ล ไว้ นอกจากนี้ ยังมี บ างเว็ บ ไซต์ ให้ข ้อมู ล เฉพาะนิ กายได้ล่ าสุ ด กว่ า แต่
เนื่ องจากว่าเว็บไซต์เหล่านั้ นไม่ได้ให้ขอ้ มูลครอบคลุ มทุ กนิ กาย ด้วยเหตุนี้จึงใช้
ข้อมูลจากเว็บไซต์นี้เป็ นหลัก
ประวัตศิ าสตร์พระพุทธศาสนาในตะวันตก
ชาวตะวันตกมีโอกาสสัมผัสถิ่ นพระพุทธศาสนาครั้งสาคัญ ในสมัยที่ พระ
เจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีกกรีฑาทัพบุกอินเดียในระหว่างปี ๓๒๖ - ๓๒๓
ก่อนคริสต์ศตวรรษ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๑๗ - ๒๒๐ หรือหลังพุทธปรินิพพานได้ ๒๑๗
- ๒๒๐ ปี ซึ่งในขณะนั้ นพระพุทธศาสนาดั้งเดิมคือเถรวาทกาลังเจริญรุ่งเรืองอยูใ่ น
อินเดีย ระยะเวลาประมาณ ๓ ปี แห่งการมาของกองทัพกรีกครั้งนั้ น เป็ นไปได้ว่ามี
การศึกษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกันพอสมควร ทหารกรีก คงได้สมั ผัส
พระพุทธศาสนาผ่านวิถีชีวติ ของชาวพุทธในอินเดียสมัยนั้ นไม่มากก็น้อยและคงเล่า
ขานต่อๆ กันไปในยุโรปหลังจากที่ทหารเหล่านั้ นกลับไปยังอาณาจักรมาซิโดเนี ยของ
ตนแล้ว
เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ยกทัพกลับแล้ว จันทรคุ ปต์ก็ สามารถยึดเมือง
ปาฏลีบุตรจาก "พระเจ้านั นท์" แห่งกรีกได้สาเร็จและปราบดาภิเษกตนเองเป็ นปฐม
กษัตริยแ์ ห่งราชวงศ์โมริยะในเมืองปาฏลีบุตร เมื่อปี พ.ศ.๒๒๒ และได้ปกครองอยู่
นาน ๒๖ ปี ในรัชสมัยของพระองค์ เมกาสเธเนส (Megasthenes) เอกอัครราชทู ต
จากเมืองอเล็ กซานเดรียแห่งกรีก ได้เดิ นทางมายังเมืองปาฏลี บุตร และได้บันทึ ก
๑๖๙
เรื่องพราหมณ์และสมณะทั้งหลายในอินเดียไว้ นั กเขียนกรีกและละตินหลายท่าน
ใช้บนั ทึกนี้ อ้างอิงเรื่องราวในอินเดีย
เมื่ อถึ งยุ คของพระเจ้าอโศกมหาราช (พ.ศ.๒๗๖ - ๓๑๒) ได้มี การจัดส่ ง
สมณทูตออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังดินแดนต่างๆ เสถียร โพธิ นันทะ ปราชญ์
ด้านพระพุทธศาสนา กล่าวว่า ในครั้งนั้ นพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ไปสู่ประเทศกรีก
ในทวีปยุโรปด้วย๑
ค าว่า พระพุ ทธเจ้า ปรากฏครั้งแรกในเอกสารของกรี ก เมื่ อกาลผ่ านไป
๕๐๐ ปี หลังจากเมกาสเธเนส คลีเมนท์ (clement) เสียชีวติ ซึ่งเขียนพรรณนาไว้เมื่อ
พ.ศ.๗๔๓ ว่า "ชาวอินเดีย ทั้งหลายได้ปฏิบัติเคร่งครัดซึ่งศีลของพระพุทธเจ้าและ
เคารพนั บถื อพระพุ ทธเจ้าดุ จเทพเจ้า..." หลังจากนั้ นชาวตะวันตกไม่ค่อยได้รับรู ้
พระพุ ทธศาสนาอี กจนกระทัง่ พ.ศ.๑๗๙๗ นั กบวชวิลเลม แวน ลุ ยส์โบรก และ
นั กบวชนิ กายฟรานซิสแกน ผูเ้ ดิ นทางไปอยู่ในเมืองคะราโกรัมนาน ๖ เดื อน ได้
เขี ยนหนั งสื อชื่ อ Itinerarium บรรยายเรื่ องภิ กษุ ลามะในประเทศทิ เบตได้อย่ าง
ถูกต้องพร้อมกล่าวถึงบทสวดมนต์ ...โอม มณี ปั ทเม หุม...ด้วย
อย่างไรก็ ตาม ชาวตะวันตกทราบเรื่องราวพระพุ ทธศาสนาโดยละเอี ยด
ถูกต้องสมบูรณ์จากหนั งสือ Description of the World ของมาร์โค โปโล (Marco
Polo) ซึ่งเดิ นทางไปอยู่ในประเทศจีนนานถึ ง ๑๖ ปี ระหว่าง พ.ศ.๑๘๑๘ - พ.ศ.
๑๘๓๔ ได้พบพุทธศาสนิ กชาวจีน มากมาย เขาเขียนไว้วา่ "ตาบลซาจู อยูใ่ นเมืองตัง
กุก ประชาชนทั้งหลายนั บถื อพุทธปฏิมา ยกเว้นชาวเตอร์ก และพวกซะราเซนบาง
คนที่เป็ นคริสเตียน ประชาชนที่นับถือพุทธปฏิมาเหล่านี้ มีภาษาพูดของตัวเอง ไม่
ประกอบการค้าขาย เลี้ ยงชีพด้วยการเพาะปลูกธัญพืช มีภิกษุ และวัดมากหลาย วัด
ทั้งหลายมีพุทธปฏิมาแบบต่างๆ ประชาชนเคารพนั บถือพุทธปฏิมาเหล่านั้ นอย่าง
ท่วมท้นหัวใจ..."
เมื่อ มาร์โค โปโล เดินทางกลับจากประเทศจีนมาถึ งประเทศอิตาลี เขาได้
เล่าเรื่อง ดังกล่าวแก่ชาวอิตาลีแม้ไม่ค่อยมีคนเชื่อ แต่ภายหลังพระสันตะปาปา นิ
โคลาสที่ ๔ (Nicholas) ก็ได้จดั ส่งพวกนั กบวชไปสืบพระพุทธศาสนาในประเทศจีน
โดยท่านแรกคือ นักบวชจอห์นแห่งมอนเตคอร์วโิ น เขาพานักอยูท่ ี่จีนหลายปี และได้
ส่ งจดหมายทู ลรายงานพระสันตะปาปาถึ งความเป็ นไปของพระพุ ทธศาสนาใน
๑๗๐
ออกสู่ชาวโลก ทาให้พระธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแพร่หลายอย่าง
กว้างขวาง
ดร.ริชาร์ด มอร์ริส ประธานสมาคมนิ รุกติศาสตร์ กล่าวปราศรัยสรรเสริญ
ศ.ริส เดวิดส์ ไว้ในปี พ.ศ.๒๔๑๘ ว่า "มีปราชญ์ภาษาบาลีมากหลายในประเทศนี้
แต่ ศ.ริส เดวิดส์ เท่านั้นที่สร้างองค์กรการศึกษาภาษาบาลีขึ้นในตะวันตก ปูทางให้
พระพุทธศาสนากลายเป็ นคาพูดประจาครอบครัว แสดงคุณค่าของพระพุทธศาสนา
ให้เป็ นภาษาแห่งความรูป้ ระเภทพิเศษ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางจิตภาพ
หรือทางศาสนาต่อมนุ ษยชาติ..."
พระพุ ท ธศาสนาเริ่ มเผยแผ่ เข้าสู่ ประเทศอั งกฤษ เมื่ อประมาณปี พ.ศ.
๒๓๙๓ โดยนายสเปนเซอร์ อาร์คี ได้พิ มพ์หนั งสื อศาสนจักรแห่ งบู รพาทิ ศออก
เผยแพร่ แต่ยงั ไม่มีผูส้ นใจมากนั ก จนกระทัง่ เซอร์ เอ็ดวิน อาร์โนลด์ เขียนหนั งสือ
ประทีปแห่งเอเชียขึ้ นและพิมพ์เผยแพร่ใน ปี พ.ศ. ๒๔๒๒ หนั งสือเล่มนี้ ได้รบั ความ
สนใจจากชาวอังกฤษและชาวตะวันตกอย่างกว้างขวาง มี สถิ ติ การพิ มพ์มากกว่า
๑๕๐ ครั้ง (นับถึงปี พ.ศ.๒๔๗๐)
เซอร์ เอ็ ดวิน อาร์โนลด์ เขี ยนหนั งสือเล่มนี้ ในช่วงเวลาที่ ประเทศอังกฤษ
เผชิญกับวิกฤตการณ์ในเรื่องประเทศทางตะวันออก ดินแดนที่เป็ นเมืองขึ้ น เขาเขียน
ที่ Hamlet House และในรถไฟขณะเดิ น ทาง เขาเขี ยนลงบนซองจดหมายบ้าง
ขอบกระดาษที่วา่ งของหนังสือพิมพ์บา้ ง ด้านหลังรายการอาหารบ้าง แม้หลังกระดุม
ข้อมือเสื้ อเชิ้ ตก็เคยใช้ในการเขียนบทกวี ในยามที่ไม่มีปากกาอยูใ่ นมือ ก็จะใช้ดินสอ
เขี ยน หากไม่มีดินสอ ก็ จะใช้ชิ้นเล็ กๆ ของไม้จุดไฟเตาผิง เป็ นอุ ปกรณ์การเขียน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ของไทยได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ ฺ์ สกุล
ช้างเผือกแก่เขา ในฐานะที่ ได้ประกอบคุ ณงามความดีเผยแพร่พระพุทธศาสนา ใน
พระราชสาสน์ ที่ พ ระราชทานมาพร้อ มเครื่ อ งราชอิ ส ริ ยาภรณ์ ระบุ ชั ด เจนว่ า
คาอธิบายเรื่องพระพุทธศาสนาของเขามิได้ถูกต้องสมบูรณ์ แต่ทรงแสดงความขอบ
พระทัยในฐานะที่เขาเขียนเรื่องพระพุทธศาสนาเผยแพร่ในภาษาที่ใช้กันกว้างขวาง
ที่สุดในโลก
ศ.ที ดับเบิลยู ริส เดวิดส์ ได้จดั ตั้งสมาคมบาลี ปกรณ์ขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๒๔
เขากล่ าว ถึ งวัตถุ ป ระสงค์ ในการจัด ตั้ งว่า "...ข้าพเจ้ามี ปณิ ธานแน่ วแน่ ที่ จะ
๑๗๓
อาเธอร์ โชเปนเฮาเออร์ เชิ ดชู พระพุ ทธศาสนาไว้ว่า "เป็ นที่ ประจักษ์ ว่า
ภาษาเก่าแก่ ที่ สุ ดคื อความสมบู รณ์ ที่ สุ ดฉันใด ศาสนาที่ เก่ าแก่ ที่ สุ ดก็ คื อ ความ
สมบูรณ์ที่สุดฉันนั้ น ถ้าหากว่าจะถื อเอาผลแห่งปรัชญาของข้าพเจ้าเป็ นมาตรฐาน
แห่งความจริงแล้ว ข้าพเจ้าจะยกให้พระพุทธศาสนามีความโดดเด่นเหนื อแนวคิ ด
อื่ นๆ... วัตถุ ประสงค์ของพระศากยมุ นีพุ ทธเจ้าคื อ การแยกเอาเมล็ ดในออกจาก
เปลื อก เพื่ อแยกค าสอนที่ สู งเด่ นออกจากส่ วนผสมของจินตนาการและเทพเจ้า
เสริมสร้างคุ ณค่าภายในอันบริสุทธิ์ ผุดผ่องของพระพุทธศาสนาให้เป็ นที่ เข้าใจได้
โดยง่ายของประชาชน ในเรื่องนี้ พระศากยมุ นี พุทธเจ้าประสบความส าเร็จอย่าง
มหัศจรรย์ที่สุด เพราะฉะนั้ นศาสนาของพระองค์จึงเป็ นศาสนาดีที่สุดของโลก มีศา
สนิ กนับถือมากที่สุด"๔
ไฟรดริ ช ซิ ม เมอร์ ม านน์ (Friedrich Zimmermann) วิ ศ วกรโยธาชาว
เยอรมัน เป็ นผูห้ นึ่ ง ที่ได้แรงบันดาลใจจากหนั งสือของอาเธอร์ โชเปนเฮาเออร์ เขา
เกิดความศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่งนั ก ในปี พ.ศ.๒๔๒๓ ได้เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็ น
ภิ กษุ สุภัททะ โดยมิ ได้เข้าพิ ธีอุปสมบท มิได้ปลงผมและหนวด ยังคงแต่งกายดุ จ
ฆราวาสทัว่ ไป เขาเขียนหนั งสือชื่อ Buddhistischen Katechismus ซึ่งเป็ นเรื่องการ
ปุจฉา-วิสัชนาทางพระพุทธศาสนา โดยยึดหลักฐานจากคัมภีร์พระสุ ตตันตปิ ฎก
และพระวินัยปิ ฎกเป็ นหลัก พิมพ์เผยแพร่ในปี พ.ศ.๒๔๓๑ หนั งสือของเขามี ผูน้ ิ ยม
อ่านกันมากในหลายประเทศดุจหนั งสือประทีปแห่งเอเซีย ต้องจัดพิมพ์ใหม่ถึง ๑๔
ครั้ง และแปลออกเป็ นหลายภาษา เช่น ภาษาอังกฤษ ฝรัง่ เศส ญี่ปุ่น อิตาลี ฮังการี
สเปน และรัสเซีย
พระพุทธศาสนาในเยอรมนี ช่วงแรกเผยแผ่โดยผ่านหนั งสือเป็ นหลัก ยังไม่มี
การจัดตั้งองค์กรอย่างเป็ นทางการ จนกระทัง่ ปี พ.ศ.๒๔๔๖ ดร.คาร์ล โซเดนสตัก
เกอร์ (Karl Seidenstuecker) เป็ นผูน้ าชาวพุทธเยอรมันกลุ่มหนึ่ งก่อตั้งสมาคมเพื่อ
การเผยแผ่ พ ระพุ ท ธ-ศาสนาในเยอรมนี (Society For Buddhist Mission in
Germany) ขึ้ นในเมืองไลป์ ซิก (Leip-Zig) ซึ่งเป็ นสมาคมพระพุทธศาสนาแห่งแรกใน
เยอรมนี จากผลงานนี้ ทาให้ ดร.คาร์ล โซเดน-สตักเกอร์ ได้รบั การยกย่องว่าเป็ น
มหาสาวก (Apostle) ของพระพุ ท ธศาสนาแห่ งเยอรมนี เขาสร้างสายสัมพั น ธ์
๑๗๘
๔) ประเทศฝรั ่งเศส
ประเทศฝรัง่ เศส (France) มี ชื่ออย่างเป็ นทางการว่า สาธารณรัฐฝรัง่ เศส
(French Republic) มีประชากรประมาณ ๖๑,๐๔๔,๖๘๔ คน (พ.ศ.๒๕๔๙) จาก
สารวจในปี พ.ศ.๒๕๔๖ พบว่า ชาวฝรัง่ เศสประมาณ ๖๒% นั บถือศาสนาคริสต์
และ ๒๖% ไม่มีศาสนา (no religion) นอกจากนี้ มีชาวฝรัง่ เศสอยูถ่ ึง ๗๔% ที่ไม่เชื่อ
เรื่ อ งพระเจ้า (atheists, unlikely) และ Gallup International รายงานว่ า มี ช าว
ฝรัง่ เศสเพียง ๑๕% เท่ านั้ น ที่ เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาเป็ นประจา การนั บถื อ
ศาสนาจึงเป็ นเพียงในนามเสียเป็ นส่วนใหญ่ขาดการปฏิบัติ ตามหลักศาสนา ส่วน
พระพุทธศาสนานั้ นปั จจุบันมีอยู่ประมาณ ๓๓๔ ศูนย์ บ้างก็เป็ นวัด บ้างเป็ นศูนย์
ปฏิบตั ิธรรม นั ง่ สมาธิ และศูนย์กิจกรรมทางพระพุทธศาสนาต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็ น
นิ กายมหายานโดยเฉพาะสายทิเบตและเซน
พระพุทธศาสนาในฝรัง่ เศสเริ่มต้นโดย ยูยิน เบอร์นู ฟ (Eugene Bernouf)
นั กเขียนวรรณกรรมตะวันออกคนสาคัญของฝรัง่ เศส ยูยิน เบอร์นูฟเขียนและพิมพ์
เผยแพร่หนั งสือพระพุทธศาสนาชื่อ Essai sur le Pali ในปี พ.ศ.๒๓๖๙ อาจกล่าวได้
ว่า ยูยิน เบอร์นูฟ เป็ นบิดาแห่งพระพุทธศาสนาคดีศึกษาในทวีปยุโรป ทั้งนี้ เพราะ
ก่อนหน้านี้ ภาษาบาลีไม่มีใครในตะวันตกรูจ้ กั และเข้าใจว่า เป็ นภาษาอะไร สาคัญ
อย่ า งไร ยู ยิ น เบอร์ นู ฟ ได้ศึ ก ษาคั ม ภี ร์ พ ระพุ ท ธศาสนาที่ บี .เอช.ฮอดสั น
(B.H.Hodgson) ขณะด ารงต าแหน่ ง British Resident-General ในประเทศเนปาล
หนั งสือพระพุทธศาสนานิ กายมหายานของยูยิน เบอร์นูฟ เล่มที่ชาวยุโรปรูจ้ กั กันดี
ที่สุดคือ หนั งสือประวัติศาสนาพระพุทธศาสนาในอินเดีย (Introduction a Historie
du Buddhisme Indien) ซึ่งพิมพ์เผยแพร่ในปี พ.ศ.๒๓๘๗
นอกจากฝรัง่ เศสจะมีนักปรัชญาศาสนาแล้วยังมีนักศึกษาพุทธศิลป์ ที่สาคัญ
ที่ สุ ดอยู่ท่ านหนึ่ งคื อ เอ.ฟู เชอร์( A.Foucher) บุ คคลผู ้นี้ เขี ยนหนั งสื อพุ ท ธศิ ลป์
เผยแพร่ถึ ง ๗ เล่ ม หนั งสื อเล่ มที่ ๑ พิ มพ์ ในกรุ งปารี ส ปี พ.ศ.๒๔๓๙ ชื่ อ Les
Scenes Figureers de la legende de Bouddha หลังจากนั้ นในปี พ.ศ.๒๔๔๘ เขา
เขียนหนั งสือพุทธศิลป์ สมัยคุ ปตะ ชื่อ Lart grecobouddhique du Gandhara และ
๑๘๗
ในปี พ.ศ.๒๔๖๐ เอ.ฟูเชอร์ พิมพ์หนั งสือชื่อ The Beginnings of Buddhist Art and
Other Essays ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
พุ ท ธศาสนิ กชนชาวฝรัง่ เศสที่ มี ชื่ อเสี ยงมากในอดี ตคื อ อเล็ ก ซานดรา
เดวิด-นี ล (Alexandra David neel) ผูม้ ี จิ ตใจเด็ ดเดี่ ยว อดทน ไม่ย่นย่อต่ อความ
ยากล าบากใดๆ ใช้ชี วิตอยู่ในทิ เบตนานปี แต่ งกายแบบชาวทิ เบต รับประทาน
อาหารทิเบต ดารงชีวิตเรียบง่ายแบบชาวทิเบต จนเป็ นผูเ้ ชี่ยวชาญภาษาทิเบตและ
พระพุทธศาสนาทิ เบต เธอกล่าวว่า ถ้าหากว่า สตรีเพศมิใช่เพศต้องห้ามสาหรับ
สมณเพศของทิ เบตแล้ว ข้าพเจ้าคงบวชเป็ นสมณะ ปฏิ บัติ ธรรมในวัดทิ เบตได้
สมบูรณ์แบบแน่ นอน เธอเขียนหนั งสือพระพุทธศาสนาเผยแพร่ ๑๕ เล่ม เป็ นภาษา
ฝรัง่ เศส ๑๐ เล่ ม ภาษาเยอรมัน ๕ เล่ ม เช่น หนั งสื อ Buddhism, Its Doctrines
and Methods, ห นั งสื อ My Journey to Lhasa, With Mystics and Magicians,
หนั งสื อ Tibetan Journey เป็ นต้น หนั งสื อทุ กเล่มของอเล็ กซานดรา เดวิด -นี ล
ได้รบั การแปลเป็ นภาษาโปแลนด์ สวีเดน เชกโก-สโลวาเกีย และภาษาสเปน
อเล็ ก ซานดรา เดวิ ด -นี ล เขี ย นบทความเรื่ อ ง Buddhism and Social
Problems ลงพิ ม พ์ เผยแพร่ ในวารสาร Buddhist Review ที่ ก รุ งลอนดอน ฉบั บ
ประจาเดื อนกรกฎาคม-กันยายน พ.ศ.๒๔๕๓ มี ใจความตอนหนึ่ งว่า "จงเชื่ อใน
ความเชื่อที่ว่า ตัวท่านต้องยอมรับในสิ่งที่เป็ นจริงและมีเหตุผลถูกต้อง...จงอย่าเชื่อ
สิ่งใดที่ เป็ นอานาจของคนอื่น...การกระทาที่ มีผลคือการกระทาที่ ท่ านได้วิเคราะห์
ถูกต้องแล้ว และได้ปรากฏชัดว่า สามารถปฏิบัติได้ตามหลักเหตุผล นาไปสู่ สวัสดิ
ภาพของตนเองและคนอื่น...ท่านจงเป็ นประทีปให้แก่ตนเองเถิด (และ) พระพุทธเจ้า
ตรัสสัง่ สอนว่า ขอท่านทั้งหลาย จงท่องเที่ยวไปเพื่อประโยชน์ เกื้ อกูล เพื่อความสุขแก่
มหาชนด้วยจิตเมตตาเถิด...พระบรมครูของเราตรัสไว้ดงั นี้ ..ชัดเจนยิ่งนั ก ไม่ต อ้ งมัว
เสียเวลาอภิปรายความหมายของพระดารัสนี้ อีกต่อไป จงไปเถิ ด ไปเพื่อประโยชน์
และเพื่อความสุขของมหาชน..."
ในปี พ.ศ.๒๔๗๒ นางสาวคอนสแตนท์ เลาร์เบอรี่ (Constant Lounsbery)
นางพยาบาล ชาวอเมริกนั ได้จดั ตั้งพุทธสมาคมฝรัง่ เศส (Les Amis du Buddhisme)
สมาคมนี้ เผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาท พลังจูงใจสาคัญที่ ผลักดันให้เธอตั้งพุทธ
สมาคมฝรัง่ เศสขึ้ นก็คือ เธอได้ พบความทุกข์ยากของคนไข้จึงทาให้เธอสนใจศึกษา
๑๘๘
ของนั กบวช จอห์น แมนเดอวิลเล (John Mandeville) ซึ่ งเขี ยนในปี พ.ศ.๑๙๐๘
หนั งสือเล่มนี้ มีตน้ ฉบับ ๓๐๐ เล่ม ถูกแปลเป็ นภาษาทุกภาษาในทวีปยุโรป พิมพ์ถึง
๒๒ ครั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๐๑๓ จนถึงสิ้ นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘
หลังจากนั้ นพระพุทธศาสนาในอิตาลีไม่มีอะไรเคลื่อนไหวมากจนกระทัง่ ถึง
ยุ ค ของกู เซปเป เดอโลเรนโซ (Giusep pe de Lorenzo) และกู เซปเป ทู ซซี่
(Giuseppe Tucci) ปราชญ์พระพุทธศาสนาชาวอิตาลี ทั้งสองท่านได้สร้างผลงานไว้
มากมาย ศ.กูเซปเป เดอโลเรนโซ เกิดที่ลาโก เนโกร ประเทศอิตาลี ในปี พ.ศ.๒๔๑๔
เป็ นผู ้มี ชื่ อเสี ย งในฐานะเป็ นนั ก ธรณี วิ ท ยาชั้ น น าของโลก เพราะความสนใจ
พระพุทธศาสนา เขาจึงแปลหนั งสือปรัชญาของอาเธอร์ โชเปนเฮาเออร์ เป็ นภาษา
อิ ตาลี และร่วมมื อกับคาร์ล ยูยิน นิ วแมนน์ นั กปรัชญาพระพุ ทธศาสนาชาว
เยอรมนี แปลคัมภีรม์ ัชฌิ มนิ กายจากภาษาบาลีเป็ นภาษาอิตาลี เพื่อเผยแพร่แก่
ชาวอิตาลีและชาวตะวันตกทั้งหลาย
ศ.กู เซปเป ทู ซ ซี่ เป็ นผู ้ เชี่ ย วชาญพระพุ ท ธศาสนาแบบทิ เบตและ
ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา เขาเกิดในปี พ.ศ.๒๔๓๗ ที่มาเซราตา ประเทศอิตาลี
เป็ นผูม้ ีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะที่จดั ทาหนั งสือถึ ง ๒๑๐ เล่ม เป็ นนายกสมาคมนั ก
วรรณกรรมตะวัน ออกที่ ส าคัญ ของอิ ตาลี คื อ Instituto Italaino Per il Medio Ed
Estremo Oriente เป็ นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย Rome La Sapienza กูเซปเป ทู ซซี่
กล่าวถึงพระพุทธศาสนาว่า พระพุทธศาสนาคือศาสนาที่กาลังมีชีวติ เป็ นศาสนา
เดียวที่ให้เครื่องหมายแห่งพลังชีวิตและพลังขับที่ชุ่มชื่น ความสนใจพระพุทธศาสนา
ที่ อุบัติขึ้นในโลกตะวันตกมิใช่เพียงทางวิทยาศาสตร์เท่ านั้ น แต่ในทางจิตภาพอีก
ด้วย พระพุ ท ธ-ศาสนามี สิ่ งที่ จะบอกให้ทราบในยามทุ กข์ สมัยเมื่ อคุ ณ ค่ าทาง
ศีลธรรมและคุณค่าทางศาสนามากหลายกาลังเสื่อมโทรม
ในปี พ.ศ.๒๕๑๔ ขณะที่ ศาสตราจารย์กู เซปเป ทู ซซี่ มี อายุ ๗๗ ปี เขา
เดินทางไปประเทศทิเบตและได้สนทนากับเทนซิง ผูพ้ ิชิตขุนเขาเอเวอร์เรสต์ เทนชิง
เล่าว่า จากการสารวจดินแดนทิ เบต เขาได้พบคัมภีรพ์ ระพุทธศาสนาโบราณ อายุ
ประมาณ ๒,๐๐๐ ปี จารึกลงในเปลือกไม้ ศ.กูเซปเป ทูซซี่เชื่อว่า ภาษาที่จารึกเป็ น
ภาษาเตอร์กิสถาน ดินแดนที่พระพุทธศาสนา เคยเจริญรุ่งเรืองมาในอดีตกาล และ
เชื่ออีกว่า คัมภีรเ์ หล่านี้ คงถูกนามาสู่ประเทศทิ เบต แต่ยงั ค้นไม่พบว่าคัมภี รส์ ่วน
๑๙๓
วูดสตูดิโอแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาได้ถ่ายทาชีวิตของท่านลงสู่แผ่นฟิ ล์มออกฉาย
ในปี พ.ศ.๒๕๔๐ ในเรื่องคุนดุน (Kundun) และเรื่องเจ็ดปี ในทิเบต (Seven Years in
Tibet) โดยเฉพาะเรื่องหลังนี้ แบรด พิตต์ ดาราชื่อดังแห่งฮอลลีวูดเป็ นนั กแสดงนา
จึงท าให้มี คนติ ดตามชมกันทัว่ โลก ภาพยนตร์ท้ัง ๒ เรื่องได้ถ่ายทอดเหตุ การณ์
สาคัญทางการเมืองของทิเบตคือ กรณีที่ประเทศจีนนาโดยเหมาเจ๋อตุง เข้ายึดครอง
ทิเบตในปี พ.ศ.๒๔๙๔ และเป็ นเหตุให้องค์ทะไล ลามะต้องเสด็จลี้ ภัยทางการเมือง
ไปอยู่ที่ธรรมศาลา ทางตอนเหนื อของประเทศอินเดีย ในปี พ.ศ.๒๕๐๒ ภาพยนตร์
เรื่ องนี้ สร้างความสะเทื อนใจแก่ ชาวโลกอย่างมาก และที่ ส าคัญ ได้สัน่ สะเทื อน
การเมืองจีนไม่น้อย จนรัฐบาลจีนถึงกับประกาศห้าม Martin Scorsese ผูก้ ากับชื่อ
ดัง และแบรด พิตต์ เข้าไปเหยียบแผ่นดินจีน
ในปี พ.ศ.๒๕๐๔ ประเทศจากทวีปเอเชี ย ๘ ประเทศ คื อ พม่ า กัมพู ชา
ลังกา อิ นเดี ย ลาว ไทย เวียดนาม ไต้หวัน และญี่ ปุ่น ได้ร่วมกันก่อสร้างวัดพุทธ
ศาสนาแห่งชาติขึ้น โดยการประชุ มกันของเอกอัครราชทูตของประเทศต่างๆ การ
รวมตัวกันครั้งนี้ เป็ นการแสดงพลังสามัคคีของชาวพุทธให้โลกได้ประจักษ์วา่ แม้มา
จากต่างชาติต่างเผ่าพันธุ์กนั แต่ชาวพุทธมีเลือดสีเดียวกันคือ สีกาสายะ เป็ นสมณ
ศากยบุตรเหมือนกัน
ในปี เดียวกันนี้ มหาวิทยาลัยวิสคอนซินได้เปิ ดสอนหลักสูตรพุทธศาสตร์ใน
ระดับปริ ญ ญาเอกขึ้ นเป็ นแห่ งแรกในสหรัฐอเมริ กา ในแผนกวิชาภารตศึ กษา
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๑๘ ได้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยพุทธธรรมขึ้ นในรัฐแคลิฟอร์เนี ย
โดยเปิ ดสอนสาขาวิชาพระพุทธศาสนาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึ งปริญญาเอก
และนั บจากนั้ นเป็ นต้นมา มหาวิทยาลัยจานวนมากได้เปิ ดสอนพระพุทธศาสนา
และในปี พ.ศ.๒๕๓๙ มี ม หาวิ ท ยาลั ยประมาณ ๑๕ แห่ งที่ เปิ ดสอนหลั ก สู ต ร
พระพุทธศาสนาจนถึงปริญญาเอก เช่น Harvard University, Princeton University,
University of Chicago, University of Virginia เ ป็ น ต้ น แ ต่ ใ น ปั จ จุ บั น
สถาบันการศึกษา เกือบทุกแห่งในสหรัฐอเมริกาเปิ ดสอนวิชาพระพุทธศาสนา
สาหรับพุทธศาสนิ กชนไทยในอเมริกา ได้ร่วมใจกันก่อตั้งพุทธสมาคมไทย
อเมริ กั นขึ้ นที่ น ครลอสแอนเจลิ ส รัฐแคลิ ฟอร์เนี ย ในปี พ.ศ.๒๕๑๓ ได้นิ มนต์
พระสงฆ์ไทย จานวน ๓ รูป คื อ พระราชโมลี (พระเทพโสภณ วัดพระเชตุ พนฯ)
๒๐๒
การเผยแผ่พระพุทธศาสนายุคแรกในออสเตรเลีย กระทาโดยฆราวาสเป็ น
หลักจนกระทัง่ ปี พ.ศ.๒๔๕๓ พระภิกษุ ชาวพม่ารูปแรกได้เดินทางไปออสเตรเลีย จึง
เป็ นจุดเริ่มต้นให้พระภิกษุ จากเอเชียประเทศต่างๆ ตามเข้าไปภายหลัง เพื่อยังความ
สว่างทางปั ญญาให้เกิ ดขึ้ นแก่ชาวออสเตรเลี ย นั บตั้งแต่บัดนั้ นได้เกิดองค์กรทาง
พระพุ ทธศาสนาขึ้ นหลายแห่ ง เช่นในปี พ.ศ.๒๔๘๑ เล็ น บู ลเล็ น (Len Bullen)
ก่อตั้งกลุ่มผูศ้ ึกษาพระพุทธศาสนาขึ้ นที่ เมืองเมลเบิ รน์ ในปี พ.ศ.๒๔๙๖ สมาคม
พระพุทธศาสนาแห่งวิกตอเรียก็ได้รบั การก่อตั้งขึ้ น และที่สาคัญในปี พ.ศ.๒๕๐๑ มี
การก่อตั้งสหพันธ์พระพุทธศาสนาแห่งออสเตรเลียขึ้ น ซึ่งสหพันธ์นี้เติบโตรวดเร็ว
มาก ขยายสาขาไปหลายแห่ง เช่น ออสเตรเลียตะวันตก ออสเตรเลียใต้ ควีนส์แลนด์
และรัฐวิกตอเรีย
ก่อนถึ งปี พ.ศ.๒๕๑๓ มีพระภิ กษุ จากศรีลังกาชื่อ โสมะโลกะ (Somaloka)
เดิ นทางเข้าไปประกาศพระศาสนา ท่ านได้ก่อตั้งสมาคมพระพุทธศาสนาแห่ งนิ ว
เซาท์เวลส์ขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๑๔ โดยสร้างขึ้ นที่ Blue Mountains ทางตะวันตกของ
เมืองซิดนี ย์ (Sydney) สมาคมนี้ ได้ขยายศูนย์สาขาเพิ่มขึ้ นอีกมากมาย สาหรับชาว
พุทธจากประเทศไทยก็ได้เข้าไปเผยแผ่เช่นกัน เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๗
ได้สร้างวัดธรรมรังษี ขึ้นด้วยความร่วมมือจากชาวพุทธนานาชาติ วัดนี้ อยู่ในความ
อุปถัมภ์ของมูลนิ ธิมหามกุ ฏราชวิทยาลัย ทาการเปิ ดสอบธรรมศึกษาเป็ นวัดแรก
ของประเทศออสเตรเลีย นอกจากนี้ ยังได้เปิ ดสอนภาษาไทย ศิลป-วัฒนธรรมไทย
ราไทย และอื่นๆ ให้กับชาวต่างชาติและชาวไทยอีกด้วย ภายหลังชาวพุทธไทยก็ได้
สร้างวัดขึ้ นอีกหลายแห่ง
สาหรับพระพุทธศาสนามหายานนิ ชิเร็นนิ กายโซกะ กัคไคนั้ น เริ่มต้นเมื่อปี
พ.ศ.๒๕๐๗ โดยไดซาขุ อิเคดะ ผูน้ าองค์กรโซกะ กัคไคคนปั จจุบนั ได้เดินทางเข้าไป
ในประเทศออสเตรเลีย จัดตั้งกลุ่มโซกะ กัคไคขึ้ นที่เมืองเมลเบิรน์ มีสมาชิก ๖ คน
หลังจากนั้ นได้ขยายกลุ่มออกไปอย่างรวดเร็ว ปั จจุบันมีอยู่ประมาณ ๒๗๐ กลุ่มทัว่
ประเทศออสเตรเลีย แต่ละกลุ่มจะมีสมาชิกประมาณ ๕-๑๐ คน
ส่ วนพระพุ ทธศาสนาทิ เบต เริ่มต้นขึ้ นเมื่ อปี พ.ศ.๒๕๑๗ โดยลามะจาก
ทิเบตรูปแรกเดินทางเข้าไปเผยแผ่ในออสเตรเลีย จากนั้นในปี พ.ศ.๒๕๑๙ ลามะชื่อ
Geshe Acharya Thubten Loden ก็เข้าไปประกาศพระศาสนา ได้ตระเวนสอนชาว
๒๐๕
ขอให้พระรัตนตรัยคุม้ ครอง
อาจารย์